ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 604-606

 ตอนที่ 604 เป็นพี่ชายที่เก็บมาเลี้ยงห...

 

เจ้าจิ้งจอกน้อยพูดแล้วก็ทำตามนั้น มันเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูแต่ไม่กล้าเข้าไปด้านใน 


 


 


ตู๋กูซิงหลันก็มิได้ทำให้มันต้องลำบากใจ นางคลายมือจากชายเสื้อของเจ้าจิ้วจอกน้อย ทันใดนั้นก็เห็นมันกระโดดขึ้นมารอบหนึ่งก็กลายร่างเป็นจิ้งจอกสีขาวทั้งตัว กระโดดพรวดเดียวไกลสามชุ่น (1เมตร) พุ่งตัววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


พอวิ่งหนีออกไปจนถึงหน้าประตูวัง เจ้าปีศาจจิ้งจอกถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมา มันใช้กรงเล็บตะกุยประตูใหญ่ แอมมองดูเหตุการณ์ด้านในด้วยความตื่นเต้นไปพร้อมๆกับพวกปีศาจน้อยใหญ่ที่ติดตามมาตลอดทาง 


 


 


พอองค์ราชินีได้พบมนุษย์กลุ่มนั้น นางมีหวังต้องพิโรธขนาดหนักจนถึงขึ้นบดพวกเขาให้แหลกเป็นเนื้อสับอย่างแน่นอน 


 


 


เหล่าปีศาจทั้งหลายต่างก็คิดเช่นนี้อยู่ในใจ 


 


 


นับตั้งแต่เข้ามาในวัง ท่านเจ้าสำนักก็ตระเตรียมความพร้อมที่จะประมือกับผู้คนเอาไว้ทุกเมื่อ 


 


 


ไอปีศาจในที่นี้ไม่ธรรมดา ยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าปีศาจใดๆที่เขาเคยได้พบในดินแดนจิ่วโจวมากมายนัก 


 


 


แม้แต่เจ้าปีศาจจิ้งจอกซูเยานั่นก็ยังเทียบชั้นกันไม่ติด  


 


 


หากนำเฉพาะไอปีศาจมาเปรียบเทียบกัน ไอปีศาจของซูเยายังนับว่าเป็นเพียงชั้นต้นเท่านั้น อย่างมากก็เป็นเพียงจิ้งจอกทารกที่พึ่งคลอดออกมา 


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านเจ้าสำนักรู้สึกว่าจำเป็นจะต้องระมัดระวังผู้อื่น 


 


 


ฟ่านอิงเองก็มิได้หย่อนยาน หมัดของเขากำเอาไว้แน่น พวกเขาเข้ามาในวังนี้ ก็เหมือนกับว่าตกมาอยู่ในรังของปีศาจ กลิ่นไอปีศาจรุนแรงจนเสียดแทงจมูก 


 


 


เขามันเป็นเพียงคนตายที่ฟื้นคืนชีพ ย่อมไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด 


 


 


แต่ว่ายังสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า หากไอปีศาจนั่นแทรกซึมเข้าสู่อวัยวะภายใน ก็ยิ่งสามารถทำลายคนให้กลายเป็นชิ้นๆได้อย่างง่ายดาย 


 


 


ตู๋กูซิงหลันสูดลมหายใจเข้าไปช้าๆ เดินเข้าไปด้านในอีกก้าวหนึ่ง 


 


 


แต่แล้วกลับถูกท่านเจ้าสำนักดึงคอเสื้อด้านหลังเอาไว้ 


 


 


“ศิษย์น้อย จะไม่ไปหาพี่รองของเจ้าแล้วหรือ?” 


 


 


เขาจำเป็นต้องเตือนสติศิษย์น้อยสักประโยค จุดประสงค์ของการมาที่นี้ ก็คือการมาตามหาตู๋กูเจวี๋ยเป็นหลัก ไม่ใช่มาตามหาไอดอล 


 


 


ในใจของท่านเจ้าสำนักยิ่งรู้สึกคับข้องใจกับคำว่าไอดอลคำนี้ยิ่งนัก 


 


 


ศิษย์น้อยอยู่ๆจะไปชมชอบคนที่ไม่เคยแม้แต่จะได้เห็นหน้ามาก่อนได้อย่างไร? 


 


 


มันก็แค่ปีศาจจิ้งจอกที่เก่งกาจหน่อยตัวหนึ่งเท่านั้น มีอะไรให้น่าชื่นชมกัน? 


 


 


ว่าตามจริงแล้ว ท่านเจ้าสำนักไม่อยากจะให้ทั้งสองได้พบหน้ากันเลยด้วยซ้ำ! 


 


 


ขนาดแค่ปีศาจจิ้งจอกน้อยซูเยาเพียงตัวเดียวก็ยังหลอกล่อให้ศิษย์น้อยหัวหมุนได้แล้ว หากว่าเป็นเจ้าปีศาจจิ้งจอกตัวใหญ่…. ท่านเจ้าสำนักชักจะเกรงว่าตำแหน่งของตนเองในใจของศิษย์คงจะต้องสั่นคลอนเสียแล้ว 


 


 


พอตู๋กูซิงหลันถูกเขาเตือนสติ ในใจก็พลันรู้สึกสำนักผิดขึ้นมา 


 


 


จริงด้วย …..นางเกือบจะเขวี้ยงพี่รองหายไปในกลีบเมฆเสียแล้ว 


 


 


เพียงแต่ว่าตอนนี้หัวใจกำลังคันยากจะระงับ คนงามในตำนานอยู่ตรงหน้า จะขอชมดูก่อนสักหน่อยมิได้หรือ? 


 


 


อย่างไรนางก็มาถึงที่นี่แล้ว จะช้าหรือเร็วย่อมต้องไปหาพี่รองอย่างแน่นอน 


 


 


ต่อให้ไปพบพี่รองก่อน พิษในกายของพี่รองก็ไม่อาจรักษาหายได้ในทันทีมิใช่หรือ? 


 


 


คิดๆดูแล้ว นางก็กระแอมไอออกมาคำหนึ่ง เอ่ยกับท่านเจ้าสำนักว่า “เรื่องพี่รองยังพอจะรอได้สักครู่ ไม่แน่ว่าพี่ต๋าจี่อาจจะสามารถช่วยเหลือเขาก็ได้นะ….” 


 


 


นี่มันบุคคลระดับตำนานเชียวนะ 


 


 


ในตอนนั้นเอง ตู๋กูเจวี๋ยที่ได้ยินว่าน้องสาวของตนเองมาถึงแล้ว ก็พึ่งจะพาสังขารที่ใกล้จะตายของตนเองมาถึงด้านนอกตำหนัก 


 


 


พอได้ยินคำพูดของน้องสาวตนเองกับหู เขาก็แทบจะกระอักเลือดลาโลกจากไปเสียเดี๋ยวนี้ 


 


 


พี่ชายอย่างเขา คงไม่ได้ถูกเก็บมาเลี้ยงกระมั้ง? 


 


 


สองขาของเขาอ่อนแรง แทบจะล้มลงไปในทันที 


 


 


ยังดีที่เจ้าสุนัขปีศาจน้อยข้างกายช่วยประคองเอาไว้ “มะ มะมะ …เจ้ามนุษย์น้อย ……เจ้า….จะ เจ้า เจ้า …ยะ อย่าได้…วิ่งวุ่นวายดีกว่า” 


 


 


เจ้าสุนัขปีศาจน้อยจับตัวเขาเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ไม่ยอมคลายมือแม้แต่น้อย มันค่อยๆลากคนไปคอยด้านข้าง 


 


 


ใช่แล้ว เจ้าสุนัขปีศาจน้อยตนนี้ก็คือปีศาจที่ไปส่งมอบบุปผาวิญญาณให้กับตู๋กูซิงหลันในเมืองว่านฮวาเฉิงนั้นเอง 


 


 


มันคือสุนัขน้อยที่ซูเยาเก็บกลับมา เดิมทีมันเป็นเพียงสัตว์เลี้ยงธรรมดาในบ้านหลังหนึ่งเท่านั้น แต่หลังจากที่เจ้านายของมันเจริญก้าวหน้า ครอบครัวก็อพยพย้ายออกไป ทอดทิ้งมันไว้ 


 


 


หลังจากเร่ร่อนอยู่กว่าครึ่งปี เจ้าหมาน้อยผ่ายผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ทั้งยังมันถูกผู้คนรังแก จนได้รับบาดเจ็บอยู่เสมอ 


 


 


ก่อนที่ซูเยาจะไปยังโลกปัจจุบัน บังเอิญเจอมันเข้าจึงเก็บกลับมา ทั้งยังถ่ายทอดไอปีศาจให้กับมัน ทำให้มันสามารถกลายร่างเป็นสุนัขปีศาจได้สำเร็จ 


 


 


ดังนั้นที่จริงแล้วในใจของเจ้าสุนัขปีศาจน้อยตนนี้จึงหวาดกลัวพวกมนุษย์อย่างยิ่ง 


 


 


วันนั้นตอนที่ไปส่งมอบบุปผาวิญญาณให้กับตู๋กูซิงหลัน มันก็แทบจะไม่กล้ามองดูหน้าของนางเลยด้วยซ้ำ 


 


 


ตอนนี้พอต้องมาตัวติดกันกับตู๋กูเจวี๋ย มันก็ยิ่งหวาดกลัวจนถึงขั้นพูดจาตะกุกตะกัก 


 


 


แต่เพราะว่ามันจดจำคำสั่งของซูเยาเอาไว้อย่างเคร่งครัด ว่าจะต้องดูแลเขาให้ดี อย่าได้ปล่อยให้เขาวิ่งวุ่นวาย ยิ่งไม่อาจให้พบเจออันตราย 


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยพักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง พิษในร่างกายแม้ไม่อาจกำจัดออกไป แต่ว่าก็ถูกควบคุมเอาไว้แล้ว ตอนนี้จึงได้แต่ทุกข์ทรมานแทบเป็นแทบตายอย่างหนัก พอเดินมาไกลจนถึงที่นี้ก็ต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปมากมาย 


 


 


ว่าตามจริงแล้ว เขาในตอนนี้ไม่สามารถเอาชนะเจ้าปีศาจสุนัขน้อยตัวนี้ได้ด้วยซ้ำ 


 


 


…………. 


 


 


ภายในตำหนัก ความสนใจทั้งหมดของตู๋กูซิงหลันในตอนนี้ทุ่มไปอยู่บนร่างของพี่ต๋าจี่จนหมดสิ้น 


 


 


แต่ว่าพอกวาดตามองไปจนรอบ กลับไม่เห็นคนแม้แต่เงา 


 


 


แสงสว่างในตำหนักมีอยู่อย่างจำกัด โครงสร้างของที่นี่ก็ดูแปลกประหลาด ตู๋กูซิงหลันเดินวนไปรอบหนึ่ง ใต้เท้าก็พลันเหยียบโดนอะไรนุ่มๆ 


 


 


ฟ่านอิงชี้ไปที่ใต้เท้าของนางเป็นคนแรก “ไอ้ที่อยู่ขดเป็นก้อนกลมๆนั่นก็คือราชินีของหุบเขาหมื่นปีศาจใช่หรือไม่?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันค่อยมองตามลงไป ค่อยเห็นก้อนอะไรขาวๆแดงๆ 


 


 


นั่นเป็น สุนัขจิ้งจอกเก้าหางที่สวยงามมากตัวหนึ่ง! 


 


 


ร่างของมันขาวโพลนดุจหิมะ หางกลับเป็นสีแดงดุจเพลิง! 


 


 


ใบหูที่มีขนฟูๆคู่นั้นก็เป็นสีแดงด้วยเช่นกัน 


 


 


ตรงหน้าผา มีตราประทับจิ้งจอกสีแดงดุจเปลวเพลิง 


 


 


ตราประทับนี้เหมือนกับตราประทับที่อยู่บนตัวแหวนที่จิ้งจอกน้อยมอบให้นางไว้ไม่มีผิด 


 


 


แม้ว่าจะอยู่ในร่างของสุนัขจิ้งจอก แต่ว่าขนตาของมันก็ยาวอย่างยิ่ง ขอบตาสีแดงลากยาวเป็นเส้นที่สวยงาม แค่มองดูเพียงแวบเดียวหัวใจถึงกับเต้นตูมตามขึ้นมา 


 


 


ความรู้สึกนี้มันเหมือนกับจะตะโกนออกมาว่า ‘แม่จ๋า หนูกำลังตกหลุมรัก’ 


 


 


ขนาดตู๋กูซิงหลันอดไม่ได้ที่จะจับหัวใจของตนเองเอาไว้ รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงไม่ยอมหยุด 


 


 


นางค่อยๆถอนเท้าออกจากปลายหางที่เหยียบลงไปอย่างระมัดระวัง ก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง 


 


 


ทั้งๆที่ขยับเพียงเบาๆ แต่ก็ยังเห็นว่าขนตาของเจ้าจิ้งจอกตัวนั้นขยับขึ้นมาแล้ว 


 


 


ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นมืดค่ำแล้ว อากาศในหุบเขาหมื่นปีศาจดีอย่างยิ่ง สูงจนสามารถมองเห็นออกไปได้ไกล 


 


 


แสงดาวเต็มฟ้าทอลงมาอย่างอ่อนโยน ส่องผ่านบานหน้าต่างเข้ามาสะท้อนเข้าไปในดวงตาของเจ้าจิ้งจอกตัวนั้นพอดี 


 


 


ชั่วขณะนั้นทำเอาคนที่ได้เห็นล้วนตกอยู่ในความหลงใหลจนหมดสิ้น! 


 


 


ตู๋กูซิงหลันกุมหัวใจน้อยๆของตัวเองเอาไว้ มันกำลังเต้นรัวเป็นกลอง! 


 


 


นางยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ดวงตาจับจ้องไปที่เจ้าจิ้งจอกตัวนั้นอย่างไม่กระพริบ 


 


 


อีกฝ่ายเองก็หันมามองดูนางและบุรุษอีกสองคนที่อยู่ข้างกายนาง 


 


 


จิ้งจอกตัวนั้นบิดศีรษะไปมาอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อน จากนั้นจึงค่อยลุกขึ้นนั่งอย่างเอื่อยเฉื่อย 


 


 


ขณะที่ลุกขึ้นมา แสงดาวจากภายนอกก็สว่างมากขึ้น ใต้แสงดาวกระจ่างนั้น เกิดเป็นภาพการเปลี่ยนร่างอันหมดจดงดงาม 


 


 


ท่ามกลางละอองแสงระยิบระยับ ร่างนั้นเปลี่ยนเรือนร่างของสตรีผู้หนึ่งอย่างรวดเร็ว 


 


 


รอบกายของนางมีแสงระยิบระยับโอบล้อมและไอปีศาจที่แข็งแกร่ง  


 


 


สตรีทรงศักดิ์ที่เป็นผู้ปกครองอันสูงส่ง กำลังทอดตาลงมามองดูสิ่งที่อยู่ในครอบครอง 

 

 

 


ตอนที่ 605 ความปรารถนาของศิษย์ ข้าย่อ...

 

ร่างของนางส่องประกายระยิบระยับ พอหันตัวไปก็ค่อยๆนั่งลงบนบัลลังก์อย่างช้าๆ 


 


 


สองขาไขว้กัน มือข้างหนึ่งเท้าคางเอาไว้ สายตาเย็นชากวาดลงไปบนร่างของตู๋กูซิงหลันรอบหนึ่ง 


 


 


สตรีที่เกิดมามีรูปโฉมอันล้ำเลิศ ราศีประจำตัวก็แข็งแกร่งเหนือธรรมดาเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะเคยได้เห็นเป็นครั้งแรก 


 


 


สองขาคู่นั้นงดงามราวกับว่าหลุดออกมาจากในภาพเขียน ทำให้คนต้องวิญญาณหลุดลอย คิดแต่จะไปประจบกับขาของพี่สาวคนงามเท่านั้น 


 


 


หางจิ้งจอกทั้งเก้าเป็นสีแดงดุจกองเพลิง กวัดแกว่งอยู่ที่ด้านหลังของนางราวกับฉากปรากฏตัวของปีศาจร้ายฉากหนึ่ง 


 


 


เพียงแค่หางจิ้งจอกทั้งเก้าเส้นก็ยึดพื้นที่ว่างในตำหนักใหญ่ไปเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว ถึงจะเรียกนางว่าเป็นปีศาจ แต่ว่านางกลับดูเหมือนทวยเทพที่มนุษย์ไม่อาจต่อต้านใดๆได้มากกว่า 


 


 


แม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยังต้องลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ 


 


 


สายตาของนางถึงกับไม่อาจละไปจากร่างของพี่สาวจิ้งจอกผู้นี้แม้แต่ชั่วขณะเดียว ไอปีศาจสีแดงขาวที่ไหลเวียนสลับกันไปมาอยู่รอบกาย สามารถเขย่าจิตวิญญาณของพวกมนุษย์ให้สั่นสะเทือนได้เลยด้วยซ้ำ 


 


 


แข็งแกร่งอย่างยิ่ง! พี่สาวผู้นี้แข็งแกร่งระดับพระกาฬไปแล้ว! 


 


 


ตู๋กูซิงหลันรู้สึกได้เลยว่า พี่สาวท่านนี้บางทีอาจจะมิได้อ่อนแอไปกว่าบิดาของนางเลยด้วยซ้ำ 


 


 


ต๋าจี่ คือนางปีศาจที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกมนุษย์ 


 


 


ตอนนี้เมื่อมาปรากฏขึ้นตรงหน้าของตน ตู๋กูซิงหลันกลับรู้สึกว่า นางเป็นเหมือนดั่งทวยเทพ ที่ทำให้ผู้คนทั้งเคารพและรักใคร่มากกว่า 


 


 


นั่นเป็นความรู้สึกปลาบปลื้มที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้เลย 


 


 


แต่ไหนแต่ไรตู๋กูซิงหลันก็ชื่นชอบคนงามมาตลอด ยามนี้เมื่อมียอดหญิงงามมาอยู่ตรงหน้า นางถึงกับรู้สึกว่าตาของตนเองใกล้จะบอดแล้ว 


 


 


ท่านเจ้าสำนักยืนอยู่ด้านหนึ่ง ตอนนี้เพราะความตื่นเต้นในใจของศิษย์ พลังในการอ่านใจของเขากำลังใกล้จะระเบิดเข้าไปทุกที  


 


 


เขาไม่เคยสัมผัสได้ถึงหัวใจของศิษย์น้อยที่ตื่นเต้นจนระทึกถึงเพียงนี้มาก่อนเลย 


 


 


ราวกับว่าปีศาจจิ้งจอกตัวใหญ่ตรงหน้า ก็คือคนรักในอีกซีกโลกหนึ่งของนางนั่นเอง นางตื่นเต้นเสียจนหัวใจใกล้จะระเบิดอยู่แล้ว 


 


 


ท่านเจ้าสำนักมีแต่ความหนักใจ ทั้งยังไม่ยินดีเลยสักนิด 


 


 


พวกเผ่าจิ้งจอก ถนัดล่อลวงและควบคุมจิตใจมนุษย์มาแต่ไหนแต่ไร จิตวิญญาณของพวกมันดึงดูดให้คนเกิดความหลงใหล ดูท่าศิษย์น้อยจะติดกับเข้าอย่างเต็มเปาแล้ว 


 


 


อ้อ เขาไม่ควรไปโทษศิษย์น้อย หากจะโทษก็ต้องโทษเจ้าปีศาจจิ้งจอกพวกนั้น 


 


 


ในจมูกมีแต่กลิ่นไออันอ้อยอิ่งของพวกมัน ทำให้คนรู้สึกไม่สบายอย่างยิ่ง 


 


 


ที่จริงแล้วกลิ่นที่ท่านเจ้าสำนักรู้สึกว่า ‘ขี้อ่อย’ ในจมูกของตู๋กูซิงหลันกลับรู้สึกเพียงว่าหอมหวน 


 


 


เป็นกลิ่นหอมแบบโบราณ ที่ให้ความรู้สึกถึงความยอดเยี่ยมและสูงส่ง 


 


 


พี่สาวไม่เพียงแต่เกิดมามีรูปโฉมงดงามเหนือล้ำ แม้แต่กลิ่นหอมเฉพาะตนก็ทำให้คนรู้สึกว่าน่าหลงใหลอย่างยิ่ง 


 


 


ดวงตาและหัวคิ้วของตู๋กูซิงหลันวาดโค้ง พอเท้าขยับ ร่างก็เขยื้อนไปด้านหน้าอย่างไม่รู้ตัว 


 


 


“ท่านพี่ต๋าจี่เจ้าคะ….” นางเอ่ยเรียกครั้งหนึ่ง แม้แต่หัวคิ้วก็เปลี่ยนเป็นโค้งตาม 


 


 


มีแต่ผีสางเท่านั้นที่รู้ว่านางกำลังตื่นเต้นถึงเพียงไหน! 


 


 


เดิมทีองค์ราชินีเพียงเหลือบมองดูนางอย่างเย็นชาเท่านั้น แต่ว่าขาที่ตอนนี้เตรียมจะเตะนางลงจากเขาไปในเท้าเดียวกลับต้องชะงักไปเพราะคำเรียกหาว่า ‘ท่านพี่ต๋าจี่’ 


 


 


ใบหูจิ้งจอกบนศีรษะอดไม่ได้ที่จะขยับน้อยๆครั้งหนึ่ง 


 


 


แววตาของนางหลุบลง ขนตาที่ยาวและหนาเป็นแพบดบังประกายในแววตาของนางเอาไว้จนหมดสิ้น 


 


 


นางไม่ชอบชื่อต๋าจี่นี้เลย เพราะว่ามันเต็มไปด้วยความทรงจำที่นางไม่อยากจะนึกถึง 


 


 


ดังนั้นในหุบเขาหมื่นปีศาจจึงแทบจะไม่เคยมีใครกล้าเรียกนางด้วยชื่อนี้ด้วยซ้ำ 


 


 


ทุกคนต่างก็เรียกหานางว่าเป็นองค์ราชินี 


 


 


อยู่ๆก็ได้ยินชื่อนี้ขึ้นมา ทำให้เรื่องที่เคยลืมไปแล้วย้อนกลับมาใหม่ราวกับน้ำหลาก 


 


 


นางปิดตาลง พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง สายตาก็หยุดอยู่ที่แหวนจิ้งจอกบนนิ้วของตู๋กูซิงหลัน 


 


 


นางค่อยเอ่ยปากขึ้นมาอย่างช้าๆว่า “เจ้าก็คือนางในดวงใจของเสี่ยวเยา ฮ่องเต้หญิงน้อยแห่งดินแดนโบราณผู้นั้น” 


 


 


หางเสียงของนางแฝงความเกียจคร้าน สายตาของนางมองออกไปยังนาฬิกาแดดที่วางอยู่ด้านนอก ไม่รู้ว่ามันหมุนไปแล้วกี่รอบ 


 


 


เพราะเลือดพิษของเจ้าครึ่งมนุษย์ครึ่งมังกรนั่น ทำให้นางถึงกับหลับไหลไปหลายวัน พอตื่นขึ้นมา หุบเขาปีศาจก็เพิ่มคนไม่กลัวตายขึ้นมาอีกหลายคนรึ? 


 


 


อืม ทั้งยังกล้าบุกเข้ามาในหุบเขาปีศาจของนาง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันรีบโบกไม้โบกมือทันที “ไม่คู่ควรเอ่ยถึง ไม่คู่ควรเอ่ยถึง ข้าเห็นจิ้งจอกน้อยเป็นเหมือนน้องชายเสมอมา” 


 


 


กับซูเยา ตู๋กูซิงหลันไม่เคยคิดอะไรในทำนองชายหญิงมาก่อนเลย 


 


 


ที่ตอนนี้นางกำลังตื่นเต้น ก็เป็นเพราะว่าท่านพี่ต๋าจี่กำลังพูดคุยกับนางต่างหาก สุดยอด! 


 


 


ท่านพี่ต๋าจี่ตัวเป็นๆ! 


 


 


ตอนนี้นางกลายเป็นพวกแฟนคลับไปแล้ว สองตามีแต่ประกายวิบวับราวกับดวงดาว 


 


 


ในเมื่อมีจิ้งจอกในตระกูลซูของข้าไปชอบเจ้า เจ้าก็ต้องรับเอาไว้” ท่านพี่ต๋าจี่ยังคงวางท่าสูงส่ง นางสลับเท้าไขว้ขา สายตายังคงเย็นชา 


 


 


“อย่าว่าแต่ที่เจ้าได้ไปเป็นความรักจากน้องชายของข้า” 


 


 


องค์ราชินีทรงเลื่องลือในเรื่องพื้นอารมณ์ไม่ดี ยามปกติเมื่อไม่พอใจขึ้นมาก็จะจับน้องชายของตนเองมาซ้อมสักรอบหนึ่ง 


 


 


ก็แค่เจ็บพอแปลบๆ 


 


 


น้องชายของตนเอง มีแต่ตนเท่านั้นที่รังแกได้ ผู้อื่นอย่าได้แตะต้องแม้แต่เส้นขน 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “เอ่อ…..” 


 


 


ทำไงดี เจอคนหน้าตาดีขนาดนี้ ไม่ว่านางพูดอะไรออกมา ก็รู้สึกว่าน่าฟังไปหมด 


 


 


ทั้งหัวตาและหางคิ้วของตู๋กูซิงหลันโค้งมนไปหมดแล้ว 


 


 


นางทำท่าราวกับว่า มิว่าท่านจะพูดอะไรออกมาข้าก็เห็นว่าดีทั้งสิ้น 


 


 


ก่อนหน้านี้นางก็รู้สึกว่าเจ้าจิ้งจอกน้อยสวยงามน่าดูมากๆแล้ว แต่ว่าความงามของท่านพี่ต๋าจี่ถึงขั้นบรรยายไม่ถูกจริงๆ 


 


 


“ตอนที่อยู่ในโลกปัจจุบัน เจ้าเคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้ครั้งหนึ่ง วันนี้เจ้าบุกรุกเข้ามาในหุบเขาหมื่นปีศาจ เห็นแก่ที่เจ้าจิ้งจอกงี่เง่านั่นติดค้างชีวิตเจ้าครั้งหนึ่ง ข้าก็จะไว้ชีวิตของเจ้าสักครั้ง” 


 


 


นางโบกแขนเสื้อขึ้นมาครั้งหนึ่ง ในตำหนักก็พลันปรากฏวงแสงสะท้อน ราวแผ่นกระจกสะท้อนขึ้นมา 


 


 


ตัวกระจกบานนั้นกำจายไอปีศาจออกมาอยู่ตลอดเวลา 


 


 


ในกระจกสะท้อนภาพทิวทัศน์ที่เชิงเขาของหุบเขาปีศาจ 


 


 


“ลงจากเขาไปแล้ว ชั่วชีวิตนี้ไม่อาจกลับมาเหยียบย่ำหุบเขาปีศาจได้อีกแม้แต่ครึ่งก้าว” 


 


 


ท่านเจ้าสำนักย่อมไม่ได้ลงมือ 


 


 


ในเมื่อเจ้าจิ้งจอกตัวใหญ่นี่คือ ‘ไอดอล’ ของศิษย์น้อย คือคนที่นางชื่นชอบและอยากพบ  


 


 


ไม่ว่าเขาจะชิงชังพวกจิ้งจอกในที่นี่สักเท่าไร ขอเพียงนางชื่นชอบ ต่อให้นางคิดจะครอบครองหุบเขาปีศาจแห่งนี้ กลายเป็นเจ้าของคนใหม่ เขาก็จะจัดการให้นางพอใจโดยไม่ต้องเอ่ยซ้ำ 


 


 


“ความปรารถนาของศิษย์ ข้าย่อมต้องสนอง ชีวิตของศิษย์ข้าย่อมปกป้อง” 


 


 


ขณะที่พูด รอบกายท่านเจ้าสำนักก็ปรากฏหมอกสีดำกำจายออกมาเป็นชั้นๆ ทันทีที่หมอกสีดำปรากฏออกมา ก็สะกดไอปีศาจลงปได้หลายส่วน 


 


 


“เรื่องที่นางไม่เต็มใจจะทำ ไม่ว่าผู้ใดในใต้หล้าก็ไม่อาจบีบบังคับได้” 


 


 


ท่านเจ้าสำนักยืนอยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน สายตาที่มองไปยังต๋าจี่เย็นชาอย่างที่สุด 


 


 


ผู้คนในใต้หล้าต่างก็ถูกความงดงามและเสน่ห์ของนางดึงดูดเอาไว้ ยกเว้นแต่เพียงเขา 


 


 


ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด …..หรือบางทีนี่อาจเป็นพรหมลิขิต 


 


 


ที่ในสายตานี้มีแต่เพียงศิษย์น้อยเพียงผู้เดียว 


 


 


ต๋าจี่จึงเหลือบตามองดูบุรุษผู้นี้แวบหนึ่ง 


 


 


ตั้งแต่ตอนแรก ความสนใจทั้งหมดของนางก็อยู่ที่ร่างของตู๋กูซิงหลัน นางรู้สึกว่าทั้งแววตาและหัวคิ้วของฮ่องเต้หญิงผู้นี้มีบางสิ่งที่ดูคุ้นเคยอย่างยิ่ง 


 


 


ดังนั้นจึงละเลยบุรุษอีกสองคนที่อยู่ข้างกายนาง 


 


 


ยามนี้พอท่านเจ้าสำนักจงใจใช้พลังออกมาสลายแรงกดดันรอบข้างออกไป จึงดึงดูดความสนใจของนางได้สำเร็จ 


 


 


ท่ามกลางหมอกสีดำที่เข้มข้น เส้นผมสีดำราวน้ำหมึกของเขาพลิ้วไปตามสายลม 


 


 


ดวงหน้านั้นทั้งหล่อเหลาและเย้ายวน แม้แต่เหล่าจิ้งจอกตัวผู้ในตระกูลของนางยังไม่มีผู้ใดเทียบได้ 


 


 


มิน่าเล่า ฮ่องเต้หญิงแผ่นดินโบราณผู้นั้นจึงมิได้เห็นค่าความรักของเสี่ยวเยาอยู่ในสายตา เป็นเพราะว่าข้างกายตนเองมีบุรุษที่โดดเด่นเช่นนี้อยู่ก่อนแล้วนั่นเอง 


 


 


ดวงตาของต๋าจี่กระตุก “บุรุษในใต้หล้า ล้วนรู้จักกล่าวคำหวานให้สตรีเบิกบานใจ ปากที่บอกว่างามที่สุดก็คือเจ้า สุดท้ายแล้ว วิ่งหนีไปเร็วที่สุดก็คือพวกเจ้า” 

 

 

 


ตอนที่ 606 อาหลันใจดีมากเลย

 

น้ำเสียงของนางเหมือนจะแฝงเอาไว้ด้วยความเย้ยหยันหนักหน่วง แต่ก็ยังคงน่าฟังที่สุดอยู่ดี 


 


 


ท่าทางที่ดูเมินเฉยนั้นเหมือนจะแผ่ออกมาจากในกระดูก  


 


 


ประกายแสงในดวงตาแทบจะสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า 


 


 


มุมปากมีรอยยิ้มที่แฝงด้วยความเย็นชา แต่ว่าท่าทางเหล่านั้นเมื่อปรากฏในสายตาของตู๋กูซิงหลัน กลับทำให้นางรู้สึกปวดใจอย่างไม่รู้สาเหตุ 


 


 


บางที คนที่งดงามล้วนสามารถทำให้ผู้อื่นปวดใจได้ง่ายๆกระมัง 


 


 


ท่านเจ้าสำนักเป็นชายชาติบุรุษแท้ แต่ไหนแต่ไรมาก็คร้านที่จะโต้ฝีปาก ที่เขาถนัดคือการใช้กำลังต่างหาก 


 


 


พอเห็นอยู่กับตาว่าเขาทำท่าราวกับพ่อไก่ชนที่พร้อมจะเปิดศึก 


 


 


ตู๋กูซิงหลันก็รีบคว้าแขนเสื้อของเขาเอาไว้ หันไปเอ่ยกับต๋าจี่ว่า “หรือเป็นเพราะว่าโจ้วอ๋อง[1]ทรยศท่าน?” 


 


 


พอได้ยินชื่อของโจ้วอ๋องสองคำนั้น หางทั้งหลายของต๋าจี่ก็ชี้ขึ้นมาในทันที  


 


 


ตอนแรกนางยังนั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างเกียจคร้าน เพียงพริบตาเดียวร่างนั้นก็หายวูบมาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าตู๋กูซิงหลันในทันที 


 


 


สองมือของนางขย้ำลงมาบนลำคอของตู๋กูซิงหลันอย่างรวดเร็ว 


 


 


กรงเล็บสีแดงเข้มราวกับย้อมมาจากโลหิต แม้แต่แววตาก็ยังกระหายเลือดขึ้นมา 


 


 


เดิมทีตู๋กูซิงหลันสามารถหลบได้พ้น แต่ว่านางกลับไม่คิดจะขยับ 


 


 


อีกทั้งยามที่ต๋าจี่บุกเข้ามา นางยังใช้มือผลักท่านเจ้าสำนักออกไป เรื่องระหว่างสตรีด้วยกัน บุรุษอย่าได้เข้ามายุ่งเกี่ยวจะดีกว่า 


 


 


ส่วนฟ่านอิงที่อยู่ด้านข้าง แค่ได้เห็นสายตาของนางเพียงแวบเดียว ฟ่านอิงก็เข้าใจหมดแล้ว 


 


 


ย่อมไม่สอดมือให้ยุ่งยาก 


 


 


“ที่จริงแล้วเจ้าคือผู้ใดกันแน่?” ต๋าจี่ใช้มือข้างหนึ่งบีบลำคอของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ มือข้างนั้นบีบแน่นเสียจนข้อนิ้วของนางซีดขาว 


 


 


ไม่รอให้ตู๋กูซิงหลันทันได้ตอบคำ นางก็ถามอีกว่า “หรือว่าฝ่ายนั้นส่งเจ้ามา?” 


 


 


“ฝ่ายนั้น?” ตู๋กูซิงหลันคว้าประเด็นสำคัญเอาไว้ทันที ดูเหมือนว่าเรื่องราวจะมิได้ตรงกับประวัติศาสตร์ในโลกปัจจุบันของนางสักเท่าไหร่ 


 


 


“เขาไม่คิดจะปล่อยข้าไป จึงได้ส่งเจ้ามาใช่ไหม?” ต๋าจี่พูดเองตอบเอง แม้แต่เรี่ยวแรงในมือก็ยังเพิ่มขึ้นมาอีกหลายส่วน 


 


 


“ตั้งแต่วันที่เจ้าช่วยเหลือเสี่ยวเยาเอาไว้ นั่นก็เป็นแผนการของเขาด้วย ใช่ไหม?!” 


 


 


ลำคอของตู๋กูซิงหลันเดิมทีก็บอบบางอยู่แล้ว หากว่านางยังคงเพิ่มเรี่ยวแรงขึ้นมาอีก ศีรษะของตู๋กูซิงหลันคงต้องหลุดลงมาแน่แล้ว 


 


 


ใบหน้าของนางกลายเป็นสีแดงก่ำ แต่ว่าแววตาในดวงตาดอกท้อคู่นั้นกลับไม่มีวี่แววความหวาดกลัวใดๆ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยังคงจับจ้องมองดูนางอยู่นิ่งๆเช่นนั้น แล้วจึงค่อยเอ่ยตอบว่า “เขาคือใครกัน?  ตี้ซินโจ้วอ๋อง หรือว่าเป็นผู้อื่น?” 


 


 


พอได้เห็นสีหน้าที่แสดงออกมาของต๋าจี่  ก็เห็นได้ชัดว่ากำลังโกรธแค้น แววตาที่เคยกระจ่างใสนั้นจางหายไปจนหมด 


 


 


น้ำเสียงที่แสนจะน่าฟังนั้นแฝงเอาไว้ด้วยความแค้นและความสิ้นหวัง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันได้ยินแล้วต้องรู้สึกปวดใจกว่าเดิม 


 


 


ตี้ซิน คำนี้เหมือนดาบแหลมๆที่แทงเข้าไปในหัวใจของต๋าจี่อย่างแรง 


 


 


นางแทบจะควบคุมตนเองเอาไว้ไม่อยู่ อยากจะลงมือฆ่าฮ่องเต้หญิงที่อยู่ตรงหน้าไปเสีย 


 


 


ท่านเจ้าสำนักเองก็เกือบจะปะทะกับต๋าจี่ขึ้นมาแล้ว แต่เขาพลันได้ยินเสียงที่ศิษย์น้อยส่งออกมาทางกระแสจิต “อย่าได้เข้ามา” 


 


 


“คนเป็นอาจารย์ ต้องรู้จักเชื่อฟัง” 


 


 


ท่านเจ้าสำนัก “…….” 


 


 


เท้าของเขาเหมือนถูกถ่วงด้วยตะกั่ว ยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างไม่อาจขยับเขยื้อน 


 


 


ศิษย์น้อยช่างรู้จักควบคุมเขาเกินไปแล้ว นางรู้ดีว่า ขอเพียงนางเอ่ยออกมา เขาย่อมทำตามทุกอย่าง 


 


 


เรื่องที่นางบอกว่าอย่าได้ทำ ต่อให้เขาอยากจะป่นกระดูกของอีกฝ่าย ก็ได้แต่ต้องอดทนเอาไว้ 


 


 


………………. 


 


 


  


 


 


สายตาของตู๋กูซิงหลันหยุดอยู่บนใบหน้าของต๋าจี่ ลำคอของนางถูกบีบจนอึดอัดอยู่บ้าง น้ำเสียงก็บี้แบนจนแหบลงไป 


 


 


“ถ้าท่านเป็นพี่สาวของจิ้งจอกน้อย ย่อมต้องรู้ว่า ข้ามาจากโลกปัจจุบัน” 


 


 


“นี่เป็นสิ่งที่ถูกบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ ข้าที่เป็นคนในยุคปัจจุบันย่อมต้องได้รู้เรื่องราวของท่านกับโจ้วอ๋อง” 


 


 


คำอธิบายนี้ไม่แข็งไม่อ่อน แต่เพียงพอจะให้คนเชื่อถือ 


 


 


ต๋าจี่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนหน้านี้เป็นเพราะว่านางได้ยินชื่อของโจ้วอ๋อง ในสมองก็เกิดภาพความทรงจำนับไม่ถ้วน จึงได้ละเลยไปว่าตู๋กูซิงหลันเป็นคนที่มาจากโลกปัจจุบัน 


 


 


ตอนนี้พอได้ยินตู๋กูซิงหลันอธิบายออกมา นางถึงค่อยนึกขึ้นมาได้ ตอนที่เสี่ยวเยาก็ถูกนางช่วยเหลือก็อยู่ในโลกปัจจุบันเช่นกัน 


 


 


มือที่กุมลำคอของตู๋กูซิงหลันเอาไว้อย่างแน่นหนาจึงค่อยคลายออก จากนั้นก็ตกลงไปอย่างช้าๆ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันถอนหายใจออกมา พักหนึ่งจึงสามารถสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ 


 


 


ว่าตามจริงแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับโฉมงามเช่นพี่ต๋าจี่ผู้นี้ นางก็โกรธอะไรไม่ลงจริงๆ  


 


 


พึ่งจะหายใจโล่งได้ครั้งหนึ่ง นางก็ถามออกไปอย่าไม่กลัวตายอีกว่า “ขอถามอย่างล่วงเกินสักคำ ตกลง ‘เขา’ คนนั้นคือใคร?” 


 


 


ลองคิดดูสิ อีกฝ่ายคือคนที่สามารถทำให้พี่สาวที่ทั้งแข็งแกร่งและงดงามผู้นี้ทั้งหวาดกลัวและเคียดแค้นได้เลย 


 


 


ที่จริงแล้ว ในใจของนางอยู่ๆก็คาดเดาบางอย่างขึ้นมาได้ 


 


 


แต่ก็รู้สึกว่าที่คาดเดาเอาไว้นั้นมิสู้ดีสักเท่าไร 


 


 


“นี่ไม่ใช่เรื่องที่ครึ่งคนครึ่งมังกรอย่างเจ้าสมควรจะได้รู้” 


 


 


พี่ต๋าจี่ไม่คิดจะไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย ต่อให้นางเป็นนางในดวงใจของเสี่ยวเยาก็ไม่มีทางคลี่ยิ้มต้อนรับ 


 


 


นางยกมือขึ้นมา ชี้ไปที่ ‘กระจก’ ในตำหนักที่ยังมิได้เลือนหายไปไหน “หากยังไม่ไป ข้าก็จะฆ่าเจ้าเสีย” 


 


 


ยามที่เอ่ยคำนี้ออกมา ริมฝีปากของนางก็เผยให้เห็นเขี้ยวจิ้งจอกที่แหลมคม 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “พี่สาว ฟันของท่านขาวมากๆเลย” 


 


 


ฟันที่สวยขนาดนี้ไม่ได้ใช้กัดฝักข้าวโพด ช่างน่าเสียดายจริงๆ 


 


 


ต๋าจี่ “…..” 


 


 


ว่าแล้วว่า คนละเผ่าพันธุ์ ย่อมพูดกันไม่เข้าใจ 


 


 


ปลายนิ้วของนางขยับน้อยๆ กลางฝ่ามือพลันปรากฏไอปีศาจที่รุนแรงขึ้นมา 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยังคิดจะเผชิญกับนางตรงๆ แต่ว่าในตอนนั้นเอง ไอปีศาจสีแดงกลุ่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามาพร้อมเสียงลมวูบ  ขวางทางพลังของต๋าจี่เอาไว้อย่างพอดิบพอดี 


 


 


จากนั้นก็ได้ยินเสียง ‘ตึ้ง’ ดังสะนั่น ทั่วทั้งตำหนักกลางสั่นสะเทือนขึ้นมาครั้งหนึ่ง 


 


 


ต๋าจี่ขมวดคิ้ว มองดูไอปีศาจสีแดงที่ขวางนางเอาไว้ ท่ามกลางผู้คนทั้งหมด ไอปีศาจนั้นก็กลายเป็นร่างของซูเยา 


 


 


พอซูเยามองเห็นตู๋กูซิงหลัน ในแววตาก็ส่องประกายสว่างไสวขึ้นมาทันที 


 


 


เพียงแต่ไม่มีเวลาจะพูดอะไรกับนางแม้แต่คำเดียว เขาก็รีบพลิ้วร่างไปที่ข้างกายต๋าจี่เสียก่อน 


 


 


เขายื่นมือไปลูบขนฟูฟูบนหลังมือของต๋าจี่ พลางเขย่าไปมา “อาเจ้ อย่าได้รังแกอาหลันเลย ได้หรือไม่?” 


 


 


ต๋าจี่ “เจ้าเอาตาข้างไหนมองว่าข้ารังแกนาง?” 


 


 


ซูเยา “เห็นอยู่ชัดเจนเต็มๆสองตาเลย” 


 


 


พูดแล้ว เขาก็ต้องรับฝ่ามือของต๋าจี่ซัดเข้าให้หนึ่งฝ่ามือเต็มๆ 


 


 


ฝ่ามือนี้ตบลงไปบนบ่า อย่างไม่เบา หัวไหล่ของซูเยาถึงกับส่งเสียงกรอบออกมาดังลั่น กระดูกเกือบจะหักอยู่รอมร่อ 


 


 


แต่เขาก็ชินชาเสียแล้ว จึงยังคงลูบมือของนางต่อไป “อาเจ้ อาหลันไม่เหมือนกับมนุษย์คนอื่นๆ นางเป็นคนดี นางจิตใจดีมีเมตตามากเลย” 


 


 


ว่าตามจริงแล้ว พอตู๋กูซิงหลันได้ยินซูเยาชมว่านางจิตใจดีมีเมตตา นางก็รู้สึกละอายจนหน้าชาอยู่บ้าง 


 


 


เจ้าจิ้งจอกน้อยคงจะเข้าใจความหมายของคำว่า ‘ใจดีมีเมตตา’ ผิดไปแล้วกระมั้ง 


 


 


แม้ว่าในใจของนางจะคิดเช่นนั้น แต่ว่าก็ยังคงผงกศีรษะเอ่ยตอบรับว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ พี่สาว ข้าเป็นคนใจดีมากๆเลย เรื่องทำความดีอย่างพยุงคนแก่ข้ามถนน หรือช่วยสุนัขทำคลอด ข้าล้วนทำอยู่เสมอๆ!” 


 


 


ต้าจี่ถึงกับไร้คำพูด นางสะบัดมือออก หันไปพูดกับซูเยาว่า “ เขาดึงขนข้าจนเจ็บแล้ว” 


 


 


ซูเยาถึงได้ยอมวางมือ 


 


 


“อาเจ้ ท่านก็ปล่อยอาหลันไปเถอะ ดีไหม ข้าขอรับรอง รอให้พี่ชายของนางสลายพิษจนหมด ข้าก็จะส่งพวกเขาออกไปในทันที รับรองว่าจะไม่รบกวนท่านจนเกินไปอย่างเด็ดขาด!” 


 


 


…………………. 


 


 


  


 


 


[1] 纣王: โจ้วหวาง (ชื่อเชิงเหยียดหยาม หมายถึงสายรั้งก้นม้า) หรือ  ตี้ซิน (帝辛) เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายในราชวงศ์ชาง (1075-1046 ปีก่อนคริสตกาล 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)