ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 611-614

 ตอนที่ 611 น่ารัก อยากจับ

 

“พวกเขาล้วนลืมไปหมดแล้ว ลืมจนหมดสิ้น ลบทิ้งจนไม่หลงเหลือสิ่งใด!” 


 


 


“พวกมนุษย์พากันยอมอ่อนน้อมอย่างที่สุด ไม่มีความกล้าหาญจะต่อต้านแม้แต่น้อย ช่างน่าอนาถจนน่าสงสารและน่าชิงชัง” 


 


 


“ตนเองอ่อนแอไร้ความสามารถ จึงได้แต่โยนความผิดและเภทภัยทั้งหลายให้ผู้อื่น เพื่อจะได้อ้อนวอนร้องของชีวิต ไอ้พวกเผ่ามนุษย์เหล่านั้น และเผ่าเทพที่ไร้น้ำใจ เฮอะ เฮอะ…..” 


 


 


ถึงแม้ว่าจะผ่านมาเนิ่นนานแล้ว แต่ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ร่างกายของเสือดำก็ต้องสั่นสะท้าน 


 


 


 ตู๋กูซิงหลันเห็นกรงเล็บของมันจิกลึกลงไปบนพื้น บนหินก้อนใหญ่ที่เย็นเฉียบก้อนนั้นมีรอยเล็บขูดลึงไปจนลึก 


 


 


ในประวัติศาสตร์ของโลกปัจจุบัน เรื่องที่เกี่ยวของกับราชวงค์ซางมิได้ถูกบันทึกไว้อย่างครบถ้วน จะมีก็แต่เพียงบันทึกในหนังสือ 《เฟิงเฉินหยั่นอี้》[1]ที่มีเนื้อหามากสักหน่อย แต่มิว่าจะเป็นบันทึกประวัติศาสตร์หรือนวนิยายที่กล่าวถึง ต๋าจี่ก็ถูกเรียกว่าเป็นนางปีศาจที่ล่มบ้านล้างเมืองทั้งสิ้น 


 


 


พอได้ฟังพี่เสือดำเล่าออกมาตั้งมากมายเช่นนี้ นางก็อดจะสะท้อนใจไม่ได้ 


 


 


ประวัติศาสตร์ แต่ไหนแต่ไรก็คือบันทึกของผู้ชนะเสมอ  


 


 


ผู้แพ้นั้น ถูกเรียกขานเป็นตัวชั่วร้าย เป็นภูติผีปีศาจอยู่ตลอด จนมิใช่เรื่องแปลกอะไร 


 


 


นางและอาจารย์ซื่อมั่ว ก็เคยร่วมกันปกป้องประชาชนนับพันนับหมื่น 


 


 


และตอนนี้ พวกนางก็กลายเป็นศัตรูกับแดนสวรรค์ไปแล้ว 


 


 


ยังดี ที่นางไม่ใช่ต๋าจี่ ทั้งยังไม่เคยพบเจอคนอย่างตี้ซินแม้แต่ครั้งเดียว 


 


 


ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดอยู่ภายในใจ ตี้ซินนั้นไร้น้ำใจและเห็นแก่ตัวถึงเพียงนั้นจริงๆน่ะหรือ? 


 


 


เวลาผ่านมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ นางย่อมไม่มีทางไปสืบหาหลักฐานใดๆได้แล้ว อีกทั้งตอนนี้ก็ไม่มีกระจิตกระใจจะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่ผ่านมาของต๋าจี่และตี้ซินอีกด้วย 


 


 


นางเพียงรู้สึกสงสารและเห็นใจพี่สาวต๋าจี่เท่านั้น….. 


 


 


ปีศาจจิ้งจอกเก้าหางที่ล้ำค่าและสูงส่งเกินใดเปรียบ หลงรักฮ่องเต้ชาวมนุษย์ผู้หนึ่ง กลับถูกเหยียดหยามจนไม่เหลือชิ้นดี 


 


 


ทั้งที่เป็นเช่นนี้ แต่นางก็มิได้สับคนเหล่านั้นเป็นชิ้นๆ ที่จริงต้องถือว่านางมีเมตตามากแล้ว 


 


 


“หลังจากนั้น……ด้วยความโกรธแค้น นายหญิงที่ถูกควักหัวใจออกไปครึ่งหนึ่งบนหอสอยดาว จึงทำลายเมืองเจาเกอไปกว่าครึ่ง” 


 


 


เสือดำเล่าต่อไป “หลังจากนั้น นางก็กลับมาที่หุบเขาหมื่นปีศาจ” 


 


 


“แต่ว่าเหล่าทวยเทพบนแดนสวรรค์ย่อมไม่คิดจะปล่อยนางไป” 


 


 


“พวกมันไล่ติดตามนางตั้งแต่โลกโน้นมาจนถึงแดนจิ่วโจว ทั้งยังยิงเพลิงสวรรค์ลงมา ทำลายหุบเขาหมื่นปีศาจโดยไม่แยกแยะ ชีวิตมากมายนับพันนับหมื่นในหุบเขาปีศาจ ล้วนต้องสิ้นสูญและแตกดับไปในเพลิงสวรรค์อย่างสิ้นไร้หนทาง” 


 


 


“ใช่แล้ว พวกมันล้วนเป็นเทพสวรรค์อันสูงส่ง ไหนเลยจะยอมให้ใต้หล้ามีผู้ต่อต้านได้กัน” 


 


 


“ดังนั้นราชาจิ้งจอกและองค์ราชินีจึงได้ทรงอุทิศพลังบำเพ็ญเพียรและชีวิตของทั้งสองพระองค์ เพื่อดับเพลิงสวรรค์ในครั้งนั้น เพื่อปกป้องเผ่าจิ้งจอกสายตระกูลซูและเหล่าปีศาจน้อยที่หลงเหลืออยู่ในหุบเขาหมื่นปีศาจ” 


 


 


“เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมองค์ชายน้อยถึงได้ไปปรากฏตัวขึ้นที่โลกปัจจุบันของเจ้า ก็เพราะว่าก่อนที่พวกเราจะถูกพวกเทพเข่นฆ่า ได้ร่วมกันฝืนใช้พลังเฮือกสุดท้าย ส่งเขาไปยังโลกปัจจุบันในอีกหลายปีให้หลัง ก็เท่านั้นเอง….” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันคิดย้อนกลับไป มิน่าเล่า ตอนที่นางเก็บเจ้าจิ้งจอกน้อยได้ หางของมันถึงได้มีรอยไหม้อยู่หลายแห่งจนเกรียมไปหมด 


 


 


ตอนที่อยู่ในโลกใบโน้น เขาก็ไม่เคยกลายร่างเลยสักครั้ง นางจึงไม่เคยรู้เลยว่ายังมีเรื่องราวเบื้องหลังเช่นนี้อยู่ด้วย 


 


 


ตอนนี้พอได้รับรู้ จึงทำให้รู้สึกโศกเศร้าอย่างยิ่ง 


 


 


เรื่องนี้ตอกย้ำในสิ่งที่นางเคยได้รู้มาแล้วอย่างชัดเจน 


 


 


มีรักสักครั้งสาแก่ใจ แต่ทั้งครอบครัวพลอยประสพเภทภัย 


 


 


พี่สาวต๋าจี่ก็คือตัวอย่างที่มีให้เห็นอยู่ตรงหน้า 


 


 


ในสุสานมิได้มีแต่เพียงคนทั้งครอบครัว หากแต่เกือบจะทำให้คนทั้งเผ่าต้องจบสิ้นไปด้วย 


 


 


“ดังนั้นตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่? ว่าทำไมพวกเจ้าจึงไม่ควรรั้งอยุ่ในหุบเขาหมื่นปีศาจ” 


 


 


ที่เสือดำเล่ามาตั้งมากมาย ประเด็นสำคัญก็เพราะเห็นแก่ว่านางคือผู้มีพระคุณขององค์ชายน้อย 


 


 


มิเช่นนั้นมันย่อมคร้านจะพูดไปให้มากความ จัดการสับพวกนางให้เป็นชิ้นยังรวบรัดกว่ามากนัก 


 


 


แต่เพราะเผ่าปีศาจอย่างพวกมันไม่เหมือนกับพวกมนุษย์ที่ลืมบุญคุณโดยง่าย 


 


 


แม้แต่น้ำใจหยดหนึ่งพึงตอบแทนด้วยสายธาร 


 


 


เพียงแต่ว่าสถานการณ์ในยามนี้ช่างไม่เอื้ออำนวย เรื่องตอบแทนย่อมไม่อาจจะตอบแทนได้เสียแล้ว 


 


 


แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีทางจะใจดำเช่นเดียวกับพวกมนุษย์ ที่ถึงขั้นทุ่มหินลงบ่อซ้ำเติมยามยากลำบาก พวกมันแบ่งแยกบุญคุณและความแค้นอย่างชัดเจน ไม่มีทางทำร้ายผู้บริสุทธิ์อย่างไร้เหตุผล 


 


 


ตู๋กูซิงหลันพยักหน้าติดๆกัน ย่างเดินเข้าไปหาเสือดำ พลางยื่นมือออกไป 


 


 


เจ้าเสือดำนิ่งขึงไปครู่หนึ่ง แต่ก็มิได้ถอยหนี 


 


 


 มือข้างนั้นของตู๋กูซิงหลันยื่นลงมาเหนือศีรษะของมัน ลูบไล้อย่างแผ่วเบาครั้งหนึ่ง 


 


 


“พี่เสือดำ เจ้าวางใจเถอะ ทันทีที่ฟ้าสางข้าก็จะจากไป จะต้องมีสักวันหนึ่ง ที่เจ้าจะได้เห็นเผ่าสวรรค์พ่ายแพ้ พวกเทพจะต้องลงไปอยู่ในนรก” 


 


 


พวกเทพจะต้องลงไปอยู่ในนรก 


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่เสือดำได้ยินใครพูดเช่นนี้ออกมา 


 


 


เหล่าเทพเบื้องบนที่สูงส่ง ควบคุมการเกิดดับของชีวิตทั้งหลาย ยามนี้แม้แต่ขุมนรกก็ยังอยู่ใต้อาณัติของพวกเขา 


 


 


พวกเขา จะลงนรกจริงหรือ? 


 


 


มันรู้สึกว่านางคงกำลังล้อเล่นแล้ว 


 


 


เพราะคำพูดนั้นของนาง เสือดำจึงถึงกับเหม่อลอยไป ขณะที่มือข้างนั้นลูบไล้อยู่บนศีรษะของมัน 


 


 


กระทั่งเส้นขนบางส่วนของมันหล่นออกมา มันถึงได้ชักสีหน้าดำๆขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


“เจ้ามายุ่งย่ามอะไรกับหัวของข้ากัน?” เสือดำถาม 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “….. น่ารักดี อยากลูบหน่อย” 


 


 


เสือดำ “…..” 


 


 


เผ่าเสือดำของพวกมันขึ้นชื่อเรื่องดุร้าย แต่ว่านางกลับเห็นเป็นความน่ารักที่ตรงไหน? 


 


 


เสือดำอดจะแยกเขี้ยวออกมาไม่ได้ 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “เขี้ยวที่ทั้งใหญ่และขาวสะอาด เหมือนกับเจ้านายของเจ้าไม่มีผิด ไม่ใช้มันไปขบเคี้ยวฝักข้าวโพด ช่างน่าเสียดายจริงๆ” 


 


 


เสือดำ “……” 


 


 


ที่จริง มันอยากจะเห็นว่านางเป็นที่ลับเขี้ยวอยู่เหมือนกัน 


 


 


“ข้ารู้สึกว่าเจ้ามิได้เห็นคำพูดของข้าเมื่อครู่อยู่ในสายตา คงเพราะเห็นว่าเรื่องของผู้อื่น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตน จึงไม่มีคุณค่าให้กล่าวถึงกระมัง?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองดูสีหน้าที่เคร่งขรึมจริงจังของมัน มือข้างหนึ่งของนางก็แปะลงไปบนศีรษะของมัน 


 


 


จากนั้นนางก็ส่ายศีรษะติดๆกัน “ผู้ที่มีชีวิตอยู่ในโลก ต่างย่อมมีเรื่องผิดหวังและทุกข์ใจอยู่มากมาย ไยจึงมิอาจแสวงหาความสุขท่ามกลางความทุกข์ได้กัน?” 


 


 


“ในเมื่อต้องอยู่ในห้วงความทุกข์ หากยังไม่รู้จักดื่มกินสิ่งหวานหอม ชีวิตก็คงจะมีแต่ความตรอมตรมแล้ว” 


 


 


 


 


 


ถึงแม้ว่าตู๋กูซิงหลันจะมีอายุยังน้อย แต่ว่าประสบการณ์ของนางกลับไม่น้อย 


 


 


นางเองก็เคยประสบกับความสิ้นหวัง ปวดร้าวจนหัวใจแหลกสลาย มีแต่ความเคียดแค้นชิงชังท่วมท้น 


 


 


แต่ว่าคนเราในเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ย่อมต้องก้าวต่อไปข้างหน้าจึงจะมีความหวัง 


 


 


เสือดำนิ่งอึ้งไป สมองของมันกลับคิดไปอีกด้านหนึ่ง “เจ้าไม่เคยต้องประสพกับเหตุการณ์ทุกข์ทนสิ้นหวังเช่นนั้นมาก่อน แน่นอนว่าย่อมไม่เข้าใจ” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเพียงแต่ยิ้มน้อยๆ โดยมิได้อธิบายใดๆ 


 


 


เพียงแต่ลูบไล้ศีรษะของมันอย่างเบาๆด้วยความอ่อนโยนกว่าเดิม “คนรักของข้า มีสัตว์เลี้ยงชื่อเมียเมีย มันชื่นชอบเพื่อนตัวน้อยที่มีขนฟูๆ หากว่ามันยังอยู่ จะต้องชอบเจ้ามากอย่างแน่นอน” 


 


 


  


 


 


เสือดำถูกคำพูดที่เอ่ยออกมาอย่างกระทันหันของนางทำเอางุนงง มันไม่ค่อยจะเข้าใจความหมายของนางมากสักเท่าไหร่ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเองก็มิได้เล่ารายละเอียด เพียงแต่ตบลงไปบนศีรษะของมันเบาๆ “เจ้าไปเถอะ พรุ่งนี้เมื่อฟ้าสางแล้ว เจ้าก็จะไม่ได้เจอข้าอีกแล้ว หุบเขาหมื่นปีศาจนี้ ก็จะดำรงไว้ซึ่งความสงบสุขต่อไป” 


 


 


หากว่านางคือต๋าจี่ บางทีนางอาจจะเข่นฆ่าสังหารศัตรูโดยไม่สนใจสิ่งใดไปแล้ว 


 


 


ใต้หล้านี้มีผู้คนนับพันนับหมื่น ไม่จำเป็นที่ใครๆจะต้องทำอะไรเหมือนๆกัน 


 


 


นางไม่มีคุณสมบัติและไม่มีอำนาจใดจะไปวิพากย์​วิจารณ์การกระทำของต๋าจี่ ในทำนองเดียวกันผู้อื่นก็ไม่มีอำนาจและไม่มีสิทธิ์ใดจะมาหักหน้าการแก้แค้นแดนสวรรค์ของนาง 


 


 


แสงดาวส่องสว่างเข้ามาทางหน้าต่าง กระทบกับร่างของนาง กลายเป็นสีแดงระยิบระยับงามจับตา 


 


 


เจ้าเสือดำจับตามองดูนางอยู่เช่นนั้น ไม่รู้เพราะเหตุใด มันถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่ากำลังเฝ้ามองดูนายหญิงอยู่ 


 


 


เพราะว่า นางก็มีสง่าราศรีเช่นนั้นอยู่เหมือนกัน 


 


 


……………… 


 


 


  


 


 


[1] 《封神演义》: เฟิงเฉินหยั่นอี้ หรือ ห้องสิน (ภาษาฮกเกี้ยน) แปลว่า สถาปนาเทวดา เป็นนวนิยายจีนที่ถูกเรียบเรียงขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง (1368-1644) เล่าเรื่องความเป็นมาของเทวดาและภูติผีปีศาจ มีทั้งหมดหนึ่งร้อยตอน แต่งโดย สวี่ จ้งหลิน(許仲琳) 

 

 

 


ตอนที่ 612 ที่แท้แล้วเขาก็เป็นคนตายผู...

 

ยามดึกสงัดที่ร้างผู้คน มักมีใครสักคนที่นอนไม่หลับ 


 


 


อย่างเช่นท่านเจ้าสำนัก 


 


 


ห้องหับที่เขาพักอยู่ห่างไกลจากศิษย์น้อยมาก แต่ว่ากลับใกล้สวนบุปผาวิญญาณแห่งนั้นเพียงนิดเดียว 


 


 


ผู้ที่ฝึกฝนจนถึงขั้นเดียวกันกับท่านเจ้าสำนัก แทบไม่จำเป็นต้องการการพักผ่อนแล้ว 


 


 


ในใจของเขาด้านหนึ่งก็เอาแต่คิดถึงเพียงศิษย์น้อยเท่านั้น อีกด้านหนึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ความเจ็บปวดเหมือนถูกทิ่มแทงที่สะกดเอาไว้ กำเริบขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


ภายใต้แสงดาว สองมือของเขาเปลี่ยนเป็นโครงกระดูกสีขาวอย่างรวดเร็ว อาการเปลี่ยนเป็นกระดูกขาวนี้ลุกลามไปทั่วทั้งแขนจนถึงหัวไหล่ 


 


 


เขาติดตามกระแสพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งเหล่านั้น มาจนถึงข้างสระน้ำพุร้อน 


 


 


ข้างสระน้ำพุร้อนมีหินก้อนใหญ่ก่อนหนึ่ง เขาฝืนอาการเจ็บปวด นั่งลงบนก้อนหินก้อนนั้น 


 


 


สายลมยามค่ำพัดโชย ผ่านไปบนยอดเขายังคงมีหิมะปกคลุม คืนนี้แสงดาวสุกสกาวเหลือเกิน 


 


 


สายลมพัดผ่านชายเสื้อของเขาไป เผยให้เห็นมือทั้งสองข้างที่เป็นเพียงท่อนกระดูก 


 


 


ใต้แสงดาวที่ทาบทอลงมา สองแขนนั้นดูน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง 


 


 


เมื่อท่อนแขนเผยออกมา ก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่เย็นชาของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น 


 


 


“ข้าก็ว่าแล้ว ที่แท้เจ้ามันก็ไม่ใช่คนเป็น” 


 


 


ทันทีที่สิ้นเสียง บนหลังคาเก๋งปรากฏจิ้งจอกที่งดงามมากตัวหนึ่ง 


 


 


จิ้งจอกตัวนั้นกระโดดลงมาตามเสาหลังในเก๋ง จากนั้นก็แปลงร่างเป็นยอดโฉมงามที่ตรงหน้าของเขา นางก็คือซูจี่ 


 


 


ดวงตาของซูจี่แฝงแววยิ้มหยันเย็นชา จับจ้องไปที่เขาอย่างไม่หลบหลีกสายตา 


 


 


“วิชาอำพราง คิดจะทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าเจ้าเป็นมนุษย์ปกติธรรมดากระนั้นหรือ?” 


 


 


“เฮอะ เฮอะ” 


 


 


นางยังคงยิ้มอย่างเย็นชาต่อไป “ก็แค่หลอกตัวเอง ลวงผู้อื่นเท่านั้น ก็แค่ร่างที่มิได้แตกต่างอะไรกับคนตาย แต่กลับมาคลุกคลีอยู่ข้างกายฮ่องเต้หญิง บอกมาเถอะ ว่าเจ้าคือผู้ใดกันแน่?” 


 


 


ที่จริงวันนี้ตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็นเขา ซูจี่ก็รู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ปกติแล้ว 


 


 


กลิ่นอายในร่างของเขามืดหม่นมากเกินไป ยังลึกลับซับซ้อนกว่าบุรุษอัปลักษณ์หัวขาดผู้นั้นหลายต่อหลายเท่า 


 


 


ทั้งๆที่เป็นภูติผีที่คืบคลานขึ้นมาจากขุมนรก แต่กลับคลุมไว้ด้วยหนังมนุษย์ที่งดงามผืนหนึ่ง ดูท่าแล้ว แม้แต่ฮ่องเต้หญิงผู้นั้นก็ยังถูกปิดบังเสียมิดชิด 


 


 


ท่านเจ้าสำนักปล่อยให้สายลมพัดผ่านเสื้อผ้าของเขาต่อไป กระดูกขาวใต้แขนเสื้อระเหยหมอกสีดำออกมา 


 


 


ดวงตาหงส์คู่นั้นจดจ้องไปที่ซูจี่อย่างจริงจัง 


 


 


“อย่าได้ยุ่งเกี่ยวเรื่องของผู้อื่น” 


 


 


เขาไม่ชอบเจ้าจิ้งจอกใหญ่ตัวนี้ แต่เพราะศิษย์น้อยเป็นสาเหตุ ถึงได้ยอมทนต่อความไร้มารยาทของพวกมัน 


 


 


มิใช่เพราะว่า ตัวเขาจีต้าฉุยคือผู้ที่ใครก็จะมาลบหลู่ได้ 


 


 


คนตายหรือ? 


 


 


เขาจะเป็นคนตายไปได้อย่างไร? ….เขามีเลือดเนื้อ มีหัวใจ มีความรู้สึก สามารถรับรู้สิ่งต่างๆในโลกนี้ได้ 


 


 


เขายังถึงขนาด….มีความพึงพอใจอย่างลึกซึ้งต่อคนผู้หนึ่ง…..คนผู้นั้นก็คือตู๋กูซิงหลัน 


 


 


เขาที่เป็นเช่นนี้จะกลายเป็นคนตายไปได้อย่างไร? 


 


 


ถึงแม้ร่างกายของเขาจะกลายเป็นกระดูกขาวขึ้นมา แต่ก็ไม่ควรเป็นเช่นนั้น 


 


 


“ยุ่งเกี่ยวหรือ?” ซูจี่หัวเราะออกมา “ฮ่องเต้หญิงผู้นั้นคือนางใจดวงใจของน้องชายข้า เจ้ายังคิดว่าข้ายุ่งเกี่ยวไม่เข้าเรื่องอีกหรือ?” 


 


 


ว่าแล้ว ในมือของนางก็ปรากฏดาบขึ้นมาเล่มหนึ่ง ทันทีที่ดาบนั้นปรากฏ ก็กำจายกลิ่นอายสังหารรุนแรงออกมา 


 


 


แสงหนาวเย็นจากตัวดาบบาดสายตาผู้คน 


 


 


ตัวดาบอ่อนนุ่มพริ้วไหวเหมือนดั่งขนสุนัขจิ้งจอก 


 


 


ถึงแม้ว่านางจะเกลียดชังพวกมนุษย์ แต่ก็รู้จักแยกแยะเรื่องราว เสี่ยวเยาติดค้างหนี้ชีวิตตู๋กูซิงหลันครั้งหนึ่ง แม้ว่านางจะมิได้เป็นฝ่ายเสนอสิ่งตอบแทน แต่ก็จะไม่ยอมทนมองดูให้ข้างกายของฮ่องเต้หญิงมีคนที่ไม่ปลอดภัยอยู่ 


 


 


นี่เป็นกฏเกณฑ์และเส้นแบ่งของนาง 


 


 


“ข้าไม่คิดจะต่อสู้กับเจ้า” ท่านเจ้าสำนักปรายตามองนางแวบหนึ่ง 


 


 


ถึงแม้ว่าแต่ไหนแต่ไรเขาจะชมชอบใช้กำลังแก้ไขปัญหา แต่ว่าก็ไม่เคยลงมือโดยง่าย 


 


 


เพราะทันทีที่ลงมือ จะต้องมีคนตายอย่างแน่นอน 


 


 


เจ้าจิ้งจอกใหญ่ตัวนี้คือไอดอลของศิษย์น้อย หากว่าตายไป ศิษย์น้อยคงจะเสียใจ 


 


 


“เจ้าไม่คิดหรือว่าไม่กล้า?” ดาบในมือของซูจี่กระชับแน่น ที่นางสามารถบอกได้ว่า เจ้าสำนักผู้นี้มิใช่มนุษย์ ก็เพราะว่านางมองไม่เห็นจิตวิญญาณของเขา 


 


 


ในฐานะที่เป็นจิ้งจอกเก้าหางผู้แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าปีศาจจิ้งจอก นางจึงมีดวงตาหยินหยางคู่หนึ่งแต่กำเนิด ดวงตาที่สามารถมองเห็นจิตวิญญาณได้ 


 


 


แต่ว่าท่านเจ้าสำนักผู้นี้ ถึงแม้ว่าภายนอกมองดูไม่มีปัญหาใด แต่ว่านางกลับมองไม่เห็นจิตวิญญาณของเขา 


 


 


ราวกับว่าคนผู้นี้ถูกสร้างขึ้นมาจากดินเหนียวอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


แต่ว่าในร่างกายของเขาถึงกับมีกลิ่นอายภูติผีจากขุมนรกชั้นสิบแปดอยู่ด้วย 


 


 


ทำให้ซูจี่มิอาจไม่ระวังป้องกัน 


 


 


ที่นางตัดสินใจปกป้องตู๋กูซิงหลันในครั้งนี้ ก็เพื่อจะปกป้องเสี่ยวเยา 


 


 


เพราะนับตั้งแต่ที่หุบเขาหมื่นปีศาจถูกทำลายไปในครั้งนั้น นางต้องสูญเสียบิดามารดา ในใต้หล้านี้จึงเหลือแต่เสี่ยวเยาเป็นญาติเพียงคนสุดท้าย 


 


 


ถึงแม้ว่ายามปกตินางจะเข้มงวดกับเขาอย่างยิ่ง วันๆก็ลงมือกับเขาอยู่เสมอ แต่ว่าในน้ำใสใจจริงแล้วนางก็รักใคร่น้องชายผู้นี้ 


 


 


ไม่เช่นนั้น หลายปีมานี้ นางคงไม่คิดหาหนทางนำเขากลับมาอยู่ตลอดเวลา 


 


 


“เจ้าเห็นว่าข้าดูเหมือนคนที่ไม่กล้ารับศึกกระนั้นหรือ?” ท่านเจ้าสำนักยังคงนั่งอยู่บนก้อนหินเช่นเดิม 


 


 


ที่ด้านหลังของเขา แสงระยิบระยับของดวงดาวส่องลงมาบนสวนบุปผาวิญญาณที่มีหิมะเป็นฉากหลัง 


 


 


บุปผาวิญญาณเองก็เรืองแสงสุกสกาวในตนเอง แต่ซูจี่สามารถรู้สึกได้ว่าละอองแสงของบุปผาวิญญาณมิได้เรืองรองเท่าในกาลก่อน 


 


 


ที่จริงแล้ว พวกมันกำลังสูญเสียแสงสว่างอย่างรวดเร็ว 


 


 


ราวกับว่าพลังวิญญาณในตัวพวกมันกำลังถูกบางสิ่งดึงดูดไป 


 


 


“ปากก็ว่าอย่าง แต่ที่จริงแล้วกลับทำเรื่องอื่นลับหลังผู้คน เจ้าหลอกลวงฮ่องเต้หญิงผู้นั้น แฝงตัวมาอยู่ข้างกายนางเพราะว่ามีเป้าหมายอยู่ที่บุปผาวิญญาณสินะ” 


 


 


ซูจี่เอ่ยอย่างมั่นใจ นางผ่านประสบการณ์มามากมาย ดังนั้นจึงไม่มีทางเห็นผู้ใดเป็นคนดีได้ง่ายๆ 


 


 


อย่าว่าแต่บุรุษที่ดูมีเงื่อนงำขัดแย้งในตนเองเช่นนี้ 


 


 


บุปผาวิญญาณแห่งจิ่วโจว คือสิ่งวิเศษของหุบเขาหมื่นปีศาจ คือสมบัติล้ำค่าที่ได้จากแผ่นฟ้าและฝืนดิน เพียงแค่ดอกเดียวก็สามารถชำระล้างไขกระดูก เป็นยอดปรารถนาของเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรในดินแดนจิ่วโจว 


 


 


พอบุรุษผู้นี่ปรากฏตัวขึ้นมา บุปผาวิญญาณเหล่านี้ก็สูญเสียสีสันและประกายที่เคยมีไป 


 


 


ดังนั้นไม่อาจโทษว่าซูจี่ที่คิดเช่นนี้ 


 


 


ท่านเจ้าสำนักเหลือบตามองดูบุปผาวิญญาณเหล่านั้นแวบหนึ่ง 


 


 


นับตั้งแต่ที่ได้เห็นบุปผาวิญญาณดอกแรกจนมาถึงตอนนี้ เขาก็พบว่าตนเองเกิดอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง ในสมองเกิดภาพต่างๆผุดขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา ดูท่าทั้งหมดนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับบุปผาวิญญาณเป็นแน่ 


 


 


ที่จริงตอนนี้เขาก็ยังคงปวดศีรษะอย่างยิ่ง แต่ก็มิได้ไปจากที่นี่ในทันที 


 


 


ในสมองปรากฏภาพต่างๆผุดขึ้นมาอยู่ตลอด บางทีอาจเป็นเพราะว่าในสวนมีบุปผาวิญญาณอยู่มากมาย ทำให้ภาพที่ได้เห็นยิ่งทีก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


และ….ยิ่งทีก็ยิ่งชัดเจนขึ้น 


 


 


ภาพจำนวนมากมายทำให้ศีรษะของเขาแทบจะระเบิดอยู่แล้ว 


 


 


ใบหน้าที่งดงามล้ำโลกนั้น ซีดขาวจนไม่เหลือสีเลือดแม้แต่น้อย 


 


 


ซูจี่เองก็รู้สึกได้ว่าเขากำลังไม่ปกติ แต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือ พลังวิญญาณในสวนดอกไม้กำลังลดน้อยถอยลงอย่างรวดเร็วจนน่าสะพรึงกลัว 


 


 


แต่นางก็เห็นอยู่ว่า พลังวิญญาณของบุปผาวิญญาณเหล่านั้นไม่ได้ถูกเขาดูดซับเข้าไป 


 


 


ดาบในมือของซูจี่ตวัดจนส่งเสียงดัง 


 


 


ตกลงแล้วเป็นฝีมือของผู้ใดกัน? 


 


 


หรือว่ายังมีพรรคพวกอยู่อีก? 


 


 


ภายใต้แสงดาว บุปผาวิญญาณที่สูญเสียประกายแสงฟุบลงไปรวมกัน โดยมีเก๋งแปดเหลี่ยมเป็นจุดศูนย์กลาง พวกมันเอนราบลงไปทางตำหนักของซูเยา 


 


 


ประกายแสงเหล่านั้นไหลมารวมเป็นสายธารอยู่ในอากาศ ระยิบระยับงดงามจับตา 


 


 


ซูจี่ “…..” 


 


 


ว่าตามที่จริงแล้ว แวบแรกนางก็คิดอยู่ว่าเป็นฝีมือของซูเยา  


 


 


เจ้าน้องชายที่โง่เขลาของนาง มิว่าเรื่องปัญญาอ่อนใดๆก็สามารถกระทำได้ทั้งสิ้น นี่คิดจะดูดซับพลังวิญญาณของบุปผาวิญญาณในสวนทั้งหมดหรือ? 


 


 


เขาคิดจะทำอะไร? 


 


 


ไม่รู้หรือว่า หากคนธรรมดาดูดซับพลังวิญญาณของบุปผาวิญญาณเพียงดอกเดียว ก็ยังต้องใช้เวลาหลายต่อหลายเดือนในการหลอมรวมแล้ว 

 

 

 


ตอนที่ 613 จีเฉวียนและซื่อมั่ว

 

การดูดซับพลังวิญญาณทั่วทั้งสวนจนหมดในครั้งเดียว นั่นไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย!


 


 


เพราะทั่วทั้งแผ่นดินนี้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกฝนที่แข็งแกร่งอย่างที่สุด ก็ยังไม่อาจรองรับพลังวิญญาณมากมายเช่นนี้ มีแต่จะทำให้ร่างกายระเบิดจนแตกดับ!


 


 


เปรียบเหมือนกับคนกระเพราะครากที่สามารถกินอาหารได้ทีละหลายสิบชั่งผู้หนึ่ง ที่ยัดเยียดอาหารลงไปเรื่อยๆไม่ยอมหยุด เขาก็มีแต่จะต้องตายอย่างทุกข์ทรมานเท่านั้น


 


 


ตอนนี้ ซูจี่คร้านที่จะถกเถียงกับท่านเจ้าสำนักต่อไปแล้ว


 


 


นางขยับปลายเท้าเล็กน้อย เรือนร่างที่งดงามเหาะออกไปในอากาศ มุ่งไปยังตำหนักของซูเยาอย่างรวดเร็ว


 


 


ตอนนี้ ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะหลับไป


 


 


อาจเป็นเพราะว่าช่วงนี้เหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก และห้องหับที่ซูเยาจัดให้ก็มีกลิ่นอายที่คล้ายคลึงกับตำหนักในต้าโจว ดังนั้นพอส่งพี่เสือดำออกไปแล้ว นางจึงหลับลึกกว่าเคย


 


 


แม้ว่าในถุงเฉียนคุนจะเกิดความเคลื่อนไหวก็ยังคงไม่รู้สึกตัว


 


 


กระแสพลังวิญญาณจากบุปผาวิญญาณยังคงล่องลอยมาในอากาศ ไหลลงมาในห้องราวน้ำหลากจากที่สูงเข้าไปในถุงเฉียนคุนของนาง


 


 


ในกระถางดอกไม้ที่ทำจากหยกขาว มีหน่ออ่อนแทงขึ้นมา และเนื่องเพราะดูดซับกระแสพลังวิญญาณเข้าไปมากมาย จึงเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า


 


 


ผลิใบ แตกยอด


 


 


หน่ออ่อนนี้เดิมทีแดงดุจหยดเลือด แต่พอเริ่มเติบโตขึ้นถึงระดับหนึ่งก็ค่อยๆเป็นสีดำอมทอง


 


 


นั่นเป็นสีที่จีเฉวียนชื่นชอบมากที่สุด


 


 


พอหน่ออ่อนนั้นเติบโตขึ้นมาอีกนิดก็เห็นได้ว่าในเหง้าของมันเป็นสีม่วงเข้ม


 


 


เพียงแต่ว่าส่วนที่เป็นสีม่วงเข้มนั้นถูกส่วนที่เป็นสีดำห่อหุ้มเอาไว้ มีแต่ส่วนปลายยอดที่ส่องแสงระยิบตา ยอดของมันโปร่งใส เป็นประกายจนสามารถมองเห็นสีสันที่อยู่ภายใน


 


 


พลังวิญญาญจากทั่วทั้งสวนยังลงไหลลงมาและถูกดูดซึมเข้าไปไม่มีหยุด


 


 


จนแมัแต่ตัวกระถางก็ยังอุ่นระอุขึ้นมา


 


 


ตู๋กูซิงหลันที่กำลังหลับสนิท มีเหงื่อเม็ดเล็กๆซึมออกมาตามหน้าผากมากมาย


 


 


นางกำลังฝันอยู่ ในฝันมีถนนที่แสนจะคดเคี้ยวสายหนึ่ง


 


 


เส้นทางมืดมนจนมองไม่เห็นปลายทาง แถนบนพื้นก็ยังร้อนระอุ ทุกย่างก้าวต้องทุ่มเทกำลังมากมายเพื่อขยับไปข้างหน้า


 


 


ไม่รู้ว่าผ่านไปเนิ่นนานเท่าไร ในที่สุดนางค่อยเดินมาจนถึงปลายทาง


 


 


ในตอนนั้นเอง ที่เบื้องนางของนางปรากฏเงาร่างของคนสองคนที่นางแสนจะคุ้นเคย


 


 


คนหนึ่งคือจีเฉวียน อีกคนคือซื่อมั่ว


 


 


ทั้งสองต่างยืนอยู่บนปลายทาง หันมายื่นมือให้กับนางพร้อมๆกัน


 


 


“ซิงซิง”


 


 


“ศิษย์เอ๋ย”


 


 


ทั้งสองต่างเอ่ยปาก เรียกนางในชื่อที่แตกต่างกัน


 


 


ตู๋กูซิงหลันตกตะลึง นางสงสัยว่านี่เป็นเพียงแค่ความฝัน


 


 


คนสองคนที่นางเฝ้าคิดถึงอยู่เสมอ ตอนนี้ได้กลับมาอยู่ข้างกายนางแล้วหรือ?


 


 


นางทนทรมานมาเนิ่นนาน ทุกครั้งที่เฝ้ารอทุกครั้งเป็นต้องพบกับความผิดหวัง ทำให้นางไม่กล้าจะเชื่อง่ายๆอีกต่อไป


 


 


ฝีเท้าของนางหยุดอยู่ในที่เดิม ไม่กล้าแม้แต่จะขยับเท้าไปข้างหน้านางเกรงว่าหากตนเองก้าวออกไปอีกก้าวหนึ่ง ทุกอย่างจะกลายเป็นเพียงความฝัน


 


 


นางยกมือขึ้นมา ปลายเล็บจิกลงไปบนท่อนแขนของตนเองอย่างแรงครั้งหนึ่ง


 


 


โอ้ย! เจ็บจริง!


 


 


นี่ไม่ใช่ความฝันจริงๆหรือ?


 


 


จากนั้นนางถึงได้ค่อยๆก้าวออกไปอย่างระมัดระวังก้าวหนึ่ง หยุดยืนอยู่ระหว่างคนทั้งสอง


 


 


ไม่ได้พบกันเนิ่นนาน พอได้กลับมาพบกันอีกครั้ง นางก็รู้สึกแสบจมูกขึ้นมาในทันที


 


 


สายตาของนางมองไปยังร่างของจีเฉวียน เสื้อผ้าบนร่างของเขาขาดวิ่น เผยให้เห็นบาดแผลภายนอกบนผิวหนัง ที่เหมือนกับโดนสุนัขป่าทำร้าย


 


 


ก่อนหน้านี้เสินฟางเคยบอกเอาไว้แล้ว ว่าที่หุบเขาปีศาจใกล้บ้านพักของนางมีพวกปีศาจสุนัขป่าปรากฏตัวขึ้นมา แต่นางยังไม่เคยได้เจอกับตัว


 


 


ที่แท้เป็นเพราะเขาไปเจอกับพวกมัน….ทั้งยังทุ่มเทพลังไปกำจัดจนหมดสิ้น


 


 


ซากศพของพวกปีศาจสุนัขป่าที่กระจัดกระจายบนพื้นในตอนนั้น เป็นหลักฐานที่ชัดเจนอยู่แล้ว


 


 


ก่อนหน้านี้วิญญาณทมิฬมักจะเอาแต่พูดว่า ความรักที่จีเฉวียนมีให้นางนั้นเป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้น


 


 


แต่ที่จริงแล้วตู๋กูซิงหลันเองก็รู้ดีว่า จีเฉวียนได้ทุ่มเททำเพื่อนางไว้มากมายเพียงไร


 


 


แผ่นดินที่เขาช่วงชิงมากับมือ กลับส่งมอบให้นางอย่างไร้ข้อแม้


 


 


และยามที่อยู่ในโลกปัจจุบัน เพื่อกำจัดภัยร้ายที่แฝงตัวอยู่ เขาถึงกับเขาชีวิตของตนเข้าแลก


 


 


แม้ว่าตอนที่นางมาถึงต้าโจวใหม่ๆ จะมีช่วงที่ต้องเป็นทุกข์อยู่บ้าง ก็แต่นั่นก็เพียงเพราะทั้งสองไม่คุ้นเคย ไม่เข้าใจกัน


 


 


เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่จีเฉวียนเตรียมไว้ให้กับนางในภายหลัง ยังจะต้องมีข้อเรียกร้องใดอีก


 


 


ดังนั้น ที่จริงแล้ว ตู๋กูซิงหลันยังรู้สึกว่านางติดค้างเขาอยู่เสียด้วยซ้ำ


 


 


ยามนี้เมื่อได้พบกับเขา ดวงตาของนางจึงมีแต่หมอกน้ำค้าง ที่รวมตัวกันเป็นหยาดน้ำตา


 


 


บนปลายทางนั้น จีเฉวียนยืนอยู่ในที่เดิม ส่งมือมาให้กับนาง ดวงตาหงส์คู่นั้นมองมาที่นางด้วยความรู้สึกที่ลึกล้ำ ทั้งผูกพันรักใคร่และคนึงหา


 


 


แต่ว่าเขากลับไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เอาแต่มองดูนางเท่านั้น


 


 


“ศิษย์เอ๋ย” ในตอนนั้นเอง ซื่อมั่วก็เอ่ยเรียกนางขึ้นมาคำหนึ่ง


 


 


ตู๋กูซิงหลันหันหน้าไปมอง ก็เห็นซื่อมั่วอยู่ในชุดสีม่วงที่ขาดวิ่นเช่นกัน


 


 


และแม้แต่ร่างกายของเขาก็บอบช้ำจนแตกร้าว ราวกับว่าต้องรวบรวมพลังมากมายจึงจะสามารถประกอบเข้าด้วยกันได้


 


 


ดวงตาของเขามีความปวดร้าวที่ไม่อาจบรรยายออกมา


 


 


พอได้ยินเสียงนั้น ตู๋กูซิงหลันอยากจะร้องไห้ออกมา พอได้เห็นสภาพร่างกายของเขา น้ำตาก็ร่วงลงมาอย่างไม่อาจฝืนไว้


 


 


ตอนนั้นนางเห็นอาจารย์สูญสลายไปต่อหน้าต่อตาของตัวเอง


 


 


ภาพในวันนั้น นางไม่กล้าแม้แต่จะย้อนคิดกลับไป


 


 


ตอนนี้พอได้เห็นเขาอีกครั้ง นางจึงเหมือนถูกดึงกลับไปยังค่ำคืนที่มีพายุฝนซัดสาดอีกครั้ง


 


 


“อาจารย์!” ตู๋กูซิงหลันสองขาอ่อนแรง คุกเข่าลงตรงหน้าเขา เขกศีรษะให้เขาดังๆ


 


 


ซื่อมั่วหลุบตาลง มองดูศิษย์ที่คุกเข่าลงตรงหน้า ในใจมีแต่ความปวดร้าว


 


 


แต่เขาก็ไม่ได้พยุงนางขึ้นมา เพียงยืนอยู่ที่เดิม ดวงตาคู่นั้นมิได้ละไปจากร่างของนางแม้แต่ชั่วขณะเดียว


 


 


จีเฉวียนยืนมองอยู่ด้านข้าง ตลอดชีวิตของเขา สิ่งที่ไม่ปรารถนาจะได้เห็นที่สุดก็คือน้ำตาของนาง


 


 


พอต้องมาทนดูร่างที่บอบบางของนางทรุดลงไปคุกเข่าบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ในใจของเขาก็เหมือนหลั่งเลือดออกมา


 


 


ถึงแม้ว่าช่วงที่ผ่านมา เขากับซื่อมั่วจะใช้วิธีการอีกรูปแบบหนึ่ง เพื่อร่วมกันอยู่เคียงข้างนาง แต่ว่าด้วยเหตุผลบางประการกลับเหมือนไม่รู้จักกันมากกว่า


 


 


หากมิใช่เป็นเพราะว่าคืนนี้ ศิลาโลหิตได้ดูดซับพลังวิญญาณทั้งหมดในสวนดอกไม้มา ก็ไม่รู้ว่าต้องรอจนถึงเมื่อไหร่ เขากับซื่อมั่วจึงจะสามารถปรากฏตัวขึ้นตรงหน้านางได้อีกครั้ง


 


 


น้อยนักที่ตู๋กูซิงหลันจะแสดงออกถึงความจริงใจเช่นนี้ หน้าผากที่โขกลงไปบนฟื้นถึงกับถลอกปอกเปลือก


 


 


นานพักใหญ่นางถึงได้ลุกขึ้นยืน


 


 


นางเหมือนตกอยู่ในความฝันที่ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด แม้จะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดแปลก แต่ก็บอกไม่ถูกว่าแปลกที่ตรงไหน


 


 


พอเงยหน้ามองขึ้นไป ก็เห็นว่าคนทั้งสองยังคงยื่นมือมาให้นางอยู่เช่นเดิม


 


 


ตู๋กูซิงหลันยื่นมือออกไป มือแต่ละข้างของนางจับมือของคนทั้งสองเอาไว้


 


 


พื้นด้านล่างร้อนรุ่มดุจกองเพลิง แต่มือของคนทั้งสองกลับเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง


 


 


แม้จะเห็นว่านางจับมือของคนทั้งสองเอาไว้พร้อมๆกัน แต่ที่จริงแล้วกลับมีข้อแตกต่างอยู่เล็กน้อย


 


 


มือที่จับกับจีเฉวียน สิบนิ้วเกาะกุมเข้าหากัน


 


 


มือที่จับกับซื่อมั่ว เป็นฝ่ามือประสายเข้าหากัน


 


 


มือที่จับกับจีเฉวียน ยังเร็วกว่าอยู่ชั่ววินาที


 


 


ทันใดนั้นเอง ร่างของบุรุษทั้งสองที่เหมือนถูกผนึกเอาไว้บนปลายทางก็ได้รับการปลดปล่อยออกมา


 


 


สองมือของพวกเขาหันมาคว้านางเอาไว้ แต่ละข้างเพิ่มกำลังกระชับแน่นขึ้นไปอีก


 


 


มือของตู๋กูซิงหลันแทบจะถูกบีบจนแตกหักลงไป


 


 


จากนั้นก็ได้ยินเสียงซื่อมั่วทอดถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง “สุดท้ายแล้ว เจ้าก็ยังเลือกเขา”


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “? ? ?”


 


 


เดี๋ยวนะ นี่นางได้เลือกเรื่องสำคัญอะไรไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?


 


 


“ศิษย์เอ๋ย เส้นทางในภายหน้าแสนยากลำบาก เจ้าจะต้องระมัดระวังให้มากๆ”


 


 


อาจารย์ไม่อาจอยู่เคียงข้างเจ้าเหมือนเช่นดังก่อนนี้อีกแล้ว


 


 


คำพูดนั้น สุดท้ายแล้วซื่อมั่วก็มิได้เอ่ยออกไป

 

 

 


ตอนที่ 614 พวกเขาทั้งสองรวมเป็นหนึ่ง

 

“มีอาจารย์กับเสี่ยวเฉวียนอยู่ด้วย เส้นทางนี้ย่อมไม่ลำบาก” ตู๋กูซิงหลันคว้ามือของเขาเอาไว้แน่น น้ำตาที่ไหลออกมายังไม่เหือดแห้งไป มุมปากประดับด้วยรอยยิ้ม


 


 


ในชีวิตนี้มีช่วงเวลาที่นางรู้สึกว่าตนโชคดีและมีความสุขอยู่หลายต่อหลายครั้ง


 


 


แต่ว่าในตอนนี้คือช่วงเวลาที่นางมีความสุขที่สุด


 


 


คนที่นางรัก คนที่นางห่วงใยต่างก็กลับมาแล้ว ช่างดีเหลือเกิน


 


 


ในช่วงเวลานั้น กระทั่งความรู้สึกเกลียดชังที่นางมีต่อแดนสวรรค์ก็มิได้เข้มข้นเช่นเดิมแล้ว


 


 


ในดวงตาของซื่อมั่วแฝงความขมขื่นที่นางดูอย่างไรก็ไม่อาจเข้าใจ มืออีกข้างหนึ่งของเขาลูบลงมาบนเส้นผมของนางอย่างแผ่วเบา


 


 


ขออวยพรให้เส้นทางที่นางก้าวเดินต่อไปในกาลข้างหน้า ปลอดภัยและได้พบกับความสงบสุข


 


 


คำพูดเหล่านี้เขาย่อมมิได้เอ่ยกับนาง ขณะที่ตู๋กูซิงหลันยังไม่ทันได้ตั้งตัว ฝ่ามือข้างหน้าก็ซัดลงมาบนร่างนาง ผลักดึงนางไกลออกไป


 


 


ร่างกายของตู๋กูซิงหลันสูญเสียการควบคุม ลอยออกไปยิ่งทียิ่งห่างไกลปลายทางเมื่อครู่


 


 


นางได้แต่เบิกตามองดูคนทั้งสองที่นางคิดถึงอย่างที่สุดห่างออกไปทุกทีๆ


 


 


จนกระทั่งเมื่อคนทั้งสองมองไม่เห็นนางอีกแล้ว จีเฉวียนและซื่อมั่วจึงได้หันกลับมาเผชิญหน้ากัน


 


 


“นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าและข้าจะมีร่างเป็นหนึ่งเดียว” ซื่อมั่วมองดูเขา


 


 


ขณะที่เขาพูดอยู่นั้น ก็ปรากฏสายใยมากมายขึ้นระหว่างคนทั้งสอง


 


 


บนเส้นใยสีดำลายทองห่อหุ้มเส้นใยสีม่วงเข้มเอาไว้ภายใน


 


 


เส้นใยเหล่านั้นคล้ายจะงอกเงยขึ้นมาจากปลายเท้าของคนทั้งสอง เส้นใยเหล่านั้นค่อยๆรวบแน่นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ากำลังรัดรึงพวกเขาทั้งสองเข้าด้วยกัน


 


 


“ให้รูปลักษณ์ของเจ้าคงอยู่ต่อไปในใต้หล้า ให้พลังของเจ้าและข้า ปกป้องนางให้ปลอดภัยจนชั่วชีวิต”


 


 


ซื่อมั่วเอ่ยออกมา ร่างกายที่เดิมแตกร้าวอยู่แล้ว เมื่อถูกเส้นใยเหล่านั้นรัดรึงแน่นเข้าจึงยิ่งถูกบีบแตกอย่างรวดเร็ว


 


 


กลายเป็นลำแสงระยิบระยับสีม่วงผนึกรวมเข้าไปในร่างกายของจีเฉวียนอย่างรวดเร็ว


 


 


“เจ้าก็คือข้า ข้าก็คือเจ้า”


 


 


ทันทีที่ซื่อมั่วเอ่ยประโยคนี้ออกมา ร่างกายของเขาก็สลายไปจนหมดสิ้น


 


 


พลังทั้งหมดทั้งสิ้น ความทรงจำทั้งหมดทั้งมวลของเขา ทุกสิ่งที่เขามีล้วนหลอมรวมเข้าไปในร่างกายของจีเฉวียน


 


 


นี่จะต้องเป็นความรักอันลึกซึ้งถึงเพียงไหน ถึงได้ทำให้ผู้ที่เป็นถึงร่างหลักเช่นเขา นับจากนี้เป็นต้นไปจะขอยอมหลอมรวมทุกสิ่งไปอยู่ในร่างแบ่งภาคนี้


 


 


จากนี้ไปในใต้หล้าจะไม่มีซื่อมั่วอีกแล้วตลอดกาล


 


 


ก็เพราะว่าศิษย์น้อยที่ฟูมฟักเลี้ยงดูมาจนเติบโตนั้น ชอบจีเฉวียน


 


 


แสงสว่างทั้งหมดหลอมรวมเข้าไปในร่างกายของจีเฉวียน


 


 


รูปลักษณ์ของเขามิได้เปลี่ยนไป เพียงแต่เส้นผมยาวสลวยที่เคยดำดุจหมึกนั้นกลายเป็นสีม่วงทึบขึ้นมา


 


 


นั่นเป็นสีที่ซื่อมั่วชื่นชอบมากที่สุด


 


 


บาดแผลบนร่างของเขาสมานเข้าหากันอย่างรวดเร็วจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า


 


 


ดวงตาหงส์ที่ลืมอยู่เพียงครึ่งเดียวในตอนแรก เปิดขึ้นจนหมดสิ้น ทั่วทั้งร่างเปล่งประกายแสงสว่างเรืองรอง แม้แต่เส้นทางเล็กๆที่คดเคี้ยวไปมานั้นก็ยังสว่างจ้าขึ้นมาเช่นกัน


 


 


ประกายตาที่วาววามอยู่ในดวงตาคู่นั้น ก็มิได้เป็นของโอรสสวรรค์ต้าโจวที่มีแต่ความมืดครึ้มเช่นกาลก่อนอีกต่อไป


 


 


แต่มีความเยือกเย็นและสงบนิ่งของทั้งจีเฉวียนและซื่อมั่ว


 


 


ในขณะเดียวกัน ร่างที่มีเลือดเนื้อท่านเจ้าสำนักที่ยังอยู่ในสวนบุปผาวิญญาณ ก็สูญสลายไปจนหมดสิ้น เหลือไว้แต่เพียงโครงกระดูกสีขาวอยู่ใต้แสงดาว


 


 


เมื่อสายลมพัดมาอีกครั้ง โครงกระดูกสีขาวนั้นก็ลายกลายเป็นผงธุลี ร่วงลงสู่พื้นดินในสวนดอกไม้


 


 


ตั้นแต่ต้นจนถึงบัดนี้ เขาก็เป็นเพียงตัวแทนที่จีเฉวียนและซื่อมั่วสร้างขึ้นมาเท่านั้น เป็นเพียงร่างแบ่งของพวกเขาทั้งสองที่คอยปกป้องอยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน


 


 


ยามนี้เมื่อร่างหลักกลับคืนมา ทั้งพลังและความทรงจำทั้งหมดของร่างแทนนี้ย่อมกลับคืนสู่ร่างของพวกเขา


 


 


สิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็เป็นเพียงเปลือก สายลมพัดผ่านก็เหลือเพียงกระดูก จากกระดูกกลายเป็นละอองธุลี


 


 


ในใต้หล้าย่อมไม่มีท่านเจ้าสำนักจีต้าฉุยอีกต่อไป


 


 


ซื่อมั่วไม่เคยพูดปดกับศิษย์ของตนเองมาก่อน เขาเคยบอกไว้ รอจนศิลาโลหิตผลิบาน เขาก็จะกลับมา


 


 


ตลอดเวลาที่ผ่านมา ศิลาโลหิตไม่อาจผลิบาน ก็เพราะไม่มีพลังวิญญาณมาเพียงพอ


 


 


ดวงจิตของเขามิได้สูญสลาย จะช้าหรือเร็วย่อมต้องกลับมา ศิลาโลหิตชิ้นนั้น ก็คือต้นกำเนิดร่างเนื้อของเขาที่ทิ้งเอาไว้ในใต้หล้านั่นเอง


 


 


เมื่อได้ดูดซับพลังวิญญาณอย่างพอเพียง ศิลาโลหิตก็จะสามารถสร้างร่างเนื้อขึ้นมาใหม่ได้ รอจนเมื่อร่างเนื้อนั้นเติบโตอย่างสมบูรณ์ ดวงจิตของเขาก็จะกลับมารวมกับร่างเนื้อ


 


 


เพียงแต่ว่าครั้งนี้ เขาได้มอบโอกาสในการ ‘กลับมาเกิดใหม่’ นั้น ให้กับจีเฉวียน


 


 


‘ร่างเนื้อ’ ที่กลับคืนมาก็เป็นรูปลักษณ์ของจีเฉวียนทั้งสิ้น


 


 


ส่วนตัวเขา ก็จะหลับไหลอยู่ในร่างเนื้อนี้ตลอดไป สิ่งที่จีเฉวียนคนใหม่จะได้รับถ่ายทอดไป ก็คือความทรงจำทั้งหมดสิ้นของเขา คือพลังทั้งหมดที่เขามี


 


 


เขาจะหลับลึกไปตลอดกาล หากไม่มีเรื่องยิ่งใหญ่ที่รุนแรงจนถึงขึ้นสะท้านฟ้าสะเทือนดิน เขาก็จะไม่มีทางออกมาจาก ‘ร่างเนื้อ’ นั้นอีก


 


 


 


 


หรืออาจจะอธิบายได้ว่า พวกเขาทั้งสองกลายเป็นคนเพียงคนเดียว เพียงแต่มีรูปลักษณ์เป็นจีเฉวียนเท่านั้นเอง


 


 


ส่วนซื่อมั่วนั้น หากมิได้มีเรื่องหนักหนาใดๆ เขาก็จะหลับลึกอยู่ในร่างกาย ไม่ออกมาแก่งแย่งชิงการควบคุมร่างกายกับจีเฉวียน


 


 


ถึงจะบอกว่าคนหนึ่งคือร่างหลัก อีกคนคือร่างแบ่งภาค


 


 


แต่ว่าร่างแบ่งภาคเช่นจีเฉวียนนี้ช่างพิเศษเกินไปแล้ว เขามีความคิดและบุคลิกของตนเอง ทั้งสองต่างมีจุดที่แตกต่าง เหมือนดั่งว่ามีคนสองคนในร่างเดียวกัน


 


 


ดังนั้นซื่อมั่วจึงเป็นฝ่ายเลือกที่จะผนึก ‘ตัวตน’ ของตนเองเอาไว้


 


 


และมอบพลังกับความทรงจำทั้งหมดของตนเองให้กับร่างใหม่ที่กำลังถือกำเนิดขึ้นมาอีกครั้งของพวกเขา


 


 


…………………


 


 


ในความฝัน ตู๋กูซิงหลันถูกฝ่ามือข้างนั้นของซื่อมั่วผลักใสไปจนไกล


 


 


เส้นทางสายเล็กๆที่เคยมืดมิด ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้สว่างจ้าขึ้นมา


 


 


นางยังไม่ทันได้มองเห็นเงาร่างของคนที่อยู่ในแสงสว่างได้ชัด ปลายเท้าก็ลอยคว้างอยู่ในอากาศ จากนั้นก็ร่วงหล่นอย่างรวดเร็ว


 


 


ไม่รู้ว่าร่วงหล่นลงไปเนิ่นนานเท่าไร นางถึงได้หอบหายใจจนร่างผวาขึ้นมานั่งบนเตียง ทั่วศีรษะมีแต่เหงื่อจนชุ่มโชก


 


 


เหงื่อมากมายทำเอาคอเสื้อของนางเปียกชื้นไปหมด


 


 


กระทั่งเมื่อได้เห็นดวงหน้าของจิ้งจอกที่งดงามเกินใดเทียบ นางถึงได้ดึงสติกลับมา รับรู้ว่าทั้งหมดเมื่อครู่เป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่ง


 


 


แต่ว่าสัมผัสที่ได้จากความรู้สึกยามจับมือกับพวกเขาเมื่อครู่…..ช่างเหมือนจริง


 


 


ในความฝัน นางยังหยิกตนเองไปครั้งหนึ่ง เจ็บมากด้วย


 


 


ยามนี้ ซูจี่นั่งอยู่ที่ข้างเตียงของนาง ดวงตาจิ้งจอกจับจ้องมาที่นาง


 


 


“ตื่นแล้ว?”


 


 


ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่ง แต่ว่าพอตื่นขึ้นมาก็ได้พบกับคนงามอย่างพี่สาวต๋าจี่ ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าจิตใจพอจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง


 


 


“อืม” นางผงกศีรษะ กำลังคิดว่าจะขอให้นางเซ็นชื่อลงบนเสื้อผ้าของตนเองดีหรือไม่


 


 


แต่ว่า ทำไมอยู่ๆถึงได้รู้สึกเหมือนน่าอับอายขึ้นมาได้กัน


 


 


“ไม่รู้หรือว่าเกิดเรื่องใดขึ้นแล้ว?” แววตาของซูจี่ไม่กระพริบตาแม้แต่น้อย ฮ่องเต้หญิงผู้นี้ออกจะเกินความคาดหมายของนางไปเสียแล้ว


 


 


นับตั้งแต่เมื่อคืนจนมาถึงตอนนี้ นางดูดซับพลังวิญญาณของบุปผาวิญญาณอยู่ตลอดทั้งคืน


 


 


ดอกไม้ทั่วทั้งสวนถูกดูดซับพลังไปจนห่อเ**่ยวไปหมดแล้ว ไม่หลงเหลืออยูอีกเลยแม้แต่ดอกเดียว ช่างไร้น้ำใจนัก


 


 


ว่าตามจริงแล้ว แม้แต่ซูจี่เองก็ยังไม่กล้ารับรองว่า หากนางดูดซับพลังวิญญาณไปมากมายถึงเพียงนี้ นางจะร่างระเบิดตายหรือไม่


 


 


แต่ว่าฮ่องเต้หญิงผู้นี้ นอกจากจะมีเหงื่อออกมาท่วมศีรษะแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดปกติไป


 


 


แม้แต่พลังวิญญาณที่ดูดซับไป ก็ยังเหมือนก้อนหินที่จมลงสู่ก้นทะเล ไม่หลงเหลือสิ่งใดให้เห็นอีก


 


 


ถึงแม้ว่าที่จริงแล้วพลังวิญญาณเหล่านั้นจะไหลลงในถุงเฉียนคุนของตู๋กูซิงหลัน


 


 


แต่ว่าแสงจากพลังวิญญาณเหล่านั้นรุนแรงจนเกินไป แม้แต่ซูจี่เองก็ยังไม่อาจเข้าใกล้ได้โดยง่าย จากมุมมองที่นางได้เห็น จึงดูเหมือนกับว่าลำแสงเหล่านั้นถูกดูดซับลงไปในร่างกายของตู๋กูซิงหลัน


 


 


คนที่พอหลับไปครั้งหนึ่งก็สามารถดูดซับพลังวิญญาณไปได้มากมายถึงเพียงนี้ แถมพอตื่นมาก็ยังไม่มีอาการใดๆทั้งสิ้น ทำเอานางต้องทำความรู้จักใหม่เสียแล้ว


 


 


ตู๋กูซิงหลันเองก็งุนงงอยู่เหมือนกัน นางก็แค่หลับฝันไปคืนหนึ่งเท่านั้น ที่เหลือ….ไม่ได้รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)