ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 61-68
ตอนที่ 61 โฉมงามกับเจ้าอสูร
ฮ่องเต้ผู้ไม่มีสิ่งใดจะทำ มิทรงสนพระทัยแม้แต่น้อย ถึงแม้พระองค์จะทรงพระงกอยู่บ้าง แต่ด้วยฐานะเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินมีสมบัติใดบ้างที่ไม่เคยเห็น และยังจะต้องไปทอดพระเนตรด้วยพระองค์เองอีกหรือ?
หลี่กงกงเองก็ปากมาก จึงตอบรับสั่งว่า “ทูลฝ่าบาท ทรัพย์สมบัติกองโตนั้นนับว่า วิบๆ วับๆ จนแสบตาเลยทีเดียวพะยะค่ะ”
“แสบตามากหรือ? ” จีเฉวียนถือถุงทองที่ว่างเปล่าเอาไว้ในพระหัตถ์
“วิบๆ วับๆ เป็นพิเศษเลยพะยะค่ะ” หลี่กงกงทำไม้ทำมือประกอบ “ก็ระยิบระยับมากประมาณ…..”
ฮ่องเต้ทรงจดจำได้อย่างชัดเจนว่านอกจากทองคำแล้ว ตู๋กูซิงหลันยังชื่นชอบอัญมณีแวววาววิบๆ วับๆ
หลังจากไปตำหนักเฟิ่งหมิงมารอบหนึ่ง เขาก็ยิ่งค้นพบเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับนางอีกเรื่อง
โดยเฉพาะตอนแรกที่นางโกรธจนปอดตับจะระเบิด แต่พอตอนหลังได้ทองไปก็ดีใจจนกระโดดโลดเต้นได้ เขาพึ่งจะรู้ว่า ที่แท้อิสตรีก็สามารถเอาใจได้ง่ายๆ เช่นนี้
คิดดูแล้ว หากว่านางได้รับอัญมณีแวววาวระยิบระยับละก็ จะยิ้มจนเป็นบ้าไปเลยไหม?
เมื่อมีพระดำริถึงตรงนี้ พระโอษฐ์ของฮ่องเต้ก็ยิ่งยกมุมสูงขึ้นอีก
หลี่กงกง “??? ” สมบัติของท่านรองมหาเสนาระยิบระยับแล้ว ทำให้ฝ่าบาททรงดีพระทัยถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
ขณะที่เขายังมัวแต่ครุ่นคิดอยู่ ก็เห็นฝ่าบาทสะบัดชายแขนฉลองพระองค์เสด็จไปยังท้องพระคลังหลวงแล้ว
ฝ่าบาททรงกระทำพระองค์แปลกไปจริงๆ หรือทรงคิดจะไปนำสมบัติพวกนั้นมากอดเข้าพระบรรทม?
………………………
พอเริ่มตกบ่ายคล้อย รถม้าของตระกูลตู๋กูก็เข้าวังมา ตู๋กูซิงหลันเก็บข้าวของอย่างเรียบง่าย หอบเอาทองก้อนและไข่มุกของตนเอง รวมถึงเชียนเชียนติดตามกลับจวนตระกูลตู๋กู
นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ข้ามมิติมาในโลกนี้ที่นางได้ออกจากวัง
เมื่อหลวงของต้าโจวถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยของรัชกาลก่อน ทุกวันนี้ยิ่งเติบโตขยับขยายไปอีกมาก นี่ทำให้ตู๋กูซิงหลันคิดไปถึงยุคสมัยของราชวงค์ถังในแผ่นดินจีนของโลกปัจจุบัน
แคว้นต้าโจวของโลกนี้ก็เทียบได้กับเมืองหลวงฉางอันในราชวงค์ถัง ท้องฟ้ายามเย็นยิ่งเสริมให้แสงโคมสว่างไสว สีสันที่ได้เห็นงดงามดุจภาพวาด
ท้องถนนที่กว้างขวาง สิ่งก่อสร้างล้วนแต่งดงาม ร้านค้ามากมาย ผู้คน รถม้าไปมาคึกคัก ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้นางรู้สึกได้ถึงความเจริญรุ่งเรื่องของต้าโจว
เมื่อใกล้จะถึงจวนตระกูลตู๋กู ท้องฟ้าก็มืดครึ้มลง
พอเริ่มเลี้ยวเข้าสู่ตรอกแรกของถนนตะวันตกซึ่งเป็นที่ตั้งของจวนตระกูลตู๋กู ก็เห็นว่าทั้งถนนลาดปูด้วยพรมแดง สองข้างทางขนาบด้วยขบวนทหารในชุดเกราะสีเงินยวง
ทันทีที่ขบวนรถของตู๋กูซิงหลันเลี้ยวเข้ามา ก็เห็นหอกยาวในมือของพวกเขากระทุ้งพื้นเสียงดังเป็นจังหวะ ตะโกนเสียงดังฟังชัดว่า “คุณหนูงดงาม หนึ่งในต้าโจว!
คุณหนูยอดเยี่ยม หนึ่งในต้าโจว!
คุณหนูๆ ไร้เทียมทาน
กองทัพตู๋กู ยินดีต้อนรับคุณหนูกลับบ้าน! “
ว่าแล้วก็มีเสียงกระแอม ‘อะเฮอะ’ ‘อะเฮอะ’ ‘อะเฮอะ’ตามมาสองสามครั้ง
เสียงนี้ดังกึกก้องสะท้านไปทั่วทั้งตรอกเลยทีเดียว
ตู๋กูซิงหลันแง้มม่านหน้าต่างออกครึ่งหนึ่ง มองดูเหล่าทหารหาญที่มาตั้งแถวต้อนรับ ทำให้ลักยิ้มของนางบุ๋มลึกลงไปอีก
คนพวกนี้กำลังทำอะไรกัน?
“คุณหนูคือจันทราบนนภากาศ
คุณหนูคือเทพธิดากลางสายน้ำ
คุณหนูๆ ยอดเยี่ยมที่สุด
ยินดีต้อนรับคุณหนูกลับบ้าน! “
พอเห็นนางเผยโฉมหน้าออกมาครึ่งหนึ่ง เหล่าพลทหารทั้งหลายก็ยิ่งร่ำร้องเสียงดังมากขึ้น
พวงแก้มตู๋กูซิงหลันซับสีระเรื่อ ค่อยเอาชายม่านปิดลงดังเดิม ก่อนนี้นางเคยคิดว่าตนเองหน้าหนาอย่างที่สุด แต่ยามนี้ยังอดที่จะหน้าแดงไม่ได้
แม่เจ้า นี่มันแฟนคลับระดับไหน….รบกวนพวกเจ้าช่วยเพลาๆ หน่อยจะได้ไหม?
เล่นเสียระดับนี้…….เจ๊ก็ตั้งตัวไม่ทันเลยนะ
แต่เชียนเชียนกลับทำหน้าเหมือนไม่เห็นเป็นที่แปลกประหลาดอันใด “นายหญิง แต่ก่อนนี้ไม่ว่าท่านจะไปไหนล้วนต้องมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง นายท่านแทบอยากจะส่งกองพลหนึ่งมาพิทักษ์ท่านด้วยซ้ำ ที่เห็นนี่นับว่ายังน้อยนัก”
ตู๋กูซิงหลัน “!!! ? “
อะไรมันจะปานนั้น? แล้วทำไมเจ้าของร่างเดิมถึงได้จิตใจเปราะบางเป็นกระจก ทำตัวเป็นลูกพลับนิ่มไปได้? ดูตามเหตุผลแล้ว นางน่าจะเป็นอันธพาลน้อยที่เอาแต่ใจเสียด้วยซ้ำ หรือจะเป็นเพราะว่าถูกปกป้องไว้มากเกินไป?
ขณะที่ในสมองของตู๋กูซิงหลันนั้นเต็มไปด้วยคำถาม รถม้าก็มาถึงจวนตระกูลตู๋กูแล้ว
และเพราะเสียงต้อนรับที่ได้ยินมาตลอดทางกลับบ้าน ทำให้จิตใจของนางอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก กลับบ้าน…สำหรับนางแล้ว ที่นี่ก็คือ บ้าน แล้วจริงๆ
พอรถม้าพึ่งจะมาถึง ก็เห็นพี่ใหญ่ถือดาบทลายภูผารออยู่ที่หน้าประตูใหญ่นานแล้ว
เขาไม่ได้ถอดเกราะออก คนยืนอยู่ระหว่างสิงโตคู่แต่กลับดูหน้าเกรงขามยิ่งกว่าสิงโตพวกนั้นอยู่หลายส่วน
ตู๋กูซิงหันเห็นแล้วถึงกับน้ำตาคลอ ดาบเหล็กดำด้ามนี้เมื่อรวมกับด้ามดาบยังมีความยาวกว่าสองเมตร สันดาบยังมีห่วงร้อยถึงเก้าวง ดาบเช่นนี้อย่างน้อยต้องหนักถึงสองร้อยจิน แต่พี่ใหญ่กลับถือไว้อย่างไม่กินแรงแม้แต่น้อย
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในพระตำหนักจิ่นซิ่วนางยังคิดว่าพี่ใหญ่องอาจไร้เทียมทาน วันนี้เมื่อเพิ่มดาบใหญ่อีกเล่มหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันยิ่งรู้สึกว่านี่จึงจะเป็นพี่ใหญ่ที่แท้จริง หนึ่งดาบกำราบปฐพี ผู้ใดราวีประหารสิ้น
เมื่อคนขับรถม้าเปิดประตูออก เท้าของตู๋กูซิงหลันพึ่งจะยื่นออกมาได้เพียงก้าวเดียว ฝ่ามือใหญ่โตของตู๋กูจุนก็ยื่นมาถึง ใต้เท้าของตู๋กูซิงหลันพลันว่างเปล่า นางรู้สึกวิงเวียนอยู่วูบหนึ่ง
ที่แท้เป็นพี่ชายเข้ามารับนางไว้ท่ามกลางสายตาของผู้คนทั้งหลาย ตู๋กูจุนใช้แขนเพียงข้างเดียวอุ้มนางขึ้นมา ให้นางนั่งบนบ่าของเขา
แม้ตู๋กูซิงหลันจะผอมบาง แต่อย่างไรคนก็ยังคงหนักเจ็ดสิบกว่าจิน ทว่าน้ำหนักเพียงเท่านี้สำหรับตู๋กูจุนแล้วไม่ถือว่าต้องเป็นกังวลอย่างไรแม้แต่น้อย
มือข้างหนึ่งของเขาโอบอุ้มน้องสาวสุดล้ำค่าไว้บนบ่า มืออีกข้างหนึ่งกุมดาบแสนรักไว้ คนก็เดินตรงเข้าไปในจวนตระกูลตู๋กู
โดยไม่เปิดโอกาสให้ตู๋กูซิงหลันได้ปฎิเสธแม้แต่น้อย
ภาพเช่นนี้ดูไปคล้ายกับโฉมงามกับเจ้าอสูร เพียงแต่โฉมหน้าเจ้าอสูรตนนี้กลับน่าดูอย่างที่สุด เมื่อทั้งสองอยู่ด้วยกันก็ยิ่งดึงดูดทุกสายตาไว้
เชียนเชียนที่เดินตามหลังมาก็ท่าทีคล้ายไม่มีเรื่องใดต้องประหลาดใจ
ตอนที่คุณหนูยังไม่เข้าวังนั้น ทุกครั้งยามออกไปเบื้องนอกฝ่าเท้าแทบไม่เคยสัมผัสพื้นดิน ถ้าไม่เป็นพี่ใหญ่อุ้มก็เป็นพี่รองแบกไว้บนหลัง ยิ่งยามเป็นเด็กนางยังเคยขี่คอนายท่านผู้เฒ่าด้วยซ้ำ…..ดังนั้นตอนนี้เมื่ออยู่บนบ่าของพี่ชายตนเอง ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง
ถึงแม้นายท่านตู๋กูผู้เฒ่าจะมีพื้นเพเป็นชาวยุทธ์มาแต่เดิม แต่จวนหลังนี้กลับก่อสร้างอย่างวิจิตรงดงาม พฤกษาพรรณไม้ดอกดาษดื่นหลากหลาย แม้แต่หอสลักวิจิตรงดงามก็ยังมี ทั้งหมดถ่ายทอดลักษณะของสวนดอกไม้แบบเจียงหนาน
ตู๋กูซิงหลันนั่งอย่างมั่นคงบนบ่าของพี่ชายก็ยิ่งสามารถมองไปได้ไกล
สิ่งที่นางคาดไม่ถึงมากที่สุดก็คือ ภายในจวนตระกูลตู๋กูเองก็ปลูกดอกไฮ่ถางเอาไว้มากมาย ดอกสีชมพูแดงงดงามผลิบานไปทั่วทุกที่ แทบจะล้นออกนอกกำแพงไป
ความงดงามของดอกไฮ่ถางในจวนตู๋กูถือว่าเปรียบไปก็ไม่เป็นรองกับตำหนังเฟิ่งหมิงแต่อย่างใด เพียงได้เห็นก็ชวนให้ประทับใจจนไม่อาจละสายตาได้
ตลอดทางที่เข้ามา บ่าวรับใช้คนใดที่ได้พบพวกนางต่างก็คลี่ยิ้มให้ ทั้งยังไม่ลืมกล่าวว่า “คุณหนูกลับมาแล้ว~”
ตู๋กูซิงหลันอยู่ในวังที่เต็มไปด้วยกฎระเบียบมาเนิ่นนาน พอกลับมาถึงจวนตระกูลตู๋กูก็รู้สึกว่ายังไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง
นั่นเพราะนางก็คือผู้ที่ใครๆ พากันเรียกขานว่าตัวเลวร้าย ยามปกติใครก็อยากให้นางล้มหายตายจากไปทั้งนั้น ไหนเลยจะมีคนเห็นนางแล้วชื่นชมยินดีแบบนี้ได้?
ตู๋กูจุนพานางตรงไปยังจวนหลัก ดอกไฮ่ถางในจวนหลักยิ่งผลิบานงดงามมากเป็นพิเศษ แม้ว่าจะเข้าสู่เดือนเก้าแล้วกลับยังไม่มีวี่แววว่าจะร่วงโรย
พี่ใหญ่เหยียบย่างเข้ามาในโถงกลางแล้วถึงได้ค่อยๆ วางนางลงอย่างระมัดระวัง
ภานในห้องโถงจัดเตรียมเก้าอี้กุ้ยเฟยเอาไว้แต่แรก บนเก้าอี้ปูไว้ด้วยหมอนอิงชั้นดีหลายใบ ตู๋กูจุนไม่พูดพร่ำทำเพลงก็วางนางไว้บนเก้าอี้กุ้ยเฟย จากนั้นจึงค่อยวางดาบใหญ่ของตนลง
ถัดมาคนก็ร่ายคำถามมาเป็นชุด “น้องเล็ก เหนื่อยหรือไม่? กระหายหรือไม่? หิวหรือยัง? เวียนศีรษะบ้างไหม? เบาะรองในรถทำให้เจ็บก้นหรือเปล่า? “
——
贵妃椅 Gui Feu Yi เก้าอี้กุ้ยเฟย เก้าอี้กึ่งนั่งกึ่งนอน สำหรับพักผ่อน มีทั้งแบบเดี่ยวและแบบคู่
大砍刀 (Da kan dao) ดาบMachete หรือดาบใหญ่ มีหลายรูปแบบ แต่ลักษณะเด่นคือคมดาบกว้างและน้ำหนักมาก ทำให้เกินความเสียหายต่อศัตรูได้สูง
ตอนที่ 62 ตัดศีรษะเจ้าสุนัขจีเฉวียน
ว่าแล้วเขายกเอาถาดองุ่นจากสเปน ลิ้นจี่จากหนานหยาง แตงหวานจากเป่ยเจียงส่งมาให้นาง
องุ่นถูกปอกเปลือกเอาไว้แล้ว ใช้น้ำแข็งรองไว้ในถ้วย แม้แต่เมล็ดองุ่นยังถูกคว้านออกไป
ลิ้นจี่พวกนี้ ยังสดใหม่ยิ่งกว่าลิ้นจี่ได้เห็นในงานเลี้ยงเมื่อคืนเสียอีก
แตงหวานถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใช้ไม้จิ้มที่ทำจากทองคำเสียบไว้ บนผิวแตงยังโรยน้ำตาลสีแดงเอาไว้ชั้นหนึ่ง มองดูแล้วน่ารับประทานอย่างยิ่ง
ตู๋กูซิงหลันได้แต่แอบลูบคลำก้อนทองในอ้อมอก …….พลันเกิดความรู้สึกว่า ตนเองนั้นยากจนเสียจนไม่สมกับเป็นคนตระกูลตู๋กูเลย
ไม้จิ้มผลไม้นี่…..ประเดี๋ยวต้องเอากลับไปด้วย
เพราะได้รับการดูแลประหนึ่งฮ่องเต้เสด็จประพาสเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันซาบซึ้งจนอยากจะร้องไห้
ยิ่งเมื่อคิดถึงวันเวลาที่อยู่ในตำหนักเย็นที่ต้องอดทนกินแต่หัวเผือกหัวมันแล้ว ยิ่งไม่อาจหักห้ามความโศกเศร้าเอาไว้ได้
ตู๋กูจุนเห็นในดวงตาของนางมีน้ำตาคลอ ก็พลันรู้สึกเจ็บปวดใจยิ่ง “น้องเล็ก เจ้าไม่ชอบใช่หรือไม่? เจ้าอยากกินอะไร พี่ใหญ่จะรีบไปเตรียมมาให้เดี๋ยวนี้ “
ต่อให้นางอยากจะกินเนื้อมังกร เขาก็จะคว้าดาบไปเฉือนเอาเนื้อของจีเฉวียนมาสักสองชิ้นให้ได้!
ในงานเลื้ยงเมื่อคืนนี้ เขาไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับนางสักหลายประโยค ยามนี้ได้พบหน้าน้องเล็กแล้ว แทบจะบูชานางดังเป็นบรรพชนคนหนึ่ง
เมื่อครู่เขากะประมาณดู น้องเล็กถึงกับผ่ายผอมกว่าตอนก่อนเข้าวังไปห้าจิน! ทั้งหมดนี้ต้องโทษไอ้ฮ่องเต้สุนัขนั่น!
แม่งโว้ย! น้องเล็กกลับมาครั้งนี้ เขาจะไม่ยอมให้นางต้องเข้าวังไปถูกรังแกอีกเด็ดขาด!
“พี่ใหญ่ ข้าชอบมากเจ้าค่ะ ” ตู๋กูซิงหลันหยิบเอาองุ่นลูกหนึ่งส่งเข้าปาก พลางส่งยิ้มให้เขา
เพียงแค่นางยิ้มไม่นับว่าเป็นอะไร แต่ดวงใจของตู๋กูจุนกลับหลอมละลายแล้ว เขาคุกเข่าอยู่ข้างๆ ตู๋กูซิงหลัน วูบเดียวก็ฉกเอาตัวน้องสาวมาไว้ในอ้อมกอด ทั้งไม่ลืมที่จะถูไถหน้าตนเองกับใบหน้าของนาง
เพียงแต่เคราของเขาแข็งกระด้าง ผิวหน้าก็หนาหยาบดุจกระดาษทราย ผิวพรรณของตู๋กูซิงหลันนุ่มนวลเพียงไร ใบหน้าขาวกระจ่างนุ่มนิ่มของนางกลับถูกเขาขัดถูเสียแล้ว
วิญญาณทมิฬแคะจมูกตัวเองอยู่บนบ่าของนางแคะไปก็ทำตาปะหลักปะเหลือกรังเกียจไปด้วย “พี่ชายของเจ้าน่าหยักแหยงมากง่ะ! “
หากว่านี่ไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ ของเจ้าของร่างเดิม คนอย่างนังหนูตู๋กูซิงหลันนี่จะต้องเด็ดหัวเขาลงมาแล้ว
ขณะที่ผิวของนางใกล้จะถูกพี่ชายปอกออกมานั้น ตู๋กูจุนก็ยอมปล่อยนางในที่สุด
อ๊า~น้องเล็กที่หอมหวลนุ่มนิ่มกอดแล้วยังคงรู้สึกดีเหมือนเดิมเลย
สายตาของเขามีแต่ความหลงใหล ครั้นมองไปก็เห็นใบหน้าน้อยๆ ของตู๋กูซิงหลันถูกถูไถเสียจนแดงก่ำ แต่กลับอดทนไม่พูดออกมา
ตู๋กูจุนเห็นแล้วสำนึกผิดเสียใจแทบตาย เพราะต้องไปอยู่ที่เป่ยเจียงนานหลายเดือน ตากแดดตากลมที่นั่นเสียจนหน้าหนาหยาบกร้านแทบดูไม่ได้ น้องเล็กบอบบางดุจดอกไม้ ไยเขาจึงไม่ระวังไปถูไถนางเฉกเช่นแต่ก่อนได้?
เขาคุกเข่านิ่งอยู่ข้างนางเนิ่นนาน แทบไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา “น้องเล็ก พี่ใหญ่ไม่ได้พบเจ้ามาตั้งนานแล้ว…..ก็เลยทนไม่ไหว…..”
ตู๋กูซิงหลันเห็นใบหน้าหยาบๆ ของเขาแดงก่ำไปหมด ในใจก็ครุ่นคิดถึงปัญหาหนึ่งขึ้นมา จะต้องหาเวลาสักวันไปหาหมอหลวงซุนให้จัดเตรียมครีมพอกหน้าสักหน่อย….บุรุษที่สง่างามเช่นพี่ใหญ่นี้จะปล่อยให้มีผิวหน้าหยาบกระด้างได้อย่างไร?
“ข้าก็คิดถึงพี่ใหญ่ พี่รองและก็ท่านปู่เจ้าค่ะ ” นางเอนตัวอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย หยิบเอาไม้จิ้มทองคำที่เสียบแตงหวานไว้ขึ้นมากัดกิน
กินแล้วก็เก็บไม้เสียบเอาไว้กับตัว……
ตู๋กูจุน “……..” น้องเล็กคงถูกเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นรังแกเสียจนแทบเสียสติไปแล้ว ถึงได้จะเอาแม้กระทั่งไม้เสียบผลไม้อันหนึ่ง
ระหว่างทางที่มานี่ เชียนเชียนยังเล่าว่า สมบัติของรองมหาเสนาฯ ที่สมควรเป็นของน้องเล็ก กลับถูกจีเฉวียนริบเอาไปหมด
“น้องเล็ก เจ้าอย่าได้ทุกข์ใจไป บ้านเราไม่เคยขาดแคลนเงินทอง ” ตู๋กูจุนลูบไล้ศีรษะนางเบาๆ “รอพี่ใหญ่จัดการเรื่องราวให้เรียบร้อย จะให้เงินเจ้ามากกว่าสมบัติของไอ้เฒ่าโย่วหยูนั่นเสียอีก
ที่แท้โย่วหยู……ก็ชื่อแซ่ของรองมหาเสนาฯ
เขาบอกแต่แรกแล้วว่า ขอเพียงเป็นสิ่งที่น้องเล็กต้องการ ต่อให้ต้องเสียหัวไปก็ต้องส่งให้ถึงมือนางให้ได้!
ก่อนหน้านี่เจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นสั่งให้พวกเขาต้องไปจากเมืองหลวง ทั้งยังขังนางเอาไว้ในวังหลัง ทำให้พวกเขาไม่มีโอกาสได้ดูแลนาง
ตอนนี้เขากลับมาแล้ว…..ทุกอย่างย่อมไม่เหมือนเดิม
ตู๋กูซิงหลันพ่นแตงหวานคำนั้นใส่หน้าเขาในทันใด “จัดการเรื่องเสร็จ? พี่ใหญ่ ท่านจะไปตัดหัวใครหรือเจ้าคะ? “
เมื่อมองดูดาบทลายภูผาเล่มใหญ่ที่พิงอยู่บนกำแพง คมดาบนั้นไม่รู้ว่าดื่มเลือดผู้คนมาแล้วเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ตู๋กูซิงหลันแทบจะได้ยินเสียงวิญญาณที่ตายภายใต้คมดาบกรีดร้องออกมาเลยทีเดียว
แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม สมองของนางพลันเกิดภาพของจีเฉวียนถูกตัดศีรษะกระเด็นจนเลือดพุ่งสูงขึ้นไปเกือบสามเมตร
หืม……..รู้สึกสะใจดีไม่หยอกนะว่าไหม?
ตู๋กูจุนเช็ดเศษแตงหวานบนใบหน้าออกไปอย่างสงบนิ่ง ค่อยส่งสายตาแทนความหมายที่ไม่อาจพูดออกไปได้กับนาง
“น้องเล็ก เจ้ายังเยาว์วัยเรื่องของผู้ใหญ่ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามากังวลใจ เจ้ากินอิ่มนอนหลับได้ก็พอแล้ว”
ตู๋กูซิงหลันมองไปรอบทิศทางรอบหนึ่ง พอแน่ใจว่าไม่มีใครแอบฟังอยู่ ค่อยยื่นหน้าออกไปกระซิบข้างๆ หูของเขาด้วยเสียงแผ่วเบา “พี่ใหญ่เจ้าคะ ท่านคงไม่ได้คิดจะก่อกบฎใช่ไหม? “
ตู๋กูจุนเหลือบมองนางคราหนึ่ง น้องเล็กถูกบีบคั้นจนถึงขนาดเกิดความคิดก่อกบฎขึ้นมา!
ดูท่าเรื่องก่อกบฎฆ่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นทิ้งเสีย ……คงจะต้องเอามาปรึกษากันในเร็วๆ นี้เสียแล้ว
พอเห็นเขาคล้ายลังเลใจ ตู๋กูซิงหลันก็เขยิบเข้าไปใกล้เขาอีกนิด พูดที่ริมหูของเขาด้วยสายตาเป็นประกายว่า “ท่านพี่เจ้าค่ะ ด้วยเงื่อนไขที่มีอยู่ของพวกเราตอนนี้ สามารถมีโอกาสก่อกบฎสำเร็จสักกี่ส่วน? “
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือนางจะได้ไม่ต้องถูกเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นรังแกอีกต่อไป!
วิญญาณทมิฬ “………” มันคล้ายจะจำได้ว่า มีอยู่วันในค่ำคืนที่มืดมิด สตรีบางคนที่ถูกกักตัวเอาไว้ในตำหนักตี้หัว และได้แสดงออกถึงความจงรักภักดีอย่างหนักแน่นต่อหน้าเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่น
คำพูดเดิมว่าไว้อย่างไรนะ เอ่อ คิดออกแล้ว ก็คือ ‘ตระกูลตู๋กูของข้าจะต้องจงรักภักดีต่อฝ่าบาทตลอดไปทุกชาติภพ’
แล้วดูท่าทางตอนนี้ที่อยากจะรีบร้อนก่อกบฎตั้งตัวเป็นฮ่องเต้หญิงของนางสิ…….ที่แท้ ลมปากของสตรี ก็คือว่าจาผีสาง! โดยเฉพาะตัวมารร้ายอย่างตู๋กูซิงหลันยิ่งแล้วใหญ่ คำพูดที่ออกจากปากของนาง เชื่อถือไม่ได้แม้สักครึ่งคำ
คำพูดของนางทำให้ตู๋กูจุนต้องครุ่นคิดอย่างจริงจังสักรอบหนึ่ง หากว่าเป็นก่อนที่เจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่จะขึ้นครองราชย์……โอกาสที่จะก่อกบฎได้ความสำเร็จมีมากถึงแปดส่วน
แต่เพราะตอนนั้นน้องเล็กยังอยู่ในวัง พวกเขาไม่อาจให้เกิดความเสี่ยงได้โดยง่าย ต่อมาเพื่อรักษาชีวิตของน้องเล็กเอาไว้ ท่านปู่ถึงได้ยินยอมส่งมอบกำลังทหารของตระกูลตู๋กูออกไปครึ่งหนึ่ง
โอกาสสำเร็จย่อมลดลงไปมาก อีกทั้งเจ้าฮ่องเต้สุนัขเนี่ยเมื่อขึ้นครองราชย์แล้ว รับเอาบุตรีและหลานสาวของเหล่าขุนนางมากมายเข้าวังไปเป็นพระสนม เสริมฐานอำนาจตนได้มาก
ตอนนี้ เขายังได้รับไข่มุกพระแม่ธรณีไปอีก หากว่าอีกหน่อยครอบครองแดนเป่ยเจียงได้ละก็ คงจัดการได้ยากแล้ว
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ จีเฉวียนผู้นี้……นับตั้งแต่สมัยที่เป็นเพียงองค์ชายสี่ ก็ลอบสร้างฐานกำลังเอาไว้ไม่น้อย
นั่นเป็นฐานกำลังลับของเขา แม้แต่ตระกูลตู๋กูเองยังสืบไม่ออกว่าฐานกำลังกลุ่มนี้ ลึกล้ำมากมายเพียงไหน รู้แต่ว่าไม่อาจประมาทได้
มิเช่นนนั้น……….ด้วยฐานะของเขาซึ่งไม่เป็นที่โปรดปราณของอดีตฮ่องเต้ จะสามารถขึ้นครองราชย์ได้หรือ?
สรุปแล้ว จีเฉวียนผู้นี้คือตัวอันตราย เป็นคนมากฝีมือผู้หนึ่ง
มีฮ่องเต้เช่นนี้ ก็ยิ่งเพิ่มความยากในการก่อกบฎของพวกเขา
หลังครุ่นคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน ตู๋กูจุนค่อยกระซิบตอบที่ข้างหูนางว่า…..
ตอนที่ 63 เขาภาคภูมิใจแทบตายแล้ว!
“คิดคำนวนดูแล้ว โอกาสสำเร็จมีอยู่ประมาณสามส่วน”
” เจ๋งงงง ร้ายกาจขนาดนั้นเชียว? ” ตู๋กูซิงหลันประหลาดใจอย่างยิ่ง นางหลงคิดว่าตนเองต้องมีชีวิตอย่างทุกข์ยากอยู่ในวังหลัง จะต้องเป็นเพราะทางบ้านถูกบีบคั้นอย่างหนัก คิดไม่ถึงด้วยกำลังของทางบ้านในขณะนี้ยังสามารถมีโอกาสก่อกบฎสำเร็จถึงสามในสิบส่วน
นี่ละที่เขาว่า อูฐผ่ายผอมตายยังใหญ่กว่าม้า!
เดิมทีนางคิดว่าโอกาสที่ทางบ้านจะก่อกบฏสำเร็จมีเพียงไม่กี่หน่วยในร้อยส่วนเท่านั้น
ตู๋กูจุนมองดูท่าทางของนาง ทันใดนั้นพลันคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาจดจ้องนางเขม็งแล้วซักถามว่า “น้องเล็ก เจ้าบอกพี่ใหญ่มาตามตรง เจ้ายังคงอาลัยอาวรณ์เจ้าคนไม่ได้เรื่องจีเย่ว์นั่นหรือไม่? ยังคิดจะช่วยเขาชิงบัลลังก์อีกไหม? “
“อ๋า? ตู๋กูซิงหลันงงงันไปเล็กน้อย ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้คิดออกว่าเจ้าของร่างเดิมเคยมีคนรักเก่าเป็นบุรุษหนุ่มโฉมงามจีเย่ว์
“เจ้าเป็นองค์หญิงที่ล้ำค่าของตระกูลตู๋กูเรา เป็นเจ้าสุนัขจีเย่ว์นั้นที่ทำผิดต่อเจ้า นับตั้งแต่ที่เขาเห็นบัลลังก์สำคัญมากกว่าเจ้า ยอมให้เจ้าต้องกลายเป็นฮองเฮาองค์ที่สองเป็นต้นมา เขาก็ไม่คู่ควรกับเจ้าอีก ต่อให้เจ้ารักเขามากมายจนจะเป็นจะตาย พี่ใหญ่ก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้พวกเจ้าอยู่ด้วยกันแล้ว ” ฝ่ามือใหญ่โตของตู๋กูจุนจับกระชับหัวไหล่ของนางไว้ อยากจะมองดูตาของนางให้รู้แน่ชัด
หากว่าก่อนนั้น ตระกูลตู๋กูของพวกเขาก่อกบฏละก็ ย่อมต้องยกอี้อ๋องขึ้นเถลิงราชสมบัติ เพราะองค์หญิงน้อยของพวกเขาและอี้อ๋องมีใจผูกพันกันตั้งแต่เล็ก มองแต่เขาเท่านั้น ให้อี้อ๋องได้ขึ้นครองราชย์ เป็นความปรารถนาของน้องเล็กมาโดยตลอด
แต่ว่าตอนนี้ หากตระกูลตู๋กูของพวกเขาคิดจะก่อกบฏ จำเป็นจะต้องล้มล้างตระกูลจีซะ แล้วขึ้นครองบัลลังก์เสียเอง ต่อให้ต้องให้น้องเล็กไปเป็นฮ่องเต้หญิง ก็จะไม่ยอมให้จีเย่ว์นั่นได้สบาย
จีเย่ว์รังแกน้องเล็กถึงเพียงนั้น แม้จะให้ไปตายสักพันครั้งก็ไม่นับว่าเกินไป นับจากวันนี้ไปเขาอย่าได้คิดว่าจะมีโอกาสทำร้ายนางแม้สักเล็กน้อย
ตู๋กูซิงหลันเห็นท่าทางของพี่ชายเปลี่ยนเป็นจริงจังขนาดนั้น ก็อดที่จะใจเต้นตึกตักไม่ได้
“พี่ชายเจ้าคะ ข้าจะไม่ยอมโง่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ในโลกนี้จะยังมีบุรุษใดมาเปรียบเทียบกับท่าน พี่รองและท่านปู่ได้อีก”
จริงสิ มีครอบครัวเช่นนี้แล้ว นางจะยังต้องการความรักฉันหนุ่มสาวอีกหรือ มีชายคนรักไปทำไม?
อยู่บ้านเป็นองค์หญิงน้อยไปชั่วชีวิตไม่ดีตรงไหน? จำเป็นต้องออกไปให้เหนื่อยกายเหนื่อยใจด้วยหรือ? ยังไงซะไม่มีรักก็ไม่ถึงกับต้องตายเสียหน่อย
พอนางพูดจบลง บุรุษร่างใหญ่โตเช่นตู๋กูจุนถึงกับตกตะลึงไปแล้ว จากนั้นน้ำตาของเขาก็รินไหลดุจสายน้ำ
พวกเจ้าฟังสิ น้องเล็กบอกว่าอะไรนะ?
บุรุษที่ไหนอะไรก็สู้พวกเขาไม่ได้!
นี่เป็นคำพูดของน้องเล็กจริงๆ หรือ? ก่อนหน้านี้ แม้แต่ท่านปู่ยังไม่อาจด่าว่าจีเย่ว์สักครึ่งคำ องค์หญิงน้อยที่พวกเขาทะนุถนอมไว้กลางฝ่ามือมาตลอด กลับเอาแต่เทิดทูนจีเย่ว์ไว้ในหัวใจ เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า สักวันหนึ่งจะสามารถได้ยินน้องเล็กพูดคำเหล่านี้ออกมา!
เขาภาคภูมิใจแทบตายแล้ว!
“พี่ใหญ่เจ้าคะ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม? ” ตู๋กูซิงหลันเองก็ตกใจเช่นกัน เพราะปฎิกิริยาที่บุรุษผู้องอาจตรงหน้านี้มีขึ้นดูท่าจะรุนแรงไปแล้ว
ตู๋กูจุนได้แต่ปาดเช็ดน้ำตา แม้แต่เสียงที่กล่าวออกมาก็แหบพร่า “พี่ใหญ่ไม่เป็นไร พี่ใหญ่เพียงแต่ซาบซึ้งใจแล้ว “
เดิมทีเขาตระเตรียมไว้ว่าจะหว่านล้อมเชิงบีบบังคับนาง คิดไม่ถึงว่าน้องเล็กกลับปล่อยวางได้นานแล้ว ท่าทางที่รู้ความเช่นนี้ไม่รู้ว่าจะต้องผ่านความเจ็บปวดเพียงใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้
ดูแล้วพาลให้ผู้คนต้องปวดใจนัก เขาลูบไล้ศีรษะนางแผ่วเบา “องค์หญิงน้อยที่น่าสงสารขอพี่~ ท่านปู่และพี่ๆ จะอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดไปเอง”
เรื่องที่พวกเขาคำนวนผิดพลาดมากที่สุดในชีวิตนี้ ก็คือการที่ปล่อยให้นางต้องเจ็บช้ำใจเพราะความรักนั่นเอง ทำให้นางต้องตกอยู่ในกองเพลิงของวังหลวง
ต่อไปหากว่ามีบุรุษใดคิดเข้าใกล้น้องเล็กล่ะก็ จะต้องผ่านดาบทลายภูผาของเขาเสียก่อน! ต่อให้น้องเล็กเองจะเป็นฝ่ายชมชอบก็ไม่เว้น!
ว่าแล้ว เขาพลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาปาดน้ำตาทิ้งไป สองคิ้วขมวดขึ้น จดจ้องนางพลางถามว่า “น้องเล็ก ที่เจ้ายอมถอดใจจากจีเย่ว์ คงไม่ใช่เพราะเปลี่ยนไปชอบพอเจ้าสุนัขจีเฉวียนนั่นหรอกนะ? “
ความคิดนี้ทำให้แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังตกใจไม่น้อย เพราะว่าในงานเลี้ยงเมื่อคืนนั้น ท่าทีของน้องเล็กและฮ่องเต้ดูไปคล้ายจะมีลับลมคมในอยู่ไม่น้อย ไม่เพียงแค่นั้น น้องเล็กยังช่วยเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นจัดการกับรองมหาเสนาฯ อีกด้วย เช่นนี้ยังไม่นับว่าใกล้ชิดสนิทสนมกันอีกหรือ?
เจ้าฮ่องเต้สุนัขจีเฉวียน ยังน่ารังเกียจกว่าเจ้าจีเย่ว์นั่นอีก!
“นั่น นั่นจะเป็นไปได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ พี่ใหญ่ ท่านเห็นข้าเป็นพวกจิตวิปริตชอบความรุนแรงหรือไง? ” ตู๋กูซิงหลันโอดครวญ ดูท่าท่างพี่ใหญ่จะมีจินตนาการมากไปแล้ว
“หากว่าข้าชอบเขา ไหนเลยจะยังคิดกบฏได้อีก? “
นางตอบแล้วเสริมว่า “มาๆๆๆ พวกเรามาปรึกษาหารือเรื่องก่อกบฏกันเถอะ~ ไม่รู้ว่าไข่มุกของพระแม่ธรณีนั่นจะมีประโยชน์อะไรกับเราบ้างหรือไม่ จะช่วยให้โอกาสกบฏได้สำเร็จเพิ่มขึ้นมากหรือไม่? “
เพราะว่านี่คือแผนที่ฉบับสมบูรณ์ของเขตแดนเป่ยเจียง ที่สำคัญที่สุดคือมีแผนที่เหมืองทองคำดำอยู่ในนั้น หากว่าสามารถยึดเอาเหมืองทองคำดำมาได้ละก็ เรื่องการสร้างอาวุธก็คงจะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
มือของตู๋กูจุนยังลูบไล้อยู่บนศีรษะของนาง เมื่อเห็นประกายตาที่สดใสของนาง เขาถึงได้วางใจลงได้ ไม่ได้ชอบไอ้จีเฉวียนนั่นก็ดี
ครั้นแล้วเขาถึงค่อยยิ้มออกมาได้ “นี่มันเป็นเรื่องของเหล่าบุรุษ เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลใจ น้องเล็ก ออกมานอกวังครั้งนี้ พวกเราก็อย่ากลับไปอีกเลย”
เห็นน้องเล็กของตนเองมีความมุ่งมั่นตั้งใจแล้ว เขาก็รู้สึกว่าช่างเป็นเรื่องดีเหลือเกิน ได้เห็นว่านางมิได้อ่อนแอดังแต่ก่อน ตู๋กูจุนก็ดีใจยิ่งนัก
ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดอยู่สักพัก ” ไม่ได้หรอกนะเจ้าคะ พี่ใหญ่ ตอนนี้โอกาสทำสำเร็จของพวกเรามีแค่เพียงสามส่วนเท่านั้น หากว่าข้าไม่กลับไป นั่นไม่เท่ากับกระตุ้นความสงสัยของฮ่องเต้สุนัขนั่นหรือไง? คนผู้นั้นเป็นคนคิดมาก อารมณ์ร้ายกาจ ทั้งยังโหดร้ายอย่างยิ่ง ในขณะที่เรายังไม่มีความมั่นใจเต็มร้อยละก็ จำต้องระมัดระวังให้มากไว้”
ตู๋กูจุนแสนประหลาดใจหรือเป็นเพราะว่านางอยู่ในตำหนักเย็นนานเกินไป น้องเล็กที่เคยเอาแต่เล่นไปวันๆ ก็กลายเป็นคนที่เฉลียวฉลาดรู้ความแล้ว
หากว่าท่านปู่และน้องสองได้กลับมาเห็นล่ะก็ จะต้องยินดีชนิดที่ยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว ดูสิน้องเล็กของพวกเขาในยามนี้เก่งกาจเพียงไร! รู้จักคาดคำนวนจิตใจผู้คนแล้ว
“เพราะฉะนั้นนะเจ้าคะ งานของพี่ใหญ่ชิ้นนี้ก็อย่าได้รีบร้อน พวกเรายังมีเวลาอีกมาก ในนอกร่วมประสาน…..” ตู๋กูซิงหลันพูดไป สมองก็เริ่มครุ่นคิดวางแผนการกบฏแล้ว
ตู๋กูจุนรู้สึกว่าน้องเล็กจะเข้าใจสิ่งใดผิดไปแล้ว งานชิ้นนี้ของเขาไม่ใช่เรื่องก่อกบฏ แต่ต้องไป…….
วิญญาณทมิฬที่ได้ยินเรื่องก่อกบฏมาตั้งแต่ต้น “…..” พวกเจ้าปรึกษาเรื่องก่อกบฏกันอย่างเปิดเผยเช่นนี้มันจะดีหรือ? ทำไงดีน้า มันชักรู้สึกสงสารเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นแล้วสิ
หลังจากมัวแต่สนทนากันเรื่องกบฏจนวุ่นวาย ตู๋กูจุนพลันคิดเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ใช่แล้วน้องเล็ก ก่อนกลับมาเมืองหลวงครั้งนี้ ท่านปู่สั่งให้ข้ามอบอะไรให้เจ้าอย่างหนึ่ง”
เรื่องนี้ท่านปู่เน้นย้ำกับเขาอย่างหนักแน่น จำเป็นต้องส่งให้ถึงมือน้องเล็กให้ได้
เพราะมัวแต่คุยกับนางเรื่องกบฏ จนเกือบจะทำให้ลืมเรื่องสำคัญไปเสียแล้ว
“หืม? ” ตู่กูซิงหลันแสนจะประหลาดใจ
พูดไม่ทันขาดคำก็เห็นตู๋กูจุนถอดรองเท้าของเขาออกมา แล้วก็ล้วงเอาอะไรสีดำๆ ก้อนหนึ่งออกมาจากถุงเท้า
เขาไม่แม้แต่จะทำความสะอาดมันสักเล็กน้อย ก็หยิบมาวางไว้บนฝ่ามือของนาง “พี่ใหญ่เกรงว่าจะทำหาย เมื่อคืนจึงไม่ได้ถอดรองเท้าเลย เห็นไหมว่าเก็บรักษาไว้อย่างรอบคอบถึงเพียงไหน มา เจ้าเก็บเอาไว้ให้ดี”
ของสีดำชิ้นนั้นยังคงระอุอุ่นอยู่ มีไอร้อนกำจายออกมา…..และกลิ่นที่แสบจมูก
ตู๋กูซิงหลัน “………” พี่ใหญ่ ท่านจะมากจะน้อยก็เป็นถึงแม่ทัพผู้พิชิต ไยจึงได้มักง่ายเช่นนี้?
ผ่านไปอีกพักใหญ่นางถึงได้ใช้ปลายนิ้วดุจกล้อยไม้คีบสิ่งนั้นขึ้นมา ผ้าสีดำที่ห่อหุ้มไว้ก็หลุดออก เผยให้เห็นภายในที่…..
——
คำคมวันนี้:
“瘦死的骆驼比马大” อูฐผ่ายผอมตายยังใหญ่กว่าม้า! = สุภาษิตจากเรื่อง ‘ความฝันในหอแดง ‘ หมายถึงชาติตระกูลที่ยิ่งใหญ่ถึงจะล้มลงไป แต่อย่างไรยังมีด้านที่แข็งแกร่งหลงเหลืออยู่
ตอนที่ 64 ไม่พอใจข้า แต่ก็ทำอะไรข้าไม่ได้
หืม? นี่มันคือแป้งขาวนึ่งขนาดเท่าไข่ไก่ลูกหนึ่ง?!
รู้ละ อาหารพี้นเมืองของเป่ยเจียงหรือไง ท่านปู่อยากจะส่งมาจากแดนไกลให้นางได้ชิม?
ตู๋กูจุน “…..” หากรู้ตั้งแต่แรกว่ามันเป็นของกินละก็ เขาคงไม่ใส่ไว้ในถุงเท้าหรอก…..ท่านปู่คงไม่ได้หยอกเขาเล่นใช่หรือไม่? เดินทางรีบร้อนจนสองเท้ามีแต่แผลพุพอง ก็เพื่อให้เอาของเล่นชิ้นนี้กลับมาหรือไง?
ใครไหนเลยจะรู้ ยามที่ท่านปู่มอบให้เขานั้น กลับใช้ผ้าสีดำห่อเอาไว้อย่างแน่นหนา ทั้งกำชับกำชาไม่ให้เขาแอบดูแม้แต่น้อย
เขายังนึกว่าเป็นสมบัติล้ำค่าอันใดเสียอีก ก็แค่ก้อนแป้งก้อนหนึ่งไหงไม่บอกกันเล่า ไอ้ของพรรณเนี้ยขอเพียงน้องเล็กชอบกิน เขาจะหอบเอามันมาให้หมดเป่ยเจียง
“น้องเล็ก ทิ้งมันไปเถอะ กินไม่ได้แล้วล่ะ” ตู๋กูจุนสีหน้าไม่น่าดู ด้วยกลัวว่าจะทำให้องค์หญิงน้อยของบ้านขุ่นเคือง
ตู๋กูซิงหลันถือแป้งแข็งๆ ก้อนนั้นเอาไว้ในมือ นางไม่ทันจะทิ้งไป ก็เห็นเจ้าวิญญาณทมิฬนั่นกระโดดดึ๋งๆ เข้ามาในอ้อมอกของนาง ร้องออกมาคำหนึ่งก็งับลงไป “ข้าไม่ไหวแล้ว อุ๊แหวะ! “
ตู๋กูซิงหลัน “……….” อ้าวไม่ไหว แล้วเจ้ากินมันไปได้ยังไง?
“เจ้าคงไม่เชื่อข้าหรอก ไอ้ก้อนแป้งกลมๆ เนี่ยมีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดใจอั๊วสุดชีวิต แต่อั๊วเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ….” เจ้าวิญญาณทมิฬแหวะไปก็พูดไปพลาง ดวงตากลมโตยังไม่วายจ้องมองส่วนที่เหลืออยู่
ตกลงว่าเป็นอะไรกันแน่ที่ดึงดูดมันถึงเพียงนี้? ไอ้กลิ่นที่เหม็นคาวเหมือนกับปลานั่นนะหรือ?
จากมุมมองของตู๋กูจุนนั้น คล้ายกับว่าไอ้ก้อนแป้งนั้นจะหายไปมุมหนึ่ง คราวนี้เขายิ่งรู้สึกไม่ดีขึ้นไปใหญ่ “น้องเล็ก ฟังพี่เถอะนะ มันกินไม่ได้แล้ว”
เขาได้ฟังเชียนเชียนเล่าว่า ตอนที่อยู่ในตำหนักเย็นนั้น น้องสาวเคยกินแม้กระทั้งเศษเผือกที่คัดทิ้ง…………..
คงจะไม่ใช่ว่าไปติดใจรสชาติแบบนั้นหรอกนะ?
ตู๋กูซิงหลันไม่พูดไม่จา เพียงแต่เพ่งมองก้อนแป้งบนมือนั่น เมื่อถูกเจ้าวิญญาณกัดไปมุมหนึ่ง ก็ทำให้เห็นว่าข้างในมีอะไรอยู่
นางใช้ปลายนิ้วมือฉีกออก ถึงได้พบว่าก้อนขาวๆ นั่นทำจากแป้งข้าวเหนียว ภายในแป้งนั่นมีกุญแจทองแดงอยู่ดอกหนึ่ง
เมื่อได้เห็นกุญแจทองแดง ก็พลักรู้สึกได้ถึงธาตุหยินที่เข้มข้นกระจายออกมา จนบรรยากาศทั่วทั้งห้องเปลี่ยนเป็นอึมครึมขึ้นมาทันที ราวกับว่าเพียงครู่เดียวในห้องก็เต็มไปด้วยดวงวิญญาณผีสางหลอกหลอนมากมาย
มิน่าละ…….ท่านปู่ถึงได้ซ่อนมันไว้ในก้อนแป้งนึ่ง แป้งข้าวเหนียวสามารถปิดกั้นธาตุหยินได้ คงเป็นเพราะเขาเกรงว่าตู๋กูจุนพกพาสิ่งนี้ไว้กับตัวจะดึงดูดสิ่งอัปมงคลให้เข้ามาหา ถึงได้ต้องทำเช่นนี้
ลูกกุญแจนี่ดูเก่าแก่าโบราณอย่างมาก ตัวกุญแจสลักไว้ด้วยลวดลายที่ซับซ้อน ตู๋กูซิงหลันมองดูมันอย่างละเอียด ทันใดนั้นสีหน้านางก็พลันเปลี่ยนไป
แม้แต่เจ้าวิญญาณทมิฬเองก็ทำตาโตขึ้นมา มันแทบจะไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
และเพราะอยากจะมองดูให้ชัดเจน มันแทบจะเอาหน้าเข้าไปปะติดอยู่บนกุญแจทองแดงดอกนั้น “ลวดลายพวกนี่….ไม่ใช่ว่าเป็น…หยกสรรพชีวิตหรือ?
หยกสรรพชีวิตต่อให้เป็นของในโลกโน้นก็ยังถือว่าเป็นสมบัติที่ทุกคนต่างจดจ้องรอตะครุบกันทั้งนั้น
หยกสรรพชีวิตถึงกับปรากฎขึ้นในโลกมิตินี้ได้ ไม่น่าเล่าเมื่อครู่มันถึงได้รู้สึกถึงแรงดึงดูดใจจากไอ้ก้อนแป้งกลมๆ นั่น กุญแจดอกนี้มีน้ำหนักมากพอสมควร ถึงแม้ถูกซ่อนอยู่ในรองเท้าของตู๋กูจุนอยู่นาน เมื่อวางไว้บนฝ่ามือกลับให้ความรู้สึกเย็นซ่านไปจนถึงกระดูก แผ่กระจายธาตุหยินอย่างรุนแรง
ตู๋กูซิงหลันวางกุญแจไว้กลางฝ่ามือ หลับตาลงครู่หนึ่ง เพียงชั่วครู่เดียวก็ถูกกระแสธาตุหยินนั่นโอบล้อมเอาไว้ทั่วทั้งร่าง เส้นผมทั้งหมดปลิวกระจายขึ้นมาโดนปราศจากสายลมเกื้อหนุน กระแสความเย็นขุมหนึ่งแทรกซึมเข้าสู่หัวใจ
กุญแจทองแดงดอกนี้ไม่ใช่หยกสรรพชีวิต แต่ว่าเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันกับหยกสรรพชีวิตอย่างแน่นอน
ทันใดนั้นนางพลันลืมตาขึ้นมา ดวงตาดอกท้อแฝงกระกายเหน็บหนาวอย่างไม่อาจซ้อนเร้น ความเหน็บหนาวนี้คล้ายมีอยู่จริงจนสามารถสัมผัสถึงได้ และสร้างความเจ็บปวดต่อร่างกาย
แม้แต่ตู๋กูจุนที่ผ่านสงครามมาอย่างโชกโชนยังอดจะรู้สึกสั่นสะท้านไม่ได้ รอบตัวของน้องเล็กราวกับมีขุมพลังอย่างโอบล้อมไปทั่วทั้งร่าง
“ผู้เฒ่านั่นใช้ได้เลยทีเดียว ถึงกับมีสิ่งของเช่นนี้ อั๊วคิดๆ ดูแล้ว โลกมิตินี้ก็คงจะไม่ธรรมดา” ดวงตากลมโตของมันส่องประกาย มันเช็ดมืออวบอ้วนไปมา “หลันหลัน พวกเราหาเวลาสักวันเอากุญแจนี้ไปจับปีศาจมารร้ายกันเถอะ ผู้ยิ่งใหญ่อย่างข้าหิวจนท้องกิ่วเป็นแผ่นกระดาษแล้ว…”
ตู๋กูซิงหลัน “…..” ถึงจะมีแต่วิญญาณ แต่อย่างเจ้ามันก็วิญญาณอ้วน กลมจนกลิ้งเป็นลูกบอลได้แล้ว ผอมเป็นแผ่นกระดาษอะไรนั่น ดูไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเลยในชาตินี้ เข้าใจนะ
แต่ว่าท่านปู่มอบกุญแจทองแดงที่แกะสลักลายหยกสรรพชีวิตเอาไว้ให้นางนี่มันหมายความว่าอะไร? แล้วเขาไปได้กุญแจนี่มาจากที่ใดกัน?
ครู่ต่อมานางค่อยหันไปมองดูพี่ชายที่มีทีท่ากังวลไม่วาย พลางถามว่า “พี่ใหญ่เจ้าคะ ท่านปู่ยังฝากคำพูดใดไว้ให้ท่านบอกข้าอีกหรือไม่? “
ตู๋กูจุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ท่านผู้เฒ่าบอกว่านี่เป็นสิ่งของที่ท่านย่าเหลือไว้ให้เจ้า ให้เจ้ารักษาไว้ให้ดี “
“ท่านย่าหรือเจ้าคะ? ” ตู๋กูซิงหลันรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ท่านย่าของร่างเดิมนี้ก็คือ เจียงเย่ว ซึ่งจากโลกนี้ไปนับสิบปีแล้ว ………นางเกี่ยวข้องอะไรกับหยกสรรพชีวิตด้วย?
ตอนที่ท่านย่าจากโลกนี้ไปนั้น เจ้ายังเล็กอยู่มาก คงจะจดจำอะไรไม่ได้แล้วละมั้ง ” ตู๋กูจุนส่ายหน้าน้อยๆ “ยามที่ท่านย่ายังมีชีวิตอยู่ ก็รักใคร่เอ็นดูพวกเรามาก ในเมื่อเป็นสิ่งที่ท่านย่าลงเหลือเอาไว้ให้เจ้า จะต้องไม่ทำร้ายเจ้าอย่างแน่นอน”
“อืม ข้าจะรักษาเอาไว้ให้ดีเจ้าค่ะ ” ตู๋กูซิงหลันพยักหน้ารับ พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันครบรอบการจากไปของท่านย่าเป็นปีที่สิบ บางที หากนางนำกุญแจดอกนี้ติดไปด้วย ก็อาจจะได้รับประโยชน์อะไรบางอย่างก็ได้?
พอตู๋กูจุนไม่ทันสังเกต นางก็ลอบหยิบเอายันต์เหลืองแผ่นหนึ่งมาห่อกุญแจไว้ ของสิ่งนี้มีพลังธาตุหยินมาก อาจชักนำสิ่งอัปมงคลเข้ามาได้ง่ายๆ
พอนางพึ่งจะเก็บของไป ก็ได้ยินเสียงแม่นมหลี่ส่งเสียงร้องเชิญดังมาจากภายนอก “คุณชายใหญ่เจ้าคะ สำรับอาหารเย็นจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว นายหญิงผู้เฒ่าให้มาเชิญท่านและไทเฮา ไปยังหอชุ่ยหลิวเกอ”
เชียนเชียนที่เฝ้าอยู่นอกประตูฟังแล้วก็ขมวดคิ้วก่อนใครเพื่อน แม่นมหลี่คนนี้เป็นสาวใช้ใหญ่คนสนิทของนางเจียงซื่อหรือเจียงเหม่ยหยู่
ครั้งก่อนที่ติดตามเจียงเหม่ยหยู่เข้าวังไปรังแกนายหญิงก็คือนาง
คราวนี้ยังมีหน้ามานี่อีก?
“ข้าไม่สน แม่ทัพเช่นข้าไม่ได้ขาดแคลนอาหาร” ตู๋กูจุนสีหน้าเย็นชา
“ฝ่าบาททรงประทานอาหารทะเลล้ำค่ามาโต๊ะหนึ่งเจ้าค่ะ ให้หลี่กงกงนำมาด้วยตนเอง รับสั่งว่าไทเฮาอยู่ในวังเสวยจนเคยชินแล้ว ทรงเกรงว่าพึ่งกลับมาบ้านจะไม่คุ้ยเคยอยู่บ้าง คุณชายใหญ่เจ้าคะ ในเมื่อเป็นรับสั่งก็ไม่ควรที่จะปฎิเสธนะเจ้าคะ? ” แม่นมหลี่ที่อยู่ด้านนอกทำสีหน้าลำบากใจ
ตู๋กูซิงหลัน “……” ตอนนางอยู่ในวังเคยได้กินอาหารทะเลของหายากอะไรที่ไหนกัน? เจ้าฮ่องเต้สุนัขต้องมาคิดจะทำเรื่องเอาหน้าขนาดนี้ จะปวดใจบ้างไหมนะ?
ว่าแล้วแม่นมหลี่ก็กล่าวเพิ่มอีกว่า “อีกอย่างหนึ่ง พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันรำลึกถึงนายหญิงผู้เฒ่าแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าอยากจะปรึกษาท่านเกี่ยวกับพิธีการในงานรำลึก จึงขอเชิญท่านแม่ทัพและไทเฮาไปสักหน่อย”
ตอนนี้นางรู้จักระมัดระวังกิริยามารยาท ไม่เหมือนกับวันนั้นที่ติดตามเจียงเหม่ยหยู่ไปอาละวาดในตำหนักเย็นแม้แต่น้อย
ตู๋กูซิงหลันหรี่ตาดู ก่อนที่พี่ใหญ่จะปฎิเสธออกมา ก็เปิดประตูออกไป แย้มยิ้มหัวเราะ “เจ้ากลับไปบอกอนุเจียงซื่อ เรากับพี่ชายอีกสักครู่จะไป”
คำ’อนุเจียงซื่อ’นั้น แม่นมหลี่ได้ฟังก็ร้อนหูขึ้นมาทันที
แต่นางไม่อาจพูดอะไรได้ จึงเพียงแต่ขยับตัวคำนับ “น้อมรอคุณชายใหญ่และไทเฮาเสด็จไปเพคะ”
รอจนแม่นมหลี่ไปแล้ว คิ้วที่ขมวดของตู๋กูจุนก็ยังคงไม่คลายออก เขาเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างกายตู๋กูซิงหลันถามว่า “น้องเล็ก ไม่ใช่ว่าแต่ไหนแต่ไรเจ้าไม่ชอบอนุเจียงซื่อหรอกหรือ? “
“แต่ข้าชอบที่ นางไม่พอใจข้า แต่ก็ทำอะไรข้าไม่ได้มากกว่านิเจ้าคะ ” ตู๋กูซิงหลันเผยรอยยิ้มให้เขา พลางหัวเราะเบาๆ “พี่ใหญ่เจ้าคะ ไปกันเถอะ”
ตอนที่ 65 ฝ่าบาททรงปฎิเสธ
ปีกตะวันตกของศาลาชุ่ยหลิวเก๋อ
สระน้ำใสสะท้อนภาพหอสูง ในสระน้ำปลูกบัวไว้จำนวนมาก ฤดูนี้ดอกบัวโรยราไปหมดแล้ว คงเหลือไว้แต่ใบสีเขียวสดมากมาย
บนศาลาชุ่ยหลิวเก๋อ ตกแต่งด้วยผ้าโปรงบางปลิวไสวเล่นลม เจียงเหม่ยหยู่รอคอยอยู่นานแล้ว นางสวมชุดกระโปรงสีน้ำเงินปักลายงดงาม เก็บงำอารมณ์ภายในเอาไว้อย่างมิดชิด ยามนี้นั่งพักอยู่บนที่นั่งริมราวระเบียงของชุ่ยหลิวเก๋อ ใบหน้าชราเปี่ยมไปด้วยความยินดี
ที่ด้านข้างของนางมีสตรีเยาว์วัยสองคนนั่งอยู่ด้วย หนึ่งในนั้นก็คือ ตู๋กูเหลียน
ยามที่ตู๋กูซิงหลันมองเห็นตู๋กูเหลียนนั้น ก็ถึงกับประหลาดใจอยู่เงียบๆ นางผ่ายผอมกว่าแต่ก่อนไปมาก จนมองเห็นโหนกแก้มบนใบหน้าได้ชัดเจน
แต่กิริยาท่าทางยังคงหยิ่งผยองพาให้นางเห็นแล้วไม่สบอารมณ์อยู่เหมือนเดิม
หลี่กงกงที่ยืนรออยู่ด้านข้างรีบเข้ามาหานางกล่าวว่า “ไทเฮาพะยะค่ะ ฝ่าบาททรงมีพระเมตตา อนุญาตให้เหลียนไฉเหรินกลับมาทำความเคารพเย่วฮูหยินพร้อมกัน”
“เหลียนไฉเหริน เอ๋? ” ตู๋กูซิงหลันเก็บสายตากลับมา หันไปหันไปยิ้มบางๆ กับหลี่กงกง
“ตระกูลตู๋กูกำหราบเผ่าอาปู้ไซได้สำเร็จ ไทเฮาเองก็ทรงเลือกไข่มุกพระแม่ธรณีได้ถูกต้อง สร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่ ฝ่าบาททรงเห็นแก่ความเหนื่อยยาก จึงพระราชทานอนุญาตให้เหลียงไฉเหรินออกจากลานซักล้าง คืนสถานะให้ดังเดิม ทั้งยังอนุญาตให้นางกลับบ้านมาร่วมงานรำลึก ” หลี่กงกงพูดไปเหงื่อมากมายก็ไหลท่วมศีรษะ
ว่ากันตามจริงเรื่องปล่อยเหลียนไฉเหรินออกมา ที่จริงแล้วเป็นความประสงค์ของท่านราชครู
เมื่อยามเที่ยงวันนี้ ท่านราชครูมายังพระตำหนักตี้หัวด้วยตนเอง กราบทูลถวายคำปรึกษากับฝ่าบาทอยู่นาน จนฝ่าบาททรงรับปากในที่สุด
เนื่องเพราะเป็นวันครบรอบปีที่สิบของเย่วฮูหยิน นายท่านผู้เฒ่าตู๋กูยังรับศึกอยู่ที่เป่ยเจียงไม่อาจปลีกตัวกลับมาได้ คุณชายรองตู๋กูก็ต้องไปควบคุมเรื่องน้ำท่วมแต่เพียงลำพัง ลูกหลานตระกูลตู๋กูที่เหลือจึงยิ่งสมควรกลับมาประจำตำแหน่งแห่งที่ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อฮูหยินผู้เฒ่า
และจุดที่สำคัญที่สุดก็คือ ยามที่อดีตฮ่องเต้ยังทรงพระชนม์อยู่ ได้ให้ความเคารพเย่วฮูหยินเป็นอย่างมาก ทั้งยังเคยมีรับสั่งให้บรรดาองค์ชายทั้งหลาย ไม่ว่าเมื่อไหร่พึงต้องให้ความเคารพเยว่ฮูหยิน
ดังนั้นถึงแม้ฝ่าบาทจะไม่โปรดตระกูลตู๋กูเพียงใด แต่ในช่วงวันรำลึกถึงเยว่ฮูหยิน ก็ไม่อาจกระทำอันใดที่รุนแรงเกินไปกับตระกูลตู๋กูได้
แต่ว่าเรื่องการปล่อยเหลียนไฉเหรินผู้นี้ออกมา เขาพอจะดูออกว่า ฝ่าบาททรงปฎิเสธ ฝ่าบาททรงรังเกียจเหลียนไฉเหรินผู้นี้อย่างมาก
หากไม่ใช่เพราะท่านราชครูเพียรพยายามกราบทูลอยู่หลายรอบ เกรงว่าชั่วชีวิตนี้ของนางมีแต่ต้องจมอยู่ในลานซักล้างแล้ว
แต่ว่าเหลียนไฉเหรินผู้นี้กับอนุเจียงซื่อกลับไม่รู้จักดูตัวเอง
หลี่กงกงพึ่งกล่าวจบไป เจียงเหม่ยหยู่แย้มยิ้มทั่วใบหน้ากล่าวว่า “ฝ่าบาททรงพระปรีชา หม่อมฉันและเหลียนเอ๋อร์ซาบซึ้งยิ่งนัก”
พูดแล้วนางก็ลุกขึ้น หันมาทางตู๋กูซิงหลันและตู๋กูจุนกล่าวว่า “ซิงหลัน จุนเอ๋อร์ ต้องลำบากพวกเจ้าแล้ว เหลียนเอ๋อร์ถึงได้สามารถออกจากทะเลทุกข์ได้”
ว่าแล้วนางก็หันไปลากชายแขนเสื้อของตู๋กูเหลียน ครู่หนึ่ง ตู๋กูเหลียนค่อยลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก หันมายิ้มให้แต่เพียงผิวหน้า “พี่สาว พี่ชาย ครั้งนี้ขอบคุณพวกท่านมากเจ้าค่ะ เหลียนเอ๋อร์จะต้องจดจำความดีของพวกท่านเอาไว้ อีกหน่อยอยู่ในวังก็จะคอยหนุนพี่สาวอย่างเต็มที่ “
ใช่แล้ว ความทุกข์ยากและถูกดูแคลนที่ได้รับตอนอยู่ในลานซักล้างนั่น ชาตินี้ทั้งชาตินางไม่มีทางลืมได้อย่างแน่นอน
นังตัวร้ายตู๋กูซิงหลัน ช่างมีโชคยิ่งนัก ครั้งก่อนรอดไปได้ไม่เสียโฉม ทั้งยังจับฉีผินเข้าคุกไปด้วย กระทั่งตอนนี้ยังถูกขังอยู่ในคุกอยู่เลย
หากไม่กำจัดนังตัวร้ายนี่ ตัวนางตู๋กูเหลียนคงไม่มีวันเงยหน้าขึ้นได้ ไม่เห็นหรือว่าตอนนี้ฮ่องเต้ทรงยิ่งทียิ่งให้ความสนใจนังตัวร้ายนี่ขึ้นมาแล้ว?
คิดๆ ดูแล้ว แม้แต่เต๋อเฟยที่เย่อหยิ่งยังต้องหน้าหงายเพราะนาง จะเก็บนางคนเลวนี่เอาไว้ไม่ได้เด็ดขาด
ครั้งเห็นตู๋กูซิงหลันไม่กล่าวอะไร เจียงเหม่ยหยู่ก็เสริมขึ้นอีกว่า “หลันเอ๋อร์ พวกเราจะอย่างไรก็เป็นคนบ้านเดียวกัน ก่อนหน้านี้เป็นย่าเองที่ใจร้อน ทำผิดต่อเจ้า เมื่อกลับมาบ้านแล้วย่าเองก็ได้ไตร่ตรองเสียใหม่ ตอนนี้จุนเอ๋อร์ก็กลับมาแล้ว พวกเราครอบครัวเดียวกันก็ต้องรักใคร่ กลมเกลียวกันให้มาก ดีไหม? “
การแสดงออกของเจียงเหม่ยหยู่ในตอนนี้มีแต่ความเมตตาปราณีเสมือนดังเป็นฮูหยินผู้เฒ่าโดยแท้ ไหนเลยจะมีกิริยาร้ายกาจวางอำนาจเหมือนตอนที่ไปตำหนักเย็นคราวนั้น หากไม่ใช่เพราะตู๋กูซิงหลันเคยเห็นนางแยกเขี้ยวกางเล็บมาแล้ว ก็คงจะต้องถูกท่าทางเช่นนี้ของนางหลอกเอาแน่ๆ
ตู๋กูซิงหลันพาลไม่สนใจตอบคำ นางยกกระโปรงขึ้น เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้หลักของโต๊ะ พอนั่งลงแล้วก็ไม่ลืมเรียกพี่ชายตัวเองไปนั่งข้างๆ
สีหน้าของเจียงเหม่ยหยู่เย็นชาไปในทันที ฝ่าบาทประทานอาหารเลิศรสมาให้ ยังไม่ใช่เพื่อปลอบประโลมจิตใจของเหลียนเอ๋อร์หรอกหรือ คำพูดที่นางให้แม่นมหลี่พูดไป ก็แค่ทำไปอย่างนั้นเอง นังตัวร้ายนี่ดีนัก คิดหรือว่าฝ่าบาททรงประทานมาให้นางจริงๆ?
นางที่เป็นท่านย่าใหญ่ยังไม่ทันนั่งลง ตัวบัดซบนั่นก็นั่งลงไปแล้ว ทั้งยังนั่งในตำแหน่งหลักของโต๊ะ?!
เจียงเหม่ยหยู่ได้แต่กล้ำกลืนความโกรธนี้ลงไปในท้อง นางยืดตัวขึ้นเดินออกไปนั่งลงที่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน ยกมือขึ้นคีบอาหารส่งให้นาง “หลันเอ๋อร์ คงหิวมากแล้วละสิ มาๆ ทานให้มากหน่อย ย่าอยู่กับบ้าน เฝ้ารอเจ้ากลับมาทุกวันเลยนะ~”
พอตะเกียบยกกลับไป ตู๋กูซิงหลันก็หันหน้าไปจดจ้องนาง “ท่านย่าของเราขึ้นสวรรค์สุขสบายไปสิบปีแล้ว เจ้าว่าหากนางยังอยู่ แล้วได้ฟังเจ้าเรียกตัวเองเป็นย่าใหญ่อยู่ทุกถ้อยทุกคำ จะต้องไล่เจ้าออกจากจวนตระกูลตู๋กูในทันทีหรือไม่? “
ขณะที่ตู๋กูซิงหลันพูดออกไป ตู๋กูจุนก็ลูบไล้ดาบทลายภูผาของเขา
นางเจียงซื่อหน้าถอดสี ในดวงตาพลันมีความเกรี้ยวกราดขึ้นมา ตัวเลวร้ายทั้งสองนี้ ผู้อื่นให้หน้าแล้วยังจะไม่รับไว้!
ตู๋กูเหลียนเองก็ชักหงุดหงินจนทนไม่ไหว ดูนังตัวร้ายนั่นทำท่าอวดผยองซิ! นังเฒ่าเจียงเย่วนั่นตายไปก็ต้ังนานหลายปีแล้ว มันยังจะยกมากล่าวอ้างถึงอีก!
จะอย่างไรท่านย่าก็เป็นอนุของท่านปู่ นางเฒ่าเจียงเย่วตายก็ตายไปแล้ว หลายปีมานี้ก็ไม่เห็นท่านปู่รับอนุคนใดเพิ่มอีก ถึงฐานะของท่านย่าจะไม่ได้รับการเลื่อนขึ้นมา แต่อย่างไรนางก็คือสตรีเพียงคนเดียวของท่านปู่ ย่อมต้องถือเป็นประมุขฝ่ายหญิงของจวนตระกูลตู๋กู!
ผู้เยาว์เช่นตู๋กูซิงหลัน มีตาแต่กลับไม่รู้จักเคารพผู้อาวุโสแม้แต่น้อย!
เจียงเหม่ยหยู่สูดหายใจเข้าไปลึกๆ ค่อยฝืนยิ้มออกมา “ข้าเองก็เป็นบุตรสาวตระกูลเจียง เป็นน้องสาวของท่านย่าเจ้า เรียกตนเองเป็นย่าสักคำ ย่อมไม่ถือว่าเกินไปจริงไหม? ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าพี่สาวยังอยู่ละก็ ย่อมต้องอยากเห็นพวกเราย่าหลานกลมเกลียวกันไม่ใช่หรือ? “
ตู๋กูซิงหลันหัวเราะเสียงเย็น “เด็กกำพร้าที่ตระกูลเจียงรับมา จะถือว่าเป็นน้องสาวที่ไหนกัน? นั่นเป็นเพราะท่านย่าของข้าใจกว้างมีเมตตารับเจ้าไว้ แต่เจ้ากลับดีนัก ไม่เพียงไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ กลับกล้าล่อลวงสามีผู้มีพระคุณของตนเอง ด้านได้ไม่อดตายเป็นอนุอยู่นี่ ทำไม ตอนนี้คิดว่าตนเองกลายเป็นท่านย่าใหญ่แล้วหรือยังไง? “
เรื่องประวัติความเป็นมาเป็นไปของตระกูลตู๋กู ตู๋กูซิงหลันได้ทำการบ้านเอาไว้อย่างดี ท่านปู่นั้นอะไรๆ ก็ดีหมด มีเพียงเรื่องรับอนุนี้เพียงเรื่องเดียว ที่ทำให้ตู๋กูซิงหลันต้องปวดหัว
คำพูดเหล่านี้นับว่าเสียดแทงเจียงเหม่ยหยู่จนเจ็บปวดแล้ว ใช่แล้ว นางเป็นแค่เพียงลูกบุญธรรมของตระกูลเจียง เพราะตอนนั้นใช้มารยาล่อลวงจนได้เป็นอนุของตู๋กูถิง หลายปีมานี้ถึงแม้ตู๋กูถิงจะดีกับนางไม่น้อย แต่ว่าไม่เคยมอบความรักให้นาง
ดังนั้นถึงแม้ว่านังเจียงเย่วตายไปนานหลายปีแล้ว ตู๋กูถิงก็ไม่เคยคิดจะยกให้นางเป็นฮูหยินออกหน้าออกตามาก่อน
นางได้แต่อดทนใช้ชีวิตเฉกเช่นอนุมานานหลายปี ถึงแม้ผู้คนจะรู้ฐานะของนาง แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าพูดออกมา มีแต่นังเด็กเลวนี่เพียงคนเดียวที่สาดเกลือใส่แผลในใจนาง!
“พี่สาว ท่านพูดกับท่านย่าเช่นนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ หลายปีมานี้ เพื่อตระกูลของพวกเรา ท่านย่าต้องเหน็ดเหนื่อย ต้องอดทนลำบากมากเพียงไร ท่านรู้หรือไม่? ” ตู๋กูเหลียนเปลี่ยนวิธีการจากปากกล้าด่ากราดที่นางเคยใช้ มาเป็นอ่อนแอเปราะบางแทน
ตอนที่ 66 คืนร่างเดิมเร็วขนาดนี้เลย?
“จวนที่ใหญ่โตขนาดนี้ การดูแลรักษายุ่งยากขนาดไหนเจ้ารู้ไหม? พอท่านปู่และพวกพี่ชายจากไปแล้ว ทุกคนต่างก็พึ่งพาท่านย่าพยุงครอบครัวเอาไว้ ไม่งั้นเจ้าคิดหรือว่าตระกูลตู๋กูจะยังอยู่ดีได้เพียงนี้? “
“อ่อ ความหมายของเจ้าก็คืออนุเจียงซื่อต้องลำบากมากแล้วงั้นสินะ? ” ตู๋กูซิงหลันยกยิ้มเย็นที่มุมปาก
“ต้องลำบากมากอยู่แล้ว ลำบากอย่างที่เจ้าคิดไม่ถึงเชียวละ” ตู๋กูเหลียนตอบคำ
นางเจียงซื่อก็ทำกิริยาเสมือนน้อยเนื้อต่ำใจ
“ในเมื่อทั้งลำบากทั้งถูกหมิ่นหยาม งั้นเจ้าก็พักซะเถอะ สมุดบัญชีประจำบ้าน และพวกกุญแจคลังสมบัติในเมืองหลวงทั้งหลายก็ส่งมาให้เราทั้งหมด จะอย่างไรเราว่างไม่มีเรื่องต้องทำ ไม่รู้สึกลำบากอะไร”
วาจาประโยคเดียวของตู๋กูซิงหลัน แทบจะทำให้นางเจียงซื่อระเบิดตัวเองแล้ว!
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ? ” นางตาโต แทบจะเก็บอารมณ์เกรี้ยวกราดของตนเองไว้ไม่อยู่
คลังสมบัติของตระกูลตู๋กูในเมืองหลวง เป็นสิ่งที่นางใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งรบเร้าเอาจากนายท่านผู้เฒ่ามาตั้งเจ็ดแปดปีถึงจะได้มาในที่สุด บัญชีของจวนนั้น เป็นตอนที่นายท่านและเหล่าสายตรงทั้งหมดต้องออกไปรบ ถึงได้ตกมาอยู่ในมือของนาง
จะให้นางคืนให้รึ? ไม่มีทาง!
นางยังต้องการเงินอีกมากไว้ให้บุตรชาย บุตรสาว และหลานชายหลายสาวเอาไว้ใช้!
พวกลูกหลานสายตรงเชิดหน้าชูตาได้ทุกวันนี้ ยังไม่ใช่เพราะนายท่านใช้เงินปูออกไปหรอกหรือ!
หลานๆ ของนางเองก็โดดเด่น แต่เป็นเพราะนายท่านลำเอียง ถึงได้ไม่มีโอกาสไปเจริญรุ่งเรือง
“เฮอะ ฉีกหน้าคืนร่างเร็วจริงนะ? ” รอยยิ้มของตู๋กูซิงหลันยิ่งทียิ่งเยือกเย็น
นางจดจ้องไปยังใบหน้าชราของนางเจียงซื่อ “อนุเจียงซื่อ เจ้านับว่ามีความสามารถมาก ในใจเกลียดเราแทบตาย ยังต้องมาแสดงท่าทางว่ารักเราหนักหนา ไม่เหนื่อยบ้างหรือไง? “
เจียงซื่อ “………” หากไม่ใช่เพราะตู๋กูจุนแบกดาบกลับมา นางจะต้องยอมทนต่อไปอย่างนี้หรือ?
“ตอนนั้นที่อยู่ในตำหนักเย็นก็ฉีกหน้าให้เห็นกันไปแล้ว มาตอนนี้จะเสแสร้งไปทำไม? ” ตู๋กูซิงหลันยังว่าต่อ “ในเมื่อฉีกหน้าออกมาแล้ว ต่อไปยามเจอกับเราต่อหน้า ก็อย่าได้มาพูดจาซี้ซั้วนั่นนี้อะไรอีก เราเกรงว่าสมองที่เดิมก็ไม่ดีอยู่แล้วของเจ้า จะโกรธจนต้องพิการไป”
เจียงซื่อ “!!! “
นังตัวเสนียดที่สมควรตาย!
“อ้อ ใช้สิ ชื่อของเราก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะเรียกได้ อนุเจียงซื่อ จดจำฐานะของเจ้าเอาไว้ให้ดี เอามารยาทที่ควรมีออกมา เราเป็นคนนิสัยไม่ดี หากว่าโกรธเคืองขึ้นมา ผลลัพธ์ที่ได้เจ้าคงจะแบกเอาไว้ไม่ไหว”
นางเจียงซื่อโกรธจนกัดฟันกรอด นางอยากจะอาละวาด กลับเห็นตู๋กูจุนหยิบเอาหินลับมีดจากที่ใดก็ไม่รู้ขึ้นมา ลงมือลับดาบของเขาต่อหน้านางอย่างช้าๆ
เสียงกรีดแหลมที่กระทบแก้วหูนั่น ราวกับแท่งเหล็กที่กรีดลงไปบนแผ่นน้ำแข็งในแม่น้ำ หลังคอของนางก็พลันขนลุกวาบขึ้นมา
“อนุเจียงซื่อ คำพูดของน้องข้าเจ้าจงฟังเอาไว้ให้ดี ปฎิบัติตามให้ครบ อย่าได้มาทำท่าเป็นมารดาผู้ยิ่งใหญ่อันใดอีก นายหญิงตระกูลตู๋กูของข้า ก่อนหน้านี้คือท่านย่าเจียงเย่วของพวกรา ต่อไปก็คือน้องสาวของข้าซิงหลัน ข้อนี้เจ้าจงจำไว้ให้ดี”
ตู๋กูจุนหันไปลับคมดาบ หลายปีมานี้พอท่านปู่ดีกับนางเจียงซื่อนั่นหน่อย นางก็ผยองได้เสียขนาดนี้ ไม่รู้จักเลยว่าตนเองที่จริงไร้น้ำหนักเพียงใด
ลมหายใจของนางเจียงซื่ออึดอัดคับข้องอยู่ภายใน ตอนนี้ทำอย่างไรก็ระบายไม่ออก
ยิ่งคิดถึงภาพเมื่อตอนที่ถูกตู๋กูซิงหลันตบตีในตำหนักเย็น โทสะของนางก็ยิ่งพุ่งพล่านจนกดไว้ไม่อยู่
ตอนนี้ยังจะมีตู๋กูจุนเพิ่มขึ้นมาอีก!
จะให้นางต้องอกแตกตายหรือยังไง?
“พวกเราก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักเหตุผล หลายเดือนมานี้เจ้าดูแลบ้านช่องก็ถือว่ามีความดี ก็จะจ่ายเงินเดือนตามฐานะพ่อบ้านให้กับเจ้า สิ่งที่สมควรคืนมานั่น อีกเดี๋ยวข้าจะไปรับด้วยตัวเอง “
ตู๋กูจุนลับดาบเสร็จแล้ว กวาดดาบลงไปส่งเสียงดังฉัวะครั้งหนึ่งก็วางดาบไว้ที่เก้าอี้ด้านข้าง เก้าอี้แกะสลักไม้สาลี่ก็ถูกตัดออกไปมุมหนึ่ง
มองดูเศษไม้ที่ถูกเฉือนออกไปทำให้ตู๋กูเหลียนต้องหุบปากให้สนิทกว่าเดิม ทั้งย่าหลานสองคนรู้สึกคล้ายเกือบจะต้องเสียหัวตนเองไป จนไม่กล้าพูดอะไรออกมา
เจียงซื่อสูดลมหายใจเข้าไปอย่าเจ็บปวด เงียบอยู่นานถึงได้ตอบกลับว่า “หากนายท่านกลับมาทราบว่าพวกเจ้ากระทำต่อข้าเช่นนี้…..”
คำพูดไม่ทันจบลง ก็เห็นตู๋กูจุนขยับดาบทลายภูผาในมือ ห่วงร้อยบนตัวดาบส่งเย็นเยือกเสียงดัง ‘กริ๊ก’
“เจ้าคิดว่าในสายตาของท่านปู่แล้ว เจ้าเทียบได้กับเส้นผมสักเส้นของน้องเล็กไหม? “
คำพูดนี้ทำให้วาจาที่ยังกล่าวไม่จบนางเจียงซื่อต้องหยุดชะงักไป…..นายท่านเอ็นดูรักใคร่นางตู๋กูซิงหลันจนเกินไป เรื่องนี้นางก็รู้อยู่………
นางได้แต่กลืนน้ำลายลงไปอีกอึก ค่อยตอบว่า “บัญชีนั่นวุ่นวาย จำเป็นจะต้องใช้เวลาสะสางสักพัก พวกเจ้าไม่ได้ดูแลบ้าน รีบร้อนเอากลับไปก็มือเท้าปั่นป่วนวุ่นวายไปหมด จะอย่างไรข้าก็มีประสบการณ์อยู่ ยิ่งไปกว่านั้นพรุ่งนี้ก็เป็นวันรำลึกถึงพี่สาว ยังมีหลายสิ่งที่ข้าต้องดูแล พวกเจ้าอายุยังน้อย มีหลายเรื่องที่ไม่เข้าใจ”
“วาจาไร้สาระจะมัวพูดมากไปทำไม? ” ตู๋กูจุนพลันส่งสายตาคมกริบราวกระบี่เล่มหนึ่ง ประหนึ่งมหาโจรที่ฆ่าคนไม่กระพริบตา
นางเจียงซื่อรับแรงกดดันนี้ไม่ได้จำต้องถอยหลังไปทั้งโกรธจนจะกระอักออกมาเป็นเลือดทั้งอยากจะระเบิดอารมณ์ออกมา แล้วไปเถอะ อดกลั้นสักครั้งสงบเอาไว้ก่อน
ถึงอย่างไร พวกมันก็ลำพองไปได้ไม่กี่น้ำหรอก
พรุ่งนี้…….จะต้องมีเรื่องสนุกให้ได้ดูกันแน่
ตู๋กูเหลียนเข้ามาพยุงนางเจียงซื่อไว้ ในดวงตาเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังรุนแรง ตั้งแต่เล็กแต่น้อยนางก็ได้แต่ใช้ชีวิตภายใต้แรงกดดันของพวกสายตรง ดูเอาเถอะ ขนาดตอนนี้นางได้เป็นไฉเหรินของฮ่องเต้ยังต้องถูกรังแก!
นางขอสาบาน สักวันจะต้องกลายเป็นสตรีที่สูงศักดิ์ที่สุดในวังหลัง แล้วเหยียบพวกมันเอาไว้ใต้ฝ่าเท้า ให้ตู๋กูจุน ตู๋กูเจวี๋ย แล้วก็ตู๋กูซิงหลันคุกเข่าร้องขอให้นางไว้ชีวิต!
แต่ว่าอีกเพียงเดี๋ยวเดียว นางก็จะมีโอกาสแล้ว
คราวนี้ตู๋กูซิงหลันเพียงคอยดูอยู่ด้านข้างเท่านั้น หากเป็นยามปกติ เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ นางจะต้องใช้สงครามน้ำลายก่อน ค่อยออกแรงลงมือซ้ำ คิดไม่ถึงเลยว่า พอมีพี่ใหญ่มาเป็นผู้ช่วยคนหนึ่ง แม้แต่สงครามน้ำลายก็ไม่จำเป็นแล้ว
เมื่อคีบอาหารกินไปได้หลายคำ นางค่อยนึกขึ้นได้ว่าที่ด้านข้างยังมีหลี่กงกงยืนเฝ้าอยู่ จึงค่อยกล่าวว่า “หลี่กงกง เมื่อกลับเข้าวังจงอย่าลืมขอบพระทัยลูก….ฮ่องเต้แทนเราด้วย ความกตัญญูของเขาเรารับรู้แล้ว”
หลี่กงกงตอนนี้อยากจะหลั่งน้ำตาเหลือเกิน อีกหน่อยงานใดที่เกี่ยวข้องกับไทเฮาน้อย ฝ่าบาทจะทรงส่งผู้อื่นมาบ้างได้ไหม?
ลองดูสถานการณ์ภายในครอบครัวของตระกูลตู๋กูตอนนี้สิ ….จะปล่อยให้ขันทีเฒ่าอย่างข้าชมดูไปด้วยมันจะดีหรือ? หรือว่าพอยกเท้าออกนอกประตูไปก็อาจถูกพวกตระกูลตู๋กูเชือดปิดปาก?
ครั้นเหลือบไปเห็นดาบใหญ่ของตู๋กูจุนที่แวววาวเล่มนั้น เขาพลันรู้สึกเจ็บคอขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
พอตู๋กูซิงหลันพึ่งจะพูดจบ ก็ได้ยินตู๋กูจุนเปิดปากพูดขึ้นมาบ้าง “หลี่กงกง เจ้าถูกบรรยากาศอบอุ่นกลมเกลียวในครอบครัวข้ากล่อมจนซึ้งขึ้นมาบ้างหรือ? ถึงได้ไม่พูดไม่จา? “
หลี่กงกงเช็ดเหงื่อเย็นๆ บนใบหน้า “บ่าวเฒ่าซาบซึ้งไปด้วยจริงๆ บ้านท่านแม่ทัพสนิทสนมกลมเกลียวกันเช่นนี้ นับเป็นบุญของจวนตู๋กูโดยแท้ เหล่าตระกูลสูงศักดิ์ในต้าโจวสมควรยึดเอาเป็นแบบอย่าง”
ตู๋กูจุนหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างพอใจ หยิบเอาไม้เสียบแตงหวานที่ทำจากทองตบรางวัลให้เขา “กงกงมีสายตาดี ข้าแม่ทัพพอใจ”
หลี่กงกงประคองไม้เสียบผลไม้ทองคำนั้นไว้ ในใจก็สั่นไหวตึกตักๆ แม่ทัพผู้พิชิตกำลังเตือนเขา หากพูดมากปากสว่าง จะจับเขาหั่นเสียบไม้ เสมือนเสียบแตงหวานเช่นนี้
ตู๋กูซิงหลันมองไปที่ไม้เสียบด้ามนั้นสายตาเป็นกังวลอยู่บ้าง……..พี่ชาย ฟุ่มเฟือยใหญ่แล้ว!
…………………………………………
ดึกดื่นค่ำคืน ณ มุมตะวันตก เรือนของตู๋กูซิงหลันก่อนเข้าวัง
ตอนที่ 67 ค่ำคืน ลับๆ ล่อๆ
ตู๋กูจุนทำเหมือนตอนที่นางยังเป็นเด็กน้อย จะต้องเล่านิทานก่อนนอนให้นางฟังก่อน จึงจะยอมให้นางเข้านอนได้
เพียงแต่นิทานของเขานั้นแสนสยดสยอง อะไรนิดอะไรหน่อยก็ฆ่าคนวางเพลิง ชนิดที่ว่าฟังแล้วตู๋กูซิงหลันปราศจากความง่วงเหงาหาวนอนแม้แต่น้อย ในสมองเต็มไปด้วยภาพซากศพเกลื่อนภูเขาล้นทะเล
เมื่อหัวค่ำลูกน้องใต้บังคับบัญชาของเขานำสมุดบัญชีและกุญแจคลังสมบัติในเมืองหลวงทั้งหมดมาส่ง
ฟังว่าเพราะเรื่องนี้นางเจียงซื่อถึงขนาดกระอักเป็นเลือด โกรธแทบเป็นแทบตายแล้ว
ตู๋กูจุนเอาสิ่งของทั้งหมดนั่นมอบให้ตู๋กูซิงหลัน ค่อยถามนางว่า “น้องเล็ก พี่ใหญ่จำได้ว่า ก่อนเจ้าเข้าวัง บ้านเราจัดเตรียมสินเดิมให้เจ้าไปไม่น้อย ทำไมเจ้าถึงกลายเป็นยากจนขนาดนี้ไปได้? “
“หืม? ” ตู๋กูซิงหลันงงงันไปเล็กน้อย……..นางไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนเลยว่าตนเองเคยมีสินเดิมอีกกองใหญ่
เชียนเชียนเองก็ไม่เคยพูดถึง
“ไม่ใช่ว่า แอบเอาไปให้ไอ้คนไม่ได้เรื่องจีเย่ว์นั่นแล้ว? ” ตู๋กูจุนจ้องมองนางเขม็ง “หรือว่าถูกเจ้าฮ่องเต้สุนัขจีเฉวียนนั่นยึดเอาไว้? “
ตู๋กูซิงหลันนวดศีรษะ ในอ้อมอกมีสมุดบัญชีและกุญแจคลังสมบัติที่ได้คืนมาจากนางเจียงซื่ออยู่ “วันหน้าข้าจะลองนึกๆ ดู….”
หึ ผู้ที่กล้าริบสินเดิมของข้า ประหารก่อน ค่อยสอบถามทีหลัง!
ตู๋กูจุนตาเป็นประกายวูบหนึ่ง เขารู้เรื่องที่น้องเล็กเสียความทรงจำ แต่นึกไม่ถึงว่าแม้แต่เรื่องสินเดิมของตนเองนางก็ลืมไปด้วย
หากให้นางได้รู้ว่า สินเดิมของตนเองยังมากมายก่ายกองกว่าสมบัติพัสถานทั้งหมดของบ้านของโหยวหยู…… เกรงว่านางคงโกรธกริ้วจนนอนไม่หลับทั้งคืนแน่
…………………………………………………………….
ยามดึกคืนนั้น ตู๋กูซิงหลันที่หลับสนิทอยู่พลันได้กลิ่นคาวโลหิตจนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
สายลมภายนอกพัดโหม ส่งเสียงหวีดหวิว กลางคืนมืดมิด มีเพียงแสงดาวกระพริบเล็กน้อย ต้นไฮ่ถางไหวเอน เงาไม้ทอดลงบนกรอบหน้าต่าง กิ่งไม้ที่เสียดสีกับขอบหน้าต่างส่งเสียงครืดๆ
ตู๋กูซิงหลันหันหน้ามองไปโดยรอบ ก็เห็นแต่เพียงเชียนเชียนที่นอนอยู่บนเตียงด้านข้างหลับสนิทไปแล้ว สาวน้อยนี่หลับลึกยิ่งนัก ต่อให้ฟ้าผ่าลงมายังไม่รู้สึกตัว
ผ่านไปอีกครู่กลิ่นคาวโลหิตยิ่งทียิ่งเข้มข้น
นางตัดสินใจกลั้นลมหายใจเอาไว้ เท้าข้างหนึ่งก็เขี่ยปลุกเจ้าวิญญาณทมิฬที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมา มือข้างหนึ่งก็ล้วงเอายันต์สีเหลืองออกมาแผ่นหนึ่ง
เจ้าวิญญาณทมิฬกรอกตาด้วยความง่วงงุน ครั้นรู้สึกได้ถึงธาตุหยินที่เข้มข้นก็ได้สติคึกคักขึ้นมา
” ฮัดช่า มีไอ้ตัวแสบที่ไหนมารึ? วะ ฮ่ะ ฮ่า อาหารของอั๊วมาแล้ว! ” มันส่งเสียงไม่ทันขาดคำ ตัวอ้วนกลมก็ทำท่าจะกระโดดดึ๋งออกไปแล้ว
ยังไม่ทันจะได้ออกไป ก็ได้ยินเสียงเอี๊ยดเบาๆ จากปากประตู เงาดำขุมหนึ่งย่างกรายเข้ามาด้วยมือเท้าที่เงียบเฉียบ มุ่งตรงมาที่นาง
ตู๋กูซิงหลันแกล้งทำเป็นหลับใหล เพียงครู่เดียวก็รู้สึกถึงกระแสธาตุหยินที่ไหลบ่าเข้ามา
และเพราะทั้งธาตุหยินและกลิ่นคาวคละคลุ้งปนกัน ยิ่งทำให้ได้กลิ่นแล้วยิ่งรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัวมากขึ้น
เงาดำนั่นเดินมาถึงข้างเตียงของนาง ภายใต้ผ้าคลุมหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มแสยะที่โหดเ**้ยม คนผู้นั้นยื่นมือออกมาจากผ้าคลุม ในมือมีกระดิ่งอยู่อันหนึ่ง ยามที่คนผู้นั้นกำลังจะสั่นกระดิ่งตู๋กูซิงหลันพลันลืมตาขึ้นมา
เงาดำผู้นั้นชะงักไปเล็กน้อย ปฎิกิริยาตอบกลับแรกยังคงพยายามจะสั่นกระดิ่งอีกครั้ง แต่พลันพบว่าตนถูกตู๋กูซิงหลันคว้ามือเอาไว้ ชิงเอากระดิ่งไป ทั้งยังยิ้มให้บางๆ “น้องสาว เจ้าวิ่งมาหาเราทั้งยามดึกเพราะคิดจะเอาของขวัญมาให้หรือ? “
“ให้ของขวัญก็ให้ของขวัญสิ เจ้าจะต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ไปเพื่อ? ” ตู๋กูซิงหลันกุมกระดิ่งนั่นไว้ในมือ สายตาก็จดจ้องไปยังตู๋กูเหลียน
ตู๋กูเหลียนในยามนี้ ดวงตาเปี่ยมไปด้วยเส้นเลือด ด้านหลังของนางยังมีเงาผีสีแดงที่ผอมยาวตนหนึ่ง ผีนั่นเกาะอยู่บนหลังของนาง นิ้วมือที่ยาวเฟื้อยเกาะกุมอยู่รอบคอของนาง แสยะยิ้มหัวเราะออกมา ทั้งยังใช้ดวงตาโลหิตคู่นั้นจ้องมองตู๋กูซิงหลัน ในดวงตามีความตะกละตะกลามเล็ดลอดออกมา
ตู๋กูซิงหลันกลับรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง เมื่อมาถึงโลกมิตินี้ นางอย่างมากก็ได้เจอแต่ผีโดดเดี่ยวในตำหนักเย็น ต่อมาก็เผชิญกับผึ้งพิษของหยวนเฟย สิ่งที่เผชิญอยู่เบื้องหน้านี้กลับเป็นครั้งแรก
วิญญาณชุดแดงนั่นเป็นวิญญาณผีตายโหง มีพลังมากกว่าวิญญาณทั่วไป
เมื่อตายแล้วจิตวิญญาณไม่สลายแต่รวมตัวกับความแค้นและธาตุหยินจนเป็นร่างเดียว อาศัยความแค้นเสาะหาและสิงสู่ร่างใหม่ และดูดกลืนพลังชีวิตของร่างสถิตตลอดเวลา กระทั่งร่างสถิตอ่อนล้าจนตาย แม้ตายแล้วจิตก็ยังต้องถูกวิญญาณตายโหงเหล่านี้ดูดกลืนกินลงไป ไม่อาจไปผุดไปเกิดใหม่ได้ตลอดชาติ
วิญญาณพวกนี้ยามกลางวันหลบซ่อนในร่างสถิต ยามค่ำคืนจึงค่อยออกมา แต่การเข้ามาสิงสถิตเช่นนี้ปกติย่อมต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของร่างเดิมจึงจะเกิดขึ้นได้
ตู๋กูเหลียนจะต้องมีความเคียดแค้นถึงเพียงไหนถึงได้ยินยอมขายตนเองทิ้งแบบนี้? “
ไม่น่าละเมื่อกลางวันนี้นางถึงได้รู้สึกว่าตู๋กูเหลียนมีท่าทีไม่ถูกต้อง
เจ้าวิญญาณทมิฬกลับน้ำลายไหลขึ้นมาแล้ว หากไม่ใช่ว่าตู๋กูซิงหลันยังรั้งมันไว้ ตอนนี้มันคงปรี่เข้าไปจัดการแล้ว
ตู๋กูซิงหลันทำเสมือนว่ามองไม่เห็นวิญญาณตายโหงนั้น นางลุกขึ้นมานั่ง สางผมที่ข้างหู ” ข้าเดาว่าเจ้ามาเพื่อแสดงความขอบคุณสินะใช่ไหม? เพราะว่า ครั้งนี้ที่เจ้าสามารถออกจากลานซักล้างได้ ก็เป็นเพราะผลงานของเราและพี่ใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย”
ตู๋กูเหลียน “…..” นังคนชั่วนี่ช่างหน้าหนานัก!
“เราเข้าใจแล้ว นิสัยเจ้าหยิ่งทนง อยู่ต่อหน้าผู้คนย่อมไม่อาจยอมลงให้เราได้ ถึงได้ต้องมาขอบคุณเอายามดึกดื่นเช่นนี้” ตู๋กูซิงหลันพูดจบก็ยื่นมือมาลูบศีรษะตู๋กูเหลียนแผ่วเบา ธาตุหยินซึมอยู่เพียงแค่ผิวกาย ผีตายโหงนั่นพึ่งเข้าสิงได้ไม่นาน
หากว่าตู๋กูเหลียนยอมกลับใจ ก็ยังสามารถช่วยเหลือได้
สำนักอาจารย์มีกฎบัญญัติอยู่ ร่างสถิตที่ถูกผีเข้า หากช่วยได้ต้องช่วย หากช่วยไม่ได้ยังถือว่าถูกขอร้อง
ตู๋กูเหลียนขมวดคิ้วนิ่ง ยามตู๋กูซิงหลันสัมผัสนาง ทำให้นางรู้สึกรังเกียจเกินทน
ถือเสียว่าทำเพื่อสำนักอาจารย์ก็แล้วกัน ตู๋กูซิงหลันกล่าวช้าๆ ด้วยความจริงใจ “พวกเราต่างก็เป็นคนตระกูลตู๋กูเหมือนกัน มีบรรพชนเดียวกันสมควรร่วมเป็นร่วมตาย หากอยู่ร่วมรังเดียวกันแต่โจมตีกันเองย่อมมีแต่สองฝ่ายสูญเสีย เจ้าเป็นเด็กฉลาด สมควรรู้ว่า อยู่ฝ่ายเดียวกับเราจึงจะเป็นทางที่ดีที่สุด”
” มาๆ บอกเรามาสิเจ้าลำบากขัดข้องตรงไหน เราจะช่วยเจ้าเอง”
ตู๋กูเหลียนอยากจะหัวเราะนัก ดูนังตัวร้ายนี่ร้อนรนเข้าสิ ไม่รู้เลยว่ามันเอาความมั่นอกมั่นใจมาจากไหนกัน”
นางเกลียดชังมันเข้ากระดูกดำ มีหรือจะยอมศิโรราบต่อมัน?
มันคิดหรือว่า แค่มีหน้าตาดีสักหน่อย พูดจาหวานหูสักหน่อยคนอื่นก็จะพากันหลงเชื่อมันแล้ว?
ดูท่าทางของของนังตัวร้ายนี่สิ ทึกทักเอาเองว่านางจะต้องยอมอยู่ข้างมัน มอบใจกายทุกอย่างให้มันอย่างซื่อสัตย์
นางยิ้มเย็น ค่อยแสร้งทำสีหน้าหดหู่น่าสงสารออกมา กล่าวกับตู๋กูซิงหลันว่า “พี่สาว ข้าไม่เคยคิดเลยว่าท่านจะเป็นคนดีขนาดนี้ ท่านพูดถูกแล้วเจ้าค่ะ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”
ตู๋กูซิงหลันพลันมีสีหน้า ‘ปลาบปลื้มใจ’ ตั้งใจฟังตู๋กูเหลียนพูดต่อ “ข้ามีความลับบางอย่างจะบอกท่านเจ้าค่ะ”
“หืม? ” ตู๋กูซิงหลันใช้ดวงตาเปล่งประกายยินดีจ้องมองนาง “ว่ามาเลยสิ”
” ครั้งก่อนที่ท่านเกือบจะต้องเสียโฉม เป็นเพราะเต๋อเฟยบงการให้ฉีผินลงมือทำเจ้าค่ะ น่าเสียดายช่างปากแข็งนัก ทั้งที่ผ่านมาก็หลายวันแล้ว แต่กรมราชฑัณฑ์กลับสืบไม่ได้อะไรเลย”
ตู๋กูเหลียนพูดไปๆ ก็ก้มหน้าลง ท่าทางสำนึกผิดอย่างที่สุด “ที่จริง วันนั้นเต๋อเฟยมาหาข้า แต่ตัวข้าถูกกักอยู่ในล้างซักล้างอย่างไรก็ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นจึงได้ปฎิเสธไป และเพราะก่อนหน้านี้ข้าโกรธแค้นท่านอย่างมาก จึงไม่ได้บอกท่านก่อน ท่านไม่โกรธข้าใช่ไหมเจ้าคะ? “
ตอนที่ 68 คืนนี้ มันจะกินให้อิ่มเลย
ตู๋กูซิงหลันคลี่ยิ้มบางๆ ในดวงตาสะท้อนความเย็นชาวูบหนึ่ง “ไม่เป็นไร ก่อนหน้านี้เราก็เคยเกลียดเจ้า ย่อมไม่ถือโทษเจ้าเช่นกัน”
ตู๋กูเหลียน “…….”
ดู๊ดูนังสวะนี่สิ มีโอกาสเมื่อไหร่เป็นต้องเสแสร้งทำตนเป็นคนดีที่สูงส่ง น่ารังเกียจนัก!
น่าเสียดายที่กระดิ่งของนางถูกมันยึดไปเสียแล้ว นางก็ไม่กล้าบังคับขอคืน จำต้องอดทนฝืนตอบไปว่า “ขอเพียงพวกเราเกลี้ยกล่อมฉีผินได้ ให้นางสารภาพว่าเป็นเต๋อเฟยที่บงการ ตัวอันตรายเช่นเต๋อเฟยก็ต้องถูกกำจัดแน่ไม่ใช่หรือเจ้าคะ? “
ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ใช่สายตากระจ่างใสปานท้องฟ้าสอบถามนาง “ไยจึงต้องทำเรื่องยุ่งยากถึงเพียงนั้น ในเมื่อตอนนี้เจ้าก็อยู่ฝ่ายเดียวกับเราแล้ว แค่เจ้ากราบทูลฝ่าบาท ก็เพียงพอแล้วละมั้ง? “
“พี่สาว ท่านนี่โง่ไปแล้วหรือ? พวกเราต่างก็เป็นคนตระกูลตู๋กูเหมือนกัน เอาคำพูดปากเปล่าไร้หลักฐานของข้าไปชี้ตัวเต๋อเฟย? ท่านคิดว่าฮ่องเต้จะทรงเชื่อหรือเจ้าคะ? “
ตู๋กูเหลียนแทบอยากจะบ้าตายเพราะความโง่เง่าของนางแล้ว
ตู๋กูซิงหลันงงงันไปชั่วขณะ ค่อยได้สติกลับมา นางนวดขมับแรงๆ หลายครั้ง “เจ้าพูดถูกแล้ว เป็นข้าที่คิดง่ายเกินไป”
พอนางออกปากเช่นนี้ดวงตาของตู๋กูเหลียนก็ส่องประกายของความสมใจขึ้นมาวูบหนึ่ง นางบอกแต่แรกแล้ว ว่านางคนไม่ได้เรื่องเนี่ยเอาสมองไปแลกกับหน้าตามา ดูสิ แค่พูดเพียงไม่กี่คำก็ทำให้นางคล้อยตามได้แล้วไม่ใช่หรือ?
“โชคดีที่พี่สาวท่านออกจากวังมาช่วงนี้พอดี คราวนี้พวกเราจะได้มีโอกาสไปที่กรมราชทัณฑ์ ขอเพียงท่านไปรับปากกับฉีผินจะช่วยรักษาชีวิตนางด้วยตัวเอง ปกป้องครอบครัวนางให้ปลอดภัย ข้าเชื่อว่าฉีผินจะต้องยอมชี้ตัวเต๋อเฟยแน่” ตู่กูเหลียนชักชวนอย่างมุ่งมั่น
พูดจบแล้ว นางก็ล้วงเอาจดหมายลับฉบับหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ “อย่าว่าแต่…….ฉีผินเองก็เคยขอร้องข้า ให้ข้านำจดหมายนี้มาให้ท่านเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ข้าเกลียดชังท่าน ไม่คิดจะมอบมันให้ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว….”
พูดแล้วนางก็มอบจดหมายให้ตู๋กูซิงหลัน
ตู๋กูซิงหลันเปิดออกดู เห็นเพียงบนกระดาษมีอักษรหวัดๆ ว่า “ไทเฮา โปรดช่วยชีวิตหม่อมฉัน”
“ข้าคิดว่านางคงจะคิดได้แล้ว รู้ดีว่ามีแต่พี่สาวถึงจะช่วยชีวิตนางได้ ถึงได้รีบออกตัวขอร้อง ” ตู๋กูเหลียนว่าต่อ “ในเมื่อฉีผินเองก็มีใจคิดขอร้อง เช่นนี้พี่สาวก็ยิ่งสามารถเกลี้ยมกล่อมนางได้ง่ายขึ้นไม่ใช่หรือเจ้าคะ? “
คำพูดของนางเปี่ยมไปด้วยเหตุผล นางไม่เชื่อหรอกว่าตู๋กูซิงหลันจะไม่หลงเชื่อ
ว่าแล้วไง เพียงแค่ได้เห็นจดหมายสีหน้าของตู๋กูซิงหลันก็พลันเปลี่ยนไป หางตาหัวคิ้วของนางเผยความคิดว่าเชื่ออย่างสนิทใจออกมา “ฉีผินคนนี้ก็เป็นคนที่รู้คิด ขอเพียงนางยอมรับแต่โดยดี เราย่อมต้องช่วยนาง”
“อ้ายหยา งั้นพี่สาวท่านยังรออะไรอยู่อีกละเจ้าคะ? ฉวยโอกาสที่ฟ้ายังมืดค่ำ ผู้คนบางตา พวกเรารีบไปที่กรมราชทัณฑ์ หากรอจนฟ้าสว่างก็คงไม่ทันแล้ว ” ตู๋กูเหลียนดึงแขนเสื้อนางอย่างร้อนรน
กรมราชทัณฑ์อยู่นอกวัง ห่างจากจวนตระกูลตู๋กูไปไม่ไกล เพียงแค่ถนนข้างๆ เท่านั้น
ตู๋กูซิงหลันก็ทำท่าพึ่งจะคิดได้ในตอนนั้นเอง “ใช่ๆๆ รอช้าไม่ได้ พวกเรารีบไปกัน”
ว่าแล้ว นางก็รีบลงจากเตียง คว้าเอาเสื้อคลุมได้ตัวหนึ่งออกไปอย่างรีบร้อน
เดินพลางเร่งตู๋กูเหลียนไปตลอดทาง “น้องสาว เจ้าเร็วหน่อย”
ตู๋กูเหลียนมองตามเงาหลังของนางที่ออกไปอย่างผลุนผลัน มุมปากก็ค่อยๆ ยกยิ้มขึ้นมา นังโง่เอ๋ย …..ออกไปตายด้วยสภาพแบบนี้ช่างน่าดูแท้ๆ
วิญญาณผีตายโหงบนหลังของนางก็แสยะยิ้มสยดสยอง
คืนนี้ มันจะกินให้อิ่มเลย
………………………………………
ค่ำคืนนี้คล้ายจะหนาวเย็นเป็นพิเศษ ยามที่ตู๋กูซิงหลันออกไปนั้น แม้แต่ดวงดาวก็ดูจะถูกก้อนเมฆบดบังเอาไว้
ประตูใหญ่ของกรมราชทัณฑ์ปิดสนิท ด้านหน้าประตูแขวนโคมใหญ่สีขาวซีดจางเอาไว้สองดวง โคมถูกลมพัดจนแกว่งไปมาทั้งซ้ายและขวา ลมหนาวพัดผ่านซอกคอเข้าไปข้างในตัว พาลให้คนรู้สึกเจ็บแสบไปทั้งผิวกาย
ตู๋กูเหลียนท่าทางคุ้นเคยกับที่นี่เป็นพิเศษ พาตู๋กูซิงหลันเข้าไปทางประตูเล็กๆ บานหนึ่ง พูดไปก็ช่างประหลาดนัก กรมราชทัณฑ์ที่ยิ่งใหญ่แท้ๆ กลับมีเวรยามเพียงน้อยนิด ต่อให้บังเอิญพบเจอ แต่ละคนก็ง่วงเหงาหาวนอนดุจหมาเฝ้าหลับ
กระทั่งพวกนางเข้าไปจนถึงคุกจองจำภายใน ได้เจอฉีผินแล้ว ก็ยังไม่มีใครพบเห็นพวกนาง
“พี่สาว พวกเราช่างโชคดีนักเจ้าค่ะ “
“จริงด้วย เพราะเจ้าช่วยแท้ๆ ” ตู๋กูซิงหลันหันมายิ้มให้
นางหันหลังให้ตู๋กูเหลียน มองตรงไปยังฉีผินที่ถูกขังอยู่ในคุก
ครั้งก่อนตอนที่เจอฉีผินในคุกของวังหลวงนั้น นางเพียงแต่เปลือยหน้าปลดเครื่องประดับ จะอย่างไรยังดูเป็นผู้เป็นคนอยู่บ้าง
คิดไม่ถึงว่าพอถูกย้ายมาที่กรมราชทัณฑ์นี้แล้ว จะถูกทรมานจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเช่นนี้ ผมเผ้ารุงรังทั่วใบหน้า ดวงตาแทบปูดโปนออกมา ไหนเลยจะมีเค้าความงามหลงเหลืออยู่
“ฉีผิน ” ตู๋กูซิงหลันส่งเสียงเรียกนางครั้งหนึ่ง
ฉีผินที่คุดคู้อยู่มุมหนึ่งก็ขยับคอขึ้นมา ค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างช้าๆ เดินกระปกกระเปรี้ยเข้ามาหานาง ยื่นสองมือที่ผอมแห้งออกมานอกลูกกรง บนเล็บดำยาวสกปรกมีกระทั่งตัวหนอนเกาะอยู่
ดวงตาที่ปูดโปนนั่นจดจ้องมาที่ตัวของตู๋กูซิงหลัน
ถูกขังอยู่ในคุกได้รับความทุกทรมานมากมาย ในที่สุดก็รอคอยจนนังตัวร้ายนั้นมาตายแล้ว
เพื่อวงศ์ตระกูลแล้ว นางกัดฟันไม่แพร่งพรายสิ่งใดออกไปแม้สักครึ่งคำ แต่อย่างไรก็ไม่อาจทนรับความทรมานขนาดนี้ได้ ยิ่งเมื่อคิดถึงเรื่องที่คนชุดดำนั่นบอกให้ตอนที่อยู่ในคุกของวังหลวง คนชุดดำนั่นบอกไว้ว่า หากอยากรอดชีวิต ให้ไปหาไทเฮา
อ่า……..ตู๋กูเหลียนเป็นเพียงแค่ไทเฮาในตำหนักเย็นเท่านั้น จะช่วยนางสำเร็จได้อย่างไร?
คนเดียวที่จะช่วยเหลือนางได้ ก็คือเต๋อเฟยเท่านั้น
เพราะเช่นนี้นางจึงติดต่อกับซิ่วเหอคนสนิทข้างกายของเต๋อเฟย บอกเล่าเรื่องราวของคนชุดดำให้ฟัง
ซิ่วเหอผู้นั้นเป็นคนเฉลียวฉลาด บอกให้นางวางแผนซ้อนแผน หากว่านางสามารถล่อลวงตู๋กูซิงหลันออกมาได้ละก็ พระสนมเต๋อเฟยจะช่วยเหลือนางออกไปโดยไม่เสียดายกับการต้องแลกสิ่งใด ทั้งยังจะปกป้องครอบครัวของนางทั้งหมดให้ปลอดภัย
ตอนแรกนางคิดว่า ตู๋กูซิงหลันจะจิตใจดีและโง่เขลาถึงขนาดไหนกัน? จึงจะยอมมาช่วยเหลือนาง”
แต่นังนี่กับโง่เง่าถึงที่สุด ถึงกับมาที่นี่จริงๆ
ทุกวันนี้ที่นางต้องตกต่ำจนเป็นเช่นนี้ ล้วนเป็นความผิดของนังคนชั่วนั่น! มันถึงจะเป็นคนที่สมควรจะต้องถูกจับขังทรมาณอยู่ในคุกที่มืดมิดและเน่าเหม็น!
ตู๋กูซิงหลันมองเห็นสายตาที่ทอประกายอำมหิตอย่างรุนแรงของนาง ก็กล่าวอย่างเรียบๆ ว่า “เรามาเพื่อช่วยเจ้า”
“ใช่แล้วพี่สาวฉีผิน พี่สาวของข้าสงสารเจ้า พอได้รับจดหมายของเจ้าก็รีบร้อนมาโดยทันทีเลย ” ตู๋กูเหลียนที่อยู่ข้างๆ รีบพูดพลาง ฉวยจดหมายฉบับนั้นออกมาให้ดู
ฉีผินหันไปมองนางวูบหนึ่ง ท่าทางที่น่ากลัวประหนึ่งภูติผีของนาง ดูแล้วคุกคามผู้คนยิ่งกว่านางเสียอีก
ในเมื่อจดหมายนั้นส่งถึงมือนางได้ แสดงว่าตู๋กูเหลียนกับเต๋อเฟยคงร่วมมือกันแน่
ฉีผินจึงตอบว่า “สถานที่แบบนี้ข้าไม่อยากอยู่ต่อไปแม้เพียงครู่เดียว ขอไทเฮาทรงช่วยข้าออกไปโดยเร็ว ท่านอยากรู้อะไรข้าจะบอกท่านทั้งหมด”
พอนางพูดจบตู๋กูเหลียนที่ฟังอยู่ก็หัวเราะออกมา “พี่สาวฉีผิน ท่านจะรีบไปไหนกัน พี่สาวของข้าเป็นถึงไทเฮา ย่อมมีความสามารถที่จะช่วยเหลือท่านได้แน่”
นางพูดไปก็ลูบบ่าไหล่ของของตู๋กูซิงหลันไปด้วย “พี่สาว ท่านว่าใช่หรือไม่เจ้าคะ? “
ขณะที่นางพูดอยู่นั้น ผีตายโหงในชุดแดงด้านหลังก็อาศัยมือของนางคืบคลานตามออกไปเสมือนกิ่งไม้ที่เหยียดยาวทอดไปยังตัวตู๋กูซิงหลัน
ตู๋กูซิงหลันที่ยืนอยู่กับที่ เพียงรู้สึกว่าทั่วทั้งร่างเกิดความหนาวเย็น ความเย็นสะท้านขุมหนึ่งกดทับลงมา ยามนี้กว่าครึ่งร่างของผีตายโหงนั่นปีนมาอยู่บนตัวของนางแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น