ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 604-610

 ตอนที่ 604 รางวัล

โดย

Ink Stone_Fantasy

“พวกเราไปกันเถอะ!” พอหญิงสาวชุดขาวจากยอดเขาเลื่อนลอยเห็นว่าคนยอดเขากระบี่สวรรค์ไปกันหมดแล้ว นางก็พูดกับเจียหลานและศิษย์หญิงคนอื่นๆ ในทันที จากนั้นก็กลายเป็นแสงหลบหลีกจำนวนมากพุ่งออกไปจากสถานที่แห่งนี้


……


หลังจากเสียงระฆังดังติดต่อกันสามสิบหกครั้งแล้ว เจดีย์ซวีหลิงก็กลับสู่ภาวะสงบอีกครั้ง


…….


“เสียงระฆังดังสามสิบหกครั้ง มีศิษย์สายนอกฝ่าด่านเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหกสำเร็จแล้ว!”


ภายในสาขาห่านฟ้า เจียงจ้งกำลังหารืออะไรบางอย่างกับเหลียงจ้านเกออยู่ พอได้ยินเสียงระฆังดังเข้ามา สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป และกล่าวด้วยความประหลาดใจ


“ดูท่าคงจะเป็นเช่นนี้จริงๆ ไม่รู้ว่าเป็นศิษย์สาขาใดกันแน่?” เหลียงจ้านเกอลุกขึ้นกล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ


“รีบไปสืบดูหน่อยเถิด!” เจียงจ้งเผยแววตาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็สั่งออกไป แต่ในใจอดคิดถึงหลิ่วหมิงไม่ได้


……


ศาลาแห่งหนึ่งในสาขาวายุทะยานฟ้า มีผู้อาวุโสคิ้วเหลืองกำลังถือถ้วยชาอยู่ และมองไปทางเจดีย์ซวีหลิงด้วยสีหน้าครุ่นคิด


ขณะนั้นเอง มีฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้น และศิษย์ผู้หนึ่งก็บุกเข้ามา


“รายงานหัวหน้าสาขา เมื่อครู่เพิ่งได้รับข่าวมาว่ามีศิษย์สายนอกฝ่าด่านเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหกได้แล้ว”


“เจ้าคิดว่าข้าหูหนวกหรืออย่างไร ถึงไม่ได้ยินเสียงระฆังดังเช่นนี้ รีบไปสืบดูว่าเป็นใครแล้วค่อยมารายงานข้า” ผู้อาวุโสคิ้วเหลืองวางถ้วยชาลงแล้วกล่าวอย่างราบเรียบ


ศิษย์ผู้นี้ตกปากรับคำแล้วรีบเดินออกไปทันที


เหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกัน เกิดขึ้นในสาขาใหญ่ทั้งแปด……


……


บนยอดเขาเมฆาหยก ใต้ต้นสนโบราณต้นหนึ่ง ทารกเฮ่าเยวี่ยจ้องมองไปทางเจดีย์ซวีหลิงด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น ชุดคลุมสีเทาบนตัวโบกสะบัดตามแรงลม


เมื่อเทียบกับหัวหน้าสาขาต่างๆ เขารู้แล้วว่าผู้ที่บุกเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหกเป็นใคร


“คิดไม่ถึงว่าเวลาแค่ไม่กี่ปี เจ้าเด็กนี่ก็มีพลังระดับนี้แล้ว ตัวคนเดียวก็สามารถโจมตีปีศาจอสูรที่พอจะเทียบเท่ากับระดับแก่นเสมือนได้ ดูเหมือนว่าการประลองใหญ่เมื่อเจ็ดปีก่อน พลังของเขาจะยังไม่ถึงระดับนี้ เจ้าเด็กนี่มีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณจริงๆ หรือ? หรือว่ามีร่างจิตวิญญาณแอบแฝงอยู่ ถึงได้ฝึกฝนได้รวดเร็วเช่นนี้” ทารกเฮ่าเยวี่ยเริ่มสงสัยว่าการทดสอบของตนเองในตอนนั้นมีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า และรู้สึกเสียใจเล็กน้อย


ถ้ารู้อย่างนี้ตั้งแต่แรก หลังการประลองใหญ่ในปีนั้น เขาควรยืนกรานรับหลิ่วหมิงเข้ายอดเขาเมฆาหยก แม้ว่าศิษย์พี่ที่เป็นผู้อาวุโสยอดเขาจะคัดค้าน ผลลัพธ์ก็คงจะดีกว่านี้


แต่ตอนนี้มันสายไปเสียแล้ว หลังจากหลิ่วหมิงผ่านการทดสอบของเจดีย์ซวีหลิง ก็หมายความว่าสามารถเข้าร่วมยอดเขาได้ตามต้องการ และยอดเขาเมฆาหยกก็ไม่มีโอกาสนั้นเลยแม้แต่น้อย


……


ในขณะเดียวกัน ภายในห้องโถงบนเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหก


แสงสีม่วงม้วนตัวขึ้นมาจากพื้นบริเวณนั้นภายในพริบตา และหล่นลงตรงหน้าหลิ่วหมิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่


พอลำแสงดับลง แผ่นหยกสีม่วงจางๆ ก็ปรากฏออกมา


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ปล่อยจิตออกไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ทันใดนั้น เขาก็หยิบป้ายประจำตัวบนเอวมาโบกไปทางแผ่นหยกด้วยตาที่เป็นประกาย


จากคำแนะนำบนแผ่นหยก หากจะท้าสู้ต่อก็รออีกสิบอึดใจ แต่หากจะหยุดเพียงนี้ ก็ให้กระตุ้นชั้นจำกัดบนป้ายประจำตัว และจะถูกส่งออกไปด้านนอกเอง


ดูเหมือนว่าพลังเวทของหลิ่วหมิงในตอนนี้ จะไม่มีเหลือเลยแม้แต่หยดเดียว แม้กระทั่งโล่เก้ากะโหลกที่เขาพึ่งพิงได้มากที่สุด ก็เกิดความเสียหายเล็กน้อยแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากจะท้าสู้ต่อไปย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน


ชั่วเวลาสิบอึดใจผ่านไป แผ่นหยกสีม่วงก็แตกกระจายออกมา และกลายเป็นลำแสงม้วนเข้าไปในร่างของเขา


หลิ่วหมิงเพียงแค่รู้สึกว่าภาพตรงหน้าพร่ามัว จากนั้นก็ถูกส่งตัวมายังห้องโถงแปลกหน้าแห่งหนึ่ง และตัวเขาก็ยืนอยู่บนค่ายกลสีแดง


พอกวาดสายตามองดูรอบด้าน ก็ค้นพบว่าตัวเองอยู่ในห้องโถงทรงกระบอกสูงแห่งหนึ่ง มีเส้นผ่าศูนย์กลางยี่สิบถึงสามสิบจั้ง ผนังสีดำรอบด้านมีผลึกหินสีแดงเลี่ยมฝังอยู่ มันเปล่งประกายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า ผู้อาวุโสชุดแดงกำลังยืนเอามือไขว้หลังอยู่ตรงหน้า


“เจ้าคือหลิ่วหมิงหรือ? ข้าเป็นผู้อาวุโสที่มาอยู่เวรในเจดีย์ซวีหลิง เจ้ามีอายุน้อยเช่นนี้ ก็สามารถบุกเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหกได้ นับว่าทำได้ดีมาก ต่อไปก็มีสิทธิ์เรียกข้าว่าอาจารย์อาแล้ว” ใบหน้าที่ดูเหมือนเข้มงวดกลับเผยรอยยิ้มแล้วกล่าวออกมา


“คำนับอาจารย์อา!” หลิ่วหมิงรีบโค้งคารวะในทันที


ผู้อาวุโสชุดแดงก็เป็นยอดฝีมือระดับแก่นแท้เช่นกัน


“จะไม่พูดจาให้มากความ ตามกฎแล้วเจ้าควรจะได้รับรางวัลเป็นสิ่งตอบแทน ประการแรกเป็นแต้มคุณูปการ นอกจากจะคืนแต้มคุณูปการที่จ่ายไปในก่อนหน้าทั้งหมดแล้ว ยังจะได้รับแต้มคุณูปการอีกห้าหมื่นแต้ม” ขณะที่พูด ผู้อาวุโสชุดแดงก็โบกมือข้างหนึ่ง จากนั้นป้ายประจำตัวบนเอวหลิ่วหมิงก็มีแต้มคุณูปการเพิ่มขึ้นมาหนึ่งแสนแต้ม


หลิ่วหมิงรู้สึกใจเต้นขึ้นมา ขณะนี้ตนเองมีแต้มคุณูปการมากถึงสี่ห้าแสนแต้มแล้ว


“ประการที่สอง ตอนนี้เจ้าสามารถเลือกเข้ายอดเขาในนิกายได้ตามใจชอบ และเลื่อนขั้นเป็นศิษย์สายใน นอกจากนี้แล้ว หอคุมกฎจะมอบอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดให้เจ้าหนึ่งชิ้นด้วย”


“ขอบคุณอาจารย์อา” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็รีบประสานมือคารวะด้วยความดีใจ


“ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับ ไม่ว่าเจ้าจะมีคุณสมบัติอย่างไร เพียงแค่ฝ่าด่านเจดีย์ชั้นที่สามสิบหกได้ เจ้าก็มีสิทธิ์ได้รับทั้งหมดนี้ เจ้าตามข้ามาเถอะ” ผู้อาวุโสชุดแดงกล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อ จากนั้นแสงสีแดงจางๆ ก็ม้วนตัวหลิ่วหมิงไว้ และพุ่งออกไปนอกห้องโถงพร้อมกัน


ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ทั้งสองก็มาปรากฏตัวบนยอดเขาที่หอคุมกฎตั้งอยู่


จะว่าไปแล้ว ตอนที่หลิ่วหมิงเข้านิกายได้ไม่นาน ก็ได้ติดต่อกับหอแห่งหนึ่งแล้ว แต่หลายปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาที่นี่


หอคุมกฎสร้างขึ้นบนยอดเขาสูงเสียดเมฆแห่งหนึ่ง พอมองออกไปทำให้รู้สึกถึงความหนักหน่วง และสะกดอารมณ์อย่างบอกไม่ถูก


หลิ่วหมิงเคยทำความเข้าใจสถานที่แห่งนี้จากคัมภีร์มาก่อน ยอดเขาแห่งนี้มีชื่อว่ายอดเขาไท่อิน ซึ่งมีชื่อเสียงในนิกายยอดบริสุทธิ์เป็นอย่างมาก และยอดเขาคุกมืดที่อยู่บริเวณนั้น ดูราวกับถูกเมฆสีดำปกคลุมไว้ทั้งยอดเขา ดูเหมือนกับว่าแสงที่ตกกระทบลงบนนั้น จะถูกกลืนเข้าไปทั้งหมด


“ไม่ต้องดูแล้ว ที่นั่นคือคุกห้าขุนเขาสองขั้ว เป็นสถานที่ลงโทษของนิกายยอดบริสุทธิ์ ไปกันเถอะ!” ผู้อาวุโสชุดแดงกล่าวอย่างราบเรียบ จากนั้นก็พาหลิ่วหมิงเข้าไปในประตูใหญ่ของหอดำเนินการ


หลิ่วหมิงรีบละสายตาออกมา และเดินตามไปด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน


ผู้อาวุโสชุดแดงพาหลิ่วหมิงเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่ครู่หนึ่ง ก็มาถึงหน้าห้องโถงแห่งหนึ่ง หน้าประตูห้องโถงมีศิษย์ดำเนินการยืนอยู่ทั้งสองด้าน


“คารวะผู้อาวุโสเหมี่ยน” เห็นได้ชัดว่าศิษย์ดำเนินการทั้งสองรู้จักผู้อาวุโสชุดแดงผู้นี้ และพวกเขาก็คารวะอย่างนอบน้อม


“ข้ามีเรื่องสำคัญบางอย่าง พาข้าไปพบหัวหน้าหอคุมกฎหน่อย” ผู้อาวุโสชุดแดงสั่ง


“รับทราบ!” ศิษย์ดำเนินการคนหนึ่งรีบพยักหน้าตอบรับ หลังจากมองดูหลิ่วหมิงที่ตามมาด้านหลังด้วยความแปลกใจแล้ว ก็พาทั้งสองเดินเข้าไปในห้องโถง


หลิ่วหมิงตามติดผู้อาวุโสชุดแดงและศิษย์ดำเนินการที่นำทางอยู่ตรงหน้า โดยไม่กล้าชำเลืองมองข้างทางเลยแม้แต่น้อย แม้แต่จิตรับรู้ก็ไม่กล้าปล่อยออกไปโดยพลการ


ไม่นาน ทั้งสามก็เดินทะลุห้องโถงมาถึงห้องที่อยู่ด้านหลัง หลังจากศิษย์ดำเนินการประสานมือคารวะผู้อาวุโสชุดแดงแล้ว ก็เดินเข้าประตูด้านข้างไป


“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่เหมี่ยน เสียมารยาทที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับแล้ว ขออย่าได้ถือสา” ไม่นาน น้ำเสียงแหบแห้งก็ดังมาจากประตูด้านข้าง จากนั้นชายวัยกลางคนผมสีเทา สวมชุดสีเทาก็ค่อยๆ ก้าวออกมา


แต่จะเห็นว่าใบหน้าของเขาเป็นสีแดงเข้ม รูปร่างสูงใหญ่ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนจะร้องไห้ก็ไม่ใช่ จะยิ้มก็ไม่เชิง


“หัวหน้าหอโอวหยาง นี่คือหลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้า วันนี้ได้ผ่านการทดสอบในเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหกแล้ว” ผู้อาวุโสชุดแดงกล่าวกับชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่ด้วยสีหน้าปกติ


ชายวัยกลางคนได้ยินเช่นนี้ ก็มองหลิ่วหมิงด้วยความตกใจระคนดีใจ และกล่าวชื่นชมเล็กน้อย


“ที่แท้เสียงระฆังที่ดังจากเจดีย์ซวีหลิงในก่อนหน้านั้น ก็เป็นฝีมือของเจ้านั่นเอง ผ่านการทดสอบของเจดีย์ซวีหลิงไปได้ พลังจะต้องเข้าสู่เหนือกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันอย่างแน่นอน” ชายวัยกลางคนยิ้มเล็กน้อย แววตาของเขาเผยแววชื่นชมออกมา


“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชื่นชม ข้าน้อยก็แค่โชคดีเท่านั้น” หลิ่วหมิงคารวะทีหนึ่ง และตอบกลับอย่างนอบน้อม


“เฮ่อๆ! อยู่ที่นี่ไม่ต้องถ่อมตัวอะไร เอาล่ะ! เรื่องราวหลังจากนี้มอบให้ข้าเถอะ พี่เหมี่ยนไปจัดการธุระของตนเองก่อนเถอะ” หัวหน้าหอโอวหยางผู้นี้หัวเราะออกมา จากนั้นก็หันไปกล่าวกับผู้อาวุโสชุดแดง


“ได้! ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อน” ผู้อาวุโสชุดแดงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไป


ชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่มองดูจนผู้อาวุโสชุดแดงออกไปนอกห้องโถงแล้ว ถึงหันมามองหลิ่วหมิง


“ตามกฎของนิกาย ศิษย์สายนอกที่ฝ่าเจดีย์ซวีหลิงชั้นสามสิบหกได้ จะถูกรับเป็นศิษย์สายในโดยตรง จากนี้จะได้รับการปลูกฝังทั้งชีวิตและจิตใจ จุดนี้เจ้าก็คงรู้ดีใช่ไหม?” ชายวัยกลางคนสังเกตดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


หลิ่วหมิงใจเต้นเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าอย่างนอบน้อม


ชายวัยกลางคนเห็นเช่นนี้ก็ยกแขนเสื้อขึ้น ทันใดนั้นแสงสีดำก็ม้วนตัวออกมา และเรียงตัวอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิงอย่างแน่นหนา


มันคือป้ายแวววาวจำนวนมาก ซึ่งมีเกือบร้อยกว่าอัน


ที่แตกต่างจากป้ายศิษย์สายนอกก็คือ บนป้ายหยกแต่ละชิ้นจะมีชื่อของยอดเขาแต่ละแห่งสลักอยู่ ประจักษ์ชัดว่าเป็นสัญลักษณ์ของศิษย์สายใน


ไม่รู้ว่ามีศิษย์จำนวนมากเท่าใด ที่ขยันฝึกฝนทุกวันเพื่อให้ได้มาเพื่อป้ายชิ้นนี้ พอเห็นฉากเช่นนี้ หลิ่วหมิงที่สงบมาโดยตลอด ก็อดใจเต้นไม่ได้


“ศิษย์หลานหลิ่ว ตอนนี้เจ้าเลือกป้ายมาหนึ่งอันเถอะ” พอเห็นว่าศิษย์ตรงหน้ามีท่าทีสงบเช่นนี้ หัวหน้าหอคุมกฎก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวอย่างราบเรียบ


“เดิมทีศิษย์ก็เป็นแค่ศิษย์สายนอกเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่ค่อยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับยอดเขาต่างๆ หวังว่าผู้อาวุโสจะช่วยชี้แนะเล็กน้อย” หลิ่วหมิงกวาดสายตามองป้าย หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งแล้ว ก็กล่าวอย่างนอบน้อมและจริงใจ


“แม้ว่ายอดเขาแต่ละแห่งในนิกายเรา จะมีวิชาล้ำลึก แต่ยังคงเน้นหนักไปทางด้านการฝึกฝน บ้างก็เน้นการฝึกฝนเคล็ดวิชา บางก็เน้นการศึกษาวิชายันต์และโอสถ บ้างก็เน้นการฝึกฝนสายกระบี่ เป็นต้น อืม! ข้อมูลทั้งหมดถูกบันทึกไว้ในแผ่นหยกนี้ เจ้าสามารถดูก่อนได้” หัวหน้าโอวหยางมองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และพยักหน้าก่อนกล่าวออกมา


หลังจากกล่าวจบก็โยนแผ่นหยกออกไป


ตอนที่ 605 ยอดเขาลั่วโยว

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงโค้งตัวยื่นมือไปรับแผ่นหยกมา หลังจากกล่าวขอบคุณแล้ว ก็นำไปแปะไว้บนหน้าผาก และปล่อยจิตส่วนหนึ่งเข้าไปในนั้น


ชั่วเวลาครึ่งเค่อต่อมา หลิ่วหมิงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากคิดไตร่ตรองไปรอบหนึ่งแล้ว ก็กล่าวอย่างหนักแน่น


“ข้าได้พิจารณาดูแล้ว ขอเลือกยอดเขาลั่วโยวก็แล้วกัน”


ยอดเขาลั่วโยวเป็นยอดเขาในนิกายที่ฝึกฝนวิชาสายปีศาจเป็นหลัก ทรัพยากรในนั้นเหมาะสมสำหรับการฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬพอดี ดังนั้นพออ่านเจอคำแนะนำยอดเขานี้ เขาก็เลือกอย่างไม่ลังเล


หัวหน้าหอโอวหยางพยักหน้าเล็กน้อย และชี้นิ้วออกไป


ท่ามกลางป้ายที่ดูละลานตาตรงหน้า พอแสงสีดำเปล่งประกาย ป้ายสีดำแวววาวที่มีหน้าปีศาจสลักอยู่ก็พุ่งออกมา และตกลงบนมือหลิ่วหมิง


“ในนี้มีชุดศิษย์สายในอยู่หนึ่งชุด เจ้าเก็บไว้ให้ดี รอคิดดีแล้วก็มาเลือกอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงหนึ่งชิ้นได้ตลอดเวลา” พอชายวัยกลางคนยกแขนขึ้น แสงสีแดงก็พุ่งเข้ามา


“ขอบคุณผู้อาวุโส”


หลิ่วหมิงกล่าวขอบคุณ และยกมือรับแสงสีแดงไว้ มันคือยันต์เก็บของสีแดงเข้มนั่นเอง


ชายวัยกลางคนสะบัดแขนเสื้อเก็บป้ายเกือบร้อยอันที่อยู่ตรงหน้าทันที หลังจากส่งเสียงเรียกออกไปด้านนอก ศิษย์ดำเนินคนเมื่อครู่ก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว


“พาศิษย์หลานหลิ่วไปที่ยอดเขาลั่วโยวเถิด!” ชายวัยกลางคนสั่งออกไปหนึ่งประโยค


“รับทราบ!”


ศิษย์ดำเนินการผู้นี้พยักหน้าตอบรับ หลังจากหัวหน้าหอโอวหยางจากไปแล้ว เขาก็หันมาคารวะหลิ่วหมิง และกล่าวอย่างนอบน้อม


“หลินเยวี่ยคารวะศิษย์พี่หลิ่ว”


แม้ว่าจะเป็นศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์เหมือนกัน แต่ตำแหน่งของศิษย์ดำเนินการไม่อาจสู้ศิษย์สายนอกทั่วไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งไม่อาจเทียบกับศิษย์สายในได้เลย


“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนศิษย์น้องหลินแล้ว” หลิ่วหมิงย่อมประสานมือคารวะ และตอบกลับอย่างเกรงใจ


ดังนั้น ภายใต้การนำของศิษย์ดำเนินการ ทั้งสองก็ออกจากหอคุมกฎไป ไม่นานแสงหลบหลีกสองลำ ก็พุ่งไปยังส่วนลึกของเทือกเขาหมื่นวิญญาณ


แม้ว่าหลิ่วหมิงจะเข้านิกายยอดบริสุทธิ์มาสิบกว่าปีแล้ว แต่ปกติมักจะเก็บตัวฝึกฝน ไม่ค่อยจะออกไปไหน นอกจากเคยไปยอดเขาเมฆาหยกในตอนแรกที่เข้านิกายแล้ว ก็ไม่มีการคลุกคลีกับนิกายสายในเลย ด้วยเหตุนี้จึงไม่ค่อยรู้ตำแหน่งของยอดเขาต่างๆ ในนิกาย ดังนั้นถึงต้องให้หลินเยวี่ยนำมาตลอดทาง


หลินเยวี่ยผู้นี้ก็คุยเก่งมาก ประกอบกับการที่ได้คบค้าสมาคมกับศิษย์สายในของยอดเขาต่างๆ อยู่ตลอดวัน ทำให้ในระหว่างทางหลิ่วหมิงได้สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับในนิกายมาไม่น้อย


หนึ่งชั่วยามผ่านไป ทั้งสองก็มาถึงหน้ายอดเขาสีดำแห่งหนึ่ง


“ศิษย์พี่หลิ่ว ที่นี่ก็คือยอดเขาลั่วโยว” หลินเยวี่ยชี้ไปยังยอดเขาตรงหน้าแล้วหันมากล่าวกับหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงพยักหน้าด้วยตาที่เป็นประกาย ขณะนี้ บนตัวเขาได้เปลี่ยนมาสวมชุดสีดำของศิษย์ยอดเขาลั่วโยวแล้ว


และยอดเขาตรงหน้าก็ดูอันตรายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ด้านหน้ายอดเขาตรงดิ่ง และสูงชะโงกเงื้อม ด้านหลังดีหน่อยที่ยังมีเนินเขาเอียงชันเล็กน้อย


ยอดเขาหลักของยอดเขาลั่วโยวก็สูงเสียดเมฆเหมือนกับยอดเขาอื่นๆ ในนิกายยอดบริสุทธิ์ เทือกเขาหลายลูกที่อยู่บริเวณนี้ ยังมีความสูงน้อยกว่า ด้านล่างเป็นป่าบุพกาลอันหนาแน่น มีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่หลายสิบหลังสร้างอยู่บนยอดเขาเท่านั้น


“ไปกันเถอะ!” หลิ่วหมิงสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อทะยานหน้าไปต่อ


ไม่นานทั้งสองก็มาถึงพื้นราบเรียบแห่งหนึ่งบนยอดเขา


“ที่นี่คือยอดเขาลั่วโยว ท่านทั้งสองมาที่นี่มีธุระอันใดหรือ?”


ขณะที่หลิ่วหมิงทั้งสองกำลังยืนตั้งหลักได้นั้น ชายชุดดำผู้หนึ่งก็เดินออกจากวิหารใหญ่บริเวณนั้น และขวางทั้งสองไว้ หลังจากกวาดสายตาดูศิษย์ดำเนินการแล้ว ก็หยุดสายตาอยู่ที่หลิ่วหมิง


“ข้าน้อยหลินเยวี่ยจากหอคุมกฎ ที่มาในวันนี้ก็เพราะว่าศิษย์พี่หลิ่วผ่านการทดสอบของเจดีย์ชั้นที่สามสิบหกแล้ว และได้รับอนุญาตให้เป็นศิษย์สายใน ตอนนี้ได้เลือกยอดเขาลั่วโยวแล้ว จึงตั้งใจมาคารวะผู้ควบคุมยอดเขา จะได้บันทึกเข้าไปในเล่ม” หลิ่วหมิงยังไม่ทันเอ่ยปาก หลินเยวี่ยก็กล่าวออกมาก่อน


“ผ่านการทดสอบของเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหกแล้ว?!” ชายชุดดำได้ยินก็รู้สึกตกใจมาก สายตาที่มองดูหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปทันที


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เชิญศิษย์น้องหลิ่วตามข้ามาเถอะ แต่ว่าหลายวันนี้ผู้ควบคุมยอดเขามีธุระข้างนอก ตอนนี้ในเขามีผู้อาวุโสเหยียนคอยดูแล” ชายชุดดำสังเกตดูหลิ่วหมิงอีกสองที จากนั้นถึงเก็บสีหน้าประหลาดใจก่อนกล่าวออกมา


หลินเยวี่ยเห็นว่าภารกิจของตนเสร็จแล้ว จึงบอกลาหลิ่วหมิง และทะยานขึ้นฟ้าจากไป


หลิ่วหมิงก็เดินตามชายชุดดำเข้าไปด้านในวิหาร


ยอดเขาลั่วโยวมีชื่อเสียงในการฝึกฝนวิชาสายปีศาจ บริเวณวิหารใหญ่บนยอดเขา ก็สามารถรับรู้ได้ถึงปราณหยินที่แผ่ออกมากลางอากาศ ความรู้สึกนี้ดูคล้ายกับแดนปราณหยินในนิกายปีศาจเล็กน้อย


หากคนธรรมดาอยู่ที่นี่สักช่วงเวลาหนึ่ง คาดว่าอาจถูกปราณหยินเข้าร่างจนรู้สึกไม่สบายได้


แต่สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว สภาพแวดล้อมเช่นนี้เหมาะสำหรับฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬพอดี


ไม่นาน ทั้งสองก็มาถึงห้องโถงหินแห่งหนึ่ง


“ศิษย์น้องหลิ่วรออยู่ที่นี่สักครู่ ข้าจะไปเชิญผู้อาวุโสเหยียน” ชายชุดดำพูดออกมาหนึ่งประโยค จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ไปในวิหาร


หลิ่วหมิงไม่มีอะไรทำ จึงสังเกตดูรอบด้านอย่างละเอียดหนึ่งรอบ


ดูเหมือนความกว้างภายในวิหารจะกว้างกว่าที่เห็นจากภายนอกเล็กน้อย ผนังรอบด้านล้วนก่อตัวขึ้นมาจากหิน โดยมองไม่เห็นร่องรอยเลยแม้แต่น้อย ราวกับมันเกิดจากการแกะสลักหินขนาดใหญ่


เห็นได้ชัดว่าภายในวิหารว่างเปล่ามาก มีกระถางธูปสี่ใบตั้งอยู่ตรงมุมทั้งสี่ ด้านในไม่ใช่สิ่งของประเภทธูปหอม แต่กลับมีหินแร่สีดำขนาดใหญ่วางอยู่หนึ่งก้อน และมีปราณหยินแผ่ออกมาอยู่ไม่หยุด


“หรือว่านี่จะเป็น…… ศิลาปราณหยิน?”


หลังจากหลิ่วหมิงนึกคิดในใจแล้ว ก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมาจริงๆ


ศิลาปราณหยินเป็นวัสดุที่พบเจอได้น้อยมาก ด้านในมีปราณหยินต้นกำเนิดอันบริสุทธิ์แฝงอยู่ มีประโยชน์เป็นอย่างยิ่งสำหรับวิชาสายปีศาจ


หลิ่วหมิงเคยเห็นในตลาดฉางหยางมาก่อน ศิลาปราณหยินที่มีขนาดเท่ากำปั้นสามารถขายได้หลายหมื่นหินจิตวิญญาณ คิดไม่ถึงว่ายอดเขาลั่วโยวจะใช้มันธูปหอม มิน่าล่ะศิษย์สายนอกจำนวนมากถึงบอกว่า ยอดเขาในนิกายล้วนมีทรัพย์สมบัติจำนวนมาก


ขณะที่เขาคิดจะสังเกตดูศิลาปราณหยินเหล่านี้ให้ละเอียดอีกรอบนั้น พลันมีเสียงฝีเท้าดังมาจากภายในวิหาร


หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน เขารีบดึงสายตากลับมา และยืนตัวตรงทันที


ไม่นาน ก็มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านในของวิหาร ดูเหมือนจะมีอายุราวๆ สี่สิบปี ผิวซีดเหลือง สีหน้าราวกับคนป่วย และด้านหลังของเขาก็มีหญิงสาวงดงามอายุราวๆ ยี่สิบห้ายี่สิบหกปี


“เจ้าก็คือหลิ่วหมิงหรือ?” ชายหน้าเหลืองใช้ดวงตาเล็กๆ ที่ขุ่นมัวมองเข้ามา หลังจากสังเกตดูหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้ว ก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง


ขณะเดียวกัน ความรู้สึกหนาวเย็นก็ม้วนตัวเข้ามา ทำให้หลิ่วหมิงใจเต้นอย่างอดไม่ได้


“ศิษย์หลิ่วหมิง คารวะอาจารย์อา” พอหลิ่วหมิงกระตุ้นพลังภายในร่าง ก็สามารถระดับอารมณ์ไว้ได้ และเอ่ยอย่างนอบน้อม


“ข้าคือเหยียนเทียนตู วันนี้ผู้ควบคุมไม่ได้อยู่บนยอดเขา ตอนนี้เรื่องเล็กๆ ให้ข้าตัดสินใจได้ ใช่สิ! นำป้ายของเจ้าออกมา”


หลิ่วหมิงได้ยินก็หยิบป้ายประจำตัวขึ้นมา และยื่นออกไป


ในระหว่างทางที่มา เขาได้หยดโลหิตไปหนึ่งรอบแล้ว มีภาพเหมือนและชื่อปรากฏอยู่บนนั้นอย่างแจ่มชัด


ชายหน้าเหลืองกวักมือเบาๆ ป้ายก็พุ่งออกจากมือหลิ่วหมิง พริบตาเดียวก็มาปรากฏในมือของเขา ส่วนมืออีกข้างไม่รู้ว่าถือพู่กันหยกตั้งแต่เมื่อใด


หลังจากตวัดเขียนราวกับหงส์ร่ายมังกรรำไปสองสามที แสงสีขาวลำหนึ่งก็จมลงไปในป้าย


“เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้นับว่าเจ้าเป็นคนของยอดเขาลั่วโยวแล้ว แผ่นหยกนี้บันทึกเกี่ยวกับกฎ และข้อบัญญัติของยอดเขาลั่วโยวของเรา เจ้าจงจำไว้ให้ดี หากฝ่าฝืนกฎใดๆ ก็ตาม ผลลัพธ์เจ้าคงรู้อยู่แก่ใจ” ชายหน้าเหลืองเงียบไปครู่หนึ่ง พอโบกมือ ป้ายและแผ่นหยกสีเทาก็ร่วงลงบนมือหลิ่วหมิง


“ศิษย์จะจดจำคำสั่งสอนของอาจารย์อาเหยียน” หลังจากเก็บป้ายเข้าไปแล้ว หลิ่วหมิงก็กล่าวอย่างนอบน้อม


“นี่เป็นศิษย์สายตรงของผู้ควบคุมยอดเขา ‘เสี่ยวอู่’ การฝึกฝนเข้าสู่ระดับผลึกขั้นปลายแล้ว และก็เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของยอดเขาของเรา หากภายหน้ามีปัญหาก็ขอคำชี้แนะจากนางได้” พอเห็นว่าหลิ่วหมิงมีท่าทีนอบน้อมเป็นอย่างมาก ชายหน้าเหลืองก็เผยรอยยิ้มออกมา จากนั้นก็ชี้ไปทางหญิงสาวที่อยู่ด้านหลัง


“หลิ่วหมิงคารวะศิษย์พี่” หลิ่วหมิงประสานมือคารวะ


“ในเมื่อศิษย์น้องหลิ่วฝ่าด่านเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหกได้ จะต้องเป็นคนที่มีความมุมานะอย่างแน่นอน ในบ้านข้าเป็นคนอันดับที่ห้า หากไม่รังเกียจล่ะก็เรียกข้าว่า ‘ศิษย์พี่ห้า’ ก็พอแล้ว” หญิงงดงามสังเกตดูหลิ่วหมิงสองสามที จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มพราย


หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกอึ้งไปทันที แต่ก็ได้แต่พยักหน้าตอบรับเท่านั้น “รับทราบ!”


“เสี่ยวอู่ เจ้าพาศิษย์น้องหลิ่วไปรับสวัสดิการของศิษย์สายในเถอะ จากนั้นค่อยไปเลือกถ้ำที่พักสักหลัง ส่วนเรื่องที่ว่าหลิ่วหมิงจะอยู่ใต้สังกัดของผู้อาวุโสท่านใดนั้น ตอนนี้ยังตัดสินไม่ได้ เพราะผู้อาวุโสหลายท่านของยอดเขาไม่อยู่ รอหารือกันภายหลังแล้วค่อยว่ากันเถอะ!” ชายหน้าเหลืองสั่งไปสองสามประโยค จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเดินกลับไปยังทางที่จากมา


“ศิษย์น้องไม่ต้องแปลกใจ อาจารย์อาเหยียนเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน ต่อไปได้สัมผัสกับท่านนานๆ ก็จะรู้เอง ในเมื่อตอนนี้อาจารย์อาเหยียนได้สั่งการลงมาแล้ว ศิษย์น้องก็ไปกับข้าก่อนเถอะ” หญิงงดงามยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อธิบายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปทางด้านนอกวิหาร


หลิ่วหมิงเอามือลูบจมูก และแอบยิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นก็ตามออกไป


หญิงสาวนำหลิ่วหมิงเดินออกจากวิหารใหญ่ และเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มาถึงหน้าบ้านหินสีดำแห่งหนึ่ง


“ศิษย์พี่อู่ ศิษย์น้องหลิ่ว”


ชายชุดดำเมื่อครู่ เดินออกจากบ้านหิน และยิ้มทักทายหลิ่วหมิงทั้งสอง


“ยอดเขาเราค่อนข้างพิเศษ ศิษย์ทั่วไปไม่อาจอยู่นานได้ ด้วยเหตุนี้แม้ว่าศิษย์น้องเฟิงจะเป็นศิษย์สายในของยอดเขาเรา ก็ต้องรับตำแหน่งศิษย์ดำเนินการไปด้วย ปกติจะดูแลเรื่องทุกอย่างที่นี่ เจ้ามีเรื่องอันใดไม่เข้าใจ ก็มาสอบถามเขาได้” หญิงงดงามกล่าวโดยไม่หันหน้ากลับมา


หลิ่วหมิงย่อมพยักหน้าตอบรับ และยิ้มให้ชายชุดดำอย่างเป็นมิตร


เขาเพิ่งเข้ายอดเขาลั่วโยวมา ยังไม่คุ้นเคยเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ในนี้ ต่อไปจะต้องคบค้าสมาคมกับคนผู้นี้บ่อยๆ แล้ว


“ศิษย์น้องหลิ่วมารับสวัสดิการของศิษย์สายในสินะ โปรดรอสักครู่!” ชายชุดดำไม่รอให้หญิงงดงามเอ่ยปาก เขาก็หมุนตัวเดินเข้าไปในบ้านหิน ไม่นานก็เดินออกมาพร้อมยันต์เก็บของ


“สิ่งของอยู่ข้างในนี้แล้ว ศิษย์น้องตรวจสอบได้”


หลิ่วหมิงกล่าวขอบคุณ และรับยันต์เก็บของมา เมื่อปล่อยจิตกวาดดูด้านใน ก็ค้นพบว่ามีชุดสีดำหนึ่งชุด ซึ่งรูปแบบแตกต่างจากชุดศิษย์สายในที่เขาสวมอยู่ไม่มาก ดาบโค้งสีเงินหนึ่งเล่ม ดูท่าคงเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด และยังมีโอสถเพิ่มพลังเวทที่พบได้โดยทั่วไปสองสามขวดกับหินจิตวิญญาณจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีราวๆ สามแสนหินจิตวิญญาณ


นอกจากนี้แล้วยังมีแผ่นหยกสีเหลืองอีกอันหนึ่งด้วย


“เอาล่ะ! ต่อไปก็จัดการเรื่องถ้ำที่พักของเจ้า” เสี่ยวอู่หันตัวเดินนำไปอีกครั้งโดยไม่รอให้หลิ่วหมิงได้ตรวจสอบอย่างละเอียด ดูเหมือนไม่คิดจะรอหลิ่วหมิงเลยแม้แต่น้อย


หลิ่วหมิงได้แต่เก็บยันต์เก็บของเข้าไปในอก หลังจากกุมมือคารวะชายชุดดำแล้ว ก็รีบก้าวตามไปอย่างรวดเร็ว


ไม่นานทั้งสองก็ขี่เมฆทะยานไปยังด้านล่างยอดเขา


“ศิษย์สายในของยอดเขาเรามีทั้งหมดห้าสิบกว่าคน นับว่ามีจำนวนน้อยมากในบรรดายอดเขาที่มีชื่อเสียงในนิกาย ถ้ำที่พักของบรรดาศิษย์ต่างก็อยู่ด้านล่างยอดเขาลั่วโยว ตอนนี้ยังมีเหลืออยู่หลายแห่ง เจ้าสามารถเลือกได้ตามใจชอบ” เสี่ยวอู่อธิบายในระหว่างทาง


“ฟังจากน้ำเสียงของศิษย์พี่แล้ว การเลือกถ้ำที่พักจะต้องมีการศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วนสินะ?” หลิ่วหมิงถามด้วยใจที่เต้นแรง


“ถ้ำที่พักต่างก็ตั้งอยู่บนยอดเขาลั่วโยวความหนาแน่นของปราณจิตวิญญาณแตกต่างกันไม่มาก แต่ว่ายอดเขาลั่วโยวเราฝึกฝนสายปีศาจกับวิชาธาตุหยินเป็นหลัก จึงได้วางค่ายกลรวมปราณหยินไว้บนยอดเขา ดังนั้นยิ่งอยู่ใกล้ยอดเขา ปราณจิตวิญญาณก็จะยิ่งหนาแน่น และมีผลดีต่อการฝึกฝนมากยิ่งขึ้น แน่นอน! หากว่าระดับการฝึกฝนไม่พอ และอาศัยอยู่เป็นเวลานาน ก็จะได้รับผลเสียเป็นอย่างมาก” หญิงงดงามกล่าวโดยไม่ต้องคิด


หลิ่วหมิงฟังแล้วก็รู้สึกใจเต้นเล็กน้อย


“แต่ว่าถ้ำที่อยู่ใกล้ยอดเขาต่างก็มีคนครอบครองหมดแล้ว ตรงไหล่เขาก็มีไม่มากแล้ว เจ้ามีตัวเลือกไม่มากนัก” หลิ่วหมิงยังไม่ทันเอ่ยปาก หญิงงดงามก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม


หลิ่วหมิงได้ยินก็ได้แต่อ้าปากค้าง และไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาได้แต่ยิ้มขมขื่นในใจ


นี่เป็นเรื่องปกติ!


ศิษย์สายในที่เพิ่งเข้ามาใหม่อย่างเขา หากมีสถานที่ดีจริงๆ ไหนเลยจะเหลือถึงมือให้เขาเลือก


ตอนที่ 606 ถ้ำวายุสวรรค์

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไม่นานทั้งสองก็ขี่เมฆมาถึงเส้นทางคดเคี้ยวสายหนึ่งตรงตีนเขา ทุกๆ ระยะห่างหลายร้อยจั้ง จะมีถ้ำแห่งหนึ่งอยู่ริมทางเดิน ดูจากภายนอกแล้วมันคล้ายกับที่อยู่ของศิษย์สายนอกมาก ประตูถ้ำส่วนใหญ่จะปิดสนิท


“ถ้ำที่ว่างอยู่ในตอนนี้ มีหมายเลขยี่สิบเจ็ด ยี่สิบเก้า และหมายเลขสามสิบห้า ศิษย์น้องหลิ่วเลือกได้ตามใจชอบเลย” หญิงงดงามกล่าวออกมา


พอหลิ่วหมิงมองตามสายตาของนาง ก็ค้นพบว่าถ้ำสามแห่งที่เหลือล้วนอยู่ด้านล่างสุด ซึ่งห่างจากจุดสูงสุดของยอดเขามาก


“เลือกหมายเลขยี่สิบเก้าก็แล้วกัน” หลิ่วหมิงตัดสินใจอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก ถ้ำหมายเลขยี่สิบเก้าตั้งอยู่ด้านหลังยอดเขาลั่วโยว ปราณหยินคงจะหนาแน่นกว่าหน่อย ทั้งยังห่างจากถ้ำอื่นๆ ค่อนข้างมาก นับว่าอยู่ในตำแหน่งที่ลับตาคน


“พอศิษย์น้องเข้าไปแล้ว ให้ใส่พลังเวทลงบนป้ายประจำตัว จากนั้นก็ประทับชื่อตนเองไว้บนถ้ำก็พอแล้ว” หญิงงดงามพยักหน้าและอธิบายออกมา


“ขอบคุณศิษย์พี่ห้าที่ช่วยชี้แนะ” หลิ่วหมิงประสานมือคารวะ


“เรื่องอื่นๆ ศิษย์น้องหลิ่วก็ไปสอบถามศิษย์น้องเฟิงได้เลย ข้ายังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ ต้องขอตัวก่อน” ศิษย์พี่ห้าผู้นี้หัวเราะเบาๆ จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อกลายแสงสีขาวเทาพุ่งขึ้นฟ้าไป


หลิ่วหมิงจ้องมองแสงหลบหลีกอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงพยักหน้าช้าๆ


นิสัยของนางผู้นี้ดูไม่เลว ทั้งยังทำให้เขารู้สึกสนิทใจที่จะติดต่อกับนาง ดูท่าเขาคิดไม่ผิดที่เลือกยอดเขาลั่วโยวแห่งนี้


พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็กระตุ้นเมฆดำใต้เท้าให้พุ่งไปยังถ้ำที่พักของตัวเองทันที


ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เขาก็มาถึงหน้าประตูถ้ำเปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง


หลังจากสังเกตดูเล็กน้อยแล้ว หลิ่วหมิงก็หยิบป้ายศิษย์สายในออกจากเอว และใส่พลังเวทเข้าไปในนั้น จากนั้นลำแสงสีดำก็พุ่งยิงใส่ประตูถ้ำ


ลวดลายจิตวิญญาณสีดำค่อยๆ สว่างขึ้นมา หลังจากมีเสียงดังแคร่ก! ประตูก็ค่อยๆ เปิดออก……


สองชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงนอนอยู่บนเตียงหินภายในห้องลับของถ้ำที่พักด้วยสีหน้าครุ่นคิด


เขารู้สึกพอใจกับถ้ำแห่งนี้มาก มีชั้นจำกัดแข็งแกร่งเสริมอยู่ด้านในหลายชั้น พลังในการป้องกันไม่ต้องพูดอะไรมาก ค่ายกลชั้นจำกัดหนึ่งในนั้นลี้ลับมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง สามารถกีดกั้นการสอดแทรกของจิตรับรู้ ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าจะมีความลับใดๆ เล็ดลอดออกไป


ต่อไปไม่ว่าเขาจะปรุงโอสถหรือทำการฝึกฝน ก็ไม่ต้องห่วงว่าใครจะมองเห็นแล้ว


นอกจากนี้ ความหนาแน่นของปราณจิตวิญญาณภายในถ้ำ ก็ดูเหมือนว่าจะมีมากกว่าถ้ำที่พักของหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้นสองเท่าขึ้นไป ปราณหยินที่แฝงอยู่ด้านในก็เหมาะสมกับตนเองและอสูรเลี้ยงทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง แม้ไม่อาจเทียบกับถ้ำจันทราได้ แต่ดีตรงที่ไม่ต้องสิ้นเปลืองแต้มคุณูปการ


หลังจากคิดไตร่ตรองแล้ว หลิ่วหมิงก็ลุกขึ้นมานั่ง และหยิบแผ่นหยกสีเทาออกมา นี่คือสิ่งที่ผู้อาวุโสเหยียนมอบให้ ด้านในมีบันทึกเกี่ยวกับกฎและข้อบัญญัติของศิษย์สายในอยู่จำนวนหนึ่ง


หลังจากนำมาแปะไว้บนหน้าผาก และท่องจำจนขึ้นใจแล้ว เขาก็พลิกฝ่ามือหยิบแผ่นหยกสีขาวออกมาอีกอัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ดำเนินการชุดดำมอบให้เขา


เนื้อหาในแผ่นหยกละเอียดมาก นอกจากครอบคลุมถึงสวัสดิการหลังจากเป็นศิษย์สายในแล้ว ยังมีการแนะนำยอดเขาลั่วโยวด้วย


ตามที่บรรยายไว้ในแผ่นหยก แต่ละปีศิษย์สายในทุกคนจะได้รับทรัพยากรที่มีมูลค่าห้าแสนหินจิตวิญญาณจากนิกายกับแต้มคุณูปการห้าพันแต้ม นี่ดูเหมือนว่าจะมากกว่าศิษย์สายนอกห้าเท่า


ทั้งยังมีสวัสดิการอื่นๆ เช่น สามารถใช้แต้มคุณูปการน้อยกว่าศิษย์สายนอกในการใช้สถานที่ต่างๆ เพื่อทำการฝึกฝน


หลังจากกวาดสายตาแบบผ่านๆ แล้ว หลิ่วหมิงก็อ่านคำแนะนำเกี่ยวกับถ้ำวายุสวรรค์อย่างละเอียด


หลังผ่านไปครึ่งค่อนวัน เขาก็เอาแผ่นหยกลง และสีหน้าก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ไม่หยุด


ในแผ่นหยกได้แนะนำถ้ำวายุสวรรค์ไว้อย่างละเอียด เดิมทียอดเขาลั่วโยวก็ฝึกฝนวิชาสายปีศาจเป็นหลัก พลังเย็นสะท้านในถ้ำวายุสวรรค์มีผลดีต่อวิชาสายปีศาจ ดังนั้นชายแซ่งเฟิงจึงทำเครื่องหมายไว้บนเนื้อหาจำนวนมาก


ตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ เพียงแค่เป็นศิษย์สายในก็สามารถยืมใช้ถ้ำวายุสวรรค์ในการฝึกฝนได้ แต่ในนิกายยอดบริสุทธิ์มีสถานที่เช่นนี้แค่แห่งเดียวเท่านั้น ดังนั้นศิษย์สายในแต่ละคนจะมีโอกาสเข้าถ้ำวายุสวรรค์ได้ปีละครั้งเท่านั้น แต่ไม่จำกัดเวลาในการเข้าในแต่ละครั้ง


เพียงแต่ว่าการฝึกฝนในแต่ละวันจำเป็นต้องชำระแต้มคุณูปการหนึ่งพันแต้ม เมื่อใช้แต้มคุณูปการหมดก็จะถูกส่งตัวออกมา และภายในปีนั้นก็ไม่สามารถเข้าไปได้อีก


ดีที่ว่าตอนนี้หลิ่วหมิงไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องแต้มคุณูปการ ซึ่งบนตัวเขามีสี่แสนกว่าแต้มแล้ว


ตามบันทึกเกี่ยวกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ หากจะฝึกฝนขั้นที่สามให้สำเร็จ จะต้องชุบหลอมร่างภายใต้พลังของวายุสวรรค์ซ้ำๆ ไอมังกรพยัคฆ์ทมิฬถึงจะทะลุไปทั่วเส้นลมปราณต่างๆ ภายในร่าง และทำให้เข้าถึงระดับของเหลวขั้นปลายโดยสมบูรณ์แบบ


หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ตั้งนานสองนาน ในที่สุดก็มีแผนการฝึกฝนในอนาคตออกมาอย่างละเอียด


พอเขาตบถุงหนังบนเอว ไอดำสองสายก็ม้วนออกจากในนั้น หลังจากหมุนวนติ้วๆ แล้ว ก็กลายเป็นหัวบินกับแมงป่องกระดูก และร่วงลงตรงหน้าเขา


หลังจากรับรู้ถึงปราณหยินอันหนาแน่นที่อยู่รอบด้าน อสูรจิตวิญญาณทั้งสองก็หมุนวนรอบตัวหลิ่วหมิงไม่หยุด และเปล่งเสียงออกมาด้วยความชอบใจ


“ที่นี่เต็มไปด้วยปราณหยิน และก็มีผลดีต่อการฝึกฝนของพวกเจ้าไม่น้อย รีบไปทำการฝึกฝนของพวกเจ้าเถอะ” หลิ่วหมิงชี้ไปยังมุมหนึ่งของถ้ำแล้วสั่งออกไป


หัวบินกับแมงป่องกระดูกได้ยินดังนี้ ก็หายวับมาตรงมุมห้องทันที และก้มหน้าอ้าปากดูดซับปราณหยินในอากาศ


หลิ่วหมิงละสายตาออกมาแล้วกลับไปนอนบนเตียงหินอีกครั้ง


ตอนนี้เขาต้องการพักผ่อนให้เต็มอิ่มสักรอบ ซึ่งพลังเวทที่สูญเสียไปกับการบุกเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหก สามารถฟื้นฟูกลับมาได้ แต่เนื่องจากเขาสูญเสียพลังจิตไปไม่น้อย จึงเข้าสู่นิทราอย่างรวดเร็ว


เช้าตรู่วันที่สอง พอหลิ่วหมิงตื่นขึ้นมาก็เร่งมือทำงานทันที


เขาไปเยี่ยมเยียนศิษย์ดำเนินการแซ่เฟิงก่อน เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องที่ศิษย์สายในต้องระมัดระวังในยอดเขานี้ และซักถามข้อสงสัยในใจเขา


ศิษย์ดำเนินการแซ่เฟิงผู้นี้ก็ค่อนข้างเป็นมิตรมาก เขาตอบข้อสงสัยของหลิ่วหมิงอย่างละเอียด


จากนั้นหลิ่วหมิงก็ไปตลาดในนิกายอีกครั้ง และเตรียมการเล็กน้อย


วันที่สาม หลิ่วหมิงขี่เมฆมาถึงหุบเขาลึกแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ระหว่างยอดเขาสูงชันสองลูกนอกเทือกเขาหมื่นวิญญาณ


สถานที่แห่งนี้มีชื่อเรียกว่าถ้ำวายุสวรรค์ ชัยภูมิดูแปลกประหลาดเป็นพิเศษ มีพายุพัดกระหน่ำตลอดปี แม้ตัวเขาจะอยู่ห่างจากด้านในหลายลี้ แต่ก็ได้ยินเสียงของพายุอย่างชัดเจน น้ำเสียงพลันสูงพลันต่ำ เสียงสูงดูคล้ายกับมังกรพยัคฆ์คำราม เสียงต่ำก็ดูราวกับเสียงร้องของหนอนตัวเล็กๆ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้ง


พอเมฆดำเปล่งประกาย หลิ่วหมิงก็ร่อนลงหน้าหุบเขาวายุสวรรค์ ชุดคลุมสีดำบนตัวโบกสะบัดตามแรงลม


พอทอดสายตามองออกไปท่ามกลางหุบเขา จะมีเห็นว่ามีเสาหินสีขาวสูงหลายสิบจั้งตั้งอยู่ทุกๆ ระยะห่างหลายจั้ง บนเสาแต่ละต้นเต็มไปด้วยลวดลายจิตวิญญาณสีเขียวจำนวนมาก


เสาหินหลายสิบต้นเชื่อมต่อกัน ทำให้หุบเขาทั้งแห่งดูคล้ายกับถูกชั้นจำกัดขนาดใหญ่ห่อหุ้มไว้


พื้นที่แอ่งกระทะขนาดใหญ่ตรงหน้าหุบเขา มีอารามไม้เรียบง่ายขนาดใหญ่ตั้งอยู่หนึ่งหลัง หน้าประตูอารามมีอักขระโบราณเขียนติดอยู่ ‘ถ้ำวายุสวรรค์’


และทางเข้าอารามในขณะนิ้ ไม่มีคนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว


หลิ่วหมิงเดินเข้าไปด้วยสีหน้าสงบ เมื่อหันไปยังประตูด้านข้าง ภาพตรงหน้าก็สว่างไสว ห้องโถงว่างเปล่าขนาดใหญ่ที่กว้างสิบกว่าจั้งปรากฏขึ้นตรงหน้า


ใจกลางห้องโถง มีผู้เฒ่าชุดขาวกำลังนั่งหลับตาเข้าฌานอยู่ด้านหลังโต๊ะหินตัวหนึ่ง


บนพื้นด้านข้างมีเบาะกลมๆ จัดวางอยู่หนึ่งแถว ขณะนี้มีศิษย์สายในสองคนกำลังนั่งฝึกฝนอยู่เงียบๆ


ห่างจากด้านหลังผู้เฒ่าไปไม่ไกล ก็มีค่ายกลตั้งวางอยู่เป็นแถว และมีแสงสีเขียวเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด


หลิ่วหมิงมองดูค่ายกลทีหนึ่ง จากนั้นก็เดินมาตรงหน้าโต๊ะหิน


“เจ้าคือศิษย์ยอดเขาลั่วโยว จะเข้าถ้ำวายุสวรรค์หรือ?” หลิ่วหมิงยังไม่ทันเอ่ยปาก ผู้เฒ่าชุดขาวก็ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา และมองดูบนตัวหลิ่วหมิงก่อนเอ่ยปากถาม


“คารวะผู้อาวุโส ศิษย์เป็นศิษย์ยอดเขาลั่วโยวจริงๆ” ขณะที่พูดหลิ่วหมิงก็หยิบป้ายจากเอว และเดินไปยื่นให้


ผู้เฒ่าชุดขาวรับป้ายมาไว้ในมือ และพลิกฝ่ามือหยิบเครื่องหยกออกมาแตะลงบนป้าย ทันใดนั้นแสงสีขาวก็เริ่มเปล่งแสงออกมา


“ไม่เลว! ปีนี้เจ้ายังไม่เคยเข้าถ้ำวายุสวรรค์ ก็สามารถเข้าไปฝึกฝนได้ แต่ตอนนี้ถ้ำทั้งสิบแปดแห่งต่างก็มีคนใช้อยู่ เจ้ารออยู่ที่นี่สักระยะ จากประสบการณ์ของข้า อย่างน้อยก็รอสักสามสี่วัน อย่างมากก็สิบกว่าวัน หลังจากเจ้าเข้าไปในสถานที่แห่งนี้แล้ว ก็ให้วางป้ายไว้บนรอยเว้าตรงพื้น ทุกวันจะถูกหักแต้มคุณูปการหนึ่งพันแต้ม หากแต้มคุณูปการไม่พอล่ะก็ เจ้าจะถูกชั้นจำกัดภายในถ้ำส่งออกมา” ผู้เฒ่าชุดขาวเงยหน้ากล่าวอย่างราบเรียบ และโยนป้ายคืนให้หลิ่วหมิง ขณะเดียวกันก็กวาดสายตาดูศิษย์สายในสองคนที่นั่งอยู่บนเบาะ


หลิ่วหมิงเก็บป้ายเข้าไปที่เดิม จากนั้นก็ค่อยๆ เดินไปนั่งลงบนเบาะด้านข้างอย่างรู้งาน


ก่อนมาเขาได้สืบมาอย่างดีแล้ว เป็นเพราะถ้ำวายุสวรรค์มีเพียงแค่สิบแปดหลัง ไม่เพียงพอต่อความต้องการของศิษย์ในนิกาย จึงต้องรอต่อคิวเป็นธรรมดา ดีที่ว่ารอเพียงแค่สิบวันก็ได้แล้ว


เวลาสิบวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ภายในห้องโถงยังคงมีคนสี่ห้าคนต่อแถวอยู่ และตอนนี้หลิ่วหมิงก็ยืนอยู่ในค่ายกลส่งตัวหลังหนึ่งแล้ว


พอผู้เฒ่าชุดขาวพลิกฝ่ามือ กระจกโบราณสีขาวบานหนึ่งก็ปรากฏออกมา และเขาก็ร่ายคาถาออกมาเบาๆ จากนั้นแสงขาวก็พุ่งออกจากกระจกโบราณ และตกลงบนตัวหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีขาวจางๆ หนึ่งชั้น ราวกับว่าร่างกายจะถูกแช่ด้วยของเหลวอุ่นๆ


“นี่คือวิชา ‘จิตวิญญาณลี้ลับ’ สามารถป้องกันพลังกัดกร่อนของพายุได้ ช่วยให้เจ้าปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมภายในถ้ำได้ แต่ว่ามันจะอยู่ได้นานเจ็ดวันเท่านั้น หลังเจ็ดวันผ่านไป หากไม่มาสามารถทนพลังของวายุสวรรค์ได้ ก็ให้นำป้ายออกมา และรอเพียงสิบอึดใจก็จะถูกส่งตัวออกมาเอง” ผู้เฒ่าชุดขาวกล่าวกำชับ


“ขอบคุณผู้อาวุโสที่เตือน” หลิ่วหมิงประสานมือคารวะแล้วกล่าวออกมา


พอผู้เฒ่าชุดขาวโบกมือข้างหนึ่ง ค่ายกลส่งตัวก็เริ่มหมุนวน


หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงแค่ว่ามีแสงเจิดจ้าตรงหน้า ร่างกายหนักลง และครู่ต่อมาก็มาปรากฏตัวภายในถ้ำแห่งหนึ่ง


“ฟู่!” พายุเย็นสะท้านพัดออกมาจากในถ้ำ


ตอนที่ 607 ปีศาจคู่เผิงหมัว

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากพายุนี้ม้วนตัวออกจากถ้ำ หลิ่วหมิงก็รู้สึกร่างกายสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว ราวกับถูกมือยักษ์นับร้อยนับพันผลักไปซ้ายทีขวาทีจนเกือบปลิว หลังจากกระตุ้นพลังถึงสามารถทรงตัวได้อย่างมั่นคง


ครู่ต่อมา ไอเย็นเสียดกระดูกก็โจมตีเข้ามา ราวกับทะลุเข้าไปในกระดูกทั่วร่าง ขณะนั้นเอง แสงสีขาวบนตัวเขาก็สว่างและมืดลงอีกครั้ง และไอเย็นเสียดกระดูกก็ลดไปกว่าครึ่งหนึ่ง


หลังจากหลิ่วหมิงรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยแล้ว ถึงกวาดสายตาสังเกตดูบรรยากาศรอบด้าน


ทั้งสองด้านของถ้ำเป็นสีดำทั้งแถบ พอใช้จิตกวาดดูก็ดูราวกับว่ามันไม่มีที่สิ้นสุด ไม่อาจค้นพบความผิดปกติใดๆ ได้


พายุบ้าระห่ำที่ไม่มีวันหมดสิ้นนี้ ดูราวกับพัดมาจากปรโลก ไม่รู้ว่ามันแผ่ขยายไปถึงสถานที่แห่งใด


ผนังถ้ำทั้งสองด้านเป็นหินสีดำ ภายใต้การกัดกร่อนของพายุมานานหลายปี ทำให้ผิวของมันเกลี้ยงเกลาเป็นอย่างมาก แทบมองไม่เห็นรอยตะปุ่มตะป่ำเลย


และบนพื้นที่เขาเหยียบกลับมีภาพค่ายกลประทับอยู่ ตรงกลางมีรอยเว้าขนาดครึ่งฉื่อ มีรูปร่างคล้ายกับป้ายของศิษย์สายในมาก


หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็วางป้ายลงไป


มีแสงเปล่งประกายบนป้ายทันที แต้มคุณูปการในนั้นถูกหักไปหนึ่งพันแต้ม


ต่อมา หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ไอดำบนตัวพวยพุ่งออกมารอบด้าน มีเสียงแตกหักดังขึ้นภายในร่าง จากนั้นร่างเขาก็ขยายใหญ่หนึ่งส่วน และค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในสถานที่แห่งนี้


เวลาเจ็ดวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว แสงสีขาวจางๆ ที่ผู้เฒ่าชุดขาวใส่ไว้บนตัวหลิ่วหมิงก็ติดๆ ดับๆ


หลังจากวันที่เจ็ดผ่านไปครึ่งวัน แสงสีขาวจางๆ บนตัวหลิ่วหมิงก็ค่อยๆ หายไปอย่างไร้ร่องรอย


ในขณะเดียวกัน พายุรุนแรงก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า พลังไอเย็นเสียดกระดูกห่อหุ้มอยู่รอบตัว ต่อให้จะมีเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬปกป้องไว้ หลิ่วหมิงก็ยังคงรู้สึกชาด้วยความเจ็บปวด


ความรู้สึกนี้ราวกับถูกมีดไร้รูปที่อยู่ท่ามกลางพายุกรีดไปยังเส้นลมปราณชีพจรต่างๆ และกัดกร่อนภายในร่างของเขา


“พลังวายุสวรรค์นี้ร้ายกาจจริงๆ…..”


ดีที่ว่าหลิ่วหมิงได้เตรียมการไว้ก่อนแล้ว พอกระตุ้นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ไอดำบนตัวก็พวยพุ่งอย่างบ้าคลั่ง และกลายเป็นมังกรกับพยัคฆ์อย่างละสองตัว หลังจากมังกรพยัคฆ์กระโดดไปกระโดดมาอยู่พักหนึ่ง ก็จมหายเข้าไปในร่างทั้งหมด ทำให้ร่างของเขาขยายใหญ่ขึ้นมาอีกหนึ่งส่วน และแรงกัดกร่อนของพายุก็ลดลงทันที


ดูท่าหากคนธรรมดาอยู่ที่นี่ต่ออีกครู่เดียว กายเนื้อคงจะถูกกัดกร่อนจนกลายเป็นโคลนไปแล้ว มิน่าล่ะศิษย์ที่ถูกส่งออกไปในก่อนหน้านั้น ถึงได้มีท่าทีกระเซอะกระเซิงเป็นอย่างมาก


และในขณะนี้ เขารับรู้ถึงพลังการโจมตีของพายุกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่ต่อต้านได้อย่างชัดเจน ราวกับว่ากระดูกของมือเท้าทั้งสี่ถูกอะไรบางอย่างค่อยๆ บีบให้ออกจากร่าง


หลิ่วหมิงหยิบโอสถจิตหยวนออกมาทานหนึ่งเม็ด หลังจากสูดหายใจลึกๆ มือทั้งสองก็ทำท่ามืออยู่ไม่หยุด ไอดำบนตัวค่อยๆ พวยพุ่งขึ้นมา และค่อยๆ เริ่มโคจรพลังเวทตามวิธีการที่กล่าวไว้ในเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ใช้พายุชุบร่างกายและล้างไขกระดูก


เวลาสองเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ขณะนี้ผิวหนังของหลิ่วหมิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ถูกปกคลุมไปด้วยสสารสีเทาเข้มแปลกๆ  ทั้งยังรู้สึกเหนียวๆ ด้วย มันแผ่กลิ่นที่บอกไม่ถูกออกมา


หลิ่วหมิงลืมตาทั้งสองขึ้นมาทันที ไอดำบนตัวที่ดูคล้ายกับหนวดสัมผัสเจ็ดแปดเส้น กระพริบหายเข้าไปในร่าง พอทำท่ามือด้วยมือเดียว วารีกลุ่มหนึ่งก็ชำระตัวเขาจากบนลงล่าง จนสิ่งแปดเปื้อนบนร่างกายหายไปหมดสิ้น


จากนั้นเขาก็ลุกขึ้น และหยิบป้ายบนค่ายกลขึ้นมา


หลังผ่านไปสิบอึดใจ แสงสีเขียวก็เปล่งประกายจากค่ายกลส่งตัว และร่างของเขาก็มาปรากฏตัวในวิหารหินอีกครั้ง


ภายในห้องโถงยังคงมีศิษย์สายในสามคนนั่งรอคอยอยู่ด้านข้าง เมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าเห็นหลิ่วหมิงมาปรากฏตัว ก็รีบลุกขึ้นด้วยความดีใจ


หลิ่วหมิงจัดเสื้อและประสานมือคารวะผู้เฒ่าชุดขาวที่นั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ด้วยสีหน้าปกติ จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ออกไปจากวิหารสีดำ


เมื่อหลิ่วหมิงจากไปแล้ว ผู้เฒ่าชุดขาวถึงลืมตาทั้งสองมองดูหลังหลิ่วหมิงด้วยแววตาครุ่นคิด


สิ่งที่หลิ่วหมิงไม่รู้ก็คือ เดิมทีถ้ำวายุสวรรค์แห่งนี้เป็นสิ่งที่ออกแบบมาเพื่อให้ศิษย์สายในชุบร่างล้างไขกระดูก เพิ่มความแข็งแกร่งของกายเนื้อ ต่อให้จะไม่ใช่ผู้ฝึกร่าง แต่แค่อยู่ที่นี่เจ็ดวันโดยมีวิชาจิตวิญญาณลี้ลับคอยช่วยเสริม ก็ทำให้กายเนื้อแข็งแกร่งขึ้นมาไม่น้อย


แต่ศิษย์สายในโดยทั่วไป เมื่อวิชาจิตวิญญาณลี้ลับหายไปหลังเจ็ดวัน มักจะไม่สามารถต้านทานการกัดกร่อนของพายุได้ และก็เลือกที่จะถูกส่งออกมาทันที


แต่ว่าหากยังยืนหยัดอยู่ต่อ ผลลัพธ์ของการชุบร่างก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ็ดวันก่อนจะสามารถเปรียบเทียบได้


และต่อให้จะเป็นผู้ฝึกร่างระดับผลึก ก็พบเจอได้น้อยมากที่จะยืนหยัดอยู่ในถ้ำวายุสวรรค์ได้เกินหนึ่งเดือนขึ้นไป


ด้วยเหตุนี้การที่หลิ่วหมิงอยู่ในนั้นนานถึงสองเดือน ย่อมทำให้ผู้เฒ่าชุดขาวรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก


……


หลิ่วหมิงเหยียบเมฆดำค่อยๆ เหาะไปบนอากาศ และกำลังนึกถึงประสบการณ์ในช่วงสองเดือนนี้ด้วยสีหน้าปลาบปลื้ม


ถ้ำวายุสวรรค์เป็นอย่างที่บันทึกไว้ในคัมภีร์จริงๆ มีผลต่อการฝึกร่างเป็นอย่างมาก


หลังจากผ่านการชุบร่างในถ้ำวายุสวรรค์ สิ่งสกปรกที่ไม่ถูกพบเจอในตอนแรก ก็ถูกขับออกไปจำนวนหนึ่ง พลังเวทก็บริสุทธิ์ขึ้นเล็กน้อย


ที่ทำให้เขารู้สึกดีใจยิ่งกว่าก็คือ คอขวดของเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ก็เริ่มมีร่องรอยของการคลายตัวแล้ว


แต่ดูจากสถานการณ์ของเขา ช่วงเวลาสองเดือนก็ถึงขีดจำกัดในการชุบร่างแล้ว หลังจากนั้นก็ค่อยเป็นค่อยไป ถึงจะสำเร็จขั้นตอนการชุบร่างล้างไขกระดูกที่แท้จริง


แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ถ้ำนี้สามารถเข้าได้ปีละครั้งเท่านั้น เขาเชื่อว่าเพียงแค่เข้าออกอีกไม่กี่ครั้ง ก็จะฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สามจนสมบูรณ์อย่างรวดเร็ว


ครึ่งชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงกลับมายังถ้ำที่พักในยอดเขาลั่วโยวอีกครั้ง และเริ่มกักตัวในทันที


หลังจากทานโอสถผลึกเย็นไปหนึ่งเม็ดแล้ว ก็เริ่มนั่งขัดสมาธิเข้าฌาน ดูดซับปราณหยิน ชุบหลอมร่างกาย และเตรียมเข้าไปฝึกฝนในถ้ำวายุสวรรค์ครั้งหน้า


เวลาในแต่ละวันค่อยๆ ผ่านไป ถ้ำหมายเลขยี่สิบเก้าในยอดเขาลั่วโยว ก็ปิดสนิทตลอดปี


แม้แต่ศิษย์ภายในยอดเขาลั่วโยวด้วยกัน ก็มีคนเห็นศิษย์น้องหลิ่วหมิงที่เพิ่งเข้ามาใหม่ผู้นี้ยากมาก


หนึ่งปีต่อมา


ตลาดฉางหยางที่อยู่ห่างออกไปหมื่นลี้


ภายในตลาดยังคงมีเสียงคนดังโกลาหลไปหมด ผู้มีฝึกฝนเดินเข้าเดินออกอย่างต่อเนื่อง


ภายในร้านค้าเผ่าค้างคาวทางด้านใต้ในขณะนี้ ชายฉกรรจ์หน้าดำรูปร่างกำยำเดินออกจากร้านพร้อมกับเถ้าแก่ชุดดำ


ชายฉกรรจ์หน้าดำก็คือหลิ่วหมิงที่แปลงโฉมมา


หลังจากฝึกฝนติดต่อกันมาหลายปี โอสถผลึกเย็นบนตัวเขาก็เริ่มไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงกลับมายังตลาดฉางหยางอีกครั้ง เพื่อซื้อวัตถุดิบปรุงโอสถจำนวนหนึ่ง และปรุงโอสถผลึกเย็นกับโอสถจินหยวนจำนวนมากมาเตรียมไว้


“สหายเย่ไม่ได้มาร้านเราเป็นเวลาเกือบสิบปีแล้ว” เถ้าแก่ชุดดำถอนหายใจกล่าวออกมา


“หลายปีมานี้อาจารย์ข้ายุ่งกับเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งมาโดยตลอด ช่วงนี้ถึงพอมีเวลาว่าง แต่เถ้าแก่วางใจได้เลย โอสถที่อาจารย์ข้าปรุงขึ้นมาจะขายให้กับเผ่าของท่านเท่านั้น ไม่ขายให้ผู้อื่นโดยเด็ดขาด” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าสงบ


เถ้าแก่ชุดดำได้ยินย่อมพยักหน้าเบาๆ


ทั้งสองพูดคุยกันอีกสองประโยค จากนั้นหลิ่วหมิงก็ขอตัวลา


เถ้าแก่ชุดดำมองตามหลังหลิ่วหมิงที่เดินออกไปไกลๆ และถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในร้าน


ในขณะเดียวกัน บริเวณที่อยู่ห่างจากร้านค้าเผ่ามนุษย์ค้างคาวไปไม่ถึงร้อยหมี่ ชายหน้าผอมที่สวมชุดสีเหลืองจ้องมองร้านค้าเผ่าค้างคาวที่ตกแต่งอย่างงดงามด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็เดินไปทางที่หลิ่วหมิงจากไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น


ครึ่งชั่วยามผ่านไป เมฆดำก้อนหนึ่งก็พยุงร่างชายฉกรรจ์หน้าดำ และพาออกไปจากตลาดฉางหยาง


เกือบจะในเวลาเดียวกัน แสงหลบหลีกสีเหลืองก็พุ่งออกจากตลาดฉางหยางด้วยเช่นกัน จากนั้นก็พุ่งเข้าไปในป่าแห่งหนึ่ง และตามติดเมฆดำที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างไม่รีบร้อน


ไม่นาน เมฆดำก็เพิ่มความเร็วขึ้นมาทันที และพุ่งออกไปไกลๆ ด้วยความเร็วที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้


ภายใต้ความรีบร้อน เงาร่างสีเหลืองจึงไม่คิดที่จะหลบซ่อนตัวอีกต่อไป เขาเหาะขึ้นไปบนอากาศและเพิ่มความเร็วตามติดไปทันที


แต่หลังจากเมฆดำเหาะออกไปได้หลายลี้ มันก็กระพริบหายไปราวกับฟองอากาศ และกลายเป็นควันสีดำก่อนสลายไปอย่างรวดเร็ว


เงาร่างสีเหลืองที่ตามติดมาเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที แต่เขายังไม่มันหมุนตัวกลับมา ก็มีน้ำเสียงราบเรียบดังขึ้นด้านหลัง


“ท่านตามข้ามาตั้งแต่ตลาดฉางหยาง ไม่ทราบว่าเพื่อสิ่งใดกันหรือ?”


ชายชุดเหลืองได้ยินก็รีบหันกลับมาด้วยความตกใจ จะเห็นว่ามีชายฉกรรจ์หน้าดำผู้หนึ่งยืนนิ่งอยู่ไม่ไกล และจ้องมองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น


ชายฉกรรจ์หน้าดำผู้นี้ย่อมเป็นหลิ่วหมิงด้วยพลังจิตอันแข็งแกร่งของเขา ทำให้รับรู้ได้อย่างง่ายดายว่ามีคนตามมา ด้วยเหตุนี้จึงเล่นลูกไม้เล็กน้อย เพื่อให้เขาเผยตัวออกมา


“เข้าใจผิดแล้ว……เข้าใจผิดแล้ว…… ข้ามาที่นี่โดยบังเอิญ……” ชายชุดเหลืองกลอกลูกตาไปมา และยิ้มในเชิงขอโทษ


แต่พอพูดออกมาได้ครึ่งหนึ่ง ดวงตาของชายชุดเหลืองก็เผยแววโหดเหี้ยมออกมา และตะโกนอย่างเฉียบขาด


“ลงมือ!”


เส้นสีแดงสองเส้นพุ่งขึ้นมาจากด้านหนึ่งของป่า และกระพริบมายังหน้าอกหลิ่วหมิง


ในขณะเดียวกัน ชายชุดเหลืองก็เอามือทั้งสองมาถูกัน จากนั้นแสงดาบสีดำก็พุ่งออกจากแขนเสื้อ และฟันลงบนท้องน้อยของหลิ่วหมิง


เดิมทีทั้งสองก็อยู่ใกล้มาก แสงดาบกระพริบแค่ทีเดียวก็มาถึงตรงหน้าหลิ่วแล้ว


หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัด พอโบกมือข้างหนึ่ง ไอดำราวกับหมึกก็พวยพุ่งออกมาปกคลุมร่างเขาไว้


เส้นสีแดงทั้งสองกับแสงดาบสีดำทิ่มลงไปในไอดำ จากนั้นก็มีเสียงปะทะกันดังเต๊งๆ ทำให้ไอดำพวยพุ่งไม่หยุด


ชายฉกรรจ์ชุดแดงผู้หนึ่งกระโดดขึ้นมาจากด้านหนึ่งของป่า และเขากับชายชุดเหลืองก็ยืนขวางทางหลิ่วหมิงไว้


“ฮ่าๆ! รสชาติเข็มแสงโลหิตของข้าเป็นอย่างไรบ้าง รีบมอบหินจิตวิญญาณบนตัวให้ข้าแต่โดยดี ข้าจะได้ให้เจ้าตายอย่างสบายใจ” ชายฉกรรจ์ชุดแดงหัวเราะและกล่าวออกมาด้วยความพอใจ


ชายชุดเหลืองก็ยิ้มอย่างเยือกเย็น


การรวมพลังโจมตีของทั้งสองนั้นช่ำชองอย่างหาที่เปรียบมิได้ แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะดูมีพลังเวทไม่ด้อยเลย แต่เขาก็มีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายเช่นกัน และชายฉกรรจ์ชุดแดงก็มีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลาง ทั้งสองร่วมมือกันลอบโจมตี จะต้องไม่มีเหตุผลที่จะผิดพลาดอย่างแน่นอน


ทั้งสองคือปีศาจคู่เผิงหมัวที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในบรรดาผู้ฝึกฝนชั่วร้าย อาศัยพื้นที่บริเวณใกล้ๆ ตลาดฉางหยาง จ้องหาโอกาสปล้นผู้ฝึกฝนที่มาคนเดียว


โดยเฉพาะผู้ที่เข้าไปในร้านขนาดใหญ่ บนตัวน่าจะมีสมบัติจำนวนมาก ซึ่งเป็นเป้าหมายของพวกเขา


วันนี้เห็นหลิ่วหมิงเข้าไปในร้านเผ่าค้างคาว ชายชุดเหลืองผู้นี้ก็อดใจเต้นไม่ได้


“ที่แท้นี่ก็เป็นท่าไม้ตายของพวกเจ้า ช่างทำให้ข้ารู้สึกผิดหวังเสียจริง” ทันใดนั้น พลันมีน้ำเสียงราบเรียบของหลิ่วหมิงดังออกมาท่ามกลางไอดำ


ตอนที่ 608 พบกับหลัวโหวอีกครั้ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ปีศาจคู่เผิงหมัวรีบปล่อยพลังออกไปด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที แต่อาวุธจิตวิญญาณของทั้งสองกลับสูญเสียการเชื่อมต่อกับจิต ราวกับควายดินเหนียวที่จมลงท้องทะเล


ไอดำค่อยๆ หายไป เผยให้เห็นร่างของหลิ่วหมิงอีกครั้ง จะเห็นว่าบนมือขวาของเขามีกลุ่มไอสีดำขนาดเท่าหัวคนลอยอยู่


ท่ามกลางไอดำ มีเข็มบินสีแดงที่มีความยาวแตกต่างกันสองเล่มกับดาบบินสีดำหนึ่งเล่มลอยอยู่


แต่ไม่ว่าทั้งสองจะกระตุ้นพลังเวทอย่างไร พวกมันก็ไม่มีการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย


ปีศาจคู่เผิงหมัวมีสีหน้าซีดขาว ไหนเลยจะไม่รู้ว่าเตะโดนกระดานเหล็กเข้าแล้ว หลังจากสบตากันหนึ่งที ทั้งสองก็หมุนตัวพุ่งหนีไปโดยมิได้นัดหมาย


“ยังคิดจะหนีอีก?” หลิ่วหมิงหัวเราะอย่างเยือกเย็น แขนทั้งสองขยายใหญ่ ไอดำพวยพุ่งออกจากร่างอย่างบ้าคลั่ง พลังอันน่ากลัวม้วนตัวออกไปทันที


ปีศาจคู่เผิงหมัวเพิ่งพุ่งออกไปได้สิบกว่าจั้ง ก็ถูกไอดำห่อหุ้มไว้ ทันใดนั้นไอดำก็ปกคลุมรอบด้าน มีเสียงแผดร้องของไอดำดังขึ้นข้างหู ราวกับว่าถูกพาไปยังอีกโลกหนึ่ง


ในช่วงเวลาหนึ่งปีหลังจากชุบร่างด้วยพลังของวายุสวรรค์ นี่คือพลัง ‘คุกมืด’ ที่หลิ่วหมิงค่อยๆ ทำความเข้าใจมาจากการฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ด้วยรากฐานพลังเวทของตนเอง สามารถสร้างมิติที่สามารถควบคุมได้อย่างอิสระ ใช้กักขังศัตรูไว้ในนั้น


นี่เป็นพลังวิเศษแท้จริงที่รวมชั้นจำกัด การสังหาร วิชามายาไว้ด้วยกัน


ว่ากันว่าเมื่อฝึกฝนวิชานี้จนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ ยังสามารถก่อตัวปีศาจระดับพลทหาร ปีศาจระดับขุนพล จนกระทั่งราชาปีศาจไว้ไว้ในมิติคุกมืดได้ และโจมตีฝ่ายตรงข้ามจนตายทั้งเป็นโดยไม่รู้ตัว


มีเสียงร้องตกใจของปีศาจคู่เผิงหมัว และเสียงระเบิดดังออกจากไอดำอยู่ไม่หยุด ราวกับว่าทั้งสองกำลังต้านทานอะไรบางอย่างอย่างสุดชีวิต


แต่หลังจากมีเสียงร้องออกมาอย่างเวทนา ไอดำก็พวยพุ่งอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นมันก็สลายไปอย่างรวดเร็ว


“ตู้ม!” “ตู้ม!” ศพไร้หัวสองศพร่วงลงกลางอากาศ


พอหลิ่วหมิงคว้ามือข้างหนึ่งออกไป ก็มีเสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” ยันต์เก็บของจำนวนมากพุ่งออกจากศพไร้หัวทั้งสอง และร่วงลงในมือของเขา


หลิ่วหมิงกวาดจิตดูภายในยันต์เก็บของแล้วพยักหน้าทันที แต่ในใจกลับรู้สึกพอใจกับพลังคุกมืดที่เพิ่งใช้ครั้งแรกเป็นอย่างมาก


หากพลังวิเศษนี้สามารถแสดงออกมาพร้อมกับโล่เก้ากะโหลกได้ล่ะก็ คิดว่าอานุภาพของมันคงจะเพิ่มขึ้นเป็นทวี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพลังคุกมืดที่เพิ่งเข้าสู่ขั้นแรกเท่านั้น ต่อไปยังมีพลังแฝงให้ขุดค้นอีกมาก


พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อ ลูกไฟสองลูกก็พุ่งใส่ศพไร้หัวทั้งสอง และเผาไหม้จนกลายเป็นขี้เถ้า


จากนั้นเขาก็เปลี่ยนท่ามือ ทรายทองคำร่วงพยุงร่างของเขาขึ้นมา และกลายเป็นแสงสีทองพุ่งยิงออกไป


การเดินทางไปตลาดฉางหยาง เป็นแค่ขั้นตอนหนึ่งในการฝึกฝนของหลิ่วหมิง ไม่นานเขาก็ลืมเรื่องราวเหล่านี้ทั้งหมด


หลายปีต่อมา


ภายในถ้ำที่พักของหลิ่วหมิงที่ตั้งอยู่บนยอดเขาลั่วโยว


ไอดำจำนวนมากปกคลุมเต็มถ้ำ ขยายและหดตัวเป็นจังหวะ ราวกับหัวใจสีดำที่กำลังเต้นอยู่


ทันใดนั้น มีเสียงแผดร้องดังมาจากไอดำ หลังจากไอดำพวยพุ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก็ควบแน่นเป็นมังกรดำและพยัคฆ์ดำอย่างละสามตัว พวกมันพากันหมุนวนรอบตัวหลิ่วหมิงไม่หยุด


เสียงมังกรคำรามดังขึ้นติดต่อกัน


หลิ่วหมิงเอามือทั้งสองข้างถูกันแล้วแยกออก พอทำท่ามือติดต่อกันหลายท่า มังกรพยัคฆ์ทั้งสามก็กลายเป็นไอดำพวยพุ่งทันที จากนั้นก็จมหายไปในศีรษะราวกับปลาวาฬดูดน้ำ


หลิ่วหมิงเผยสีหน้าตื่นเต้นออกมา


เขาใช้เวลาห้าปี สามแสนแต้มคุณูปการ ผ่านการชุบหลอมร่างในถ้ำวายุสวรรค์ห้าครั้ง ในที่สุดก็ฝึกเคล็ดวิชามังกรทมิฬขั้นที่สามสำเร็จ และเข้าสู่ระดับของเหลวอย่างสมบูรณ์แบบ


พอรับรู้ถึงพลังเวทที่พลุ่งพล่านภายในร่าง หลิ่วหมิงก็เผยสีหน้าดีใจจนถึงขีดสุด


“นายท่าน……”


ดูเหมือนว่าหัวบินกับแมงป่องกระดูกจะรับรู้ได้ถึงอาการดีใจของหลิ่วหมิง พวกมันพุ่งเข้ามาจากมุมห้องอย่างรวดเร็ว และลูบไล้ชายเสื้อหลิ่วหมิงอย่างสนิทสนม


ห้าปีมานี้หลิ่วหมิงวางพวกมันไว้ในถ้ำที่พักอยู่ตลอด เพื่อดูดซับปราณจิตวิญญาณและให้ทำการฝึกฝนเอง


หลังจากผ่านมาห้าปี พลังของหัวบินกับแมงป่องกระดูกก็มีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่ทว่ายังไม่ถึงระดับของเหลวขั้นปลายอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็มีพลังเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านั้นอยู่บ้าง


แต่ไม่ว่าจะเป็นแมงป่องกระดูกหรือหัวบินก็ตาม หากไม่มีโอกาสอันดีล่ะก็ เดิมทีก็เป็นอสูรเลี้ยงที่ต้องสะสมการฝึกฝนเป็นเวลานานถึงมีความก้าวหน้าได้ ด้วยเหตุนี้หลิ่วหมิงจึงไม่ได้สนใจเรื่องนี้


หลิ่งหมิงลูบอสูรเลี้ยงทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง และเก็บพวกมันไว้ในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ออกไปจากถ้ำ


ระยะนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แม้ว่าผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ของยอดเขาลั่วโยวจะทยอยกลับยอดเขามาแล้ว แต่กลับไม่มีใครคิดที่จะรับหลิ่วหมิงเป็นศิษย์เลย


และผู้ควบคุมยอดเขาลั่วโยวผู้นั้น ก็ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน


ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าหลิ่วหมิงจะเป็นศิษย์สายในของยอดเขาลั่วโยว แต่กลับยังต้องทำการฝึกฝนเอง


ซึ่งเขาก็ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้


เพราะเป้าหมายหลักของการเข้าเป็นศิษย์สายในก็คือ เพื่ออาศัยทรัพยากรและสถานะของศิษย์สายในทำการฝึกฝน ใช่ว่าจะต้องมีคนอื่นๆ มาชี้แนะแล้วถึงจะทำการฝึกฝนต่อได้


และตอนนี้เขาก็เข้าถึงระดับของเหลวอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ต่อไปก็เตรียมทำการทะลวงระดับผลึก


ไม่นาน เมฆดำกลุ่มหนึ่งก็พุ่งขึ้นจากตีนยอดเขาลั่วโยว และตรงดิ่งไปยังปลายยอดเขา


ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป หลิ่วหมิงมาถึงหน้าหอบางแห่งที่อยู่บนยอดเขา และหลังจากแสดงป้ายประจำตัวเปิดชั้นจำกัดแล้ว ก็เดินขึ้นชั้นสามโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง


หอนี้เป็นหอเก็บคัมภีร์ที่ยอดเขาลั่วโยวเก็บคัมภีร์ไว้จำนวนหนึ่ง ด้านในไม่เพียงแต่จะมีเคล็ดวิชาให้ศิษย์สายในนำไปฝึกฝน ทั้งยังมีคัมภีร์บรรพกาลต่างๆ ที่ทางยอดเขารวบรวมขึ้นมาเอง เพื่อให้ศิษย์ในยอดเขาได้ศึกษา แม้กระทั่งยังมีคัมภีร์จำนวนหนึ่งที่แม้แต่หอเก็บคัมภีร์ที่อยู่ภายนอกก็ใช่ว่าจะมี


แน่นอน! ตอนที่ศิษย์ยอดเขาลั่วโยวศึกษาคัมภีร์เหล่านี้ ย่อมใช้แต้มคุณูปการน้อยกว่าหอเก็บคัมภีร์ที่อยู่ภายนอกมาก และยอดเขาอื่นๆ ต่างก็มีหอคัมภีร์ที่คล้ายคลึงกัน


นี่ก็เป็นหนึ่งในข้อดีของการเป็นศิษย์สายใน


ไม่นาน หลิ่วหมิงก็อยู่ท่ามกลางชั้นหนังสือทางด้านตะวันออกของหอชั้นที่สาม เขาหาแผ่นหยกที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ระดับผลึกจนเจอ


เขาโบกป้ายประจำตัวใส่แผ่นหยกเบาๆ พอแสงสีเขียวพุ่งยิงเข้าไปในคัมภีร์ ลวดลายจิตวิญญาณสีเทาบนคัมภีร์ก็เปล่งประกาย ชั้นจำกัดค่อยๆ เปิดออก และแต้มคุณูปการบนป้ายประจำตัวก็ลดลงไปหนึ่งร้อยแต้ม


หลิ่วหมิงนำแผ่นหยกไปแปะไว้บนหน้าผาก และปล่อยจิตรับรู้ไปอ่านอย่างละเอียด


ตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ ระดับผลึกที่พูดถึงเดิมทีหมายถึงการฝึกฝนในระดับหนึ่ง จนทะเลจิตวิญญาณไม่อาจบรรจุพลังที่เป็นของเหลวได้อีกต่อไป ด้วยเหตุนี้จึงเกาะผนึกเป็นเม็ดผลึก


และขณะที่เข้าสู่ระดับผลึก พลังเวทที่เกาะผนึกเป็นผลึกยิ่งมาก ย่อมเป็นสิ่งที่แสดงถึงความหนาแน่นของพลังเวทต้นกำเนิด และศักยภาพในการฝึกฝนก็จะมากขึ้นในอนาคตด้วย


โดยทั่วไปแล้ว ขณะที่ผู้ฝึกฝนสามชีพจรจิตวิญญาณเข้าสู่ระดับผลึกนั้น สามารถเกาะผนึกผลึกพลังเวทได้เก้าเม็ด หกชีพจรจิตวิญญาณเกาะผนึกได้สิบแปดเม็ด เก้าชีพจรจิตวิญญาณเกาะผนึกได้สามสิบหกเม็ด สิบสองชีพจรจิตวิญญาณเกาะผนึกได้เจ็ดสิบสองเม็ด ส่วนชีพจรจิตวิญญาณสวรรค์ในตำนานย่อมเกาะผนึกได้หนึ่งร้อยสี่สิบสี่เม็ด


และเมื่อเทียบกับการเปลี่ยนพลังต้นกำเนิดเป็นของเหลวในการเข้าสู่ระดับของเหลวนั้น การที่พลังต้นกำเนิดกลายเป็นผลึกย่อมยากกว่าหลายเท่า ผู้ฝึกฝนที่สามารถทะลวงคอขวดได้ย่อมมีน้อยมาก


ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป หลิ่วหมิงนำคัมภีร์กลับไปไว้ที่เดิม และใช้สองร้อยแต้มคุณูปการศึกษาคัมภีร์อีกเล่มที่เกี่ยวข้องกับอัตราความสำเร็จในการทะลวงระดับผลึก


ตามบันทึกในคัมภีร์ ยันต์ประเภททะลวงเส้นลมปราณที่ใช้ทะลวงคอขวดระดับของเหลวขั้นปลายเพื่อกระตุ้นพลังในตอนแรกนั้น ดูเหมือนว่าจะมีผลต่อการทะลวงระดับผลึกน้อยมาก


และวัตถุจิตวิญญาณฟ้าดินในตำนานก็ช่วยในการทะลวงระดับผลึกได้บ้าง ยกตัวอย่างเช่น รากโสมหมื่นปี โลหิตบริสุทธิ์ของอาชากายสิทธิ์ เป็นต้น แต่สิ่งของเหล่านี้เป็นสิ่งที่พบเจอได้น้อยมาก หากจะอาศัยวิธีธรรมดาในการได้มันมา ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้


แต่ในคัมภีร์ก็กล่าวถึงอยู่ ในเมื่อนิกายยอดบริสุทธิ์เป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ของมนุษย์ ย่อมมีวิธีการเฉพาะในการช่วยศิษย์ของตนเองทะลวงระดับผลึก ซึ่งก็คือกระจกแยกสมานหยินหยางที่เป็นสมบัติของนิกายนั่นเอง


กระจกนี้สามารถเปลี่ยนปราณพลังฟ้าดินในอากาศให้กลายเป็นปราณหยินหยางได้ และใส่เข้าไปในร่างของผู้ที่ทำการทะลวงระดับ ทำให้อัตราการทะลวงระดับเพิ่มขึ้นมากว่าสองส่วน


แต่ทุกครั้งที่ใช้กระจกแยกสมานหยินหยางต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก ดังนั้นศิษย์สายในต้องชำระแต้มคุณูปการสองแสนห้าหมื่นแต้มถึงจะสามารถใช้ได้หนึ่งครั้ง


หลังอ่านคัมภีร์จบไปสองเล่มแล้ว หลิ่วหมิงก็นั่งขัดสมาธิลงทันที และทำการครุ่นคิดอย่างเงียบๆ เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ของตนเองในตอนนี้


เขามีร่างสามชีพจรจิตวิญญาณ ตามหลักแล้วแทบจะไม่มีโอกาสในการทะลวงระดับผลึกได้สำเร็จเลย แต่หลังจากพลังเวทภายในร่างถูกฟองอากาศลึกลับทำให้บริสุทธิ์ไปหลายครั้ง ทำให้ไม่รู้ว่าความบริสุทธิ์ของมันเหนือกว่าระดับเดียวกันตั้งเท่าไหร่ สิ่งนี้ทำให้อัตราการทะลวงระดับของเขาเพิ่มขึ้นมา


อีกอย่างความแข็งแกร่งของกายเนื้อและพลังจิตของเขา ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถจินตนาการได้ นอกจากนี้ยังมีหนอนพลังจิตคอยช่วยเหลือ ทั้งหมดนี้คงมีส่วนช่วยเขาทะลวงคอขวดระดับผลึกเป็นอย่างมาก


นอกจากนี้แล้ว โล่เก้ากะโหลกที่หลิ่วหมิงมีอยู่ ก็เป็นต้นแบบอาวุธเวท หากนำสมบัติชิ้นนี้มาทำการอบอุ่นสักระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นกระตุ้นชั้นจำกัดที่แฝงอยู่ในนั้นในขณะที่ทะลวงระดับผลึก ก็สามารถดูดรับพลังฟ้าดินบริเวณนั้นได้ ซึ่งมีส่วนช่วยในการทะลวงระดับไม่น้อย


ดังนั้นหลังจากเขาคิดไตร่ตรองไปหนึ่งรอบแล้วก็รู้สึกว่า หากสามารถหาวัตถุจิตวิญญาณฟ้าดินที่จำเป็นมาได้หนึ่งถึงสองอย่าง จากนั้นก็ยืมพลังของกระจกแยกสมานหยินหยาง คงจะมีโอกาสทะลวงระดับผลึกสำเร็จในครั้งเดียวไม่น้อย และเขาเพียงแค่หาแต้มคุณูปการมาจำนวนหนึ่ง ก็พอที่จะใช้สำหรับยืมกระจกแยกสมานหยินหยางได้หนึ่งครั้งแล้ว


เวลาต่อมา หลิ่วหมิงพลิกอ่านคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องอีกสองสามเล่ม พอเห็นว่าเนื้อหาส่วนใหญ่ก็คล้ายๆ กัน จึงไปจากหอเก็บคัมภีร์ และเหยียบเมฆดำกลับไปยังถ้ำที่พักของตนเอง


เขาเตรียมฝึกฝนระดับสมบูรณ์แบบให้เสถียรหนึ่งรอบ จากนั้นก็เตรียมออกไปตามหาวัตถุจิตวิญญาณที่บันทึกไว้ในคัมภีร์เหล่านั้น หลังจากนี้ก็สามารถทะลวงคอขวดระดับผลึกได้แล้ว


วันนี้ เมื่อหลิ่วหมิงทำการฝึกฝนอยู่ในห้องลับตามเป้าที่ตั้งไว้เสร็จแล้ว เขาก็ค่อยๆ กรอกพลังเวทไปยังศิลาหุ่นเทียนที่อยู่ในทะเลจิตรับรู้ เพื่ออาศัยพลังจิตวิญญาณของหนอนพลังจิตเข้าไปฝึกฝนในแดนมายาอีกครั้ง


แต่พอเขาเข้าไปในห้องสีเทาสลัวๆ ชายหนุ่มชุดคลุมสีเขียว อายุราวๆ สิบกว่าปี ก็ยืนรออยู่ที่นั่นนานแล้ว


เขาก็คือหลัวโหวนั่นเอง


ตอนที่ 609 เรือหยกจันทรา

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ผู้อาวุโสหลัวโหว ไม่เจอกันนานเลย” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ยังคงประสานมือกล่าวอย่างนอบน้อม


หลัวโหวไม่ได้เป็นฝ่ายปรากฏตัวก่อนเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว แต่ดูเหมือนว่าทุกๆ หนึ่งปีกว่าๆ จะดึงเอาไอปีศาจแท้บางส่วนจากร่างของหนอนพลังจิตที่หลิ่วหมิงพกเข้าไปในแดนมายา วันนี้กลับมาปรากฏตัวในห้องว่างเปล่าลึกลับ หรือว่าจะมีเรื่องสำคัญอันใด?


“ฮึ! เจ้าไม่ต้องแปลกใจไปว่าทำไมข้าถึงปรากฏตัวออกมา แต่ว่าปัญหาของเจ้ามาแล้ว” หลัวโหวค่อยๆ กล่าวออกมา ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย


“ปัญหา?” หลิ่วหมิงได้ยินย่อมรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก


“ไม่ผิด! ข้าเองก็จะไม่พูดจาไร้สาระให้มากความ หลายเดือนมานี้รอยร้าวของกรงขังค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ลำพังแค่ไอปีศาจของหนอนพลังจิตในตอนนี้ ไม่เพียงพอที่จะประคับประคองให้มั่นคงได้ ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ หากหาไอปีศาจแท้ที่เพียงพอไม่ได้ภายในสองปี เกรงว่าปีศาจที่ถูกผนึกอยู่ในกรงขัง อาจจะปลดปล่อยวิญญาณออกจากรอยแยกได้ และจะทำการชิงร่างของเจ้า” หลัวโหวทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมา


“อะไรนะ! มีเรื่องเช่นนี้ด้วย” สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปทันที


“นอกจากนี้ ข้าอยากจะเตือนเจ้าอีกประโยค ครั้งหน้าที่กรงขังจะดูดพลังเวทนั้น คงเป็นเวลาราวๆ สี่ปีให้หลัง เมื่อถึงตอนนั้นหากเจ้ายังมีระดับการฝึกฝนดังเช่นปัจจุบันนี้ และไม่สามารถเข้าสู่ระดับผลึกได้ล่ะก็ คงไม่อาจรับมือกับการดูดกลืนพลังเวทในครั้งหน้าได้ แม้กระทั่งอาจถูกกรงขังดูดจนตัวแห้ง อายุขัยก็จะลดไปกว่าครึ่งหนึ่งด้วย” หลัวโหวกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก


พอหลิ่วหมิงฟังจบ สีหน้าก็ดูไม่ได้ขึ้นมาจริงๆ


อยากจะหาไอปีศาจแท้จำนวนมากมันไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งยังต้องหาให้ได้ภายในสองปี ดูท่าการทะลวงระดับผลึกคงจะจ่ออยู่แค่หางคิ้วแล้ว มิเช่นนั้นต่อให้จะหาไอปีศาจแท้มาซ่อมแซมกรงขังได้ แต่การถูกฟองอากาศลึกลับดูดเอาอายุขัยไปเกือบครึ่งหนึ่งในครั้งหน้า เขาย่อมไม่ยินยอมอย่างแน่นอน


ขณะนั้นเอง หลัวโหวก็ไม่รอให้หลิ่วหมิงถามอะไรให้มากความ ร่างของเขาพร่ามัว หายไปจากที่เดิมทันที


หลิ่วหมิงยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ส่ายหน้าเบาๆ และเก็บเรื่องทะลวงคอขวดไว้ชั่วคราวก่อน เพื่อเตรียมไปหาไอปีศาจแท้จำนวนมาก


เพราะตอนที่ซ่อมแซมกรงขังไปจนถึงตอนที่ฟองอากาศลึกลับดูดกลืนพลังเวทนั้น ยังมีเวลาอีกสองปีให้เขาทะลวงระดับผลึก แต่ว่าเวลามันกระชั้นชิดไปหน่อย เกรงว่าจะต้องทะลวงให้สำเร็จในครั้งเดียวแล้ว


สำหรับเรื่องที่ว่าจะไปหาไอปีศาจแท้จากที่ใดนั้น เกรงว่าเขาจะต้องวิ่งไปหอเป๋ยโต่วอีกครั้งแล้ว


หอเป๋ยโต่วสันทัดเรื่องข่าวสาร เพียงแค่จ่ายหินจิตวิญญาณที่เพียงพอ คงหาสถานที่ที่มีไอปีศาจแท้ได้ไม่ยาก


แต่ก่อนอื่นเขาจำเป็นต้องเตรียมการสักรอบถึงจะได้


หลังจากคิดไตร่ตรองเช่นนี้แล้ว หลิ่วหมิงก็ไม่มีจิตใจจะไปฝึกฝนในแดนมายาอีก พอเขาลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา ก็ออกจากห้องว่างเปล่าลึกลับสีเทาสลัวๆ ในทันที


เขาเดินวนไปวนมาในห้องลับ และครุ่นคิดอย่างเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงขี่เมฆไปยังหอคุมกฎ


ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ตรงห้องโถงด้านข้างหอคุมกฎ


หลิ่วหมิงกำลังหรี่ตามองตลับหยกที่วางอยู่ตรงหน้า และปล่อยจิตเข้าไปตรวจสอบดูด้านใน ตลับหยกแต่ละใบมีอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่มีคุณภาพไม่ธรรมดาหนึ่งชิ้น


ตามกฎของนิกายยอดบริสุทธิ์ หนึ่งในรางวัลของผู้ที่ฝ่าด่านเจดีย์ชั้นสามสิบหกได้ สามารถเลือกอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่มีสามสิบชั้นจำกัดขึ้นไปได้หนึ่งชิ้น


เข็มหลบเงา อาวุธจิตวิญญาณที่อวินเล๋ยจื่อ ผู้ควบคุมยอดเขาสายฟ้าเมฆาเคยใช้ในสมัยก่อน หนึ่งชุดมีทั้งหมดเจ็ดเล่ม เนื่องจากพุ่งยิงได้รวดเร็วมากๆ จึงเป็นที่รู้จักว่าเป็นเหมือนเงาที่ไม่สามารถจับร่องรอยได้ มีผลดีเป็นอย่างยิ่งสำหรับการต่อสู้ในระยะประชิด


เข็มหลบเงาให้ผลลัพธ์คล้ายกับดัชนีกระบี่ของเขา หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้ว ก็ส่ายหน้าและนำจิตไปสำรวจดูตลับหยกใบที่สอง


มุกสายฟ้า อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่มีสามสิบเอ็ดชั้นจำกัด เป็นมุกกลมๆ ที่สร้างขึ้นมาจากกรงเล็บของอินทรีสายฟ้าระดับผลึก มีพลังของสายฟ้าแฝงอยู่ หากปรับแต่งเป็นต้นแบบอาวุธเวท จะสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ และมีโอกาสเรียกวิญญาณส่วนหนึ่งของอินทรีสายฟ้าออกมาได้


หลิ่วหมิงค่อนข้างใจเต้นกับของสิ่งนี้ แต่หากจะปรับแต่งจากสามสิบเอ็ดชั้นจำกัดไปเป็นสามสิบหกชั้นจำกัดล่ะก็ ค่อนข้างยุ่งยากพอสมควร ไม่เพียงแต่ต้องใช้วัสดุเสริมต่างๆ ที่สำคัญก็คือกว่าจะรวบรวมมาได้ครบต้องใช้เวลาหลายปี ไม่สามารถใช้การในตอนนี้ได้ หลังจากถอนหายใจเบาๆ แล้ว ก็นำจิตเข้าไปสำรวจดูตลับหยกอีกใบ


……


ผ่านไปราวๆ สองชั่วยาม หลิ่วหมิงถึงเดินออกจากห้องโถงข้างหอคุมกฎ ตลับหยกที่อยู่ในมือคือเรือหยกจันทรา อาวุธจิตวิญญาณเหินเวหาระดับสุดยอดที่มีสามสิบสองชั้นจำกัด


แม้ว่าจะยังมีอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดอื่นๆ อีกหลายชิ้น แต่ส่วนมากต้องไปประทับชั้นจำกัดเพิ่มเอง หลังจากปรับแต่งเป็นต้นแบบอาวุธเวท ถึงสำแดงอานุภาพที่แท้จริงออกมาได้


และเรือหยกจันทรานี้สำเร็จมาแล้ว โดยพื้นฐานไม่จำเป็นต้องรวบรวมวัสดุเพื่อยกระดับ ก็สามารถสำแดงอานุภาพอันยิ่งใหญ่ได้ สามารถแก้ปัญหาการขี่เมฆระยะไกลและใช้เวลานานของหลิ่วหมิงได้ ซึ่งช่วยลดเวลาในการเดินทางเป็นอย่างมาก


ดังนั้นอาวุธจิตวิญญาณนี้จึงเหมาะสมที่สุดสำหรับเขาในปัจจุบัน


สำหรับวิชาขี่กระบี่ แม้จะบอกว่าหลบหลีกได้รวดเร็วมาก แต่ด้วยระดับการฝึกฝนของเขาในตอนนี้ ไม่อาจใช้ในการเดินทางได้ ต้องรอสำเร็จวิชาขี่กระบี่เหินเวหาแล้ว จึงจะใช้ในการเดินทางระยะไกลได้


ใต้ท้องเรือหยกจันทรานี้ ยังมีค่ายขนาดใหญ่อยู่หลังหนึ่ง หากใส่ผลึกหินธาตุลมลงไป ก็จะยกระดับความเร็วของมันขึ้นมามาก


ตอนอยู่บนเกาะมัจฉา ตอนที่เฟิงจ้านประมุขพรรคฉางเฟิงใช้เรือหยกเหินเวหานั้น ก็ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกอิจฉาอยู่พักหนึ่ง ดังนั้นพอเห็นเรือหยกนี้ เขาก็เลือกมันอย่างไม่ลังเล


ส่วนที่ว่าเป็นศิษย์สายในแล้ว จะมีโอกาสเรียนวิชาหนึ่งวิชาโดยจ่ายแต้มคุณูปการเพียงครึ่งเดียวนั้น เขากลับไม่อยากจะใช้มันในตอนนี้


หลังจากหลิ่วหมิงประสานมือคารวะศิษย์ดำเนินการแล้ว ก็ออกไปจากหอคุมกฎทันที


บนพื้นราบเรียบกว้างใหญ่ตรงด้านนอกหอคุมกฎ พอเขาตบตลับหยก เรือเล็กๆ สีขาวสลัวๆ ก็พุ่งออกมา


หลังจากหลิ่วหมิงปล่อยพลังเวทใส่เรือหยกแล้ว มันก็กลายเป็นเรือเหาะที่ยาวสิบกว่าจั้ง สูงสี่ห้าจั้ง


พื้นผิวเรือหยกถูกม่านแสงสีขาวน้ำนมปกคลุมไว้ ลวดลายจิตวิญญาณสีทองจางๆ ทั้งสองข้างกระพริบไม่หยุด แลดูมีเสน่ห์ลึกลับเป็นอย่างมาก


พอหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย ศิษย์สองสามคนที่เพิ่งมาถึงเห็นเช่นนี้ ก็พากันมองมาด้วยความอิจฉา


หลิ่วหมิงไม่ได้สนใจสายตาของคนอื่นๆ แต่กลับกระโดดขึ้นบนเรือหยก และปล่อยพลังใส่ค่ายกลแวววาวที่อยู่ส่วนหน้าของเรือติดต่อกัน


“ฟู่!”


ทันใดนั้น เมฆหลายก้อนก็ปรากฏขึ้นทั้งสองด้านของเรือหยก และค่อยๆ พยุงมันขึ้นมา พริบตาเดียวก็กลายเป็นแสงแวววาวพุ่งไปทางตลาดในนิกาย


ในเมื่อจะออกไปหาไอปีศาจแท้ข้างนอก ก็ต้องไปตลาดเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเล็กน้อย


ก่อนหน้านั้นเขาไปตลาดฉางหยางอย่างรีบร้อน จึงไม่ทันงานประมูลใหญ่ในตลาด อีกอย่างมุกพลังวารีทั้งสองเม็ดกับโล่เก้ากะโหลก ก็ได้รับความเสียหายจากการบุกเจดีย์ซวีหลิงเมื่อห้าปีก่อน และยังไม่ได้รับการซ่อมแซมอย่างสมบูรณ์ ครั้งนี้จึงต้องไปซื้อวัสดุหลอมอาวุธจำนวนหนึ่งที่ตลาด


แน่นอนว่านอกจากนี้แล้ว หลิ่วหมิงก็สามารถไปดูว่ามียันต์หรือโอสถอะไรที่เหมาะมือหรือไม่ จะได้ซื้อมาเพิ่ม


……


หนึ่งเดือนต่อมา ห้องลับภายในถ้ำที่พัก หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ เขากำลังชื่นชมมุกสีดำมืดสองเม็ดกับโล่ขนาดเล็กที่อยู่บนมือ พวกมันก็คือมุกพลังวารีกับโล่เก้ากะโหลกที่ถูกฟื้นฟูมาแล้วนั่นเอง


มุกพลังวารียังดีที่สามารถมอบให้ผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธในตลาดทำการฟื้นฟูได้ หลังจากจ่ายหินจิตวิญญาณไปจำนวนหนึ่งแล้ว ก็รับกลับมาได้


แต่โล่เก้ากะโหลกเป็นต้นแบบอาวุธเวท ไม่อาจแสดงให้คนอื่นเห็นได้ง่าย ยิ่งไม่อาจให้คนอื่นทำการซ่อมแซมได้ ด้วยเหตุนี้ตนเองจึงต้องใช้เวลาคิดไม่น้อย เขาซื้อวัสดุราคาแพงจากตลาดมาจำนวนหนึ่ง หลังจากลงมือจัดการเองแล้ว ก็ใช้เวลาสิบกว่าวันถึงซ่อมแซมมันกลับมาได้อย่างสมบูรณ์


และภายในแหวนย่อส่วนยังมีกระบี่เล็กสีเขียวเล่มใหม่วางอยู่ เป็นกระบี่บินระดับสูงที่เขาเพิ่งซื้อมาใหม่ไม่นานมานี้


เนื่องจากกระบี่เล็กสีเทาเล่มนั้น ได้รับความเสียหายจากไปการบุกเจดีย์มากเกินไป มันไม่คุ้มค่าที่จะซ่อมแซมแล้ว ดังนั้นจึงตัดสินใจเปลี่ยนเล่มใหม่ไปเลย


นอกจากนี้แล้ว มุมหนึ่งของแหวนย่อส่วนยังมีผลึกหินธาตุลมเปล่งประกายแวววาวอยู่ และยังมียันต์อยู่ปึกหนึ่งด้วย


หลิ่วหมิงเก็บมุกพลังวารีกับโล่กระดูกเข้าไป และนั่งไตร่ตรองถึงวันที่จะออกนอกนิกาย ทันใดนั้นก็มีเสียงดังหวึ่งๆ บนเอว


หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว และเอามือข้างหนึ่งลูบไปที่เอว แผ่นค่ายกลกลมๆ แผ่นหนึ่งปรากฏในมือ มีอักขระสีเงินจางๆ เปล่งประกายอยู่บนนั้น


“อะไรนะ! ผู้ควบคุมยอดเขากลับมาแล้ว และเรียกศิษย์ในยอดเขาทั้งหมดไปพบที่ห้องโถงใหญ่?” หลังจากหลิ่วหมิงกวาดสายตามองดูอักขระบนแผ่นค่ายกลแล้ว ก็ดูอึ้งไปทันที และพูดพึมพำออกมา


แต่ในเมื่อผู้ควบคุมยอดเขาผู้นั้นเป็นคนถ่ายทอดคำสั่งเอง หลิ่วหมิงก็ไม่อาจไม่ไปไม่ได้


ดังนั้นเขาจึงจัดชุดให้ดูเรียบร้อย จากนั้นก็ขี่เมฆพุ่งไปยังปลายยอดเขา


ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวต่อมา ห้องข้างห้องโถงหลักของยอดเขาลั่วโยวที่ไม่นับว่ากว้างขวางมาก มีศิษย์สายในยี่สิบกว่าคนรวมตัวอยู่เนืองแน่น


คนเหล่านี้คือศิษย์สายในทั้งหมดที่ยังอยู่ในยอดเขาลั่วโยว


คนเหล่านี้ต่างก็มีสีหน้าแตกต่างกันไป ประจักษ์ชัดว่ารู้สึกสับสนกับการถูกเรียกตัวมากะทันหันเช่นกัน หญิงสาวผมสั้น ใบหน้างดงามที่อยู่ตรงหน้าก็คือเสี่ยวอู่ ศิษย์อันดับหนึ่งของยอดเขาลั่วโยวที่เรียกตัวเองว่า ‘ศิษย์พี่ห้า’ นั่นเอง


ชายชุดดำที่อยู่ด้านหลังของนางก็คือศิษย์พี่เฟิง ที่รับตำแหน่งศิษย์ดำเนินการในยอดเขา ไม่รู้ว่าเขาฝึกฝนวิชาอะไร ช่วงเวลาแค่ห้าปีถึงผอมลงอย่างเห็นได้ชัด แต่กลิ่นไอบนตัวกลับแข็งแกร่งขึ้นมาไม่น้อย


ส่วนศิษย์คนอื่นๆ เมื่อวิเคราะห์จากกลิ่นไอบนตัวแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีศิษย์ระดับผลึกกับศิษย์ระดับของเหลวอย่างละครึ่ง ซึ่งต่างก็มีสิบกว่าคน ดูเหมือนว่าศิษย์ระดับของเหลวจะมีชายหนุ่มเตี้ยๆ ผู้หนึ่งเป็นแกนนำ ดูๆ แล้วมีอายุราวๆ ยี่สิบเจ็ดถึงยี่สิบแปดปีเท่านั้น


ชายหนุ่มชุดดำที่ยืนอยู่ในมุมที่ดูไม่เตะตาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง


ตั้งแต่เข้ายอดเขาลั่วโยวมาห้าปี เขาออกไปข้างนอกน้อยมาก จึงไม่คุ้นเคยกับคนที่อยู่รอบตัวเหล่านี้เลย นอกจากทักทายเสี่ยวอู่ในตอนแรกแล้ว เขาก็มายืนอยู่ตรงนี้และไม่พูดอะไรอีก


คนอื่นๆ ก็พูดคุยกันเบาๆ และไม่มีใครเข้ามาตีสนิทเขา


ตอนที่ 610 ท้าสู้

โดย

Ink Stone_Fantasy

มีเก้าอี้ไม้สีดำสองสามตัววางอยู่ข้างที่นั่งหลักในห้องโถง ที่นั่งตรงกลางยังว่างอยู่ และทั้งสองด้านมีชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีเทานั่งอยู่สองคน หนึ่งในนั้นมีผมขาวเล็กน้อยแล้ว หลิ่วหมิงทำอย่างไรก็ไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของคนผู้นี้ได้ อีกคนกลับมีไอดำรายล้อมรอบตัว ในมือกำลังถือหยกสีเทาสีสลัวๆ อยู่ก้อนหนึ่ง


พลังของทั้งสองลึกซึ้งจนไม่อาจคาดเดาได้ หลิ่วหมิงเดาว่าทั้งสองคงเป็นผู้อาวุโสของยอดเขาลั่วโยว แต่ผู้อาวุโสเหยียนที่หลิ่วหมิงเข้าพบในตอนเข้านิกายกลับไม่อยู่ด้วย


ผ่านไปราวๆ ครึ่งถ้วยชา ก็มีเสียงกระแอมไอเบาๆ ดังมาจากด้านหลังห้องโถง ศิษย์ที่อยู่ ณ ที่นั้นหยุดพูดในทันที และหันไปทางที่มาของเสียง


ครู่ต่อมา ชายชุดคลุมสีดำผู้หนึ่งก็ค่อยๆ ก้าวเข้ามาจากด้านหลังห้องโถง


ชายผู้นี้มีใบหน้าข้างหนึ่งแห้งเหี่ยว อีกข้างกลับแดงฝาดราวกับทารก กลิ่นไอเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาดูขาดๆ หายๆ


แม้ว่าหลิ่วหมิงจะอยู่ด้านหลังสุด แต่ยังคงรับรู้ถึงความกดดันที่ทำให้หายใจลำบากได้


“คารวะอาจารย์” เสี่ยวอู่ที่อยู่ตรงหน้ารีบก้าวออกมาคารวะนำทันที


จากนั้นศิษย์ทั้งหมดก็พากันคารวะ


“ที่แท้ท่านนี้ก็คืออินจิ่วหลิง ผู้ควบคุมยอดเขาลั่วโยวที่เล่าลือกัน” หลิ่วหมิงแอบกระซิบเบาๆ หนึ่งประโยค จากนั้นก็รีบคารวะตามคนอื่นอย่างรวดเร็ว


ขณะนี้ ผู้อาวุโสทั้งสองก็พากันลุกจากที่นั่ง และกุมมือคารวะไปยังผู้ที่มาใหม่


“เอาล่ะ! ทุกท่านไม่ต้องมากพิธี ข้าจากยอดเขาลั่วโยวไปนานสิบกว่าปีแล้ว ได้ยินมาว่าตอนนี้ยอดเขาลั่วโยวมีผู้มากความสามารถจำนวนมาก ภายในระยะเวลาสิบปีก็มีศิษย์เข้ามาใหม่ห้าหกคน นอกจากนี้ยังมีหลายคนที่เข้าสู่ระดับผลึกอย่างราบรื่น ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก และในระหว่างที่ข้าไม่อยู่ ก็ลำบากผู้อาวุโสทั้งหลายที่ดูแลเรื่องราวในยอดเขาแทนข้าแล้ว” ขณะที่อินจิ่วหลิงพูด เขาก็หันไปประสานมือให้กับชายชุดคลุมสีเทาทั้งสอง


“ผู้ควบคุมอินเกรงใจเกินไปแล้ว” ผู้อาวุโสทั้งสองรีบประสานมือคารวะกลับ และกล่าวอย่างนอบน้อม


อินจิ่วหลิงแสดงท่าทีให้ทั้งสองนั่งลงไป จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ไปยังที่นั่งหลักที่อยู่ตรงกลาง และสะบัดแขนเสื้อก่อนนั่งลงไป


“ที่เรียกศิษย์ทุกคนมาพบในวันนี้ ประการแรกก็เพื่ออยากจะพบกับทุกคน ประการที่สองก็เพื่อความโชคดีอย่างหนึ่ง” อินจิ่วหลิงกล่าวด้วยสีหน้าสงบ


พอได้ยินเช่นนี้ บรรดาศิษย์ทั้งหลายก็มีสีหน้าแตกต่างกันไป แต่ผู้อาวุโสทั้งสองข้างยังคงมีสีหน้าเช่นเดิม ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย


“ขณะที่ข้าออกไปหาประสบการณ์ในครั้งนี้ ได้ค้นพบลูกกวางจิตวิญญาณเก้าสีตัวหนึ่งในพื้นที่บางแห่งของแดนลึกลับในเขาแสงห้าสี” อินจิ่วหลิงค่อยๆ กวาดสายตามองดูบรรดาศิษย์แล้วกล่าวออกมา


หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจมากขึ้นกว่าเดิม


ตอนที่เขาไปเปิดอ่านคัมภีร์ในหอคัมภีร์ในก่อนหน้านั้น โลหิตบริสุทธิ์ของกวางจิตวิญญาณเก้าสีนี้ ก็เป็นหนึ่งในโอสถจิตวิญญาณฟ้าดินที่ช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จในการทะลวงระดับผลึก


ขณะที่บรรดาศิษย์กำลังจะเอ่ยปากแสดงความยินดีนั้น อินจิ่วหลิงก็เบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาทันที


 “แต่ตอนที่ข้าค้นพบลูกกวางตัวนี้ เจ้าเฒ่าของสำนักเฮ่าหรานผู้หนึ่งก็อยู่ด้วยพอดี ดังนั้นจึงเกิดการปะทะกันหนึ่งรอบ สุดท้ายเลยตัดสินใจให้ศิษย์ของตนเองมาทำการประลองกัน เพื่อตัดสินว่าอสูรตัวนี้จะเป็นของใคร”


พอคำพูดนี้ดังออกมา ศิษย์ที่อยู่ในห้องโถงย่อมเกิดความฮือฮาขึ้น ผู้อาวุโสระดับแก่นแท้ทั้งสองที่นั่งทั้งสองข้าง ก็สบตากันทีหนึ่ง และไม่พูดอะไรออกมา


“ดังนั้นครั้งนี้ข้าจึงเตรียมพาศิษย์ไปด้วยกันสองคน หนึ่งในนั้นเป็นศิษย์ระดับของเหลว อีกคนเป็นศิษย์ระดับผลึก หากว่าศิษย์ที่ไปด้วยในครั้งนี้ประลองชนะ และได้ลูกกวางจิตวิญญาณเก้าสีตัวนั้นมา ข้าย่อมตบรางวัลให้อย่างไม่เสียดาย แม้กระทั่งสามารถยอมรับคำขอที่สมเหตุสมผลจากศิษย์สองคนนี้ได้” อินจิ่วหลิงหยุดเล็กน้อย และกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง


หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา


หากเขาได้เข้าร่วมประลองและได้รับชัยชนะ การขอโลหิตบริสุทธิ์ของกวางจิตวิญญาณเก้าสีตัวนี้มาจำนวนหนึ่ง คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร


“ศิษย์สองคนที่ข้าเลือกก็คือ ระดับผลึกได้แก่เสี่ยวอู่ ระดับของเหลวได้แก่มู่ตวนหลง ส่วนคนอื่นๆ หากคิดว่าตนเองเหมาะสมกว่าสองคนนี้ ก็สามารถท้าสู้ได้ ข้าจะพาไปแค่คนที่ชนะเท่านั้น” อินจิ่วหลิงมองดูศิษย์เหล่านี้ทีหนึ่ง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“มีใครอยากแลกมือกับศิษย์พี่บ้าง ไม่ต้องเกรงใจ รีบออกมาลองเลย” เสี่ยวอู่ได้ยินเช่นนี้ก็รีบหันมากล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นกลิ่นไออันแข็งแกร่งก็ม้วนออกจากตัวทันที


ศิษย์ระดับของเหลวหลายคนที่อยู่แถวหลังรู้สึกได้ทันทีว่าภาพตรงหน้ามืดลง ราวกับว่ามีภูเขาขนาดใหญ่กดทับเข้ามา จนต้องร่นถอยไปหลายก้าวถึงทรงตัวไว้ได้


แม้แต่ศิษย์ระดับผลึกสิบกว่าคนที่อยู่ด้านหน้าก็เซไปเซมาอยู่ครู่หนึ่ง ถึงรักษาความปลอดภัยของตัวเองไว้ได้ แต่ต่างก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ไม่มีใครสบตาศิษย์พี่ใหญ่ผู้นี้โดยตรง


หลิ่วหมิงกระตุ้นพลังเวทภายในร่าง แต่กลับยังยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน แต่ก็เผยสีหน้าตกใจออกมา ศิษย์พี่ใหญ่ผู้นี้สามารถปล่อยกลิ่นไออันน่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้ เกรงว่าพลังที่แท้จริงคงไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้เลยแม้แต่น้อย


อินจิ่วหลิงไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย หลังจากดวงตาเป็นประกายเล็กน้อยแล้ว ก็ทำเป็นกวาดสายตาดูหลิ่วหมิงทีหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ


ผู้อาวุโสระดับแก่นแท้ทั้งสองที่อยู่ด้านข้าง ย่อมสังเกตเห็นความผิดปกติของศิษย์ระดับของเหลวอย่างหลิ่วหมิงเช่นกัน จึงพากันสังเกตดูด้วยความสนใจ


“ศิษย์น้องเถียน ศิษย์ผู้นี้ก็คือหลิ่วหมิงสินะ ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ สมกับเป็นศิษย์ที่ได้ที่หนึ่งในงานประลองใหญ่ของศิษย์สายนอก หากบ่มเพาะดีๆ ต่อให้ไม่อาจเข้าสู่ระดับผลึกได้ พลังแท้จริงคงไม่ได้ด้อยไปกว่าศิษย์ระดับผลึกคนอื่นๆ ศิษย์น้องสนใจรับเป็นศิษย์หรือไม่?” ชายผมขาวส่งเสียงมาทันที


“ศิษย์พี่อวี๋ ท่านก็รู้อยู่ว่าแค่เจ้าเด็กจิงก็ทำให้ข้าปวดหัวมากแล้ว ไหนเลยจะมีกะจิตกะใจไปสอนศิษย์คนอื่นๆ อีก แค่ศิษย์หลายคนของศิษย์พี่ได้สำเร็จวิชาแล้ว ทั้งยังให้ความสำคัญกับบุคลิกมากกว่าคุณสมบัติมาโดยตลอด ศิษย์พี่ไม่ลองรับเป็นศิษย์ดูล่ะ” ผู้อาวุโสระดับแก่นแท้ที่ถือหยกอยู่กล่าว และทำตามองบน


“หากข้าเจอเจ้าเด็กนี่เร็วกว่านี้สักสองสามร้อยปีล่ะก็ แม้ว่าเขาจะมีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ ก็จะรับเป็นศิษย์อย่างไม่ลังเล แต่ตอนนี้น่ะหรือ อีกไม่นานอายุขัยข้าก็จะสิ้นสุดแล้ว คงได้แต่ใช้เวลาทั้งหมดในการทะลวงคอขวดขั้นปลาย ไหนเลยจะมีกะจิตกะใจไปสอนศิษย์คนอื่น” ผู้อาวุโสอวี๋ได้ยินกลับส่งเสียงกลับไปด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น


“อืม! หากเป็นเช่นนี้คนอื่นๆ ก็คงไม่มีใครถูกใจศิษย์ที่มีคุณสมบัติสามชีพจรเช่นนี้ เกรงว่าคงไม่อาจรับเขาเป็นศิษย์ ไม่รู้ว่าศิษย์พี่อินของเราจะถูกใจศิษย์ผู้นี้หรือไม่ เพราะท่านเป็นถึงผู้ควบคุมยอดเขา แต่มีศิษย์แค่คนเดียวคือเสี่ยวอู่เท่านั้น ตอนนั้นเสี่ยวอู่ก็มีคุณสมบัติธรรมดาๆ เมื่อรู้ว่าศิษย์พี่รับนางเป็นศิษย์ข้ายังรู้สึกตกใจอยู่เลย” ผู้อาวุโสเถียนส่งเสียงกลับไปถามด้วยความสนใจ


“อันนี้คงเป็นไปไม่ได้ ต่อให้ตอนนั้นเสี่ยวอู่จะมีคุณสมบัติธรรมดา แต่ก็มีร่างหกชีพจรจิตวิญญาณ แต่หากภายหน้าหลิ่วหมิงสามารถเข้าสู่ระดับผลึกได้จริงๆ สถานการณ์ย่อมต่างกันแล้ว” ผู้อาวุโสอวี๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงส่งเสียงกลับมา


ขณะที่ผู้อาวุโสทั้งสองส่งเสียงสนทนากันอย่างเงียบๆ นั้น ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีใครไปท้าสู้ศิษย์พี่ห้าผู้นี้ ชายหนุ่มใบหน้ารูปสี่เหลี่ยม รูปร่างค่อนข้างเตี้ยเล็ก ก็กระโดดออกมาตรงหน้าผู้คนทันที และกุมมือคารวะบรรดาศิษย์ด้วยกัน จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


“ข้ามู่ตวนหลง ศิษย์พี่ ศิษย์น้องระดับของเหลวท่านใดอยากท้าสู้บ้าง เพียงแค่เอาชนะได้หนึ่งกระบวนท่า ข้าจะยอมถอนตัวแต่โดยดี”


พอคำพูดนี้ออกปาก ศิษย์ระดับของเหลวสิบกว่าคนที่อยู่แถวหลัง ก็พากันกระซิบกระซาบขึ้นมา มีคนจำนวนไม่น้อยที่มีท่าทีอยากจะลองดู


แม้ว่ามู่ตวนหลงผู้นี้จะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความสามารถในบรรดาศิษย์ของยอดเขาลั่วโยว และยังเป็นที่ถูกใจของผู้อาวุโสระดับแก่นแท้หลายท่าน แต่ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวพันกับคำสัญญาของผู้ควบคุมยอดเขา ย่อมมีคนจำนวนมากที่ไม่ยอมละทิ้งมันไป


แต่ทว่าคนอื่นๆ ยังไม่ทันเดินออกมา หญิงชุดดำรูปร่างยั่วยวนก็ก้าวออกมาหนึ่งก้าว


“ข้าน้อยยินดีรับคำชี้แนะจากศิษย์พี่” หญิงชุดดำหัวเราะเบาๆ และประสานมือคารวะด้วยแววตาท้าทาย


มู่ตวนหลงจ้องมองหญิงชุดดำ และพยักหน้าโดยที่ไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย


“ดีมาก พวกเจ้าตามข้ามาเถอะ” อินจิ่วหลิงเห็นเช่นนี้กลับพยักหน้า หลังจากกล่าวออกมาอย่างราบเรียบแล้ว ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้และเดินตรงออกไปด้านนอก


คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ย่อมพากันตามออกไป


ครู่ต่อมา ผู้คนก็มาถึงด้านหลังยอดเขาลั่วโยว ภายในหุบเขาแห่งหนึ่ง มีลานประลองขนาดใหญ่อยู่ด้านใน


ภายใต้การเคลื่อนไหวของมู่ตวนหลงกับหญิงชุดดำ ทั้งสองก็กระโดดเข้าไปในลานประลอง และศิษย์คนอื่นๆ ที่เหลือก็ล้อมอยู่ด้านนอก


“การประลองในครั้งนี้ เพียงแค่ตัดสินหาผู้ชนะไปร่วมประลองกับสำนักเฮ่าหรานเท่านั้น ดังนั้นหากรู้สึกถึงความไม่ปกติ ข้าจะยื่นมือเอง” อินจิ่วหลิงประกาศกลางอากาศ จากนั้นก็โบกมือเปิดชั้นจำกัดบนลานประลองออกมา และม่านแสงสีขาวสลัวๆ ก็ปรากฏออกมาหนึ่งชั้น


มู่ตวนหลงกับหญิงชุดดำย่อมพยักหน้าตอบรับ


พอมีเสียงว่า “เริ่ม!”  หญิงชุดดำก็หยิบธงสีดำออกมาหนึ่งผืน พอโบกสะบัด ก็มีไอดำพวยพุ่งออกมาสองสาย ภายใต้การหมุนวนติ้วๆ มันก็กลายเป็นวิญญาณสีเทาสลัวๆ สองดวง ดูเหมือนจะเป็นหญิงสาวสองคนที่มีท่าทีเศร้าสร้อย มีปราณหยินจางๆ แผ่ออกมา


หลังจากมู่ตวนหลงส่งเสียงคำรามออกมาแล้ว ก็พ่นธงปีศาจขนาดเล็กออกมาผืนหนึ่ง และกำมันไว้แน่น ภายใต้การร่ายคาถาเขาก็ปล่อยพลังใส่มัน ธงปีศาจส่งเสียงดัง “ฟู่!” จากนั้นก็มีปีศาจกระดูกที่มีหัวเป็นวัว ร่างเป็นมนุษย์ สูงจั้งกว่าๆ ปีนขึ้นมา ไอสีเทาพวยพุ่งอยู่รอบตัวไม่หยุด


ร่างของมู่ตวนหลงพร่ามัว และจมหายไปในร่างของปีศาจกระดูกหัววัว


จากนั้นปีศาจตัวนี้ก็แหงนหน้าแผดเสียงออกมา และพุ่งไปด้านหน้าพร้อมกับปราณหยินอันพวยพุ่ง


เสียงระเบิดกับเสียงปีศาจร้องหมาป่าหอนดังอยู่ครู่หนึ่ง วิญญาณปีศาจสองดวงที่หญิงชุดดำเรียกออกมาพ่นไอเย็นสะท้านแปลกประหลาด ร่างของมันเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ แต่หลังจากผ่านไปสองรอบ ก็ถูกปีศาจกระดูกหัววัวที่มู่ตวนหลงสิงอยู่ ใช้เงากรงเล็บจำนวนมากตะกุยจนแตกกระจาย และได้แต่ยอมแพ้


พอนางออกจากลานประลอง ก็มีชายหนุ่มรูปร่างกำยำขึ้นมาท้าสู้


พอชายหนุ่มรูปร่างกำยำขึ้นมา ก็โบกสะบัดพัดยักษ์ที่เต็มไปด้วยปราณหยิน และเรียกปีศาจกระดูกที่มีขนาดจั้งกว่าๆ ออกมาสี่ตัว จากนั้นก็ทำการต่อสู้กับปีศาจกระดูกหัววัวที่มู่ตวนหลงสิงร่างอยู่อย่างดุเดือด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)