หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 606-611
บทที่ 606 อะแฮ่ม
ตอนนี้ หวังเป่าเล่ออยู่ในตำหนักวังบูชาที่ตั้งอยู่บนตัวกระบี่สำริดเขียวโบราณ กำลังหมกมุ่นอยู่กับการตรวจสอบฝักกระบี่ หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็ตัดสินใจถามแม่นางน้อยเกี่ยวกับฝักกระบี่ที่เปลี่ยนแปลงไป
“อย่ามามองข้า ไม่มีใครในจักรวาลนี้รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับฝักกระบี่ของเจ้า คิดเสียว่าเป็นแค่การเปลี่ยนรูปแล้วลองหาวิธีจัดการเองแล้วกัน” แม่นางน้อยตอบกลับอย่างรวดเร็ว
หวังเป่าเล่อส่ายหัวด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ชายหนุ่มตรวจสอบฝักกระบี่อยู่ครู่ใหญ่ แต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไรเลย จึงยอมแพ้ไป รู้เพียงแค่ว่าครั้งนี้ตนได้สมบัติล้ำค่ามา ในใจรู้สึกฮึกเหิม
อาจเป็นเพราะระดับการฝึกตนของข้ายังไม่ถึงขั้น ไม่แน่พอบรรลุขั้นจุติวิญญาณ แค่ชักฝักกระบี่ออกมาฟันเพียงครั้งเดียว จะเทพหรือมารก็ต้องร้องคร่ำครวญขอความเมตตา! หวังเป่าเล่อนึกภาพตนฟันกระบี่ในหัว ก่อนจะลุกยืนด้วยความตื่นเต้น จ้องเขม็งไปทางวังลำดับหกเบื้องหน้า
เขาตั้งใจจะลองเสี่ยงดู แต่ประสบการณ์ในวังลำดับห้าทำให้คิดว่าวังลำดับหกน่าจะอันตรายขึ้นไปอีก มีโอกาสสูงมากที่จะทำภารกิจไม่สำเร็จ แค่เอาชีวิตรอดในนั้นได้นานพอก็เป็นเรื่องยากแล้ว
หากไม่ได้เข้าไปในวังลำดับสี่และห้า หวังเป่าเล่อคงจะล้มเลิกความคิดที่จะเข้าไปในวังลำดับหก เพราะมีโอกาสผ่านภารกิจน้อยมากถึงน้อยที่สุด แต่…เขาก็ได้สมบัติมามากมายจากวังลำดับสี่ ในวังลำดับห้าก็ได้หลอมฝักกระบี่ แถมยังขุดเจอวัสดุหายากอีกจำนวนหนึ่ง
แม้ว่าหลายๆ อย่างจะใช้ไปกับการหลอมฝักกระบี่ แต่ข้าวของที่ได้มาครั้งนี้ก็มีมูลค่าสูงมากทีเดียว หวังเป่าเล่อคิดไม่ตก เขาอยากจะรับภารกิจในวังลำดับหกและเข้าไปตามล่าหาสมบัติเพิ่ม แต่อีกใจก็กลัวว่าตนจะเอาชีวิตรอดกลับมาไม่ได้
ยืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็กระแอมไอ ก่อนจะเริ่มพูดเอาอกเอาใจแม่นางน้อย ป้อนคำยกยอไปเสียยกใหญ่ จากนั้นก็ใช้โอกาสนี้ถามนางขึ้น
“แม่นางน้อย มีทางใดไหมที่ข้าจะเคลื่อนย้ายออกมาตอนไหนก็ได้แม้จะทำภารกิจในวังลำดับหกไม่เสร็จ เหมือนอย่างตอนที่แล้ว”
“เจ้าตั้งใจจะเข้าไปหาสมบัติใช่ไหม…” แม่นางน้อยถามเสียงเย็น น้ำเสียงของนางบ่งบอกชัดเจนว่านางรู้ทันชายหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยขึ้นต่ออย่างผู้เชี่ยวชาญ
“ก็ได้ เห็นว่าเจ้าทำงานเต็มที่ ข้าจะช่วยแล้วกัน แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ” แม่นางน้อยว่าอย่างองอาจ ราวกับตนเป็นองค์หญิง
หวังเป่าเล่อกะพริบตา รู้ว่าแม่นางน้อยหมายความว่าอย่างไร นางน่าจะทำได้เพียงช่วยเคลื่อนย้ายออกมาตอนจบจึงพูดขึ้นเช่นนั้น
“แค่นั้นก็พอแล้ว!” ชายหนุ่มตื่นเต้นดีใจ เริ่มกล่าวยกยอตามนิสัยจนอีกฝ่ายพึงพอใจ จากนั้นจึงสูดหายใจลึกและเดินตรงไปยังโถงใหญ่ของวังลำดับหก
เขาหยุดยืนขณะที่กำลังจะเข้าไปในวังลำดับหก หันหลังกลับมาพบกงเต๋าที่เพิ่งถูกเคลื่อนย้ายออกมาจากวังลำดับสาม!
หมายความว่ากงเต๋าผ่านการทดสอบเป็นศิษย์สำนักนอกจากวังลำดับสองแล้ว ต่อไปเป็นการทดสอบเพื่อขึ้นเป็นศิษย์สำนักในของวังลำดับสาม!
หากผ่านการทดสอบครั้งต่อไป เขาก็จะมีสถานะเทียบเท่ากับเจ้าเยี่ยเหมิง กงเต๋าเงยหน้าขึ้น เห็นหวังเป่าเล่อกำลังยืนยิ้มให้อยู่หน้าวังลำดับหก ชายหนุ่มยกมือขึ้นโบกตอบ ก่อนจะนั่งลงและเริ่มฟื้นฟูร่างกาย
หวังเป่าเล่อมองกงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงที่กำลังฝึกวิชาอยู่ในวังลำดับสี่ จากนั้นก็หันกลับมามองวังลำดับหกเบื้องหน้า ดวงตาของเขาส่องประกาย ก่อนจะถอนหายใจออกมา
ไม่มีทางผ่านแน่ ไม่น่าจะมีใครในสำนักวังเต๋าไพศาลที่สามารถผ่านวังลำดับหกได้ตอนอยู่ขั้นกำเนิดแก่นใน ดูความยากที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สิ วังลำดับสี่ยากระดับขั้นจุติวิญญาณ ส่วนวังลำดับห้า แม้จะพิเศษหน่อย แต่ก็น่าจะยากประมาณขั้นเชื่อมวิญญาณ ถ้าอิงตามลำดับนี่แล้วละก็ วังลำดับหกต้องมีความยากอย่างน้อยขั้นจิตวิญญาณอมตะ อาจจะไปถึงระดับดาวพระเคราะห์เลยก็เป็นได้ ชายหนุ่มคิด รู้สึกเสียดายในใจ แม้จะได้ตำแหน่งศิษย์เอกมาครองแล้ว แต่เขาก็มีโอกาสฝากชื่อไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ถ้าสามารถผ่านวังสุดท้ายไปได้
ชายหนุ่มสนใจตำแหน่งศิษย์ระดับสูงมาก โดยเฉพาะตำแหน่งศิษย์แห่งเต๋าไพศาล
ช่างเถอะ ค่อยว่ากันว่าจะเป็นอย่างไร ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว ลองดูสักหน่อยก็ไม่เสียหาย หวังเป่าเล่อหรี่ตาเล็ก หลังจากครุ่นคิดสักพัก เขาก็ก้าวเข้าไปในโถงกว้างของวังลำดับหก
รอบกายปกคลุมไปด้วยความมืด ราวกับได้เหยียบย่างเข้ามาในขุมนรก ชายหนุ่มคุ้นชินกับสภาพเช่นนี้แล้วจากวังลำดับสี่และห้า เขายืนรออย่างสงบใจในความมืดมิด รอให้เสียงเย็นเยียบไร้อารมณ์อธิบายรายละเอียดภารกิจ
ไม่ต้องรอนาน เสียงหนึ่งก็ดังก้องวังลำดับหกตามที่คาดไว้
“การทดสอบศิษย์อุปถัมภ์ประจำวังลำดับหกจะเริ่มต้นขึ้นในอีกชั่วหนึ่งร้อยลมหายใจ
“โปรดเตรียมตัวให้พร้อม ท่านจะได้ไปยังอารยธรรมของพันธมิตรตระกูลไม่รู้สิ้น…ดาวเคราะห์ดวงที่ห้าในวงโคจรลำดับเก้าซึ่งเป็นของตระกูลกกสนธยา ท่านต้องทำลายหอเพลิงโทสะและรอดกลับมาจึงจะถือเป็นการเสร็จสิ้นภารกิจ โปรดระมัดระวังตัวเนื่องจากภารกิจนี้ยากมาก!”
“หากไม่มีการบอกปฏิเสธภายในช่วงหนึ่งร้อยลมหายใจจะถือว่าท่านได้ยอมรับภารกิจ โปรดคำนึงว่า…” เสียงเย็นชาอธิบายอย่างเรียบเฉยไปเรื่อยๆ แต่ครั้งนี้พออธิบายไปได้พักหนึ่งก็หยุดชะงักไป ไม่ยอมพูดต่อให้จบ!
หวังเป่าเล่อคิดว่าตัวเองได้ยินเสียงกระแอมไอ แต่ก็ไม่แน่ใจเพราะได้ยินไม่ชัด อาจจะหลอนหูไปเองก็เป็นได้ แต่ขณะนี้ ทั้งวังลำดับหกและตำหนักวังบูชากำลังสั่นไหวอยู่โดยที่ชายหนุ่มไม่รู้ตัว
ราวกับว่ามีพลังจากลึกสุดของจักรวาลเข้าปะทะตำหนักวังบูชา ขณะที่ตำหนักกำลังสั่นไหว เสียงไร้อารมณ์ในวังลำดับหกก็หยุดชะงักไป ก่อนจะเริ่มพูดนอกบท
“การทดสอบศิษย์อุปถัมภ์ประจำวังลำดับหกจะเริ่มต้นขึ้นในอีกชั่วหนึ่งร้อยลมหายใจ
“โปรดเตรียมตัวให้พร้อม ท่านจะได้ไปยังดาวเคราะห์เต๋าขันธ์เพื่อตามหาสัญลักษณ์เห็นธรรม ท่านสามารถใช้คาถาเคลื่อนย้ายได้หลังจากได้สัญลักษณ์เห็นธรรมหนึ่งชิ้น! ไม่สามารถระบุความยากของภารกิจนี้ได้เนื่องจากเป็นภารกิจให้รางวัล โปรดฝึก…”
หวังเป่าเล่อนิ่งงันไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น ความยากของภารกิจทั้งสองนั้นแตกต่างกันมากโข เขาตะลึงงันไป ยังไม่ทันที่เสียงนั่นจะอธิบายภารกิจจนจบก็มีเสียงกระแอมไอดังขึ้นข้างหูเหมือนครั้งก่อน!
ชายหนุ่มเบิกตากว้าง ไม่แน่ใจว่าได้ยินจริงๆ หรือเปล่า เขาหันมองรอบๆ ก่อนจะพูดขึ้นหน้าตื่น
“ใครกัน!”
ไม่มีเสียงตอบกลับ เสียงอธิบายภารกิจวังลำดับหกดังขึ้นอีกครั้งหลังผ่านไปชั่วสิบสองลมหายใจ ครั้งนี้น้ำเสียงดูจริงจังกว่าเดิม ไม่ได้เย็นชาเหมือนเก่า…
“โปรดเตรียมตัวให้พร้อม ท่านจะได้ไปยังดาวเคราะห์พญาด้วงเพื่อไปแต่งงานกับ…”
“อะแฮ่ม!”
“โปรดเตรียมตัวให้พร้อม ท่านจะได้ไปยังดาวเคราะห์ผืนนภาโดยร่างของท่านจะแปรเปลี่ยนเป็นนักรบผืนนภา…”
“อะแฮ่ม!”
…
หวังเป่าเล่อยืนกลัวเสียงไอที่ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน เริ่มคิดอยากล้มเลิก เหตุการณ์ที่พบเจออยู่ช่างแปลกประหลาดเกินไป เสียงอธิบายอย่างจริงจังขึ้นเรื่อยๆ ภารกิจต่างๆ ทำให้ชายหนุ่มหัวใจเต้นถี่ การล่อลวงครั้งนี้ช่างเกินจะต้านไหว
แม้ว่าภารกิจจะน่ารับเพียงใด หวังเป่าเล่อก็สามารถจัดการกับความละโมบของตนเองได้ เขารีบตะโกนออกไปตอนที่เสียงไอดังขัดขึ้น
“ไม่เอาแล้ว! ข้าคิดผิด ข้าขอล้มเลิก!”
ปกติแล้วชายหนุ่มจะถูกเคลื่อนย้ายออกจากวังลำดับหกทันทีที่ขอล้มเลิกภารกิจ แต่…เสียงนั่นกลับไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย จริงๆ แล้วก็อยากก็เพิกเฉยไปเลยแต่ก็ทำไม่ได้
หวังเป่าเล่อตื่นกลัว พยายามเรียกหาแม่นางน้อยแต่นางก็ไม่ตอบกลับ เสียงประกาศภารกิจต่อเนื่องไปสิบกว่าภารกิจ ก่อนภารกิจหนึ่งจะดังขึ้นโดยไร้เสียงไอขัด!
“ท่านผู้เข้ารับการทดสอบผู้ยิ่งใหญ่ โปรดเตรียมตัวให้พร้อม ท่านจะได้ไปยังป่ามี่หลัวเพื่อสังหารลูกอสูรเขี้ยวดาราและนำแก่นในของมันกลับมา ท่านผู้เข้ารับการทดสอบโปรดระมัดระวังตัวเป็นอย่างสูงเพื่อไม่ให้คนสำคัญของท่านได้รับอันตราย ลูกอสูรเขี้ยวดาราที่เพิ่งเกิดใหม่นั้นมีระดับเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ ส่วนร่างโตเต็มวัยนั้นมีระดับเทียบเท่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ชั้นสมบูรณ์ ราชันของพวกมันสามารถล้มผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้ เทียบชั้นถึงระดับดารานิรันดร์
“ด้วยระดับอันสูงส่งของท่าน แม้ว่าท่านจะสังหารอสูรไม่สำเร็จก็จะถือว่าผ่านการทดสอบ ท่านสามารถเลือกกลับมาตอนไหนก็ได้หลังจากเข้ารับการทดสอบแล้ว!”
น้ำเสียงไม่ได้แฝงความจริงจังอีกต่อไป แต่เป็นน้ำเสียงเหมือนกับพยายามเอาอกเอาใจใครอยู่ หวังเป่าเล่อไม่ได้สบายใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย เขากลัวจนผมตั้ง เหงื่อแตกพลั่ก ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่ภายใน ชายหนุ่มกำลังจะบอกปฏิเสธภารกิจ ทันใดนั้นวิสัยทัศน์รอบข้างก็พร่ามัว การเคลื่อนย้ายได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
หวังเป่าเล่อหายไปจากวังลำดับหกที่กำลังสั่นไหว…
บทที่ 607 ที่นี่ไม่มีอะไร…
ป่ามี่หลัวนั้นไม่ใช่ชื่อจริงๆ ที่เรียกขานกันเช่นนั้นเป็นเพราะมีระบบดาวที่มีลักษณะเฉพาะตัว หากมองลงมาจากไกลๆ จะเห็นระบบดาวแห่งนี้เป็นรูปต้นไม้ขนาดมหึมา
ดาวแต่ละดวงก็ไม่ได้เป็นทรงกลม ระบบดาวแห่งนี้ทำให้ดาวแต่ละดวงพัฒนาจนมีรูปทรงคล้ายต้นไม้เล็กใหญ่ต่างกันไป นอกจากรูปลักษณ์จะเหมือนแล้ว ยังมีทั้งกิ่งและใบ หากลองใช้สัมผัสวิญญาณในการตรวจดูอย่างคร่าวๆ อาจหลงคิดไปว่ามีป่าอยู่กลางห้วงอวกาศก็เป็นได้
นี่คือที่มาของชื่อป่ามี่หลัว
มีสองเหตุผลที่ทำให้ที่แห่งนี้มีชื่อเสียงในจักรพิภพเต๋าของตระกูลไม่รู้สิ้น เหตุผลแรกคือมีอสูรหลายพันเผ่าอาศัยอยู่ในป่ามี่หลัว เกือบทุกเผ่าพันธุ์มีราชันอสูรอันกล้าแกร่ง มีอยู่ห้าสายพันธุ์ที่เก่งกาจกว่าทุกสายพันธุ์ ซึ่งก็คือเหล่าอสูรบรรพชน!
ด้วยเหตุนี้ ป่ามี่หลัวจึงมีชื่อเสียงในจักรพิภพเต๋าของตระกูลไม่รู้สิ้น ไม่มีใครกล้าบุกรุกอารยธรรมนี้ ตระกูลไม่รู้สิ้นเองก็เช่นกัน เหตุผลที่สองคือ…ป่ามี่หลัวเป็นหนึ่งในไม่กี่จักรพิภพที่ตระกูลไม่รู้สิ้นให้อำนาจปกครองตนเอง!
หวังเป่าเล่อที่กำลังเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัวถูกเคลื่อนย้ายด้วยแสงจ้ามายังดาวเคราะห์รูปร่างเหมือนต้นไม้ดวงหนึ่งในป่ามี่หลัวที่มีแหล่งอาศัยของอสูรเขี้ยวดาราอยู่
อสูรเขี้ยวดาราเป็นหนึ่งในสายพันธุ์อสูรเรือนหมื่นของป่ามี่หลัว เป็นสายพันธุ์ที่ไม่ได้เก่งกาจขนาดติดห้าร้อยอันดับอสูร ความสามารถในการขยายพันธุ์และพละกำลังก็จัดอยู่ในระดับธรรมดาทั่วไป แต่พวกมันสามารถปรับแต่งดาวเคราะห์ได้ เป็นเหมือนช่างฝีมือที่สามารถปรับสภาพแวดล้อมของดาวเคราะห์ให้เหมาะกับสายพันธุ์ของตนเองได้
แต่การจะทำเช่นนั้น มีดาวเคราะห์อย่างเดียวไม่พอ ต้องใช้เลือดเนื้อและวิญญาณของผู้ฝึกตนจำนวนมาก ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไร เพราะหลายๆ อารยธรรมก็เป็นเพียงแค่อาหารของพวกมัน
ด้วยความสามารถเฉพาะตัวนี้ทำให้อสูรเขี้ยวดาราเป็นที่ยอมรับในป่ามี่หลัวและได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกพันธมิตรเผ่าพันธุ์อสูร ความสามารถเฉพาะตัวดังกล่าวช่วยให้มันอยู่รอดในจักรพิภพนี้
พวกมันช่วยกันปรับสภาพดาวเคราะห์ของตนเองให้มีอุณหภูมิสูงจัด ทั่วพื้นที่มีเปลวเพลิงปะทุคุกรุ่นส่งให้ดาวแห่งนี้เป็นเหมือนกับต้นไม้ที่ถูกไฟคลอก
หวังเป่าเล่อมาปรากฏตัวที่พื้นที่โล่งแห่งหนึ่งบนต้นไม้ไฟคลอกนี้ เขากรีดร้องลั่นทันทีที่ลงแตะพื้น อุณหภูมิรอบกายสูงจัด ผมเผ้าและขนคิ้วลุกเป็นไฟในทันใด ชายหนุ่มรีบปล่อยพลังปราณ ด้วยร่างกายอันแข็งแกร่งและความรู้ความเข้าใจในคาถาเกี่ยวกับอัคคีทำให้สามารถทนความร้อนได้อย่างทุลักทุเล
เขารู้ดีว่าน่าจะทนไปไม่ได้นาน หากไม่รีบกลับ ต้องโดนย่างเกรียมแน่
“สวรรค์ ข้าไปขัดใจใครเข้ากัน ทำไมพวกเขาต้องเปลี่ยนภารกิจไปมาแล้วจบที่ส่งข้ามายังที่แห่งนี้ แม่นางน้อย แม่นางน้อย ข้าไม่ได้ไปทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจเลยนะ!” หวังเป่าเล่อร้องลั่นด้วยความโกรธ เขารีบออกตามหาพื้นที่ที่ไม่ร้อนแผดเผา
“เงียบน่า!” แม่นางน้อยลั่นขึ้นด้วยเสียงไม่พอใจ ราวกับว่านางเองก็กำลังจะคลุ้มคลั่งไป
“ไม่ใช่ข้า ข้าก็ไม่รู้ว่ามันเป็นใคร วิญญาณวุธในตำหนักวังบูชาอาจจะเป็นบ้าไปก็ได้ เจ้าคิดว่าข้าอยากมาที่แบบนี้หรือ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้าหาทางจัดการได้ ที่จริงเราเคลื่อนย้ายกลับ…” แม่นางน้อยแค่นเสียงไม่พอใจ ก่อนนางจะทันได้พูดจบ พลังรัศมีแกร่งกล้าจากสิบสองตัวตนก็ปรากฏขึ้นเหนือดาวเคราะห์ ไกลออกไปในอวกาศ!
เป็นพลังอันมากล้นขนาดทำให้ดาวสักดวงสั่นไหว พลังเข้าปกคลุมผืนฟ้า สั่นคลอนดาวเคราะห์ เปลวเพลิงปะทุขึ้นจากพื้นเปลี่ยนพื้นที่เป็นทะเลเพลิง ขณะที่เปลวเพลิงปะทุขึ้นฟ้า แม่นางน้อยก็เงียบเสียงไป หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม พลังรัศมีที่สัมผัสได้กล้าแกร่งเทียบเท่ากับหัตถ์ยักษ์ให้สำนักวังเต๋าไพศาล จริงๆ แล้วแข็งแกร่งกว่าหน่อยด้วยซ้ำ!
นี่มัน…สวรรค์โปรด นรกแห่งนี้คือที่ใดกัน หวังเป่าเล่อกลั้นน้ำตาไว้แทบไม่อยู่ พอคิดว่ามีผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์อยู่บนดาวเคราะห์ดวงนี้ถึงสิบสองคนก็ขนหัวลุกขึ้นมา หนักไปกว่านั้นคือยังมีพลังรัศมีขั้นเชื่อมวิญญาณ ขั้นจิตวิญญาณอมตะ และระดับดาวพระเคราะห์อีกมากมายอยู่บนดาวแห่งนี้
มหาสมุทรเพลิงเบื้องล่างปะทุคุกรุ่น ชายหนุ่มเห็นเงาอสูรมากมายเริงระบำอยู่ระหว่างฟากฟ้าและผืนดิน ภาพเบื้องหน้าทำให้หวังเป่าเล่อสั่นกลัว หายใจไม่ออก กำลังจะเอ่ยเรียกแม่นางน้อยให้เคลื่อนย้ายตนกลับไป ทันใดนั้น ฟากฟ้าก็ปรากฏสายอัสนีฟาดผ่า
มหาสมุทรด้านใต้ปะทุเพลิงเดือด ทั่วทั้งดาวเคราะห์สั่นไหว เหล่าอสูรกรีดร้องคึกคะนองขณะเปลวเพลิงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนฟากฟ้าไกลออกไป!
เปลวเพลิงขนาดใหญ่หลายหมื่นเมตรกำลังเคลื่อนตัวลงมายังดาวเคราะห์ราวกับอุกกาบาต แม้จะยังอยู่ห่างออกไปไกล แต่หวังเป่าเล่อก็สังเกตเห็นอสูรขนาดมหึมาภายในเพลิงนั่น!
อสูรตนนั้นรูปร่างเหมือนก้อนเนื้อขนาดใหญ่ มีสี่ตา รอบกายปกคลุมไปด้วยหนามแหลมดังกระบี่ ปากกว้างของมันดูน่าพรั่นพรึง คลื่นพลังที่พวยพุ่งออกมาเหนือชั้นกว่าพลังรัศมีสิบสองตนที่สัมผัสได้ก่อนหน้า ราวกับว่านี่คือการกลับมาของราชัน
หวังเป่าเล่อมองได้เพียงแวบเดียว เสียงสั่นกลัวของแม่นางน้อยก็ดังขึ้นในหัว
“ราชันอสูร! ก้มลงเร็วเจ้าอ้วน! ข้าจะร่ายคาถา ตำหนักวังบูชาเฮงซวยนี่ส่งพวกเรามายังนรกแบบนี้ได้อย่างไร กลับไปข้าจะถล่มทั้งตำหนักให้ราบคาบ!” ชายหนุ่มตัวสั่นเทิ้ม รีบทิ้งร่างลงพื้น ไม่สนใจว่าผืนดินเบื้องล่างจะร้อนแรงแผดเผาสักเพียงใด เขารีบคลานไปหลบหลังหินใหญ่ เสียงสั่นเครือของแม่นางดังก้องอยู่ในหัว
“ที่นี่ไม่มีอะไร ที่นี่ไม่มีอะไรทั้งนั้น…”
แม่นางน้อยอาจจะมีกลยุทธ์อะไรบางอย่างหรืออาจจะเป็นเพราะโชคช่วยล้วนๆ ก็ไม่ทราบ แต่ราชันอสูรเขี้ยวดารานั้นไม่สังเกตเห็นหวังเป่าเล่อตอนที่ลงสู่ดาวเคราะห์ เหล่าอสูรเขี้ยวดาราส่งเสียงกู่ก้องขณะเปลวเพลิงปะทุขึ้นจากผืนดินไม่หยุด
ผ่านไปพักใหญ่ ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนกำลังจะโดนย่างจนสุกแล้ว ปากแห้งแตก ดวงตากำลังจะมืดดับ เขาเอ่ยขึ้นอย่างน่าเวทนา
“แม่นางร้อย รีบเคลื่อนย้ายเราหนีไปที!”
“คิดว่าข้าไม่อยากทำเช่นนั้นหรือ ข้าลองมาหลายครั้งแล้ว! ที่แห่งนี้ต้องสาป ข้าทำการเคลื่อนย้ายไม่ได้!” แม่นางน้อยตะคอกกลับ ไม่สมกับภาพลักษณ์ของนางเลยแม้แต่น้อย
นางไม่มีพลังในการรักษาร่างไว้ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ หากปรากฏกายออกมาได้ คงจะเห็นนางกำลังทึ้งหัวด้วยความหงุดหงิดและเป็นกังวล
หวังเป่าเล่อเริ่มตื่นตระหนก เขาถอนใจ ขณะกำลังสิ้นหวังก็หันไปเห็นบางสิ่งข้างหินที่หลบอยู่ เปลวเพลิงที่แผดเผาผืนพสุธาได้ทิ้งผลึกแก้วส่องสว่างไว้เบื้องหลัง
ชายหนุ่มกะพริบตา จากนั้นก็คลานไปขุดสิ่งนั้นขึ้นมา หลังจากตรวจดูอย่างละเอียด ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง หายใจถี่รัว เกือบจะตะโกนขึ้นด้วยความตื่นตะลึง
หรือว่าจะเป็นแร่อัคคีชั้นสูงสุด คลื่นความรู้สึกถาโถมเข้าสู่ร่างหวังเป่าเล่อ บนโลกไม่มีบันทึกเกี่ยวกับวัสดุชิ้นนี้ เขารู้จักวัสดุนี้เป็นครั้งแรกในรายชื่อวัสดุจำเป็นสำหรับซ่อมเรือสำปั้นสีดำ จากนั้นก็พบในบันทึกที่เจอในสำนักวังเต๋าไพศาลอีกครั้ง แร่ที่ว่าเป็นวัสดุหลอมสุดล้ำค่าที่หายากมาก หากใช้หลอมอาวุธเวทธรรมดาก็จะเสริมพลังให้ได้มหาศาล
อีกทั้งยังเป็นวัสดุจำเป็นในการหลอมอาวุธเทพและเป็นวัสดุสำคัญในการซ่อมวัตถุแห่งความมืด!
หวังเป่าเล่อตื่นเต้นดีใจหลังจากตรวจสอบจนมั่นใจ ดวงตาของเขาเป็นประกาย เลิกสนใจเรื่องการเคลื่อนย้ายของแม่นางน้อย รีบหันมองรอบๆ ก่อนจะเห็นผลึกอัคคีชั้นสูงสุดอีกก้อน ชายหนุ่มทนความเจ็บปวด รีบคลานไปเก็บ ก่อนจะมองรอบบริเวณอีกครั้ง
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังตามเก็บแร่อัคคีชั้นสูงสุด แม่นางน้อยก็พยายามร่ายคาถาเคลื่อนย้ายไม่หยุดหย่อน บนยอดเขาไกลออกไปในดาวเคราะห์ดวงเดียวกัน ชายหนุ่มผู้เมามายจากสำนักวังเต๋าไพศาลก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง เขานอนจิบไวน์อยู่บนหินก้อนใหญ่พร้อมกับกระบี่ไม้ที่วางอยู่ข้างกาย ชายหนุ่มยกยิ้มขณะจ้องมองไปทางหวังเป่าเล่อ ภายในดวงตาแฝงไปด้วยความโหยหา
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็หัวเราะขึ้น
“เจ้าชอบศิลาอัคคีชั้นสูงสุดขนาดนั้นเลยเชียว” เขาเอ่ยเสียงเบา ก่อนจะยกมือขึ้นโบกใส่ผืนดิน พลันดวงดาวก็สั่นไหว สายแร่ศิลาอัคคีชั้นสูงสุดพังทลายลง ก่อนจะโดนพลังที่มองไม่เห็นนำทางดำดินไปหาหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว!
บทที่ 608 บริการสุดพิเศษเต็มรูปแบบ!
หวังเป่าเล่อกำลังคลานไปหาศิลาอัคคีชั้นสูงสุดที่อยู่ห่างออกไปประมาณสามสิบเมตร ศิลาเหล่านี้ถือเป็นของล้ำค่าสำหรับเขา แต่รอบกายก็มีอยู่เพียงไม่มาก ตามหาอยู่นานได้มาแค่สามก้อน นอกจากนี้ยังเป็นเพียงก้อนเล็กๆ
ศิลาพวกนี้เป็นสมบัติที่ล้ำค่ามาก ชายหนุ่มคลานไปเก็บเอาศิลาอัคคีชั้นสูงสุดมาตรวจดูด้วยความพึงพอใจ
แม่นางน้อยไม่ยอมให้ชายหนุ่มลุกยืนขึ้นแม้สภาพแวดล้อมรอบกายจะเลวร้ายมากก็ตาม เหมือนว่านางจะช่วยซ่อนตัวตนให้ได้หากทำตัวติดอยู่กับพื้น ถึงจะทุกข์ทรมานและโดนย่างทั้งเป็น แต่ก็คุ้มค่าที่ได้ศิลาอัคคีชั้นสูงสุดมา
เห็นหน้าตาของหวังเป่าเล่อ แม่นางน้อยก็อดแค่นเสียงทางจมูกใส่ไม่ได้ นางหงุดหงิดใจ พยายามเคลื่อนย้ายพวกตนออกจากที่แห่งนี้อยู่หลายครั้ง แต่ก็ล้มเหลว
“ได้ก้อนหินโง่ๆ มาก็ดีใจขนาดนี้เชียว ทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อย!”
“เจ้าไม่เข้าใจ นี่คือศิลาอัคคีชั้นสูงสุด เจ้ารู้ไหมว่าสิ่งนี้คืออะไร” หวังเป่าเล่อเริ่มไม่พอใจเมื่อได้ยินที่นางพูด ไหนจะมาดูถูกศิลาอัคคีชั้นสูงสุด ไหนจะมาเรียกเขาว่าเจ้าอ้วนอีก
“ศิลาอัคคีชั้นสูงสุดเกิดขึ้นจากการทำลายล้างระบบดาวทิ้ง เป็นเงื่อนไขที่ยากยิ่ง แค่ก้อนเล็กๆ ก้อนเดียวก็มีมูลค่ามหาศาล ระบบดาวแห่งนี้น่าจะเคยผ่านหายนะร้ายแรงมา แล้วฟื้นฟูขึ้นใหม่ขึ้นอีกครั้งจึงมีศิลาจำนวนมากกระจายอยู่!” ชายหนุ่มอธิบายให้แม่นางน้อยฟัง
นางอาจจะแกล้งทำเป็นรู้ทุกสิ่ง แต่หวังเป่าเล่อก็รู้ไต๋นางมานานแล้ว ทุกอย่างก็เป็นแค่การแสดง ถึงจะทำเป็นว่ารู้ไปหมด แต่จริงๆ แล้วนางรู้เพียงแค่ผิวเผิน
แม่นางน้อยงุนงงไปเมื่อได้ฟังคำอธิบาย นางกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่ชายหนุ่มก็ขัดขึ้นก่อน
“ข้าว่าดาวเคราะห์ดวงนี้ยังมีศิลาอัคคีชั้นสูงสุดกระจายอยู่ทั่ว เสียดายที่ไปตามเก็บทั้งหมดไม่ได้ แต่เก็บมาได้เท่านี้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว” หวังเป่าเล่อถอนใจขณะเก็บศิลาอัคคีชั้นสูงสุดใส่กระเป๋าคลังเวท เขาตรวจดูรอบๆ ก่อนจะเก็บเอาศิลาอัคคีชั้นสูงสุดก้อนสุดท้ายในบริเวณนั้นขึ้นมา แม้ใจจะนึกเสียดาย แต่ก็เข้าใจสถานการณ์ดี
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น กำลังจะบอกให้แม่นางน้อยเริ่มทำการเคลื่อนย้าย ทันใดนั้น เสียงของนางก็ดังขึ้นในหัว น้ำเสียงของนางดูแปลกไป
“เจ้าแน่ใจนะว่าหินโง่ๆ นี่เป็นของล้ำค่าจริง”
“แน่นอน มัน…” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วพร้อมกับเอ่ยตอบ ยังไม่ทันจะพูดจบ แม่นางน้อยก็กระแอมไอขึ้นขัด
“มองไปด้านขวา ถัดไปสามร้อยเมตรมีอยู่อีกก้อน”
ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อ รีบหันไปมอง ตรงนั้นมีศิลาอัคคีชั้นสูงสุดอยู่จริงๆ เขาอึ้งไป ตอนแรกที่ตรวจดูรอบๆ คิดว่าไม่เหลือแล้วแท้ๆ หวังเป่าเล่อคลานตรงไป ตัวสั่นเทิ้ม ดวงตาเบิกกว้างจนแทบจะหลุดออกจากเบ้าขณะจ้องตรงไปยังบริเวณที่แม่นางน้อยบอก
ตอนแรก…ตรงนั้นมีศิลาอัคคีชั้นสูงสุดเพียงแค่ก้อนเดียว แต่พริบตาเดียว ก้อนที่สอง สาม และสี่…ก็พลันปรากฏขึ้น ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ในชั่วไม่กี่ลมหายใจ ศิลาอัคคีชั้นสูงสุดก็มุดดินโผล่มากองรวมกัน ครู่เดียว…ตรงหน้าก็กลายเป็นภูเขาศิลาขนาดย่อม!
ภูเขาตรงหน้ามีศิลามากองรวมอยู่หลายพันก้อน ศิลาอัคคีชั้นสูงสุดยังผุดขึ้นมาไม่หยุด…พลันปรากฏเป็นภูเขาศิลากองที่สอง ตามมาด้วยกองที่สาม และสี่…ศิลามากมายยังไหลหลากมากองรวมกันไม่หยุดหย่อน
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง หวังเป่าเล่อก็นอนแผ่หลา ราวกับตนถูกสายฟ้าฟาดผ่าใส่ เขางุนงงจนแทบลืมหายใจ หันมองภูเขาศิลาขนาดย่อมแปดกองรอบตัวด้วยความตื่นตะลึง!
“นี่…นี่มัน…” ชายหนุ่มพูดตะกุกตะกัก ในหัวอื้ออึงไปหมดจากความกังขาที่ถาโถมอยู่ภายใน ขนลุกชัน เหงื่อแตกพลั่ก เย็นวาบไปถึงหนังศีรษะ
แม่นางน้อยเองก็พูดอะไรไม่ออก ยิ่งมองสิ่งรอบกายก็ยิ่งรู้สึกหวาดหวั่น หลังจากเงียบไปครู่ใหญ่ นางก็สูดหายใจลึก พร้อมกับกระซิบถาม
“เป่าเล่อ ที่นี่…คือบ้านเจ้าหรือ พอเจ้าพูดถึงศิลาอัคคีชั้นสูงสุด ก้อนหินงี่เง่าพวกนี้ก็มากองรวมกันอยู่ตรงหน้า…ดูแล้วน่าจะมาจากสายแร่ แต่ละก้อนก็ตัดมาอย่างดี…ขนาดเท่าๆ กันทุกก้อนเลย”
หวังเป่าเล่อหันมองรอบตัวด้วยความตะลึงงัน คำพูดของแม่นางน้อยทำให้เขาสับสน หรือเขาจะไม่ได้เป็นเพียงบุตรแห่งโลก ดาวอังคาร และสำนักวังเต๋าไพศาล แต่ยังเป็นบุตรแห่งป่ามี่หลัวด้วย
ชายหนุ่มส่ายหัวปฏิเสธความคิดในหัว แม่นางน้อยพาเขาคิดไปไกล เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่างประหลาดและน่าขนลุก หวังเป่าเล่อพลันนึกถึงตอนที่ภารกิจเปลี่ยนไปมาเมื่อตอนอยู่ในวังลำดับหก
มีใครบางคนอยากให้เขามาที่นี่! ดวงตาของชายหนุ่มส่องแสงวาบ เริ่มหายใจถี่รัว เขาพยายามเก็บเอาศิลาอัคคีชั้นสูงสุดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พอจับศิลายัดใส่กำไลคลังเวทจนล้น หวังเป่าเล่อก็สูดหายใจลึก ครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะตะโกนเสียงดัง “ข้าอยากได้แก่นในอสูรเขี้ยวดารา!”
แม่นางน้อยตกใจสุดขีดเมื่อได้ยินหวังเป่าเล่อตะโกนขึ้น ทันใดนั้น ชายหนุ่มผู้เมามายบนยอดภูเขาไฟห่างไกลออกไปก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
“ศิษย์น้องน้อย เจ้าไม่อายเลยนะเวลาเอ่ยปากขออะไรจากศิษย์พี่ เอาเลย อยากได้อะไรข้าจะหาให้!”
พูดจบ เขาก็ชี้มือขวาไปทางถ้ำที่พักเผ่าอสูรเขี้ยวดารา ภายในถ้ำที่พัก ขณะที่เหล่าอสูรส่งเสียงกู่ก้อง อสูรเขี้ยวดาราขนาดยักษ์ที่อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะสองตัวก็สั่นเทิ้ม มันก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวก่อนจะพุ่งหายวับไป
อสูรตนอื่นๆ ไม่ทันสังเกตเห็นการหายตัวไปของทั้งสอง เหมือนว่ามีพลังบางอย่างกำลังป้องกันไม่ให้เหล่าอสูรรวมถึงราชันอสูรตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น ด้านอสูรเขี้ยวดาราสองตัวนั้น แม้ว่ามันจะมาจากคนละทาง แต่พวกมันทั้งคู่ต่างมุ่งไปทางเดียวกัน
จุดหมายปลายทางของมันอยู่ห่างออกไปสามพันเมตร เป็น…จุดที่หวังเป่าเล่ออยู่!
อสูรทั้งสองบรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะแล้วจึงเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วมาก ทันใดที่หวังเป่าเล่อเอ่ยปากขอ เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังรัศมีแกร่งกล้ากำลังพุ่งเข้ามาจากสองทิศ หัวใจของชายหนุ่มเต้นถี่รัว ร่างทรุดลงพื้นในทันใด จากนั้น…อสูรเขี้ยวดาราขนาดใหญ่ยักษ์สองตัวก็ปรากฏขึ้นจากด้านซ้ายและด้านขวา
พวกมันมีหน้าตาน่ากลัวและร่างกายเน่าเปื่อย คมมีดที่ปกคลุมอยู่ทั่วร่างส่งให้อสูรร้ายดูน่าเกรงกลัว ดวงตาของพวกมันแดงก่ำเหมือนว่ากำลังคลุ้มคลั่งขณะพุ่งตรงเขามายังจุดที่เขาอยู่!
“มาจริงๆ ด้วย…” หวังเป่าเล่อสั่นกลัว พลังรัศมีของอสูรทั้งสองแกร่งกล้าเกินไป เขาเรียกหาแม่นางน้อยเสียงตื่น ขอร้องให้นางพาเขาออกไปจากที่แห่งนี้โดยไว
“หวังเป่าเล่อ เจ้าตัวซวย! ข้าร่ายคาถาเคลื่อนย้ายไม่ได้ จะให้ข้าทำเช่นไรอีก” แม่นางน้อยตะคอกกลับ แววตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความอาลัย รู้ดีว่าไม่มีทางใดเลยที่จะหนีอสูรทั้งสองไปได้ เขากำลังจะเอ่ยปากพูด ทันใดนั้นเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็พลันบังเกิด!
อสูรเขี้ยวดาราทั้งสองพุ่งตรงมายังจุดที่หวังเป่าเล่ออยู่ แต่กลับไม่เหลือบมองชายหนุ่มแม้แต่น้อย พวกมันจ้องตากันเขม็ง ก่อนจะพุ่งเข้าไปประสานงากันเอง!
เหมือนว่าทั้งคู่อยากให้ศึกครั้งนี้น่าสนใจขึ้นไปอีกจึงสกัดพลังปราณของตนเองเอาไว้ พลังปราณของพวกมันถูกผนึกไปแปลงให้ทั้งสองกลายเป็นอสูรธรรมดาทันทีที่เข้าประสานงา พวกมันพุ่งตรงไปปะทะกันอย่างจัง!
เกิดเสียงกัมปนาทดังขึ้น รอบพื้นที่ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เนื่องจากอสูรเขี้ยวดาราทั้งสองได้ผนึกพลังปราณไว้ พวกมันกระอักเลือดสดออกมากองใหญ่ ใบหน้าอาบไปด้วยโลหิต ก่อนจะล้มลงพื้นเพราะอาการบาดเจ็บที่ได้รับจากการเข้าปะทะ ร่างกลมของสองอสูรกลิ้งไปหยุดอยู่หน้าหวังเป่าเล่อที่กำลังตัวแข็งทื่อจากความกลัว
ชายหนุ่มสับสนไปหมด แม่นางน้อยเองก็ตะลึงงันไปเช่นกัน ก่อนเหตุการณ์น่าสะพรึงกลัวหนักกว่าเดิมจะบังเกิดขึ้น…สองอสูรเขี้ยวดาราที่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงต่างควักเอาแก่นในของตนเองออกมาต่อหน้าต่อตา จากนั้นก็วางทิ้งไว้เบื้องหน้าชายหนุ่ม ร่างของพวกมันบิดเบี้ยว ก่อนจะสิ้นลมหายใจไป!
แม้จะเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณ แต่พลังที่แผ่พุ่งออกมาก็ยังน่าครั่นคร้ามไม่แปรเปลี่ยน ชายหนุ่มหยุดหายใจไป เหตุการณ์ที่เพิ่งจบลงไปช่างแปลกประหลาดเหนือจินตนาการ
ที่น่าขนลุกไม่ใช่การประสานงาฆ่าตัวตายของอสูรทั้งสอง…แต่เป็นการที่มันพยายามเก็บเรี่ยวแรงเอาไว้หลังประสานงากัน ราวกับเป็นกังวลว่าเขาอาจจะไม่สามารถกรีดหนังพวกมันเปิดออกได้ สองอสูรจึงจ้วงเอาแก่นในของตนเองออกมาให้แทน หวังเป่าเล่อเหงื่อแตกพลั่กเมื่อได้พบกับการบริการสุดพิเศษเต็มรูปแบบนี้
บทที่ 609 เรียกข้าว่าศิษย์พี่
ช่างเป็นการบริการที่แสนยอดเยี่ยมเกินบรรยาย…หวังเป่าเล่อปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก ทุกอย่างมากองอยู่ตรงหน้าโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย ชายหนุ่มตื่นตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เขาคิดเองเออเองว่าตนคงจะเป็นที่รักใคร่ของเทพีแห่งโชคลาภมาตลอดตั้งแต่อยู่บนโลก บนดาวอังคาร บนกระบี่สำริดเขียวโบราณ หรือแม้แต่บนดาวเคราะห์แคระวิญญาณทมิฬ แต่ก็คิดไม่ถึงว่านางจะตามมาดูแลถึงดาวเคราะห์ของอสูรเขี้ยวดารา
แม่นางน้อยเองก็ตื่นตะลึงไม่ต่าง นางเฝ้าดูเหตุการณ์มาโดยตลอด ตั้งแต่ศิลามากมายมากองอยู่ตรงหน้า จนกระทั่งอสูรร้ายขั้นจิตวิญญาณอมตะมาพุ่งประสานงากันจนบาดเจ็บสาหัส ก่อนจะตายยังควักเอาแก่นในออกมาให้อีก…
เหตุการณ์ทั้งหมดทำให้นางตื่นตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่
ความไร้ยางอายของหวังเป่าเล่อนั้นมีประโยชน์ในสถานการณ์คับขันจริงๆ ไม่นานชายหนุ่มก็ได้สติ รีบข่มความตื่นกลัวในใจ ก่อนจะกระแอมไอพร้อมกับพูดขึ้น “เห็นไหม แม่นางน้อย การที่เจ้าได้มาเจอข้าถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตเจ้า” เขายกมือขวาขึ้นโบก เรียกแก่นในอสูรเข้ามาหา พลันสัมผัสได้ถึงพลังกล้าแกร่งเกินบรรยายจากปราณวิญญาณที่พวยพุ่งออกมา ร่างกายชายหนุ่มสั่นไหวขณะพยายามต้านทานพลังปราณวิญญาณไว้อย่างทุลักทุเล
เขาพยายามทำหน้านิ่งเพื่อรักษามาดไว้ขณะยัดแก่นในใส่กำไลคลังเวท จากนั้นก็หันไปมองศพอสูรเบื้องหน้าด้วยแววตาเป็นประกาย
ศพของอสูรที่ได้บรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะถือเป็นสมบัติล้ำค่า ทั้งเลือดเนื้อหนัง หรือแม้แต่เครื่องในและกระดูกถือเป็นวัสดุระดับสูงที่ใช้ในการหลอมโอสถในสหพันธรัฐ
หากสหพันธรัฐได้ทราบเรื่องนี้ ทุกคนจะต้องตกใจ ทั้งโลกจะต้องสั่นสะเทือน
หวังเป่าเล่อครุ่นคิดว่าตนควรจะเก็บศพทั้งสองใส่กำไลคลังเวทที่เต็มจนแทบจะล้นทะลักออกมาดีไหม ทันใดนั้นคลื่นพลังรัศมีก็พลันปรากฏขึ้น!
อาจจะมีใครบางคนพบว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป หรือไม่ก็สัมผัสได้ว่าพลังรัศมีของอสูรเขี้ยวดาราขั้นจิตวิญญาณอมตะสองตนได้หายวับไป พลังกล้าแกร่งของราชันอสูรเขี้ยวดาราพลันปะทุขึ้น สามารถสัมผัสได้ถึงความสงสัยและความโกรธเกรี้ยวที่คุกรุ่นอยู่ทั่วดาวเคราะห์
มันพบหวังเป่าเล่อในทันใด คลื่นพลังรุนแรงแฝงไปด้วยอารมณ์มากล้นปะทุขึ้นทันใดที่เห็นศพ!
“ตายเสีย!” เสียงดังขึ้นจากลึกสุดของวิญญาณสั่นคลอนสัมผัสวิญญาณของหวังเป่าเล่อ สะเทือนถึงฟากฟ้า เขย่าผืนพสุธาทั่วบริเวณ ดาวเคราะห์ทั้งดวงสั่นไหว พลันเปลวเพลิงก็ปะทุขึ้นจากพื้น หวังเป่าเล่อถูกพลังขนาดถล่มดาวทั้งดวงเข้าข่ม ราวกับจะลบเขาให้หายไปจากดาวดวงนี้!
ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา หวังเป่าเล่อไม่มีเวลาได้เตรียมรับมือกับเปลวเพลิงที่ลุกโชนรอบตัว เปลวไฟรวมตัวกันเป็นฝ่ามือขนาดใหญ่ พร้อมกวาดเขาในหายวับไปในครั้งเดียว
วิกฤตหายนะเข้าคุกคามชายหนุ่ม หวังเป่าเล่อได้ยินแม่นางน้อยกรีดร้อง วิสัยทัศน์เบื้องหน้าพลันมืดดับ เขาเป็นดั่งแพเดียวดายที่ลอยอยู่ท่ามกลางทะเลคลั่ง โดนคลื่นซัดไปมาเกือบจะล่มจมหาย
เสียงแค่นจมูกไม่พอใจดังก้องมาจากที่ไหนสักแห่งบนดาวเคราะห์ ทันใดนั้นเพลิงที่รวมตัวเป็นมือยักษ์ก็พลันหยุดนิ่ง ก่อนจะสลายหายไปเงียบๆ พลังรัศมีกล้าแกร่งเมื่อก่อนน่าก็หายวับไปเช่นกัน
โลกเบื้องหน้ากลับคืนสู่สภาพปกติ หวังเป่าเล่อรีบถอยหนีด้วยใบหน้าซีดเผือด เขายกมือขวาเรียกศพสองตัวเข้ากำไลคลังเวทอย่างรวดเร็ว ซึ่งต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดที่ต้องโยนหุ่นเชิดและข้าวของมากมายทิ้งไปแทน
ชายหนุ่มยัดศพใส่กำไลคลังเวทอันแน่นขนัดได้สำเร็จ พอผ่านพ้นสถานการณ์เฉียดตายมาได้ แม่นางน้อยก็รีบร่ายคาถาเคลื่อนย้ายอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่มีการขัดขวางใดๆ นางร่ายได้สำเร็จในทันที!
คลื่นพลังจากคาถาเคลื่อนย้ายรายล้อมรอบตัวหวังเป่าเล่อ ทันใดที่การเคลื่อนย้ายกำลังจะเริ่มต้นขึ้น เสียงร้องคำรามเกรี้ยวกราดก็ดังขึ้นจากถ้ำที่พักของอสูรเขี้ยวดาราที่อยู่ห่างออกไป
“นี่คือพันธมิตรร้อยเผ่าพันธุ์แห่งป่ามี่หลัว ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร จงจำเอาไว้ว่าเจ้าจะต้องเสียใจที่บังอาจมาทำร้ายเผ่าอสูรเขี้ยวดารา!”
พลังรัศมีของเหล่าอสูรเขี้ยวดาราพวยพุ่งเต็มฟากฟ้าพร้อมเสียงร้องกราดเกรี้ยว สรวงสวรรค์สั่นคลอนเมื่อเงาหลายสิบปรากฏขึ้นบนฟ้า มองไกลๆ เห็นเป็นเหมือนก้อนเนื้อขนาดยักษ์ แต่ละก้อนแผ่พลังมากล้นขนาดบิดห้วงอากาศได้ ราชันอสูรเขี้ยวดาราเป็นดั่งตัวแทนของดวงดาว พลังกล้าแกร่งที่พวยพุ่งออกมาจากตัวราชันเข้าขัดขวางการเคลื่อนย้ายของหวังเป่าเล่อ ทำให้อาจล้มเหลวได้ทุกเมื่อ
กองทัพอสูรเขี้ยวดาราพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อทันทีที่ปรากฏตัว ผืนดินเบื้องล่างสั่นไหว เปลวเพลิงขึ้นสูงเฉียดฟ้า พลังแกร่งกล้าขนาดทำทุกสิ่งที่ขวางหน้าแผ่พุ่งออกมาจากกองทัพ!
หวังเป่าเล่อหน้าซีดเผือด พลังไร้เทียมทานตรงหน้าตรงเข้ามาบดขยี้ทั้งร่างกายและพลังปราณทำให้เคลื่อนไหวไม่ได้ แค่หายใจก็ยังยาก แม่นางน้อยลนลาน คาถาเคลื่อนย้ายของนางสั่นคลอนเหมือนดังเทียนที่โดนลมแรงพัดเปลวไฟไหวไปมา
ทุกสิ่งเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ความตายมาเยือนอยู่ตรงหน้า ทันใดนั้น หวังเป่าเล่อก็ได้ยินเสียงนิ่มนวลชวนฟังดังขึ้นในหัว เป็นเสียงของชายผู้หนึ่งที่ฟังดูคุ้นเคย
“เป่าเล่อ มา เรียกหาศิษย์พี่ของเจ้า ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
เสียงที่ดังขึ้นไร้ซึ่งความเคร่งเครียด กลับแฝงไปด้วยความเย้าหยอก หวังเป่าเล่อแทบไม่กะพริบตา รีบร้องขึ้นทันใดที่ได้ยินเสียงก้องในหัว “ศิษย์พี่ ช่วยข้าด้วย!”
สิ้นประโยค เสียงหัวเราะก็ดังก้องทั่วผืนฟ้า พลันฟ้าก็ถูกบดบังด้วยหัตถ์มายาขนาดใหญ่ไพศาล หัตถ์มายากวาดผืนฟ้าราวกับจะตะปบก้อนเหนือออกไปให้พ้นทาง ราชันอสูรเขี้ยวดาราและเหล่ากองทัพอันแสนองอาจเมื่อครู่ตัวสั่นเทิ้ม พลังของพวกมันไม่สามารถทัดเทียมกับหัตถ์มายาได้จึงโดยกวาดหายลับไป
หลายตนไม่สามารถทานทนพลังได้ ถูกบดขยี้ลงในพริบตา พวกที่ยังเหลือรอดก็บาดเจ็บหนัก ราชันอสูรถึงกับกระอักเลือดกองใหญ่ เงาของมันบิดเบี้ยวในอากาศ ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตกใจขณะจ้องมองฟากฟ้า ก่อนจะร้องคำรามขึ้นด้วยเสียงอันสั่นเครือ
“เจ้าเป็นใคร!”
หัตถ์บนฟ้าค่อยๆ จางหายไปเมื่อราชันอสูรร้องขึ้น แทนที่ด้วยใบหน้าขนาดใหญ่ลอยอยู่กลางอากาศ ใบหน้าดังกล่าวเป็นของชายหนุ่มผิวขาวซีด ตายาวตี่ มีกระขึ้นเต็ม มองดูแล้วสัมผัสได้ว่าเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาน่าจะเป็นคนสุภาพอ่อนโยน แต่พลังกล้าแกร่งที่แผ่พุ่งออกมากลับทำให้ทั้งดาวเคราะห์สั่นสะเทือน ราวกับว่าเพียงแค่คิดก็สามารถทลายดาวดวงนี้ลงได้!
อสูรเขี้ยวดาราไม่ได้ตัวสั่นเทิ้มเพียงผู้เดียว หวังเป่าเล่อก็เช่นกัน เขาไม่ได้สั่นเพราะกลัว แต่เพราะรู้จักเจ้าของใบหน้านั่น!
“เจ้า…เจ้า…” หวังเป่าเล่อเบิกตากว้าง คลื่นความรู้สึกถาโถมเข้าในใจ ชายหนุ่มตระหนักทันทีถึงต้นตอของเหตุประหลาดทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนดาวเคราะห์แห่งนี้!
แม่นางน้อยเองก็หายใจถี่รัว นางแอบมองใบหน้าขนาดใหญ่บนท้องฟ้า ยิ่งจ้องก็ยิ่งรู้สึกหลงเสน่ห์…
“เมื่อครู่เจ้าเพิ่งร้องขอให้ข้าช่วย แต่พอช่วยเสร็จ เจ้ากลับจะบอกว่าจำข้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ” ใบหน้าบนฟากฟ้าจ้องหวังเป่าเล่อที่นิ่งอึ้งไปด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล เขายิ้มบาง ก่อนจะเอ่ยพูดต่อ
“ไม่เป็นไร ข้าว่านี่น่าจะเป็นการพบกันต่อหน้าครั้งแรกของเรา ให้ศิษย์พี่ได้เอ่ยแนะนำตัว ข้า…เฉินชิง เป็นศิษย์พี่ของเจ้า!” ใบหน้าเอ่ยแนะนำตัว จากนั้นก็หันไปมองอสูรเขี้ยวดาราที่กำลังสั่นเทิ้ม ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติทั่วไป “…และเป็นราชันสวรรค์ลำดับแรกของตระกูลไม่รู้สิ้น!”
บทที่ 610 บรรลุและเดินทางกลับ
น้ำเสียงของเฉินชิงไม่ได้ฟังดูวางอำนาจหรือทรงพลัง แต่ทั้งดวงดาวก็พลันเงียบไปเมื่อเสียงของเขาดังขึ้น…ราชันอสูรเขี้ยวดาราสั่นเทิ้ม ความกลัวยากเกินจะทำใจเชื่อได้ปรากฏขึ้นในตา เป็นความรู้สึกที่อสูรกล้าแกร่งไม่เคยได้สัมผัส ไม่กล้าแม้แต่จะเปิดปากพูด
เหล่าอสูรเขี้ยวดาราที่เหลือก็ตื่นกลัวไม่ต่างกัน คำพูดธรรมดาสามัญของเฉินชิงได้สร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับสิ่งมีชีวิตทุกสิ่ง กดทับสติสัมปชัญญะสูญหายไป
หวังเป่าเล่อเองก็มีสภาพไม่ต่างกัน ในหัวของเขาอื้ออึงไปด้วยอัสนีกัมปนาท เขาเคยเข้าไปในมิติมืดและโดนเตือนเรื่องเฉินชิงมาจากท่านอาจารย์ เคยถึงกับนึกสงสัยว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนและศิษย์พี่เฉินชิงแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร
ถึงกระนั้นก็ทำได้เพียงแค่คิด ไม่เคยเตรียมใจว่าจะต้องมาพบกัน เขาไม่คาดคิดว่าตนจะได้มาพบคนในฝันซึ่งๆ หน้ารวดเร็วถึงเพียงนี้!
ความทรงจำในมิติมืดพลันผสานกับความเป็นจริง ภาพศิษย์พี่ที่เคยยิ้มและบอกว่าได้พบเนื้อคู่แห่งเต๋าในชาติภพหน้าค่อยๆ ผสานเป็นหนึ่งกับภาพใบหน้าบนฟากฟ้าเบื้องหน้า ทุกสิ่งกระจ่างชัดในบัดดล ความรู้สึกมากมายคุกรุ่นอยู่ภายในใจหวังเป่าเล่อ เขาอยากจะเอ่ยพูดแต่ก็ไม่สามารถขย้อนคำใดออกมาได้ ความคุ้นเคยและความแปลกหน้าผสมปนเปทำให้นิ่งเงียบไป
การปรากฏกายของเฉินชิงทำให้การเคลื่อนย้ายเป็นไปได้อย่างราบรื่นอีกครั้ง คาถาที่รายล้อมรอบตัวชายหนุ่มที่นิ่งเงียบพุ่งสูงขึ้นก่อนจะค่อยๆ พาเขาหายวับไป
เหล่าอสูรเขี้ยวดารามองดูหวังเป่าเล่อจากไป ไม่มีใครกล้าเข้าไปขัด พวกมันสั่นเทิ้ม เหลือบมองราชันของตน แต่ราชันกลับแสร้งทำเป็นไม่เห็นสายตาที่จับต้องมา ทำได้แต่สั่นกลัวและเฝ้าคอยการเสริมทัพจากเผ่าอสูรตนอื่นๆ อย่างเป็นกังวล
ร่างเงาของหวังเป่าเล่อเริ่มเลือนรางท่ามกลางความเงียบงัน เขาไม่ทันสังเกตว่าแม่นางน้อยเองก็เงียบไปหลังจากเฉินชิงมาปรากฏตัว เหมือนนางจะตื่นตะลึงไปเมื่อได้ยินอีกฝ่ายประกาศตน
การเคลื่อนย้ายเกือบจะเสร็จสิ้น เฉินชิงยิ้มบางขึ้น เหมือนว่าจะเข้าใจว่าหวังเป่าเล่อคิดอะไรอยู่จึงพูดขึ้นอย่างนิ่มนวล “ศิษย์น้องเป่าเล่อ ทางแห่งเต๋ารอเจ้าอยู่ เจ้าเหลือเวลาอีกไม่มาก รีบจัดการเรื่องต่างๆ หลังจากกลับไป…ข้าจัดการเรื่องของตัวเองเสร็จเมื่อไหร่จะตามไปที่จักรพิภพของเจ้าและพาเจ้ากลับ!”
หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นระส่ำเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาอยากจะเอ่ยถามแต่การเคลื่อนย้ายก็เสร็จสมบูรณ์เสียก่อน ร่างของชายหนุ่มหายวับไปจากดวงดาวพร้อมกับเสียงสั่นไหว ก่อนจะปรากฏกายขึ้นอีกครั้งบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ กลับมาหยุดยืนอยู่หน้าวังลำดับเจ็ดของตำหนักวังบูชา!
พลังจากคาถาเคลื่อนย้ายพัดกระจายไปรอบๆ ดั่งพายุ ชายหนุ่มตัวสั่นเทิ้ม หน้าซีดเผือดจากระยะทางที่เดินทางข้ามมา ลมหายใจถี่แรงขึ้นจนผิดสังเกต ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์มากมายหลังจากได้ยินประโยคสุดท้ายของเฉินชิง
“ทางแห่งเต๋ารอข้าอยู่ หมายความว่าอย่างไรกัน เขาบอกด้วยว่า…จะพาข้ากลับไป” หวังเป่าเล่อสับสน ทั้งสองพบและจากกันอย่างรวดเร็ว ในใจยังเหลือปริศนามากมาย
สิ่งเดียวที่รู้ก็คือเฉินชิงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังภารกิจครั้งนี้ และตัวตนของเขาที่เป็นถึงราชันสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้นซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ชายหนุ่มนิ่งเงียบไป
“ราชันสวรรค์ลำดับหนึ่ง…” หวังเป่าเล่อพูดพึมพำ พลันนึกขึ้นได้ว่าแม่นางน้อยเคยเล่าถึงบุคคลปริศนาน่าสะพรึงกลัวของตระกูลไม่รู้สิ้นที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคนของสำนักแห่งความมืด ตอนแรกเขาก็คิดว่านางโกหกไปเรื่อยเปื่อย แต่ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริง
ชายหนุ่มยังคงนึกเคลือบแคลงใจเพราะมีอะไรบางอย่างผิดแปลก แม่นางน้อยบอกว่านางเป็นศิษย์ของบุคคลนั่น แต่หลังจากวิเคราะห์ดูแล้ว หวังเป่าเล่อก็สรุปได้ว่าแม้นางจะพูดเกิดจริงไปบ้าง แต่นางก็รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นบางส่วนอยู่เหมือนกัน
“แม่นางน้อย เจ้า…รู้อยู่แล้วว่าราชันสวรรค์ลำดับแรกคือเฉินชิงใช่ไหม” เขาถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้นเสียงเบา
“…” แม่นางน้อยอ้าปากขึ้น แต่ดูเหมือนจะไม่สามารถหาคำที่ตรงใจได้ ตอนที่เฉินชิงปรากฏตัวขึ้นในดาวเคราะห์ของเหล่าอสูรเขี้ยวดารา นางได้สบถคำหยาบโบราณมากมายออกมา เทียบกับคำปัจจุบันที่ใช้กันในสหพันธรัฐแล้วคงเป็นคำว่า ‘ฉิบหาย’
แม่นางน้อยสับสนไปหมด ส่วนหนึ่งก็มาจากตัวตนของเฉินชิง อีกส่วนมาจากสิ่งที่นางเคยพูดกับหวังเป่าเล่อ วาจาของนางเหมือนจะแฝงไปด้วยพลังอะไรบางอย่าง อะไรก็ตามที่ออกจากปากมักจะกลายเป็นจริงอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
เหตุผลข้อหลังทำให้นางตื่นตกใจมากกว่าข้อแรก นางรู้สึกว่าตนน่าจะบรรลุขั้นการฝึกตนไปอีกขั้น เพราะไม่มีเหตุผลใดใช้อธิบายได้ว่าทำไมที่นางโกหกไปก่อนหน้าถึงกลายเป็นจริงได้โดยใช้เวลาไม่นาน นางเพิ่งจะตระหนักว่าตนมีพลังทรงอำนาจที่สามารถเปลี่ยนสิ่งที่พูดให้กลายเป็นความจริงได้…
โชคดีที่แม่นางน้อยเองก็ได้ฝึกวิชาไร้ยางอายจนเชี่ยวชาญตลอดเวลาที่อยู่กับหวังเป่าเล่อ นางสูดหายใจลึก ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่แฝงไปด้วยความเย่อหยิ่ง “ด้วยเหตุผลบางประการที่ไม่สามารถอธิบายให้เจ้าฟังได้ทำให้ข้าต้องปิดบังความจริงไว้ ถ้าเจ้าเข้าใจ…เจ้าก็รู้ได้เอง แต่ถ้าไม่ เจ้าก็จะไม่มีวันได้รู้เลยตลอดทั้งชีวิต” นางพูดด้วยน้ำเสียงโอ้อวดดั่งคนมากประสบการณ์ รู้สึกประทับใจในความหัวไวของตนเอง นางไม่ได้โกหกชายหนุ่ม นางมีเหตุผลส่วนตัวที่ไม่รู้จะอธิบายออกไปอย่างไร เหตุผลนั่นก็คือ…นางไม่รู้ว่าจะโกหกต่ออย่างไรให้ฟังขึ้น
หวังเป่าเล่อตะลึงงันไป คำพูดของแม่นางน้อยดูจะแฝงไปด้วยความหมายอันลึกซึ้ง เขาพยายามสงบใจตนเองจากการที่ได้พบกับศิษย์พี่เฉินชิงบนดาวของอสูรเขี้ยวดารา จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองวังลำดับเจ็ดเบื้องหน้า หยุดคิดสักพักก็หยิบเอาแก่นในอสูรสองตนออกมาจากกำไลคลังเวท
ทันใดคลื่นปราณวิญญาณหนาแน่นก็พวยพุ่งออกมาจากแก่นใน กระจายล้นพื้นที่ หวังเป่าเล่อใจเต้นรัว การที่ตนได้มาหยุดยืนอยู่ตรงนี้หมายความว่าเขาได้ผ่านการทดสอบของวังลำดับหกแล้ว แต่กลับยังมีแก่นในอสูรอยู่กับตัว
ความคิดหนึ่งแล่นเข้าหัว ชายหนุ่มไม่มัวคิดมาก คนโง่ยังรู้ได้ว่าคงจะเป็นเพราะศิษย์พี่สุดแข็งแกร่งของตน เขาครุ่นคิดว่าจะใช้แก่นในอสูรอย่างไรดีให้เกิดประโยชน์สูงสุดแทน
“แม่นางน้อย สิ่งนี้กินได้ไหม” หวังเป่าเล่อถามหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ได้สิ เสร็จแล้วเจ้าก็แค่ ‘ตู้ม’ ร่างระเบิด วิญญาณแหลกไม่มีชิ้นดี ถ้าเจ้าไม่อยากรีบตายก็ค่อยๆ ใช้เมล็ดดูดกลืนสูบเอาพลังหล่อเลี้ยง เจ้ากับข้าไม่เหมือนกัน ข้าได้กินผลกายาเทพตั้งแต่ยังเล็กเลยมีร่างกายอันไร้เทียมทาน ตอนอายุได้สามขวบ ข้ากินแก่นในอสูรระดับจิตวิญญาณอมตะเป็นขนมหวาน แก่นในพวกนี้เป็นขนมหวานชิ้นเล็กที่สุดที่ข้าเคยกินเลยนะ!” แม่นางน้อยพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่เน้นหนักตรงคำว่า ‘ตู้ม’
หวังเป่าเล่อกะพริบตา รีบโยนความคิดที่จะกินแก่นในอสูรทิ้งไปในทันใด เขานั่งลง วางแก่นในไว้เบื้องหน้า ครุ่นคิดสักพักก็ปลุกเมล็ดดูดกลืนในกาย พลันแรงสูบก็ปะทุออกมาห้อมล้อมรอบแก่นในอสูร
พริบตาเดียว ปราณวิญญาณมหาศาลก็พวยพุ่งออกมาจากแก่นใน เมล็ดดูดกลืนของชายหนุ่มเป็นดั่งหลุมดำที่ดูดกลืนปราณวิญญาณทั้งหมดเข้าร่างไม่มีเหลือ พลังปราณของหวังเป่าเล่อเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะบรรลุจากขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลายไปชั้นสมบูรณ์ในทันที
ยังไม่จบเพียงแค่นั้น ขณะเมล็ดดูดกลืนสูบเอาพลังปราณไม่หยุดหย่อน พลังปราณในกายหวังเป่าเล่อก็พุ่งสูงขึ้นเหมือนลูกโป่งพองลม เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มรู้สึกว่าร่างต้นเอ่อล้นไปด้วยพลังจนแทบปริ เกินขีดจำกัดของตนเองไปอีกขั้น เขาลืมตาขึ้นพร้อมกับเริ่มตรวจระดับการฝึกตนของตนเองก่อนจะตื่นเต้นดีใจหนัก
“ขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์!”
หวังเป่าเล่อได้บรรลุขั้นการฝึกตนในเวลาสั้นๆ แม่นางน้อยอดอิจฉาความโชคดีของชายหนุ่ม แก่นในอสูรทั้งสองยังเต็มไปด้วยพลังปราณ เป็นเหมือนดังศิลาวิญญาณที่มีพลังไม่จำกัด สามารถให้พลังปราณได้เรื่อยๆ
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นของขวัญส่วนหนึ่งที่ศิษย์พี่ของเขาให้มาหลังจากได้พบกันเป็นครั้งแรก!
อีกส่วนหนึ่งคือศพอสูรเขี้ยววิญญาณทั้งสอง ชายหนุ่มรู้ว่าร่างของอสูรระดับจิตวิญญาณอมตะถือเป็นสมบัติอันล้ำค่าตั้งแต่ผิวหนังจนถึงกระดูก เขาวางแผนจะหาทางใช้ร่างทั้งสองหลอมเป็นหุ่นเชิด!
หากทำได้สำเร็จ ตนอาจจะเป็นใหญ่ในระบบสุริยจักรวาลก็เป็นได้
“คงจะใช้เวลาสักพัก ค่อยศึกษาหาวิธีตอนกลับสำนัก ถ้าหาวิธีไม่ได้จริงๆ ค่อยชำแหละเนื้อหนังไปจนถึงกระดูกแทน!” คิดดังนั้นหวังเป่าเล่อก็คึกขึ้นมา ช่างดีเสียจริงที่มีศิษย์พี่สุดเก่งกาจ
บทที่ 611 ศิษย์อุปถัมภ์!
หวังเป่าเล่อกะประมาณพลังปราณของตนจนเรียบร้อยแล้วจึงเริ่มวาดฝันถึงอนาคต ทำให้ค่อยใจชื้นขึ้นมาบ้าง แม้ว่าชายหนุ่มจะยังคงงุนงงและชั่งใจว่าสิ่งที่ศิษย์พี่ของเขาพูดในตอนท้าย แต่ด้วยนิสัยของหวังเป่าเล่อแล้ว เขาก็ไม่ใช่คนที่จะมามัวกังวลกับสิ่งที่ตนไม่เข้าใจ การสนุกกับปัจจุบันสำหรับเขาแล้วสำคัญกว่า
ชายหนุ่มเลียริมฝีปากและจ้องมองไปยังห้องโถงใหญ่ของวังลำดับเจ็ด พลางนึกสงสัยว่าเขาควรจะเดินต่อไปหรือไม่ คลื่นพลังงานของการเคลื่อนย้ายปะทุขึ้น ณ วังลำดับสามเบื้องหลังหวังเป่าเล่อ กงเต๋าปรากฏตัวขึ้น บ้วนโลหิตออกมากองใหญ่ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งหลับตาทำสมาธิ
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มไม่ผ่านการคัดเลือกเข้าเป็นศิษย์สำนักใน ณ วังลำดับที่สามทำให้ต้องจบลงด้วยตำแหน่งศิษย์สำนักนอกเพียงเท่านั้น แย่กว่าเจ้าเยี่ยเหมิงเล็กน้อย หลังจากที่เห็นกริยาของกงเต๋า หวังเป่าเล่อก็หันกลับไปจ้องมองวังลำดับเจ็ด
หวังเป่าเล่ออยากจะลองเข้าไป แต่ชายหนุ่มก็ทำได้เพียงถอนหายใจ เขารู้ดีว่าตัวเองมาไกลได้เพียงถึงวังบูชาลำดับที่หกเท่านั้น หากไร้ศิษย์พี่ข้างกาย แม้ว่าจะได้รับภารกิจอื่นใด โอกาสที่ตัวเขาจะเสียชีวิตก็สูงยิ่ง ชายหนุ่มแทบไม่มีหวังว่าจะทำภารกิจนี้ลุล่วงได้เลย
หากวังบูชาลำดับหกยังขนาดนี้แล้ว วังบูชาลำเด็บเจ็ดย่อมจะต้องเลวร้ายกว่าอย่างแน่นอน แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่อยากจะละทิ้งเรื่องนี้ไปง่ายๆ หลังจากเงียบงันไปนาน ชายหนุ่มก็ก้าวขาออกไปข้างหน้าและเริ่มก้าวเดินเข้าไปสู่โถงใหญ่
หวังเป่าเล่อเดินออกมาจากโถงใหญ่อีกครั้งภายในระยะเวลาห้าสิบลมหายใจด้วยสีหน้ายอมจำนน พลางโคลงศีรษะดิก
ข้าสู้ภารกิจในตำหนักวังบูชาระดับเจ็ดในตอนนี้ไม่ไหวแน่นอน ต่อให้ข้าสามารถรับมือกับผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณขั้นต้นได้ในตอนนี้ แต่สำหรับภารกิจ…สั่งให้ข้าลอบสังหารผู้ฝึกตนในระดับดาวพระเคราะห์…
เรียกได้ว่าเกิดความบ้าคลั่งไปเสียอีก หวังเป่าเล่อไม่เชื่อว่าจะมีใครสามารถทำภารกิจนี้ได้ หากไม่ได้ใช้วิธีที่ตัวเขาเองคาดไม่ถึง การทำภารกิจอย่างตรงไปตรงมานั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย
“ข้าขอยอมแพ้กับการเป็นศิษย์แห่งเต๋าและขอเป็นแค่ศิษย์อุปถัมภ์ก็แล้วกัน!” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง ขณะที่เขาไปจบการทดสอบที่ตำหนักวังบูชา ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าตำหนักวังบูชารู้ความคิดของเขาได้อย่างไร แต่ทันทีที่เขานึกยอมแพ้ ร่างกายเขาก็หายวับไปในทัน
เมื่อปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง หวังเป่าเล่อก็ยืนอยู่ตรงจุดเริ่มต้นของเส้นทางชัชวาล ทะเลเพลิงเดือดพล่านอยู่ข้างๆ ถนนทอดยาวไปจนถึงด้านหลังของตำหนักวังบูชา ไม่ว่าคลื่นร้อนระอุจะเหวี่ยงขึ้นลงมากเพียงไร ก็ไม่อาจจะขึ้นมาถึงตรงที่ชายหนุ่มยืนอยู่ได้
กงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงปรากฏกายขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสามจ้องมองกันอยู่ไปมา แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าต่างคนต่างไปเจอภารกิจแบบใดมา แต่ทุกคนก็สามารถเดาได้ว่าภารกิจเหล่านั้นยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด
ประกายตาของเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋ามีความสุขลึกล้ำสะท้อนอยู่ข้างใน พวกเขาได้พบสมบัติจำนวนไม่น้อยจากภารกิจนั้นแถมยังหยิบติดตัวออกมาได้อีกด้วย
“พวกเจ้ารู้หรือเปล่าว่าข้าเจอสิ่งใดในการทดสอบที่วังบูชาลำดับที่สอง” กงเต๋าผู้ที่ตื่นเต้นดีใจจนแทบจะสะกดเอาไว้ไม่อยู่เอ่ยถามออกมา พร้อมทั้งยกมือขวาขึ้นโบกไปมาอย่างภาคภูมิใจ รากของสมุนไพรวิญญาณที่อัดแน่นไปด้วยปราณวิญญาณปรากฏขึ้นในมือนั้น สะท้อนล้อกับแสงไฟอยู่ไปมา
“เป็นอย่างไรเล่า พวกเจ้ารู้จักสิ่งนี้หรือไม่ บันทึกของสำนักวังเต๋าไพศาลเรียกสิ่งๆ นี้ว่าผลก่อเมฆา เพียงลูกเดียวก็จะช่วยเปิดหนึ่งในเจ็ดทวารของร่างกาย ทำให้การฝึกตนในอนาคตนั้นง่ายดายขึ้นไปอีก!” กงเต๋ายิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น แม้ว่าทั้งเจ้าเยี่ยเหมิงและหวังเป่าเล่อจะเข้าไปวังที่ลึกกว่ามาแล้วก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะได้พบเจอสมบัติที่ยอมเยี่ยมเช่นเดียวกัน เพราะอย่างไรเสีย กงเต๋าก็สูญเสียไปอย่างมากมายเพื่อจะได้เห็นผลไม้นี้ในระหว่างการทดสอบ
หวังเป่าเล่อกะพริบตาครั้งหนึ่ง ก่อนจะจ้องมองไปที่กงเต๋าผู้ลิงโลดใจ ชายหนุ่มกระแอมก่อนจะดึงเอาศิลาอัคคีชั้นสูงสุดออกมาจากกำไลคลังเก็บ
กงเต๋าไม่เคยเห็นศิาลาอัคคีชั้นสูงสุดมาก่อน แต่ทว่า ด้วยความร้อนระอุอันแรงกล้าที่แผ่ซ่านออกมาจากศิลาชิ้นนั้นทันทีที่มันถูกหยิบออกมา อุณหภูมิรอบๆ กายพวกเขาพุ่งสูงขึ้นทันที แม้ว่ากงเต๋าจะไม่รู้จักศิลานั้น แต่ก็ยังสัมผัสได้ว่าต้องเป็นสมบัติชั้นยอดเป็นแน่!
“ศิลาอัคคีชั้นสูงสุดงั้นหรือ” เจ้าเยี่ยเหมิงถามขึ้นมาปุบปับ น้ำเสียงของนางฟังเหมือนไม่เชื่อสายตาตนเอง
หวังเป่าเล่อยิ้มออกมาจางๆ ชายหนุ่มขยับศิลาในมืออยู่ไปมา ก่อนจะพยักหน้าอย่างตั้งใจ ก่อนจะหันไปมองเจ้าเยี่ยเหมิงด้วยสายตายอมรับ เพราะหากไม่มีใครรู้จักสมบัติชิ้นนี้เลย เขาก็คงต้องอธิบายสรรพคุณของมันเอง อาจจะทำให้ดูเหมือนว่าชายหนุ่มต้องการจะโอ้อ้วด
“ศิลาอัคคีชั้นสูงสุดคือสิ่งใดกัน” กงเต๋าละล่ำละลัก
“สิ่งนี้เป็นวัตถุดิบในตำนานที่ใช้เพื่อหลอมวัตถุเวท จะกำเนิดขึ้นได้เมื่อมีดวงดาวแตกดับเท่านั้น มูลค่าของมันนั้น…ชิ้นใหญ่เช่นนั้นคงมีราคาเท่าผลไม้ของเจ้าสิบลูก” เจ้าเยี่ยเหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อพยายามจะข่มจิตใจตนเองก่อนจะอธิบาย
กงเต๋าก็สูดลมหายใจเช่นกันขณะที่ฟังเจ้าเยี่ยเหมิงอธิบาย ชายหนุ่มไม่ได้เชื่อทั้งหมด เขากำลังจะดึงเอาสมบัติอีกชิ้นออกมาอวดแต่หวังเป่าเล่อก็กระแอมและหยิบเอาศิลาอัคคีชั้นสูงสุดออกมาอีกชิ้นหนึ่ง…
ไม่เพียงเท่านั้น ชายหนุ่มหยิบศิลาออกมาชิ้นแล้วชิ้นเล่า ตอนแรก กงเต๋าทำได้เพียงกลืนอากาศเข้าไปซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่หลังจากที่หวังเป่าเล่อดึงเอาศิลาชิ้นที่สิบออกมา กงเต๋าก็หยุดหายไปโดยปริยาย จากนั้น หวังเป่าเล่อก็เปิดกำไลคลังเก็บและเทเอาสมบัติทั้งหมดออกมา ศิลาอัคคีชั้นสูงสุดไหลบ่าออกมากองรวมกันสูงเป็นภูเขาเลากา กงเต๋าตกตะลึงนิ่งขึงไป
กระทั่งเจ้าเยี่ยเหมิงก็ยังตกใจอย่างรุนแรงจนอ้าปากค้าง ไม่มีคำพูดใดๆ ไหลออกมาผ่านริมฝีปากคู่นั้น
“ข้าไม่มีที่วางทั้งหมดให้พวกเจ้าดู แต่ว่า…ข้ายังมีศิลาเช่นเดียวกันนี้อยู่อีกราวเจ็ดถึงแปดกองด้วยกันในกำไลคลังเก็บ” หวังเป่าเล่อยกมือตบท้องเบาๆ พลางทำทีเป็นไม่ภาคภูมิใจ ก่อนจะยกมือขึ้นโบกและนำเอาศิลากลับไปเก็บไว้เช่นเดิม
กงเต๋าทำได้เพียงจ้องมองผลไม้ในมือเป็นเวลานานก่อนจะค่อยๆ เก็บเข้ากระเป๋าไป ก่อนจะเงยหน้ามองฟ้าอยู่พักใหญ่ แล้วจึงทอดถอนใจออกมา
“เป่าเล่อ ถ้าเจ้ายังทำตนเช่นนี้ ระวังจะไม่มีเพื่อนเหลือเล่า…”
หวังเป่าเล่อระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ชายหนุ่มยกมือตบบ่ากงเต๋า ก่อนจะหยิบเอาศิลาอัคคีขั้นสูงสุดออกมาหลายสิบก้อนมายัดใส่มือเพื่อน กงเต๋าชะงักอยู่อึดใจหนึ่ง แต่ชายหนุ่มก็ตัดสินใจยอมลดราวาศอก เขาเก็บเอาศิลาไปอย่างรวดเร็วก่อนจะมองค้อนหวังเป่าเล่อใหญ่
หวังเป่าเล่อให้ศิลาอัคคีขั้นสูงสุดกับเจ้าเยี่ยเหมิงไปนับร้อยก้อน ชายหนุ่มบอกให้พวกเขาทั้งคู่มาบอกเขาได้หากต้องการเพิ่ม เมื่อหวังเป่าเล่อแสดงน้ำใจออกมาเช่นนั้น กงเต๋าจึงหยิบผลก่อเมฆาออกมาสองลูกพลางยื่นให้เพื่อนทั้งสองเช่นกัน
เจ้าเยี่ยเหมิงเอาก็แบ่งสิ่งของที่นางหามาได้ให้เพื่อนๆ เช่นกัน กำลังใจของทุกคนเพิ่มพูนขึ้นมาหลังจากการแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ เจ้าเยี่ยเหมิงที่นิ่งสงบอยู่เป็นปรกติก็ยังไม่อาจจะคุมหัวใจไม่ให้เต้นแรงได้ นางกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างแต่เส้นทางชัชวาลและตำหนักวังบูชาเกิดเริ่มสั่นสะเทือนขึ้นเสียก่อน
พื้นดินใต้เท้าพวกเขาโยกคลอนอย่างรุนแรง แสงสว่างจ้าระเบิดขึ้นมาจากเบื้องบนวังลำดับสอง สาม และหก แสงนั้นส่องสว่างและพวยพุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้า ไปรวมตัวกันอยู่บนสรวงสวรรค์และก่อตัวขึ้นเป็นแผ่นหยกสามแผ่น!
อันหนึ่งสีเขียว อีกอันหนึ่งสีแดง และอันสุดท้ายมีสีม่วง!
สีเขียวแสดงถึงศิษย์สำนักนอก สีแดงแทนศิษย์สำนักใน ในขณะที่สีม่วง…แทนศิษย์อุปถัมภ์!
แผ่นหยกสุกสว่างทั้งสามพุ่งตรงเข้ามาหาสามสหายเบื้องล่างที่รับเอาไว้ได้พอดี ทันทีที่พวกเขาสัมผัสเข้ากับแผ่นหยกนั้น ความรู้สึกแปลกประมาณก็ไหลบ่าเข้าท่วมกายในบัดดล
กงเจ๋ารู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในกระบี่สำริดเขียวโบราณ ราวกับว่าก่อนหน้านี้กระบี่เขียวโบราณเล่มนั้นปกคลุมไปด้วยเส้นด้ายนับไม่ถ้วน ที่ก่อตัวรวมกันเป็นแผ่นแน่นหนา แม้จะไม่ได้มีตัวตนที่หนาแน่นหรือขัดขวางการเคลื่อนไหวมากจนเกินไปนัก แต่ก็ยังมีการโอบรัดที่ทำให้ขยับได้ลำบากขึ้นระดับหนึ่ง
ขณะนี้ เมื่อแผ่นหยกสีเขียวมาอยู่ในมือ ราวกับว่าช่องว่างระหว่างเส้นด้ายเหล่านั้นขยายกว้างขึ้น ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายและเบากายขึ้นมาก
นัยน์ตาของกงเต๋าส่องประกาย ชายหนุ่มรู้สึกถึงความสำคัญของการได้รับสถานะศิษย์มา เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็สัมผัสได้เช่นเดียวกัน แต่รุนแรงเสียยิ่งกว่า ราวกับว่าช่องว่างระหว่างเส้นด้ายเหล่านั้นขยายกว้างขึ้นอีกสำหรับนาง เพียงขยับด้วยจิตเพียงเล็กน้อย นางก็สามารถจะหลบหลีกเส้นด้ายเหล่านั้นได้อย่างหมดจด
เพราะความเข้าใจในเรื่องวงแหวนปราณของนาง ทำให้นางรู้ดีว่าความรู้สึกนั้นหมายความว่าอย่างไร…ขณะนี้ เจ้าเยี่ยเหมิงนั้นมีภูมิคุ้มกันกับคำสาปหลายหลากบนกระบี่สำริดเขียวโบราณไปแล้วเรียบร้อย!
“มันดีอย่างนี้เองสินะ…เมื่อได้สถานะศิษย์ที่แท้จริงมาและมีนามสลักเอาไว้ ณ บนแท่นสลักเต๋า!” นัยน์ตาของเจ้าเยี่ยเหมิงส่องประกายด้วยความยินดี ทั้งนางและกงเต๋าหันไปจ้องมองหวังเป่าเล่อ
แต่สีหน้าของหวังเป่าเล่อดูแปลกแปร่ง ชายหนุ่ยเงยศีรษะขึ้นจ้องมองเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าอยู่นาน ดูราวกับว่าเขาอยากจะพูดอะไรสักอย่างสุดจะหาคำมาเอื้อนเอ่ย
“เป่าเล่อ เจ้าได้รับสถานะศิษย์อุปถัมภ์มาจากวังที่หก เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้างเล่า” กงเต๋าถามอย่างสงสัย
“ข้าหรือ…ข้ารู้สึกราวกับว่าโลกทั้งโลกกำลังส่งเสียงให้กำลังใจข้า…” หวังเป่าเล่อคิด ก่อนจะตอบด้วยสีหน้าแปลกแปร่งที่แสดงออกมา ชายหนุ่มไม่ได้โกหก ทันทีที่เขาสัมผัสถูกแผ่นหยกก็มีความรู้สึกต้อนรับอันทั่งท้นไหลซึมออกมาจากโลกรอบข้าง หวังเป่าเล่อรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบกำลังบอกเขาว่าเหลือสถานที่เพียงหยิบมือเท่านั้นที่ชายไม่อาจจะเหยียบย่างเข้าไป
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อจึงก้าวเท้าออกไปข้าวหน้า โดยไม่มุ่งไปยังตำหนักวังบูชาแต่เข้าไปบนทะเลเพลิง ชายหนุ่มเดินก้าวเข้าไปหาทะเลสีแดงฉานอย่างมั่นคง ก้าวออกจากอาณาเขตอันปลอดภัยของตำหนักวังบูชาไป ทันทีที่เท้าของเขากำลังจะจมลงไปในทะเลเพลิงนั่นเอง ศิลาชิ้นเขื่องก็พุ่งเข้ามารองเท้าของเขาเอาไว้ทันที…
“ข้ารู้สึกเช่นนี้ละ” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว ชายหนุ่มยืนอยู่บนศิลาพลางยักไหล่ ก่อนจะหันไปหากงเต๋า ที่ยืนมองอ้าปากค้างตาเบิกโพลง เช่นเดียวกับเจ้าเยี่ยเหมิงที่ยืนตาโตอยู่คล้ายกัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น