ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 607-610

 ตอนที่ 607 ทั้งปวดตา และปวดใจ

 

ซูเยาพูดพลางก็ยกสองนิ้วขึ้นมาทำท่าราวกับกล่าวคำสาบานอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


ต๋าจี่มองดูเขาแวบหนึ่ง จากการแสดงออกของนางดูไม่ออกเลยว่านางมีน้ำใจต่อน้องชายที่โง่เขลาเพียงนี้สักเท่าไร 


 


 


เพราะแม้แต่ดวงตาที่แสนจะงดงามคู่นั้นก็ยังทอแววรังเกียจเดียดฉันท์ 


 


 


“รั้งตัวคนเอาไว้ก็ไม่อาจรั้งใจคนได้อยู่ดี โง่จริงๆ!” 


 


 


นางเอ่ยเสียงเย็นชา พลางสะบัดมือเสียงดังพรึ่บพรั่บ สะกิดปลายเท้าขึ้นมา คนก็เหาะออกไปด้านนอกทั้งตัวแล้ว 


 


 


“ขอบพระคุณอาเจ้ที่ส่งเสริม!” ซูเยาประคองมือคำนับแผ่นหลังของนาง ด้วยท่าทางที่ซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเคยรู้จักแต่ซูเยาที่วางท่าหยิ่งทนงอยู่เสมอ เมื่ออยู่ต่อหน้าต๋าจี่ที่เป็นพี่สาวจึงเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นซูเยาทำตนเป็นน้องชาย 


 


 


ท่านเจ้าสำนักไม่สนใจแม้แต่จะเหลือบแลเงาหลังของต๋าจี่เสียด้วยซ้ำ 


 


 


เขาก้าวเท้าไปที่ข้างกายศิษย์น้อย มองดูร่องรอยบอบช้ำบนลำคอของนาง สายตาก็มืดครึ้มลงไปอีกหลายส่วน 


 


 


ฟ่านอิงกลับหันไปมองดูทิศทางที่ต๋าจี่เหาะจากไปแวบหนึ่ง 


 


 


เมื่อครู่พอได้ยินต๋าจี่เอ่ยถึง ‘ฝ่ายนั้น’ และ‘เขา’ ขึ้นมา ฟ่านอิงก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร 


 


 


“อาหลัน! ข้าคิดถึงเจ้ามากเลย!” ยามนี้ ซูเยาถึงได้กางสองแขนออกกว้าง คิดจะกอดตู๋กูซิงหลันให้เต็มรัก 


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่ได้หลบ แต่เพราะถูกท่านเจ้าสำนักดึงไปด้านข้างอย่างกระทันหัน ร่างจึงไหววูบด้วยความเร็วไวแสงราวกระพริบตา 


 


 


ซูเยาก็เปลี่ยนทิศทางหันตามไป 


 


 


โผเข้าไปกอดรัดเอาไว้อย่างเต็มที่ 


 


 


อืม ร่างที่อยู่ในอ้อมแขนเย็นยะเยือกไปทั้งตัว แม่เอ๋ยตัวเย็นราวกับเป็นศพ 


 


 


พอลืมตามองขึ้นมา ก็พึ่งจะได้เห็นว่าเขาถึงกับกอดจีต้าฉุยเข้าไปเสียเต็มเปา! 


 


 


ท่านเจ้าสำนักตัวสูงกว่าซูเยา แลดูเหมือนจะผอม แต่ที่จริงก็บึกบึนพอควร 


 


 


พอกอดลงไป ก็มีแต่อะไรแข็งๆ 


 


 


ท่านเจ้าสำนักหลุบตาลง ดวงหน้าที่เดิมไร้อารมณ์ตอนนี้แสดงสีหน้าปฏิเสธอย่างชัดเจน 


 


 


“บุรุษสตรีไม่อาจใกล้ชิด” 


 


 


ซูเยา “เจ้ามันไม่ใช่สตรีเสียหน่อย!” 


 


 


ตอนนี้เขาขยะแขยงเสียจนแทบจะอยากตัดกรงเล็บจิ้งจอกของตนเองทิ้งไปแล้วด้วยซ้ำ! 


 


 


ท่านเจ้าสำนัก “บุรุษกับบุรุษก็ไม่อาจใกล้ชิดด้วยเช่นกัน เจ้าอย่าได้มาคิดเพ้อฝันกับข้า ข้าไม่คิดจะสนใจเจ้า” 


 


 


ซูเยา “++!” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันที่อยู่ด้านข้างถึงกับตกตะลึงไปแล้ว 


 


 


อาจารย์ต้าฉุยก็เป็นคนมีมุขขำขันหรือนี่? 


 


 


เห็นซูเยาที่โกรธแค้นจนแทบจะกระอักเลือด ตู๋กูซิงหลันก็ต้องรู้สึกเห็นใจขึ้นมาอย่างเงียบๆ 


 


 


“อาหลัน….” 


 


 


ซูเยารีบหันไปหาอาหลัน ด้วยแววตาทอประกายของร้อง 


 


 


ที่สื่อความหมายอย่างชัดเจนราวกับจะบอกว่า ‘ต้าฉุยผู้นั้น เขารังแกข้าอีกแล้ว’ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยกมือขึ้นมา คิดจะลูบไล้ขนปุกปุยบนศีรษะของเขา ท่านเจ้าสำนักก็ดึงคนถอยกลับไปใกล้ๆในทันที 


 


 


“ศิษย์น้อย…..” 


 


 


สีหน้าของเขาเรียบเฉย แต่ว่าน้ำเสียงกลับสามารถเรียนรู้มาจากซูเยาอยู่หลายส่วน 


 


 


นั้นเป็นน้ำเสียงที่แฝงความออดอ้อนเอาไว้ 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “! ! !” จะว่าอย่างไรดี ชั่ววินาทีนั้น อยู่ๆนางก็รู้สึกกลัวจนขนลุกขึ้นมาครึ่งร่าง 


 


 


ต่างก็เป็นยอดบุรุษโฉมงามเหมือนกัน ยามที่ซูเยาทำท่าออดอ้อนไปบ้าง ก็นับว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เห็นอยู่บ่อยๆ 


 


 


แต่ว่ายามที่ท่านเจ้าสำนักหยินหยางทำขึ้นมาบ้างนั้น ภาพที่ได้เห็นยังดูน่ากลัวเสียยิ่งกว่าหนังผีเสียอีก!” 


 


 


ท่านเจ้าสำนักชักจะเริ่มสงสัยในตัวเองขึ้นมาเสียแล้ว เขายังหน้าตาน่ากลัวกว่าผีสางอีกหรือ? ถึงได้ทำให้ศิษย์น้อยตกใจถึงเพียงนั้น? 


 


 


สมควรจะกลับกันมากกว่า ซูเยาต่างหากที่หน้าตาเหมือนผี 


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านเจ้าสำนักจึงเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ศิษย์น้อย เจ้ารู้สึกว่าอาจารย์ไม่น่าดูกระนั้นหรือ?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันขนลุกซู่ยังไม่ยอมหาย ก็เห็นท่านเจ้าสำนักกระพริบตาปริบๆ 


 


 


แต่ท่าทางเช่นนั้น มองดูก็รู้ว่าเขาพยายามเล่นหูเล่นตา แต่ก็ทำได้ไม่สำเร็จ 


 


 


นางรู้สึกว่าโลกนี้มีภาพหลอนหรือเปล่า 


 


 


หรือว่าบนหุบเขาหมื่นปีศาจจะมีอาถรรพ์อะไรบ้างอย่าง ดูสิ ท่านเจ้าสำนักตอนนี้….อยู่ๆก็เหมือนถูกผีเข้า 


 


 


ท่านเจ้าสำนัก “……” 


 


 


ช่างเถอะ สมองของศิษย์น้อยเหมือนทำมาจากท่อนซุง ให้คิดอย่างไรก็คงคิดไม่ออก! 


 


 


ในหัวใจมีแต่ความหงุดหงิด จนต้องปิดวิชาอ่านใจทิ้ง 


 


 


เพราะเกรงว่าหากยังอ่านใจของศิษย์น้อยต่อไป มีหวังต้องถูกนางยั่วโมโหจนโกรธตาย! 


 


 


ตู๋กูซิงหลันต้องใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งถึงได้สามารถสงบศึกระหว่างท่านเจ้าสำนักกับซูเยาลงได้ 


 


 


จากนั้นก็รีบเปลี่ยนหัวข้ออย่างว่องไวว่า 


 


 


“เอาละเอาละ พวกเรามาพูดเรื่องสำคัญกันดีกว่า” 


 


 


ท่านพี่ต๋าจี่เหาะไปแล้ว ช่วงระยะสั้นๆคงยังหาตัวไม่พบ ตู๋กูซิงหลันถึงค่อยคิดขึ้นมาได้ว่าพี่รองที่ปากมากของตนนั้นนอนรออยู่ที่นี่ จึงได้หันไปถามซูเยา 


 


 


ด้านนอกประตู ตู๋กูเจวี๋ยที่เจ็บปวดจนสลบไปหลายครั้ง ตอนนี้ถึงกับดีใจซาบซึ้งจนน้ำตาไหลพราก 


 


 


ในที่สุดน้องเล็กก็จำได้แล้วใช่ไหม? ว่าในโลกนี้ นางยังมีพี่ชายอย่างเขาอยู่คนหนึ่ง 


 


 


ฮือ ฮือ ฮือ ดีใจเหลือเกิน อยากจะร้องไห้แล้ว 


 


 


เจ้าปีศาจสุนัขน้อยจึงได้ค่อยๆลากตู๋กูเจวี๋ยที่จะตายแหล่มิตายแหล่เข้ามา 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเห็นพี่รองของตนเอง ก็รีบขยับเข้าไปหา ยื่นมือไปรับตัวเขามาจากเจ้าสุนัขปีศาจน้อย 


 


 


นางรู้จักจับชีพจรอยู่บ้าง จึงถือโอกาศนี้จับชีพจรไปพร้อมกัน  


 


 


ชีพจรไม่ค่อยสม่ำเสมอ ไหลสะดุดอยู่ตลอดเวลา พิษที่รุนแรงนั้นถูกสกัดเอาไว้ในเส้นลมปราณพิเศษทั้งแปด ตอนนี้ยังมิได้กำเริบออกมาแต่อย่างใด 


 


 


ต้องขอบคุณบิดาคนงามที่มอบร่างกายที่แข็งแกร่งเพียงนี้ให้กับเขา 


 


 


หากว่าพี่รองเป็นเพียงแค่คนธรรมดาผู้หนึ่ง เกรงว่าคงเน่าตายไปตั้งนานแล้ว 


 


 


เพียงแต่ไม่รู้ว่าพิษนี้จะสามารถยับยั้งเอาไว้ได้นานแค่ไหน หากว่ากำเริบขึ้นมาอีกครั้ง เกรงว่าร่างกายที่เป็นสายเลือดมังกรทมิฬเพียงครึ่งเดียวคงจะต้านทานไม่อยู่ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันย่อมทั้งห่วงและกังวลใจ 


 


 


“อาหลัน ไปพูดคุยกับพี่ชายเจ้าที่ตำหนักของข้าเถอะ ตำหนักหลักหนาวเย็นเกินไป จะทำให้เจ้าไม่สบายเปล่าๆ” 


 


 


ซูเยาพยายามทำให้นางรู้ถึงการคงอยู่ของตัวเขาอยู่ตลอดเวลา 


 


 


ถึงจะเป็นตัวสำรอง ก็ต้องมีคุณค่าของตัวสำรองไม่แน่ว่าอาจจะสร้างความรู้สึกดีๆเพิ่มขึ้นมาก็เป็นได้ ถึงตอนนั้นจะได้เปลี่ยนจากตัวสำรองเป็นตัวจริง 


 


 


ในใจของซูเยายังคงมีความหวังอยู่ แม้จะเป็นเพียงเส้นบางๆ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเห็นแก่ที่ร่างกายของพี่รองกำลังอ่อนแอไม่อาจต้านทานแรงลม ในตำหนักหลังนี้ก็ยังมีไอปีศาจรุนแรงไม่เป็นผลดีต่อมนุษย์ พี่รองถูกพิษ สถานที่เช่นนี้ไม่ควรอยู่นานเกินไป 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมิได้ปฏิเสธ นางแบกพี่รองของตนเองขึ้นมา 


 


 


เหล่าบุรุษทั้งหลาย “…….” 


 


 


พวกเขาล้วนไม่ทันได้ห้ามปราม ก็เห็นตู๋กูซิงหลันแบกตู๋กูเจวี๋ยติดตามซูเยาไปแล้ว 


 


 


ซูเยาเห็นจนไม่รู้สึกแปลกใจอีกต่อไป เขารู้จักอุปนิสัยของตู๋กูซิงหลันเป็นอย่างดี ทั้งเขายังไม่เข้าไปช่วยอุ้มตู๋กูเจวี๋ยอีกด้วย 


 


 


ถึงอย่างไรเขาก็ไม่คิดจะอุ้ม…. 


 


 


อืม ชั่วชีวิตนี้คนเดียวที่เขาอยากจะอุ้มก็คือตู๋กูซิงหลันเท่านั้น 


 


 


ท่านเจ้าสำนักปวดตา และก็ยังปวดใจ 


 


 


ได้แต่ต้องโทษที่ศิษย์ของตนเองแข็งแกร่งเกินไป ถึงจะแบกบุรุษที่หนักหนึ่งร้อยสี่สิบห้าสิบชั่ง ก็ยังสบายๆราวกับหิ้วไก่ตัวหนึ่ง 


 


 


มีบางครั้ง ที่เขาอยากจะให้ศิษย์น้อยมาพึ่งพาตนเองมากกว่านี้หน่อย 


 


 


แต่พอคิดๆดูแล้ว ตัวเขาเองเป็นใครตนเองก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ 


 


 


ช่วงนี้อาการที่เปลี่ยนเป็นกระดูกขาวกำเริบรุนแรงกว่าเดิม แล้วเขาจะเอาอะไรไปเป็นที่พึ่งให้กับศิษย์น้อย? 


 


 


หากนางรู้จักเข้มแข็งด้วยตนเอง ว่าไปแล้วก็นับว่าดีไม่น้อย 


 


 


เผื่อวันหนึ่งเขาไม่อยู่อีกต่อไป ใต้หล้านี้ก็ไม่มีใครที่จะรังแกนางได้ 


 


 


…………………………. 


 


 


 


 


 


ตำหนักของซูเยา 


 


 


รูปแบบการตกแต่งดูแล้วแทบจะไม่มีสิ่งใดที่แตกต่างไปจากตำหนักหย่งเฉิงอ๋องเลย 


 


 


พอตู๋กูซิงหลันเดินเข้าไป ก็ให้ความรู้สึกเหมือนได้กลับไปยังต้าโจวอีกครั้ง 

 

 

 


ตอนที่ 608 ดาวตี้ซิน[1]เปลี่ยนแปลง

 

ที่จริงแล้วต่อให้ไม่ต้องมีซูเยานำทาง นางก็แทบจะสามารถแบกพี่รองตรงไปยังห้องของซูเยาได้อย่างง่ายดาย 


 


 


ในใจของซูเยาเบิกบานเสียจนแทบจะอธิบายอะไรไม่ถูกแล้ว 


 


 


ตำหนักของหย่งเฉิงอ๋อง จำนวนครั้งที่ตู๋กูซิงหลันเคยไปก็มินับว่ามากมายเท่าไรนัก แต่ว่านางกลับจดจำตำแหน่งห้องของเขาได้อย่างชัดเจน 


 


 


ดังนั้นแล้ว นี่เท่ากับว่าในใจของอาหลัน เขายังมีพื้นที่และน้ำหนักอยู่พอสมควรใช่ไหม? 


 


 


ท่านเจ้าสำนักและฟ่านอิงติดตามอยู่ด้านหลังราวกับดวงวิญญาณ 


 


 


หากเปรียบเทียบกับท่านเจ้าสำนักแล้ว ฟ่านอิงเงียบงันกว่ามาก คำพูดคำจาก็น้อยแสนน้อย 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นนับตั้งแต่ที่ขึ้นมาบนเขาหมื่นปีศาจ ความรู้สึกถึงการคงอยู่ของเขาก็เหลืออยู่เพียงไม่กี่ส่วน 


 


 


……………… 


 


 


หุบเขาหมื่นปีศาจ คือสวนบุปผาวิญญาณแห่งจิ่วโจว 


 


 


บุปผาวิญญาณสีแดงอมทองผลิบานอยู่ทั่วสวนดอกไม้ บุปผาวิญญาณเหล่านี้ชูช่อสูงขึ้นมาถึงครึ่งตัวคน 


 


 


กลางสวนดอกไม้ มีเก๋งแปดเหลี่ยมหลังหนึ่ง 


 


 


ในเก๋งแปดเหลี่ยม มีสระน้ำพุร้อนแห่งหนึ่ง 


 


 


สระน้ำเป็นทรงดอกไม้แปดกลีบ 


 


 


ยามนี้ ในสระมีสตรีโฉมงามอันล้ำเลิศนั่งอยู่ผู้หนึ่ง นั่นก็คือต๋าจี่ 


 


 


เส้นผมสีแดงเปียกชื้นเพราะถูกน้ำร้อนในสระ ตลอดทั้งร่างมีไอน้ำร้อนหนาปกคลุม 


 


 


ผิวพรรณที่พ้นน้ำออกมาขาวนวลดุจหิมะ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดยามนี้ถึงได้มีไอสีดำจางๆระเหยขึ้นมาจากใต้ผิวอยู่ตลอด 


 


 


ต๋าจี่พิงร่างอยู่ที่ขอบสระ นางยกมือขึ้นมา มองดูไอสีดำที่ระเหยออกมาจากหลังมือ พลางขมวดคิ้วมุ่น 


 


 


พิษชนิดนี้นับว่าร้ายแรงจริงๆ 


 


 


นางแค่สัมผัสโดนเลือดของมนุษย์ผู้นั้นเพียงเล็กน้อย ก็ยังถูกพิษจนสลบไปหลายวัน 


 


 


ถึงจะบอกว่านางก็แค่ง่วงจนหลับไป แต่ถึงแม้จะหลับไหลติดต่อกันตั้งหลายวันเช่นนี้ ก็ยังไม่สามารถสลายพิษเหล่านี้ออกไปได้หมด 


 


 


ในดินแดนจิ่วโจวไหนเลยจะมีพิษที่ทำร้ายผู้คนได้ถึงเพียงนี้ แม้แต่นางยังพลาดท่าไปด้วย? 


 


 


นางตัดสินใจว่า จะต้องหาเวลาไปซักถามไอ้เด็กครึ่งมังกรครึ่งมนุษย์นั่นดูสักหน่อย 


 


 


เห็นได้ชัดว่า ไอสีดำที่ระเหยออกมาจากผิวพรรณของนางก็คือพิษชนิดนั้นนั่นเอง 


 


 


ไอ้เด็กครึ่งมังกรครึ่งมนุษย์นั่น โดนพิษนี้เข้าไปยังสามารถทนมาได้จนถึงตอนนี้นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย 


 


 


ต๋าจี่คิดไปเรื่อย จึงไม่ได้ว่ายไปที่กลางสระ 


 


 


สระน้ำพุร้อนนี้ได้รับการหล่อเลี้ยงจากบุปผาวิญญาณ สามารถกล่าวได้ว่าเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในหุบเขาหมื่นปีศาจ 


 


 


สระน้ำพุร้อนบุปผาวิญญาณได้รับพลังวิญญาณจากบุปผาวิญญาณในสวนทั้งหมด หากได้แช่เพียงครั้งเดียวก็สามารถชำระเส้นเอ็นและไขกระดูกจนบริสุทธิ์ 


 


 


คนธรรมดาหากได้ดื่มน้ำพุร้อนนี้เข้าไปสักอึกก็สามารถยืดอายุไขได้ยืนยาว 


 


 


ที่นางมาแช่น้ำพุร้อนที่นี่ ก็เพราะคิดจะสลายพิษที่อยู่ในร่างกายให้หมดสิ้นไป 


 


 


ครู่ต่อมา ต๋าจี่ถึงได้ผุดขึ้นมาจากก้นสระน้ำพุร้อน 


 


 


โฉมงามผุดขึ้นจากน้ำเป็นความงดงามเกินสิ่งใดจะเปรียบเทียบ 


 


 


ขณะที่นางสะบัดผม หยดน้ำก็หล่นลงไปราวสายไข่มุก แม้แต่ไอสีดำที่ระเหยออกมาจากผิวก็สลายหายไปจนหมดสิ้น 


 


 


ผิวพรรณละเอียดนุ่มลื่นกระจ่างใสราวเนื้อหยก ทั้งยังส่องประกายราวอัญมณี ใครได้เห็นเป็นต้องน้ำลายยืด 


 


 


นางพิงร่างกับขอบสระอย่างเงียบๆอีกครั้ง ทั้งยังปิดตาลง ในสมองผุดภาพของตู๋กูซิงหลันขึ้นมาเรื่อยๆไม่มีหยุด 


 


 


ฮ่องเต้หญิงแห่งดินแดนโบราณผู้นี้ ภาพเหมือนของนางมีอยู่เกลื่อนดินแดนจิ่วโจว 


 


 


นางเองก็เคยได้เห็นมาแล้ว 


 


 


แต่เมื่อได้พบกับตัวจริง ถึงได้รู้ว่าภาพเหมือนช่างต่างกับตัวจริงอย่างลิบลับ โดยเฉพาะความงดงามที่เพียบพร้อมจนไร้ที่ตินั้นไม่อาจถ่ายทอดออกมาได้แม้หนึ่งในสิบส่วนเสียด้วยซ้ำ 


 


 


ตอนนี้ ภาพที่วนเวียนอยู่ในสมองของนาง ก็คือดวงตาของตู๋กูซิงหลันคู่นั้น ให้ความรู้สึกคุ้นเคยราวกับว่าเคยได้พบกันมาก่อน แต่ก็คิดไม่ออกว่าเคยเจอกันที่ไหน 


 


 


ก็ใช่อยู่ ตัวนางซูจี่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ไม่รู้ว่านานขนาดไหนแล้ว เคยได้พบเจอภูติผีปีศาจมาก็มากมายนับพันนับหมื่น หากจะรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง ก็มิใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอะไร 


 


 


ท่ามกลางผู้คนมากมาย ย่อมต้องมีคนที่เคยพบหรือคุ้นเคยบ้างอยู่แล้ว 


 


 


ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร 


 


 


“ต๋าจี่….” นางเหยียดมือไปจนสุด ผลักน้ำในสระที่มีอยู่เต็มสระออกไป 


 


 


ไอน้ำร้อนในสระถูกวงน้ำสะท้อนผลักออกไปเป็นชั้นๆ  


 


 


ในระลอกคลื่น สะท้อนรูปโฉมของนาง 


 


 


“ต๋าจี่….” นางเรียกซ้ำๆอยู่หลายครั้ง ราวกับว่าเรื่องเก่าๆที่ผ่านไปแล้วได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง 


 


 


“ต๋าจี่ตายไปนานแล้ว ตายอยู่บนหอสอยดาวลู่ไถ[2]….ตายด้วยน้ำมือของเทพสวรรค์ที่ไร้น้ำใจ” 


 


 


นับจากนั้นเป็นต้นมา ในใต้หล้านี้ก็ไม่มีต๋าจี่อีกแล้ว นางละทิ้งชื่อต๋าจี่ไป เปลี่ยนชื่อให้ตนเองใหม่ว่าซูจี่ 


 


 


ซูจี่ ซูจี่ จะทำเพื่อตนเองเท่านั้น! 


 


 


บนท้องฟ้ายังคงมีหิมะตกลงมา แต่ว่าลมหนาวคล้ายไม่อาจกร้ำกรายเข้ามาในเก๋งแปดเหลี่ยม 


 


 


ซูจี่ค่อยลุกขึ้นยืนจากสระน้ำพุร้อน เผยให้เห็นแผ่นหลังอันละเอียดเนียนงามอ่อนช้อย 


 


 


เพียงแต่เส้นผมที่เหยียดยาวยามนี้ถูกน้ำจนเปียกชื้น จึงมิได้ปิดบังส่วนที่ควรมีเอี้ยมทับไว้ได้ทั้งหมด 


 


 


ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ตรงที่ควรเป็นเอี้ยมนั้น มีรอยแผลเป็นที่น่ากลัวแห่งหนึ่ง 


 


 


บาดแผลนั้นลึกมากราวกับว่าใช้เหล็กแหลมแทงเข้าไป ราวกับว่าได้ทำลายงานศิลปะวัตถุที่มีชีวิตทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย 


 


 


ผ่านมาก็ต้องนานหลายปีแล้ว แผลเป็นนี้ก็ยังไม่จางหายไป ทำให้เห็นว่าตอนนั้น….นางต้องถูกทำร้ายอย่างแสนสาหัส 


 


 


“นายหญิง ท่านช่างใจอ่อนเสียจริง ทั้งๆที่ทราบดีว่าพวกมนุษย์มิใช่ตัวดีอะไร ทำไมถึงยังปล่อยให้องค์ชายน้อยเหลวไหลได้อีก?” 


 


 


ในตอนนั้นเอง ในสวนก็เกิดมีความเคลื่อนไหวบางอย่าง หลังจากสิ้นเสียง เสือที่มีร่างสีดำขลับทั้งร่างก็ก้าวออกมาจากในในสวนดอกไม้ 


 


 


มันคำรามครั้งหนึ่งก็เคลื่อนเข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างสระน้ำ ดวงตาสีเขียวเหลื่อมพรายทั้งคู่นั้นจับจ้องอยู่ที่รอยแผลเป็นตรงเอี้ยมของนาง 


 


 


“เพราะเหล็กแหลมที่แทงลงมานั่น แม้แต่หัวใจของท่านก็ยังถูกคว้านออกไปครึ่งหนึ่ง จนมาถึงวันนี้ ท่านก็ยังคงยอมให้พวกมนุษย์เข้ามาในหุบเขาหมื่นปีศาจอีกนะรึ!” 


 


 


เสือดำถึงกับฮึดฮัดขึ้นมา มันเดินหงุดหงิดกลับไปกลับมาอยู่ที่ข้างกายซูจี่ 


 


 


“ตอนนั้นเป็นเพราะท่านหลงเชื่อในพวกมนุษย์ จึงได้ทำให้ตระกูลซูทั้งหมดต้องตกอยู่ในเภทภัย แม้แต่น้องชายแท้ๆของท่านก็ยังเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด! เรื่องนี้ท่านลืมมันไปแล้วหรือ?” 


 


 


กรงเล็บของเสือดำตัวนั้นตวัดลงไปบนพื้น เกิดเป็นเสียงแหลมบาดหู 


 


 


นับตั้งแต่ที่องค์ชายน้อยทรงนำไอ้ครึ่งมังกรครึ่งมนุษย์ผู้นั้นกลับมาเขาก็คอยจับตาดูทุกความเคลื่อนไหวในหุบเขาหมื่นปีศาจอยู่ตลอด 


 


 


แต่ก็คิดไม่ถึงว่า พวกมนุษย์จะมาถึงได้ไวขนาดนี้ 


 


 


แถมในบรรดาพวกมัน ยังมีผู้ที่ฟื้นขึ้นมาจากความตายอยู่ด้วยผู้หนึ่ง! 


 


 


คนผู้นั้นแค่ดูก็รู้แล้วว่ามิได้มีเจตนาอันดี ในช่วงเวลาเช่นนี้ สมควรปล่อยให้ทุกอันตรายไปนอนสบายๆอยู่บนเปลต่างหาก! 


 


 


เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า นายหญิง มีเมตตาปล่อยให้พวกมันรั้งอยู่ 


 


 


เรื่องที่ผ่านมากลายเป็นเพียงอดีตไปแล้ว ตกตะกอนไปตั้งเนิ่นนานหลายปี อีกทั้งใจของนางก็มิได้เ**้ยมพอ 


 


 


ซูจี่ปล่อยให้เจ้าเสือดำตัวนั้นตะโกนโหวกเหวกโวยวายอยู่ตรงหน้านางต่อไป 


 


 


รอจนเสือดำพูดจนเหน็ดเหนื่อยแล้ว นางเคยเอ่ยอย่างเรื่อยเฉยออกมาประโยคหนึ่ง “ฮ่องเต้หญิงผู้นั้นมีบุญคุณช่วยชีวิตเสี่ยวเยา ข้าก็มีน้องชายแค่เพียงคนเดียว” 


 


 


หากไม่ตามใจเขา จะให้ตามใจใคร 


 


 


ประโยคหลังนั้น ซูจี่ย่อมมิได้เอ่ยออกไป 


 


 


เสือดำก็รู้อยู่แก่ใจดี 


 


 


“ท่านรักเขา แต่ว่าองค์ชายน้อยอาจมิได้เข้าใจในความลำบากใจของท่าน” ดวงตาสีเขียวของมันเป็นประกายมันวาว 


 


 


“หากว่าเขาเข้าใจ ก็คงจะไม่ดื้อดึงให้คนเหล่านั้นรั้งอยู่ในหุบเขาหมื่นปีศาจ” 


 


 


“ช่วงนี้ข้าสำรวจดูลักษณะของดวงดาว ดูเหมือนว่าในหกภพภูมิกำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว ในช่วงเวลาเช่นนี้นายหญิงสมควรระมัดระวังรักษาตนให้ดี ปกป้องหุบเขาหมื่นปีศาจจึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด” 


 


 


ซูจี่เดิมลุกขึ้นยืนแล้ว ตอนนี้พอได้ยินคำพูดของเสือดำ จึงกลับลงไปนั่งในสระน้ำพุร้อนอีกครั้ง 


 


 


แม้แต่แผลเป็นตรงเอี้ยมก็จมลงไปอยู่ใต้น้ำ 


 


 


นางค่อยหมุนศีรษะกลับมา หันใบหน้าด้านข้างให้กับเสือดำ “อ้อ เจ้าพบเห็นอะไรหรือ?” 


 


 


“กลุ่มดาวตี้ซิงมีความเปลี่ยนแปลง ด้านข้างปรากฏดาวมฤตยูขึ้นมาอีกดวงหนึ่ง ดาวมฤตยูดวงนั้นกำลังขับไล่แสงสว่างของกลุ่มดาวตี้ซิงออกไป” 


 


 


“เมื่อได้รับผลกระทบเช่นนี้ ดวงดาวทั้งสิบสองราศีต่างก็เกิดความวุ่นวายขึ้นมา เกรงว่าไม่เพียงแต่หกภพภูมิ แม้แต่แดนสวรรค์เบื้องบนก็คงไม่สงบสุขไปด้วย” 


 


 


พอเอ่ยถึงแดนสวรรค์ หัวคิ้วของซูจี่ก็ขมวดมุ่นขึ้นมาในทันที 


 


 


…………………. 


 


 


 


 


 


[1] กลุ่มดาวหมีเล็ก: (Ursa Minor) เป็นกลุ่มดาวฤกษ์ บนท้องฟ้าฝั่งซีกโลกเหนือ มีชื่อเรียกหลากหลาย เช่น ราชรถแห่งสวรรค์ (บาบิโลเนีย) หรือ กลุมดาวคันไถ (อังกฤษ) มีดาวหลักที่สว่างที่สุดก็คือ ดาวเหนือ (Polaris) 

 

 

 


ตอนที่ 609 พี่เสือดำ (ตัวผู้)

 

เสือดำเห็นสีหน้าและอารมณ์ที่แปรปรวนของนาง ก็ทอดถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง ถามว่า “ผ่านมาก็ตั้งนานหลายปีแล้ว ท่านก็ยังลืมคนผู้นั้นไม่ได้หรือ?” 


 


 


แค่เอ่ยถึงคนผู้นั้น บนร่างของซูจี่ก็ปรากฏไอสังหารพวยพุ่งขึ้นมาในทันที 


 


 


“หุบปาก อย่าได้เอ่ยถึงเขา” 


 


 


น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ ราวกับว่าต้องการจะฆ่าคน 


 


 


“แต่ว่าแค่พูดถึงแดนสวรรค์ขึ้นมาเมื่อไร ท่านเป็นต้องควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ได้ทุกที” 


 


 


ซูจี่หัวเราเสียงเย็นชา “เจ้าเคยเห็นข้าอารมณ์ดีเมื่อไหร่กัน?” 


 


 


เสือดำ “เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ท่านยังเป็นพระสนมต๋าจี่ ท่านในตอนนั้น นุ่มนวลและอ่อนโยนอยู่เสมอ” 


 


 


ใช่แล้ว จิ้งจอกเก้าหางผู้แสนอ่อนโยน เปี่ยมไปด้วยไอเซียนท่วมท้นผู้นั้น ไม่อาจกลับคืนมาอีกแล้วกระมั้ง 


 


 


นางตายไปแล้ว ตายในกองเพลิงที่ลุกท่วมหอสอยดาวลู่ไถ 


 


 


แววตาของซูจี่มืดครึ้มลง ปลายเล็บเป็นสีแดงราวกับย้อมขึ้นจากโลหิตสด ปลายเล็บสีแดงนั้นแทบจะจิกลงไปในใจกลางฝ่ามือ 


 


 


“อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องที่ผ่านมาอีก และอย่าได้เรียกข้าว่าต๋าจี่” 


 


 


เสือดำเห็นแววตาของนางมีแต่ความปวดร้าว ก็ได้แต่ส่ายศีรษะถอนหายใจ กาลเวลาแปรผัน ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง 


 


 


นับประสาอะไรกับคนเรา 


 


 


หากมิใช่เพราะว่ามอบหัวใจให้ไป หากมิใช่เพราะถึงอย่างไรร่างนี้แท้จริงก็ยังเป็นปีศาจ แต่แล้วกลับกระทำสิ่งที่ไม่สมควรทำมากที่สุด มอบหัวใจรักแท้ให้ไป…. 


 


 


หากว่าตอนนั้นนางเป็นเพียงปีศาจจิ้งจอกที่ชั่วร้ายไร้น้ำใจ….. 


 


 


น่าเสียดายที่ทุกสิ่งเป็นเพียงแค่ ‘หากว่า’ 


 


 


ในใต้หล้านี้ สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดก็คือสิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้ว 


 


 


เสือดำเงียบงันไปเนิ่นนาน มันไม่ได้เดินไปเดินมาอีกต่อไป เพียงแต่หมอบลงอยู่ที่ข้างสระน้ำร้อน เฝ้ามองซูจี่อย่างเงียบๆ 


 


 


ด้วยดวงตาที่ปวดร้าวเช่นกัน 


 


 


มันเองก็ไม่เต็มใจจะย้อนคิดกลับไปยังเรื่องราวเหล่านั้น พอหมอบลงบนพื้น เลียกรงเล็บได้ครู่หนึ่ง ดวงตาเสือสีเขียวที่เงางามคู่นั้นก็หรี่ลง จากนั้นค่อยเอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าครึ่งคนครึ่งมังกรผู้นั้น….ถูกพิษของแดนสวรรค์” 


 


 


ก่อนหน้านี้มันลังเลอยู่ว่าจะบอกเรื่องนี้กับนางดีหรือไม่  


 


 


ที่จริงแล้วมีสิ่งใดให้ต้องลังเลกัน 


 


 


พวกที่องค์ชายน้อยพากลับมา ไม่เพียงแต่เป็นครึ่งมนุษย์ ดูท่าคงมีความขัดแย้งกับแดนสวรรค์อีกด้วย 


 


 


หุบเขาหมื่นปีศาจของพวกเขา เดิมทีก็มีแค้นกับแดนสวรรค์อยู่แล้ว 


 


 


ที่องค์ชายน้อยทำลงไปมิเท่ากับว่านำมาซึ่งเภทภัยใหญ่หลวงหรอกหรือ? 


 


 


เป็นอย่างที่มันคาดเอาไว้จริงๆ ทันทีที่เอ่ยคำนั้นออกไป แววตาของซูจี่ก็มืดครึ้มลงไป 


 


 


 


 


 


นางหันมามองเสือดำ รับฟังมันกล่าวว่า “นายหญิง ท่านก็รู้ว่าข้าไม่มีทางโกหกท่าน ดูเอาเถอะ พิษนั้นกระตุ้นโรคหลับใหลของท่านขึ้นมา ทำให้สิ้นสติหลับสนิทไปนานหลายต่อหลายวัน ทั่วทั้งดินแดนจิ่วโจวจะมีพิษที่ทำให้ท่านหลับสนิทเช่นนี้ได้อย่างไร? 


 


 


ซูจี่เองก็รู้ดี 


 


 


เมื่อครู่ต่อที่ได้เห็นไอสีดำที่ระเหยออกมาจากผิว นางก็พอจะเดาได้บางส่วนแล้ว 


 


 


“เขาเป็นเพียงแค่ครึ่งมนุษย์ครึ่งมังกรเท่านั้น แล้วจะไปผิดใจกับแดนสวรรค์ได้อย่างไร….” 


 


 


ซูจี่ขมวดหัวคิ้ว พอลองคิดๆดู บุรุษหนุ่มที่มีสายเลือดมนุษย์เพียงครึ่งเดียวผู้นั้น ดูๆไปก็มิได้มีแววเฉลียวฉลาดสักเท่าไร ออกจะโง่เขลาอยู่บ้างเสียด้วย 


 


 


เทพไท้บนแดนสวรรค์ ล้วนเห็นพวกมนุษย์เป็นเพียงมดปลวก เกรงว่าคงมิได้คิดจะสนใจลงมือกับคนที่อ่อนแอเหล่านี้ด้วยซ้ำ 


 


 


“ตำหนักซิวหลัวเตี้ยน” เสือดำเอ่ยต่อไป “ข้าได้สืบมาอย่างชัดเจนแล้ว ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็เป็นเพียงแค่ตัวหมากตัวหนึ่งของแดนสวรรค์เท่านั้นเอง ต้าซือมิ่งผู้นั้นก็คือสุนัขรับใช้ของแดนสวรรค์” 


 


 


ตลอดหลายปีมานี้ ซูจี่มักอยู่แต่ในหุบเขาหมื่นปีศาจ ไม่เคยก้าวออกไป 


 


 


นางยิ่งไม่เคยใส่ใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นในดินแดนจิ่วโจว เรื่องราวภายนอก ล้วนเป็นเสือดำนำมาเล่าให้นางฟังทั้งสิ้น 


 


 


“เจ้าครึ่งมนุษย์ผู้นั้น โดนพิษของต้าซือมิ่ง” 


 


 


เสือดำเล่าที่มาที่ไปของเรื่องราวออกมาคร่าวๆ 


 


 


จากนั้นก็กล่าวกับซูจี่อย่างเน้นย้ำว่า “นายหญิง แดนสวรรค์จะต้องไม่ปล่อยพวกเขาไปอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงสมควรขับไล่พวกเขาจากไปแต่เนิ่นๆ องค์ชายน้อยใกล้ชิดกับพวกเขามาก ในไม่ช้าก็เร็วจะต้องนำพาความเดือดร้อนมาสู่หุบเขาหมื่นปีศาจอย่างแน่นอน” 


 


 


มันยิ่งพูด สีหน้าของซูจี่ก็ยิ่งย่ำแย่ 


 


 


“เภทภัยในครั้งนั้น….” 


 


 


พอพูดถึงตรงนี้ มันก็ไม่กล้าเอ่ยต่อไป 


 


 


ซูจี่รู้สึกเหมือนกับว่าบาดแผลที่อยู่ใต้เอี้ยม ถูกคนฉีกกระชากออกมาอีกครั้ง ทั้งยังสาดเกลือลงไปบนเลือดและเนื้อ นางเจ็บปวดจนกระดูกสะท้าน 


 


 


“เจ้าถอยออกไปก่อน” ครู่หนึ่ง นางถึงได้โบกมือ 


 


 


เสือดำลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็ค่อยลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ ถอยร่างกลับเข้าไปในสวนดอกไม้ 


 


 


พอถอยออกมาไกลจากซูจี่แล้ว มันถึงได้หันกลับไปมองดูแวบหนึ่ง 


 


 


สุดท้ายก็กระโดดหายลับเข้าไปในสวนดอกไม้ ยามเดินก็ระมัดระวังมิให้เหยียบย่ำโดนบุผาวิญญาณเหล่านั้น 


 


 


แต่ว่าทำไมดูเหมือนอย่างกับว่าบุปผาวิญญาณเหล่านี้จะหมองหม่นลงไปกว่าในตอนแรกมากนัก? 


 


 


………….. 


 


 


ในตำหนักของซูเยา 


 


 


หลังจากที่ตู๋กูเจวี๋ยถูกบังคับให้ดื่มยาลงไปชุดหนึ่งเขาก็หลับไป 


 


 


พวกตู๋กูซิงหลันทั้งสามคนก็ถูกจับแยกให้พักผ่อนกันคนละห้อง 


 


 


ห้องของตู๋กูซิงหลันถูกจัดให้อยู่ติดกับห้องของซูเยาเป็นพิเศษ ส่วนท่านเจ้าสำนักและฟ่านอิงถูกส่งไปยังห้องพักที่อยู่ไกลสุดกู่ 


 


 


แม้จะดึกมากแล้ว แต่ว่าตู๋กูซิงหลันก็ยังไม่ได้หลับ 


 


 


ที่ด้านนอกห้องมีต้นไม้หนาทึบที่ไม่รู้จักชื่ออยู่มากมาย ขึ้นปกคลุมยอดเขาจนดูเขียวครึ้มไปหมด ทั้งยังผลิดอกเล็กๆสีขาวไปทั่ว 


 


 


ยามลมพัด เงาของต้นไม้ก็โยกคลอน ส่งเสียงครืดคราดอยู่นอกหน้าต่าง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันนั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียง ดวงตาดอกท้อกลมโต มองเห็นเงาสีดำสายหนึ่งแวบผ่านบานหน้าต่าง 


 


 


นางมิได้ขยับตัว เพียงเอ่นว่า “สหายที่อยู่ด้านนอก ไม่ต้องซ่อนอีกแล้ว ข้าเห็นท่านแล้ว” 


 


 


เงาสีดำที่นอกหน้าต่างชะงักไป คล้ายจะลังเลอยู่บ้าง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “ในเมื่อท่านสามารถเคลื่อนไหวอยู่ในวังของหุบเขาหมื่นปีศาจได้อย่างอิสระ แสดงว่าคงจะเป็นคนของที่นี่ หากอยากจะพูดอะไรก็เข้ามาคุยกันเถอะ ข้าจะไม่ต่อสู้กับท่าน” 


 


 


พอพูดออกไป ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงบานหน้าต่างถูกเปิดออก เสือตัวหนึ่งที่มีสีดำสนิทตลอดร่างกระโดดเข้ามาด้านใน 


 


 


ขนบนลำตัวของมันเป็นสีดำขลับจนมันวาว ดวงตาสีเขียวที่ใหญ่โตคู่นั้นเป็นประกายวาววับ ราวกับจะกินคน 


 


 


มันเดินเข้ามาถึงเตียงของตู๋กูซิงหลันอย่างไม่มีเก้อเขิน 


 


 


อุ้งเท้าหนาทั้งสี่ยืนอยู่บนพื้น ดวงตาจดจ้องไปที่ตู๋กูซิงหลัน 


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่มันได้เข้ามาอยู่ใกล้ๆตู๋กูซิงหลัน 


 


 


ยามที่พวกนางขึ้นเขามานั้น มันได้เห็นแต่ไกล ตอนนั้นมันก็รู้สึกว่านางมีรูปโฉมงดงามอย่างยิ่ง ตอนนี้เมื่อได้เห็นใบหน้านี้อย่างชัดเจน ก็ต้องสูดลมหายใจเข้าไปอย่างเหน็บหนาวครั้งหนึ่ง 


 


 


ในหัวใจของมัน นายหญิงย่อมงดงามที่สุดในใต้หล้า 


 


 


เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า ฮ่องเต้หญิงชาวมนุษย์ผู้นี้ จะมีรูปโฉมที่งดงามอย่างแท้จริง 


 


 


โดยเฉพาะดวงตาดอกท้อคู่นั้น เดิมทีสมควรเป็นดวงตาเจ้าเสน่ห์ที่เย้ายวนคู่หนึ่ง แต่ว่าในตอนนี้ความยั่วเย้านั้นกลับสงบนิ่งจนทำให้คนต้องตกใจ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเองก็จับจ้องมองดูมันเช่นกัน พอมองตรงไป ดวงตาดอกท้อของนางคู่นั้นก็ต้องเปล่งประกายออกมา 


 


 


“อ้ายโย่ว ที่แท้ก็เป็นพี่เสือดำตัวผู้นั่นเอง! เชิญเลย เชิญเข้ามา! 


 


 


ว่าแล้ว นางก็เดินลงมาจากเตียง กวาดตามองไปรอบๆห้องครั้งหนึ่ง สายตาก็ไปหยุดลงบนผ้าห่มนุ่มๆผืนหนึ่ง 


 


 


นางยื่นมือไปหยิบขึ้นมา “บนพื้นเย็นมาก เจ้าก็ทนใช้ผ้าห่มฝืนนี้สักหน่อยดีไหม?” 


 


 


เสือดำ “……” 


 


 


มันก้มศีรษะลงหันไปมองระหว่างขาหลังของตนเองแวบหนึ่ง มันเป็นเสือดำตัวผู้ แล้วจะทำไม นางจำเป็นจะต้องเรียกออกมาอย่างชัดเจนถึงเพียงนั้น? 


 


 


ราวกับกลัวว่าคนจะไม่รู้ว่ามันเป็นตัวผู้อย่างนั้นหรือ? 


 


 


ในใจของตู๋กูซิงหลันก็เกิดความคิดอย่างเงียบๆเช่นกัน เผ่าเสือดำช่างประหลาดเสียจริงๆ แค่เรียกทักทายต้องหันไปมองไข่ตัวเองด้วยหรือ? 

 

 

 


ตอนที่ 610 เขาบอกว่าจะร่วมเป็นร่วมตาย...

 

หวังว่านั่นคงจะไม่ใช่วิธีการทักทายตามประสาเผ่าพันธุ์ของมันหรอกนะ? 


 


 


แต่ถึงอย่างไร นางก็พยายามให้เกียรติมันโดยก้มลงไปมองดูเป้ากางเกงของตนเองครั้งหนึ่ง 


 


 


พอเสือดำเงยหน้าขึ้นมาจึงได้เห็นนางกำลังก้มลงมองเป้ากางเกงอยู่พอดี 


 


 


เสือดำ “……” 


 


 


มันมาที่นี่เพราะมีธุระอะไรกับนางนะ ทำไมอยู่ๆมันก็คิดอะไรไม่ออก 


 


 


มันได้เจอเผ่ามนุษย์มาก็ไม่น้อย ทำไมอยู่ๆถึงต้องมาเจออะไรแปลกๆเช่นนี้ ดูท่าสมองของนางคงจะมีปัญหาหรือเปล่า? 


 


 


รอจนเมื่อตู๋กูซิงหลันเงยหน้าขึ้นมา ก็ได้เห็นดวงตาสีเขียวที่วาววับของเสือดำมีแววสับสนสามส่วน ชิงชังสี่ส่วน ที่เหลือค่อนข้างซับซ้อนจนอ่านไม่ออก 


 


 


เอาเป็นว่ามิใช่เรื่องดีก็แล้วกัน 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “พี่เสือดำ ดึกดื่นค่อนคืน ท่านมาที่นี่ด้วยเหตุอันใดหรือ?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันอยู่ใกล้มันมาก บนหน้าของเสือดำตัวนี้ยังมีรอยแผลจากมีดดาบอยู่รอยหนึ่ง บริเวณที่เป็นแผลเป็นไม่มีเส้นขนขึ้นมาอีกเลย มองดูก็รู้เลยว่า ก่อนหน้านั้น นี่จะต้องเป็นบาดแผลที่สาหัสมากอย่างแน่นอน 


 


 


“ฮ่องเต้หญิง เจ้าไม่ควรรั้งอยู่ที่นี่!” 


 


 


สายลมจากเบื้องนอกพัดหวีดหวิว เสือดำที่พูดภาษามนุษย์ได้ ดูแล้วออกจะแปลกประหลาดอยู่บ้าง 


 


 


ที่เรียกมันว่าเป็นเสือตัวผู้ แม้ว่ามันจะไม่ได้ชื่นชอบสักเท่าไร แต่ก็มิได้ปฏิเสธ เนื่องเพราะว่ามันเป็นตัวผู้จริงๆ นางจะเรียกเช่นนั้นก็มิได้ผิดอะไร 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “หืม?” 


 


 


“พวกเจ้าผิดใจกับแดนสวรรค์ หากรั้งอยู่ที่นี่ก็มีแต่จะนำเรื่องเดือดร้อนมาให้กับหุบเขาหมื่นปีศาจ!” 


 


 


เสือดำเห็นนางทำเหมือนมิได้รู้ถึงความหนักเบาของเรื่องราว ก็หงุดหงิดจนขุ่นเคืองขึ้นมา 


 


 


“เจ้าไม่ได้รู้เลยว่า ที่หุบเขาหมื่นปีศาจยังสามารถคงอยู่ได้มาถึงทุกวันนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายดายแล้ว!” 


 


 


มันเอ่ยด้วยความวิตก กระทั่งหนวดบนปากก็ยังชี้ชันขึ้นมา 


 


 


“แล้วที่จริง แดนสวรรค์กับหุบเขาหมื่นปีศาจ มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเองก็ดูออก 


 


 


เรื่องเหล่านี้ย่อมไม่อาจไต่ถามจากพี่สาวต๋าจี่ได้อย่างแน่นอน 


 


 


ตอนนี้พี่เสือดำส่งตัวเองเข้าประตูมาแล้ว สำหรับนางถือว่าเป็นข่าวสารที่มีประโยชน์ 


 


 


ยันต์โลหิตของนางยังกักขังเยี่ยเฉินเอาไว้อยู่ เดิมทีก็คิดเอาไว้ว่า จะใช้ประโยชน์จากเยี่ยเฉินเพื่อขึ้นไปบนแดนสวรรค์สักรอบ 


 


 


เรื่องที่ได้รู้ว่าหุบเขาหมื่นปีศาจมีพี่สาวต๋าจี่พำนักอยู่ ล้วนเป็นความบังเอิญ 


 


 


“ขอเพียงเจ้าบอกออกมาอย่างชัดเจน ข้าก็จะพาพี่ชายไปจากที่นี่ในทันที” 


 


 


ถึงแม้ว่าเสือดำจะไม่เชื่อถือในเผ่ามนุษย์ แต่ก็คิดว่าถึงอย่างไรฮ่องเต้หญิงผู้นี้เป็นผู้ที่องค์ชายน้อยพามา ทั้งยังเคยช่วยชีวิตองค์ชายน้อยเอาไว้ครั้งหนึ่ง 


 


 


“หากว่าเจ้าผิดคำพูด ข้าก็จะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ!” เสือดำกล่าวขณะแยกเขี้ยวยิงฟัน มันยังกางกรงเล็บออกมาอีกด้วย 


 


 


ภายใต้แสงดาว กรงเล็บที่แหลมคมนั้นสะท้อนแสงหนาวเย็นออกมาจางๆ 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “ข้าไม่เคยพูดปดมาก่อน” 


 


 


ว่าแล้ว เสือดำค่อยเอ่ยออกมาว่า “เรื่องนี้ต้องเริ่มจากเมื่อนานมาแล้ว….” 


 


 


“ตอนนั้น นายหญิงคือองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดในหุบเขาหมื่นปีศาจ เพื่อฝึกฝนให้สำเร็จเป็นเซียน นางจำเป็นจะต้องไปผ่านประสบการณ์เกิดในโลกมนุษย์ครั้งหนึ่ง” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมิได้ขัดจังหวะมัน ปล่อยให้เสือดำเล่าต่อไป 


 


 


ว่าตามจริงแล้ว จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ดูไม่เหมือนกับตำนานที่นางคุ้นเคยในโลกปัจจุบันสักเท่าไหร่ 


 


 


“นางไปเกิดในโลกมนุษย์ กลายเป็นบุตรสาวของตระกูลซู” 


 


 


“ครั้งหนึ่งด้วยความบังเอิญ ตอนที่เกิดหิมะตกหนักในเขตล่าสัตว์ของเชื้อพระวงค์ ทำให้นางได้พบกับตี้ซิน โอรสสวรรค์ในตอนนั้น” 


 


 


“แต่ครั้งโบราณนานมา เรื่องความรักระหว่างชายหญิงล้วนไม่อาจแยกแยะได้อย่างชัดเจน เอาเป็นว่าต่อจากนั้นพวกเขาก็รักกัน” 


 


 


“นายหญิงเป็นผู้มีเมตตา อุปนิสัยนุ่มนวลอ่อนโยน จึงเป็นที่โปรดปรานของโอรสสวรรค์” 


 


 


พอเสือดำเล่ามาจนถึงตรงนี้ สมองของตู๋กูซิงหลันก็ต้องเกิดเครื่องหมายคำถามตัวโตๆขึ้นมา 


 


 


นุ่มนวลอ่อนโยน? คนที่พี่เสือดำพูดถึง คือพี่สาวต๋าจี่ที่นางรู้จักนะหนือ? 


 


 


“เจ้าไม่เชื่อรึ ตอนนั้นนายท่านคือจิ้งจอกที่มีกลิ่นอายของเทพเซียนมากที่สุดในเผ่าจิ้งจอกของพวกเราแล้ว ยามปกตินางแสนจะมีเมตตา ทำความดีสร้างบุญกุศลนับครั้งไม่ถ้วนอยู่เสมอ ดังนั้นจึงเป็นจิ้งจอกที่ฝึกฝนและบำเพ็ญตบะได้ก้าวหน้าที่สุดในเผ่าของพวกเรา” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันรีบส่งสายตา ‘ข้าเชื่อเจ้าแล้ว โปรดเล่าต่อไป’ ให้กับมัน 


 


 


“แม้กระทั่งยามที่กลายเป็นพระสนมของโอรสสวรรค์ นายหญิงก็ยังเป็นผู้ที่ดำรงอยู่ในความดี มีเมตตาอยู่เสมอ” 


 


 


“ช่วงเวลาผ่านพ้นไปเนิ่นนานแล้ว ในตอนนั้น สายสัมพันธ์ระหว่างแดนมนุษย์กับแดนสวรรค์ที่มีเทพเซียนยังมิได้ห่างไกลกันซักเท่าไร พวกที่เกิดเป็นมนุษย์ ล้วนถูกบังคับให้ต้องถวายเครื่องสักการะบูชาให้กับแดนสวรรค์ทุกๆปี ทั้งยังต้องทุ่มเทหยาดเหงื่อของผู้คนสร้างวัดวาอารามขนาดใหญ่ถวาย แต่เหล่าเทพที่สูบเลือดและเนื้อของประชานกลับมิได้ทำสิ่งใดทั้งสิ้น รู้จักแต่เป็นเทพที่ดูดกลืนเลือดเนื้อเท่านั้น” 


 


 


พอพูดถึงตรงนี้ เสือดำก็แยกเขี้ยวยิงฟันออกมา ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชัง! 


 


 


ประวัติศาสตร์ที่โลกปัจจุบันนำไปเล่าขาน ล้วนถูกแทรกแซงจากอิทธิพลของแดนสวรรค์ ดังนั้นเรื่องที่มันเล่ามาตู๋กูซิงหลันจึงเชื่อว่ามีความจริง 


 


 


 “แต่แล้วพอมาถึงตี้ซิน เขากลับหัวแข็ง เขาคิดจะเปลี่ยนแปลงสิ่งทุกสิ่งที่ไร้ความยุติธรรม ดังนั้นจึงได้ให้ในแคว้นฝึกฝนเหล่านักพรตขึ้นมา คิดจะต่อต้านพวกเผ่าเทพ” 


 


 


“ดังนั้นพวกเทพที่เจ้าเล่ห์เพทุบายจึงได้เริ่มค้นหาตัวแทนคนใหม่ และล้มล้างพรรคพวกของตี้ซินให้หมดสิ้น ถึงกับยกอ้างเกียรติภูมิของเหล่าเทพมาก่อความวุ่นวาย ทำศึกต่อเนื่องยาวนานถึงแปดปี” 


 


 


เมื่อเสือดำเล่ามาจนถึงตรงนี้ ตู๋กูซิงหลันจึงได้ฟังเรื่องนี้ในอีกภาคหนึ่ง 


 


 


“ตลอดแปดปีแห่งความวุ่นวายนั้น นายหญิงคอยอยู่เคียงข้างตี้ซินอย่างไม่เคยปริปากบ่น ร่วมเผชิญพายุและเมฆฝนไปพร้อมกับเขา ไม่เคยถอยหนีแม้สักครึ่งก้าว” 


 


 


“แม้กระทั่งเรื่องหอสอยดาวนั่น นางก็ขอให้สร้างขึ้นมาเพื่อนางจะได้ใช้พลังของตนเองสร้างเขตอาคมเพื่อหักล้างกับพลังของพวกเทพสวรรค์ ….” 


 


 


“นางรักเขา จึงทุ่มเทให้อย่างไร้ข้อแม้ ถึงขนาดที่ว่ายินดีทำทุกสิ่งสละทุกอย่างเพื่อเขา” 


 


 


“แต่ว่าเขา…..กลับหักหลังนางในตอนสุดท้าย” 


 


 


เสือดำถอนหายใจออกมา กระทั่งน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาก็ยังสั่นเทา 


 


 


“หลังผ่านช่วงที่รุ่งเรืองที่สุด เมืองเจาเกอ[1]ก็ถูกกองทัพยึดครอง ทั่วทั้งเมืองโลหิตไหลเป็นท้องธาร” 


 


 


“ทั้งๆที่นางคือพระสนมต๋าจี่ผู้งดงาม มีเมตตาและอ่อนหวาน แต่กลับถูกใส่ร้ายว่าเป็นนางปีศาจที่ล่มบ้านล้างเมือง ทวนเทพเกลียดนาง ประชาชนก็ชิงชังนาง” 


 


 


“ในวันนั้น โอรสสวรรค์พานางไปที่หอสอยดาว บอกว่าจะร่วมเป็นร่วมตายกับนาง” 


 


 


“นางก็เชื่ออย่างสนิทใจ” 


 


 


“นายหญิงรักเขาถึงเพียงนั้น ไหนเลยจะยอมปล่อยให้เขาตายไปได้? ที่จริงนางตระเตรียมทางรอดเอาไว้ให้เขาตั้งแต่แรกแล้ว ต่อให้ต้องต่อสู้กับพวกเทพจนดับสูญ นางก็จะต้องเหลือทางรอดเอาไว้ให้กับเขา” 


 


 


“แต่ว่าในตอนสุดท้าย เขากลับใช้กระสวยสังหารเทพแทงใส่หัวใจของนางจากด้านหลังอย่างเย็นชา ควักเอาหัวใจครึ่งดวงของนาง ต่อหน้าเหล่าทวยเทพ ต่อหน้ากองทัพกบฏ และต่อหน้าผู้คนทั้งหลาย” 


 


 


“ต่อหน้าต่อตาของนาง เขาถวายหัวใจจิ้งจอกเก้าหางให้กับเหล่าเทพบนแดนสวรรค์” 


 


 


“เขาบอกว่า ‘เราลุ่มหลงจนมัวเมา เพราะถูกจิ้งจอกตัวนี้ยั่วยวน จึงได้กระทำความผิดมหันต์’ ” 


 


 


“เขาบอกว่า ‘เรายินดีละทิ้งปีศาจจิ้งจอกตนนี้ ขอเทพไท้ทั้งหลายโปรดละเว้นทางรอดให้แก่เราสักครั้ง’ ” 


 


 


“ใต้หอสอยดาวหลังนั้นล้วนเป็นเหล่าไพร่ฟ้าประชาราษฏร์ที่นางเคยปกป้อง ผู้คนตั้งมากตั้งมายเหล่านั้น….พวกเขาพากันหลงลืมจนหมดสิ้น ว่านายหญิงมอบความรักให้กับพวกเขาราวกับเป็นบุตรของตน!” 


 


 


“ตอนนั้น…. พวกเขาล้วนเปลี่ยนไปจนหมดสิ้น พวกเขาทั้งหวาดกลัวและเกลียดชัง ต่างก็พากันด่าทอว่านางคือผู้ที่ล่มบ้านล้างเมือง ปัดความผิดทั้งหลายมาโยนลงบนนาง พวกเขาแทบจะอยากฉีกกินเลือดและเนื้อของนางเสียด้วยซ้ำ” 


 


 


“ทั้งๆที่ ตลอดแปดปีแห่งการต่อต้านนั่น เป็นนายหญิงคอยปกป้องพวกเขาแท้ๆ” 


 


 


………………….. 


 


 


 


 


 


[1] เมืองหลวงของราชวงค์ซาง (商朝)  

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)