หมอดูยอดอัจฉริยะ 606-611
ตอนที่ 606 สามมีดหกรู
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภาษิตว่า นามของคนเปรียบดั่งเงาของต้นไม้ ชื่อเสียงของเหลยเจิ้นเยวี่ยในสมาคมหงเหมินนั้น มาจากการที่เขาผ่านการห้ำหั่นเสี่ยงตายมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นแก๊งมาเฟียอิตาลีหรือกลุ่มอาชญากรรมที่เม็กซิโก เมื่อได้ยินชื่อของไอ้เสือเหลยแล้ว ก็จะต้องอกสั่นขวัญแขวนไปกันหมด
ดังนั้นเมื่อเสียงของเหลยเจิ้นเยวี่ยดังขึ้นมา ในที่ประชุมที่ตอนแรกกำลังเอะอะอึกทึกอยู่นั้นก็เงียบกริบไร้เสียงนกกาไปทันที ทุกคนต่างมองไปยังชายชราผู้เคยสร้างผลงานอันเกรียงไกรไว้แก่สมาคมหงเหมินท่านนี้ด้วยสายตาสับสน
หลี่ซงชิวซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้เข็นก็หรี่ตามองอยู่เช่นกัน
ในอดีตหลี่ซงชิวและบิดาของตู้เฟยรวมถึงเหลยเจิ้นเยวี่ยเคยสาบานเป็นพี่น้องกัน โดยมีบิดาของตู้เฟยเป็นพี่คนโต หลี่ซงชิวเป็นพี่คนรอง และเหลยเจิ้นเยวี่ยเป็นน้องเล็กสุด
เขารู้ว่า สหายเก่าแก่ของเขาคนนี้มีนิสัยหุนหันพลันแล่น เมื่ออายุมากขึ้นนิสัยนี้นอกจากจะไม่ได้ทุเลาลงแล้ว กลับยังเป็นหนักกว่าเดิมอีก วันนี้ถ้าจัดการพลาดไปแม้แต่จุดเดียวละก็ อาจก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ขึ้นมาก็ได้
เมื่อเห็นเจ้าตำหนักคุ้มกฎที่ตามมาอยู่ข้างหลังเหลยเจิ้นเยวี่ย หลี่ซงชิวก็เอ่ยถามว่า “น้องสาม รู้เรื่องทั้งหมดแล้วหรือ?”
“ฉันรู้แล้วละพี่รอง!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยเดินไปอยู่ข้างๆ หลี่ซงชิว แล้วก้มตัวลงพูดว่า “พี่รอง พี่ร่างกายไม่แข็งแรง ทำไมยังต้องมาคอยจัดการเรื่องอะไรเยอะแยะแบบนี้อีกล่ะ? ปล่อยให้พวกคนรุ่นหลังมันยุ่งวุ่นวายกันเองก็ได้นี่นา!”
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นมาฟังคำพูดของเหลยเจิ้นเยวี่ย ก็คงจะนึกว่าเขากำลังกล่าวเสียดสีอยู่ ว่าตัวเองก็แก่ใกล้จะถูกฝังเต็มทีแล้ว ยังจะไปยุ่งเรื่องของชาวบ้านอีก แต่หลี่ซงชิวรู้ว่า น้องสามพูดเช่นนี้เพราะห่วงใยเขาจริงๆ
“ฉันไม่จัดการ แล้วใครจะมาจัดการล่ะ?”
หลี่ซงชิวถอนหายใจ เขานึกถึงสมัยที่พวกเขาสามพี่น้องร่วมฟันฝ่าไปทั่วหล้า พี่ใหญ่มีปัญญามากด้วยกลยุทธ์ เขาเป็นคนกลางคอยสนับสนุน ส่วนเหลยเจิ้นเยวี่ยก็มักจะเป็นแนวหน้ากล้าตาย
สมัยนั้นพวกเขาสามคนน่าเกรงขามถึงเพียงไหน? แต่เมื่อมาถึงปัจจุบันนี้ เขากลับได้แต่นั่งต่อสู้กับความตายอยู่บนเก้าอี้เข็น ส่วนน้องสามก็ผมหงอกขาวทั้งศีรษะ หลังก็เริ่มดูโค้งงอแล้ว
“น้องสาม ฉันรู้ว่าแกเป็นคนเที่ยงตรง”
แม้แต่หลี่ซงชิวเอง เวลาจะพูดกับเหลยเจิ้นเยวี่ยก็ต้องระวังการใช้คำของตัวเองเหมือนกัน หลังจากเขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พูดขึ้นว่า “เรื่องของตระกูลซ่งก็ไม่ใช่ความคิดของแก ผิดไปแล้วก็คือผิดไปแล้ว ยังดีที่ตอนนี้ท่านเยี่ยเข้าร่วมสมาคมหงเหมินแล้ว พี่น้องคนกันเองยังพอจะเจรจากันได้อยู่ เรื่องนี้ก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะนะ!”
เกี่ยวกับความแค้นระหว่างตระกูลเหลยและตระกูลซ่งในช่วงหลังๆ มานี้ หลี่ซงชิวรู้กระจ่างแจ้งดี เรื่องนี้ตระกูลเหลยเป็นฝ่ายทำไม่ถูกจริงๆ เรื่องวางอุบายหมายยึดครองทรัพย์สินของผู้อื่นนั้นไม่ต้องพูดถึง นี่ยังถึงขนาดคิดจะกักบริเวณอีกฝ่ายไว้ด้วย แบบนี้ถือว่าผิดทำนองคลองธรรมไปแล้ว
ถ้าเยี่ยเทียนยืนกรานจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไป ต่อให้เหลยเจิ้นเยวี่ยมีรากฐานในสมาคมหงเหมินลึกแค่ไหน ก็คงมีคนลุกขึ้นมาช่วยพูดให้เขาอยู่ไม่กี่คนหรอก
ที่หลี่ซงชิวพูดแบบนี้ ก็เพราะอยากให้เยี่ยเทียนละเว้นตระกูลเหลยไปสักครั้ง อย่างน้อยก็ไม่ต้องสืบสาวเอาความเหลยเจิ้นเยวี่ยต่อไป
“ท่านเยี่ย? ฮึ ศักดิ์ใหญ่เชียวนะ”
หลังจากฟังหลี่ซงชิวพูด เหลยเจิ้นเยวี่ยก็แค่นเสียงอย่างเย็นชา แล้วพูดว่า “ยายหนูหลันเวลาเจอฉันก็ยังต้องเรียกลุงเลย ไม่ทราบว่าแกมีคุณสมบัติพอจะให้เรียกว่าท่านไหมเนี่ย?”
ที่จริงแล้วตั้งแต่ต้นจนจบ เหลยเจิ้นเยวี่ยก็ไม่ได้รู้เรื่องที่เหลยหู่คิดจะกักบริเวณซ่งเวยหลันเลย
ในความคิดของเขา ซ่งเวยหลันเป็นฝ่ายไม่ไว้หน้าเขาก่อน แม้ว่าวิธีการของเขาจะไม่ถูกต้องเท่าไรนัก แต่ก็มีสาเหตุอยู่ ดังนั้นเมื่อเขามาอยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียน จึงวางท่าว่าตนเป็นผู้ใหญ่อาวุโสกว่า
“คุณหญิงซ่งเวยหลันไม่มีลุงที่ชอบกินบนเรือนขี้บนหลังคาแบบนี้หรอก ผมไร้ความสามารถ ยังได้เป็นสมาชิกรุ่นใหญ่ของสมาคมหงเหมิน แต่ไม่ทราบว่าท่านจุดธูปในสมาคมมากี่ดอกล่ะ?”
เมื่อเห็นเหลยเจิ้นเยวี่ยวางท่าถือตัวว่าตนอายุมากกว่า เยี่ยเทียนก็ยิ้มหยัน สิ่งที่พูดออกมานั้นแทงใจดำของเหลยเจิ้นเยวี่ยพอดี ไม่ไว้หน้าเขาเลยสักนิด
“โอหัง!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยปกติก็นิสัยมุทะลุอยู่แล้ว เมื่อถูกเยี่ยเทียนเยาะเย้ยถากถางเช่นนี้ เลือดลมทั่วร่างก็พลุ่งพล่านขึ้นสู่ศีรษะทันที ใบหน้าพองแดงก่ำ เส้นผมหนวดเคราลุกชี้ชัน อย่างกับท้าวจตุโลกบาลก็ไม่ปาน
เหลยเจิ้นเยวี่ยเคยผ่านการสู้รบนองเลือดมาก่อน เมื่อเกิดโทสะขึ้นมา อากาศที่อยู่รอบกายเขาก็ราวกับจะแข็งตัวไปหมด จิตสังหารอันราวกับจะจับต้องได้พุ่งโถมไปที่เยี่ยเทียนเป็นระลอกๆ
เยี่ยเทียนยืนอยู่ที่เดิม ชุดคลุมยาวบนร่างดูเหมือนถูกสายลมพัดโชย แขนเสื้อและชายเสื้อพัดพลิ้วไปข้างหลัง คนที่ยืนอยู่ด้านข้างและด้านหลังของเยี่ยเทียนต่างก็ขยับถอยห่างไปโดยไม่รู้ตัว
“ตาแก่คนนี้นี่มีจิตสังหารรุนแรงจริงๆ ถึงกับสำเร็จมรรคโดยการฆ่าคนมาเลยรึเนี่ย?”
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และจิตสังหารอันรุนแรงของเหลยเจิ้นเยวี่ย เยี่ยเทียนก็ใจหายวาบ เพราะเขาพบว่า เหลยเจิ้นเยวี่ยที่อยู่ตรงหน้านี้ก้าวไปถึงระดับสูงได้ครึ่งก้าวแล้ว
เมื่อฆ่าคนไปมาก ร่างกายก็จะแปดเปื้อนไปด้วยพลังปราณพิฆาต หากไม่สามารถสลายไปโดยเร็วได้ หลังจากล่วงถึงวัยชราแล้ว ปราณพิฆาตนี้ก็จะปะทุออกมา ส่งผลให้มีโรคภัยรุมเร้า และนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ชาวยุทธจำนวนมากไม่ได้มีบั้นปลายชีวิตที่ดี
แต่เหลยเจิ้นเยวี่ยกลับนำปราณพิฆาตที่สะสมอยู่ในร่างกายนี้ไปใช้ในการฝ่าด่านเลื่อนขั้นพลังฝีมือ และยังประสบความสำเร็จอีกด้วย จิตสังหารเหล่านี้นอกจากจะไม่มีผลกระทบต่อเขาแล้ว ยังกลายเป็นเครืองมือในการต่อสู้ของเขาอีกด้วย
ตั้งแต่เยี่ยเทียนเข้าสู่วงการเป็นต้นมา ก็ถือว่าเคยพบเห็นผู้มีพรสวรรค์เหนือธรรมดามาไม่น้อย อย่างเช่นศิษย์พี่ใหญ่ จั่วเจียจวิ้น หนานไหวจิ่นหรือแม้แต่หูหงเต๋อ แต่ละคนต่างก็มีพรสวรรค์ไม่เลวเลย พลังฝีมือก็ยังสูงกว่าเหลยเจิ้นเยวี่ยที่อยู่ตรงหน้านี้เสียอีก
แต่คนที่ฝึกวิชายุทธสายนอกอย่างเหลยเจิ้นเยวี่ย ที่สามารถทลายโซ่ตรวน จนเกือบจะฝึกไปถึงขั้นสุดยอดของร่างกายมนุษย์ได้นั้น เยี่ยเทียนเพิ่งจะเคยพบเป็นครั้งแรก
แม้ว่าเหลยเจิ้นเยวี่ยจะยังไม่ได้เข้าสู่ระดับสูงอย่างสมบูรณ์ แต่จิตสังหารของเขากลับยังสูงกว่าเยี่ยเทียนเสียอีก คู่ต่อสู้แบบนี้ ต่อให้เป็นเยี่ยเทียนเองก็ไม่กล้าประมาท ยามนั้นจึงหายใจเข้าลึกๆ เตรียมจะแผ่พลังลมปราณของตัวเองออกไป
“น้องสาม ห้ามเสียมารยาทกับท่านเยี่ยนะ ไม่รู้กฎในสมาคมแล้วรึไง?”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะส่งพลังลมปราณไปต้านทานฝ่ายตรงข้าม หลี่ซงชิวก็พลันใช้มือเคลื่อนเก้าอี้เข็นเข้าไปแทรกตรงกลางระหว่างทั้งสองฝ่าย
“พี่รอง มันเป็นฝ่ายไม่เคารพผู้ใหญ่ก่อนนะ!” เมื่อเห็นหลี่ซงชิวเข้ามาขวาง เหลยเจิ้นเยวี่ยก็รีบสลายจิตสังหารนั้นไป
หลี่ซงชิวทำหน้าขรึม แล้วดุว่า “เหลวไหล สถานะของท่านเยี่ยได้รับการยืนยันในพิธีแล้ว แกอย่าเอาความสัมพันธ์ทางโลกพวกนั้นมาพูดเลย ในสมาคมหงเหมินนี้ยอมรับแต่ศักดิ์อาวุโส ไม่สนใจความสนิทสนมส่วนตัว แค่ก…แค่กๆ…”
การเปิดพิธีครั้งใหญ่ในวันนี้เกิดเรื่องหักมุมขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า พลังกายและพลังจิตของหลี่ซงชิวต่างก็ใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว คราวนี้เขารีบร้อนพูดจาเกินไปหน่อย ก็เลยไออย่างหนักขึ้นมาอีก
“ก็ได้ พี่รอง พี่ใจเย็นๆ ก่อนนะ ฉันเชื่อที่พี่บอกก็ได้” เมื่อเห็นหลี่ซงชิวไอติดๆ กัน เหลยเจิ้นเยวี่ยก็ร้อนรนขึ้นมาทันที
ชีวิตนี้เหลยเจิ้นเยวี่ยมีคนที่เขาเชื่อฟังที่สุดอยู่สองคน นอกจากพี่ใหญ่ที่ตายไปแล้ว ก็มีแต่หลี่ซงชิวที่อยู่ตรงหน้านั่นเอง ไม่เช่นนั้นด้วยศักดิ์และตำแหน่งของเหลยเจิ้นเยวี่ยในสมาคมหงเหมินแล้ว ตอนนั้นผู้ที่ได้นั่งตำแหน่งประธานใหญ่อาจจะไม่ใช่หลี่ซงชิวก็เป็นได้
ผ่านไปเนิ่นนาน หลี่ซงชิวถึงจะหยุดไอ จับมือขวาของเหลยเจิ้นเยวี่ยไว้แล้วพูดว่า “น้องสาม ฉันรู้ว่าแกอยากให้หูจื่อขึ้นตำแหน่ง แต่จิตใจเขาไม่ซื่อตรง ไม่ใช่บุคคลที่เหมาะสมจะมาเป็นประธานใหญ่เลย เรื่องนี้น่ะ แกเชื่อพี่รองดีกว่านะ!”
“ครับพี่รอง ฉันเข้าใจหมดแล้ว มันน่ะไม่เหมาะจริงๆ นั่นแหละ!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยฝืนยิ้มพลางพยักหน้า เดิมทีในใจเขายังยึดมั่นถือมั่นอยู่ แต่หลังจากถูกตู้เฟยยั่วโทสะ พลังลมปราณภายในกายหลุดออกจากวิถีเดิม ทำให้เขาจำเป็นต้องเก็บตัวเพื่อพักฟื้น
แต่การเก็บตัวครั้งนี้ กลับทำให้เหลยเจิ้นเยวี่ยเปลี่ยนเคราะห์ให้เป็นโชคได้ ความชิงชังนั้นเมื่อรวมกับจิตสังหารของเขาที่สะสมมาหกสิบเจ็ดสิบปี ถึงขั้นสามารถฝ่าด่านหลอมปราณสู่จิตได้ และก้าวไปถึงระดับใหม่ได้สำเร็จ
เมื่อพลังฝีมือพัฒนาขึ้น จิตใจของคนก็พลอยพัฒนาขึ้นตามไปด้วยโดยไม่รู้ตัว หลังจากพัฒนาถึงขั้นสูงสุดแล้ว แม้จะไม่ถึงขนาดเห็นสรรพสิ่งเป็นสุญญตา แต่ความยึดมั่นถือมั่นเมื่อก่อนหน้านี้ก็ได้เบาบางลงไปแล้ว
หลี่ซงชิวหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า โบกมือกล่าวว่า “พอแล้วละ แกพาหูจื่อกลับไปเถอะ โทษสามมีดหกรูนั่นก็เว้นไปก็แล้วกัน!”
“ไม่ได้นะพี่รอง ฉันเหลยเจิ้นเยวี่ยเข้าสมาคมหงเหมินมาเจ็ดสิบปี ยังไม่เคยทำเรื่องเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเลยสักครั้ง เหลยหู่ทำความผิดก็ต้องรับการลงโทษสิ!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยส่ายหน้า แล้วหันหน้าไปมองตู้เฟย “พ่อหนุ่มตู้ เรื่องทำร้ายผู้ร่วมสมาคมนี่น่ะ มีบทลงโทษอะไรบ้าง?”
เหลยเจิ้นเยวี่ยแม้จะหยาบกระด้าง แต่ก็เป็นคนเที่ยงตรงอย่างที่สุด นี่จึงเป็นสาเหตุที่เขามีเกียรติภูมิสูงอย่างยิ่งในสมาคม แม้แต่เยี่ยเทียนเองก็ยังแอบพยักหน้า เริ่มชอบตาแก่คนนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว
“ลุงเหลยครับ ท่านประธานใหญ่ก็ได้กล่าวไปหมดแล้ว ปล่อยเรื่องนี้ไปเถอะครับ!” อายุก็หกสิบกว่าแล้ว ยังถูกเหลยเจิ้นเยวี่ยเรียกเป็นพ่อหนุ่มอีก ตู้เฟยจึงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“ไร้สาระ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน น้องชายคนนั้นได้รับบาดเจ็บไปโดยไร้สาเหตุใช่รึเปล่า?”
ผู้ที่นอนอยู่บนแคร่หามอยู่ไม่ห่างจากเหลยหู่นัก ก็คือสมาชิกสมาคมหงเหมินที่ถูกยิงไปสองนัดนั่นเอง ยังดีที่ปืนสองนัดนี้ไม่ได้ยิงถูกจุดสำคัญ หลังจากผ่านการกู้ชีพ ลูกกระสุนก็ถูกนำออกมาจนหมดแล้ว
“ทำร้ายผู้ร่วมสมาคม ต้องรับโทษสามมีดหกรู!” ตู้เฟยถูกบีบคั้น จึงพูดออกมาเบาๆ
“ได้ เอาตามนี้แหละ!” เหลยเจิ้นเยวี่ยพยักหน้า ยื่นมือไปที่บั้นเอว แล้วมีดเงินยาวครึ่งเชียะเศษเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือ
“หูจื่อ ทำความผิดก็ต้องได้รับการลงโทษ อย่าโทษพ่อเลยนะ!”
มือซ้ายของเหลยเจิ้นเยวี่ยยกลูกชายขึ้นมาจากพื้นราวกับหิ้วคอไก่ แล้วกัดฟันแน่น มือขวาแทงไปที่หัวไหล่ของเหลยหู่ปานสายฟ้าแลบ เสียงกรีดร้องดังขึ้น มีดเงินเล่มนั้นเสียบลงไปบนไหล่ของลูกชายแล้ว
“เหล่าเหลย นี่…ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วยเล่า!”
ความดุดันของเหลยเจิ้นเยวี่ยนั้น ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์เห็นแล้วต่างก็ยอมรับนับถือ แต่ก็อดทอดถอนใจไม่ได้เช่นกัน บิดาเป็นวีรบุรุษ บุตรชายกลับขลาดเขลา คาดว่ายามนี้เหลยเจิ้นเยวี่ยเองก็คงรู้สึกทุกข์ใจอย่างสุดจะทนทานอยู่เหมือนกัน
“ยังเหลืออีกสองมีด!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยยื่นมือชักมีดเงินออกมา ไม่รอให้ลูกชายทันได้ร้องออกมา ก็เสียบมีดลงไปบนต้นขาของเขาติดๆ กันสองมีด แต่ละมีดแทงทะลุไปถึงอีกด้าน เป็นการลงโทษแบบสามมีดหกรูอย่างแท้จริง
“หามมันขึ้นมา!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยมีลูกสาวสองคน แต่ลูกชายกลับมีเหลยหู่คนเดียว และยังได้ลูกชายมาเมื่อวัยกลางคนแล้ว เขาจึงเอ็นดูลูกชายมากเป็นธรรมดา ทำให้เหลยหู่ค่อยๆ เกิดนิสัยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตาแบบนี้ขึ้นมา
แต่ไม่ว่าลูกชายจะทำตัวไม่ดีแค่ไหน ก็ยังเป็นลูกชายของตัวเอง เมื่อครู่นี้เหลยเจิ้นเยวี่ยลงมือโดยกะตำแหน่งไว้ดีแล้ว แม้จะดูเหมือนเหลยหู่เสียเลือดไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้บาดเจ็บถึงเส้นลมปราณหรือกระดูกเลย เพียงพักฟื้นสักระยะหนึ่งก็คงจะหายดีแล้ว
“เหลยหู่ทำร้ายผู้ร่วมสมาคม โทษสามมีดหกรูก็ได้ดำเนินการไปแล้ว ไม่ทราบว่าท่านไหนยังมีคำพูดจะกล่าวอีกไหม?”
เหลยเจิ้นเยวี่ยฉีกผ้าจากชายเสื้อมาชิ้นหนึ่ง เช็ดคราบโลหิตบนมีดเงินจนเกลี้ยง แล้วหันหน้าไปมองเยี่ยเทียน “ท่านเยี่ย ได้ยินว่าในอดีตท่านนักพรตหลี่ซั่นหยวนมีชื่อเสียงโด่งดังในยุทธภพ คาดว่าท่านเยี่ยก็คงมีฝีมือไม่ธรรมดาแน่ ผู้แซ่เหลยจึงอยากจะขอคำชี้แนะดูสักครั้ง!”
ตอนที่ 607 ชี้แนะ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อเหลยเจิ้นเยวี่ยพูดออกไปเช่นนั้น ภายในที่ประชุมอันกว้างใหญ่ก็เงียบกริบกันไปทันที แม้แต่เหลยหู่ที่เพิ่งจะร้องโหยหวนอยู่ก็หุบปากลงสนิทแน่น และมองไปที่บิดาด้วยสีหน้าตื่นเต้น
กิตติศัพท์ของเหลยเจิ้นเยวี่ยในสมาคมหงเหมินไม่ได้มาจากเพียงลมปากเท่านั้น แต่ได้มาจากการต่อสู้เสี่ยงชีวิตฝ่าคมหอกคมดาบมาจริงๆ
สหรัฐอเมริกาในช่วงทศวรรษที่ 50และ 60 นั้น เป็นยุคสำคัญที่องค์กรอาชญากรรมต่างๆ ได้เติบโตขึ้นมา เกิดเหตุแก๊งมาเฟียปะทะกันเพื่อแย่งชิงอาณาเขตขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน และเหลยเจิ้นเยวี่ยก็เป็นผู้นำการรบ บุกตะลุยอยู่ที่แนวหน้าในแทบทุกศึก ผู้ที่ต้องจบชีวิตลงด้วยน้ำมือเขานั้นเกรงว่าคงมีไม่ต่ำกว่าหลายร้อยคน
ช่วงกลางทศวรรษที่ 50 แก๊งเวียดนามเข้าสู่อเมริกาเป็นจำนวนมาก โดยมีแผนที่จะขับไล่พวกคนจีนออกจากซานฟรานซิสโก และยึดครองย่านธุรกิจในชุมชนคนจีนต่างๆ ที่กำลังพัฒนาก่อตัวขึ้นมา
พวกเหลยเจิ้นเยวี่ยและหลี่ซงชิวในตอนนั้นเป็นสมาชิกระดับกลางในสมาคมหงเหมิน มีหน้าที่เก็บค่าคุ้มครองตามร้านรวงต่างๆ ในย่านถนนสายหนึ่งของซานฟรานซิสโกที่มีคนจีนมาอาศัยอยู่รวมกัน นับว่ายังเป็นสมาชิกที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรนัก
วันหนึ่งในช่วงพลบค่ำที่มีฝนตกพรำๆ คนของแก๊งเวียดนามห้าร้อยกว่าคนบุกสังหารเข้ามาในถนนย่านนี้ โดยให้คนกลุ่มหนึ่งทุบทำลายปล้นทรัพย์ตามแต่ละร้าน ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งก็มีหน้าที่ล่าสังหารคนที่สมาคมหงเหมินส่งไปอยู่ในย่านชุมชนคนจีน
ฝ่ายหนึ่งเตรียมตัวมาก่อน ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งกลับต้องรับศึกกะทันหัน เมื่อสองฝ่ายปะทะกัน คนของสมาคม หงเหมินจึงเสียหายอย่างร้ายแรง หลี่ซงชิวและพี่ใหญ่ตู้ไม่มีทางเลือก จึงต้องพาคนถอยเข้าไปอยู่ในร้านแห่งหนึ่ง
เคราะห์ดีที่วันนั้นเหลยเจิ้นเยวี่ยออกไปข้างนอก หลังจากเขาได้ทราบข่าว ก็ส่งลูกน้องคนหนึ่งกลับไปขอกำลังเสริมจากสมาคมหงเหมิน ส่วนตัวเองก็พาอีกสามคนบุกสังหารเข้าไป
ในเวลานั้นถนนย่านนั้นตกอยู่ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวาย ร้านรวงจำนวนหนึ่งยังถูกจุดไฟเผาอีกด้วย ขณะที่พวกคนเวียดนามกำลังจะจุดไฟเผาร้านที่หลี่ซงชิวเข้าไปอยู่ เหลยเจิ้นเยวี่ยก็บุกมาถึงพอดี
เหลยเจิ้นเยวี่ยผู้มีส่วนสูงถึงหนึ่งร้อยเก้าสิบกว่าเซนติเมตร มือถือดาบใบกว้างเล่มหนึ่ง บุกฝ่าตะลุยเข้าไปข้างใน
เหลยเจิ้นเยวี่ยไม่สนใจอาวุธที่โจมตีมาถึงร่างของตนเลยสักนิด ต่อสู้อย่างพร้อมถวายชีวิต ภายใต้คมดาบนั้นแทบจะไม่มีใครสามารถต้านทานได้เลย ซากแขนขาขาดกระเด็น โลหิตไหลปนไปกับสายฝน ย้อมถนนทั้งสายจนเป็นสีแดง
แก๊งเวียดนามแม้จะมีคนมาก แต่ก็ถูกเหลยเจิ้นเยวี่ยบุกสังหารจนขวัญกระเจิง พวกหลี่ซงชิวก็ฝ่าออกมาจากร้านเช่นกัน
ฝ่ายสมาคมหงเหมินแม้จะมีคนอยู่เพียงสิบกว่าคน แต่ก็องอาจเหี้ยมหาญ บุกเข้าไปกลางกลุ่มแก๊งเวียดนามดั่งพยัคฆ์ฝ่าเข้าสู่ฝูงสุนัขป่า เข่นฆ่าจนคนจำนวนหลายร้อยนั้นต้องค่อยๆ ล่าถอยไป
ขณะเดียวกัน กำลังเสริมจากสมาคมหงเหมินก็เร่งรุดมาถึง พวกคนเวียดนามทิ้งซากศพไว้สองร้อยกว่าศพแล้วหนีไปอย่างทุลักทุเล ในบรรดาศพสองร้อยกว่าศพนี้ สงสัยคงมีถึงเจ็ดสิบแปดสิบศพที่ตายด้วยน้ำมือของเหลยเจิ้นเยวี่ย
แม้ว่าเหลยเจิ้นเยวี่ยจะถูกฟันไปยี่สิบกว่ามีด แต่เขาเป็นผู้ฝึกวิทยายุทธ แต่ละครั้งที่ถูกฟันต่างก็สามารถเลี่ยงจากจุดสำคัญได้ทุกครั้ง ดังนั้นส่วนมากจึงเป็นเพียงแผลภายนอก พักฟื้นไประยะหนึ่งก็กลับมาแข็งแกร่งดังเดิมแล้ว
ต่อมาเหลยเจิ้นเยวี่ยยังพาสมาชิกในสมาคมหงเหมินไปสังหารคนเวียดนามอย่างน่าสะเทือนขวัญ และขับไล่คนพวกนั้นออกไปจากซานฟรานซิสโก
แม้ว่าเรื่องราวจะผ่านไปเกือบครึ่งศตวรรษแล้ว แก๊งเวียดนามก็ยังไม่กล้าขยายอิทธิพลไปที่ซานฟรานซิสโก แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์นองเลือดเมื่อครั้งนั้นกลายเป็นเงาทะมึนอยู่ในใจของพวกนั้นอย่างลึกซึ้งเพียงใด
หลังจากผลงานครั้งนั้น พวกเหลยเจิ้นเยวี่ยก็เริ่มโดดเด่นขึ้นมาในสมาคมหงเหมิน เป็นกำลังสำคัญของสมาคมหงเหมินในการเติบโตทุกๆ ก้าว บิดาของตู้เฟยและหลี่ซงชิวถึงขั้นกลายเป็นผู้นำของสมาคมหงเหมินพร้อมกันทั้งสองคน
แต่หากจะกล่าวถึงผู้ที่มีคุณูปการยิ่งใหญ่ที่สุดในสมาคมหงเหมินช่วงครึ่งศตวรรษนี้ อันดับแรกก็คงจะเป็นเหลยเจิ้นเยวี่ยนั่นเอง
แม้ว่าตอนนี้จะอายุมากกว่าแปดสิบปีแล้ว แต่เขาก็ยังคงเป็นขุนพลอันดับหนึ่งของสมาคมหงเหมินอย่างไร้ข้อกังขา ไม่มีใครกล้าคุยโวว่ามีความสามารถทางการต่อสู้เหนือกว่าชายชราผู้สูงวัยแต่แกร่งกร้าวท่านนี้เลยสักคน
ดังนั้นเมื่อได้ยินเหลยเจิ้นเยวี่ยออกปากว่าจะขอประลองกับเยี่ยเทียน ทุกคนจึงตกตะลึงไปกันหมด
แม้ว่าก่อนหน้านี้ทักษะอันเหนือกว่าคนธรรมดาของเยี่ยเทียนจะเป็นที่ประจักษ์แล้ว แต่นามของคนเปรียบดั่งเงาของต้นไม้ ฉายาเพชฌาตไอ้เสือเหลยนี้ไม่ได้มาจากเพียงลมปากเท่านั้น แต่มาจากประสบการณ์การกรำศึกนับร้อยนับพัน!
ต่อให้เยี่ยเทียนร้ายกาจเพียงใด อย่างมากก็เป็นเพียงชายหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ เท่านั้น ยังอีกไกลนักกว่าจิตใจและพลังกายจะพัฒนาไปถึงจุดสูงสุด เมื่อเปรียบเทียบกับเหลยเจิ้นเยวี่ยแล้ว คงไม่มีใครคิดว่าเขาจะเป็นฝ่ายเหนือกว่าไปได้หรอก
“น้องสาม ท่านเยี่ยเข้าร่วมสมาคม ถือว่าเป็นสมาชิกของสมาคมหงเหมินแล้ว ทำไมแกยังไม่ยอมเลิกราอีกล่ะ?”
หลี่ซงชิวคาดไม่ถึงเลยว่า หลังจากเหลยเจิ้นเยวี่ยลงโทษลูกชายของตัวเองเสร็จแล้ว ยังจะพุ่งเป้าไปที่เยี่ยเทียนอีก จึงรู้สึกร้อนใจขึ้นมา หากจะกล่าวถึงผู้ที่รู้จักความสามารถในการต่อสู้ของเหลยเจิ้นเยวี่ยมากที่สุดในที่นั้น ก็ย่อมต้องเป็นเขาอยู่แล้ว
อย่าว่าแต่เยี่ยเทียนที่อยู่ตรงหน้านี้เลย ต่อให้เป็นหลี่ซงชิวสมัยที่ร่างกายสมบูรณ์ดี ถ้าต้องประมือกับเหลยเจิ้นเยวี่ยก็คงสู้ไปได้ไม่เกินสิบกระบวนท่า เวลาเขาเริ่มต่อสู้ขึ้นมาแล้วอย่างกับไม่ใช่คนเลยทีเดียว แต่เป็นสัตว์ป่าที่ไร้เหตุตัวหนึ่ง
“พี่รอง ในสมาคมหงเหมินห้ามสมาชิกทำร้ายกันเอง แต่ถ้าแค่ประลองฝีมือกันก็น่าจะได้อยู่ไม่ใช่รึ?”
เหลยเจิ้นเยวี่ยแม้จะเป็นคนหยาบ แต่ก็มียามที่ขบคิดอะไรอย่างละเอียดอยู่เหมือนกัน ก็อย่างที่เขาพูดไปนั่นเอง สมาคมหงเหมินเป็นค่ายสำนักหนึ่งในยุทธภพ เป็นธรรมดาที่จะมีความสนใจในด้านการต่อสู้ ย่อมไม่มีการห้ามสมาชิกไม่ให้ประลองฝีมือกันอยู่แล้ว
เมื่อสำนักมีขนาดใหญ่ อีกทั้งยังประกอบด้วยผู้ฝึกวรยุทธที่เลือดลมแกร่งกร้าว ระหว่างคนกับคนย่อมจะเกิดความขัดแย้งกันเป็นธรรมดา แต่ด้วยข้อจำกัดจากกฎของสมาคมจึงไม่สามารถต่อสู้กันเป็นการส่วนตัวได้ ผ่านไปนานวันเข้า การประลองแบบนี้ก็ได้กลายเป็นวิถีทางในการคลี่คลายปัญหาอย่างหนึ่ง
แต่หอกดาบไร้ตา หมัดเท้าไร้ใจ ในการประลองฝีมือจึงยากที่จะหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บเพลี่ยงพล้ำได้ ดังนั้นในการประลองฝีมือแบบนี้ จึงมีกฎที่ไม่ได้บัญญัติไว้อยู่ประการหนึ่ง ซึ่งก็คือขอเพียงไม่ฆ่ากันตาย ต่อให้สู้กันจนเจ็บหนักขนาดไหนก็จะไม่ถูกลงโทษตามกฎของสมาคม
ดังนั้นถ้าไม่ใช่ความขัดแย้งหรือความแค้นที่ไม่อาจไกล่เกลี่ยกันได้จริงๆ โดยปกติจึงมีน้อยมากที่คนในสมาคมหงเหมินจะดำเนินการ ‘ประลองฝีมือ’ กันแบบนี้ และการที่บุคคลระดับผู้อาวุโสอย่างเหลยเจิ้นเยวี่ยจะเป็นฝ่ายท้าสู้นั้น ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากเข้าไปใหญ่
แน่นอนว่า เมื่อฝ่ายหนึ่งยื่นคำท้า ก็ต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งรับคำท้าด้วยถึงจะได้ ถ้าเยี่ยเทียนไม่รับคำท้า อย่างนั้นเหลยเจิ้นเยวี่ยก็จะไม่สามารถเคลื่อนไหวลงมือได้ ได้แต่มองตาปริบๆ อย่างอารมณ์บูด
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลี่ซงชิวก็ส่งสายตาไปทางเยี่ยเทียน “ท่านเยี่ย เหล่าเหลยก็นิสัยแบบนี้แหละ ท่านอย่าไปสนใจมันเลยนะ วันนี้มีพี่น้องตั้งมากมายมาชุมนุมกัน พวกเราไม่เมาไม่เลิก!”
“นั่นสิๆ ท่านเยี่ย ลุงเหลยแค่หยอกท่านเล่นเฉยๆ น่ะ งานฉลองก็จัดไว้พร้อมแล้ว พวกเราไปเริ่มกันเลยเถอะ!”
ตู้เฟยก็ช่วยเสริมขึ้นมาจากด้านข้าง ถึงเขาจะเคยประมือกับเยี่ยเทียนมาแล้ว จึงรู้ว่าวิทยายุทธของเยี่ยเทียนนั้นลึกล้ำเกินหยั่งคะเน แต่ในใจก็ยังไม่คิดว่าเขาจะชนะได้อยู่ดี เพราะตู้เฟยเคยแพ้เหลยเจิ้นเยวี่ยมาหนักยิ่งกว่านั้นอีก
ในปีที่ตู้เฟยอายุห้าสิบ และเพิ่งจะไปถึงระดับพลังแฝงได้พอดีนั้น เขาเคยนึกกระหยิ่มใจว่า ตัวเองต่างหากที่เป็นขุนพลดอกไม้คู่อันดับหนึ่งของสมาคมหงเหมินในขณะนั้น จึงนึกอยากจะประลองฝีมือกับเหลยเจิ้นเยวี่ยดูสักครั้ง
แน่นอนว่า นี่เป็นการประลองฝีมืออย่างแท้จริง ไม่ได้มีความแค้นส่วนตัวใดๆ แฝงอยู่ เป็นเพียงการที่ผู้เยาว์จะขอรับการชี้แนะจากผู้อาวุโสเท่านั้น
ตอนนั้นเหลยเจิ้นเยวี่ยตอบตกลง และก็ไม่ได้เชิญคนอื่นในสมาคมมาชมการประลองด้วย ทั้งสองจึงประมือกันในลานบ้านของเหลยเจิ้นเยวี่ย
ตามความคิดของตู้เฟย อาศัยพลังฝีมือที่เข้าสู่ระดับพลังแฝงของเขาแล้ว ต่อให้เอาชนะเหลยเจิ้นเยวี่ยไม่ได้ ก็น่าจะสามารถสู้ไปได้สักแปดสิบหรือร้อยกระบวนท่า แล้วสุดท้ายก็คงจบด้วยการเสมอกันละกระมัง?
แต่คาดไม่ถึงเลยว่า เมื่อทั้งสองเริ่มลงมือ หลังจากปะทะกันไปเพียงสามกระบวนท่า เหลยเจิ้นเยวี่ยก็ยกขากระแทกส้นเท้าจู่โจมไหล่ของตู้เฟยไปหนึ่งครั้ง แม้ว่าเหลยเจิ้นเยวี่ยจะใช้แรงไปเพียงสามส่วน แต่ก็ยังทำให้ตู้เฟยต้องนอนอยู่บนเตียงไปถึงสองเดือนเต็มๆ
หลังจากนั้นมา ตู้เฟยก็ไม่กล้าสำแดงวรยุทธของตนในสมาคมหงเหมินอีกเลย เพราะตราบใดที่มีเหลยเจิ้นเยวี่ย อยู่ ฉายาขุนพลอันดับหนึ่งของสมาคมหงเหมินก็ไม่มีทางกลายไปเป็นของคนอื่นได้แน่นอน
“ตู้เฟย แกน่ะไสหัวไปทางโน้นเลย คันกระดูกอยากจะให้ลุงเหลยช่วยคลายให้ใช่ไหม?”
เหลยเจิ้นเยวี่ยไม่กล้าต่อว่าหลี่ซงชิว แต่กับตู้เฟยนั้นไม่เหมือนกัน หลังจากได้ยินตู้เฟยพูดขึ้น ฝ่ามือใหญ่เท่าใบพัดของเขาก็กำหมัด ระหว่างที่ข้อกระดูกลั่นเสียงดังขึ้นมา ดวงตาก็จับจ้องไปที่ตู้เฟยอย่างประสงค์ร้าย
“ยอมละครับลุงเหลย ถือว่าผมไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกันครับ!” ตู้เฟยยิ้มเฝื่อนๆ แล้วก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ตู้เฟยจะไปยั่วโมโหชายชราที่อารมณ์ร้อนเป็นไฟคนนี้ไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นท่านคงกล้าซ้อมเขาอย่างหนักทั้งที่มีฝูงชนนั่งดูกันหน้าสลอนอยู่จริงๆ แน่ ตู้เฟยเป็นลูกหลานของไอ้เสือเหลย จะทุบตีสั่งสอนบ้างก็เป็นการสมควรแล้ว ไม่ถือว่าเป็นการทำร้ายผู้ร่วมสมาคม
“ท่านเยี่ย ว่าไงล่ะ หรือว่านามอันเกรียงไกรของนักพรตหลี่ซั่นหยวนอาจารย์ของท่านจะเป็นแค่ชื่อเสียงปลอมๆ ล่ะ?”
หลังจากดุตู้เฟยแล้ว เหลยเจิ้นเยวี่ยก็มองไปทางเยี่ยเทียน ยิ้มหยันแล้วพูดต่อ “หรือว่าทักษะของท่านเยี่ยจะไม่ใช่ของแท้ ไม่ได้เรียนแก่นแท้ในวิชายุทธของอาจารย์ท่านมา ก็เลยไม่กล้าออกมาแสดงความทุเรศรึเปล่าล่ะ?”
แม้ว่าเหลยเจิ้นเยวี่ยจะนำพลังความแค้นนั้นไปใช้ฝ่าด่านในการฝึกพลังฝีมือแล้ว แต่เขายึดมั่นในบุญคุณความแค้นมาทั้งชีวิต เมื่อลูกชายถูกคนอื่นสั่งสอน คนเป็นพ่อก็ต้องเอาคืนให้อยู่แล้ว วันนี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องสั่งสอนเยี่ยเทียนสักยกหนึ่ง
หลังจากเหลยเจิ้นเยวี่ยพูดออกไปแบบนั้น บรรดาคนที่ล้อมดูอยู่รอบๆ ก็เปลี่ยนสีหน้าไปกันหมด ท่าทางตาเฒ่าคนนี้จะโกรธเอาจริงๆ ถึงขั้นนำเอาอาจารย์ของเยี่ยเทียนมายั่วยุเลยทีเดียว
ชาวยุทธภพดั้งเดิมนั้นถือกันว่า เป็นอาจารย์หนึ่งวันเปรียบดั่งบิดาชั่วชีวิต หากแสดงความไม่เคารพต่ออาจารย์ของผู้อื่นแม้เพียงทางวาจา สุดท้ายก็มักจะบานปลายจนต้องสู้ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง
เมื่อเหลยเจิ้นเยวี่ยพูดออกมาแบบนี้ ถ้าเยี่ยเทียนยังไม่กล้ารับคำท้าอีก อย่างนั้นพิธีเปิดที่ประชุมในวันนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องตลกไป เกรงว่าแม้แต่สมาชิกชั้นธรรมดาที่สุดของสมาคมหงเหมินก็คงจะไม่นับถือเยี่ยเทียนกันอีกแล้ว
“น้องสาม แก…แก ฮึ่ย!” หลี่ซงชิวเองก็นึกไม่ถึงว่าเหลยเจิ้นเยวี่ยจะมัดมือชกแบบนี้ แต่เขาก็จนปัญญาที่จะพูดเกลี้ยกล่อมแล้ว
“ผู้อาวุโสเหลย ได้ยินชื่อเสียงของท่านมานาน วันนี้ได้พบกันแล้ว นับว่าสมคำร่ำลือจริงๆ !”
เยี่ยเทียนก้าวออกไปหนึ่งก้าว “ท่านก็ยังถือว่าเป็นคนเที่ยงตรงอยู่ เรื่องครอบครองเงินทุนวางอุบายใส่ตระกูลซ่งนั้น วันนี้ก็ถือว่าได้เปิดเผยไปหมดแล้ว ผมผู้แซ่เยี่ยจะไม่ไปหาเรื่องคุณอีกแล้วละนะ!”
“ฮึ อย่ามาพูดไร้สาระเลย คำท้าประลองนี่ตกลงจะรับหรือไม่รับ?”
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนเอ่ยถึงเรื่องนั้น ใบหน้าชราของเหลยเจิ้นเยวี่ยก็แดงขึ้นมา เขามีชีวิตอยู่มาแปดสิบกว่าปีแล้ว นั่นเป็นเรื่องน่าละอายเพียงเรื่องเดียวที่เขาเคยทำมาเลย
เยี่ยเทียนยิ้มอย่างร่าเริง “ในเมื่อท่านอยากจะขอคำชี้แนะ ผมก็จะช่วยชี้แนะให้สักหน่อยก็แล้วกัน!”
แม้ว่าทัศนคติที่มีต่อตาแก่คนนี้จะเปลี่ยนไปมากแล้ว แต่เมื่อเหลยเจิ้นเยวี่ยพูดโยงไปถึงอาจารย์ เยี่ยเทียนจึงต้องประลองกับเขาดูสักครั้ง ไม่อย่างนั้นพอเขากลับไปถึงฮ่องกงแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่คงไม่ยกโทษให้เขาแน่ๆ
“ชี้แนะ? ฮ่าๆ ได้ อย่างนั้นก็ขอเชิญท่านเยี่ยชี้แนะสักท่าสองท่าก็แล้วกัน!” หลังจากได้ยินเยี่ยเทียนพูด เหลยเจิ้นเยวี่ยก็อึ้งไปก่อน จากนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างฉุนเฉียว
เหลยเจิ้นเยวี่ยเข้าสู่วงการมาหกสิบเจ็ดสิบปี เคยประลองฝีมือกับครูมวยประเทศต่างๆ มาไม่รู้กี่ครั้ง ยังไม่เคยต่อยตีแพ้ใครเลยแม้แต่ครึ่งกระบวนท่า เจ้าหนุ่มเมื่อวานซืนนี่ถึงกับกล้าฝันเฟื่องว่าจะมาชี้แนะเขาเลยรึ?
ตอนที่ 608 มวยทงเป้ยและฝ่ามือสับงัด
โดย
Ink Stone_Fantasy
“โอหัง!”
ไม่ใช่แค่เหลยเจิ้นเยวี่ยเท่านั้นที่รู้สึกว่าเยี่ยเทียนกำลังพูดเล่นอยู่ คนอื่นๆ อีกหลายร้อยคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็นึกถึงคำนี้ขึ้นมาในใจพร้อมกัน
เยี่ยเทียนมีอาวุโสสูงก็จริงอยู่ แต่การประลองฝีมือนั้นไม่ได้ตัดสินแพ้ชนะกันที่ลำดับอาวุโส และเหลยเจิ้นเยวี่ยที่กำลังมีความแค้นเคืองเป็นการส่วนตัวอยู่ในใจนั้น ก็ยิ่งไม่มีทางออมมือเพราะเห็นแก่ลำดับอาวุโสของเยี่ยเทียนแน่นอน
ในความคิดเห็นของเหล่าฝูงชน วิธีที่ฉลาดที่สุดที่เยี่ยเทียนจะทำได้นั้น ก็หนีไม่พ้นการประนีประนอม พูดไกล่เกลี่ยให้เรื่องนี้คลี่คลายไป ต่อให้ต้องสู้กันจริงๆ ก็ไม่ควรจะใช้วาจายั่วโทสะของเหลยเจิ้นเยวี่ยแบบนี้
ใครๆ ก็รู้กันว่า เหลยเจิ้นเยวี่ยเป็นพวกบ้าการต่อสู้ ถ้าลงได้เริ่มสู้กับใครแล้ว ก็จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย ไม่อย่างนั้นด้วยมิตรภาพระหว่างเขากับบิดาของตู้เฟยแล้ว เขาก็คงไม่เหวี่ยงส้นเท้าใส่ตู้เฟยจนเจ็บหนักแบบนั้นหรอก
ตอนที่เยี่ยเทียนรับการคารวะจากฝูงชนเมื่อก่อนหน้านี้ เขาก็ดูอ่อนน้อมถ่อมตนมาก แต่คำพูดที่กล่าวออกไปเมื่อครู่กลับทำให้เหล่าฝูงชนต้องลอบส่ายหน้า สุดท้ายแล้วคนหนุ่มก็ยังควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้อยู่ดี
“ผู้อาวุโสเหลย วรยุทธของท่านฝึกจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว ผู้ที่จะสามารถฝึกวรยุทธพลังภายนอกจนถึงระดับเดียวกับคุณได้นั้น ในปัจจุบันนี้คงไม่มีใครอื่นทำได้อีกแล้ว ผมเองก็กำลังอยากจะขอรับการชี้แนะอยู่พอดี…”
เยี่ยเทียนไม่สนใจคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนเหล่านั้นเลย แต่มองไปที่เหลยเจิ้นเยวี่ย แล้วพูดเปลี่ยนเรื่องว่า “แต่เท้าของคุณก็เพิ่งจะก้าวเข้าสู่ขั้นสูงสุดไปแค่ข้างเดียว นอกจากนี้ภายในร่างกายก็ยังมีโรคบางอย่างที่ไม่ได้ขจัดอยู่ ผมจึงพอจะสามารถเป็นผู้ชี้แนะให้ได้อยู่!”
เยี่ยเทียนเข้าสู่วงการมาสิบกว่าปี มีเพียงครั้งที่ประลองกับอาจารย์มวยแปดทิศที่ชางโจวสมัยที่เขายังเด็กมากเท่านั้น ที่เขาพลาดท่าเสียทีไปเล็กน้อย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พลังฝีมือของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด และก็ไม่เคยเจอใครที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อีกเลย
แม้จะมีภาษิตว่า บัณฑิตไม่มีใครยอมเป็นที่หนึ่ง จอมยุทธไม่มีใครยอมเป็นที่สอง แต่สำหรับผู้ฝึกวิชายุทธบางคน การที่ไม่มีใครมาเป็นคู่ต่อสู้ได้เลยนั้นก็เป็นเรื่องน่ากลุ้มใจอยู่เหมือนกัน ดังนั้นหลังจากที่ประจักษ์ถึงพลังฝีมือของเหลยเจิ้นเยวี่ย ในใจเยี่ยเทียนจึงเกิดความฮึกเหิมอยากต่อสู้ขึ้นมา
ที่เยี่ยเทียนเดินทางมาอเมริกาครั้งนี้ นอกจากเพราะกลัวว่ามารดาจะเกิดเหตุแล้ว ยังมีสาเหตุอยู่อีกประการหนึ่ง ซึ่งก็คืออยากจะเห็นการชุมนุมที่องค์กรมวยใต้ดินโลกเป็นผู้จัดขึ้นสักหน่อย ดูว่าในโลกนี้มีนักสู้ฝีมือดีอยู่มากน้อยแค่ไหนกันแน่
แต่ที่เยี่ยเทียนคาดไม่ถึงคือ เขายังไม่ทันได้ไปร่วมงานชุมนุมมวยใต้ดินนั่นเลย ก็ได้พบกับคู่ต่อสู้ตัวฉกาจอย่างเหลยเจิ้นเยวี่ยที่สมาคมหงเหมินเสียก่อน
ก้าวสู่ขั้นสูงสุดไปครึ่งก้าวแล้ว ทั้งชีวิตมีประสบการณ์มานับร้อยนับพันศึก จิตสังหารไม่ได้อ่อนไปกว่าเขาเลยสักนิด กระทั่งยังคล้ายจะเหนือกว่าอีก คู่ต่อสู้แบบนี้ นอกจากศิษย์พี่ใหญ่และหนานไหวจิ่น นี่ก็เป็นคู่ค่อสู้ที่แกร่งที่สุดเท่าที่เยี่ยเทียนจะได้พบเจอแล้ว
แน่นอนว่า เยี่ยเทียนไม่มีความหวาดกลัวใดๆ ทั้งสิ้น พลังฝีมือของเขาเดิมก็สูงกว่าเหลยเจิ้นเยวี่ยอยู่แล้ว และเขาก็กำลังคิดจะใช้ศึกนี้ ทำให้คนในสมาคมหงเหมินยอมรับเขาอย่างแท้จริงอยู่พอดี
“หือ? แกรู้จักขั้นสูงสุดด้วยรึ?”
คำพูดของเยี่ยเทียนอยู่เหนือความคาดหมายของเหลยเจิ้นเยวี่ยมาก จึงอดหรี่ตามองอีกฝ่ายไม่ได้ แม้ว่าที่เขาฝึกมาจะเป็นมวยสายพลังภายนอก แต่ก็เคยพบปะครูมวยสายพลังภายในมาไม่น้อย จึงรู้เกี่ยวกับระดับขั้นต่างๆ ในวิชามวยพลังภายในเป็นอย่างดี
หลังจากพัฒนาฝีมือขึ้นได้เมื่อไม่นานมานี้ เหลยเจิ้นเยวี่ยรู้สึกว่าตัวเองได้เข้าสู่ระดับสูงสุดแล้ว แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจ ยามนี้เมื่อเยี่ยเทียนเอ่ยถึงขึ้นมา ในใจเหลยเจิ้นเยวี่ยจึงรู้สึกระแวงขึ้นมาทันที
คนฝึกวิชายุทธในยุคปัจจุบันมีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ แล้ว หลายคนถึงกับไม่รู้เลยว่าอะไรคือพลังปรากฏ พลังแฝงและพลังสับเปลี่ยน เพียงฟังจากสิ่งที่เยี่ยเทียนพูดมานี้ ก็พอที่จะพิสูจน์ได้แล้วว่า เขาเป็นคนในวงการนี้จริงๆ
“พูดแล้วไม่ทำ ก็แค่ทักษะปลอมๆ น่ะ…”
เยี่ยเทียนหัวเราะฮ่าๆ “ผู้อาวุโสเหลย ที่นี่ยังมีคนตั้งมากมายกำลังรอไปกินข้าวดื่มเหล้าอยู่นะครับ พวกเราก็อย่าปล่อยให้คนอื่นต้องรอนานเลยนะ”
หลังจากพูดจบ เยี่ยเทียนก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว สองมือกุมอกเสื้อไว้ แล้วฉีกออกจากกัน ชุดคลุมยาวตลอดร่างขาดออกเป็นสองส่วน เผยให้เห็นร่างอันสูงชะลูดของเยี่ยเทียน
“วีรบุรุษมักปรากฏในคนรุ่นเยาว์จริงๆ ด้วยสิ ท่านเยี่ย เหล่าเหลยขอรับการชี้แนะ!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยเห็นการกระทำของเยี่ยเทียนแล้วตาลุกวาวขึ้นมาทันที เท้าซ้ายย่ำไปข้างหน้าอย่างหนักหน่วง อิฐเทาบนพื้นถูกกระทืบจนแตกเป็นชิ้นๆ ไปทันที
เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังจะเริ่มลงมือแล้ว บรรดาฝูงชนที่ล้อมดูอยู่ก็ทยอยกันถอยห่างออกไป เพื่อเว้นที่ให้เยี่ยเทียนและเหลยเจิ้นเยวี่ย
เวลาต่อสู้ไอ้เสือเหลยไม่เห็นใครหน้าไหนอยู่ในสายตาทั้งนั้น ถ้าเกิดโดนลูกหลงเข้าไปละก็ อาจต้องจบฉากโดยกล้ามเนื้อฉีกกระดูกหักเลยก็เป็นได้ ทุกคนจึงหลีกหนีราวกับไม่อยากสัมผัสถูกตัวเชื้อโรค
แต่ที่ทำให้ฝูงชนประหลาดใจกันก็คือ หลังจากเหลยเจิ้นเยวี่ยเริ่มก้าวออกไปหนึ่งก้าวอย่างดุดันแล้ว ทั้งร่างก็กลับยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว เพียงถลึงตาจ้องมองเยี่ยเทียนอย่างเกรี้ยวกราด
ภาษิตว่า คนวงในดูเคล็ดวิชา คนวงนอกดูความครื้นเครง อย่างพวกหลี่ซงชิวนั้นย่อมดูออกแล้วว่า ขณะนี้เหลยเจิ้นเยวี่ยกำลังเร่งพลังของตัวเองขึ้น หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เป็นการข่มศัตรูให้แพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มสู้
แต่พลังจิตสังหารที่เหลยเจิ้นเยวี่ยแผ่ออกไปคราวนี้ กลับใช้กับเยี่ยเทียนไม่ได้ผลเลยสักนิด เพราะร่างกายที่ดูเหมือนจะผอมและอ่อนแอของเยี่ยเทียนนั้น ก็ปล่อยพลังจิตสังหารที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าของเหลยเจิ้นเยวี่ยเลยออกมาเช่นกัน
แม้จะไม่เคยฆ่าคนเป็นจำนวนมากเท่าเหลยเจิ้นเยวี่ย แต่เยี่ยเทียนก็เคยปลิดชีวิตคนมาแล้วราวๆ ร้อยคนเหมือนกัน ปราณพิฆาตที่ก่อตัวขึ้นจากคนตายเหล่านั้นถูกเยี่ยเทียนสลายไปหมดแล้ว แต่พลังจิตสังหารนั้นเยี่ยเทียนกลับรักษาไว้คงเดิม
รัศมีพลังจางๆ แผ่ซ่านจากร่างของทั้งสอง อากาศโดยรอบราวกับแข็งตัวไปหมด แสงอาทิตย์จากบนฟ้าสาดส่องลงมาแล้วเหมือนจะเกิดการหักเหบิดเบี้ยว ทำให้ฝูงชนที่ล้อมดูอยู่ต่างมีความรู้สึกพิลึกๆ บางอย่างอยู่ในใจ
“ดี ได้สู้กับท่านเยี่ยหนึ่งครั้ง ผู้แซ่เหลยช่างมีวาสนานัก!”
ชีวิตนี้เหลยเจิ้นเยวี่ยผ่านศึกมานับร้อยพัน แต่หลังจากล่วงสู่วัยชรา ก็มีน้อยครั้งเหลือเกินที่จะได้ต่อสู้ ต่อให้มีคนมาขอท้าสู้ ก็จะทนต้านทานพลังจิตสังหารอันหนักหน่วงดั่งภูเขาศพทะเลเลือดจากร่างของเหลยเจิ้นเยวี่ยไม่ไหว และพ่ายแพ้ไปก่อนเสมอ
แต่เมื่อเหลยเจิ้นเยวี่ยคิดจะใช้ไม้นี้อีกครั้ง กลับพบว่าเยี่ยเทียนที่อยู่ตรงหน้าเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนก็ไม่ปาน พลังจิตสังหารบนร่างของเขารุนแรงอย่างชนิดที่ไม่ได้เป็นรองเขาเลยแม้แต่น้อย ทำให้เหลยเจิ้นเยวี่ยตกตะลึงอย่างยิ่ง และก็รู้สึกยินดีเล็กน้อยด้วยเช่นกัน
ได้เจอกับคู่ต่อสู้ที่ฝีมือสมน้ำสมเนื้อกันแล้ว เหลยเจิ้นเยวี่ยกำลังรู้สึกแบบนั้น ยามนี้เขาลืมความแค้นส่วนตัวระหว่างตนกับเยี่ยเทียนไปแล้ว คิดแต่จะลงมือต่อสู้อย่างเดียว
“ผมมีอาวุโสสูงกว่าท่าน ให้ท่านมือก่อนก็แล้วกันนะ!”
เยี่ยเทียนยิ้มน้อยๆ แล้วเก็บพลังจิตสังหารนั้นกลับไป แม้ว่าพลังของเหลยเจิ้นเยวี่ยจะพวยพุ่งออกมา แต่แรงกดดันที่เกิดจากพลังแบบนี้ กลับไม่อาจสร้างผลกระทบใดๆ ต่อเยี่ยเทียนได้เลย
“ได้ ท่านเยี่ยโปรดชี้แนะ!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยสองมือประสานกัน คารวะต่อเยี่ยเทียน เยี่ยเทียนสามารถปล่อยและเก็บพลังได้อย่างอิสระ ทำให้เหลยเจิ้นเยวี่ยรู้สึกน้อยหน้า ความจองหองที่อยู่ในใจก็ลดลงไป
“เชิญ!” เยี่ยเทียนพยักหน้า เท้าซ้ายถอยหลัง มือขวากางออกไปข้างหน้า เตรียมพร้อมอยู่ในท่าตั้งรับ
“ขอล่วงเกิน!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยตวาดออกไปหนึ่งคำ เส้นผมหนวดเคราชี้ชัน เท้าซ้ายแตะลงไปบนพื้นอย่างฉับพลัน ร่างอันใหญ่โตนั้นดูราวกับลิงค่าง เดินก้าวสั้นๆ ไปข้างหน้าสามก้าวอย่างปราดเปรียวเหนือธรรมดา
ระยะห่างสิบกว่าเมตร ภายในสามก้าวนั้นก็สั้นลงจนมาอยู่ตรงหน้าแล้ว เหลยเจิ้นเยวี่ยยกฝ่ามือข้างขวาขึ้นสูง แล้วฟาดลงไปที่ใบหน้าของเยี่ยเทียนอย่างหนักหน่วง
“มวยทงเป้ย? ฝ่ามือสับงัด?”
เยี่ยเทียนเห็นแขนทั้งสองข้างของเหลยเจิ้นเยวี่ยยาวอย่างยิ่ง เมื่อทิ้งแขนตรงแล้วเกือบจะถึงหัวเข่า จึงรู้ว่าเขาน่าจะฝึกมวยทงเป้ย
เพียงแต่ว่าที่เหลยเจิ้นเยวี่ยใช้ไปเมื่อครู่เป็นท่าก้าวของมวยทงเป้ย แต่ฝ่ามือที่ใช้ในระยะใกล้นี้กลับเป็นท่าหนึ่งในวิชามวยสับงัด ทำให้เยี่ยเทียนอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้
มวยทงเป้ย (มวยที่เคลื่อนพลังผ่านหลัง) เป็นหนึ่งในวิชาหมัดมวยของจีน เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า มวยทงปี้ (มวยที่เคลื่อนพลังผ่านแขน) เน้นท่าร่างที่ใช้หลังแบบลิงหรือแขนแบบลิง จึงเรียกได้อีกอย่างว่า ‘มวยทงเป้ยวานร’ หรือ ‘มวยทงเป้ยชะนีขาว’
นอกจากนี้มวยสับงัดยังเป็นหนึ่งในแบบฉบับวิชามวยดั้งเดิมประเภทจู่โจมระยะไกลอีกด้วย วิชานี้สามารถแสดงให้เห็นทฤษฎีการจู่โจมในศิลปะการต่อสู้ของจีนที่กล่าวว่า ‘ยาวหนึ่งชุ่น ได้เปรียบหนึ่งชุ่น’ ได้อย่างชัดเจน
ในหนึ่งฝ่ามือที่ผ่าสับออกไปนั้น ด้านการควบคุมระยะโจมตีนั้นเน้นว่า ระยะไกลให้จู่โจมห่างๆ ระยะใกล้ให้สะบัดฟาด เก็บก็ได้ปล่อยก็ได้ ยาวก็ได้สั้นก็ได้ ในด้านอานุภาพนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าวิชามวยแปดทิศเลย
มวยทงเป้ยและมวยสับงัดต่างให้ความสำคัญกับการนำไปใช้จริง ไม่เน้นการเรียงลำดับชุดกระบวนท่า แต่เน้นไปที่วิธีการใช้แต่ละท่า
อย่างเช่นเหลยเจิ้นเยวี่ยก็ใช้ท่าก้าวเดินแบบมวยทงเป้ย แต่ลักษณะการโจมตีกลับเปลี่ยนเป็นฝ่ามือสับงัด แสดงให้เห็นว่าเขามีประสบการณ์การเผชิญศัตรูมาอย่างโชกโชน สามารถเลือกใช้ชุดท่าโจมตีที่มีอานุภาพสูงสุดได้โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาหยุดคิดเลย
ท่าก้าวของมวยทงเป้ยนั้นปราดเปรียว ส่วนท่าฝ่ามือของมวยสับงัดนั้นก็เฉียบคม
เมื่อเหลยเจิ้นเยวี่ยเป็นผู้ใช้ วิชาหมัดมวยทั้งสองประเภทนี้ก็ถูกผสานเข้าด้วยกันดั่งเสื้อสวรรค์ไร้ตะเข็บ ฝ่ามือใหญ่เหมือนใบลานข้างนั้นปกคลุมรอบร่างของเยี่ยเทียนไว้หมดแล้ว ทำให้เยี่ยเทียนจะถอยก็ถอยไม่ได้ เหลือเพียงทางเดียวคือตั้งรับซึ่งๆ หน้า
“เยี่ยมมาก!”
เมื่อรู้สึกได้ถึงกระแสลมแรงดั่งคมมีดพัดมาต้องใบหน้า เยี่ยเทียนก็หายใจเข้าลึกๆ เท้าซ้ายย่ำลงไปบนพื้นอย่างหนักหน่วง ฝ่ามือขวาพลิกหงาย แล้วผลักขึ้นสู่ด้านบนราวกับใช้มือค้ำฟ้าประคองเจดีย์
ในฐานะที่เป็นคนในวงการศาสตร์ลี้ลับ จึงมีอยู่น้อยครั้งที่เยี่ยเทียนจะปะทะกับผู้อื่นโดยตรงอย่างแข็งกร้าวเช่นนี้ แต่ยามนี้เขาถูกเหลยเจิ้นเยวี่ยยั่วยุจนรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา จึงใช้กระบวนท่า ‘ฌ้อปาอ๋องยกกระถางธูป’ นี้ออกไปโดยไม่หลบเลี่ยงแม้แต่ก้าวเดียว
หากกล่าวถึงด้านอานุภาพ ในบรรดาหมัดมวยชนิดต่างๆ ถือว่ามวยแปดทิศและมวยสับงัดรวดเร็วรุนแรงที่สุด แต่หากจะกล่าวถึงด้านพละกำลังละก็ มวยปาอ๋องที่ฌ้อปาอ๋องหรือพระนามเดิมคือเซี่ยงอวี่เป็นผู้คิดค้นขึ้นนั้นกลับเป็นอันดับหนึ่ง
หมัดหมวยชนิดนี้กร้าวแกร่งดุดัน น่าเกรงขามเหนือใดเปรียบ
ครั้งนั้นฌ้อปาอ๋องถูกล้อมที่ไก่เซี่ย ขณะที่กำลังต่อสู้ห้ำหั่นอยู่อาวุธยาวก็หักสะบั้นไป ข้าศึกนายหนึ่งกำลังหมายจะจับเป็นท่าน แต่ใครเลยจะคาดคิดว่า ฌ้อปาอ๋องกลับใช้ ‘มวยปาอ๋อง’ พลิกมือปล่อยหมัดใส่ฝ่ายนั้นจนกระโหลกศีรษะแตกละเอียด และบุกสังหารเข้าไปท่ามกลางกองทัพนับหมื่นจนโลหิตสาดเป็นทาง แล้วจึงฝ่าออกจากวงล้อมได้ แสดงให้เห็นอานุภาพของมวยปาอ๋องได้อย่างชัดเจน
หมัดมวยชนิดนี้หลี่ซั่นหยวนไม่ได้เป็นผู้สอนให้เยี่ยเทียน แต่เป็นโก่วซินเจียเป็นผู้ถ่ายทอด สมัยหนุ่มเขาได้รู้จักกับค่ายสำนักต่างๆ ในยุทธภพมากมาย และเห็นว่าหมัดมวยสายนี้มีความกร้าวแกร่ง สามารถเสริมจุดบกพร่องด้านวิชาโจมตีของสำนักเสื้อป่านได้ จึงไปเรียนวิชานี้มา
เมื่อเยี่ยเทียนผลักยันฝ่ามือขึ้นไป ฝ่าเท้าก็ยึดแน่นกับพื้น ทั้งร่างหนักอึ้งขึ้นมาสุดเปรียบปานราวกับขุนเขา ตอบโต้ฝ่ามือสับงัดของเหลยเจิ้นเยวี่ยที่โจมตีมาจากเบื้องบน
“ตึง!”
แรงที่ระเบิดออกมาจากการปะทะของทั้งสองฝ่าย ทำให้เกิดเสียงหนักๆ ขึ้นมาในอากาศรอบกายของทั้งสอง สะเทือนจนเกิดเสียงดังอื้ออึงขึ้นในแก้วหูของฝูงชนที่ล้อมดูอยู่
เมื่อเสียงหนักๆ นั้นดังขึ้น ร่างของเยี่ยเทียนก็ดูเหมือนจะเตี้ยลงไปเล็กน้อย แต่ฝ่ามือสับงัดของเหลยเจิ้นเยวี่ยนั้น กลับถูกเยี่ยเทียนผลักกระเด็นขึ้นไปสูงลิ่ว พาให้ร่างของเหลยเจิ้นเยวี่ยถอยหลังไปสามก้าวติดๆ กัน
ยามนี้ฝูงชนเพิ่งจะเห็นได้ชัดเจนว่า พลังลมปราณที่ปะทุออกมาจากการโจมตีเมื่อครู่นั้น ทำให้แขนเสื้อข้างขวาของเยี่ยเทียนและเหลยเจิ้นเยวี่ยต่างขาดกระจายปลิวว่อนเหมือนผีเสื้อ คนที่ตาดีหน่อยก็จะเห็นว่า ที่ปลายแขนของทั้งสองต่างก็บวมแดงไปหมด
เยี่ยเทียนผ่อนลมปราณที่ปนเปื้อนออกมาทางปาก แล้วพูดขึ้นช้าๆ “วรยุทธเยี่ยม มวยสับงัดเยี่ยม!”
กล่าวตามตรง ในการต้านรับโดยตรงเมื่อครู่นี้ เยี่ยเทียนเป็นฝ่ายเสียเปรียบไปเล็กน้อย แม้ว่าพลังลมปราณของเขาจะแข็งแกร่งกว่าเหลยเจิ้นเยวี่ย แต่อีกฝ่ายเคี่ยวกรำร่างกายมาทั้งชีวิต จึงฝึกแขนทั้งสองข้างจนแกร่งดั่งเหล็กกล้ามานานแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะตอนสุดท้ายเยี่ยเทียนใช้พลังสับเปลี่ยนช่วยถ่ายแรงอันมหาศาลนั้นลงไปที่พื้นละก็ เขาคงได้แสดงความน่าอับอายออกมาในระหว่างการปะทะนั้นไปแล้ว
ตอนที่ 609 สู้จนกระอักเลือด
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ท่านก็ไม่เลวนี่!”
ลำคอของเหลยเจิ้นเยวี่ยเปล่งเสียงคำรามเหมือนวัวสูดน้ำออกมา แขนขวาสั่นระริกเบาๆ จนแทบดูไม่ออก ดวงตาฉายแววตกตะลึงออกมาอย่างไม่อาจปกปิดได้
เหลยเจิ้นเยวี่ยเป็นผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ที่มีชื่อเสียงจากเหอเป่ย ภายหลังเพราะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับครอบครัว ทั้งตระกูลจึงย้ายถิ่นฐานไปที่เทียนจิน
สมัยที่เหลยเจิ้นเยวี่ยอายุห้าขวบ ก็ได้เรียนวิชามวยทงเป้ยกับจางเช่อผู้ได้รับการขนานนามในสมัยนั้นว่าเป็น ‘เทพแห่งมวยทงเป้ย’ แล้ว และกลายเป็นศิษย์คนสุดท้ายของปรมาจารย์มวยท่านนั้น ผู้ซึ่งในสมัยปลายราชวงศ์ชิงต้นยุคสาธารณรัฐไม่มีใครมาเป็นคู่ต่อสู้ได้เลยในทั่วทั้งเก้ามณฑลแถบภูมิภาคหวาเป่ยและตงเป่ย
หลังจากจางเช่อถึงแก่กรรมไปแล้ว เหลยเจิ้นเยวี่ยก็ไปกราบอาจารย์มวยที่ปักกิ่งและเทียนจิน และได้เรียนวิชามวยสับงัดมาอีก หลังจากผ่านการฝึกฝนเคี่ยวกรำมาเจ็ดสิบแปดสิบปี เขาก็ฝึกมวยทั้งสองชนิดนี้ได้จนถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว
ในการโจมตีเมื่อครู่นี้ เหลยเจิ้นเยวี่ยคิดว่า ต่อให้เป็นเสือร้ายตัวหนึ่ง ก็คงจะถูกเขาซัดจนเอ็นฉีกกระดูกหัก จบชีวิตคาที่ได้แน่นอน แต่เยี่ยเทียนกลับต้านทานไว้ได้โดยตรงด้วยมือข้างเดียว และยังปล่อยแรงสะท้อนกลับอ่อนๆ มาได้อีกด้วย ทำให้เขารู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านขึ้นมาในอกไปวูบหนึ่ง
ยามนี้เหลยเจิ้นเยวี่ยรู้แล้วว่า ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้มีคุณสมบัติพอที่จะให้ตัวเองทะนงตนได้อยู่จริงๆ และอาจจะสามารถ ‘ชี้แนะ’ เขาสักยกหนึ่งได้จริงๆ ก็เป็นได้
ในยุทธภพนั้น ผู้มีพลังย่อมได้รับการนับถือ
สมัยนั้นตู้เยวี่ยเซิงและหวงจินหรงต่างก็ไม่ใช่ผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดในพรรคชิงปัง แต่หากคนรุ่นหลังเอ่ยถึงพรรคชิงปังขึ้นมาเมื่อไร ก็จะต้องเห็นบุคคลทั้งสองนี้เป็นตัวแทนของพรรคแน่นอน ซึ่งก็เป็นเพราะว่าทั้งสองคนนี้มีพลังอำนาจมากที่สุด
แต่คนอย่างเหลยเจิ้นเยวี่ยนี้ กลับให้ความสำคัญกับความสามารถในการต่อสู้ของแต่ละคนมากกว่า ท่า ‘ฌ้อปาอ๋องยกกระถางธูป’ ของเยี่ยเทียนนี้จึงทำให้เขาเกิดความรู้สึกนับถือขึ้นมาแล้ว
เยี่ยเทียนสะบัดมือขวาที่รู้สึกชาขึ้นมา แล้วเอ่ยขึ้นว่า “มาสู้กันต่อเถอะ ฝึกวิชายุทธสายพลังภายนอกจนถึงระดับท่านได้นี่ เทียบกับ ‘เทพแขน’ จางเช่อ เมื่อสมัยโน้นก็ถือว่าสูสีกันละนะ!”
“ท่านรู้จักอาจารย์ของฉันด้วยรึ? ฉันน่ะยังเทียบชั้นกับท่านไม่ได้หรอก!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยได้ยินแล้วก็อึ้งไป เขาอยู่ที่ต่างประเทศมาหกสิบกว่าปี ไม่ได้ยินใครเอ่ยนามของอาจารย์มานานแล้ว แต่เขาก็ยังสำนึกรู้ตัวอยู่ว่า วรยุทธของตนยังห่างไกลจากอาจารย์มากนัก
ในระหว่างช่วงปลายราชวงศ์ชิงไปจนถึงก่อนยุคคอมมิวนิสต์นั้น วงการศิลปะการต่อสู้ในประเทศเรียกได้ว่าเป็นยุคร้อยสำนักประชันภูมิ เกิดยอดฝีมือกังฟูมากมายหลายท่าน อย่างเช่นดาบใหญ่หวังอู่ ซุนลู่ถัง ฮั่วหยวนเจี่ย และทวนเทพหลี่ซูเหวิน เป็นต้น
แต่จางเช่อนั้นเรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์ในหมู่ปรมาจารย์ เป็นคนแรกที่คิดค้นวิชามวยชนิด ‘ทงเป้ยไท่จี๋’ ขึ้นมา และฝึกฝนจนจนไปถึงระดับที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ท่านจึงเปรียบดั่งยอดเขาสูงลูกหนึ่งที่ยังไม่มีผู้ใดสามารถพิชิตได้ในประวัติศาสตร์ของมวยทงเป้ย
แม้ว่าพลังฝีมือของเหลยเจิ้นเยวี่ยจะไปถึงขั้นสุดยอดแล้ว แต่ถ้าเขาไปอยู่ในยุคสมัยโน้น ก็คงจะยังเทียบชั้นกับบรรดาปรมาจารย์วิชามวยเหล่านั้นไม่ได้อยู่ดี
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์ของเทพแขนนี่เอง มิน่าล่ะ…”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ในใจไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไรดี ยุทธภพนั้นแม้จะกว้างใหญ่ แต่ถ้าเอ่ยถึงเรื่องมิตรภาพกันแล้ว ก็มักจะเกี่ยวโยงไปถึงความสัมพันธ์กับคนบางคนได้เสมอ
ตลอดชีวิตของหลี่ซั่นหยวนมีมิตรสหายมากมายหลายวงการ เพื่อที่จะเสาะหาต้นฉบับคัมภีร์ ภาพดันหลัง จึงเคยไปอยู่ที่มหาวิทยาลัยในเมืองกรุงอยู่ช่วงหนึ่ง และได้เป็นสหายสนิทกับผู้เชี่ยวชาญทางศิลปะการต่อสู้ในปักกิ่งและเทียนจินหลายคน จางเช่อผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
แต่เยี่ยเทียนก็ไม่อยากจะพูดเรื่องพวกนี้กับเหลยเจิ้นเยวี่ย เพราะถ้าเอ่ยถึงมิตรภาพของคนรุ่นอาจารย์ขึ้นมาละก็ คงไม่เป็นอันได้ต่อยตีกันต่อไปแน่ๆ ยามนั้นจึงขยับท่าร่าง สองเท้ารุกคืบเข้าไปอย่างว่องไวราวกับผีเสื้อกลางดงดอกไม้
แต่เปรียบเทียบกับการโจมตีอันสุดแสนทรงพลังของเหลยเจิ้นเยวี่ยเมื่อครู่นี้แล้ว หมัดและฝ่ามือที่เยี่ยเทียนโจมตีออกไปก็กลายเป็นดูเบาหวิวไปเลย ฝูงชนที่ล้อมดูอยู่ต่างก็สงสัยกันเหลือเกินว่า ลูกหมัดลูกถีบของเยี่ยเทียนนี่ พอมาใช้กับเหลยเจิ้นเยวี่ยแล้วจะกลับกลายเป็นการไปจักจี้เขารึเปล่า?
เพียงแต่ทุกคนไม่รู้ว่า เหลยเจิ้นเยวี่ยซึ่งอยู่ในวงต่อสู้นั้น กลับกำลังลำบากอย่างที่สุด
เพราะลูกหมัดและลูกถีบของเยี่ยเทียนที่โจมตีใส่เขานั้นแม้จะดูเหมือนไร้พลัง แต่ความจริงแล้วทุกๆ หมัดมีกำลังภายในแฝงอยู่ แม้แต่เหลยเจิ้นเยวี่ยเองยังก็ไม่กล้าปล่อยให้เยี่ยเทียนจู่โจมมาถึงร่างของตนเลย
แม้ว่าเขาจะก้าวไปถึงขั้นสูงสุดได้ครึ่งก้าวแล้ว แต่เหลยเจิ้นเยวี่ยบากบั่นฝึกวิชายุทธสายพลังภายนอกมาทั้งชีวิต ในด้านการควบคุมพลังลมปราณจึงเทียบกับเยี่ยเทียนไม่ได้เลย หากสู้กันด้วยพลังลมปราณ เหลยเจิ้นเยวี่ยก็ย่อมจะไม่อาจใช้พลังออกมาได้ดั่งใจนึก
“ฮ่ะ!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยเปล่งเสียงตวาดออกมาสั้นๆ คำหนึ่ง ถ่ายพลังทั่วทั้งร่างไปไว้ที่แขนทั้งสองข้าง ท่ามวยทงเป้ยและมวยสับงัดผสมผสานกัน ปะทะกับเยี่ยเทียนอย่างแข็งกร้าว
เหลยเจิ้นเยวี่ยใช้วิธีนี้เพราะหมดหนทางอื่นแล้ว ในด้านทักษะการเคลื่อนไหวหลบหลีกนั้น เขาด้อยกว่าเยี่ยเทียน จึงได้แต่เข้าปะทะซึ่งๆ หน้า เพื่อบีบให้เยี่ยเทียนแลกหมัดแลกถีบกับตน
แต่เยี่ยเทียนเคยปะทะตรงๆ กับเขาไปหนึ่งครั้งแล้ว แล้วจะยังนำจุดด้อยของตัวเองไปปะทะกับจุดแข็งของเหลยเจิ้นเยวี่ยอีกได้อย่างไรกัน?
ขณะเดียวกับที่เหลยเจิ้นเยวี่ยตวาดออกมา ฝีเท้าของเยี่ยเทียนก็เร่งเร็วขึ้นอย่างฉับพลัน เท้าก้าวเหยียบไปตามท่าก้าวแปดทิศ วนเวียนไปรอบๆ ร่างของเหลยเจิ้นเยวี่ย
ท่าก้าวชุดนี้เยี่ยเทียนศึกษามาจากชิวเหวินตง ถึงวรยุทธของเขาจะเหลาะแหละไม่ได้เรื่อง แต่วิชาของเขาก็สืบทอดมาจากต่งไห่ชวน วิชาฝ่ามือแปดทิศที่ตกทอดมานี้จึงตรงตามต้นตำหรับอย่างยิ่ง
มวยทงเป้ยก็ให้ความสำคัญกับท่าก้าวเช่นกัน แต่เทียบกับท่าก้าวแปดทิศของเยี่ยเทียนแล้วกลับด้อยกว่ามาก มีอยู่หลายครั้งที่เหลยเจิ้นเยวี่ยหมุนกายช้าไปเล็กน้อย แล้วบนร่างก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาทันที เพราะถูกหมัดของเยี่ยเทียนไปหลายหมัด
แต่ที่ทำให้เหลยเจิ้นเยวี่ยประหลาดใจคือ ลูกหมัดเหล่านี้ถึงจะทำให้รู้สึกเจ็บอยู่บ้าง แต่กลับไม่ได้ทรงพลังมากเท่าที่คิดไว้ ขณะนั้นเขาไม่มีเวลาไปขบคิด จึงได้แต่ใช้สมาธิตั้งรับการโจมตีของเยี่ยเทียนที่กระหน่ำมาดั่งพายุสลาตัน
เยี่ยเทียนจู่โจมอย่างฮึกเหิม เท้าก้าวตามผังแปดทิศ ท่าร่างรวดเร็วสุดขีด จนฝูงชนที่ล้อมดูอยู่มองเห็นเพียงเงาร่างหนึ่งวนล้อมไปรอบๆ เหลยเจิ้นเยวี่ย
เหลยเจิ้นเยวี่ยมีประสบการณ์การต่อสู้อย่างโชกโชน ยามนั้นเขาละทิ้งความคิดที่จะประชันท่าร่างกับเยี่ยเทียนแล้ว และยืนอยู่กับที่ หมายจะใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว การรุกโจมตีของเยี่ยเทียนจึงถูกเขาปัดป้องออกไปได้ทุกครั้ง
แต่คนที่ตาถึงจะดูออกว่า เหลยเจิ้นเยวี่ยแม้จะยังไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ช้าเร็วก็ต้องพ่ายแพ้แน่นอน จากโบราณจวบจนปัจจุบันนี้ กรณีที่ผู้ตกเป็นฝ่ายรับการโจมตีจะพลิกสถานการณ์เป็นผู้ชนะได้นั้นถือว่ามีน้อยครั้งอย่างยิ่ง
“ฮ่าๆ สะใจจริงๆ!”
ในการประมือกับคนอื่นครั้งก่อนๆ ปกติเยี่ยเทียนปล่อยไปสามหมัด เตะไปสองทีก็ยุติการต่อสู้แล้ว แต่ในการประลองกับเหลยเจิ้นเยวี่ยนี้ ทั้งสองเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ ยามนี้เยี่ยเทียนจึงเลือดลมสูบฉีดไปทั่วร่าง ต่อสู้อย่างเบิกบานสมใจอยาก
“เอ๊ะ? ทำไมพลังไม่เหมือนเมื่อครู่แล้วล่ะ?”
ในการโจมตีระยะประชิดครั้งหนึ่ง เยี่ยเทียนได้ปะทะกับเหลยเจิ้นเยวี่ยโดยตรงอีกครั้งหนึ่งและพบว่า พลังของตาแก่คนนี้น้อยลงกว่าเมื่อครู่ไปมาก จึงรู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย
ตอนนี้ทั้งสองเพิ่งจะประมือกันได้เพียงห้าหกนาที อาศัยพลังฝีมือของเหลยเจิ้นเยวี่ยที่ก้าวไปถึงระดับสูงสุดได้ครึ่งก้าวแล้วนั้น พลังกายก็ไม่น่าจะอ่อนแอขนาดนี้ ตามหลักแล้วต่อให้สู้กันนานถึงครึ่งชั่วยาม เลือดลมก็ไม่น่าจะอ่อนกำลังลงเลย
“แย่ละ หลังจากตาแก่นี่เข้าสู่ขั้นสูงสุดแล้ว พลังฝีมือก็ยังไม่คงที่ โรคเก่าจะกำเริบขึ้นมาแล้ว”
พอเยี่ยเทียนก้าววนมาอยู่ตรงหน้าเหลยเจิ้นเยวี่ย แล้วเห็นสีหน้าที่เริ่มเป็นสีเทาหมองของเหลยเจิ้นเยวี่ย เขาก็เข้าใจในทันที
ตลอดชีวิตเหลยเจิ้นเยวี่ยผ่านศึกมานับร้อยนับพัน ได้รับบาดเจ็บทั้งภายในและภายนอกมานับครั้งไม่ถ้วน ถ้าถอดเสื้อผ้าออก อย่างน้อยๆ ก็ต้องสามารถนับรอยแผลเป็นบนร่างของเหลยเจิ้นเยวี่ยได้เป็นร้อยแผล
อีกทั้งวิชาที่เขาฝึกยังเป็นวิชายุทธสายพลังภายนอกซึ่งแม้จะใช้สังหารข้าศึกได้ แต่ก็ทำให้ตนเองต้องบอบช้ำไปด้วย การที่เขาสามารถรักษาพลังกายมาจนอายุถึงแปดสิบกว่าปี และก้าวสู่ระดับสูงสุดได้นี้ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยากยิ่งอยู่แล้ว
การเข้าสู่ระดับสูงสุดนั้นหมายความว่า ร่างกายมนุษย์ผ่านการฝึกฝนบำเพ็ญเพียรจนถึงขีดสุดแล้ว เมื่อถึงระดับนี้ไม่ว่าคนผู้นั้นจะฝึกวิชามวยสายพลังภายในหรือภายนอก ก็จะบรรลุผลเช่นเดียวกันหมด ขอเพียงเหลยเจิ้นเยวี่ยตั้งจิตกำหนดลมหายใจ ก็จะสามารถขจัดโรคที่แฝงอยู่ในกายมานานออกไปได้แล้ว
แต่เหลยเจิ้นเยวี่ยเพิ่งจะเลื่อนขั้นได้ไม่นาน ยังไม่ทันได้มีเวลาปรับสภาพหลังจากเข้าสู่ขั้นสูงสุด ก็ถูกเจ้าตำหนักคุ้มกฎ คนนั้นเรียกตัวมาก่อน แล้วก็เริ่มต่อสู้กับเยี่ยเทียนทันที
ถ้าเยี่ยเทียนมีวรยุทธต่ำต้อยหรืออยู่ในระดับธรรมดา เหลยเจิ้นเยวี่ยจัดการไปสักสามสี่กระบวนท่าก็คงจบแล้ว แต่เยี่ยเทียนดันมีพลังฝีมือสูงกว่าเขา เมื่อมาแลกหมัดวัดพลังกัน จึงทำให้โรคที่ซุกซ่อนอยู่ในกายของเหลยเจิ้นเยวี่ยปะทุกำเริบขึ้นมา
“ท่านเยี่ย ยั้งมือไว้ไมตรีด้วยเถอะ!”
แม้ว่าฝูงชนที่อยู่ในเหตุการณ์จะไม่ได้มีวรยุทธเหนือไปกว่าสองคนนี้เลย แต่ก็มีผู้ที่ตาถึงอยู่ไม่น้อย อย่างน้อยแม้แต่ตู้เฟยก็ดูออกแล้วว่า เหลยเจิ้นเยวี่ยหมดพลังแล้ว
“น้องสาม รีบยอมแพ้เร็วเข้า!”
หลี่ซงชิวก็ตะโกนออกไปเสียงดังเช่นกัน เขาคบหาเป็นสหายกับเหลยเจิ้นเยวี่ยมานานกว่าครึ่งศตวรรษ มีมิตรภาพดั่งพี่น้อง จึงไม่อยากเห็นเหลยเจิ้นเยวี่ยต้องจบฉากลงใต้หมัดของเยี่ยเทียนเลย
ทั้งสองกำลังประลองฝีมือกันต่อหน้าผู้อาวุโสจากสมาคมหงเหมินสาขาต่างๆ ต่อให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายขึ้นมา ก็ไม่สามารถกล่าวโทษอีกฝ่ายหนึ่งได้ ถ้าเยี่ยเทียนมีจิตใจอำมหิต คร่าชีวิตของเหลยเจิ้นเยวี่ยไป คนนอกก็ไม่อาจจะว่ากล่าวอะไรได้
แต่ต่อให้เหลยเจิ้นเยวี่ยคิดจะวางมือตอนนี้ ก็ต้องถามเยี่ยเทียนก่อนว่ายินยอมหรือไม่ เพราะตอนนี้เยี่ยเทียนเปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้แล้ว โดยเปลี่ยนจากการวนล้อมเป็นการจู่โจมแบบแข็งกร้าว พลังลมจากหมัดนั้นกดดันเหลยเจิ้นเยวี่ยจนแม้แต่จะพูดก็ยังพูดไม่ออก
“ล้มลงไปซะ!”
เยี่ยเทียนปัดป่ายหมัดยาวทงเป้ยของเหลยเจิ้นเยวี่ยออกไปหนึ่งครั้ง ย่อลงแล้วยืดกายขึ้นมา เหลยเจิ้นเยวี่ยยังไม่ทันชักมือที่โจมตีออกมากลับไป สองฝ่ามือก็ฟาดไปที่ทรวงอกของเขาสามครั้งแล้ว
การโจมตีสามครั้งนี้ดูภายนอกเหมือนเบาหวิวไร้เรี่ยวแรง แต่ร่างอันใหญ่โตของเหลยเจิ้นเยวี่ยกลับชะงักค้างนิ่งไปเลย โลหิตคั่งสีดำสนิทเหมือนน้ำหมึกพ่นสาดออกมาจากปากของเขา
“น้องสาม!”
“ลุงเหลย!”
หลายเสียงร้องตะโกนออกมา เงาร่างหลายร่างเบียดออกมาจากกลางฝูงชนที่มุงดูอยู่ แล้วประคองเหลยเจิ้นเยวี่ยที่กำลังซวนเซใกล้จะล้มไว้
“ท่านเยี่ย ถึงลุงเหลยจะเป็นฝ่ายยั่วยุก่อน ท่านก็ไม่เห็นจำเป็นต้องลงมือโหดขนาดนี้เลยนี่” ตู้เฟยช่วยพยุงเหลยเจิ้นเยวี่ยไว้ และมองไปที่เยี่ยเทียนด้วยสีหน้าโกรธขึ้ง
ถึงเหลยหู่จะไม่ได้รับความนิยมจากผู้อื่นเท่าไรนัก แต่เหลยเจิ้นเยวี่ยกลับเป็นบุคคลรุ่นอาวุโสที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดในสมาคมหงเหมิน เมื่อเห็นว่าเขาถูกเยี่ยเทียนที่เพิ่งเข้าร่วมสมาคมใหม่ๆ ทำร้ายจนกระอักโลหิตบาดเจ็บสาหัส แม้แต่ตู้เฟยเองก็เริ่มจะขุ่นเคืองขึ้นมาแล้ว
มีคนที่คิดเช่นเดียวกับตู้เฟยอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะคนที่สมัยหนุ่มเคยติดตามเหลยเจิ้นเยวี่ยบุกตะลุยไปทั่ว ต่างก็ตาแดงกันขึ้นมาทุกคน โลหิตของเหลยเจิ้นเยวี่ยเมื่อครู่นั้น ราวกับเป็นโลหิตที่ตนกระอักออกมาเองก็ไม่ปาน
“ตู้เฟย โรคเก่าในกายของเขากำเริบ ที่กระอักเลือดคั่งออกมานี่น่ะกลับจะเป็นเรื่องดีต่างหากล่ะ”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าแล้วหายใจเข้าลึกๆ หลังจากผ่านการต่อสู้อันดุเดือดเร้าใจเมื่อครู่นี้ เลือดลมของเขาน่าจะกำลังสูบฉีดอยู่ถึงจะถูก แต่ใบหน้าของเยี่ยเทียนกลับดูขาวซีดเหมือนคนป่วยขึ้นมาเล็กน้อย
“บัดซบ ทำร้ายคนจนกระอักเลือดแล้วยังจะว่าเป็นเรื่องดีอีกเรอะ?”
เยี่ยเทียนพูดยังไม่ทันขาดคำ เจ้าตำหนักคุ้มกฎ คนนั้นก็สาวเท้าออกมา ใบหน้าเปี่ยมด้วยความโศกเศร้าและโทสะ ถ้าไม่ใช่เพราะคำนึงถึงกาลเทศะในขณะนั้น เขาคงเรียกรวมพลสมาชิกไปสู้ตายกับเยี่ยเทียนไปแล้ว
“แค่ก แค่กๆ…”
ขณะที่คนกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมเยี่ยเทียนไว้ ทันใดนั้นเหลยเจิ้นเยวี่ยก็ไอออกมา แล้วถ่มก้อนแข็งสีดำๆ มีโลหิตคั่งออกมาจากปากหลายก้อน
“อวัยวะภายในแหลกเป็นชิ้นๆ เลยรึ?” คราวนี้แม้แต่หลี่ซงชิวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เข็นก็ยังตาแดงก่ำขึ้นมา
ตอนที่ 610 ล้างมือในอ่างทองคำ (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ฉันขอเสี่ยงกับแกแล้ว!”
มารดาของเจ้าตำหนักคุ้มกฏเสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็ก ตอนที่เขาอายุแปดขวบ บิดาก็มาเสียชีวิตไปอีกในการต่อสู้ปะทะระหว่างแก๊งครั้งหนึ่ง เขาจึงเป็นเด็กกำพร้าที่เหลยเจิ้นเยวี่ยรับเลี้ยงไว้ตั้งแต่เด็ก มีความผูกพันเหมือนพ่อลูกแท้ๆ เมื่อเห็นเหลยเจิ้นเยวี่ยกระอักก้อนโลหิตออกมา จึงทนไม่ไหวอีกต่อไป โถมร่างเข้าไปหาเยี่ยเทียน
หลี่ซงชิวนั่งอยู่บนเก้าอี้เข็นด้วยสีหน้าหม่นหมอง และก็ไม่ได้หยุดยั้งเขาไว้ ถ้าเยี่ยเทียนลงมือโหดเหี้ยมไปจริงๆ เขาก็ยอมละทิ้งจารีตของสมาคมหงเหมินที่มีมาหลายร้อยปี เพื่อที่จะทวงความยุติธรรมจากเยี่ยเทียน
เพียงแต่เจ้าตำหนักคุ้มกฏคนนั้นยังไม่ทันกระโจนไปถึงตรงหน้าเยี่ยเทียน ทุกคนก็ได้ยินเสียงอันดังกังวานเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “บัดซบ ซือคง แกจะทำอะไรของแก?”
พร้อมกับเสียงตวาด มือใหญ่ดั่งใบลานข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อด้านหลังของเจ้าตำหนักคุ้มกฏไว้ แล้วกระชากกลับไป หิ้วร่างหนักหนึ่งร้อยห้าสิบหกสิบชั่งของเขาขึ้นมา
“พ่อ…”
“ลุงเหลย?”
“น้องสาม?”
คนทั้งหลายมองไปตามเสียง แล้วแต่ละคนก็มีสีหน้าตกตะลึงและยินดีขึ้นมาทันที ผู้ที่กำลังจับเจ้าตำหนักคุ้มกฎ ซือคงหมิงไว้ ก็คือเหลยเจิ้นเยวี่ยที่เพิ่งจะกระอักโลหิตออกมาตั้งมากมายนั่นเอง
“น้องสาม นี่…นี่มันเรื่องอะไรกันแน่น่ะ?”
หลี่ซงชิวมองไปที่เหลยเจิ้นเยวี่ยอย่างสับสน ที่อกเสื้อของเขายังมีคราบโลหิตสีดำสนิทติดอยู่เลย เห็นแล้วน่าสยดสยองพรั่นพรึงยิ่งนัก
“พี่รอง ฉันไม่เป็นไร”
เหลยเจิ้นเยวี่ยโบกมือ ปล่อย ซือคงหมิง ทิ้งลงไปด้านข้าง แล้วสาวเท้าเข้าไปถึงตรงหน้าเยี่ยเทียน สองมือกุมประสานกัน แล้วโค้งคำนับลงไปเป็นการคารวะอย่างสูง
“ท่านเยี่ย ผู้แซ่เหลยทำความผิดไปมากมาย แต่ท่านมีจิตใจกว้างขวาง ใช้ความดีตอบโต้ความเลว ผู้แซ่เหลยต้องขออภัยต่อท่านด้วย!”
การโค้งคำนับของเหลยเจิ้นเยวี่ยนี้ ศีรษะแทบจะอยู่ระดับเดียวกับเข่าแล้ว นี่ถ้าไปอยู่ในสมัยโบราณ ก็คงไม่แตกต่างอะไรกับการคุกเข่าโขกศีรษะคำนับ ปกติจึงมีแต่คนรุ่นเยาว์ที่จะแสดงความเคารพอย่างสูงเช่นนี้ต่อผู้อาวุโส
หลังจากโค้งคำนับลงไปจนจรดพื้นแล้ว เหลยเจิ้นเยวี่ยก็ยังไม่ยืดกายขึ้นมา แต่จะรอให้เยี่ยเทียนตอบก่อน ราวกับว่าถ้าเยี่ยเทียนไม่ยอมรับคำขอโทษจากเขา เหลยเจิ้นเยวี่ยก็จะโค้งต่ำอยู่อย่างนั้นไม่เลิก
“แค่ก…แค่กๆ…”
พอเยี่ยเทียนจะอ้าปากพูด ใบหน้าก็แดงขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากไอหลายครั้งถึงตอบว่า “ผู้อาวุโสเหลย ผมนับถือการปฏิบัติตนของท่านจริงๆ แต่ลูกหลานในตระกูลน่ะก็ไม่ควรจะตามใจจนเกินควร ไม่อย่างนั้นไว้พอท่านอายุถึงหนึ่งร้อยปีไปแล้ว คนอื่นเขาอาจจะไม่เห็นแก่หน้าท่านแล้วก็ได้นะ!”
สามฝ่ามือที่ฟาดใส่ทรวงอกของเหลยเจิ้นเยวี่ยไปเมื่อครู่นั้น เยี่ยเทียนต้องแลกด้วยราคาที่สูงลิ่วเลยทีเดียว
สามฝ่ามือนี้แฝงไว้ด้วยพลังลมปราณเกือบครึ่งหนึ่งของเยี่ยเทียน ถ่ายเทเข้าสู่ร่างของเหลยเจิ้นเยวี่ยด้วยทักษะเฉพาะตัว กระแทกโลหิตคั่งในอกและช่องท้องของเขาออกมา
ถ้าไม่ใช่เพราะสามฝ่ามือของเยี่ยเทียนนี้ ต่อให้เมื่อครู่นี้เหลยเจิ้นเยวี่ยหยุดมือ โรคเก่าก็จะยังปะทุออกมาอยู่ดี และจะสะสมอยู่ภายในร่างกาย ไม่อาจขับออกมาได้ แม้ว่าอาจจะไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต แต่ก็อย่าหวังว่าจะรักษา วรยุทธของตัวเองไว้ได้เลย
เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เหลยเจิ้นเยวี่ยแสดงการขอโทษ และมองดูก้อนโลหิตสีแดงคล้ำบนพื้นอีกครั้ง บรรดาคนที่มุงดูอยู่ก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาแล้ว
ผู้สูงวัยอย่างเหลยเจิ้นเยวี่ยนี้ อาจจะสร้างบุญคุณไว้กับคนอื่นได้ แต่ตนเองจะไม่ยอมติดค้างน้ำใจของผู้อื่นเด็ดขาด แบบนั้นยังทรมานยิ่งกว่าคร่าชีวิตชราของเขาไปเสียอีก
ดังนั้นสามฝ่ามือของเยี่ยเทียนเมื่อครู่นี้ จึงไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อปลิดชีวิตของเหลยเจิ้นเยวี่ย แต่น่าจะเพื่อช่วยรักษาเขาต่างหาก ไม่เช่นนั้นด้วยนิสัยของเหลยเจิ้นเยวี่ยแล้ว หากเอาชนะไม่ได้ เขาก็คงจะยอมเอาชีวิตเข้าแลกกับเยี่ยเทียนแน่ๆ
“ท่านเยี่ย คำสั่งสอนของท่านเหล่าเหลยจะจำไว้!”
หลังจากได้ยินคำตอบของเยี่ยเทียน เหลยเจิ้นเยวี่ยก็ยืดกายยืนตรง แล้วก้าวไปถึงตรงหน้าเหลยหู่ ยื่นมือไปหิ้วตัวเขามาปล่อยลงตรงหน้าเยี่ยเทียน “คุกเข่าโขกหัวขอขมาท่านเยี่ยซะ!”
“พ่อ? นี่พ่อเป็นอะไรไปครับเนี่ย?”
แผลบนร่างของเหลยหู่ที่เพิ่งจะทำเสร็จไปกลับมีโลหิตซึมออกมาอีก เขามองบิดาด้วยสีหน้าตื่นกลัว ไม่รู้ว่าทำไมพ่อที่เคยรักเอ็นดูตนมาตลอดถึงได้ผิดจากยามปกติไปขนาดนี้
“บัดซบ ชีวิตของพ่อแกนี่ ท่านเยี่ยเป็นคนช่วยเก็บขึ้นมา แล้วแกยังไม่สมควรจะคุกเข่าคำนับอีกเรอะ?”
เหลยเจิ้นเยวี่ยถลึงตา ตบท้ายทอยเหลยหู่ไปหนึ่งที จนเขาล้มคุกเข่าโขกศีรษะลงไปตรงหน้าเยี่ยเทียน
เหลยหู่ตั้งแต่เด็กก็กลัวบิดาเป็นที่สุด เมื่อเห็นว่าบิดาเริ่มมีโทสะขึ้นมาจริงๆ พอคุกเข่าโขกศีรษะลงไปแล้วก็เลยไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาอีก ปากพูดออกมาว่า “ขอโทษครับท่านเยี่ย เหลยหู่ขอคุกเข่าขอขมาท่าน ณ ที่นี้ด้วย!”
“เหลยหู่ ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ฉันเห็นแก่ที่ตระกูลเหลยกับตระกูลซ่งคบหากันมาหลายสิบปีละก็ ถึงแกจะมีสักกี่ชีวิตก็ไม่พอหรอก”
เยี่ยเทียนรู้สึกได้ถึงความเคียดแค้นในใจของเหลยหู่ที่กำลังหมอบอยู่บนพื้น แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ แค่นหัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า “แกมันเห็นแก่ตัวเกินไป ไม่เหมาะสมที่จะอยู่ในตำหนักอาญาต่อไปอีก ถอนตัวออกจากสภาผู้อาวุโสไปใช้ชีวิตเกษียณซะเถอะนะ!”
“แก!”
พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดแบบนั้น เหลยหู่ก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างสุดจะอดกลั้น ดวงตาวาวโรจน์ด้วยเพลิงโทสะ ปีนี้เขาเพิ่งจะอายุได้สี่สิบกว่าปี กำลังเป็นช่วงอายุแห่งความเจริญก้าวหน้าของผู้ชาย เมื่อเยี่ยเทียนพูดแบบนี้ เขาก็คงไม่มีวันได้เชิดหน้าชูตาขึ้นมาอีกแล้ว
“แกๆ อะไรหา?”
เหลยเจิ้นเยวี่ยที่อยู่ข้างหลังตบศีรษะลูกชายไปอีกหนึ่งฝ่ามือ “นี่ท่านเยี่ยอุตส่าห์เหลือทางรอดให้แล้วแท้ๆ เอ็งยังไม่รู้จักสำนึกอีกเรอะ ซือคง…”
“ผมอยู่นี่ครับ” ซือคงหมิงรีบขานตอบ แต่ตัวกลับยืนห่างจากเหลยเจิ้นเยวี่ยไปเจ็ดแปดเมตร เพราะเขากลัวว่า เหลยเจิ้นเยวี่ยที่กำลังโมโหจัดจะชกเขาเข้าให้
“พรุ่งนี้ส่งมันกลับไปแคนาดาเลย ภายในสามปีนี้ก็ให้มันไปฝึกคัดลายมือควบคุมลมปราณ พอมันแก้สันดานจนดีขึ้นมาได้เมื่อไหร่ ก็ค่อยให้มันกลับมาเมื่อนั้นแหละ!”
“ลุงเหลย แต่…แต่หู่จื่อเขายังเป็นเจ้าตำหนักอาญาอยู่นะครับ?”
ซือคงหมิงนิ่งอึ้ง การที่เหลยหู่ปีนป่ายขึ้นมาที่ตำแหน่งนี้ได้ จริงอยู่ว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะอิทธิพลของเหลยเจิ้นเยวี่ย แต่เหลยหู่เองก็ได้ทุ่มเทลงแรงไปไม่น้อยเหมือนกัน
“เจ้าตำหนักบ้าบออะไร ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปมันก็ไม่ใช่อีกแล้วหละ”
เหลยเจิ้นเยวี่ยหันหลังไปพูดกับหลี่ซงชิวว่า “พี่รอง วันนี้แปดตำหนักในตำหนักนอกและทูตของสมาคมทุกท่านก็อยู่ที่นี่กันครบแล้ว เหลยหู่ทำร้ายพี่น้องร่วมสมาคม ฉันขอเสนอให้ปลดมันออกจากตำแหน่งเจ้าตำหนักอาญาซะ!”
“น้องสาม จะไม่พิจารณาดูอีกหน่อยหรือ?”
หลี่ซงชิวมองไปที่เหลยเจิ้นเยวี่ย เจ้าตำหนักอาญานั้นเป็นตำแหน่งที่สำคัญอย่างยิ่งในสมาคมหงเหมิน ถ้า เหลยหู่ออกจากตำแหน่งไป ก็จะต้องมีการอภิปรายวาระใหม่กันอีก ซึ่งหลี่ซงชิวยังไม่ได้เตรียมการใดๆ ไว้เลย
“ท่านเยี่ย ท่านเห็นว่าอย่างไรบ้าง?” หลี่ซงชิวมองไปทางเยี่ยเทียนอีก เขาอยากจะให้เยี่ยเทียนช่วยพูดปรามสักหน่อย แบบนั้นเหลยเจิ้นเยวี่ยก็จะได้มีทางลงด้วย
“ท่านประธานใหญ่หลี่ ผมก็รู้สึกว่าเหลยหู่ไม่ค่อยเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งปกครองตำหนักอาญาเหมือนกัน แต่นี่ก็เป็นแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนั่นแหละครับ”
เยี่ยเทียนเหยียดปาก ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าเหลยเจิ้นเยวี่ย วันนี้เหลยหู่ก็คงกลายเป็นศพไปนานแล้ว แล้วเขาจะไปช่วยพูดให้เหลยหู่ทำไมกัน?
“ไม่ต้องพิจารณาแล้ว ให้ทุกคนยกมือลงคะแนนตัดสินเถอะ!”
พอได้ยินคำตอบของเยี่ยเทียน เหลยเจิ้นเยวี่ยก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที ถึงจะเห็นเขานิสัยมุทะลุดุดันแบบนี้ แต่ที่จริงแล้วเหลยเจิ้นเยวี่ยจะเลอะเทอะแต่กับเรื่องเล็กๆ เท่านั้น ส่วนเรื่องใหญ่เขากลับเข้าใจได้ดียิ่งกว่าใคร
ก่อนหน้านี้เยี่ยเทียนบอกว่าจะไม่สืบสาวเอาความกับเขา แต่ไม่ได้บอกว่าจะละเว้นลูกชายของเขาด้วย มีแต่ต้องให้เหลยหู่หายหน้าไปให้พ้นสายตาเยี่ยเทียนเท่านั้น เขาถึงจะมีโอกาสรอดพ้นจากภัยครั้งนี้ไปได้
ในสมาคมหงเหมินนั้นหากจะมีการปลดผู้อาวุโสที่อยู่ในระดับเจ้าตำหนักออก ก็จะต้องเรียกเปิดประชุมใหญ่ในสมาคมก่อน จากนั้นก็ให้เจ้าตำหนักของตำหนักในและตำหนักนอกทั้งแปด และบรรดาผู้อาวุโสที่เป็นทูตจากสาขาต่างๆ ยกมือลงคะแนนเสียงเป็นการตัดสิน ซึ่งในวันนี้เงื่อนไขทุกอย่างก็ครบสมบูรณ์พอดี
“สมาคมหงเหมินจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นจริงๆ แล้วสิ!”
บรรดาผู้อาวุโสที่ล้อมดูอยู่ต่างก็รู้สึกว่าเรื่องในวันนี้ออกจะกระทันหันเกินไปหน่อย แต่เหลยเจิ้นเยวี่ยและ หลี่ซงชิวต่างก็อนุมัติแล้ว พวกเขาจึงได้แต่ยกมือลงคะแนนไปตามนั้น
เมื่อเห็นแต่ละคนยกมือขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน เหลยหู่ที่กำลังคุกเข่ากับพื้นก็หน้าซีดไปทันที
ตอนนี้เขาเพิ่งจะรู้ว่า ที่แท้ความสัมพันธ์ของเขากับคนอื่นๆ ในสมาคมหงเหมินก็ไม่ได้ดีอย่างที่คาดคิดไว้เลย ที่ทุกคนไว้หน้าเขา ก็คงเป็นเพราะเห็นแก่หน้าบิดาของเขามากกว่า
หลังจากทุกคนลงคะแนนตัดสินแล้ว ตำแหน่งเจ้าตำหนักของเหลยหู่นี้ก็ถือว่าถูกถอดถอนไปแล้วโดยปริยาย เหลยเจิ้นเยวี่ยประสานมือคารวะต่อคนทั้งหลายแล้วกล่าวว่า “เหล่าเหลยสูงวัยร่างกายชราภาพ จึงไม่ขอแบกรับหน้าที่ของรองประธานสมาคมนี้อีกต่อไปแล้ว ตู้เฟย ตำแหน่งของฉันให้แกมาเป็นแทนก็แล้วกันนะ!”
หลังจากที่เรื่องในวันนี้เกิดขึ้น คนในสมาคมหงเหมินก็คงจะรู้เรื่องที่พ่อลูกตระกูลเหลยวางอุบายใส่ซ่งเวยหลันกันหมด เหลยเจิ้นเยวี่ยแกร่งกร้าวมาทั้งชีวิต ในวัยชราจึงไม่อยากอยู่ในสมาคมหงเหมินให้คนมาชี้นิ้ววิพากษ์วิจารณ์
“ลุงเหลย แบบนี้…แบบนี้มันไม่เหมาะมั้งครับ?”
พอได้ยินที่เหลยเจิ้นเยวี่ยพูด ตู้เฟยก็ตะลึงไปเลย หลังจากที่เขาได้ปรึกษากับเยี่ยเทียนแล้ว ในใจก็เกิดความคิดที่จะเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเหมือนกัน แต่เขาไม่เคยคิดที่จะปีนป่ายโดยการเหยียบบ่าของเหลยเจิ้นเยวี่ยขึ้นไปเลย
“ไม่เหมาะตรงไหนเล่า แกน่ะจิตใจกว้างขวางกว่าหู่จื่อ พี่รองก็แก่แล้ว อนาคตของสมาคมหงเหมินคงต้องฝากแกแล้วละนะ!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยฝากฝังอย่างสะเทือนใจ เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจเกือบทั้งชีวิตไปเพื่อสมาคมหงเหมิน แม้ว่าตัวเองกำลังจะไปจากสมาคมหงเหมินแล้ว แต่ก็ไม่อยากเห็นสมาคมหงเหมินตกต่ำลงไปหลังจากวันนี้
“ผู้อาวุโสเหลยอยู่ต่อเถอะครับ!”
“นั่นน่ะสิ ผู้อาวุโสเหลยจะทิ้งสมาคมหงเหมินไปไม่ได้นะครับ!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยถึงจะนิสัยมุทะลุดุดัน แต่ก็ไม่เคยเห็นแก่ตัวเลย ที่ผ่านมาจึงเป็นที่เคารพนับถือของคนในสมาคมหงเหมินมาตลอด เมื่อได้ยินว่าเขาจะลาออกจากตำแหน่งรองประธานสมาคม เหล่าผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์จึงพากันเหนี่ยวรั้งเขาไว้เสียงดังระงม
“ท่านทั้งหลาย ผู้แซ่เหลยทำเรื่องน่าละอาย ไม่มีหน้าจะอยู่ในสมาคมต่อไปแล้วจริงๆ วันหน้าหากทุกท่านยังจำผู้แซ่เหลยได้อยู่ เวลาเดินทางไปแคนาดาก็แวะไปเยี่ยมตาเฒ่าคนนี้บ้าง เท่านี้ก็พอแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องในสมาคมท่านไหน ผู้แซ่เหลยก็จะต้อนรับเป็นอย่างดีแน่นอน!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยประสานมือคารวะไปรอบทิศ “วาจาไม่อาจบรรยายมิตรไมตรีได้หมดสิ้น อีกไม่กี่วันผู้แซ่เหลยจะล้างมือในอ่างทองคำ หวังว่าท่านเยี่ยและท่านทั้งหลายจะมาร่วมพิธีด้วยนะ!”
การล้างมือในอ่างทองคำนี้เป็นพิธีการอย่างหนึ่งที่คนในยุทธภพจะทำกันเมื่อต้องการถอนตัวไปเร้นกายอยู่อย่างสงบ โดยผู้ล้างมือจะจุ่มมือทั้งสองข้างลงไปในอ่างทองคำที่ใส่น้ำใสสะอาดไว้จนเต็ม สาบานว่าตั้งแต่บัดนี้จะไม่ปล่อยหมัดกวัดแกว่งกระบี่อีกต่อไป และจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับข้อบาดหมางหรือบุญคุณความแค้นต่างๆ ในยุทธจักรอีกเลย
โดยปกติหลังจากทำพิธีล้างมือในอ่างทองคำแล้ว ก็เท่ากับเป็นการยุติความแค้นต่างๆ ในยุทธภพ ถึงจะยังมีศัตรูอยู่ ฝ่ายศัตรูก็ห้ามไปล้างแค้นกับผู้ล้างมืออีก ไม่เช่นนั้นจะถูกผู้คนในยุทธภพโจมตีต่อต้าน
เหลยเจิ้นเยวี่ยก็นับว่าเป็นคนที่รู้จักปล่อยวางเมื่อถึงเวลาสมควร ภายในเวลาสั้นๆ ก็สามารถตัดสินใจได้แบบนี้แล้ว น้ำใจและความเด็ดขาดระดับนี้สมแล้วที่เป็นยอดผู้กล้าแห่งยุคของสมาคมหงเหมิน
“ได้ครับ ผมต้องไปแน่นอน” เยี่ยเทียนพยักหน้า “ผู้อาวุโสเหลยกลับไปพักฟื้นสักสามปี โรคเก่าจากวัยหนุ่มก็จะถูกขจัดไปจนหมดแล้ว เรื่องทางนี้ก็ไม่ต้องเป็นกังวลหรอกนะครับ”
หลังจากพลังฝีมือเข้าสู่ขั้นสูงสุด ร่างกายจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ระบบต่างๆ ในร่างกายที่เสื่อมไปตามวัยจะมีพลังขึ้นมาใหม่ เซลล์ต่างๆ ก็จะเสื่อมช้าลง นี่จึงเป็นสาเหตุที่หลี่ซั่นหยวนมีอายุยืนยาวถึงหนึ่งร้อยปี
เหลยเจิ้นเยวี่ยในวัยหนุ่มได้รับบาดเจ็บมามากเกินไป กระบวนการนี้จึงต้องใช้เวลานานถึงสามปี แต่การที่ใช้เวลาสามปีแล้วได้อายุขัยเพิ่มมาถึงสิบยี่สิบปีนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
ตอนที่ 611 ล้างมือในอ่างทองคำ (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ท่านทั้งหลาย ผู้แซ่เหลยขอนำหน้าไปก่อน อีกสามวันให้หลัง ขอเรียนเชิญทุกท่านให้เกียรติไปร่วมงานด้วย!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยเป็นคนทำอะไรเด็ดขาดตรงไปตรงมา เขาประสานมือคารวะไปรอบทิศ แล้วหิ้วตัวลูกชายที่กำลังช็อกขึ้นมาจากพื้น หันหลังสาวเท้าออกไปข้างนอกทันที
แม้ว่าร่างกายนั้นจะยังคงสูงใหญ่ บ่าไหล่ก็ยังคงกำยำล่ำสัน แต่ผู้อื่นเห็นแล้วกลับรู้สึกเหมือนดั่งวีรบุรุษที่ตกยุคร่วงโรยไป ผู้สูงวัยหลายคนที่สมัยหนุ่มเคยติดตามเหลยเจิ้นเยวี่ยไปสร้างอาณาเขตถึงขั้นหลั่งน้ำตาอย่างเงียบงัน จนสายตาพร่ามัวไปด้วยน้ำตา
“ท่านเยี่ย ทีนี้คงจะสมใจท่านแล้วสินะ?” หลังจากเหลยเจิ้นเยวี่ยจากไปแล้ว เจ้าตำหนักคุ้มกฎ ซือคงหมิงก็ มองไปที่เยี่ยเทียนด้วยท่าทางไม่เป็นมิตร
“อ้าว? ทำไมพูดแบบนี้ล่ะครับ?”
เยี่ยเทียนขมวดคิ้วน้อยๆ เขาเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่า เหลยเจิ้นเยวี่ยจะเป็นที่ยกย่องในสมาคมหงเหมินมากขนาดนี้ จนถึงขั้นทำให้คนเหล่านี้เกิดอคติต่อเขาขึ้นมา
ซือคงหมิงได้รับการเลี้ยงดูจากเหลยเจิ้นเยวี่ยจนเติบใหญ่ ยามนี้ในใจจึงเต็มไปด้วยความคับแค้น และพูดโพล่งออกมาว่า “ไล่ลุงเหลยไปสำเร็จแล้ว ท่านเยี่ยนี่บีบคั้นข่มขู่คนอื่นเก่งจริงๆ นะ!”
“ซือคง ห้ามพูดจาไร้สาระ เหล่าเหลยทำความผิดจริง สมาคมหงเหมินเราจะไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดีไม่ได้!”
เมื่อครู่นี้หลี่ซงชิวซักถามตู้เฟยเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดแล้ว จึงรู้ว่าเหลยเจิ้นเยวี่ยและลูกชายทำผิดทำนองคลองธรรม และเป็นฝ่ายละเมิดกฎเกณฑ์ก่อนจริงๆ
ถ้าเยี่ยเทียนไม่ได้มีเส้นสายในสมาคมหงเหมินถึงระดับนี้ แล้วใช้วิธีของตัวเองบุกพิฆาตอีกฝ่ายโดยตรง เหลยเจิ้นเยวี่ยก็อาจจะไม่ได้มีจุดจบที่ดีก็ได้ การที่ผลสุดท้ายเป็นอย่างในตอนนี้ ก็นับว่าเป็นโชคดีในคราวเคราะห์อยู่แล้ว
“ลุงเหลยเขาทำอะไรผิดล่ะครับ?!”
ซือคงหมิงขึ้นเสียง ที่จริงเขาก็รู้เรื่องที่เหลยเจิ้นเยวี่ยวางอุบายฮุบสมบัติของซ่งเวยหลันอยู่เหมือนกัน แต่ ซ่งเวยหลันไม่ใช่คนในสมาคมหงเหมิน และตอนนั้นเยี่ยเทียนก็ยังไม่ได้เข้าร่วมกับสมาคม ไหนใครบอกว่าผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิดไม่ใช่หรือ
“เหล่าเหลยวางอุบายยึดทรัพย์สินตระกูลซ่ง เตรียมการให้เหลยหู่…”
“ท่านประธานใหญ่ครับ เรื่องนี้เราอย่าพูดถึงกันอีกเลย ผู้อาวุโสเหลยตัดสินใจจะล้างมือในอ่างทองคำแล้ว ปล่อยให้เรื่องจบลงตรงนี้เถอะครับ!” หลี่ซงชิวพูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกเยี่ยเทียนยกมือขึ้นขัดเสียก่อน
เยี่ยเทียนเข้าร่วมสมาคมหงเหมินเพียงเพื่อจะคลี่คลายวิกฤตที่มารดาต้องเผชิญ ไม่ได้อยากจะก้าวหน้าในสมาคมหงเหมินเลย สมาชิกสมาคมหงเหมินเหล่านี้จะคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเขา เยี่ยเทียนก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว
ทว่าแม้เยี่ยเทียนจะหยุดยั้งไว้ได้ทันท่วงที แต่ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ยังจับใจความได้อยู่ดีว่า เหลยเจิ้นเยวี่ยน่าจะเป็นฝ่ายผิดก่อน เยี่ยเทียนถึงได้ขัดแย้งกับเขา
และจากเหตุการณ์ในวันนี้ เหลยหู่ก็เป็นฝ่ายยั่วยุเยี่ยเทียนตลอดเวลา ทุกคนต่างก็เห็นกับตาตัวเองแล้ว ความเกลียดชังต่อเยี่ยเทียนที่อยู่ในใจจึงลดลงไปกว่าครึ่ง
“ท่านเยี่ยช่างจิตใจกว้างขวาง ยอมให้เหล่าเหลยได้เหลือเกียรติบ้าง ผมขอขอบคุณท่านแทนเหล่าเหลยด้วย!”
หลี่ซงชิวประสานมือคารวะต่อเยี่ยเทียนอย่างซาบซึ้ง จากนั้นก็กล่าวต่อคนทั้งหลายว่า “ท่านทั้งหลาย เหลยหู่ถูกปลดจากตำแหน่งเจ้าตำหนักอาญา เหลยเจิ้นเยวี่ยก็ลาออกจากตำแหน่งรองประธานสมาคมแล้ว ไว้พอกลับมาจากงานเลี้ยงอาหารกัน ผมก็จะเสนอให้เราเปิดประชุมใหญ่ในสมาคมหงเหมินเลย!”
การออกจากตำแหน่งของพ่อลูกตระกูลเหลยนี้ จะต้องส่งผลกระทบต่ออำนาจของสมาคมหงเหมินที่เคยมีมาแต่เดิมอย่างใหญ่หลวงแน่นอน ถ้าจัดการไม่ดีแม้เพียงจุดเดียว ก็จะมีโอกาสสูงที่จะเกิดการปะทะกันระหว่างผู้ร่วมสมาคม
ดังนั้นหลี่ซงชิวจึงคิดจะตีเหล็กเสียตั้งแต่ขณะที่ยังร้อนอยู่ ไม่ปล่อยให้ผู้อาวุโสเหล่านี้มีเวลาไปตั้งเครือข่ายเกาะกลุ่มกันเองได้ โดยมอบหมายกิจการต่างๆ ในสมาคมให้เรียบร้อย เป็นการลงดาบตัดปมปัญหาในทันที
อุปสรรคที่ซ่งเวยหลันประสบในสมาคมหงเหมินก็ถือว่าได้คลี่คลายไปแล้ว และเยี่ยเทียนก็ไม่ได้อยากจะเข้าไปแทรกแซงกิจการต่างๆ ของสมาคมหงเหมินเลย ยามนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านประธานใหญ่ครับ ผมเริ่มจะรู้สึกเพลียแล้ว งานเลี้ยงครั้งนี้คงไม่ได้ไปร่วมแล้วนะครับ ไว้วันหลังค่อยเลี้ยงสุราไถ่โทษพี่น้องทุกท่านก็แล้วกัน!”
“ท่านเยี่ยไม่ต้องเกรงใจ ไปดีๆ นะ!”
“ท่านเยี่ยกลับดีๆ นะ วันหลังค่อยมาเมาด้วยกัน!”
“ท่านเยี่ยครับ ถ้าเย็นนี้พอมีเวลาว่าง กระผมผู้แซ่หูก็อยากจะขอไปเยี่ยมสักหน่อย!”
พอเยี่ยเทียนเอ่ยปากว่าจะไปแล้ว ในลานประชุมนั้นก็เกิดเสียงดังจอแจขึ้นมาทันที
ยามนี้คนทั้งหลายเพิ่งจะตระหนักว่า เยี่ยเทียนเป็นถึงผู้อาวุโสรุ่น ‘ใหญ่’ เพียงคนเดียวในสมาคมหงเหมิน ต่อให้เยี่ยเทียนไม่ทวงสิทธิ์ เก้าอี้ผู้บริหารของสมาคมหงเหมินก็ต้องมีตัวหนึ่งเป็นของเขาแน่นอนอยู่แล้ว
คนเราเวลาอยู่ในแวดวงสังคม ก็ต้องให้ความสำคัญกับหน้าตากันอยู่แล้ว ผู้อาวุโสเหล่านี้มีอิทธิพลอยู่ก็จริง แต่ยังขาดอยู่เพียงอย่างเดียวคือลำดับรุ่น ถ้าได้กราบเยี่ยเทียนเป็นอาจารย์ พวกที่เวลาปกติเรียกพี่เรียกน้องกันนั้น พอมาเจอหน้ากันทีนี้ก็จะต้องเรียกว่าท่านแล้ว แบบนั้นจะดูโอ่อ่าขนาดไหนกัน?
เมื่อเกี่ยวโยงไปถึงประเด็นนี้ บุญคุณความแค้นของตระกูลเหลยจึงกลายเป็นเรื่องไม่สำคัญไปเลย คนทั้งหลายพากันเข้าไปห้อมล้อมตีสนิทกับเยี่ยเทียน จนเยี่ยเทียนต้องเสียเวลาไปถึงเจ็ดแปดนาทีกว่าจะเดินจากโถงพิธีไปถึงที่ประตูได้
หลังจากกลับไปถึงเรือนของของตู้เฟย เยี่ยเทียนก็หัวเราะแห้งๆ พลางส่ายหน้า เห็นทีเขาคงจะเหมาะกับการอยู่อย่างสันโดษมากกว่า พวกสมาคมกลุ่มแก๊งนี่มันซับซ้อนเกินไป ไม่ใช่ที่ที่เขาจะเข้าไปเล่นได้ง่ายๆ เลย
เขานั่งโคจรลมปราณอยู่ในห้องไปตลอดช่วงบ่าย จนกระทั่งประมาณห้าหกโมงเย็น ตู้เฟยถึงเพิ่งจะรีบร้อนกลับมาอย่างตื่นเต้นรื่นเริงใจ เขาดื่มจนหน้าแดงไปถึงหู พอเข้าบ้านมาก็ดื่มน้ำเย็นแก้วใหญ่ไปหลายแก้วติดๆ กัน
เยี่ยเทียนออกมาจากห้องด้านใน เมื่อเห็นตู้เฟยอยู่ในสภาพนี้ก็หัวเราะและพูดหยอกว่า “เป็นไงล่ะครับ? ตำแหน่งผู้นำของสมาคมหงเหมินกลายเป็นของคุณแต่เพียงผู้เดียวแล้วสินะ?”
จะว่าไปแล้ววันนี้ตู้เฟยก็น่าจะปลาบปลื้มใจอยู่หรอก ขนาดคนตาบอดยังดูออกเลยว่าหลี่ซงชิวให้ความสำคัญกับเขามาก และตัวเขาเองก็ได้นั่งเก้าอี้ผู้บริหารตำแหน่งที่สามของสมาคมหงเหมินไปแล้ว ตำแหน่งประธานสมาคมสมัยถัดไปนี้เขาก็มีโอกาสได้ถึงแปดสิบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว
ดังนั้นในงานเลี้ยงช่วงบ่ายวันนี้ ตู้เฟยจึงกลายเป็นเป้าหมายที่คนทั้งหลายจ้องจะมาคารวะสุราด้วย ถึงพลังฝีมือของเขาจะไม่เลวเลย แต่เพราะกรอกเหล้าขาวลงท้องไปสิบกว่าชั่ง ตอนนี้เขาก็เลยรู้สึกมึนเมาอยู่เหมือนกัน
“ท่านเยี่ย ยังพูดแบบนั้นไม่ได้นะครับ ในสมาคมหงเหมินมีคนที่คุณสมบัติสูงกว่าผมตู้เฟยอีกตั้งเยอะแยะไป”
พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดแบบนั้น ตู้เฟยก็สร่างเมาไปครึ่งหนึ่งทันที ยิ้มพลางพูดต่อไปว่า “ท่านเยี่ยอายุยังน้อย แต่ก็มีลำดับอาวุโสสูงขนาดนี้แล้ว ถ้าท่านอยากจะขึ้นนั่งตำแหน่งนี้ละก็ คงง่ายยิ่งกว่าผมเยอะเลย”
“คุณนี่ก็พูดเรื่องไม่จริงได้หน้าตาเฉยเลยนะ…”
เยี่ยเทียนได้ยินอย่างนั้นก็ทำปากคว่ำ แล้วพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “วันนี้ผมล่วงเกินคนในสมาคมหงเหมินไปจนจะเป็นครึ่งสมาคมแล้ว สงสัยว่าคนพวกนั้นคงไม่อยากให้ผมไปที่สมาคมหงเหมินอีกเลยตลอดกาลเสียละมากกว่า”
ตู้เฟยหัวเราะ “ใช่ที่ไหนกันล่ะครับท่านเยี่ย การประชุมใหญ่ของสมาคมหงเหมินในวันพรุ่งนี้ท่านก็ต้องไปเข้าร่วมด้วยนะ!”
“เข้าร่วมการประชุมใหญ่ของสมาคมหงเหมิน? ไม่ละครับ…”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า “ผมไม่อยากไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้หรอก หลังจากร่วมพิธีล้างมือในอ่างทองคำของเหล่าเหลยเสร็จแล้ว ผมก็ยังมีธุระต้องไปทำอีก พรุ่งนี้ฝากคุณแจ้งท่านประธานหลี่ด้วยก็แล้วกัน ว่าคราวนี้ผมจะไม่เข้าร่วมแล้วละนะ!”
เยี่ยเทียนเดินทางมาสหรัฐอเมริกาครั้งนี้โดยมีจุดประสงค์สองข้อ ข้อแรกคือเพื่อคลี่คลายวิกฤตที่มารดากำลังประสบกับสมาคมหงเหมิน ส่วนข้อที่สองก็คือเพื่อร่วมงานมวยใต้ดินโลกนั่นเอง
โดยเฉพาะหลังจากที่คราวนี้ได้พบกับเหลยเจิ้นเยวี่ยด้วยแล้ว เยี่ยเทียนจึงยิ่งรู้สึกตั้งตารอมากขึ้นกว่าเดิมอีก ในต่างแดนนี่ช่างเป็นสถานที่เสือซ่อนมังกรหลับโดยแท้ แค่เฉพาะในสมาคมหงเหมินที่เดียวก็มียอดฝีมือที่มีพลังฝีมือถึงระดับสูงสุดเร้นกายอยู่คนหนึ่งแล้ว ในงานมวยใต้ดินนั่นจะได้เจอกับคนแบบไหนอีกบ้างก็ไม่รู้
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนั้นแล้ว ตู้เฟยแม้ในใจจะรู้สึกผิดหวังอยู่ แต่ก็ไม่กล้าเกลี้ยกล่อมอีก พูดคุยกับเยี่ยเทียนอีกไม่กี่คำแล้วก็ไปพักผ่อนเลย เพราะการประชุมของสมาคมหงเหมินในวันพรุ่งนี้มีความเกี่ยวข้องกับเขาอย่างมาก
การประชุมใหญ่ของสมาคมหงเหมินครั้งนี้ใช้เวลานานกว่าที่เยี่ยเทียนคำนวณไว้มาก ประชุมกันไปสองวันเต็มๆ ถึงเพิ่งจะได้ข้อสรุปออกมา สมาคมหงเหมินเกิดการเปลี่ยนชุดคณะผู้บริหารครั้งใหญ่ โดยมีเหลยเจิ้นเยวี่ยและหลี่ซงชิวเป็นผู้ดำเนินการประชุม
ไม่ใช่เพียงแต่เหลยเจิ้นเยวี่ยเท่านั้นที่ขอสละตำแหน่งรองประธานสมาคม แม้แต่หลี่ซงชิวเองก็ประกาศสละตำแหน่งผู้นำของสมาคมหงเหมินอย่างเป็นทางการด้วย
เมื่อเหลยเจิ้นเยวี่ยและหลี่ซงชิวช่วยสนับสนุนอย่างเต็มที่ ตู้เฟยผู้ซึ่งปกติไม่ได้มีอะไรโดดเด่นสะดุดตา ก็กลับขึ้นดำรงแหน่งได้สำเร็จ กลายเป็นผู้นำคนใหม่ของสมาคมหงเหมินในที่สุด
ภาษิตว่า เมื่อเปลี่ยนรัชสมัย ขุนนางย่อมเปลี่ยนคนเช่นกัน หลังจากหลี่ซงชิวและเหลยเจิ้นเยวี่ยสละตำแหน่งไปแล้ว คนอื่นๆ อย่างเจ้าตำหนักคุ้มกฎ ซือคงหมิง ก็ทยอยกันถอนตัวออกจาก ตำหนักในตำหนักนอกทั้งแปด เปลี่ยนให้สมาชิกในสมาคมหงเหมินที่ใกล้ชิดกับตู้เฟยรับตำแหน่งไปแทน
สมาคมหงเหมินเกิดการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ราวกับคว่ำฟ้าพลิกดินภายในเวลาเพียงสองวัน การสละตำแหน่งของพวกหลี่ซงชิวและเหลยเจิ้นเยวี่ยนั้นแสดงถึงการจากไปของคนรุ่นก่อน และสมาคมหงเหมินก็จะเริ่มเข้าสู่พัฒนาการในยุคสมัยถัดไป
“เหล่าหลัว ทำไมคุณเป็นคนมาแทนล่ะ?”
หลายวันมานี้ตู้เฟยยุ่งมากจนไม่มีช่วงเว้นว่างเลย จึงไม่ได้กลับมาสองวันติดๆ กันแล้ว เมื่อถึงเช้าวันที่สาม ก็กลับกลายเป็นหลัวจื้อปิ่งมารับเยี่ยเทียนแทน
“ท่านเยี่ย ท่านเหลยไม่ได้อยู่ที่สมาคม ผมเลยมารับท่านไปที่บ้านของท่านเหลยน่ะครับ”
หลัวจื้อปิ่งสนิทกับตู้เฟยเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว คราวนี้จึงได้เข้าไปอยู่ในแปดตำหนักในด้วย แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียน เขาก็พยายามเก็บอาการปลาบปลื้มไว้อย่างมิดชิด
เหลยเจิ้นเยวี่ยยกที่พักของตัวเองในสมาคมหงเหมินให้ลูกชายอยู่ ส่วนเขาก็ไปอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังหนึ่งที่ชานเมือง ที่นั่นอากาศสดชื่น เนื้อที่กว้างขวาง เหมาะสมแก่การฝึกวรยุทธฟื้นฟูร่างกายของเหลยเจิ้นเยวี่ยอย่างยิ่ง
“เอ๊ะ? คนพวกนี้เป็นใครกันเนี่ย?”
หลังจากขึ้นไปนั่งบนรถของหลัวจื้อปิ่งแล้ว เยี่ยเทียนก็สังเกตเห็นว่า ในย่านไชน่าทาวน์นั้นมีดวงตาของชาวต่างชาติอย่างน้อยๆ ยี่สิบคู่กำลังจับจ้องมายังรถคันที่เขานั่งอยู่
และหลังจากที่รถยนต์ขับเคลื่อนออกจากย่านไชน่าทาวน์ ก็มีรถตำรวจยี่ห้อฟอร์ดสองคันขับตามหลังมาทันที โดยที่ไม่ได้พยายามจะใช้ลูกเล่นกลบเกลื่อนอย่างที่พวกนักสะกดรอยควรจะทำกันเลยสักนิด ขาดก็แต่ยังไม่ได้เปิดเสียงไซเรนด้วยเท่านั้นเอง
“ไม่ต้องสนใจพวกนั้นหรอกครับท่านเยี่ย ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นพลเมืองดีที่เคารพกฎหมาย นี่พวกตำรวจคงกำลังตามอารักขาพวกเราอยู่น่ะ”
หลัวจื้อปิ่งหันหน้าไปมองรถตำรวจที่อยู่ข้างหลังแวบหนึ่งแล้วอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ในสหรัฐอเมริกานี้ คนเชื้อสายจีนที่ไร้อำนาจอิทธิพลมักจะถูกรังแกอยู่บ่อยๆ จริง
แต่เมื่อใดที่คนจีนสามารถแผ่อิทธิพลควบคุมเมืองหรือรัฐหนึ่งๆ ได้แล้ว พวกที่ได้ชื่อว่าเป็นตำรวจและหน่วยงานที่มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเหล่านั้น ก็จะเริ่มคุ้มครองประชาชนผู้ชำระภาษีอย่างพวกเขาด้วยความขยันขันแข็งขึ้นมาเป็นพิเศษ
และก็เป็นไปอย่างที่พูด ตลอดทางรถตำรวจสองคันนั้นดูเหมือนจะกำลังรักษาความปลอดภัยให้พวกเยี่ยเทียนอยู่จริงๆ และตามส่งพวกเขาไปจนถึงคฤหาสน์ที่ชานเมือง แต่แน่นอนว่า พวกนั้นก็ได้แต่รออยู่นอกคฤหาสน์เช่นเดียวกับพวกตำรวจด้วยกันที่มาถึงก่อนหน้านี้
ส่วนจะเกิดอะไรขึ้นภายในคฤหาสน์บ้างนั้น พวกตำรวจก็ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย เพราะตามกฎหมายของอเมริกานั้น การละเมิดสิทธิและทรัพย์สินส่วนบุคคลเป็นเรื่องใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาจึงไม่มีสิทธิ์เข้าไปข้างใน
“ท่านเยี่ยมาแล้วหรือครับ?”
“ท่านเยี่ย ท่านนี่พบตัวยากจริงๆ เลยนะ วันนี้จะต้องดื่มกับท่านให้ได้เลย”
ทันทีที่เยี่ยเทียนและหลัวจื้อปิ่งลงจากรถ คนกลุ่มหนึ่งก็มุงล้อมเข้ามา ในใจคนเหล่านี้รู้ดีว่า การที่ตู้เฟยได้ขึ้นตำแหน่งนั้นจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับเยี่ยเทียนอย่างแน่นอน นี่เขาเรียกว่าผู้สูงศักดิ์เลยเชียวนา
“ไม่มีปัญหา วันนี้ผมจะดื่มกับทุกท่านให้เมากันไปเลย”
เยี่ยเทียนหัวเราะฮ่าๆ พลางมองไปรอบๆ ในขณะนั้นเองรถเบนซ์สีดำรุ่นกันกระสุนคันหนึ่งก็ขับเคลื่อนเข้ามาจอดข้างๆ เยี่ยเทียนอย่างเงียบเชียบ
“แม่ แม่ก็มาด้วยหรือครับ?” เมื่อเห็นซ่งเวยหลันลงมาจากรถ เยี่ยเทียนก็รีบขอตัวผละจากกลุ่มคนเหล่านั้นแล้วเข้าไปหาแม่
“ก็ลูกบีบลุงเหลยจนต้องล้างมือในอ่างทองคำ คุณตาท่านกำลังโมโหกระฟัดกระเฟียดอยู่ที่บ้านโน่นแน่ะ แล้วแม่จะไม่มาได้รึ?”
เมื่อเห็นลูกชายปลอดภัยดี รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซ่งเวยหลัน
คุณตาที่เธอพูดถึงนั้นก็คือซ่งเฮ่าเทียนที่อยู่ที่เมืองหลวงนั่นเอง แม้จะอยู่ห่างไกลเป็นหมื่นลี้ แต่เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสมาคมหงเหมินก็ไปถึงหูของซ่งเฮ่าเทียนแทบจะในเวลาเดียวกันกับตอนที่เกิดเรื่องขึ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น