หมอดูยอดอัจฉริยะ 604-605
ตอนที่ 604 ทำร้ายผู้ร่วมสมาคม
โดย
Ink Stone_Fantasy
“อย่านะ!” เมื่อเห็นเหลยหู่เล็งปลายกระบอกปืนไปที่เยี่ยเทียน ถังเหวินหย่วนและตู้เฟยก็แตกตื่นขึ้นมาทันที
เยี่ยเทียนยังมีศิษย์พี่ที่ยังมีชีวิตอยู่อีกสองคน ถ้าเยี่ยเทียนถูกทำร้ายที่สมาคมหงเหมินละก็ ต่อไปสมาคมหงเหมินทั้งสมาคมคงไม่มีวันได้อยู่อย่างสงบสุขกันอีกแล้ว
“พิธียังไม่ได้เริ่มเลย อย่างนั้นก็ไม่ได้ถือว่าฉันเหลยหู่ทำร้ายพี่น้องในสมาคมใช่ไหมล่ะ?”
รอยยิ้มเย็นเยียบปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหลยหู่ เขาคิดว่าคนของหลี่ซงชิวคงไม่กล้ายิงปืนขึ้นมาแน่ ไม่อย่างนั้นถ้าเสียงปืนดังขึ้นเมื่อไร สมาคมหงเหมินก็จะต้องตกสู่ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวาย
แต่เหลยหู่กล้ายิง เพราะตอนนี้เยี่ยเทียนยังไม่ถือว่าเป็นสมาชิกของสมาคมหงเหมิน ต่อให้ฆ่ามันตายไป ก็ไม่สามารถที่จะนำกฎของสมาคมมาลงโทษเขาได้ ดังนั้นเหลยหู่จึงไม่ได้หวาดหวั่นเลย
“ไอ้เด็กเวร ถ้าแกไปหลบอยู่ที่นิวยอร์กกับแม่แกซะ ท่านหู่ก็อาจจะไม่เอาเรื่องอะไรกับแก แต่แกดันจะรนหาที่ตายเอง อย่ามาโทษว่าฉันทำผิดต่อพี่หลันก็แล้วกัน!”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียน เหลยหู่ก็รู้สึกราวกับว่าเพลิงแค้นได้พวยพุ่งขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ เรื่องที่วางแผนล่วงหน้ามาอย่างดี กลับถูกเยี่ยเทียนและมารดาทำพังไปหมด แล้วยังทำให้ตระกูลเหลยต้องมาแบกรับคำครหาว่าเป็นพวกขายมิตรสหายอีกต่างหาก
ถึงอย่างไรเรื่องในวันนี้ก็ไม่มีทางดีขึ้นได้อยู่แล้ว ถ้าฆ่าเยี่ยเทียนไปเสีย เหลยหู่ก็ยังพอจะได้ระบายความแค้นบ้าง อย่างมากก็ถอนตัวออกจากสภาหลักของสมาคมหงเหมินไป อาศัยอิทธิพลของตระกูลเหลย พวกเขาต้องสามารถอยู่ต่อไปอย่างเกรียงไกรได้อยู่แล้ว
เมื่อเห็นว่ากล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยหู่แทบจะบิดเบี้ยวไป รอยยิ้มพิสดารก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเยี่ยเทียน เขาถามเบาๆ ว่า “แกแน่ใจนะว่าจะฆ่าฉัน?”
“ไอ้นี่ ไปตายซะเถอะ!”
สีหน้าท่าทางของเยี่ยเทียนนั้น ในสายตาของเหลยหู่ดูเหมือนกำลังยั่วยุอยู่ชัดๆ ทำให้เหลยหู่ซึ่งกำลังถูกเพลิงโทสะแผดเผาไม่อาจควบคุมความโกรธในใจได้อีก ยกปืนเล็งไปที่เยี่ยเทียนแล้วลั่นไกทันที
“ปัง…ปังๆ!”
“โอ๊ย ฉัน…ฉันโดนยิง!”
เสียงปืนแหลมเสียดสามนัดดังก้องอยู่ในสภา หลังจากเสียงนั้น ก็มีเสียงร้อยโหยหวนดังขึ้นมา กระสุนของเหลยหู่ไม่ไช่แค่ยิงออกไปกลางอากาศเท่านั้น
แต่ที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงคือ คนที่ถูกยิงกลับไม่ใช่เยี่ยเทียน แต่เป็นสมาชิกคนหนึ่งในสมาคมหงเหมิน ที่ท้องน้อยและต้นขาของเขาถูกกระสุนไปตำแหน่งละหนึ่งนัด ขณะนี้กำลังกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น
“คนล่ะ?”
ทุกคนต่างก็รู้สึกงงงัน เพราะตอนที่เหลยหู่ยกปืนขึ้นมานั้น เยี่ยเทียนก็ยืนอยู่ตรงหน้าเหลยหู่อยู่ชัดๆ แต่ในเวลาเพียงชั่วพริบตา เยี่ยเทียนกลับหายตัวไปเสียแล้ว
“ทำร้ายสมาชิกร่วมสมาคม จะต้องลงโทษโดยการแทงหกรูด้วยสามมีดสินะ?”
เสียงหนึ่งพลันพูดขึ้นที่ข้างหูของเหลยหู่ เขายังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบโต้ ก็ได้ยินเสียงดัง “กรอบ” ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงแล่นมาจากข้อมือข้างขวาทันที ข้อมือของเขาถูกหักสะบั้นไปแล้ว
เมื่อเยี่ยเทียนเกิดความคิดอำมหิตขึ้นมาแล้ว ก็จะลงมือโหดเหี้ยมอย่างที่สุด เศษกระดูกน่าสยดสยองที่ข้อมือของเหลยหู่แทงโผล่ออกมา ระหว่างฝ่ามือกับข้อมือเหลือเนื้อหนังเชื่อมกันพยุงเส้นเอ็นไว้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
ถึงเหลยหู่จะเป็นคนที่ฝึกวิชายุทธอยู่ ก็ไม่มีทางทนรับความเจ็บปวดที่แล่นมาจากข้อมือได้ เสียงร้องโหยหวนเพิ่งจะเปล่งออกจากปากไป ก็กลับรู้สึกลำคอขมวดเกร็ง แล้วเสียงก็หยุดชะงักไป
เสียงร้องโหยหวนของเหลยหู่นั้น ทำให้บรรดาคนจากตำหนักอาญาที่อยู่รอบๆ เขาพากันแตกตื่น ไม่มีใครเห็นเลยว่าเยี่ยเทียนเข้าไปใกล้เหลยหู่ได้อย่างไร เหมือนกับว่าเขาปรากฏกายขึ้นตรงนั้นอย่างอัศจรรย์
และทุกอย่างที่เกิดขึ้นแก่สายตานี้ ก็ทำให้ทุกคนรู้สึกว่ามันออกจะพิลึกพิลั่นอยู่
เพราะเหลยหู่ผู้มีรูปร่างสูงตระหง่านนั้น ตอนนี้กลับถูกเยี่ยเทียนบีบคอไว้ด้วยมือเดียว สีหน้าที่แสดงออกมานั้น ราวกับลูกไก่ที่กำลังรอการสังหารก็ไม่ปาน แม้แต่จะดิ้นรนสักนิดก็ยังไม่กล้า
“ปล่อยท่านหู่นะ รีบปล่อยท่านหู่เดี๋ยวนี้!” เผิงเหวินกวงได้สติเร็วมาก และเล็งปืนไปที่เยี่ยเทียนทันที
ในใจเผิงเหวินกวงเกิดความรู้สึกไม่ชอบมาพากลบางอย่าง ราวกับว่าครั้งนี้ตัวเองได้หลงลืมเรื่องอะไรไป ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ จึงกลายเป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดในวันนี้
“ลูกไม้เยอะเหลือเกินนะไอ้เวร!”
หลังจากได้ยินเสียงตะโกนของเผิงเหวินกวง ดวงตาทั้งคู่ของเยี่ยเทียนก็จ้องไปที่เขา จิตสังหารอันรุนแรงแผ่ออกมาจากร่าง แล้วรุกล้ำเข้าสู่สมองของเผิงเหวินกวงราวกับจะจับต้องได้
จิตสังหารบนร่างของเยี่ยเทียนรุนแรงขนาดที่ว่า แม้แต่พวกทหารผ่านศึกที่เคยผ่านเหตุการณ์สยดสยองมามากก็ยังต้านทานไม่ไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่เป็นเพียงกุนซืออย่างเผิงเหวินกวงเลย
เมื่อถูกเยี่ยเทียนจ้อง เผิงเหวินกวงก็รู้สึกเบื้องหน้าลายตาไปวูบหนึ่ง และรู้สึกร้อนที่ใบหน้า พอยื่นมือไปลูบดู ก็กลับพบว่ามีใบหูคนติดมากับมือหนึ่งหู
ไม่เพียงเท่านั้น ที่ตรงหน้าเผิงเหวินกวงยังเต็มไปด้วยแขนขาขาดกระจาย หัวกะโหลกเบ้าตากลวงโบ๋ และผีสาวผมยุ่งสยาย ต่างก็โถมเข้ามาหาเผิงเหวินกวง
“ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ…”
เผิงเหวินกวงซึ่งกำลังตกอยู่ในความหวาดกลัว พลันได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังขึ้นใกล้ๆ จากนั้นภาพเบื้องหน้าก็เปลี่ยนไป แสงอาทิตย์สายหนึ่งสาดส่องลงบนใบหน้าของเขา
“เกิด…เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”
ซากศพแขนขาที่กองเป็นภูเขาเลากาเมื่อครู่นี้อันตรธานไปหมดแล้ว ทำให้เผิงเหวินกวงรู้สึกเหมือนรอดพ้นจากความตายมาได้ แต่แล้วจมูกเขาก็ได้กลิ่นเหม็นโชยมาทันที
“กลิ่นอะไรน่ะ?”
เผิงเหวินกวงที่สมองยังไม่ค่อยแจ่มใสดีนั้น ไม่รู้ตัวเลยว่าคนที่ผู้คนโดยรอบกำลังหัวเราะเยาะอยู่นั้นก็คือเขานั่นเอง และแม้แต่คนของตำหนักอาญาที่ปกติเป็นมิตรกับเขาดีก็ยังมีสีหน้าดูถูกดูแคลน
เผิงเหวินกวงก้มหน้ามองลงไปข้างล่างตามกลิ่นเหม็นนั้น และในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกเปียกชื้นระหว่างต้นขาทั้งสองข้าง ในใจถึงเพิ่งจะตระหนักได้ว่า ที่แท้กลิ่นนี้ก็มาจากร่างของเขาเองหรอกหรือ?
ชาวยุทธภพยึดถือหลักที่ว่า หลั่งเลือดหลั่งเหงื่อไม่หลั่งน้ำตา กระทำการต่างๆ อย่างแข็งแกร่งเด็ดเดี่ยว อาการกลั้นอุจจาระปัสสาวะไม่อยู่โดยไร้สาเหตุเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องดูถูกกันทั้งนั้น
ปกติสมองของเผิงเหวินกวงคิดอะไรได้เร็ว แต่ในขณะนี้ เขาอับอายจนนึกอยากจะให้แผ่นดินแยกออก แล้วมุดลงรูไปเลย
นอกจากนี้ในใจเผิงเหวินกวงยังตระหนักได้อีกเรื่องหนึ่งคือ ไม่ว่าเหลยหู่จะมีจุดจบอย่างไร ต่อจากวันนี้ไปเขาก็ไม่มีทางอยู่ในสมาคมหงเหมินต่อไปได้อีกแล้ว
“เหลยหู่ทำร้ายผู้ร่วมสมาคม ถูกฉันจับกุมไว้แล้ว พวกแกยังจะดันทุรังอยู่อีกรึ? ทิ้งปืนลงเดี๋ยวนี้!”
ขณะที่เผิงเหวินกวงกำลังอับอายสุดขีด ทันใดนั้นก็มีเสียงตวาดดังขึ้นใกล้ๆ เสียงนั้นดังสะเทือนจนแก้วหูอื้ออึง ปืนที่ถืออยู่ในมือตกลงไปบนพื้นอย่างไม่อาจควบคุมได้
เช่นเดียวกับเผิงเหวินกวง บรรดาผู้ภักดีต่อเหลยหู่ที่อยู่โดยรอบก็สะดุ้งกับเสียงตวาดราวกับราชสีห์คำรามนี้จนสติหลุดลอย และโยนปืนทิ้งลงบนพื้นโดยไม่รู้ตัว
นอกจากเสียงที่เกิดจากปืนตกลงบนพื้นแล้ว โถงใหญ่ซึ่งมีพื้นที่มากกว่าหนึ่งพันตารางเมตรก็เงียบงันไปหมด มีเพียงเสียงของเยี่ยเทียนที่ดังสะท้อนก้องอยู่ในสภา
คราวนี้ก็สามารถแยกแยะระดับพลังฝีมือของเหล่าผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ได้แล้ว อย่างเช่นพวกตู้เฟยที่ได้สติกลับมาเป็นกลุ่มแรก ก็รีบสะกิดคนของตัวเอง แล้วควบคุมคนของตำหนักอาญาเหล่านั้นไว้
ส่วนพวกที่ไม่รู้วิชายุทธนั้น ผ่านไปนานสี่ห้านาทีแล้วถึงจะได้สติกลับมา และแม้ว่าสมองจะได้สติแล้ว แต่ก็ยังคงรู้สึกวิงเวียนศีรษะตาลายอยู่ ในหูก็เหมือนกับมีปุยฝ้ายอุดอยู่ ฟังยินเสียงจากภายนอกได้ไม่ชัดเจนเลย
จนกระทั่งหลังจากทุกคนได้สติกลับมาอย่างสมบูรณ์แล้ว สถานการณ์ในที่นั้นก็เริ่มอยู่ตัวแล้ว บรรดาคนจากตำหนักอาญาที่เหลยหู่พามาทั้งหมดถูกต้อนไปอยู่ที่มุมหนึ่งของสภา แต่ละคนต่างก็กุมศีรษะนั่งยงโย่อยู่กับพื้น
ส่วนเหลยหู่นั้น พอถูกบีบคอก็สลบเหมือดไปแล้ว เยี่ยเทียนก็เลยโยนเขาทิ้งลงไปบนพื้น
แต่ไม่มีใครสังเกตเลยว่า เจ้าตำหนักคุ้มกฎที่ตอนแรกยืนอยู่ที่ประตูคนนั้น ตอนนี้กลับหายตัวไปแล้ว และในสถานการณ์อันโกลาหลวุ่นวายนี้ ก็ไม่มีใครสังเกตว่าเขาหายไปตั้งแต่เมื่อไร
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ? ทำไมสมองฉันยังมึนๆ อยู่เลย!”
“ดูเหมือนว่าพอท่านเยี่ยตวาดขึ้นมา สมองฉันก็ตื้อไปเลย เอ๊ะ เหลยหู่เป็นอะไรไปน่ะ?”
“พูดเบาๆ หน่อย สมาคมหงเหมินจะเปลี่ยนแปลงการปกครองจริงๆ แล้ว ตระกูลเหลยจะไม่เหลืออิทธิพลอีกแล้วหละ!”
ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนเป็นผู้อาวุโสที่เร่งเดินทางมาจากสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก สมองย่อมคิดได้ไวกว่าคนธรรมดาอยู่แล้ว เมื่อเห็นสภาพการณ์ที่นั่น ก็ขบคิดเข้าใจได้ในทันที ตระกูลเหลยสิ้นท่าในสมาคมหงเหมินอย่างไม่มีทางฟื้นฟูได้แล้ว
และผู้อาวุโสบางคนที่เคยฝึกวรยุทธดั้งเดิมมาก่อน ยามนี้ต่างก็มุ่งความสนใจไปที่เยี่ยเทียนเป็นจุดเดียวกันแล้ว
เสียงสิงห์คำรามเมื่อครู่นี้ สะเทือนจนพลังลมปราณทั่วร่างของพวกเขากระเจิงออกไป แม้จะได้สติกลับมาในเวลาไม่นาน แต่ในใจก็ยังรู้สึกตระหนกสุดขีด
ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า เยี่ยเทียนที่ดูท่าทางธรรมดาๆ กลับมีพลังฝีมือลึกซึ้งถึงขนาดนี้ กระทั่งยังไม่ได้ขยับมือเลยด้วยซ้ำ แค่ตวาดออกไปคำเดียว สถานการณ์ที่ที่นั่นซึ่งแทบจะควบคุมไม่อยู่แล้วก็สามารถพลิกกลับมาได้
จนกระทั่งถึงตอนนี้ พวกเขาจึงเพิ่งจะเข้าใจแล้วว่า สาเหตุที่เยี่ยเทียนกล้ามาเปิดที่ชุมนุมในสมาคมหงเหมินนี้ ที่แท้ไม่ใช่เพราะเขาพึ่งพากิตติศัพท์ของหลี่ซั่นหยวนผู้เป็นอาจารย์ แต่เพราะว่ามีเพชรล้ำค่าอยู่ในมือ ถึงได้กล้ามาเจาะกระเบื้องแบบนี้
“ท่านเยี่ย เกิดเหตุอัปมงคลในสมาคม เป็นที่น่าขายหน้าต่อท่านแล้ว…”
หลี่ซงชิวให้คนเข็นเก้าอี้มาถึงตรงหน้าเยี่ยเทียน แม้จะไม่อาจลุกขึ้นยืนได้ แต่ก็ประสานมือคารวะ ก้มศีรษะให้เยี่ยเทียนอย่างต่ำ เป็นตัวแทนสมาคมหงเหมินแสดงการขออภัยต่อเขา
เยี่ยเทียนรีบประคองมือทั้งสองข้างของหลี่ซงชิวไว้ แล้วเอ่ยตอบว่า “ท่านประธานใหญ่หลี่ สิบนิ้วยังสั้นยาวไม่เท่ากัน สมาคมหงเหมินมีสมาชิกอยู่หลายแสนคน จะมีพวกใจต่ำโผล่มาบ้าง ก็ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอก”
คำพูดของเยี่ยเทียนนี้ ทำให้บรรดาผู้อาวุโสที่ตอนแรกรู้สึกอับอายกันอยู่นั้นต่างก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา และคิดในใจว่าเยี่ยเทียนนี่รู้จักวางตัวดีจริง
หลี่ซงชิวผายมือ “ท่านเยี่ย เชิญท่านที่ตำแหน่งประธานใหญ่เลย ที่ประชุมของพวกเรานี้ยังต้องดำเนินพิธีการต่อไปนะ!”
เมื่อเกิดเรื่องฉาวโฉ่เช่นนี้ขึ้น ตอนนี้หลี่ซงชิวเลยกลัวว่าเยี่ยเทียนจะไม่ยอมเข้าร่วมสมาคมหงเหมินอีก ถ้าเรื่องแพร่ออกไปละก็ อย่างนั้นสมาคมหงเหมินคงจะไม่เหลือหน้าตาจริงๆ แน่
แต่ถ้าเยี่ยเทียนเข้ามาอยู่ในสมาคมหงเหมิน อย่างนั้นเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องภายในของสมาคมหงเหมิน แม้จะยังน่าขายหน้าอยู่มาก แต่ก็ถือว่ามีผ้าเตี่ยวช่วยปิดอำพรางอยู่ผืนหนึ่ง
เยี่ยเทียนร้องอืมเบาๆ แล้วพยักหน้า “ในเมื่อพี่น้องสมาคมหงเหมินให้เกียรติเช่นนี้ ผู้แซ่เยี่ยก็จะขอทำพิธีจนเสร็จสมบูรณ์!”
“ดี ท่านเยี่ยเชิญ พิธีการนี้ ฉันจะเป็นพิธีกรให้เอง!” หลี่ซงชิวได้ยินแล้วยินดียิ่งนัก ให้ตู้เฟยเข็นเก้าอี้พาเขาไปอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชา
“ลุงหลี่ ร่างกายไหวหรือครับ? ให้ผมทำแทนดีกว่านะครับ” ตู้เฟยพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร อีกแค่ประเดี๋ยวเดียวยังไม่ตายหรอกน่ะ!” หลี่ซงชิวโบกมือ แล้วพูดว่า “เชิญท่านเยี่ยจุดธูป!”
เมื่อเขาตะโกนขึ้น คนของสมาคมก็นำธูปหอมก้านหนึ่งมาส่งให้ถึงมือหลี่ซงชิว แล้วหลี่ซงชิวก็ส่งต่อให้เยี่ยเทียนอย่างทะนุถนอม
เยี่ยเทียนรับธูปก้านนั้นมาด้วยสองมือ แล้วชูขึ้นสูงเหนือศีรษะ คุกเข่าทั้งสองข้างลงไปตรงแท่นบูชาบรรพบุรุษของสมาคมหงเหมิน กราบสามครั้ง แล้วปักธูปไว้บนโต๊ะบูชา
“ท่านเยี่ย ขอประทานโทษนะครับ!”
หลังจากพิธีจุดธูปคารวะเสร็จสิ้นไปแล้ว ตู้เฟยก็หยิบดาบด้ามห่วงเล่มหนึ่งมายืนอยู่ข้างหลังเยี่ยเทียน แล้วใช้สันดาบตีเยี่ยเทียนเบาๆ ปากก็ท่องคำปฏิญาณตนสามสิบหกประการของสมาคมหงเหมินออกมาเสียงดัง
ตอนที่ 605 ตำหนักอาญา
โดย
Ink Stone_Fantasy
“หนึ่ง หลังจากเข้าสู่สมาคมหงเหมินแล้ว บิดามารดาของท่านก็คือบิดามารดาของเรา พี่น้องชายหญิงของท่านก็คือพี่น้องชายหญิงของเรา ภรรยาของท่านก็คือพี่สะใภ้ของเรา บุตรของท่านก็คือหลานของเรา หากมีการฝ่าฝืน ขอให้ฟ้าผ่ามีอันเป็นไป”
“สอง กรณีที่มีพ่อแม่พี่น้องถึงแก่กรรม แล้วขาดเงินจัดพิธีฝัง หากผู้ใดพบเห็นผ้าแพรขาว จงประกาศข่าวขอความช่วยเหลือออกไปทันที มีเงินช่วยออกเงิน ไม่มีเงินช่วยออกแรง หากผู้ใดแสร้งว่าไม่รู้ ขอให้ฟ้าผ่ามีอันเป็นไป”
“สามสิบหก ไม่ว่าจะเป็นบัณฑิต ชาวนา ช่างฝีมือ หรือพ่อค้า เมื่อเข้าร่วมสมาคมหงเหมินแล้ว ก็จะต้องยึดถือความจงรักภักดีมาก่อนสิ่งอื่น ติดต่อสมาคมกับพี่น้องในทุกสารทิศ…”
“คำปฏิญาณมีผลต่อทั้งผู้ทรยศและผู้ภักดี พี่น้องทุกสารทิศใช้กฎเดียวกัน ผู้จงรักภักดีพึงมียศศักดิ์ ผู้ทรยศหักหลังพึงจบชีวิตใต้คมดาบ”
ตู้เฟยเป็นผู้นำในการท่องคำปฏิญาณสามสิบหกประการของสมาคมหงเหมิน สมาชิกของสมาคมหงเหมินที่อยู่ในสภาต่างก็ท่องตาม หลังจากท่องคำปฏิญาณข้อที่สามสิบหกจบแล้ว ตู้เฟยก็ตะโกนขึ้นว่า “ประหารพญาหงส์!”
ทันทีที่ตู้เฟยตะโกนขึ้น เจ้าตำหนักพิธีก็อุ้มไก่โต้งใหญ่ตัวหนึ่งซึ่งดูองอาจกว่าไก่ทั่วๆ ไปมาที่หน้าโถงพิธี มือขวาของตู้เฟยฟันดาบออกไป แล้วหัวของไก่ตัวนั้นก็ถูกฟันร่วงลงมา
บนโต๊ะบูชามีแก้วสุราที่รินไว้ครึ่งค่อนแก้ววางเรียงอยู่แถวหนึ่ง เจ้าตำหนักพิธีหยดเลือดที่หลั่งออกมาจากหัวไก่ลงไปในแก้วสุรา แล้วก็ยกแก้วสุราไปที่วางตรงหน้าเจ้าตำหนักทั้งแปดของสภาในและสภานอกของสมาคมหงเหมิน
“ขอปฏิญาณกราบกรานฟ้าดำดินเหลือง สร้างพันธมิตรอุทิศตนเพื่อชาติ!”
ภายใต้การนำของหลี่ซงชิว แต่ละคนดื่มสุราผสมโลหิตในแก้วลงไปจนหมดรวดเดียว หลังจากผ่านพิธีหยดโลหิตปฏิญาณตนนี้ไปแล้ว ก็จะถือว่าเยี่ยเทียนได้เข้าสู่สมาคมหงเหมินอย่างเป็นทางการ
หลี่ซงชิวประสานมือคารวะเยี่ยเทียน แล้วชี้ไปยังเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ด้านหน้าตำแหน่งของตน “ท่านเยี่ย เชิญนั่งเถิด!”
“เอ๋?” เมื่อเห็นตำแหน่งที่ตั้งของเก้าอี้ตัวนั้น เยี่ยเทียนก็เปลี่ยนสีหน้าไป รีบโบกมือแย้งว่า “ไม่ได้นะครับ ผมยังไม่ได้มีตำแหน่งฐานะอะไร รับเก้าอี้ตำแหน่งนี้ไม่ได้หรอกครับ”
หลี่ซงชิวมีตำแหน่งเป็นผู้นำของสมาคมหงเหมิน จึงมีสถานะสูงส่งอย่างที่ไม่มีใครในสมาคมเทียบได้อีกแล้ว แต่เก้าอี้ตัวนี้กลับวางอยู่ในตำแหน่งเหนือกว่าเขา จึงมีความหมายแฝงอยู่อย่างลึกซึ้ง
หากจะทำความเข้าใจอย่างง่ายๆ ก็คือ เพราะเยี่ยเทียนมีศักดิ์สูงมาก จึงให้เขานั่งตำแหน่งนี้เพื่อเป็นการให้เกียรติ แต่ถ้าจะมองให้ลึกกว่านี้ละก็ ไม่ได้แปลว่าบัดนี้สมาคมหงเหมินมีผู้อาวุโสเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งหรอกรึ?
สมาคมหงเหมินแม้จะมีอาณาเขตกระจายอยู่ตามถิ่นต่างๆ ทั่วโลก แต่ทุกที่ก็มีนายใหญ่เฝ้ารักษาการอยู่แล้ว แม้แต่นายใหญ่แต่ละคนในสภาหลักก็มีตำแหน่งหน้าที่ตัวเองกันทุกคน พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ตอนนี้สมาคมหงเหมินไม่มีตำแหน่งว่างอยู่จะยกให้เยี่ยเทียนได้เลย
การที่หลี่ซงชิวทำเช่นนี้ เพราะอยากจะมีเยี่ยเทียนไว้เคารพบูชาดั่งบรรพบุรุษ หรือเพราะอยากให้เขากลายเป็นผู้อาวุโสมีอำนาจจริงๆ กันแน่ เรื่องนี้ค่อนข้างจะน่าขบคิดสงสัยอยู่เหมือนกัน
เมื่อหลี่ซงชิวเห็นเยี่ยเทียนปฏิเสธก็ส่ายหน้า ก็กล่าวว่า “ท่านเยี่ยมีศักดิ์อาวุโสสูงมาก ต่อให้เป็นสมัยก่อนสถาปนาประเทศก็ยังพบได้ยากอย่างยิ่งเลย แม้แต่ผู้แซ่ตู้กับผู้แซ่หวงก็ยังมีลำดับอาวุโสต่ำกว่าท่าน ท่านนั่งที่ตำแหน่งนี้ รับการคารวะจากพี่น้องทุกท่านเถอะ!”
พรรคชิงปังเน้นความเป็นอาจารย์และศิษย์ ส่วนสมาคมหงเหมินเน้นความเป็นพี่น้อง หลังจากชิงปังและหงเหมินรวมเข้าด้วยกัน ก็ไม่ได้มีความแตกต่างกันชัดเจนขนาดนั้นแล้ว เยี่ยเทียนย้ายจากชิงปังมาหงเหมิน หลี่ซงชิวจึงทำตามธรรมเนียมของพรรคชิงปัง
ตู้เฟยก็พูดขึ้นมาข้างๆ “นั่นสิครับ ท่านเยี่ย เราจะเสียมารยาทไม่ได้ โปรดรับการคารวะจากทุกๆ คนด้วยนะครับ!”
ถ้าเยี่ยเทียนสามารถวางรากฐานในสมาคมหงเหมินได้ ก็ย่อมจะเป็นผลดีต่อตู้เฟยอย่างยิ่ง
ในสมาคมแบบนี้ ลำดับอาวุโสแสดงถึงความสามารถในการมีสิทธิ์มีเสียง ต่อให้เยี่ยเทียนไม่มีอำนาจใดๆ เลยในสมาคมหงเหมิน แต่หากเขากล่าวอะไรออกไป คนอื่นก็ยังต้องนำไปพิจารณาอยู่ดี
“ขอท่านเยี่ยโปรดนั่งประจำตำแหน่งด้วย!”
ทันทีที่ตู้เฟยพูดจบ ฝูงชนในที่นั้นก็ส่งเสียงสนับสนุนขึ้นมาพร้อมๆ กัน พฤติการณ์ของเยี่ยเทียนในวันนี้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของทุกคนแล้ว อีกทั้งเขาก็ยังอายุน้อยเพียงเท่านี้ ไม่มีใครอีกแล้วที่จะสามารถสกัดขัดขวางเขาไม่ให้ก้าวหน้าในสมาคมหงเหมินได้
ดังนั้นต่อให้เป็นพวกที่เป็นมิตรกับตระกูลเหลย ก็คงไม่กล้าไปล่วงเกินเยี่ยเทียนตอนนี้ ได้แต่เทิดทูนบูชาเขาอย่างสูงส่งราวกับเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง
“ท่านเยี่ย ท่านก็นั่งไปเถอะครับ ไม่มีอะไรเสียหายหรอก!” ถังเหวินหย่วนแม้จะมีความสัมพันธ์กับเยี่ยเทียนอย่างค่อนข้างสนิทสนม แต่ยามนี้ก็ยังเรียกเขาว่า ‘ท่าน’ ด้วยเหมือนกัน
“ก็ได้ เคารพมิสู้ทำตามสั่ง!”
เยี่ยเทียนครุ่นคิดแล้วพูดขึ้นว่า “อันความเคารพรักจากทุกท่านนั้น ผมรู้สึกซาบซึ้งใจเหลือคณา และก็อยากจะทำความรู้จักกับนายใหญ่แต่ละท่านในสมาคมเสียหน่อย ผมขอไม่นั่งดีกว่า แต่จะยืนอยู่ที่ตำแหน่งนั้นแทนดีไหมครับ?”
ด้วยสถานะของเยี่ยเทียน เขามีสิทธิ์ที่จะนั่งรับการคารวะที่ตำแหน่งนั้นได้อยู่แล้ว แต่เขายืนกรานไม่ยินยอม อายุเยาว์ตำแหน่งสูง แต่ไม่เย่อหยิ่ง กลับทำให้เขาชนะใจของเหล่าสมาชิกไปได้หลายคนเลยทีเดียว
“ท่านเยี่ยครับ ผมเป็นทูตประจำอยู่ที่สมาคมหงเหมินสาขาลอสแอนเจลิส…”
“ท่านเยี่ยครับ ผมเป็นทูตประจำอยู่ที่สมาคมหงเหมินสาขามาเลเซีย…”
เยี่ยเทียนยืนอยู่ตรงนั้น แล้วบรรดาผู้อาวุโสจากสมาคมหงเหมินสาขาต่างๆ ทั่วโลกก็เรียงแถวกันเข้ามาแสดงความเคารพต่อเยี่ยเทียนตามลำดับ
แม้จะอายุน้อย แต่เยี่ยเทียนก็วางตัวได้เป็นผู้ใหญ่อย่างยิ่ง ทั้งการรับคารวะและคารวะตอบต่างก็ไม่มีจุดไหนที่เสียมารยาทไปเลย มิหนำซ้ำหลังจากได้ฟังชื่อของแต่ละคนไปครั้งเดียว ก็สามารถเรียกขานได้อย่างถูกต้องในทันที
การจดจำชื่อของผู้อื่นนั้นเป็นเครื่องมือวิเศษอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยในการเข้าสังคม ภาษิตว่า การแบกหามเกี้ยวนั้นคือคนอุ้มชูคน คนที่เยี่ยเทียนเรียกชื่อไปแต่ละคนต่างก็รู้สึกว่าตนเป็นที่ชื่นชอบ ในใจจึงรู้สึกเคารพเยี่ยเทียนขึ้นมามากในทันที
การพบปะคารวะกันครั้งนี้ใช้เวลาไปนานถึงครึ่งชั่วโมงกว่าๆ แต่ละคนต่างก็อยากจะพูดคุยกับเยี่ยเทียนอีกสักหน่อย ยิ่งบางคนที่ใจร้อนก็เปิดฉากซักถามเยี่ยเทียนเลยว่าจะเปิดรับลูกศิษย์หรือยัง?
สมาคมหงเหมินแตกต่างจากพรรคชิงปัง การเข้าสู่สมาคมโดยการกราบใครเป็นอาจารย์นั้นมีอยู่น้อยมาก ผู้อาวุโสหลายคนที่อยู่ในที่นั้นต่างก็จัดลำดับอาวุโสโดยตัดสินจากระยะเวลาที่ได้เข้าสู่สมาคม แม้แต่พวกหลี่ซงชิวก็เช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ เยี่ยเทียนจึงกลายเป็นคนเนื้อหอมขึ้นมา เพราะถ้าสามารถกราบเขาเป็นอาจารย์ได้ อย่างนั้นลำดับอาวุโสในสมาคมก็จะเลื่อนสูงขึ้นมาทันที เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง ลำพังแค่การถูกเรียกด้วยคำว่า ‘ท่าน’ นี้ ก็ทำให้พวกนี้แห่แหนกันเข้ามาแย่งชิงเหมือนฝูงเป็ดแล้ว
“พับผ่าสิ มิน่าล่ะสมัยก่อนอาจารย์ถึงไม่ยอมอยู่ในพรรคชิงปังต่อ ที่แท้แต่ละคนก็มีแต่พวกชอบเซ้าซี้เกาะแกะนี่เอง”
หลังจากการคารวะของทุกคนเสร็จสิ้นไปได้ เยี่ยเทียนก็แอบปาดเหงื่อบนหน้าผาก
นึกดูเถิดว่า ตาแก่แต่ละคนที่อายุใกล้จะเจ็ดแปดสิบแล้วพวกนี้ กลับมาแสดงเจตนาต่อเยี่ยเทียนด้วยท่าทางเหนียมอายว่าอยากจะขอกราบเป็นอาจารย์ ทำเอาเยี่ยเทียนทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ
แต่เยี่ยเทียนก็รู้ว่า เรื่องแบบนี้เป็นที่พบเห็นได้บ่อยมากในสมาคมต่างๆ สมัยก่อนตู้เยวี่ยเซิงกับหวงจินหรงก็เค้นสมองหาวิถีทาง ไปกราบผู้อาวุโสคนสำคัญบางท่านเป็นอาจารย์ เพื่อพัฒนาลำดับศักดิ์ของตัวเองเหมือนกันไม่ใช่หรอกหรือ
สมาคมก็ได้เข้าแล้ว คารวะก็คารวะแล้ว ตามเหตุผลพิธีการในวันนี้ก็ควรจะยุติลงได้แล้ว แต่ฝูงชนที่อยู่ในเหตุการณ์กลับไม่มีใครแยกย้ายกันเลยสักคน สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่ใบหน้าของประธานสมาคมหลี่ซงชิว
เหลยหู่ที่กำลังสลบอยู่ และคนของตำหนักอาญาที่นั่งคุดคู้อยู่ที่มุมหนึ่งในสภาเหล่านั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้จัดการเลย นี่เป็นปัญหาร้อนๆ ที่หากจัดการพลาดไปแม้แต่นิดเดียว ก็อาจทำให้ตระกูลเหลยโกรธแค้นขึ้นมาได้
แม้ว่าเหลยหู่จะมีตำแหน่งสูงเป็นเจ้าตำหนักอาญา แต่ในสายตาของคนทั้งหลาย เหลยหู่ก็เป็นเพียงทายาทรุ่นหลังคนหนึ่งเท่านั้น เหลยเจิ้นเยวี่ยผู้ชราแต่มีจิตมั่นต่างหาก ถึงจะเป็นพยัคฆ์ร้ายเสาหลักของตระกูลเหลยที่แท้จริง!
“แค่ก…แค่กๆ…”
เสียงไอของหลี่ซงชิวฟังดูดังเป็นพิเศษภายในที่ประชุมอันเงียบสงบ เขาได้รับบาดเจ็บที่ปอดจากการต่อสู้เมื่อนานมาแล้ว และสามปีก่อนแผลเก่าก็กำเริบขึ้นมาอีก ที่ทนมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว
หลี่ซงชิวใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากไว้ หลังจากไออย่างหนักไปพักหนึ่ง เขาก็เห็นอย่างชัดเจนว่า บนผ้าเช็ดหน้าสีขาวราวหิมะมีคราบโลหิตสีแดงเข้มอยู่ ในใจจึงรู้สึกเศร้าหมองขึ้นมา
“ตระกูลเหลย ให้ฉันเป็นคนจัดการเองก็แล้วกัน!”
หลี่ซงชิวลอบตัดสินใจกับตัวเอง เขาเหลือเวลาที่จะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่วันแล้ว ถ้าไม่จัดการกับตระกูลเหลยให้เรียบร้อยละก็ ไม่ว่าใครที่จะมานั่งตำแหน่งประมุขนี่ต่อจากเขา ก็คงจะอยู่ได้อย่างไม่มั่นคงนัก
“เซี่ยงจงถัง สมาชิกของตำหนักอาญาก่อความวุ่นวาย ทำร้ายผู้ร่วมสมาคม นี่คุณมาเป็นรองเจ้าตำหนักอาญาได้ยังไงน่ะ?”
แม้ว่าขณะนี้เหลยหู่จะเริ่มค่อยๆ ฟื้นสติขึ้นมาแล้ว แต่หลี่ซงชิวไม่ได้มองเขาเลย กลับเอ่ยปากพูดกับคนอื่นแทน เพราะคนที่ชื่อว่าเซี่ยงจงถังนี้ หลี่ซงชิวเป็นคนแต่งตั้งเขาเข้าไปในตำหนักอาญาเอง
“ท่านประธานใหญ่ ผมบริสุทธิ์นะครับ!”
เซี่ยงจงถังที่ตอนแรกกำลังนั่งยองๆ อยู่กับพื้นลุกขึ้นมา แล้วพูดเสียงดังว่า “ท่านประธานใหญ่ครับ ทั้งหมดนี้ท่านหู่เป็นคนจัดการเองทั้งหมด ท่านบอกว่าในพิธีการวันนี้ จะมีคนมุ่งร้ายต่อสมาคมหงเหมิน ให้พวกผมคอยฟังสัญญาณแล้วบุกเข้ามา ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ นะครับ!”
“นั่นสิ ท่านประธานใหญ่ครับ พวกผมเพียงแต่ทำตามคำสั่งของท่านหู่เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายผู้ร่วมสมาคมเลยนะครับ!”
ทันทีที่เซี่ยงจงถังพูดจบ คนของตำหนักอาญาหนึ่งร้อยกว่าคนเหล่านั้นก็ทยอยกันโวยวายขึ้นมาบ้าง ที่จริงแล้วคนสนิทที่รู้แผนของเหลยหู่จริงๆ ก็มีอยู่สิบกว่าคนเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ เพียงแต่ถูกเหลยหู่หลอกใช้โดยที่ไม่ได้รู้สถานการณ์แน่ชัด
“ท่านประธานใหญ่ครับ การที่พวกผมบุกรุกพิธีการนั้นแม้จะมีความผิด แต่พวกผมไม่ได้ลั่นไกปืนเลยนะครับ ขอให้ท่านประธานใหญ่โปรดพิจารณาด้วย สมาชิกของตำหนักอาญาไม่ได้มีความผิดกันหมดทุกคนนะครับ!”
เสียงของเซี่ยงจงถังพูดขึ้นมาอีกครั้ง โดยคราวนี้ชี้เป้าไปที่เหลยหู่โดยตรง ความหมายของเขาชัดเจนมาก เหลยหู่ลั่นไกปืนทำร้ายพี่น้องร่วมสมาคมจริง แต่นั่นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคนอื่นๆ ในตำหนักอาญาเลยนี่
“รองเจ้าตำหนักเซี่ยงพูดถูกแล้วครับ ขอท่านประธานใหญ่โปรดพิจารณาด้วย!”
บริวารของตำหนักอาญาพูดสนับสนุนกันขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาไม่อยากถูกกล่าวหาว่ามีความผิดฐานทำร้ายผู้ร่วมสมาคมหรอกนะ เพราะในคำปฏิญาณตนสามสิบหกประการที่เพิ่งกล่าวกันไปเมื่อครู่ก็ระบุไว้ชัดเจนแล้วว่า ทำร้ายผู้ร่วมสมาคม โทษคือแทงสามดาบหกรู!
หลี่ซงชิวโบกมือ “พาตัวเหลยหู่ขึ้นมา!”
เมื่อได้ยินคำสั่งของหลี่ซงชิว สมาชิกของสมาคมหงเหมินสี่คนก็พยุงเหลยหู่ซึ่งเพิ่งจะฟื้นและสติยังเลอะเลือนอยู่ขึ้นมา มือขวาของเขาพันผ้าพันแผลไว้เรียบร้อยแล้ว
“เหลยหู่ แกปกครองตำหนักอาญาอยู่ การทำร้ายผู้ร่วมสมาคมจะมีผลลัพธ์อย่างไร แกก็คงจะรู้ดีสินะ?”
ขณะที่มองดูเหลยหู่ หลี่ซงชิวเองก็รู้สึกลำบากใจอยู่ ถ้าเหลยเจิ้นเยวี่ยมาอยู่ที่นี่ เขาก็อาจจะใช้กฎของสมาคมลงโทษเหลยหู่ได้ แต่เหลยเจิ้นเยวี่ยก็ดันไม่อยู่ที่นี่ เขาจึงทำอะไรได้ไม่เต็มที่นัก
“นั่นมันเป็นอุบัติเหตุ ไม่นับว่าเป็นความผิด”
เหลยหู่เงยหน้าขึ้นมา แล้วจ้องเขม็งไปที่หลี่ซงชิว “ถ้าจะลงโทษเจ้าตำหนักของสภาฝ่ายใน ก็จะต้องมีรองประธานใหญ่มาอยู่เป็นพยานด้วยถึงจะทำได้ แกตัดสินลงโทษฉันไม่ได้หรอก!”
ในสมาคมหงเหมินนั้น ผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดย่อมเป็นท่านประธานใหญ่นั่นเอง และรองลงมาก็คือรองประธาน ซึ่งตำแหน่งรองประธานนี้ก็เป็นของเหลยเจิ้นเยวี่ย บิดาของเหลยหู่พอดี ปกติในสมาคมก็เรียกเขาว่าท่านผู้อาวุโสกันทั้งนั้น
“เอาเถอะ ในเมื่อแกพูดแบบนี้ ฉันก็จะไม่กดดันแกแล้ว”
หลี่ซงชิวมองดูเหลยหู่ซึ่งมีสีหน้าคับแค้น แล้วกล่าวขึ้นเสียงดัง “คณะทูตทุกท่านโปรดอยู่ที่นี่ต่ออีกหนึ่งวัน พรุ่งนี้สมาคมหงเหมินจะเปิดสภาตุลาการพิพากษากรณีนี้ ต้องขอเชิญทุกท่านมาเป็นสักขีพยานด้วย!”
“ไม่ต้องรอพรุ่งนี้แล้ว ตัดสินกันวันนี้เลยเถอะ!” หลี่ซงชิวพูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงอันดังกังวานเสียงหนึ่งก็ดังมาจากทางประตูใหญ่ ทำให้ฝูงชนต่างหันหน้าไปมองทางนั้น
“พ่อครับ!” เหลยหู่เงยหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และทันเห็นร่างอันสูงใหญ่ของเหลยเจิ้นเยวี่ยเดินเข้ามาในสภาพอดี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น