ลำนำบุปผาพิษ 603-647
603 มองเขา ‘เล่นละคร’ 2
เมื่อถึงยามนี้ฝูงชนที่สังเกตการณ์อยู่ถึงได้ทราบว่าหินวิญญาณของสำนักศึกษาถูกขโมยไป
แต่ข้ออ้างนี้ของเชียนหลิงอวี่ก็มีเหตุผล เหล่าชาวมุงจึงหลงเชื่อไปกว่าครึ่ง
หินวิญญาณเป็นสิ่งที่มีค่ากว่าทองเสียอีก คลังหินวิญญาณย่อมสำคัญอย่างยิ่ง นอกคลังหินวิญญาณมีเขตหวงห้ามอยู่ หากไม่มีกุญแจที่ต้องกัน ต่อให้โยนระเบิดเข้าไปก็ไม่ระเบิด หนาแน่นยิ่งกว่าห้องนิรภัยในธนาคาร
ต้องการขโมยหินวิญญาณไปจากที่นี่ นับว่ายากเย็นกว่าปีนขึ้นสวรรค์เสียอีก
ฝูงชนพากันซุบซิบอยู่ตรงนั้น คาดเดาว่าโจรขโมยหินวิญญาณผู้นั้นเป็นคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ใดกันแน่?
เชียนหลิงเทียนคิดว่าตนลบล้าง ‘ข้อกล่าวหา’ ของตนได้แล้ว จึงเริ่มวิเคราะห์ทันที คิดจะค้นหาโจรขโมยทรัพย์เพื่อแสดงคุณความดี “อาจารย์ใหญ่ขอรับ หลิงเทียนสงสัยว่าคนผู้หนึ่งจะเกี่ยวข้องกับคดีลักทรัพย์นี้!”
ในที่สุดกู่ฉานโม่ก็เปิดปากเอ่ย กล่าวออกมาสองคำ “ว่ามา”
เชียนหลิงเทียนจึงเอ่ยออกไป “หลิงเทียนสงสัยว่ากู้ซีจิ่วคือผู้ก่อเหตุขอรับ!”
กู่ฉานโม่เลิกคิ้วสูง ตอบเขาคำเดียว “หือ?”
“คลังหินวิญญาณของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เราแข็งแกร่งระดับใดกัน? อย่าว่าแต่ผู้น้อยเลย ต่อให้มีฝีมือระดับศิษย์พี่เยี่ยนเฉินก็ยังไม่อาจเข้าไปโดยที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็นได้ แถมคนนอกยังเข้ามาไม่ได้ด้วย คนที่เข้ามาก็มีเพียงองค์ชายแปดหรงเช่อผู้เดียว เจ้าสำนักหลงและท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ หรงเช่อวรยุทธ์ไม่เข้าขั้น เจ้าสำนักหลงและท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มีกำลังพอจริงๆ แต่เป็นไปไม่ได้ เมื่อไล่เรียงออกมาเช่นนี้ ก็เหลือเพียงกู้ซีจิ่วที่เพิ่งเข้าสำนักมาได้ไม่กี่วันก็ทำให้ผู้อื่นอยู่ไม่สุขคนนั้น คนๆ นี้น่าสงสัยที่สุด! ยังไม่รวมคำยกย่องยามนางอยู่ที่อาณาจักรเฟยซิงอีก กล่าวได้ว่านับตั้งแต่นางมาเรื่องประหลาดเหล่านั้นก็เกิดขึ้นมาทำให้ผู้อื่นสงสัยในตัวนาง…และข้อที่สำคัญที่สุดคือ นางเป็นวรยุทธ์ที่ประหลาดอย่างหนึ่ง สามารถปรากฏตัวขึ้นในสถานที่สักแห่งได้ตรงๆ สิ่งใดก็กีดขวางไว้ไม่ได้…ด้วยวรยุทธ์เช่นนี้ของนาง เข้าไปในคลังหินวิญญาณได้ง่ายดายนัก! มิสู้ท่านอาจารย์ใหญ่ส่งคนไปตรวจสอบนางดู บางทีอาจพบหินวิญญาณที่ถูกขโมยไป…”
เชียนหลิงเทียนมีวาทศิลป์นัก วาจาที่เอื้อนเอ่ยมีน้ำหนักยิ่ง โยนกระโถนอาจมใส่ศีรษะกู้ซีจิ่วอย่างง่ายดาย…
เขาพูดเป็นต่อยหอย ลื่นไหลไม่ติดขัด กู่ฉานโม่และผู้อาวุโสทั้งสี่ของหน่วยลงทัณฑ์น่าจะเป็นเพราะดึกแล้วสติไม่แจ่มใสนัก พวกเขาแสร้งวางท่า เมื่อฟังเชียนหลิงเทียนที่พูดอยู่ตรงนั้น พวกเขาก็แค่ตอบรับบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อให้เขาพูดต่อไป
เชียนหลิงเทียนในเวลานี้เพื่อลบล้างข้อสงสัย ย่อมพยายามสุดความสามารถ เขากล่าวข้อสงสัยและข้อคิดเห็นบางส่วนของเขาออกมาอีก กล่าวได้พูดจนปากคอแห้งผาก…
เขาคอแห้งจริงๆ ทนไม่ไหวจึงร้องขอน้ำเย็นถ้วยใหญ่ๆ สักถ้วย
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกระวนกระวายหรือเป็นเพราะคึกคักฮึกเหิม ใบหน้าหล่อเหลาของเขาจึงเริ่มแดงก่ำ
ถึงแม้กู่ฉานโม่จะไม่ได้พุดอะไร แต่ก็จ้องเขาด้วยแววตาคมปลาบอยู่เสมอ จ้องจนเชียนหลิงเทียนใจเต้นรัว
เชียนหลิงเทียนรู้สึกว่า ถ้อยคำที่เขากล่าวมากชั่วชีวิตยังไม่มากเท่าวันนี้เลย ด้วยเหตุนี้เมื่อกล่าวมาถึงตอนท้ายสุด เขาก็รู้สึกว่าลำคอของเขาแทบจะลุกไหม้แล้ว ถึงได้หุบปากลงอย่างไม่เต็มอิ่มนัก เขาเม้มริมฝีปากที่แห้งผากแล้วร้องขออย่างอ่อนแรง “ท่านอาจารย์ใหญ่กู่ ศิษย์ขอดื่มน้ำสักอึกได้ไหมขอรับ?”
กู่ฉานโม่มองดูเขา เอ่ยออกมาช้าๆ สองคำ “ไม่ได้!”
เชียนหลิงอวี่นิ่งงัน ดูเหมือนในที่สุดเขาก็ตระหนักถึงความผิดปกติได้แล้ว “ท่านอาจารย์ใหญ่…”
“มิน่าล่ะกู้ซีจิ่วถึงบอกว่า คนที่กินปูนร้อนท้องจะพูดมากยิ่งนัก โดยเฉพาะยามที่จะลบล้างข้อล้างกล่าวหาให้ตนเองและเบี่ยงเบนความสนใจของผู้อื่น จะพูดมากเป็นพิเศษ ตอนนี้เห็นทีว่านางจะกล่าวได้ถูกต้อง” ในที่สุดกู่ฉานโม่ก็เปิดปากเอ่ยประโยคยาวๆ ออกมาแล้ว
หัวใจเชียนหลิงเทียนเต้นช้าลงหนึ่งจังหวะ อ้าปากน้อยๆ “อ…อะไรนะ?”
604 มองเขา ‘เล่นละคร’ 3
ผู้คนที่มุงดูอยู่ก็งงงวยเช่นกัน
หากมิใช่ว่ามีอาจารย์ใหญ่กู่ผู้สอบสวนคดี และมีกฎว่าไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องสอดปากพูด เกรงว่าหลายคนที่อยู่รอบๆ คงเอ่ยถามไปแล้ว
กู่ฉานโม่ค่อยๆ กล่าวออกมาอีกประโยคว่า “คลังหินวิญญาณไม่ได้ถูกขโมย สักก้อนเดียวก็ไม่หายไป!”
ฝูงชนเงียบงัน
หัวใจเชียนหลิงเทียนพลันจมดิ่ง “หมายความว่า…อย่างไร? ในเมื่อ…ในเมื่อไม่ได้ถูกปล้น เช่นนั้นเหตุใดต้องจับกุบหลิงเทียน…” เขาสัมผัสถึงลางร้ายได้รางๆ
“ความหมายตรงตัว” น้ำเสียงกู่ฉานโม่เยียบเย็น “ถึงแม้เจ้าจะไม่ได้ปล้นคลังหินวิญญาณ แต่เจ้าก็ขโมยบางสิ่งไปจริงๆ ซึ่งน่ารังเกียจยิ่งกว่าการขโมยหินวิญญาณเสียอีก!” แล้วหันไปมองด้านหลังฉากกั้น “หลิงอวี่ ซีจิ่ว พวกเจ้าออกมาได้แล้ว”
ยามที่กู้ซีจิ่วและเชียนหลิงอวี่เยื้องย่างออกมา ทุกสายตาล้วนจับจ้องอยู่ที่ร่างพวกเขาเป็นตาเดียว
บ้างก็สงสัย บางก็ฉงน บ้างก็ไม่เข้าใจ ผู้ที่มีประสาทสัมผัสเฉียบไวสัมผัสได้แล้วว่าจะมีละครฉากใหญ่
เชียนหลิงเทียนหน้าเปลี่ยนสีทันที สองขาที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นเริ่มสั่นระริก หวาดหวั่นเสมือนวันโลกาวินาศมาถึงก่อนเวลา
เมื่อกู้ซีจิ่วและเชียนหลิงอวี่ปรากฏตัวขึ้น ในที่สุดละครเรื่องนี้ก็แสดงมาถึงฉากเด็ดแล้ว
กู้ซีจิ่วกล่าวออกมาซึ่งๆ หน้าว่ากู่พิษที่เชียนหลิงอวี่โดนมีส่วนเกี่ยวข้องกับเชียนหลิงเทียน…
ครั้งนี้เธอมีหลักฐานชัดแจ้ง พูดแต่ละข้อออกมาอย่างกระจ่างแจ้งชัดเจนยิ่งนัก
สี่ผู้อาวุโสของหน่วยลงทัณฑ์ที่ก่อนหน้านี้นิ่งเงียบอยู่ก็ปราดเข้ามา เล่าทุกอย่างที่พวกเขาเห็นระหว่างลอบสังเกตการณ์หลายวันมานี้ เปรียบเทียบสองฝ่ายอย่างที่กู้ซีจิ่วบอก ไม่มีผิดเพี้ยน
ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนเป็นอัจฉริยะ ไม่มีผู้ใดโง่เขลาเลยสักคน เรื่องราวดำเนินมาถึงตรงนี้ ฝูงชนย่อมเข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องแล้ว แต่ละคนเบิกตากว้าง นึกไม่ถึงว่าที่แท้ความจริงเป็นเช่นนี้
แน่นอนว่าพวกเขาก็เลื่อมใสกู้ซีจิ่วเช่นกัน หากมิใช่นางกางแหดักไว้ข้างหลัง ก็คงจับปลาใหญ่เช่นนี้ไม่ได้!
แม่นางน้อยใช้กลยุทธ์แผนซ้อนแผน ร้ายกาจจริงๆ!
มิน่าล่ะคนเฉียบแหลมปลิ้นปล้อนอย่างเชียนหลิงเทียนถึงหลงกลนางโดยไม่รู้ตัว!
หลังจากกู้ซีจิ่วนำหลักฐานเหล่านี้ออกมา มือเท้าของเชียนหลิงเทียนก็เย็นเฉียบไปหมด! เขาถึงขั้นพูดแก้ต่างให้ตนไม่ออก ทำได้เพียงเอ่ยเฉไฉว่าอีกฝ่ายพูดจาเหลวไหล ทั้งหมดนี้เป็นการคาดเดาส่งเดช ถ้าเธอมีฝีมือจริงก็เอากู่พิษอะไรนั่นออกมาให้ทุกคนเห็นสิ เอ่ยวาจาประเภทนี้เพื่อให้ตนพ้นผิด
กู่ฉานโม่หันเหสายตาไปหากู้ซีจิ่ว “ซีจิ่ว กู่นั้นเจ้านำออกมาตอนนี้ได้หรือไม่? รักษาเชียนหลิงอวี่ให้หายขาดได้หรือเปล่า?”
หลังจากกู่ฉานโม่ถามประโยคนี้ออกมา ในห้องโถงก็เงียบมาก ทุกล้วนรอคอยคำตอบจากเธอคนเดียว
กู้ซีจิ่วเม้มปากยิ้มแวบหนึ่ง หนนี้เธอตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ได้!”
ปัจจัยที่ไม่แน่นอนทั้งหมดล้วนถูกแผนการของเธอขจัดทิ้งไปแล้ว ตอนนี้เธอมั่นใจเต็มร้อยว่าสามารถรักษาเชียนหลิงอวี่ให้หายได้! คืนความเป็นธรรมแก่เขา!
กู่ฉานโม่ก็รอคอยประโยคเดียวนี้จากเธอ!
“ดี เจ้าลงมือได้เลย!”
กู้ซีจิ่วกวักมือเรียนเชียนหลิงอวี่ “เข้ามาสิ มานั่งตรงนี้” เธอชี้ไปที่จุดหนึ่งบนพื้นห้องโถง
เชียนหลิงอวี่ไม่ลังเลเลย รีบไปตรงนั้นทันที นั่งประจันหน้ากับเชียนหลิงเทียนพอดี ห่างกันไม่ถึงหนึ่งจั้ง
กู้ซีจิ่วพลันปรบมือ เงยหน้ามองกู่ฉานโม่ “อาจารย์ใหญ่กู่ สามารถเริ่มได้แล้ว!”
กู่ฉานโม่รีบส่งสัญญาณให้ผู้อาวุโสทั้งสี่ทันที ผู้อาวุโสทั้งสี่กระจายตัวออกไป ทุกคนเข้าประจำตำแหน่ง เมื่อรวมกู่ฉานโม่เข้าไปด้วย ทั้งห้ายืนอยู่ในห้องโถงเป็นรูปทรงดาวห้าแฉก
จะว่าไปก็แปลก พอทั้งห้าคนยืนประจำตำแหน่ง พื้นห้องโถงที่แต่เดิมปกติธรรมดาก็ดูเหมือนจะถูกอะไรกระตุ้น ส่องแสงสลัวๆ ออกมา ก่อตัวเป็นค่ายกลขนาดใหญ่
605 มองเขา ‘เล่นละคร’ 4
เชียนหลิงอวี่และเชียนหลิงเทียนนั่งอยู่ใจกลางค่ายกล
เชียนหลิงเทียนหน้าถอดสี มาถึงยามนี้เขาก็ทราบว่าไม่ดีแล้ว!
เขาไม่แยแสอะไรทั้งสิ้นกระเด้งตัวขึ้นมา “พวกเจ้าจะ…” เขายังไม่ทันเอ่ยวาจาตอนท้ายออกมา พลันเกิดเสียงดังตึงเขาล้มลงไปกองที่เดิมอีกครั้ง
การล้มไม่ถือว่าน่าหวาดหวั่น ที่น่าหวาดหวั่นคือหลังจากล้มลงเขาพบว่าร่างกายตนอ่อนนิ่มดั่งเส้นก๋วยเตี๋ยว ราวกับถูกดึงกระดูกออกไป
“พวกเจ้า…พวกเจ้าทำอะไรข้า?” เขาตะโกน คอแหบแห้งเหมือนกลืนทรายเข้าไป
“วางยาพิษเจ้า ให้เจ้าว่าง่ายๆ ไม่นับว่าเป็นพิษร้ายแรง” กู้ซีจิ่วยิ้มบางๆ
เชียนหลิงเทียนเบิกตากว้าง กัดฟันเอ่ย “เจ้าวางยาพิษตอนไหน?” เขามองฝูงชนที่อยู่รอบข้าง ท่าทางไม่เหมือนถูกพิษ
ดูเหมือนคนที่ถูกพิษก็คือตัวเขา…
“พิษนี้ของข้าคือกลิ่นหอมชนิดหนึ่ง คนทั่วไปสูดดมจะไม่เป็นไร ถึงขั้นมีสรรพคุณบำรุงร่างกายด้วยซ้ำ ดังนั้นปกติแล้วมันไม่ใช่พิษ แต่เป็นธูปหอมอย่างหนึ่ง” กู้ซีจิ่วอธิบายให้เขาฟังอย่างมีน้ำใจ
ธูปหอม?
สายตาเชียนหลิงเทียนตกลงบนกระถางธูปทองแดงใบหนึ่งตรงมุมห้องโถงที่มีพืชหอมเผาไหม้อยู่ ตรงนั้นยังคงมีควันสีขาวลอยอ้อยอิ่งขึ้นมา
การใช้ธูปหอมในห้องโถงเป็นเรื่องปกติยิ่ง แถมในห้องโถงก็มีผู้คนมากมายขนาดนี้ เขาย่อมนึกไม่ถึงที่นี่จะมีแผนร้ายซ่อนอยู่!
“แต่กลิ่นหอมนี้ไม่อาจผสมกับสมุนไพรชนิดหนึ่งได้ เมื่อผสมกันจะเกิดปฏิกิริยาขึ้น มันจะกลายเป็นพิษชนิดหนึ่ง แต่ว่า เจ้าวางใจได้ พิษนี้ไม่ถึงชีวิตเจ้า แค่ทำให้เจ้าว่าง่ายขึ้นหน่อยเท่านั้น” กู้ซีจิ่วกล่าวต่อ
ความจริงแล้วพิษนี้ยังมีลักษณะพิเศษอีกอย่างคือ ต้องให้คนพูดไม่หยุด ยิ่งพูดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสูดพิษเข้าไปมากเท่านั้น และจะกำเริบขึ้นมา
ดังนั้นก่อนหน้านี้พวกกู่ฉานโม่ถึงยอมให้เขาวิเคราะห์โน่นวิเคราะห์นี่อยู่ตรงนั้น และไม่ขัดจังหวะเขา บางครั้งถึงขั้นส่งสายตาให้กำลังใจเขาอยู่หลายแวบ ให้เขาคุยฟุ้งต่อไป
ในที่สุดเชียนหลิงเทียนก็ทราบว่าตนติดกับแล้ว แทบจะกัดฟันพูด “สมุนไพรอะไร? แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าใช้สมุนไพรนั้น?”
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว เอ่ยว่า “ง่ายมาก ในโอสถระดับสี่ที่เจ้าให้ข้าหลอมเมื่อคืนมีสมุนไพรนั้นอยู่”
เชียนหลิงเทียนตะลึง “…ที่แท้เจ้าก็วางกับดักข้าตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว!”
“ไม่งั้นเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”
จู่ๆ เชียนหลิงเทียนก็ยิ้มออกมา ร้อยยิ้มค่อนข้างประหลาด “กู้ซีจิ่ว เจ้าฉลาดมาก รู้มากเหลือเกิน เพียงแต่เจ้าคิดว่าทำให้ข้าอยู่เฉยๆ ก็สามารถเอากู่นั้นออกมาได้แล้วหรือ? เช่นนั้นเจ้าคิดผิดแล้ว! ขอเพียงข้าไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ว่าเจ้าจะทำอย่างไรก็นำกู่นั้นออกมาไม่ได้! เจ้าทุกข์ใจตายไปซะเถอะ!”
กู้ซีจิ่วมองดูเขาครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ถอนหายใจออกมาพลางเอ่ยว่า “ดูๆ แล้วเจ้าก็นับว่าฉลาด เหตุใดยามนี้จู่ๆ โง่งมขึ้นมาเสียเล่า? เจ้าไม่คิดหน่อยหรือ หากข้าไม่มีความมั่นใจเต็มที่ จะเปิดโปงเจ้าในยามนี้ได้อย่างไร? เจ้าอยากพูดใช่หรือไม่ ว่าต่อให้ข้ามียาถอนพิษก็ไม่มีประโยชน์ ขอเพียงเจ้าไม่ยอมโคจรถ่ายโอนให้ ยาแก้พิษนั้นก็ไม่เป็นผลใช่ไหม?”
เชียนหลิงเทียนใจหายแวบ ดูเหมือนจะนึกอะไรได้ “โอสถระดับสี่เม็ดนั้น! ยาแก้พิษผสมอยู่ในโอสถระดับสี่เม็ดนั้น!”
“ในที่สุดก็คิดออกแล้ว!” กู้ซีจิ่วยิ้มบางๆ
เชียนหลิงเทียนปานถูกฟ้าผ่ากลางกบาล เขาถ่ายโอนโอสถเม็ดนั้นสำเร็จแล้ว ไม่มีผู้ใดบังคับเขา เขาใช้ยาถอนพิษอย่างว่าง่ายเอง…
ที่น่าโมโหกว่านั้นคือ เขาจ่ายเงินโอสถเม็ดนั้นด้วยราคามหาศาล!
เขากำมือแน่นแล้วแน่นอีก รู้ว่าหมดหวังแล้ว แผนร้ายของเขาถูกเปิดโปงหมดสิ้นแล้ว เขาปิดบังต่อไปไม่ได้แล้ว…
ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา “กู้ซีจิ่ว นับว่าเจ้ามีความสามารถ! แต่คิดจะช่วยเขานั้น อย่าได้ฝันเลย!”
เขากัดฟันกรามทันที ยาพิษที่ซุกซ่อนอยู่ในฟันกรามเขาไหลลงคอในชั่วพริบตา…
606 ทูตเฉิงเอ้อถูกถีบเข้ามา
นั่นคือพิษยางน่อง ขอเพียงกลืนลงไป ไม่ถึงห้าวินาทีก็จะสิ้นชีพ
กู้ซีจิ่วเห็นเขากลืนยาพิษลงไปอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะขัดขวาง
ห้าวินาทีผ่านไป สิบวินาทีผ่านไป เชียนหลิงเทียนยังคงคุกเข่าแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น ไม่มีท่าทีว่าจะดับดิ้นแต่อย่างใด
เชียนหลิงเทียนงงงัน
ทำไมพิษถึงไม่ออกฤทธิ์? ซ่อนยาไปนานเกินไปจนเสื่อมฤทธิ์หรือ? หรือเป็นยาปลอมมาตั้งแต่แรก์
กู้ซีจิ่วกล่าวอย่างเฉื่อยชาว่า “ลืมบอกเจ้าไป ธูปหอมในห้องห้องโถงนี้นอกจากจะทำให้เจ้าตัวอ่อนปวกเปียกเหมือนแป้งทอดแล้ว มันยังมีคุณสมบัติเพิ่มเติมอีกอย่าง สามารถขจัดพิษทุกชนิดที่ไม่ได้เกิดจากมันได้ ดังนั้นยามนี้ต่อให้เจ้ากลืนพิษลงไปทั้งชามก็ไม่มีประโยชน์”
ในสมองเชียนหลิงเทียนอัดแน่นด้วยความโกรธขึ้งคั่งแค้น แต่ลู่ทางของเขาถูกผู้อื่นปิดตายไว้ล่วงหน้า ยามนี้เขาจึงไม่รู้จะทำอย่างไรชั่วขณะ
กู้ซีจิ่วโบกมือส่งสัญญาณ พวกกู่ฉานโม่พลันจรดนิ้ว กระตุ้นค่ายกล มือของทุกคนส่งลำแสงสายหนึ่งออกมา รวมตัวกันกลางอากาศ ทอดลงบนร่างเชียนหลิงเทียน…
เชียนหลิงเทียนคิดหลบหลีก แต่ร่างเขาอ่อนปวกเปียก ย่อมหลบไม่พ้น
ได้แต่เบิกตามองตนเองถูกแสงห้าสีปกคลุม หมุนวน บางจุดในร่างกายเริ่มปั่นป่วนจนอึดอัด
เขารู้ดี นั่นคือหนอนกู่ หนอนกู่ที่สามารถพาเขาไปสู่ความรุ่งโรจน์อันไร้ที่สิ้นสุดถูกทำให้ตื่นตระหนก เริ่มดิ้นรนแล้ว…
ในห้องโถงยังเงียบยิ่งนักเช่นเดิม
ถึงอย่างไรผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ล้วนเป็นอัจฉริยะผู้มีความสามารถ มิใช่พวกชอบเอะอะมะเทิ่ง
ทุกคนล้วนมองเหตุการณ์นี้อยู่เงียบๆ ไม่มีใครส่งเสียง จากนั้นก็มองผลของแสงห้าสีนั้น หลังจากเชียนหลิงเทียนหน้าบิดหน้าเบี้ยวอยู่ครู่หนึ่ง หนอนที่ดูเหมือนเส้นเลือดเส้นหนึ่งก็ผุดออกมาจากท้ายทอยเขา
หนอนตัวนั้นยาวครึ่งฉื่อ รูปร่างเหมือนเส้นเลือดมนุษย์ยิ่งนัก เดี๋ยวยืดเดี๋ยวหดดิ้นรนอยู่ตรงนั้น แปลกประหลาดและน่าขยะแขยง เมื่อหนอนตัวนี้โผล่ออกมา กระแสพลังวิญญาณที่โอบล้อมรอบกายเขาก็เลือนหายไปใรพริบตา เชียนหลิงเทียนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนพื้น เสมือนลูกหมาตกน้ำตัวหนึ่งที่ถูกคนทอดทิ้ง มิใช่หมาป่า
ผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลมกระซิบออกมาอดใจไว้ไม่อยู่ “ตอนนี้พลังวิญญาณเขาคือขั้นสองตอนกลาง!”
เชียนหลิงเทียนเหงื่อโทรมหน้า สีหน้าเปี่ยมความสิ้นหวัง!
คนลึกลับที่มอบกู่ให้เขาเคยบอกไว้แล้ว หากกู่นี้ถูกผู้อื่นขับออกมา เช่นนั้นพลังวิญญาณดั้งเดิมของเขาจะถูกดูดซับไปครึ่งหนึ่ง ให้เขาระวังแล้วระวังอีก!
ก่อนที่เขาจะช่วงชิงพลังวิญญาณของเชียนหลิงอวี่มา มีพลังวิญญาณขั้นหก หลังจากช่วงชิงมาแล้ว เนื่องจากเขามุมามนะ ‘ฝึกฝน’ พลังวิญญาณในปัจจุบันของเขาเกือบจะบรรลุขั้นแปดแล้ว ใกล้จะตามเยี่ยนเฉินทันแล้ว…
ห้าสิบปีที่ต่อสู้มา สูญสิ้นไปในคืนเดียว!
ถึงขั้นสู้เมื่อก่อนมิได้ด้วยซ้ำ!
เชียนหลิงเทียนจ้องมองกู้ซีจิ่ว ดวงตาแทบจะมีเปลวไฟพวยพุ่งออกมา!
ทว่ากู้ซีจิ่วกลับไม่เหลือบเลเขาเลย บนมือเธอสวมถุงมือบางๆ ชั้นหนึ่งไว้ ค่อยๆ ยื่นออกไป คีบหนอนตัวนั้นไว้ระหว่างนิ้วของเธอ
หนอนกู่ตัวนั้นย่อมไม่ยินยอม ดิ้นรนอย่างหนักอยู่ในมือเธอ อย่าเห็นเป็นเพียงหนอนกู่เล็กๆ ตัวหนึ่ง พลังกำลังนั้นเทียบกับงูเหลือมสักตัวได้เลย กู้ซีจิ่วถ่ายเทพลังวิญญาณไปที่นิ้วทั้งสอง ถึงพอฝืนกดมันไว้ได้
เธอไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรเดินไปหาเชียนหลิงอวี่ที่นั่งสมาธิอยู่ตรงนั้น กล่าวเพียงไม่กี่คำว่า “ถอดเสื้อผ้าออกเร็ว!”
ความจริงแล้วเชียนหลิงอวี่ไม่ทราบมาก่อนว่าจะขจัดกู่อย่างไร แค่ทำทุกอย่างตามท่กู้ซีจิ่วบอกเท่านั้น
ตอนนี้ถูกสั่งให้ถอดเสื้อผ้าออก เขาอดไม่ได้ที่จะลังเล อดจะมองไปรอบๆ ไม่ได้ สายตารอบข้างล้วนมองมาที่เขา มีทั้งบุรุษและสตรี ชราและอ่อนเยาว์…
เขาหน้าแดง ถามอุบอิบว่า “ไม่ถอดได้ไหม…”
“ต้องถอด!” กู้ซีจิ่วตัดบทเขา
607 ทูตเฉิงเอ้อถูกถีบเข้ามา 2
“ต้องถอด” กู้ซีจิ่วตัดบทเขา ถอดแค่ท่อนบนเท่านั้น ไม่ได้ให้เขาถอดกางเกงจนเปลือยสักหน่อย เหนียมอายทำไม?
เชียนหลิงอวี่ในยามนี้เชื่อฟังยิ่งนัก พลันกัดฟัน เริ่มแกะสาบเสื้อออก…
‘ผลั่ก!’ ทันใดนั้นคนผู้หนึ่งก็เหินละลิ่วเข้ามาจากด้านนอก!
ท่วงท่าที่คนผู้นั้นเหินละลิ่วเข้ามาค่อนข้างประหลาด ไม่เหมือนเข้ามาด้วยตนเอง แต่เหมือนถูกผู้อื่นถีบเข้ามา! พริบตาเดียวก็ร่วงลงมา และร่วงลงมาตรงกลางระหว่างกู้ซีจิ่วและเชียนหลิงอวี่พอดี กู้ซีจิ่วไม่ทันตั้งตัว เกือบถูกผู้ที่มาเบียดจนเซล้ม
เธอถอยหลังไปสองก้าว ยามมองเห็นผู้ที่มาชัดๆ ก็เลิกคิ้วขึ้นโดยความประหลาดใจ “ทูตเฉิงเอ้อ!”
คนผู้นั้นคือทูตเฉิงเอ้อ ด้านหนึ่งเขาก็จิกกัดความไร้เมตตาของท่านเทพศักดิ์อยู่ในใจ ด้านหนึ่งก็วางท่าผึ่งผายไปด้วย “แม่นางกู้ เรื่องนี้ข้าก็ทำได้ ให้ข้าทำเถิด”
จับหนอนกู่ที่เคยอยู่ตรงหว่างนิ้วกู้ซีจิ่วไว้ มองแวบเดียวก็รังเกียจจนต้องละสายตาไป น่าขยะแขยงเหลือเกิน! สิ่งนี้น่าขยะแขยงจริงๆ!
ของน่าขยะแขยงพรรค์นี้แม่นางกู้ผู้นี้ก็ยังรู้จัก ซ้ำยังทราบวิธีแก้ด้วย น่าเลื่อมใสนัก!
อันที่จริงทูตเฉิงเอ้อก็ไม่ทราบเรื่องมาก่อนเช่นกัน แต่เมื่อครู่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์สอนให้เขาอย่างรวดเร็ว เขายังไม่ทันกระจ่างก็ถูกถีบเข้ามาแล้ว…
ผู้ที่สามารถติดตามท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ในฐานะเทวทูตได้ย่อมมิใช่บุคคลธรรม เลือกมาเพียงคนเดียวจากหลายล้านคน ดังนั้นทูตเฉิงเอ้อก็เป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะเช่นกัน เรียนรู้ได้ทุกสิ่ง
แถมยังต้องปรับตัวให้ลื่นไหลแนบเนียน สูงส่งเย็นชาเอย เสแสร้งเอย สง่างามเอย มุทะลุเอย บทบาทที่แสดงเปลี่ยนไปตามภาพลักษณ์ของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์…
อย่างเช่นตอนนี้เขาตีหน้าเย็นชาหน้าตาย มือขวาจับหนอนตัวนั้นไว้ มือซ้ายชี้นิ้วออกมา เชียนหลิงอวี่ เสื้อท่อนบนของเชียนหลิงอวี่ที่ยังถอดไม่เสร็จก็ร่วงมาอยู่ตรงต้นแขนทันที เผยให้เห็นแผ่นอกขาวกระจ่าง
ท่าทางของทูตเฉิงเอ้อในยามนี้เหมือนกำลังจะเชือดหมู ทำให้เชียนหลิงอวี่ขวัญเสียจนหดกายไปด้านหลังทันที สองแขนกอดอกไว้ตามสัญชาตญาณ
ทูตเฉิงเอ้อเหลืออด ลากเขาเข้ามาพลางเอ่ยว่า “เจ้าก็เป็นชายทั้งแท่ง จะเหนียมอายปานนี้ไปทำไม? ข้าไม่ได้จะฆ่าเจ้าเสียหน่อย! มา นั่งสมาธิดีๆ ข้าจะจับหนอนให้เจ้า!”
เชียนหลิงอวี่มองหนอนสีโลหิตที่ที่ดีดดิ้นอยู่เบื้องหน้า กังวลอย่างยิ่ง เขาไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน แต่กลัวหนอน!
น่าสังเวชนักเขามีพลังวิญญาณพลังวิญญาณขั้นหกตอนกลาง ปกติแล้วเป็นบุคคลที่ห้าวหาญทระนง แต่พออยู่ในกำมือทูตเฉิงเอ้อ เขาก็เหมือนไก่อ่อนตัวหนึ่ง จะดิ้นรนก็ไม่กล้า ไม่ดิ้นรนก็หวาดหวั่น…
เขาทนไม่ไหวจึงส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังกู้ซีจิ่ว “ซีจิ่ว..เจ้ามา…มารักษาข้าเถอะ…”
เขายอมถูกกู้ซีจิ่วมองหน้าอก แต่ไม่อยากถูกทูตเฉิงจับไว้เหมือนจับลูกไก่เช่นนี้ ที่ยิ่งกว่านั้นคือ ทูตเฉิงเอ้อผู้นี้กำจัดกู่ได้จริงหรือ?
ตอนนี้เชียนหลิงอวี่เชื่อมันในวิชาแพทย์ของกู้ซีจิ่วเต็มที่แล้ว แต่กับทูตเฉิงเอ้อผู้นี้ เขาเคยได้ยินเพียงว่าเทวทูตผู้นี้หมดจดว่องไว ยามสำเร็จโทษผู้คนจะถลกหนังของคนอื่นออกมา…
สำหรับผู้การขับกู่นั้น ผู้ที่โดนกู่ต้องมีอารมณ์มั่นคง นั่งสมาธิสงบใจ จากนั้นค่อยใช้แรงภายนอกดูดออกมา…
ตอนนี้เชียนหลิงอวี่อยู่ในสภาพเช่นนี้ ชัดเจนว่าทำไม่ได้ เมื่อเห็นเชียนหลิงอวี่ดิ้นรนอย่างน่าสงสาร กู้ซีจิ่วจึงก้าวเข้าไป “ให้ข้าทำไหม?”
ทูตเฉิงเอ้อย่อมไม่มอบโอกาสนี้ให้แก่เธอ มิเช่นนั้นเกรงว่าเขาคงถูกท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ซัดจนตาย!
“เด็กดี ไม่ต้องกลัวนะ ครั้งนี้ข้าแค่จะช่วยคนไม่ได้จะฆ่าคน เจ้าเชื่อฟังแล้วนั่งสมาธิซะ ข้าจะขับกู่ให้เจ้า”
น้ำเสียงที่พยายามนุ่มนวลของเขาค่อนข้างแข็งทื่อ อ่อนโยนเสมือนกัดฟันทำ
608 ต้องถอด
เชียนหลิงอวี่ขนลุกขนพอง ทั่วร่างล้วนแข็งทื่อไปหมด ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเด็กคนหนึ่ง แถมนิสัยก็ค่อนข้างดื้อรั้น และยามนี้ก็ถูกทำให้หงุดหงิดแล้ว กล่าวออกมาอย่างเหลืออด “ข้าไม่เอาท่าน! ข้าเชื่อใจซีจิ่ว! ไม่เชื่อใจท่าน!”
ทูตเฉิงเอ้อนิ่งงัน
ถูกรังเกียจเสียแล้ว!
เจ้าเด็กตัวเหม็นอยากตายสินะ?!
ข้อนิ้วทูตเฉิงเอ้อพลันกำแน่น เสียงดังแครกๆ กู่ฉานโม่เกรงว่าเมล็ดพันธ์ชั้นดีของบ้านตนจะถูกผู้อื่นซัดจนเหลือแต่ภาพ จึงรีบพูดจาหว่านล้อมหลายประโยค
ทูตเฉิงเอ้อย่อมไม่ถือสาหาความกับเด็กน้อยคนหนึ่ง เพียงแต่อีกฝ่ายก็ไม่เชื่อใจตนจริงๆ…
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง คิดวิธีประนีประนอมได้อย่างหนึ่ง “แม่นางกู้ มิสู้ท่านมาชี้แนะแล้วให้ข้าลงมือ วางใจเถิด ขอแค่ท่านพูดอย่างชัดเจน ด้านพละกำลังข้ามั่นใจว่าแม่นยำนัก”
นี่เป็นวิธีที่ดี อันที่จริงกู้ซีจิ่วก็เกรงว่าพละกำลังของตนจะไม่พอเช่นกัน ตอนนี้ในเมื่อทูตเฉิงเอ้อขันอาสาเช่นนี้ เธอย่อมตกลง
เชียนหลิงอวี่กระจ้อยร่อยเกินไป ไม่มีสิทธิ์มีเสียงเท่าไหร่ ดังนั้นจึงเห็นด้วยอย่างมิใคร่เต็มใจนัก
ด้วยเหตุนี้ กู้ซีจิ่วกับทูตเฉิงเอ้อคนทั้งสองหนึ่งพูดหนึ่งทำ ประสานงานเข้าขายิ่งนัก
ระหว่างดำเนินการทูตเฉิงเอ้อค่อนข้างประหลาดใจเช่นกัน ขั้นการและวิธีการที่กู้ซีจิ่วบอกแตกต่างจากวิธีที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ลอบถ่ายทอดให้
เห็นได้ชัดเจนยิ่งนัก ว่าความสามารถทางด้านนี้ของนางมิใช่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ถ่ายทอดให้นาง เช่นนั้นที่แท้นางร่ำเรียนมาจากผู้ใดกันแน่?
ที่หายากยิ่งกว่านั้นคือ ถึงแม้สองวิธีนี้จะแตกต่างกัน แต่กลับล้ำเลิศเช่นเดียวกัน ผลลัพธ์ที่ได้ก็เหมือนกัน
ต่อมา หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม หนอนกู่ที่อยู่ภายในร่างเชียนหลิงอวี่ก็ถูกขับออกมา และวินาทีที่หนอนกู่ตัวนั้นโผล่ออกมา สีสันบนตัวกู่ทั้งสองก็จางหายไปด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สีหน้าของเชียนหลิงอวี่ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ มีแสงมงคลเลือนรางแผ่ออกมาจากร่าง…
ในที่สุด หนอนกู่ทั้งสองตัวก็สลายเป็นเถ้ากระจายหายไปด้วยตัวเอง เชียนหลิงอวี่ก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติแล้ว
ดวงตาของเด็กหนุ่มเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้นยินดี “ซีจิ่ว ข้าหายแล้ว!”
ทูตเฉิงเอ้อหน้าอึมครึม เป็นเขาออกแรงช่วยเหลือเขาชัดๆ เจ้าเด็กนี้ไม่แม้แต่จะมองสักแวบด้วยซ้ำ! ทำเหมือนเขาเป็นคนผ่านทางมา
กู้ซีจิ่วมองลักษณะของเขาปราดเดียวก็ทราบว่าวรยุทธ์ของเขาฟื้นฟูคืนมาแล้ว รู้สึกดีใจแทนเขา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะตักเตือน “ยินดีด้วยๆ เป็นท่านทูตเฉิงเอ้อที่ลงมือรักษา…”
เชียนหลิงอวี่รีบประสานมือให้ทูตเฉิงเอ้อทันที “ขอบพระคุณยิ่งๆ”
แล้วหันเหสายตามาจดจ่อที่ร่างกู้ซีจิ่วทันที “ซีจิ่ว เจ้ามีความสามารถจริงๆ! หากไม่มีเจ้า ก็คงไม่มีข้าเชียนหลิงอวี่ในวันนี้ ขอบพระคุณยิ่ง!” พลางค้อมกายคารวะกู้ซีจิ่ว
เขาดูผ่องใสมีราศี เห็นได้ชัดว่าหายดีแล้ว
ฝูงชนที่มุงดูอยู่ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก สายตาที่มองกู้ซีจิ่วก็ไม่แฝงแววเหยียดหยามดูหมิ่นอีกต่อไป…
เชียนหลิงอวี่กระโดดผลุงออกมาด้านหน้า กำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง ทว่ากู้ซีจิ่วยกมือห้ามเขาไว้ “จำไว้ ภายในสามวันนี้ไม่อนุญาตให้โคจรพลังยุทธ์!”
เชียนหลิงอวี่เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ กู้ซีจิ่วจึงเอ่ยอีกว่า “ถึงอย่างไรวรยุทธ์เจ้าก็เคยถูกผู้อื่นขโมยไป ยามนี้ถึงแม้จะกลับคืนมาแล้ว แต่สุดท้ายแล้วก็เคยรั้งอยู่ในกายผู้อื่น ปนเปื้อนกลิ่นอายของผู้อื่น ยังต้องถ่ายโอนอย่างช้าๆ ชีพจรของเจ้าถึงจะสามารถรองรับได้ เจ้าจำไว้ หลายนี้ไม่เพียงแต่ห้ามโคจรพลังเท่านั้น ยังห้ามเคลื่อนไหวโลดโผน ห้ามกินอาหารรสจัด ห้าม…”
เธอร่ายข้อควรระวังออกมาติดๆ กันหลายข้อ ด้วยเกรงว่านิสัยใจร้อนของเด็กหนุ่มคนนี้ จะทำให้ตัวเขาพลาดพลั้งไปอีก
เชียนหลิงอวี่ในยามนี้ฟังคำยิ่ง เบิกตากว้างมองปากน้อยๆ ของกู้ซีจิ่วที่เดี๋ยวหุบเดี๋ยวอ้า
มองอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่ทราบว่าความคิดแล่นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
609 ร่วมมือกับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์
มองอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่ทราบว่าความคิดแล่นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
เมื่อกู้ซีจิ่วพูดจบก็ให้เขาเอ่ยทวน เขาถึงได้สติคืนมา ท่องได้ติดๆ ขัดๆ สองสามข้อหลังล้วนลืมจนสิ้น!
“ด้านหลังลืมหมดเลยหรือ?” กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วมองเขา
“ข…ขอโทษ” เขาตอบอ้อมแอ้ม
กู้ซีจิ่วมองเขาเงียบๆ ไม่พูดอะไร เจ้าเด็กนี่มิใช่โอ้อวดว่าอะไรที่ผ่านตาล้วนจำได้ไม่ลืมหรอกหรือ? เหตุใดจึงกลายเป็นห่านหัวทึบเช่นนี้ไปได้เล่า?
เขาเพิ่งจะฟื้นฟูกลับมา สติปัญญาอาจจะถูกพลังยุทธ์ลดทอนลง เมื่อกู้ซีจิ่ววางแผนว่าจะทวนซ้ำอีกครั้ง จู่ๆ เชียนหลิงอวี่ก็เงยหน้าขึ้น มองเธออย่างเก้อกระดากอยู่บ้าง “ซีจิ่ว มิสู้เจ้าเขียนให้ข้าดีกว่า เจ้าเขียนมาข้าอ่านหลายๆ รอบเดี๋ยวก็จำได้เอง” จู่ๆ เขาก็ต้องการให้นางเขียนอักษรยิ่งนัก…
กู้ซีจิ่วก็ไม่สงสัยอะไร ร้องขอกระดาษกับพู่กัน แล้วเขียนอย่างว่องไว
เสียงลมพัดโชยมา ทันใดนั้นก็มีคนเพิ่มเข้ามาคนหนึ่ง เมื่อกู้ซีจิ่วเขียนเสร็จก็หันหลังกลับทันที หวิดจะพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของคนผู้นั้นแล้ว
กลิ่นหอมอ่อนจางอบอวลอยู่ตรงปลายจมูก หัวใจกู้ซีจิ่วเต้นรัวจนแทบผิดจังหวะ ขณะที่เธอกำลังจะถอยหลัง กระดาษในมือก็ถูกคนหยิบไปแล้ว
ผู้คนที่อยู่ในห้องโถงพากันคุกเข่าลงไป “คารวะท่านเทพศักดิ์สิทธิ์!”
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่งสวมอาภรณ์ขาวดั่งก้อนเมฆ ยืนสง่าอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครเห็นชัดเจนว่าเขามาได้อย่างไร ราวกับปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า
ยามนี้ในมือเขาถือ ‘ใบสั่ง’ ที่กู้ซีจิ่วเพิ่งเขียนเสร็จเอาไว้ เขากวาดตามองแวบหนึ่ง สุดท้ายก็ประเมินออกมาประโยคหนึ่งว่า “ถึงแม้อักษรจะมีพลัง แต่ลายเส้นไม่สมดุล…” วิจารณ์อักษรที่เธอเขียน ความหมายโดยนัยคือ ‘อักษรน่าเกลียดเกินไป ยังต้องฝึกฝนอีกมาก’
กู้ซีจิ่วสีหน้าอึมครึม เธอทราบว่าลายมือตนไม่ถือว่าน่ามองนัก แต่นี่มิใช่การคัดอักษรเสียหน่อย เธอแค่เขียนข้อควรระวังเท่านั้นนะ
เชียนหลิงอวี่มองกระดาษในมือท่านเทพศักดิ์สิทธิ์แผ่นนั้นตาปริบๆ เขายังนึกอยู่ว่าเมื่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์วิจารณ์จบจะมอบกระดาษแผ่นนั้นให้เขา แต่นึกไม่ถึงว่ากระดาษในมือท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะม้วนเป็นวงแล้วหายไป
เชียนหลิงอวี่จึงเอ่ยถาม “…ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ กระดาษแผ่นนั้น…” เขาไม่ยอมแพ้ ต้องการทวงคืนมา
ดูเหมือนท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เพิ่งจะมองเห็นเขา สายตามองมาที่เขา
เชียนหลิงอวี่อดไม่ได้ที่หดตัวลง เดิมทีกลิ่นอายของเขาแกร่งกล้านัก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ กลับไม่หลงเหลือเลยสักเสี้ยว!
“จำไม่ได้?” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ถามเขาเพียงสามคำ แถมน้ำเสียงยังแผ่วเบานัก
เชียนหลิงอวี่เงียบงัน ปากเขาอ้าน้อยๆ พูดโป้ปดไม่ออก “ข้า…นั่นข้า…”
“ทูตเฉิงเอ้อ พาเขาไปทำให้มีความจำยืนยาว” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์สั่งการ
“รับบัญชา!” ทูตเฉิงเอ้อตอบรับอย่างเบิกบานยิ่ง รีบดึงตัวเชียนหลิงอวี่ที่หน้าเปลี่ยนสีไว้ หิ้วจากไปปานหิ้วนกกระทา
ทูตเฉิงเอ้อเคลื่อนไหวว่องไวนัก ไวจนเชียนหลิงอวี่ไม่มีเวลาอุทานสักประโยคด้วยซ้ำ
แม้กระทั่งกู้ซีจิ่วก็เข้ามาขวางไม่ทัน ทูตเฉิงเอ้อพาเชียนหลิงอวี่หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
ก่อนหน้านี้ยามที่กู้ซีจิ่วกับทูตเฉิงเอ้อรักษาให้เชียนหลิงอวี่ ความสนใจของฝูงชนล้วนอยู่ที่ร่างคนทั้งสาม ไม่สนใจความเป็นความตายของเชียนหลิงเทียนอีก
เชียนหลิงเทียนทราบว่าครั้งนี้ไม่มีผลดีต่อตนแน่นอน เดิมทีเขาคิดจะฉวยโอกาสหนีไปตอนที่ความสนใจไม่ได้อยู่ที่ตัวเขา เพิ่งจะขยับไปได้ก้าวเดียวก็ถูกผู้อาวุโสหน่วยลงทัณฑ์ท่านหนึ่งจับกลับมา ลงมือสกัดจุดแล้วโยนไว้ตรงนั้น
สีหน้าเขาสิ้นหวัง มองไม่เห็นลู่ทางใด
เมื่อที่สิ้นหวังสุดขีด เขาจึงยอมทุ่มสุดตัว
ขอแค่ได้เอาคืนจะให้เขาแลกอะไรก็ยอม! อย่างมากก็ไม่พ้นคำว่า ‘ตาย’ ยังจะทำอะไรได้อีก?
610 ร่วมมือกับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ 2
ถ้าตายแล้วขอเพียงดวงวิญญาณไม่ดับสลาย เขาก็ยังกลับชาติมาเกิดได้ อีกยี่สิบปีให้หลังก็จะมีชีวิตใหม่!
เมื่อคิดเช่นนี้ จิตใจเขาก็สงบขึ้นมา
แต่พอท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัว เขาก็ลนลานอีกครั้ง!
เนื่องจากเขาทราบดี ขอเพยงท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่นี่ ไม่ว่าในใจเขาจะซุกซ่อนสิ่งใดไว้ ล้วนถูกขุดค้นออกมาทั้งสิ้น…
เป็นไปตามคาด เมื่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จัดการเรื่องเชียนหลิงอวี่เรียบร้อยแล้ว สายตาก็มุ่งตรงมาที่เขา
เชียนหลิงเทียนหน้าซีดเผือด “อย่ามาถามอะไรข้า ข้าไม่พูดอะไรทั้งนั้น!”
ดวงตาท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยกโค้งเล็กน้อย ราวกับแย้มยิ้ม “เปิ่นจุนก็ไม่ได้ให้เจ้าพูดด้วยตัวเองนี่”
การถามนั้นยุ่งยากเกินไป ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์วางแผนจะใช้ทางลัด เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นมา แสงเจ็ดสียังมิทันพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว เชียนหลิงอวี่ก็ตะโกนขึ้นมาอย่างไม่สนอะไรทั้งนั้น “ท่านจะอ่านความทรงจำของข้าไม่ได้ ข้าจะระเบิด!”
“หือ?” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เลิกคิ้วมองเขา
“ข้าจะระเบิดจริงๆ นะ! เหมือนกับ…เหมือนกับอาจารย์จือ…ไม่สิ ข้าจะระเบิดรุนแรงยิ่งกว่าเขา! จะทำให้ทั่วบริเวณนี้ระเบิดไปด้วย!” เชียนหลิงเทียนข่มขู่ต่อ
กู่ฉานโม่รวมถึงคนอื่นๆ ที่เคยเห็นการเบิดของอาจารย์จือล้วนหน้าเปลี่ยนสีหมดแล้ว!
กู่ฉานโม่ร้องถาม “เจ้ารู้ไหมว่าทำไมเขาถึงระเบิด?”
เชียนหลิงเชิดหน้าขึ้น “รู้แน่นอน พวกเราไม่สามารถบอกความจริงได้ ไม่สามารถสารภาพเรื่องคนผู้นั้นได้ ต่อให้ถูกอ่านความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับคนผู้นั้นก็ไม่ได้เช่นกัน พอไปแตะต้องเข้า พวกเราจะระเบิด ดวงวิญญาณแตกสลาย”
“เขา? เขาเป็นใคร?” กู่ฉานโม่ถามต่อ
เชียนหลิงเทียนส่ายหน้า “บอกไม่ได้ บอกไม่ได้จริงๆ…”
เขามองท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ด้วยสีหน้าอ้อนวอน “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขอรับ หลิงเทียนทราบว่าครั้งนี้ทำผิดไปแล้ว ท่านจะสังหารหลิงเทียนก็ได้ เพื่อเป็นการชดใช้ แต่ท่านโปรดมอบโอกาสให้การเกิดใหม่ให้หลิงเทียนด้วยเถิดขอรับ อย่าได้ถามอีกเลย และอย่าพยายามอ่านความทรงจำของหลิงเลย เพราะพวกท่านจะไม่ได้เบาะแสใดจากสองวิธีการนี้ มีแต่จะทำให้ดวงวิญญาณของหลิงเทียนแตกสลายเท่านั้น”
จากนั้นก็หันไปมองกู่ฉานโม่ “อาจารย์ใหญ่กู่ขอรับ ท่านเคยเอ็นดูหลิงเทียนนัก ท่านโปรดสงสารหลิงเทียนด้วย มอบความสุขเพียงอย่างเดียวให้หลิงเทียนด้วยเถิดขอรับ…” เขาโขกศีรษะประหนึ่งทุบกระเทียม
กู่ฉานโม่เงียบงัน
เขาขมวดคิ้วแน่น สุดท้ายก็ใจอ่อนอยู่บ้าง เขามองไปที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านคิดเห็นประการใดขอรับ?”
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์สั่งการอย่างเฉยเมยประโยคเดียว “ให้ทุกคนออกไปซะ”
กู่ฉานโม่ไร้วาจา
เขาเดาออกว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะทำอะไร จึงนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วรีบให้เหล่าคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องออกไปจากที่นี่
ทว่าเขากลับไม่คิดจะออกไป สี่ผู้อาวุโสของหน่อยวลงทัณฑ์ก็ไม่คิดจะออกไปเช่นกัน พวกเขาต้องการร่วมเป็นร่วมตายกับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์!
“พวกเจ้าก็ไสหัวออกไปด้วย!” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เหลอบมองแวบเดียวก็ทราบความคิดของพวกเขาแล้ว จึงไล่คนไปอย่างไปม่เกรงใจ
“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขอรับ บางทีพวกเราจะช่วยงานได้…” กู่ฉานโม่ไม่ถอดใจ
“พวกเจ้าอยู่ที่นี่ก็เป็นได้แค่ตัวเกะกะ ไสหัวไปซะ!”
กลิ่นอายของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ทรงพลังเกินไป พวกกู่ฉานโม่ไม่กล้าโต้แย้ง ทำได้เพียงก้มหน้าออกไปจัดการทุกอย่าง ให้ผู้คนออกไปให้ไกลขึ้นหน่อย
ไม่มีใครทราบว่าการระเบิดของเชียนหลิงเทียนจะทรงอานุภาพเพียงใด เพื่อความปลอดภัยจึงต้องออกไปห่างๆ หน่อย
เหล่าฝูงชนต่างเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ทุกคนล้วนอยู่ที่นี่ หายไปเพียงกู้ซีจิ่วคนเดียว
สีหน้ากู่ฉานโม่แปรเปลี่ยน “คงมิใช่ว่านางยังอยู่ในห้องโถงกระมัง?!”
….
เพียงพริบตาเดียวห้องโถงก็ว่างเปล่า เชียนหลิงเทียนคุกเข่าอยู่ตรงนั้นสีหน้าดั่งคนตาย “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่าน…ท่านต้องการให้ดวงวิญญาณหลิงเทียนแหลกสลายหรือขอรับ?”
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่ตรงนั้น เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “เจ้าอาจจะไม่ตายก็ได้” แล้วเพ่งพิศเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่หลายครา ดูเหมือนจะมีรอยยิ้ม
611 รวมมือกับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ 3
“อันที่จริงเปิ่นจุนไม่ได้สนใจความลับของเจ้ามากนัก แต่สนใจกระบวนการระเบิดของเจ้ามากกว่า ยากนักที่จะได้พบตัวอย่างเช่นเจ้า หากเปิ่นจุนไม่ลองทดสอบคงไม่คลายใจ”
เชียนหลิงเชียนเหงื่อตกมองดูท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ม้วนแขนเสื้อขึ้นอย่างไม่อนาทรร้อนใจ รู้สึกรางๆ ว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ดูเหมือนจะต่างไปจากปกติ
แต่ตอนนี้จิตใจเขาเปี่ยมไปด้วยความกริ่งเกรงต่อความตาย คิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ เขาทำได้เพียงถอยหลังไป พยายามถอยไปสุดชีวิตพลางเอื้อนเอ่ยว่า “ข้าไม่อยากระเบิด…”
“อ่า มีเปิ่นจุนอยู่ที่นี่ด้วย เจ้าอาจจะไม่ระเบิด เปิ่นจะคิดหลายวิธีที่จะแก้คำสาปบนร่างเจ้า เจ้าอย่าได้ร้อนรน ให้เปิ่นจุนลองดูทีละอย่างเถอะ” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เดินเข้ามา
“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านอย่าเสี่ยงเลยขอรับ! คนผู้นั้นเคยบอกเอาไว้ หากข้าระเบิดอานุภาพจะร้ายแรงมาก! ผู้น้อยตายก็ไม่เสียดาย แต่ไม่อยากลากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ลงหลุมไปด้วย” เชียนหลิงเทียนแทบจะร้องไห้แล้ว!
“ลากเปิ่นจุนลงหลุมไปด้วยหรือ?” ดวงตาท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยกโค้งนิดๆ ทว่าแววตากลับเฉียบคม “เจ้ายังมีคุณสมบัติไม่พอ!”
เป็นครั้งแรกที่เขาได้ศึกษาสถานการณ์นี้อย่างจริงจัง ดังนั้นไม่สามารถรับประกันได้ว่าคนผู้นี้จะระเบิดหรือไม่ แต่ความสามารถในการป้องกันตนเองนั้นมีอยู่ อย่างมากก็แค่ทำให้อาคารหลังนี้ขึ้นไประเบิดบนฟ้าเท่านั้น
เมื่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์แผ่กลิ่นอายออกมา เชียนหลิงอวี่ก็ถูกกดข่มไม่กล้าขยับเขยื้อนทันที
มองเห็นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เข้ามาใกล้ จู่ๆ สายตาเขาพลันมองไปยังด้านหลังท่านเทพศักดิ์สิทธิ์
ขณะเดียวกันท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็สัมผัสถึงอะไรบางอย่างได้ พอเหลียวมอง ร่างกายพลันแข็งทื่อเล็กน้อย!
กู้ซีจิ่วยืนอยู่ไม่ไกลจากด้านหลังเขา เห็นได้ชัดว่านางเพิ่งเคลื่อนย้ายเข้ามา ถึงแม้เท้าจะยืนมั่นคงแล้ว แต่กระโปรงที่สวมยังปลิวไสวอยู่
“เจ้ากลับมาทำไม?” น้ำเสียงท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ราบเรียบ ทว่าหัวใจกลับเต้นแรงนิดๆ นางมาเพื่อร่วมเป็นร่วมตายกับตนหรือ?
กู้ซีจิ่วผ่อนลมหายใจออกมานิดๆ เคราะห์ดี ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ได้เริ่ม!
“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เจ้าคะ ซีจิ่วอาจมีวิธีทำให้เขาสารภาพความจริงออกมาได้โดยไม่ระเบิด” กู่ซีจิ่วเกรงว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรก็ไล่เธอออกไปทันที จึงรีบเปิดปากพูด
“วิธีใด?” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ ถอยไป ทำให้นางอยู่เคียงข้างตน พลางติดตั้งเขตแดนเล็กๆ รอบกายนางเงียบๆ
เชียนหลิงเทียนในตอนนี้ก็เหมือนระเบิดทำลายตัวเองขนาดใหญ่ สรุปคืออันตรายมาก ไม่รู้จะระเบิดขึ้นมายามใด
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่เป็นไร แต่กู้ซีจิ่วนั้นไม่ได้ เธออ่อนแอเกินไป ถ้าไม่ดูแลให้ดี พอเกิดระเบิดเธอก็จะกระเด็นไป
อันที่จริงกู้ซีจิ่วเริ่มกลั่นกรองวิธีนี้ตั้งแต่ยามที่คนชุดเขียวเขียวผู้นั้นระเบิดแล้ว เพียงแต่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างมาตลอด และไม่ได้หาเป้าหมายมาทดสอบ ตอนนี้เธออยากทดสอบดูยิ่งนัก
ดวงตาเธอมองไปที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เจ้าคะ ท่านคงมีวิชาที่ทำให้อุณหภูมิในร่างคนลดลงโลหิตไหลเวียนช้าลงใช่ไหมเจ้าคะ?”
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์พยักหน้า “วิชาอรหันต์เยือกแข็ง ทำให้อุณหภูมิในร่างกายคนลดลงสององศา โลหิตไหลเวียนช้าลงครึ่งหนึ่ง”
นัยน์ตากู้ซีจิ่วทอประกาย “เช่นนั้นก็ดี!”
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยอดเยี่ยมที่สุด! วิชาพิสดารเช่นนี้เขาก็ยังใช้ได้สบายๆ!
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มองดวงตาที่เปล่งประกายของนาง ปากแดงระเรื่อยกยิ้มบางๆ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าท่าทางเช่นนี้ของนางคุ้มค่าให้เขาเสี่ยงมากขึ้น!
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” เขาถามตรงๆ
กู้ซีจิ่ววนรอบเชียนหลิงรอบหนึ่ง เชียนหลิงเทียนที่ถูกเธอวนรอบกายพลันขนลุกขึ้นมา!
อดไม่ได้จึงเอ่ยถาม “เจ้า…แม่หนูน้อยอย่างเจ้าจะไปรู้วิธีอะไรกัน? ท…ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ย่อมมีวิธีของตัวเอง!”
หากต้องลองจริงๆ เขายินดีปล่อยให้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ลอง แบบนั้นเขายังพอมีความหวังว่าจะรอดชีวิตบ้าง
ถึงอย่างไรท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นท่านเทพที่มีประสบการณ์มากมาย ฝีมือล้ำเลิศไร้ผู้ใดเทียบเทียม วิธีของเขาต้องดีที่สุดแน่นอน
แต่แม่หนูน้อยคนนี้ดูแล้วอายุสิบกว่าปีเท่านั้น นางจะมีวิธีดีอันใดกัน? เขาไม่อยากเป็นหนูทดลองของนาง!
612 ร่วมมือกับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ 4
เขาคัดค้าน!
ท่าเทพศักดิ์สิทธิ์ปรายตมองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ที่นี่ไม่มีที่ให้เจ้าสอดปากพูด” พลางสะบัดแขนเสื้อพรึ่บ เส้นเสียงเชียนหลิงเทียนถูกผนึกไว้ โวยวายไม่ได้แล้ว
หัวใจกู้ซีจิ่วอุ่นวาบ ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เชื่อเธอ!
ในยุทธภพร่ำลือกันว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์พูดคุยยากนัก เชื่อมั่นในการกระทำของตน เมื่ออยู่ที่นี่ไม่ว่าเรื่องใดท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ล้วนเป็นผู้ตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีทางให้ผู้อื่นแทรกแซงเด็ดขาด
แต่ตอนนี้เขากลับยอมฟังเธอ…
เธอสูดลมหายใจเขาไปเบาๆ เล่าความคิดของตนออกมา “ผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังถึงขั้นอ่านความทรงจำทางฝั่งนี้ของเขาได้ คำสาปที่ทำให้เขาระเบิดความจริงแล้วเป็นคำสาปสะกดใจประเภทหนึ่ง คนผู้นั้นปลูกฝังความคิดให้เขาว่าขอเพียงพูดความจริงออกมาก็จะ ‘ระเบิด’ ถึงขั้นให้เขาเห็นตัวอย่างหลายๆ กรณี นี่จึงทำให้ผู้ที่โดนคำสาปเชื่อสนิทใจ เป็นอุปทานด้านจิตใจที่แข็งแกร่งมากชนิดหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ผู้ที่โดนคำสาปจึงเก็บงำเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ไม่กล้าเอ่ยถึงเลย ดังนั้นหากเขาถูกบีบบังคับ ยามที่จำใจต้องพูดออกมา จะรู้สึกว่าตัวเองต้องระเบิดแน่นอน ในเวลานี้เองเนื่องจากเขากระวนกระวายสุดขีด กล้ามเนื้อตึงเคร่ง โลหิตไหลเวียนเร็วขึ้น หัวใจหดเกร็ง อุณหภูมิร่างกายพุ่งสูง…เร่งให้คำสาปจุดชนวนขึ้น คำสาปก็ชนวดระเบิดที่ถูกจุด ย่อมทำให้เกิดการระเบิดขึ้น…แต่ถ้าหากพวกเราใช้วิชาที่ทำให้อุณหภูมิในร่างเขาลดต่ำลง ชะลอการไหลเวียนของโลหิตเขา แบบนั้นก็จะไม่เร่งให้เขาเข้าใกล้จุดนั้น เขาก็จะไม่ระเบิดแล้ว…”
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ฟังนางวิเคราะห์อย่างเป็นระบบแบบแผนอยู่เงียบๆ นางเผลอพูดคำศัพท์ของยุคปัจจุบันโดยไม่รู้ตัว แต่ก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี แถมทฤษฎีนี้ของนางก็น่าเชื่อถือมาก แน่นอนว่าต้องหักล้างศัพท์เฉพาะบางส่วนออกไปด้วย
อย่างไรเสียความเข้าใจที่นางมีต่อโลกนี้ก็มีจำกัด บางวิชาบางอาคมนางก็ไม่รู้จัก…
แต่แนวคิดนี้ของนางก็ยอดเยี่ยมมาก ควรค่าให้เขาพิจารณา!
กู้ซีจิ่วกล่าวรวดเดียวจนจบ สองตามองดูเขาพลางเอ่ยถาม “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เจ้าคะ ท่านคิดเห็นอย่างไรความคิดของข้าเจ้าคะ?”
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยกมือลูบหัวเธอ “เยี่ยมมาก! เช่นนั้นก็ใช้วิธีที่เจ้าว่าเถอะ”
กู้ซีจิ่วตกตะลึง
เป็นครั้งแรกที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ปฏิบัติต่อเธออย่างสนิทสนมเช่นนี้ ปลายนิ้วที่ระคนด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเขาทำให้เธอหัวใจเธอเต้นระรัว รู้สึกรางๆ คล้ายว่าเคยมีคนผู้หนึ่งปฏิบัติต่อเธอเช่นนี้เหมือนกัน แม้กระทั่งกลิ่มหอมก็ยังคล้ายคลึงกันอยู่รางๆ…
เงาร่างตี้ฝูอีแวบขึ้นมาในสมองเธออีกครั้ง…
แต่ก็ถูกเธอสะกดลงไปอย่างรุนแรงทันที นี่ตนประสาทไปแล้วหรือ? ทำไมนึกถึงคนๆ นั้นอยู่เรื่อยเลย?
เธอสะบัดหัวไปมา ไม่ต้องการใคร่ครวญ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องไร้สาระพวกนั้น เอ่ยปากถามท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นพวกเราเริ่มกันเลยไหมเจ้าคะ?”
“ได้!” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ตัดสินใจได้ทันที
กู้ซีจิ่วตาเป็นประกาย เชียนหลิงเทียนหน้าขาวซีด…
“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะไม่พิจารณาดูอีกทีหรือขอรับ? ข้าเกรงว่าอาจจะไม่สำเร็จ…” เชียนหลิงเทียนที่เพิ่งถูกคลายเส้นเสียงรีบเอ่ยขึ้นมา
“ไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กล่าวอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “อย่างมากเจ้าก็ตายเท่านั้น พวกเราไม่ได้ตายด้วยเสียหน่อย”
เชียนหลิงเทียนนิ่งงัน เขาถูกตอกด้วยวาจาเดียวจนพูดไม่ออกแล้ว!
วิธีนี้ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะเป็นคนพูดออกมา แต่ผู้ดำเนินการยังคงเป็นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์สั่งการนาง “เจ้าออกไปก่อน”
กู้ซีจิ่วเม้มปากแน่น ยืนนิ่งอยู่ข้างกายเขา “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะอยู่ที่นี่ด้วยเจ้าคะ”
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เหลือบมองนางแวบหนึ่ง ดวงตาฉายแววยิ้มหัวรางๆ ”อยากร่วมเป็นร่วมตายกับเปิ่นจุนหรือ?”
กู้ซีจิ่วเงยหน้ามองเขาพลางเอ่ยถาม “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เจ้าคะ หากข้ามองออกล่วงหน้าก่อนเขาจะระเบิดห้าวินาที ท่านจะคุ้มครองข้าให้ปลอดภัยได้ไหมเจ้าคะ?”
“ห้าวินาทีหรือ?” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่เข้าใจคำศัพท์นี้
613 ร่วมมือกับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ 5
กู้ซีจิ่วจึงนับจำนวนห้าวินาทีให้ดู “ระยะเวลาเท่านี้เจ้าค่ะ”
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์พยักหน้า “สองวินาทีก็พอแล้ว!” เขาสามารถปกป้องนางได้ล่วงหน้าสองวินาที
กู้ซีจิ่วผลิยิ้มปานบุปผา “เช่นนั้นก็ไม่กลัวแล้ว! ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เจ้าคะ ข้ามองออกล่วงหน้าก่อนที่คนจะระเบิดห้าวินาทีเจ้าค่ะ”
“ดียิ่ง!” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์พยักหน้า “ยืนอยู่ข้างข้า อย่าได้ซุกซน!”
“เจ้าค่ะ” กู้ซีจิ่วเขยิบเข้าไปใกล้ๆ เขาอย่างว่าง่าย เว้นระยะห่างกับเขาหนึ่งฉื่อครึ่ง
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เอียงคอมองท่าทางน่าเอ็นดูของนาง หัวใจอุ่นวาบ ยื่นมือไปดึงนางให้เข้ามาใกล้ในระยะครึ่งฉื่อ
….
ผ่านไปหนึ่งเค่อ ด้านกู่ฉานโม่ได้นำขบวนเหล่าหัวกะทิแยกย้ายกันค้นหาในบริเวณรอบๆ จนทั่วแล้วก็ยังไม่เห็นเงาของกู้ซีจิ่ว ขณะที่เตรียมจะเสี่ยงอันตรายไปดูที่ศาลาล่องวาโยหลังนั้น ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็จูงกู้ซีจิ่วเดินออกมาจากอาคารนั้นพอดี
ดวงตากู่ฉานโม่เปล่งประกายทันที รีบปรี่เข้าไป ยังไม่ทันได้ทำความเคารพ ท่านศักดิ์สิทธิ์ก็ตัดบทเขาทันที “ไม่ต้องมีพิธีรีตองแล้ว นำตัวเชียนหลิงเทียนไปจัดการตามกฏเถอะ” แล้วหันหลังจากไป
เชียนหลิงเทียนอ่อนปวกเปียกอยู่ตรงนั้นปานกองโคลนเหลวๆ ทั้งร่างชุ่มโชกไปด้วยหยาดเหงื่อ เห็นชัดว่าเขาเสียขวัญไม่น้อย พวกกู่ฉานโม่เข้ามากันมากมายถึงเพียงนี้เขาก็ยังไม่รู้ตัว พูดพึมพำอยู่ตรงนั้น “ทำตามวิธีของนังเด็กตัวเหม็นคนนั้นได้จริงๆ สำเร็จแล้ว…สำเร็จแล้วจริงๆ ฮ่าๆ ข้าไม่ระเบิด! ไม่ระเบิดจริงๆ…นังเด็กตัวเหม็นคนนั้นมีความสามารถโดยแท้!”
กู่ฉานโม่ตะลึง
เหล่าผู้อาวุโส คณะอาจารย์และบรรดาศิษย์อัจฉริยะก็ตกตะลึงเช่นกัน
กู่ฉ่านโม่สูดหายใจเข้าลึกๆ เอ่ยถาม “เป็นวิธีที่กู้ซีจิ่วคิดขึ้นมาหรือ?”
เชียนหลิงเทียนไม่สนใจเขา นั่งหัวเราะอยู่ตรงนั้นเหมือนคนปัญญาอ่อน “ข้าไม่ตาย ฮ่าๆ ในที่สุดก็ไม่ต้องตายแล้ว…”
ผู้อาวุโสของหน่วยลงทัณฑ์ดึงเขาขึ้นมา “ในเมื่อคลายคำสาปได้แล้ว เช่นนั้นเจ้าก็ควรจะสารภาพได้แล้ว เจ้าเอาหินวิญญาณพวกนั้นมาจากไหน? ผู้ใดมอบกู่ชั่วร้ายพรรค์นั้นให้เจ้า? คนผู้นั้นให้เจ้าทำอะไร? ผู้เฒ่ามีคำถามมากมายที่รอถามเจ้าอยู่! เจ้าไม่สารภาพก็ไม่เป็นไร ผู้เฒ่ามีวิธีที่จะทำให้เจ้าพูดความจริง!”
“ข้าพูด! ข้าพูด! ข้าจะพูด! ไม่จำเป็นต้องลงทัณฑ์ ข้าจะพูดทุกอย่างเลย!” เชียนหลิงเทียนโพล่งออกมา
ในเมื่อไม่มีคำสาปนั้นคอยข่มขู่แล้ว เขาย่อมไม่เกรงกลัวอีกต่อไป อีกอย่างความทรงจำเรื่องนี้ของเขาก็ถูกท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อ่านไปแล้ว เขาจะพูดหรือไม่พูดก็ไม่ต่างกัน ไม่สู้ทำตัวดีๆ พยายามหาทางรอด…
ดังนั้นเขาจึงสารภาพออกมาจนหมดเปลือกด้วยความเบิกบาน
อันที่จริงสิ่งที่เขารู้มีจำกัดยิ่ง เนื้อหาที่เล่าออกมาก็คลุมเครือนัก เมื่อทุกคนฟังจบก็ไม่ได้เบาะแสอะไรสักเท่าไหร่
เดิมทีหลังจากเชียนหลิงเข้าสู่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนไม่เป็นไร แต่ในใจหดหู่อยู่ตลอด
ต่อมาในคืนหนึ่งได้มีคนชุดขาวผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นในเรือนเล็กของเขา คนผู้นั้นคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างมิดชิด เขาถึงขั้นมองไม่ออกว่าอีกฝ่ายเป็นบุรุษหรือสตรี คนผู้นั้นถามว่าเขาต้องการกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งหรือไม่ เขาย่อมต้องการ คนผู้นั้นจึงมอบลูกกลอนกู่แก่เขาสองเม็ด ให้เขากินเข้าไปเม็ดหนึ่ง แล้วค่อยหาทางให้เชียนหลิงอวี่กินอีกเม็ดเข้าไป…และเพื่อคงสภาพของกู่นี้ เขาจำเป็นกินโอสถอัคคีล่องเร้นเป็นระยะยาว แถมยังต้องกินมากขึ้นเรื่อยๆ คนผู้นั้นสามารถจัดหาลูกกลอนอัคคีล่องเร้นให้เขาได้ และสามารถจัดหาหินวิญญาณให้เขาได้ แต่ต้องนำข่าวคราวของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มาแลกเปลี่ยนก่อน…คนชุดขาวผู้นั้นล้วนปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันยิ่งนักทุกครั้ง และจากไปอย่างกะทันหันทุกครั้ง ต่อให้เขาอยากจะสะกดรอยตามอีกฝ่ายก็ไม่อาจทำได้
คิ้วกู่ฉานโม่ขมวดแน่น ชัดเจนยิ่งนัก คนชุดขาวผู้นี้คิดไม่ซื่อ แต่เขา (หรือนาง) เป็นใครกันแน่?
614 ร่วมมือกับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ 6
คิ้วกู่ฉานโม่ขมวดแน่น ชัดเจนยิ่งนัก คนชุดขาวผู้นี้คิดไม่ซื่อ แต่ว่าเขา (หรือนาง) เป็นใครกันแน่?
มุ่งหมายสืบถามข่าวคราวของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เช่นนี้มีจุดประสงค์ใด? เกี่ยวข้องอะไรกับคนเป่าขลุ่ยชุดเขียวที่ระเบิดตัวเองวันนั้น?
ปมเรื่องนับไม่ถ้วนวนเวียนอยู่ในสมองของฝูงชน แต่กลับคลี่คลายไม่ได้ในทันที
คดีนี้มองเผินๆ เหมือนจะกระจ่างแล้ว แต่ก็ยังลากตัวผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังออกมาไม่ได้ แถมยังทำให้ให้เรื่องราวยุ่งเหยิงกว่าเดิม
แต่ก็โชคดีที่ไส้ศึกในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ถูกลากออกมาแล้ว และเชียนหลิงอวี่ก็หายเป็นปกติแล้ว นี่นับเป็นเรื่องมงคล…
….
ยามที่กู้ซีจิ่วตามท่านเทพศักด์สิทธิ์กลับไปยังเรือนตน ฟ้าก็สางแล้ว
เธอวิ่งไปวิ่งมาทั้งคืน ค่อนข้างจะง่วงอยู่บ้าง แต่เธอก็อยากถามสิ่งที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เก็บเกี่ยวได้ ถึงอย่างไรท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็อ่านความทรงจำของผู้อื่นได้โดยตรง น่าจะมองเห็นแจ่มแจ้งชัดเจน ส่วนเธอยังมืดแปดด้านอยู่เลย
แต่เห็นได้ชัดว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่อยากบอก เมื่อกลับถึงเรือนก็โบกมือ ให้เธอกลับไปพักผ่อนที่เรือนหลัง ส่วนเขาก็เดินกลับเรือนกลางของตน
กู้ซีจิ่วไม่ยอมให้จากไปง่ายๆ เช่นนี้ ด้วยเธอร้อนใจ จึงดึงแขนเสื้อของเขาไว้ทันทีพลางซักถาม “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านเห็นอะไรในความทรงจำของเขาหรือเจ้าคะ? สรุปแล้วผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือใคร? มีจุดประสงค์อะไร? ยังมีพรรคพวกคนอื่นอยู่ในสำนักศึกษาอีกหรือไม่?”
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์หลุบตามองมือน้อยๆ ของนาง สาวน้อยคนนี้ปฏิบัติกับเขาอย่างเป็นธรรมชาติขึ้นเรื่อยๆ กล้าดึงแขนเสื้อเขาแล้ว…
เมื่อกู้ซีจิ่วมองตามสายตาของเขาก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วปล่อยมือออก
เธอไม่ใช่คนที่ชอบแตะเนื้อต้องตัวบุรุษ อย่างมากก็แค่สัมผัสมือหรือไหล่ของอีกฝ่าย แถมยังอยู่ในสถาการณ์ที่เธอมองอีกฝ่ายเป็นเพื่อนพ้องหรือน้องชายเท่านั้น
สำหรับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เธอเคารพนับถืออย่างยิ่งมาโดยตลอด ถึงแม้ยามพบเขาจะไม่ได้กราบกราบบูชาเหมือนคนอื่นๆ แต่ก็ทำความเคารพตามที่สมควรทำ ไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวอีกฝ่ายมาก่อน
ครั้งนี้เธอดึงแขนเสื้อของอีกฝ่ายไว้ แถมยังดึงอย่างเป็นธรรมชาติถึงเพียงนี้ ท่าทางนี้คล้ายกับหลานสาวตัวน้อยที่ร้องขอลูกกวาดจากผู้เป็นปู่ยิ่งนัก…
น่าอายนัก! เอาเถอะ คงเป็นเพราะตนขาดแคลนความรักของบิดา จึงมองหาส่วนที่ขาดหายจากร่างเขา
สายตาของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ร้ายกาจยิ่งนัก กู้ซีจิ่วถูกเขาแวบเดียว หัวใจพลันเต้นแรงเล็กน้อย
เพียงแต่นิสัยของเธอไม่รู้จักคำว่าถอย ดังนั้นถึงแม้เธอจะปล่อยมือแล้ว ทว่ายังเงยหน้ามองเขาอยู่เช่นเดิม ราวกับถ้าไม่ได้คำตอบจะไม่ยอมเลิกรา
“อยากรู้หรือ?”
“อยากเจ้าค่ะ!”
“ได้ ตามเปิ่นจุนมาสิ” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ตวัดแขนเสื้อ กุมมือเธอไว้ทันที จูงเธอเดินเข้าไปในเรือนตน
มือใหญ่ของเขาสะอาดอบอุ่น มือน้อยๆ ของเธอเรียวเล็กราวกับกุมเท่าไหร่ก็ไป ยามที่เกาะกุมกันไว้รู้สึกว่าเข้ากันได้ดีอย่างน่าประหลาด
หัวใจของกู้ซีจิ่วมีแนวโน้มว่าจะเต้นเร็วขึ้นอีก เธอคิดจะสลัดออกตามสัญชาตญาณ แต่อีกฝ่ายกุมเธอไว้แน่น เธอชักกลับมาไม่ได้
และเธอไม่สามารถโคจรพลังยุทธ์มาขัดขืนได้ แบบนั้นจะเห็นได้ชัดเกินไปว่าจงใจทำ แถมเธอยังพอเดาออกว่าวรยุทธ์ของตนไม่มีทางประมือกับอีกฝ่ายได้…
ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็ถูกท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ลากเข้ามาในเรือนแล้ว
ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ เธอถูกท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ลากเข้ามาในห้องนอนด้วย
ยามที่มองเห็นเตียงใหญ่หลังนั้น เรื่องอุบัติเหตุอันน่าละอายบนเตียงของเขาเมื่อคืนก็ผุดขึ้นมาในสมองเธออย่างห้ามไว้ไม่อยู่ ใบหน้าเธอร้อนผ่าว
โดยเฉพาะเมื่อมองเห็นโครงเตียงที่ว่างเปล่านั้น ก็นึกถึงม่านเตียงนั้น ใบหน้าเธอเห่อร้อนยิ่งกว่าเดิม!
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่หยุดเท้า เดินตรงไปที่เตียงใหญ่หลังนั้น
กู้ซีจิ่วร้อนรนแล้ว!
รีบยั้งฝีเท้าไว้พลางเปิดปากเอ่ย “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เจ้าคะ ท่าน…ท่านคุยตรงนี้ก็ได้เจ้าค่ะ”
ด้วยเกรงว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะลากเธอไปอีก จึงรีบฝังก้นลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่เดินผ่าน ปรารถณาจะหยั่งรากลงไปยิ่งนัก
615 ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เกี้ยวพาเธอหรือ? 1
ในที่สุดท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ปล่อยเธอ เพ่งพิศตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่หลายครา “เจ้ากังวลอะไร?” พลางเอ่ยถามด้วยทาทียิ้มๆ อีกครั้ง “เมื่อกี้ยังดึงแขนเสื้อเปิ่นจุนไว้ไม่ให้จากไปไหนอย่างอาจหาญอยู่เลยมิใช่หรือ?”
กู้ซีจิ่วแอบเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ดึงแขนเสื้อก็อาจหาญแล้วหรือ? เธอไม่ได้ดึงกางเกงของเขาด้วยเสียหน่อย…
เธอรีบสลัดความคิดไม่เข้าท่านี้ไปทันที เพื่อยงเลี่ยงไม่ให้ความคิดดำเนินไปในทิศทางที่สกปรกกว่าเดิม…
“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ครานี้จะดีจะร้ายอย่างไรข้าก็ออกแรงเหมือนกันนะเจ้าคะ ข้าคิดว่าข้ามสิทธิ์จะได้รู้” กู้ซีจิ่วสู้เพื่อสิทธิของตน
“เจ้าอยากดื่มชาไหม?” จู่ๆ ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เอ่ยลอยๆ ขึ้นมา
กู้ซีจิ่วตะลึงไปครู่หนึ่ง เธอก็คอแห้งอยู่บ้างจริงๆ ได้โอกาสดื่มชาให้กระชุ่มกระชวยพอดีด้วยเหตุนี้จึงตอบรับอย่างซื่อตรงยิ่ง “ดื่มเจ้าค่ะ!”
ไม่รู้ว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์หยิบอุปกรณ์ชงชาชุดหนึ่งออกมาจากที่ใด เริ่มต้นชงชา
กู้ซีจิ่วนั่งอยู่ตรงนั้น จ้องมองการเคลื่อนไหวของเขา เกรงว่าเขาจะผสมอะไรให้เธอ…
ท่าทางการชงชาของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ลื่นไหลยิ่งนัก ไม่ด้อยไปกว่าปรมาจารย์ด้านการชงชาเหล่านั้นเลย หลังจากชงเสร็จ เขาก็รินให้เธอหนึ่งถ้วย “ดื่มสิ”
กู้ซีจิ่วลังเลเล็กน้อย กลิ่นชาหอมสดชื่น กลิ่มเยี่ยมยอดนัก แต่กลิ่นอายไม่เหมือนกับชาชนิดใดที่เธอเคยดื่มเลย
“กลัวเปิ่นจุนวางยาพิษเจ้าหรือ? เจ้าคิดว่าถ้าเปิ่นจุนต้องการทำอะไรเจ้าจริงๆ ยังต้องใช้พิษด้วยหรือ?” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ตีความอาการลังเลของเธอผิด
กู้ซีจิ่วส่ายหน้าพลางเอ่ยตอบ “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องวางยาพิษซีจิ่ว ที่ซีจิ่วลังเลเป็นเพราะกลิ่นของชานี้ค่อนข้างแปลก…”
เอ๊ะ ทำไมเธอรู้สึกเหมือนว่าเคยพูดจาทำนองเดียวกันกับที่สนทนากับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มาก่อน?
ต้องคารวะความจำอันยอดเยี่ยม เธอนึกออกอย่างรวดเร็วว่าตนเหมือนจะเคยพูดจาทำนองนี้กับตี้ฝูอีมาก่อน…
แปลกนัก! เธออยู่กับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์แท้ๆ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดถึงได้นึกถึงตี้ฝูอีอยู่เรื่อย…
จะว่าไป หลังจากคนผู้นั้นถอนหมั้นกับเธอก็ไม่มีข่าวคราวใดๆ อีกเลย
เขาคงจะสุขสำราญมีอิสระเสรีเหมือนที่เคยเป็นมากระมัง?
เธอใจลอยเล็กน้อย ถือถ้วยชาค้างไว้
แปลกหรือ? ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เลิกคิ้ว จิบของตนเข้าไปอึกหนึ่ง รสชาติไม่เลวเลย แปลกตรงไหนกัน?
เพียงแต่เห็นนางมีท่าทางฝืนใจเช่นนั้น คงมิใช่ว่ารสชาติชานี้บังเอิญเป็นแบบที่นางไม่ชอบพอดีกระมัง?!
“หากไม่อยากดื่มจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องฝืน!” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เปิดปากเอ่ย น้ำเสียงไม่ดีสักเท่าไหร่
หลายวันก่อนเขาลำบากยากเย็นเหลือแสนกว่าจะเก็บชานี้มาได้ เดิมทียังนึกอยู่ว่าชานี้รสชาติดีแถมยังเหมาะกับวรยุทธ์ที่นางฝึกฝน นางคงชอบ คิดไม่ถึงว่า…
ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ได้สติ ทราบว่าทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดแล้ว จึงรีบก้มลงไปดื่มอึกใหญ่
กลิ่นชาหอมสดชื่น ราวกับแฝงกลิ่นหอมอ่อนจางของสายลมฤดูใบไม้ผลิที่โชยผ่านยอดไม้ผลิใบ
หอมนุ่มชุ่มคอ! หอมนุ่มชุ่มคอโดยแท้!
ด้วยเหตุนี้เธอจึงดื่มเข้าไปอีกอึก จนกระทั้งหมดถ้วย…
“รสชาติดี! ชานี้รสดีนัก!” กู้ซีจิ่วเอ่ยชม แทบจะยกนิ้วให้เลย
เธอดันถ้วยชาออกไป จ้องกาน้ำชาใบน้อยที่อยู่ในมือเขาเพลางร้องขอ “ข้าดื่มอีกถ้วยได้ไหมเจ้าคะ?”
“หนึ่งถ้วยเพื่อคุณค่า สองถ้วยคือซดเหมือนวัว” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ส่ายหน้า แต่พอเห็นสายตาที่มองดั่งสีซอให้ควายฟังของนาง ก็ทำได้เพียงรินให้นางอีกถ้วย “หนนี้ดื่มให้ช้าหน่อย”
นึกไม่ถึงว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ทราบถ้อยคำจากเรื่อง ‘ความฝันในหอแดง’ เหมือนกัน คล้ายคลึงกับถ้อยคำที่เมี่ยวอวี้กล่าวกับเป่าอวี้
หัวใจกู้ซีจิ่วเต้นรัวนิดๆ เรื่องความฝันในหอแดงเมี่ยวอวี้ชมชอบเป่าอวี้ เพียงนางไม่เคยแสดงออกมาเลย เก็บซ่อนไว้ล้ำลึกนัก
คงมิใช่ว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ชอบเธอ เพียงแต่ว่าเก็บซ่อนไว้ล้ำลึกเช่นกันกระมัง?
เดี๋ยวนะ! หยุดก่อน!
จู่ๆ กู้ซีจิ่วก็รู้สึกว่าพอความคิดของตนฟุ้งซ่านแล้วน่ากลัวนัก! พูดอื่นเอ่ยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอก็ฟุ้งซ่านไปทิศทางพิสดารเช่นนี้แล้ว!
616 ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เกี้ยวพาเธอหรือ? 2
นี่เธอกำลังจะมีประจำเดือนหรือ?
ช่วงนี้ถึงได้อารมณ์แปรปรวน!
เธอสูดลมหายใจเข้านิดๆ ให้ตัวเองสงบ ท่าทางสุภาพดังที่ผ่านมา นั่งตัวตรง ปรับความคิดให้ถูกต้อง จิบชาเข้าไปหนึ่งอึก ดื่มด่ำอยู่ครู่หนึ่ง
ชานี้มิใช่ทั้งชาแดงและชาดอกไม้และมิใช่ชาเขียวหรือชาผูเอ่อร์ คล้ายว่ามันทำมาจากดอกไม้อบแห้งชนิดหนึ่ง
แต่ก็มองเห็นใบชาแช่อยู่ในน้ำชา เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นชา…
“นี่คือดอกอะไรหรือเจ้าคะ?” กู้ซีจิ่วเงยหน้าขึ้นมาถาม ไม่ทันระวังเผลอสบตากับอีกฝ่ายเข้า
ดวงตาคู่นั้นล้ำลึกเหลือเกินราวกับปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมาได้ ทำให้หัวใจเธอเต้นรัว
เคราะห์ดีที่สายตาคู่นั้นผละไปจากใบหน้าของเธออย่างรวดเร็ว “คือชาพุดตานพาฝัน ชอบหรือไม่?” ท่านเทพศักดิ์ถามกลับ
“ชอบเจ้าค่ะ!” กู้ซีจิ่วไม่ปิดบังความชอบของตน “ชานี้มีขายที่ใดหรือเจ้าคะ?” เธอจะไปซื้อมาสักจินแล้วค่อยๆ ละเลียดดื่ม!
“เจ้าปัดความคิดนี้ทิ้งไปได้เลย ข้าวของที่เปิ่นจุนใช้สามารถซื้อหาได้ง่ายๆ งั้นหรือ?” วาจาสองประโยคนี้ของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ดับฝันของเธอ เขานิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสริมอีกประโยค “เพียงแต่ถ้าเจ้าอยากดื่มจริงๆ หากสามารถทำให้เปิ่นจุนพอใจได้ ก็มาดื่มชาที่นี่ได้”
“…ข้าจะพยายามทำให้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์พึงพอใจเจ้าค่ะ” ดวงตากู้ซีจิ่วหยีโค้ง ยามที่เธอเบิกบานจะคุยง่ายยิ่งนัก อารมณ์ก็ดีเช่นกัน
เธอจิบชาในมืออีกคำหนึ่ง
ชิ หมดเกลี้ยงไปอีกถ้วยหนึ่งแล้ว!
รสดีจริงๆ! น่าเสียดายที่ถ้วยชาเล็กไปหน่อย หากเปลี่ยนเป็นมอบโถชาให้เธอสักใบก็คงดี…
เธอทำตาปริบๆ มองกาชาที่อยู่บนโต๊ะอีกครั้ง ยื่นมือออกไปทันที คว้าเอามา ยิ้มกว้างอย่างจริงใจยิ่งนัก “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เจ้าขา จะให้ท่านเมตตารินชาให้ซีจิ่วอยู่ฝ่ายเดียวได้อย่างไร? ตาข้าบ้างนะเจ้าคะ”
ยามที่คว้ากาน้ำชา เธอสุขใจนัก กาน้ำชาอยู่ในมือ ยังต้องกลัวว่าจะไม่ได้ดื่มอย่างสำราญอีกหรือ?
สิ่งที่ทำให้เธอมีความสุขยิ่งขึ้นคือกาน้ำชาหนักมาก แค่ดูก็รู้ว่ามีน้ำชาอยู่เต็มเปี่ยม เพียงพอจะรินใส่ถ้วยชาบนโต๊ะนี้ได้อีกเจ็ดแปดใบ
เธอรินให้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก่อนหนึ่งถ้วย จากนั้นก็รินให้ตัวเองอย่างชอบธรรม ผลปรากฏว่า…หมดแล้ว!
สักหยดก็ไม่มีออกมา!
มือเธอหยุดชะงัก มองกาน้ำชาในมืออย่างไม่เชื่อสายตา ยังมีอยู่เต็มเปี่ยมชัดๆ ทำไมถึงหมดแล้วล่ะ?!
เธอยื่นมือออกไปคิดจะเปิดฝากาดู มือข้างหนึ่งก็คร่อมลงมา หยิบกาชาใบน้อยกลับไป “ไม่จำเป็นต้องมองแล้ว กาใบนี้รินได้เพียงห้าถ้วยเท่านั้น” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เอ่ย
กู้ซีจิ่วตะลึง
เอาใจไปฟรีๆ ซะแล้ว! ถ้ารู้แบบนี้แต่แรก เธอจะทำหน้าหนารินให้ตัวเองก่อน…
“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ข้าชงอีกได้ไหมเจ้าคะ?” คงมิใช่ว่ากาชาก็ชงได้เพียงครั้งเดียวกระมัง?
ขณะที่กู้ซีจิ่วคิดจะหยิบกาชาที่อยู่ด้านข้างเข้ามา ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เอ่ยมาว่า “ไม่จำเป็น ชานี้สามารถชงได้เพียงครั้งเดียว”
เป็นชาที่หยิ่งผยองเหลือเกิน!
เฮ้อ หากว่ากาชาของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นแบบเดียวกับกาสุราใบน้อยของตี้ฝูอีก็คงดี
สุราที่อยู่กาสุราใบนั้นของตี้ฝูอีเต็มเปี่ยมไม่มีวันหมด เหมือนกับอ่างวิเศษ ทำให้เธอปรารถนาจะขโมยมายิ่งนัก…
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เพ่งพิศนางอยู่เงียบๆ มาโดยตลอด ย่อมมองเห็นแววตาเล็กๆ น้อยๆ ของนาง
ดูเหมือนนางจะชอบชานี้มากจริงๆ มิใช่การแสร้งทำเป็นชอบเพื่อเอาใจเขา
ดวงตาท่านเทพศักดิ์สิทธิ์หยีโค้งอยู่เบื้องหลังหน้ากาก เห็นได้ชัดว่าเขาก็มีความสุขเช่นกัน
กู้ซีจิ่วจ้องกาชาใบน้อยแวบหนึ่งอย่างห้ามใจไว้ไม่อยู่ กาชาใบน้อยวิจิตรนัก รูปร่างคล้ายระฆังวัด
“ชอบกาใบนี้หรือ?” นิ้วท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เคาะโต๊ะเบาๆ มองดูนาง
“เป็นกาที่งดงามนักเจ้าค่ะ ชาที่ชงออกมาก็รสชาติเยี่ยมยอด เสียดายแต่…”
“เสียดายแต่อะไร?” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ถาม
“เสียดายที่ไม่เหมือนกาสุราน้อยของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ที่รินได้เรื่อยๆ ไม่มีหมด” กู้ซีจิ่วทอดถอนใจ
617 ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เกี้ยวพาเธอหรือ? 3
วาจานี้ดูเหมือนเธอกล่าวออกมาโดยไม่เจตนา แต่ความจริงแล้วเป็นการหยั่งเชิงอย่างหนึ่ง
บางทีอาจเป็นเพราะสัมผัสที่หก ทำให้เธอรู้สึกอยู่เสมอว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เบื้องหน้าอาจเป็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายปลอมตัวมา แต่ก็ไม่อาจกล่าวได้เต็มปาก ดังนั้นจึงหยั่งเชิงเป็นนัยๆ คิดจะหาเบาะแสจากท่าทางเล็กๆ น้อยๆ จากท่าทีของเขา
แต่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์สวนหน้ากากไว้ เธอจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา ทำได้เพียงมองปฏิกิริยาของเขา
มองจากปฏิกิริยาของเขาแล้ว ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ดูไม่มีอะไรผิดปกติ เขาแค่ร้องอ่อคราหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “กาสุราใบนั้นของเขาไม่เลวจริงๆ ถ้าเจ้าชอบก้ลองไปขอเขาดูสิ”
กู้ซีจิ่วกระแอมไอคราหนึ่ง ”ซีจิ่วว่าเขาคงไม่ให้หรอกเจ้าค่ะ”
ภายภาคหน้าเธอจะได้พบเขาอีกหรือไหมก็ยากจะบอกได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการขอกาสุราจากเขาเลย
“บางทีถ้าเจ้าไปออดอ้อนขอเขาอาจจะให้ก็ได้นะ” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กล่าวด้วยท่าทียิ้มมิเชิงยิ้ม “เขาอาจจะชอบสตรีช่างอ้อนก็ได้”
กู้ซีจิ่วทำตาโต “ดูไม่ออกเลยเจ้าค่ะ…”
“บางครั้งก็ต้องลองทดสอบดู ถ้าเจ้าไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรเล่า?” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ให้กำลังใจเธอ
“ท่านทราบได้อย่างไรว่าเขาชอบ?” กู้ซีจิ่วหลุดปากถาม
“เอ่อ เป็นเพราะไม่มีอะไรที่เปิ่นจุนไม่รู้…” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เอ่ยแถ
“เช่นนั้นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์คงคุ้นเคยกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเป็นพิเศษ แล้วคุ้นเคยกับสานุศิษย์สวรรค์คนอื่นๆ ด้วยไหมเจ้าคะ?”
“ดูเหมือนเจ้ากำลังตะล่อมถามเปิ่นจุนอยู่ เจ้าอยากรู้อะไรงั้นรึ?” ปลายนิ้วท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เคาะหน้าโต๊ะเบาๆ ดวงตาที่มองดูนางฉายแววใคร่ครวญแวบหนึ่ง
“ซีจิ่วอยากรู้ว่าโฉมงามในตำหนักน้ำแข็งของหลงซือเย่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาหรือยัง?” ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็เอ่ยคำถามข้อหนึ่งที่ค้างคาอยู่ในใจออกมา
เงียบสนิท!
ดวงตาของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ที่เดิมทีฉายแววอ่อนโยนพลันเย็นชาลงเล็กน้อย
เขาไม่ได้พูดอะไร หลังจากกู้ซีจิ่วถามคำถามนี้ออกไปหัวใจก็ค่อยๆ บีบรัด
ผ่านไปครู่หนึ่งท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็คล้ายจะยิ้มออกมา แต่กลับเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พวกเราเพิ่งจะพูดคุยถึงปัญหาที่ให้เจ้าไปออดอ้อนตี้ฝูอีมิใช่หรือ…?”
กู้ซีจิ่วตัวสั่น โพล่งออกไปประโยคหนึ่ง “ข้าไหนเลยจะมีคุณสมบัติไปออดอ้อนขอสิ่งของจากเขาล่ะเจ้าคะ?”
“เจ้ามิใช่คู่หมั้นของเขาหรอกหรือ?” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ถาม
“ข้ากับเขาถอนหมั้นกันนานแล้ว ตอนนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาแล้วเจ้าค่ะ”
“เสียใจหรือไม่?”
กู้ซีจิ่วชะงักไปเล็กน้อย เสียใจหรือ? น่าจะไม่เสียใจละมั้ง! สถานการณ์ในวันนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการถอนหมั้น เพียงแต่บีบให้เธอเอ่ยออกมาก็เท่านั้น
เธอส่ายหน้านิดๆ “ไม่เสียใจเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นตอนนี้พวกเจ้ายังเป็นสหายกันอยู่หรือไม่?” คำถามของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์คมชัดขึ้นเรื่อยๆ
สหายหรือ? น่าจะนับว่าใช่กระมัง?
อันที่จริงกู้ซีจิ่วก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก เนื่องจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นั้นคาดเดายากเกินไป เธอไม่เคยเข้าถึงเขาเลย
เพียงแต่ถึงแม้คนผู้นั้นกลั่นแกล้งเธออยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังดีต่อเธอ ดังนั้นน่าจะนับว่าเป็นสหายได้ละมั้ง?
เธอจึงพยักหน้า “น…นับว่าเป็นสหายได้กระมัง?” น้ำเสียงเธอไม่ค่อยแน่ใจนัก
“นับว่าเป็น?” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เอ่ยทวน น้ำเสียงแผ่วหวิวเล็กน้อย “ฝืนใจถึงปานนั้นเชียวหรือ?”
กู้ซีจิ่วยิ้มขื่นๆ ตอบไปว่า “มิใช่ฝืนใจหรอกเจ้าค่ะ เป็น…เป็นซีจิ่วเข้าไม่ถึงเขาจริงๆ เจ้าค่ะ…”
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยิ้มแล้ว “ที่แท้เจ้าก็อยากเข้าถึงเขา!”
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็นคำศัพท์ที่ง่ายดายนัก แต่พอท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เอ่ยออกมาเช่นนี้ กลับดูคลุมเครืออยู่บ้าง
กู้ซีจิ่วเหงื่อตก ไม่เข้าใจว่าทำไมหัวข้อถึงดำเนินไปในทิศทางที่ประหลาดเช่นนี้ เธอกระแอมคราหนึ่ง ตัดสินใจจะดึงหัวข้อสนทนากลับมาอีกครั้ง “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เจ้าคะ ซีจิ่วจำได้ว่าเมื่อครู่เราคุยกันเรื่องกาสุราของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายว้าย…”
“อื้ม กาสุรา ดูเหมือนเจ้าจะหมกหมุ่นกับกาสุราของเขาเหลือเกิน ความจริงถ้าเจ้าอยากได้ก็ง่ายดายนัก เดี๋ยวเปิ่นจุนจะจัดการให้ ยกเจ้าให้ออกเรือนกับเขา จากนั้นก็ให้เขามอบกาสุราใบนั้นเป็นสินสมรสแก่เจ้า”
กู้ซีจิ่วตะลึงงัน
618 เปิ่นจุนก็เห็นเจ้าแจ่มใสขึ้นมาแล้ว
กู้ซีจิ่วแทบจะหัวเราะออกมา ปฏิเสธแบบอ้อมๆ ทันที “ขอบพระคุณในความเมตตาของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เจ้าค่ะ แต่ซีจิ่วไม่อยากนำทั้งชีวิตของตนไปเดิมพันกับกาสุราใบเดียว”
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เงียบงัน
ดูเหมือนคำตอบของเธอจะอยู่ในความคาดหมายของเขาเช่นกกัน เขาหลุบตาดื่มชาในมือ ไม่พูดอะไรอีก
ถึงแม้เมื่อครู่กู้ซีจิ่วจะปฏิเสธอย่างรวดเร็วยิ่ง แต่หัวใจก็ยังเต้นผิดจังหวะไปแวบหนึ่ง
เธอรู้ว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ทำได้ ต่อให้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไม่เห็นชอบกับการสมรสนี้ แต่เมื่อเป็นการจัดการของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้…
แต่ว่า เธอกลับไม่อยากฝืนใจ…
เดี๋ยวก่อน! ทำไมเธอนึกถึงคำว่า ‘ฝืนใจ’ ล่ะ?
หรือว่าลึกๆในใจของเธอก็ยังอยากออกเรือนกับตี้ฝูอีอยู่? แต่เป็นเพราะไม่อยากฝืนใจอีกฝ่ายเท่านั้น…
มือของกู้ซีจิ่วที่กุมถ้วยชาอยู่พลันแข็งทื่อ
ทั้งสองนั่งกันอยู่สักพักต่างฝ่ายต่างมีความคิดอยู่ในใจ ค่อนข้างวังเวงอยู่อยู่บ้าง
ดูเหมือนจะมีสายลมพัดโชยเข้ามาจากนอกห้อง ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็รู้สึกตัว ตนตามท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เข้ามาทำอะไรกันนะ? มิใช่อยากซักถามข้อสงสัยเหล่านั้นหรอกหรือ?
น่าตายนัก ถูกหัวข้ออื่นเบี่ยงเบนไป จนเธอลืมหัวข้อหลักไปเลย!
“คือว่า…ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เจ้าคะ ท่านยังไม่ได้ตอบข้อสงสัยเหล่านั้นที่ข้าถามไปก่อนหน้านี้เลย” ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ลากกลับเข้าประเด็นหลัก
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองไปชั่วขณะ “หือ?”
ดวงตาสีฟ้าเข้มของเขาดูงุนงงอยู่บ้าง วินาทีนั้น เขาดูเหมือนไม่ใช่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าเล่ห์ปากร้าย ยิ่งใหญ่สูงส่งผู้นั้นเลย แต่เป็นเด็กน้อยที่สับสนงุนงงคนหนึ่ง
หัวใจกู้ซีจิ่วพลันเต้นแรง! ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเช่นนี้…
เพียงแต่ ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็สมกับที่เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่าทางเช่นนั้นคงอยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้น เขากลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วยิ่ง นัยน์ตาคู่นั้นกลับมาล้ำลึกอีกครั้ง เขาคลี่ยิ้มบางๆ “ข้อสงสัยอันใดเล่า? เปิ่นจุนรับปากว่าจะตอบข้อสงสัยของเจ้างั้นรึ?”
กู้ซีจิ่วเกรงว่าเขาจะเบี้ยว แย้งไปทันที “ก่อนหน้านี้ที่อยู่ด้านนอก ซีจิ่วถามข้อสงสัยเหล่านั้นกับท่าน แล้วท่านบอกให้ตามท่านเข้ามา…”
“อืม เปิ่นจุนแค่ให้เจ้าตามเข้ามาดื่มชา ไม่ได้รับปากว่าจะตอบคำถามของเจ้า ตอนนี้ชาก็ถูกเจ้าดื่มจนพอแล้ว เปิ่นจุนก็เห็นเจ้าแจ่มใสขึ้นมาแล้ว สามารถไปวิ่งรอบสนามได้แล้ว” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ลุกขึ้น กล่าวต่อว่า “เปิ่นจุนเหนื่อยแล้ว เจ้าไปเสียเถอะ”
น่าชังนัก!
กู้ซีจิ่วกำมือแน่น
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มองดวงหน้าเล็กๆ ของเธอแวบหนึ่ง “ไม่พอใจมากหรือ?”
กู้ซีจิ่วไม่ตอบ
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จึงกล่าวต่อ “ถ้าเจ้าไม่พอใจก็มาตีเปิ่นจุนเลยสิ”
กู้ซีจิ่วอ้าปากค้าง เธอไม่นึกเลยว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่งจะไร้สัจจะได้เช่นนี้!
“ท่านเทพศักด์สิทธิ์เจ้าคะ ผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังร้ายกาจมากใช่หรือไม่ ด้วยความสามารถของซีจิ่วไม่มีทางต่อกรได้ ต่อให้ทราบว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใดก็ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นท่านถึงได้เลี่ยงคำถามนี้ ไม่แถลงไขแก่ซีจิ่วใช่ไหมเจ้าคะ?”
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ถอนหายใจ “เจ้าไม่อาจต่อกรได้จริงๆ นั่นแหละ พวกเจ้าอยู่คนละระดับกัน”
“เช่นนั้นเขาคือใครกันแน่เจ้าคะ? ถ้าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เอ่ยออกมาอย่างน้อยซีจิ่วก็จะได้เตรียมการณ์ไว้ล่วงหน้า” กู้ซีจิ่วไม่เลิกรา
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มองเธออยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ถามขึ้นมา “วิชากู่ของเจ้าร่ำเรียนมาจากผู้ใด?”
ครั้งนี้กู้ซีจิ่วไม่ยอมเปิดเผยจนหมดเปลือกกับเขาแล้ว “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เจ้าคะ ถ้าซีจิ่วตอบคำถามท่าน ท่านก็ต้องตอบคำถามของซีจิ่วเหมือนกันดีไหมเจ้าคะ?”
“ต่อรองกับเปิ่นจุนอยู่หรือ?”
“หนึ่งคำถามแลกหนึ่งคำถาม ซื่อตรงเที่ยงธรรม ไม่โป้ปดหลอกลวง” กู้ซีจิ่วยืนกราน
“ผู้ที่สามารถต่อรองกับเปิ่นจุนได้มีไม่มาก เจ้าช่างไม่เหมือนใครนัก ใจกล้ายิ่ง! อย่างไรก็ตามวันนี้เปิ่นจุนอารมณ์ดี จะแลกเปลี่ยนคำถามกับเจ้าก็ได้ เจ้าเล่าเรื่องผู้ที่ถ่ายทอดวิชากู่ให้เจ้ามาก่อน แล้วเปิ่นจุนจะบอกเจ้าแน่นอนว่าเห็นอะไรจากเชียนหลิงเทียน”
หาได้ยากนักที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะตรงไปตรงมาเช่นนี้ กู้ซีจิ่วจึงกล่าวที่มาวิชากู่ของตนอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน
ในยุคปัจจุบันเธอรู้จักสหายที่เป็นยอดฝีมือด้านวิชากู่คนหนึ่ง เห็นว่าน่าสนุกดี เธอจึงเรียนมาบ้างนิดหน่อย
เธอมีพรสวรรค์ในการเรียนรู้ด้านนี้…
619 สาวน้อยไม่ยอมเสียเปรียบสักนิดเลยจริงๆ!
เธอมีพรสวรรค์ในการเรียนรู้ด้านนี้ คนอื่นร่ำเรียนมาหลายปีก็ยังไม่อาจเรียนวิชากู่ได้แตกฉานนัก เธอเรียนอยู่ไม่กี่เดือนก็ล้ำเลิศแล้ว สหายคนนั้นของเธอรู้สึกว่าเธอเป็นต้นกล้าที่ดี เลยแนะนำเธอแก่อาจารย์ของเขา อาจารย์ของเขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านกลางหุบเขาแห่งหนึ่งที่ตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่รับศิษย์ง่ายๆ ทว่าถูกชะตากับเธอตั้งแต่แรกเห็น สั่งสอนเธออยู่สองเดือน…มอบตำรากู่ที่ไม่สมบูรณ์เล่มหนึ่งให้เธอ
ในยุคปัจจุบันกู้ซีจิ่วศึกษาวิชาหลายแขนง วิชาหลักที่เธอเรียนคือวรยุทธ์วิชาพิษและการแพทย์
เธอรู้สึกว่าวิชากู่ต้องใช้หนอนเป็นสื่อกลาง และเธอก็ไม่ค่อยชอบพวกแมลงเท่าไหร่ ประกอบกับการเลี้ยงกู่ต้องใช้แก่นโลหิตในร่างตนเสมอ เรื่องเยอะเกินไป ข้อจำกัดก็มากเกินไป ดังนั้นถึงแม้เธอจะร่ำเรียนมาไม่น้อย แต่แทบไม่ได้ใช้เลย และไม่เคยเลี้ยงกู่เลย
เพียงแต่เธอสนใจด้านการขจัดกู่มาก ได้มองดู ‘เจ้าตัวน้อย’ เหล่านั้นสลายเป็นเถ้าธุลีอยู่ในมือเธอค่อนข้างรู้สึกสมใจอยู่บ้าง
ดังนั้นเธอเลยตั้งใจศึกษาวิชาขจัดกู่ที่อยู่บนตำราเล่มนั้น ในตำรานั้นไม่เพียงแต่มีเคล็ดวิชากู่หายากสารพัดเท่านั้น ยังมีวิธีแก้ที่สัมพันธ์กันอยู่ด้วย
แน่นอนว่าเนื่องจากไม่มีผู้ที่โดนกู่ให้เธอได้ลองทดสอบ ด้วยเหตุนี้ในตอนนั้นเธอเลยได้แต่อ่านเท่านั้น
โชคดีที่ความจำของเธอดีมาก อ่านรอบเดียวก็จำได้เกือบสมบูรณ์…
เดิมทีเธอแค่จะเล่าที่มาวิชากู่ของตนสักหน่อยเท่านั้น ถึงอย่างไรเธอก็รู้สึกว่าความรู้ยุคปัจจุบันเหล่านี้ของเธอไม่เกี่ยวข้องกับที่นี่มากนัก สหายในยุคปัจจุบันของเธอถึงจะเก่งกาจเพียงใดก็มาที่นี่ไม่ได้
แต่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ซักถามละเอียดนัก เขาถามครอบคลุมไปถึงรูปพรรณสัณฐานอัตลักษณ์ของคนทั้งสองที่ถ่ายทอดวิชากู่ให้เธอด้วย
สุดท้ายเขาก็ยื่นพู่กันด้ามหนึ่งและกระดาษอีกหลายแผ่นให้กู้ซีจิ่ว “มาสิ วาดพวกเขาออกมาหน่อย”
กู้ซีจิ่วงงงัน แต่เธอก็เป็นคนฉลาด จึงถามออกไปอย่างห้ามใจไม่อยู่ “ท่านคงไม่คิดว่าผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังคือหนึ่งในพวกเขาใช่ไหมเจ้าคะ? เป็นไปไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ การมาของข้าเป็นเรื่องบังเอิญนัก เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะมาด้วยเหมือนกัน เรื่องทะลุมิติเป็นเรื่องบังเอิญยิ่ง…”
“ทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ เจ้าวาดออกมา เปิ่นจุนจะดูเปรียบเทียบกัน”
“เช่นนั้นท่านก็วาดเป้าหมายที่ท่านสงสัยให้ขาดูด้วยสิเจ้าคะ อ๊ะ ใช่แล้ว ท่านวาดตัวผู้บงการเบื้องหลังที่ท่านเห็นจากเชียนหลิงเทียนออกมาด้วยได้ไหมเจ้าคะ?” ดวงตากู้ซีจิ่วเปล่งประกาย
สาวน้อยไม่ยอมเสียเปรียบสักนิดเลยจริงๆ!
สุดท้ายท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ตกลง ดังนั้นทั้งสองจึงนั่งตรงข้ามกันต่างฝ่ายต่างวาด…
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป ทั้งสองฝ่ายต่างวาดเสร็จแล้ว จึงนำมาแลกกันดู
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์วาดได้สมจริงมาก เขาวาดคนลึกลับที่สวมชุดขาวคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า มองไม่ออกว่าอ้วนหรือผอมและมองไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง แต่บุคลิกค่อนข้างประหลาดเย็นชา ดูเหมือนเขาจะปรากฏตัวในยามราตรีทุกครั้ง แถมยังเป็นสถานการณ์ที่ไร้แสงเดือนแสงดาวด้วย ดังนั้นการสวมชุดพรางตัวเช่นนี้ปรากฏตัว จึงน่าอึดอัดเล็กน้อย
ภาพของกู้ซีจิ่วเป็นภาพร่าง ตวัดไม่กี่ลายเส้นร่างเอกลักษณ์บุคคลออกมา ถึงแม้จะไม่สมจริงไปบ้าง แต่เอกลักษณ์เฉพาะของตัวคนก็โลดแล่นอยู่บนกระดาษแล้ว
สหายคนนั้นของเธอเป็นหนุ่มหล่อปากแดงฟันขาว ยามยิ้มแย้มเจิดจ้าดั่งแสงตะวัน แต่อาจารย์ที่เร้นกายอยู่ในหุบเขาลึกผู้นั้นดูต่างกันลิบลับ สวมเสื้อคลุมผ้าป่านตัวยาว ร่างผอมสูง เครื่องหน้า…เครื่องหน้าไม่ชัดเจน เนื่องจากอีกฝ่ายไว้หนวดเครา แถมเครานั้นก็ยาวเฟื้อย เครื่องหน้าถูกซ่อนไว้มิดชิดภายใต้หนวดเครา ดังนั้นอัตลักษณ์เครื่องหน้าจึงไม่ชัดเจน
กู้ซีจิ่วก็เล่าออกมาอย่างกระจ่าง อาจารย์ท่านนี้นิสัยประหลาดนัก เงียบขรึมพูดน้อย ปรากฏตัวน้อยมาก ยามที่ถ่ายทอดวิชากู่ให้เธอก็ไม่เผยโฉมสักเท่าไหร่ คนหนึ่งพูดอยู่ในห้อง อีกคนฟังอยู่นอกห้องเสมอ
จำนวนครั้งที่พบหน้าเขาแทบนับนิ้วได้เลย
620 ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ดูรูปสองแผ่นนั้นซ้ำไปซ้ำมา จู่ๆ ก็เอ่ยออกประโยคหนึ่ง “เจ้าอยู่ในกระท่อมไม้ไผ่กับคนผู้นี้สองเดือนหรือ?” เขาชี้ไปที่ชายมีเครา
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้น พอตกเย็นคนผู้นี้จะเรียกข้าไปแล้วถ่ายทอดความรู้ให้ประมาณหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น ช่วงอื่นก็ปล่อยให้ข้าวิ่งไปวิ่งมาอยู่ในหมู่บ้าน”
“เขามีฐานะอย่างไรในหมู่บ้าน?”
“ปรมาจารย์กู่เจ้าค่ะ ปรมาจารย์ชื่อดัง คนในหมู่บ้านค่อนข้างกริ่งเกรงเขา ถ้าไม่มีเรื่องอะไร ส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครไปมาหาสู่เขา”
“เช่นนั้นเขาเคยแสดงฝีมืออันใดต่อหน้าอย่างชัดเจนบ้างหรือไหม?” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ซักไซ้
กู้ซีจิ่วย่นคิ้ว “แค่วิชากู่เท่านั้นเจ้าค่ะ”
โดยทั่วไปแล้วปรมาจารย์กู่ค่อนข้างลึกลับ แต่คนผู้นั้นลึกลับที่สุด ไม่คบค้าสมาคมกับผู้อื่น คนในหมู่บ้านที่เคยเห็นหน้าตาจริงๆ ของเขาก็มีอยู่ไม่กี่คน หากมิใช่เพราะกู้ซีจิ่วต้องไปที่กระท่อมของเขาทุกวันวันละหนึ่งชั่วโมง ก็อาจจะไม่เคยเห็นเขา…
“กล่าวเช่นนี้คือ เขาไม่เคยเห็นเขาลงมือเลยหรือ?”
กู้ซีจิ่วส่ายหัว “ไม่เลยเจ้าค่ะ อันที่จริงโลกนั้นของพวกเราสงบสุขมาก ในหมู่บ้านอย่างมากก็แค่ไก่ของบ้านสกุลตงหายไป หรือแกะของบ้านสกุลซีหนีเตลิดไป แต่ก็ตามกลับมาได้เร็วนัก เมื่ออยู่ที่นั่นวิชากู่ของเขาเลยไม่มีโอกาสให้ลงมือเจ้าค่ะ”
สายตาท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จดจ่ออยู่ที่ใบหน้าเธอ กล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าอยู่บ้าง “คนผู้นี้ลึกลับถึงเพียงนี้ ด้วยนิสัยของเจ้าน่าจะเคยสำรวจกระท่อมไม้ไผ่ของเขากระมัง? ในกระท่อมของเขามีอะไรบ้างไหม?”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เธอกระแอมไอแล้วเอ่ยตอบ “ข้าร่ำเรียนวิชาของผู้อื่น ก็นับว่าผู้อื่นเป็นอาจารย์ข้ากึ่งหนึ่ง อีกทั้งข้าเป็นคนที่เคารพนับถือครูบาอาจารย์ จะไปสำรวจกระท่อมของผู้อื่นได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ?”
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่พูดอะไร เพียงแค่มองดูเธอ
กู้ซีจิ่วถูกมองจนใจฝ่อ จึงมองกลับบ้าง ผลคือเธอพ่ายแพ้ในการจ้องตากับผู้อื่นเป็นครั้งแรก เลยยกมือยอมรับ “ก็ได้เจ้าค่ะ ข้ายอมรับ ข้าสำรวจ แต่ในกระท่อมของเขาไม่มีอะไรเลย เพียงแค่เก่าซอมซ่อไปหน่อยเท่านั้น ข้าวของในบ้านก็ธรรมดา แล้วก็มีโหลเลี้ยงกู่นิดหน่อยเท่านั้น”
“โหลเลี้ยงกู่ของเขาเป็นโหลอย่างไร?” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์สอบถามทันที
กู้ซีจิ่วแทบจะกุมหน้าผากแล้ว “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านสงสัยเขาจริงๆ หรือเจ้าคะ? คนละภพนะเจ้าคะ! เขามาไม่ได้หรอก!”
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยื่นกระดาษกับพู่กันมา “วาดออกมา”
วินาทีนี้ กู้ซีจิ่วรู้สึกเสียใจที่เคยเรียนวาดภาพมาบ้าง ที่เสียใจยิ่งกว่าคือท่านเทพศักดิ์สิทธิ์รู้ว่าตนวาดภาพเป็น
ไม่มีทางเลือกอื่นจึงทำได้เพียงวาดหลายสิ่งที่อยู่ในความทรงจำออกมา พอวาดเสร็จก็ดันไปทางท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ “นี่เจ้าค่ะ อยู่ในนี้หมดแล้ว”
บางทีอาจเป็นเพราะพูดคุยจนคุ้นเคยแล้ว บทสนทนาของกู้ซีจิ่วกับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นกันเองขึ้นเรื่อยๆ พูดจาท่านๆ ข้าๆ อย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง
อาจเป็นเพราะไม่ชอบใจที่นั่งไม่ค่อยสะดวกนัก กู้ซีจิ่วจึงลากเก้าอี้เข้าไปใกล้ๆ ทันที อธิบายแก่เขาว่าในโหลเหล่านี้เลี้ยงกู่อะไรไว้บ้าง
คนทั้งสองไหล่ชนไหล่ หารือกันสองสามประโยคบ้างเป็นครั้งคราว ภาพนั้นดูอบอุ่นและเข้ากันได้ดีอย่างยิ่ง
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มองนางที่อธิบายอยู่ข้างกายอย่างตั้งอกตั้งใจแวบหนึ่ง หัวใจพลันสั่นไหว มีความรู้สึกอบอุ่นผุดขึ้นมา
เป็นครั้งแรกที่อยู่ในตัวตนนี้แล้วมีคนเข้ามาใกล้เขาเช่นนี้ และเป็นธรรมชาติถึงเพียงนี้…
เพียงแต่ก็น่าขันอยู่เหมือนกัน หากสี่ทูตได้มาเห็นภาพนี้เข้า คาดว่าคงตกตะลึงจนอ้าปากค้าง!
แม่นางน้อยผู้นี้ท้าทายอำนาจ ‘เทพ’ โดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว
เพียงแต่เขาไม่มีทีท่าว่าจะตักเตือนนางเลย เขารู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือน
จุดสูงสุดนั้นเหน็บหนาวนัก
ในความเป็นจริงคนผู้หนึ่งที่อยู่บนจุดสูงสุดมาเนิ่นนาน ย่อมโดดเดี่ยวและหว่าเว้ อยากจะมีใครสักคนมาอยู่ข้างกาย…
กลิ่นอายจางๆ จากร่างนางอบอวลอยู่รอบกายเขา ยื่นมือออกไปก็สัมผัสได้ทันที ปรารถนาจะดึงนางเข้ามาไว้อ้อมกอดยิ่งนัก…
621 ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อารมณ์ดี
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ใจลอย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใจลอยขณะที่กำลังศึกษาบางสิ่งอยู่
จนกระทั่งนางเงยหน้าขึ้นมา มองเขาอย่างประหลาดใจ “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เจ้าคะ? ข้าพูดถูกหรือไม่?”
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ได้สติขึ้นมา เมื่อกี้นางกล่าวว่าอย่างไรกันนะ?
ถึงอย่างไรความสามารถของกู่ที่นางคาดเดาก่อนหน้านี้ ก็กล่าวได้เป็นระเบียบแบบแผน ข้อมูลส่วนใหญ่น่าเชื่อถือและถูกต้องยิ่งนัก
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่อยากให้นางมองออกว่าเมื่อครู่ตนใจลอย ดังนั้นเขาจึงผงกศีรษะนิดๆ “มิผิด”
ดวงตากู้ซีจิ่วทอประกาย “ท่านก็เห็นด้วยหรือว่าคนลึกลับผู้นั้นมิใช่เขา ข้าว่าแล้วเชียว ถึงแม้วิชากู่ของเขาจะเยี่ยมยอดยิ่ง แต่ก็มาที่นี่ไม่ได้หรอก”
ปรมาจารย์กู่มีเคราผู้นั้นก็นับว่าอาจารย์ของกู้ซีจิ่วกึ่งหนึ่ง แถมยังปฏิบัติต่อเธอไม่เลว เธอเลยไม่อยากให้ผู้อื่นสงสัยเขา
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ปิดปากเงียบ เก็บภาพที่เธอวาดหลายแผ่นนั้นไปหมด
กู้ซีจิ่วเริ่มศึกษาภาพเหมือนคนลึกลับที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์วาด ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์วาดได้สมจริงมาก แต่วิชาพรางกายของคนผู้นี้ช่างเยี่ยมยอดโดยแท้ กู้ซีจิ่วเพ่งอยู่นานสองนานก็วิเคราะห์อะไรออกมาไม่ได้เช่นกัน
เธออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา “หากมีเครื่องแสกนภาพสามมิติก็คงดี สิ่งนั้นสามารถแสกนโครงสร้างภายในร่างกายของมนุษย์ได้โดยตรง ต่อให้วิชาพรางกายของเขาสูงส่งเพียงใด ก็เปลี่ยนแปลงโครงสร้างกระดูกไม่ได้…คนผู้นี้ซ่อนสายลับมากมายถึงเพียงนี้ไว้ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ คิดจะทำอะไรกันแน่?”
คดีนี้ถูกกำหนดไว้แล้วว่ามิอาจคลี่คลายได้ในตอนนี้ ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จึงไม่ได้ตอบเธอเช่นกัน ปล่อยให้เธอคาดเดาอยู่ตรงนั้น
ช่วงเวลาเช่นนี้ช่างงดงามเหลือเกิน ทำให้เขาค่อนข้างอาวรณ์อยู่บ้าง
ไม่ทันรู้ตัวด้านนอกก็สว่างแล้ว
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะเบาๆ หลายครั้งดังขึ้นนอกประตู เสียงทูตส่างซั่นแว่วเข้ามา “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ กู่ฉานโม่นำคนมาขอพบขอรับ”
คิ้วท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขมวดมุ่นอย่างที่พบเห็นได้น้อยนัก ถูกคนขัดจังหวะช่วงเวลาหวานชื่นที่หาได้ยากเช่นนี้ เขาค่อนข้างไม่พอใจอยู่บ้าง
กู้ซีจิ่วก็ได้สติกลับคืนมาจากการวิเคราะห์สารพัด มองด้านนอกแวบหนึ่ง ถึงได้พบว่าท้องฟ้าด้านนอกสว่างแล้ว
เธอพูดคุยกับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่ในห้องมาเกือบครึ่งคืนแล้ว! แถมยังคุยกันออกรสถึงเพียงนี้ ตัวกู้ซีจิ่วเองก็รู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้างเช่นกัน
กู่ฉานโม่ขอเข้าพบท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ย่อมมีเรื่องมารายงานแน่นอน เช่นนั้นเธอต้องตามไปฟังด้วยไหมนะ?
เธอว้าวุ่นเล็กน้อย ทว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้ากลับไปก่อน อย่าลืมซ่อมม่านเตียงของเปิ่นจุนด้วย”
เมื่อกู้ซีจิ่วนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เหงื่อตกทันที
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ลากเธอมาพูดคุยไม่หลับไม่นอนทั้งคืน หรือว่าเป็นเพราะไม่มีม่านเตียงเขาก็เลยนอนไม่หลับ?
เธอส่งเสียงตอบรับ ขณะที่กำลังจะจากไป ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ยังมีบทลงโทษวิ่งรอบสนามด้วย…” เขาชะงักไปครู่หนึ่ง กู้ซีจิ่วมองเขาอย่างคาดหวัง เธอรู้สึกว่าคืนนี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อารมณ์ดีมาก ไม่แน่เห็นเธอไขคดีได้มีความชอบอาจละเว้นบทลงโทษนั้นให้ก็ได้
แต่เขากลับพูดต่อว่า “ห้ามขาดไปแม้แต่รอบเดียว”
เวรเอ้ย!
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อารมณ์ดีเป็นแค่เมฆาล่องลอยชัดๆ!
….
เธอตอบรับแล้วเปิดประตูออกไป
ยามที่ก้าวออกไปก็เดินสวนกับทูตส่างซั่นพอดี มองเห็นนางเดินออกมาจากเรือนของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ในยามเช้าตรู่ ทูตส่างซั่นต้องข่มกลั้นความอยากซุบซิบนินทาของตนเอาไว้สุดกำลังแล้วทักทายนางอย่างสงบ
ยามที่กู้ซีจิ่วหันหลังจากไป สายตาของทูตส่างซั่นจับจ้องเงาหลังของนางอย่างห้ามใจไว้ไม่อยู่
ยังเดินเหินชดช้อยอยู่เช่นเดิน ขาทั้งสองก็ไม่มีจุดใดผิดปกติ น่าจะไม่ได้ปรนนิบัติกระมัง?
“นางเป็นยังไงบ้าง?”
“ยอดเยี่ยม เติบโตงดงาม รูปร่างก็ดี แถมยังมีความสามารถ…” ทูตส่างซั่นตอบกลับตามสัญชาตญาณ แต่ตอบไปได้ครึ่งเดียวก็ได้สติกลับมาทันที มองท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนอยู่ข้างกาย ร่างเขาสั่นเทา รีบค้อมกายทำความเคารพ “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์!”
“ชอบนางหรือ?” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ถามออกมาเหมือนหลุดปาก
622 ไม่แน่นางอาจกลายเป็นฮูหยินของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ในภายภาคหน้า
ทูตส่างซั่นพลันสั่นเทิ้ม “ม…ไม่ชอบขอรับ!” เขาไหนเลยจะกล้าชอบสตรีของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์!
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เลิกคิ้วขึ้น น้ำเสียงคล้ายจะไม่พอใจ “ไม่ชอบ? นางยังดีไม่พอหรือ?”
ทูตส่างซั่นชะงัก
“นาง…นางดีพอขอรับ ดีมาก! ข้าน้อยยังไม่เคยเห็นเด็กสาวคนใดยอดเยี่ยมเช่นนี้มาก่อนเลย” ทูตส่างซั่นรีบตอบ
โป้ปดมดเท็จมิแคล้วถูกจับได้ แต่คำหวานเอาใจไม่ถูกจับได้แน่นอน นี่คือความจริงที่ไม่อาจลบล้างได้
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ถึงได้พอใจ เอ่ยถามอีกประโยค “เช่นนั้นเจ้าพูดมา ชอบนางหรือไม่?”
ท่านแม่ นี่ต้องตอบแบบไหนกัน? ขอคำตอบที่ถูกต้องด้วยเถิด!
ทูตส่างซั่นแทบหลั่งน้ำตา สมองหมุนติ้วเหมือนกังหันลม สุดท้ายก็ฉวยเอาคำตอบที่ปลอดภัยยิ่งมาข้อหนึ่ง รีบพูดออกมาทันที “ข้าน้อยชื่นชมนาง เคารพนาง…”
ไม่แน่นางอาจกลายเป็นฮูหยินของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ในภายภาคหน้า เป็นนายหญิงของเขา ดังนั้นเขากล่าวว่าเคารพนางก็ไม่ผิด เป็นเพียงการเคารพล่วงหน้าก็เท่านั้น
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยเหยียดหยามเขา “นางอายุเท่าไหร่ เจ้าอายุเท่าไหร่ เจ้าโตกว่านางไม่รู้ตั้งกี่รอบ เจ้าเคารพนางงั้นรึ? หนังหน้าเจ้าหนาเอาการ”
ทูตส่างซั่นพูดอะไรไม่ออก
ทูตส่างซั่นผู้หน้าหนาได้แต่หลั่งน้ำตา
มารดาเถอะ หากรู้ล่วงหน้าว่าจะเป็นเช่นนี้ เมื่อกี้เขาควรจะเตะทูตเฉิงเอ้อให้เข้ามารายงานท่านเทพศักดิ์สิทธิ์…
เขาย้อนเวลากลับไปได้ไหมนะ?
“ยืนโง่อยู่ตรงนั้นทำไม? ยังไม่ไปพาพวกกู่ฉานโม่เข้ามาอีกหรือ?” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เหลืออดแล้ว
ทูตส่างซั่นปานได้รับการอภัยโทษ ส่งเสียงตอบรับ วิ่งไปอย่างรวดเร็ว
วิ่งพลางก่นด่ากู่ฉานโม่อยู่ในไปด้วย ตาแก่คนนี้ได้รับโทษทัณฑ์มากมายถึงเพียงนั้นก็ยังมีพลังล้นเหลือขนาดนี้ แล่นมาแต่เช้าตรู่ เห็นทีว่าโทษนั้นคงเบาเกินไป!
ไม่ได้แล้ว วันนี้เขาจะคุมการลงทัณฑ์ด้วยตัวเอง!
….
กู้ซีจิ่วกำลังวิ่งรอบสนาม
ตอนนี้วิชาตัวเบาของเธอล้ำเลิศยิ่ง ดังนั้นการวิ่งเก็บรอบเช่นนี้จึงไม่นับว่าเหนื่อยเท่าไหร่
สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์สร้างขึ้นกลางขุนเขาเขียวขจี มีบันไดศิลาเขียวอยู่โดยรอบ และมีหนทางบนภูเขาด้วย
อากาศยามเช้าสดชื่นเป็นพิเศษ ผสานกับกลิ่นหอมของพฤกษา ปานสุราที่มอมเมาคน
ตอนกู้ซีจิ่วอยู่ในยุคปัจจุบันก็ชอบวิ่งจ็อกกิ้งมาก เพียงแต่ยามนั้นวิ่งไปตามถนนลาดยางมะตอย สูดควันเสียจากท่อรถยนต์ไปไม่น้อย อากาศสดชื่นสู้ที่นี่ไม่ได้เลย
ขณะที่วิ่ง เธอได้ความรู้สึกที่คุ้นเคยกลับมาอีกครั้ง ความรู้สึกนั้นผ่อนคลายมากจริงๆ
โดยเฉพาะเมื่อเธอพบว่าถ้าปรับพลังวิญญาณในร่างไปด้วยในระหว่างที่วิ่ง จะทำให้พลังวิญญาณในร่างไหลเวียนได้เร็วขึ้นและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าบทลงโทษนี้ของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ช่างมีมนุษยธรรมนัก
ต่อไปเธอจะออกมาวิ่งทุกวัน!
ขณะที่เธอกำลังวิ่งอย่างเบิกบาน ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าแว่วมาจากด้านหลัง เสียงฝีเท้านั้นเหมือนจงใจวิ่งเข้ามา เจตนาให้เธอได้ยิน
กู้ซีจิ่วเหลียวมอง ดวงตาพลันหรี่ลงเล็กน้อย
อวิ๋นชิงหลัว!
ที่วิ่งเข้ามาคืออวิ๋นชิงหลัว
ตั้งแต่วันที่อวิ๋นชิงหลัวและองค์ชายหรงเช่อถูกคนชุดเขียวควบคุมให้ก่อเรื่องใหญ่นั้นขึ้น พลังยุทธ์ในร่างอวิ๋นชิงหลัวก็แทบจะเหือดแห้งไป ต้องพักฟื้นมาโดยตลอด นางเพิ่งได้เข้าร่วมกิจกรรมชุมนุมเมื่อวาน เพียงแต่ยามนั้นนางปะปนอยู่ในฝูงชน กู้ซีจิ่วจึงไม่ได้สังเกตนาง
นางผอมลงกว่าหกเจ็ดวันก่อนไม่น้อย เพียงแต่นางหน้าตาดี สวมชุดกระโปรงสีเขียวอ่อน เมื่อสายลมในหุบเขาโชยมา ก็แลดูคล้ายนางเซียนยิ่งขึ้น
“กู้ซีจิ่ว ยินดีด้วย” นางเร่งฝีเท้าเข้ามาสองก้าว ไล่ทันกู้ซีจิ่ว วิ่งเคียงข้างเธอ
“ยินดีด้วย?” กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว
“หลายวันที่ผ่านมาเจ้าแสดงความล้ำเลิศให้เป็นที่ประจักษ์ยิ่ง เมื่อคืนอาจารย์ใหญ่ได้หารือกับทุกคน ตัดสินงดเว้นด่านทดสอบเหล่านั้นให้เจ้าเข้าสู่ชั้นเรียนเมฆาคล้อยได้เลย” น้ำเสียงอวิ๋นชิงหลัวอ่อนโยน เหมือนมาเพื่อแจ้งข่าวดี
กู้ซีจิ่วประหลาดใจ ข่าวนี้ค่อนข้างอยู่เหนือความคาดหมายของเธอ
เธอไม่ต้องเตรียมตัวสำหรับด่านมารผจญพวกนั้นแล้วหรือ?
623 ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายชอบเจ้าไหม?
จู่ๆ หัวใจเธอก็สั่นไหวแวบหนึ่ง ที่กู่ฉานโม่มาขอพบท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เช้านี้ หรือจะมาพูดเรื่องนี้กันนะ?
“เจ้าไล่ตามข้ามาเพื่อพูดแค่นี้น่ะหรือ?” กู้ซีจิ่วถามออกไป
อวิ๋นชิงหลัวชะงักไปครู่หนึ่ง เม้มริมฝีปากแล้วเอ่ย “ครั้งนี้ข้ามาเพื่อขอบคุณเจ้าโดยเฉพาะ”
“หือ?” กู้ซีจิ่วไม่เข้าใจ
“ครานั้นหากมิใช่เจ้ายื่นมือเข้ามา เกรงว่าข้าคงหมดแรงตายไปแล้ว ดังนั้นข้าต้องขอบคุณเจ้า”
“อืม ข้ารับไว้แล้ว” กู้ซีจิ่วก็พูดจาตรงไปตรงมาเช่นกัน “เพียงแต่ครั้งนั้นข้าไม่ได้ตั้งใจจะช่วยเจ้า การช่วยเจ้าเป็นแค่ผลพลอยได้”
อวิ๋นชิงหลัวสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “ข้ารู้ แต่เจ้าก็ยังช่วยข้าไว้อยู่ดี คำขอบคุณนี้เป็นเรื่องที่สมควร”
“ได้ คำขอบคุณของเจ้าข้ารับไว้แล้ว เจ้าไม่ต้องตามข้ามาแล้ว” กู้ซีจิ่วเร่งฝีเท้าขึ้นหลายก้าว เธอไม่คิดว่าเธอกับอวิ๋นชิงหลัวจะเป็นเพื่อนกันได้
“นอกจากขอบคุณแล้ว ข้ายังมีเรื่องจะพูดอีก” อวิ๋นชิงหลัวไล่ตามมาอีกครั้ง
เธอว่าแล้ว!
กู้ซีจิ่วหยุดเท้าทันที “ได้ เจ้าว่ามาสิ”
อวิ๋นชิงหลัวมองเด็กสาวที่อยู่เบื้องหน้า สูดหายใจแล้วสูดหายใจอีกถึงได้เอ่ยปากออกมา “ที่ข้าจะพูดคือ เจ้าช่วยข้าไว้ข้าซาบซึ้งมาก แต่ข้าจะไม่ยอมเลิกไล่ตามท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเพราะเรื่องนี้ ข้าชอบเขามานานหลายปีแล้ว…”
เสียงนางสั่นนิดๆ “ข้าชอบเขาในระดับที่เจ้าจินตนาการไม่ถึงเลย…กู้ซีจิ่ว ข้ารู้ว่าเจ้ามีความสามารถมาก บุรุษมากมายล้วนหลงใหลเจ้า แม้แต่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์…ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ออกหน้าพูดให้เจ้า ตอนนี้เจ้าล้ำเลิศมากแล้ว อย่าแย่งท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกับข้าอีกได้ไหม?”
กู้ซีจิ่วตกตะลึง
ดวงตาอวิ๋นชิงหลัวแดงก่ำ “ข้าไม่สนว่าบุรุษคนอื่นจะปฏิบัติต่อข้าอย่างไร ข้าชอบแค่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเท่านั้น ชอบเขาจนแทบคลั่งแล้ว ข้าพยายามฝึกฝนเพื่อเขา ข้าหลายเป็นสานุศิษย์สวรรค์เบื้องบนก็เพื่อเขา ข้าถึงขั้นแลก…ข้าทำทุกอย่างก็เพื่อเขา เจ้าไม่มีทางรู้ว่าข้าต้องรับความทุกข์ทรมานมากเพียงใดเพื่อให้ได้ยืนเคียงข้างเขา…”
ร่างกายนางสั่นสะท้าน มองดูกู้ซีจิ่ว “เจ้าอย่ายื้อแย่งกับข้าได้หรือไม่? ขอเพียงเจ้าหลีกทางไปข้าสามารถมอบสิ่งชดเชยมากมายให้เจ้าได้ ข้าจะทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อชดเชยให้เจ้า…”
กู้ซีจิ่วเม้มริมฝีปากแน่น ความรักหรือกล่าวอีกอย่างก็คือความลุ่มหลงที่อวิ๋นชิงหลัวมีต่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายทำให้เธอหวั่นไหวได้ แต่เธอไม่ได้ชื่นชมเลย
เพียงแต่เห็นแก่ความตรงไปตรงมาของแม่นางผู้นี้ กู้ซีจิ่วจึงตัดสินใจคุยกับนาง
“อวิ๋นชิงหลัว ข้าขอถามเจ้า ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายชอบเจ้าไหม?”
สีหน้าอวิ๋นชิงหลัวซีดขาวเล็กน้อย “เขา…จะต้องชอบข้าแน่”
“กล่าวอีกอย่างคือ เขายังไม่ได้ชอบเจ้าใช่ไหม?” กู้ซีจิ่วถามต่อ
“ไม่…” น้ำเสียงอวิ๋นชิงหลัวหวีดแหลมนิดๆ “เขาน่าจะชอบข้าอยู่นิดหน่อย ตอนที่ข้ายังไม่กลายเป็นสานุศิษย์สวรรค์ เคยถูกคนลักพาตัว เป็นเขาที่ตามมาช่วยข้าไว้ และพูดคุยกับข้ามากมาย…”
อวิ๋นชิงหลัวคล้ายจะจมดิ่งอยู่ในห้วงความทรงจำ “ยามนั้นเขาน่าจะชอบข้ามาก พาข้าขึ้นรถม้าส่วนตัวกลับ เขาพาข้าไปที่อาณาจักรเฟยซิงด้วยตัวเอง บอกฐานะข้ากับจักรพรรดิของอาณาจักรเฟยซิง ให้จักรพรรดิจัดเรือนรับรองที่ดีที่สุดให้ข้า เขาบอกว่าสานุศิษย์สวรรค์จะต้องได้รับการปฏิบัติอย่างสมเกียรติ ตอนนั้นเขาคงจะยอมรับแล้วว่าข้าคือสานุศิษย์สวรรค์ ยังไม่ได้ทดสอบก็เริ่มสอนวรยุทธ์ให้ข้าแล้ว ชีพจรของข้าบกพร่องเล็กน้อย ไม่อาจฝึกฝนวรยุทธ์แขนงหนึ่งได้ เขาก็หลอมยาให้ข้าด้วยตัวเอง…ให้ข้าไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น ตั้งใจฝึกฝนก็พอ เจ้าไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นข้าดีใจมากแค่ไหน…”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน เธอก็นึกถึงตัวเองก่อนหน้านี้ ดูเหมือนตอนแรกทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็ไม่ยอมรับว่าเธอคือสานุศิษย์สวรรค์ กล่าวเป็นนัยๆ อยู่เสมอว่าเธอคือตัวปลอมจะจัดการเธอ
ดูเหมือนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ต่อให้ไม่ใช้แท่นเบิกสวรรค์ทดสอบ เขาก็มองออกแปดเก้าส่วนแล้ว
624 ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายชอบใคร
ดูเหมือนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ต่อให้ไม่ใช้แท่นเบิกสวรรค์ทดสอบ เขาก็มองออกแปดเก้าส่วนแล้ว
เขารู้อยู่แล้วชัดๆ ว่าเธอไม่ใช่สานุศิษย์สวรรค์ แต่ก็ยังจับตัวเธอกลับมาทดสอบ ตั้งใจโยนเธอเข้าไปในป่าทมิฬ…
กู้ซีจิ่วนวดคลึงหว่างคิ้ว ทำไมเดี๋ยวนี้เธอนึกถึงแต่เรื่องแย่ๆ ของคนผู้นั้นกันนะ…
“เจ้าดูสิ เจ้าดีกับข้าเหลือเกิน แต่กลับเป็นเจ้าที่มีสัญญาหมั้นหมายกับเขา…” อวิ๋นชิงหลัวพูดต่อ
“สัญญาหมั้นหมายนั้นล้มเลิกไปแล้ว” กู้ซีจิ่วเตือนนาง
“แต่ว่า แต่ว่าเขาอาจจะรู้สึกผิดต่อเจ้า เลยปฏิบัติต่อเจ้าแตกต่างจากเด็กสาวคนอื่นๆ…”
กู้ซีจิ่วรู้สึกปวดหัวอยู่บ้าง หลังจากถอนหมั้นเธอก็ไม่เคยพบเจอเขาอีกเลยไม่ใช่หรือไง?
แตกต่างตรงไหนกัน?!
เธอมองอวิ๋นชิงหลัว รู้สึกว่านางมาหาผิดคนแล้ว “ข้ารู้สึกว่าถ้าหากเจ้าชอบเขาจริงๆ ก็ไม่ควรมาหาข้า แต่ควรไปหาวิธีพิชิตใจเขา เขาจะชอบหรือไม่เป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของข้า และมิใช่ว่าข้าหลีกทางแล้วเจ้าจะสมหวังได้ ต่อให้ข้าหลีกทางจริงเจ้าสามารถรับประกันได้หรือว่าเขาจะชอบเจ้า?”
“ขอเพียงเจ้าหลีกทางให้เขาจะต้องชอบข้าแน่นอน! เมื่อกี้ข้าก็พูดกับเจ้าไปแล้ว เขาดีกับข้ามาก…”
“บางทีเขาอาจจะดีเช่นนี้กับทุกคนที่จะกลายเป็นสานุศิษย์สวรรค์ก็ได้ เจ้าแน่ใจหรือว่าเขาชอบเจ้า?” กู้ซีจิ่วว่าไปตามการสันนิษฐานของตน “เจ้าดูสิเขาก็ปฏิบัติต่อฮวาอู๋เหยียนและเชียนเยวี่ยหรานไม่เลวเหมือนกัน…”
อวิ๋นชิงหลัวตะลึงงัน ดวงหน้าเฉิดฉันซีดขาว “ไม่ใช่! เขาดีต่อข้าแตกต่างกับที่ดีต่อพวกเขา!”
สตรีมากมายล้วนชมชอบคุณชายผู้ร่ำรวย และสตรีทุกคนก็คิดว่าในใจของคุณชายผู้ร่ำรวยตนแตกต่างจากผู้อื่น แต่ความจริงแล้วไม่มีอะไรต่างกันเลย
ดูเหมือนอวิ๋นชิงหลัวจะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน นางรู้สึกว่าตัวเองดีเป็นพิเศษ แถมังไม่รับฟังผู้อื่นด้วย
กู้ซีจิ่วไม่อยากทำตัวเป็นพี่สาวผู้เข้าอกเข้าใจ ดังนั้นจึงคร้านจะคุยกับนางต่อ “แล้วแต่เจ้าเถอะ ในเมื่อเจ้ารู้สึกว่าเขาชอบเจ้า เจ้าก็ไปสารภาพรักดูสิ ไม่แน่อาจจะสารภาพรักสำเร็จก็ได้นะ? เจ้ามาหาข้าก็ไม่มีประโยชน์หรอก”
พลางหันหลังให้คิดจะวิ่งต่อไป
อวิ๋นชิงหลัวกลับรั้งเธอไว้ “เจ้าจะไม่ยอมถอยให้ใช่ไหม?”
พูดไม่รู้เรื่องแล้ว!
กู้ซีจิ่วปวดหัวนัก “ข้าบอกแล้วไง ระหว่างเจ้ากับเขามิใช่เรื่องที่ต้องถอยให้หรือไม่ถอยให้…”
“กู้ซีจิ่ว เจ้าเห็นแก่ตัวเกินไปแล้ว! มีบุรุษชอบพอเจ้ามากมายแล้ว เพิ่มท่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเข้าไปก็ไม่มากขึ้น ลดเขาไปก็ไม่น้อยลง ทำไมเจ้าต้องรั้งเขาไว้อีก?” อวิ๋นชิงหลัวกำมือแน่น “หรือเจ้าต้องการให้บุรุษทั้งหมดในใต้หล้านี้ชมชอบเจ้าถึงจะพอใจ? จิตใจเจ้าทะเยอะทะยานเกินไปแล้ว!”
เวรเอ้ย กล่าวหากันชัดๆ!
กู้ซีจิ่วก็โมโหขึ้นมาแล้วเหมือนกัน “ใช่แล้ว ข้าต้องการให้บุรุษใต้หล้านี้ชมชอบข้าทั้งหมด โดยเฉพาะทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ข้าจะไม่ปล่อยไป! จะให้เขาสยบอยู่ใต้ชายกระโปรงข้าด้วย!”
ยายเฒ่าจะทำให้เจ้าโมโหตาย!
อวิ๋นชิงหลัวตะลึงพรึงเพริด “เจ้า! เจ้าไร้ยางอาย…”
กู้ซีจิ่วยิ้มมุมปากแวบหนึ่ง “ข้าก็ไร้ยางอายเช่นนี้แหละ เจ้าอย่าริมาหาเรื่องข้า!”
มือน้อยๆ ของอวิ๋นชิงหลัวกำแน่น ปลายนิ้วล้วนซีดขาว น้ำเสียงนางสั่นพร่า “กู้ซีจิ่ว ตอนนี้วรยุทธ์ของเจ้าสู้ข้าไม่ได้! เจ้าอย่าบังคับข้า!”
มารดามันเถอะ ใครบังคับใครกันแน่?
ตอนนี้กู้ซีจิ่วแค่อยากยั่วโมโหอีกฝ่าย เธอจึงยิ้มน่าชังกว่าเดิม “วรยุทธ์ของข้าในยามนี้สู้เจ้าไม่ได้จริงๆ แต่เจ้ากล้าลงมือกับข้าหรือ?”
อวิ๋นชิงหลัวโมโหนัก “เจ้า..เจ้าอาศัยว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์คุ้มกะลาหัวเจ้าอยู่!”
“อืม แล้วอย่างไรเล่า? เขาคุ้มกะหัวข้าไม่คุ้มกะลาหัวเจ้า เจ้าโมโหให้ตายก็ไม่มีประโยชน์”
อวิ๋นชิงหลัวนิ่งงัน นางถูกตอกกลับจนอึกอักอยู่ตรงนั้น โกรธจนตัวสั่น ทว่าพูดไม่ออกสักคำ
กู้ซีจิ่วเห็นว่านางไม่โวยวายต่อแล้ว ถึงได้พอใจหันหลังจะจาก ทว่าวินาทีที่หันหลังไปก็ต้องตัวแข็งทื่อ
625 ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายชอบใคร 2
ด้านหลังเธอไม่ไกลนัก มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนสง่าอยู่ ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย เรือนกายสูงชะลูด กลิ่นอายเย็นชา เป็นเยี่ยนเฉินผู้นั้น
ไม่รู้ว่าเขายืนอยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่แล้ว และไม่รู้ว่าได้ยินมากน้อยเพียงใด กู้ซีจิ่วสบตาเขาแวบหนึ่ง เขาขมวดคิ้วนิดๆ แววตาเย็นชา ถึงแม้เขาจะไม่พูดอะไร แต่สายตาที่มองเธอราวกับมองเศษสวะอยู่…
กู้ซีจิ่วแทบจะกุมขมับแล้ว สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเธอแค่อยากหาทางหนีเท่านั้น
เธอคร้านจะสนใจพวกเขาแล้ว จึงหันกายไปเตรียมวิ่งต่อ
ร่างเยี่ยนเฉินไหววูบ ขวางทางไปของเธอไว้ โชคดีที่กู้ซีจิ่วระวังตัวอยู่นานแล้ว จึงถอยหลังไปเล็กน้อย “เจ้าจะทำอะไร?”
ดวงตาคู่นั้นของเยี่ยนเฉินกวาดมองร่างเธอแวบหนึ่ง “กู้ซีจิ่ว ขอเตือนเจ้าสักประโยค ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มิใช่ว่าเฉลียวฉลาดมีความสามารถแล้วจะทำตามอำเภอใจได้ จิตใจยังต้องซื่อตรงด้วย!”
วาจานี้เป็นการกล่าวอย่างชัดเจนว่าเธอใจคด กู้ซีจิ่วยิ้มพลางตอบโต้ไป “ข้าก็ขอเตือนเจ้าสักประโยค จะเรื่องใดก็อย่ามองเพียงผิวเผิน มิเช่นนั้นเจ้าจะถูกคนหลอกได้ง่ายๆ กลายเป็นเครื่องมือของผู้อื่น ยังมีอีก ข้ารู้สึกว่าจิตใจข้าซื่อตรงยิ่ง ข้ามีมโนธรรมชัดเจน!” เดินอ้อมเขาแล้ววิ่งจากไป
…
ยามที่กู้ซีจิ่ววิ่งรอบสนามเสร็จแล้วกลับถึงเรือนก็บังเอิญพบทูตส่างซั่นเข้าพอดี เขามาเพื่อแจ้งข่าวดีแก่กู้ซีจิ่วโดยเฉพาะ พูดจาแบบเดียวกับอวิ๋นชิงหลัว บอกว่าเธอไม่ต้องเข้าร่วมบททดสอบเหล่านั้นแล้ว สามารถเข้าเรียนในชั้นเรียนเมฆาคล้อยได้เลย
เขาถึงขั้นนำเครื่องแบบและอุปกรณ์ใช้สอยของชั้นเรียนเมฆาคล้อยมาให้เธอด้วย
“แม่นางกู้ นับตั้งแต่วันนี้ไป ท่านก็คือศิษย์ในชั้นเรียนเมฆาคล้อย ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ให้ข้ากำชับท่านว่า ต้องตั้งใจเรียน อย่าให้เขาขายหน้าได้” ทูตส่างซั่นกำชับ
กู้ซีจิ่วเงียบงัน เหมือนเธอจะนึกอะไรได้จึงเอ่ยถาม “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เล่า?”
“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จากไปแล้ว เขากล่าวว่าต่อไปท่านต้องพึ่งตัวเอง ท่านไม่อาจพึ่งพาชื่อเสียงของเขาไปทั้งชีวิตได้”
หัวใจกู้ซีจิ่วพลันเต้นแรง ในที่สุดก็รู้ว่าบทสนทนาเหล่านั้นที่ตนพูดกับอวิ๋นชิงหลัว ผู้ที่ได้ยินมิใช่เยี่ยนเฉินคนเดียว ยังมีท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ด้วย…
เขาจะมองเธอยังไงกัน?
เขาจะมองออกหรือเปล่าว่าอันที่จริงเธอพูดเพื่อยั่วโมโหอวิ๋นชิงหลัว?
กู้ซีจิ่วแอบกำมือแน่น
เธอไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองเธอยังไง ไม่เกรงว่าคนเหล่านั้นจะเข้าใจเธอผิด แต่เธอกลับใส่ใจเขาอย่างน่าประหลาด…
บางทีเขาอาจเป็นคนเดียวในโลกใบนี้ที่ทำให้เธออยากจะพึ่งพา เป็นคนเดียวที่ทำให้เธอปลดความระแวดระวังทั้งหมดลง…
ต่อหน้าคนอื่นเธอแกร่งกล้าดั่งนักรบหญิงที่ไม่เคยปราชัย ยกเว้นยามอยู่ต่อหน้าเขาเธอกลับรู้สึกว่าตนเหมือนเด็กน้อยที่ได้รับความเอ็นดู ปลดความแข็งแกร่งระแวดระวังทั้งหมดลง ปลดปล่อยตัวตนได้อย่างอิสระเสรี…
“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยังพูดอะไรอีกไหม?” กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยังฝากถ้อยคำไว้ให้เธออีกแน่นอน
“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยังกล่าวอีกว่า นับแต่วันนี้ไป ท่านจะเสมอภาคกับศิษย์ในชั้นเรียนเมฆาคล้อย ไม่มีอภิสิทธิ์อีกต่อไป ศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาคล้อยล้วนพักอยู่ใน ‘สถานศึกษาพากเพียร’ ในหุบเขาจริยา แม่นางกู้สามารถย้ายไปพักร่วมกับพวกเขาได้ อาจารย์ใหญ่กู่ได้จัดแจงไว้ให้ท่านแล้ว ท่านแค่เก็บสัมภาระทางนี้ก็พอ” ทูตส่างซั่นถ่ายทอดต่อ
กู้ซีจิ่วไร้วาจา
เธอรู้ว่าเขาต้องจากไป ไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่ได้ตลอด เพียงแต่เธอนึกไม่ถึงว่าเขาจะจากไปเงียบๆ เมื่อคืนยังคุยกันอย่างออกรสอยู่เลย เขาถึงขั้นอนุญาตให้เธอไปจิบชากับเขาที่นั่นได้บ่อยๆ เธอแค่ออกมาวิ่งไม่กี่รอบ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด…
เป็นเพราะเขาได้ยินคำพูดพวกนั้นของเธอใช่ไหม?
เขาก็คิดว่าเธอใจคดใช่หรือไม่?
เป็นครั้งแรกที่หัวใจปั่นป่วนขึ้นมา แต่เธอยังคงตีหน้านิ่งอยู่ “เช่นนั้นที่นี่ล่ะ?”
“ที่นี่จะถูกทำลาย” ทูตส่างซั่นกล่าวสั้นๆ “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กล่าวว่าไม่จำเป็นต้องเก็บที่นี่ไว้”
626 นางไม่แม้แต่จะซักถามว่าเพราะเหตุใด…
“…ได้ แล้วแต่พวกเจ้าเถอะ! ข้าจะไปเก็บของ” กู้ซีจิ่วหมุนกายเดินไปทางเรือนหลังของตน
ที่นี่แสมือนภาพลวงตาอยู่แล้ว เป็นเขาให้คนสร้างขึ้นมาตามใจ ย่อมมีเหตุผลที่จะทำลายทิ้งได้ตามใจ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเทพ จะปลูกหรือจะสร้างก็แค่อึดใจเดียวเท่านั้น
ของบางอย่างถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว และถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน เธอเคยคิดว่าที่นี่คือแหล่งพักพิงของเธอ ที่แท้กลับเป็นเพียงชั่วคราว…
“ต้องการให้ข้าช่วยท่านหรือไม่?” ทูตส่างซั่นที่อยู่ด้านหลังถามเสียงแห้ง
“ไม่จำเป็น ไม่มีข้าวของสักเท่าไหร่” กู้ซีจิ่วหันหลังจากไป
ทูตส่างซั่นมองดูเงาหลังนาง แววตาซับซ้อนอยู่บ้าง เขานึกว่าหลังจากตนถ่ายทอดถ้อยคำเหล่านี้จบ แม่นางน้อยผู้นี้จะหดหู่อย่างยิ่ง นึกไม่ถึงว่า…นางจะสงบนิ่งอยู่ตลอด
จากข้นแค้นสู่รุ่งเรือง จากรุ่งเรืองสู่ยากไร้ เมื่อคนผู้หนึ่งเคยชินกับการถูกดูแลเป็นพิเศษแล้ว ย่อมกลายเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง
เมื่อการดูแลเป็นพิเศษถูกพรากไปจนสิ้นกะทันหัน ความรู้สึกนั้นจะเหมือนหล่นจากฟ้าตกสู่พื้นดิน น่าจะหดหู่ยิ่งนักถึงจะถูก แต่แม่นางน้อยผู้นี้ไม่มีเลย นางไม่แม้แต่จะซักถามว่าเพราะเหตุใด…
….
ลมตะวันตกพัดพาพรรณไม้เขียวขจีเหี่ยวแห้ง ทาบทากิ่งไผ่เขียวดังภาพวาด
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่กลางป่าไผ่ ในมือซ้ายคือลำไผ่เขียวชอุ่มท่อนหนึ่ง มือซ้ายถือมีดเล่มหนึ่งแกะสลักลำไผ่ เขากำลังสร้างขลุ่ยไม้ไผ่ ใกล้จะเป็นรูปเป็นร่างแล้ว
ในที่สุดทูตส่างซั่นก็กลับมา ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วรายงาน “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขอรับ ข้าน้อยรับบัญชาท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ แจ้งให้แม่นางกู้ย้ายเข้าสู่เรือนจริยาแล้ว คฤหาสน์หลังนั้นก็ทำลายทิ้งแล้วขอรับ”
“นางว่าอย่างไรบ้าง?” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เอ่ยถาม
ทูตส่างซั่นยื่นยันต์ถ่ายทอดเสียงแผ่นหนึ่งให้ “พักนี้สมองข้าน้อยมิสู้ดีนัก เกรงว่าจะตกหล่น จึงบันทึกทุกอย่างไว้ในยันต์แผ่นนี้ขอรับ ขอเชิญท่านเทพศักดิ์สิทธิ์รับฟัง”
เมื่อเปิดยันต์ถ่ายทอดเสียงแผ่นนั้น บทสนทนาของกู้ซีจิ่วกับทูตส่างซั่นก็แว่วออกมา…
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยังคงเหลาไผ่อยู่เช่นเดิม ไม่ทราบว่าได้ยินหรือไม่
ผ่านไปครู่หนึ่ง ยันต์ถ่ายทอดเสียงก็หยุดลง ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เงยหน้าขึ้น เหลือบมองยันต์ในมือทูตส่างซั่นแวบหนึ่ง “นางพูดเท่านี้หรือ?”
“ขอรับ เพียงเท่านี้”
“เช่นนั้นนางนำสิ่งใดไปบ้าง?”
“ล้วนเป็นข้าวของนางเองขอนับ ไม่เคลื่อนย้ายสิ่งอื่นเลย”
“แล้วชาที่เปิ่นจุนให้เจ้าส่งมอบแก่นางเล่า?”
“มอบให้แล้วขอรับ นางกล่าวขอบคุณ เพียงแต่นางบอกว่าชานี้ล้ำค่า เป็นของรักของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ไม่ขอรับไว้ เอ่อ ใช่แล้ว นางยังทำการซ่อมแซ่มม่านเตียงของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เดี๋ยวนั้น ฝากข้าน้อยนำมาคืนท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขอรับ”
ทูตส่างซั่นหยิบม่านเตียงที่พับซ้อนอย่างเป็นระเบียบออกมาจากถุงเก็บของ ประคองส่งให้
ม่านเตียงคลี่ออก เผยให้เห็นจุดที่เคยถูกเกี่ยวขาด
ต้องกล่าวเลยว่า กู้ซีจิ่วมีฝีมือล้ำเลิศ รูที่แต่เดิมขาดกว้างถูกเย็บจนแนบเนียน แถมยังใช้วิธีเย็บแบบพิเศษอย่างหนึ่ง นางคงรู้สึกว่าเย็บแบบธรรมดาดูไม่น่ามอง จึงถือโอกาสบรรจงปักลายกระเรียนสยายปีกไว้ตรงนี้ตัวหนึ่ง คอดำปีกขาว ปีกทั้งคู่แผ่สยาย กำลังกางปีกโผบิน
ม่านเตียงของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เดิมมีภาพขุนเขาธารใสวาดไว้อยู่แล้ว กระเรียนโผบินเข้าคู่กับภาพนี้ยิ่งนัก เนื่องจากรอยขาดนั้นอยู่ตรงคอกระเรียน คอกระเรียนเป็นสีดำเหลือบเทา อำพรางรอยขาดไว้พอดี ทำให้คนไม่มีทางมองรอยเย็บออก เห็นเพียงความเป็นธรรมชาติเท่านั้น
“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขอรับ แม่นางกู้ผู้นี้ช่างเพียบพร้อมยิ่งนักโดยแท้ ดูงานปักนี้สิขอรับ…แค่กๆ ถึงแม้งานปักจะไม่โดดเด่นนัก แต่ไหวพริบของนางก็พบเห็นได้ยากยิ่ง…”
“นางปักลายนี้นานเท่าใด?” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ถามขึ้น
“ประมาณหนึ่งชั่วยามขอรับ…”
“เจ้าทำลายเรือนทิ้งนานเท่าใด?” เขาถามต่อ
“ประมาณหนึ่งชั่วยามขอรับ…”
“เจ้ารออยู่ที่นั่นกว่าหนึ่งยามแล้ว กล่าวเช่นนี้คือเจ้าทำลายเรือนทิ้งยามที่นางปักสิ่งนี้อยู่งั้นหรือ?”
627 ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เฉยเมยยิ่งนักอยู่เสมอ
ทูตส่างซั่นเหงื่อตก “ยามที่ข้าน้อยทำลายเรือนแม่นางกู้มิได้อยู่ข้างในแล้วขอรับ ข้าน้อยรอให้นางจากไปก่อนถึงเริ่มทำลาย หลังจากทำลายเสร็จก็พบนางนั่งเย็บม่านผืนนี้อยู่ริมลำธาร ตอนที่ข้าน้อยเห็นนาง นางเพิ่งเย็บเสร็จพอดี…เลยฝากข้าน้อยนำมาคืนให้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขอรับ…”
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่พูดอะไรอีก เก็บม่านเตียงผืนนั้นไป ใส่เข้าไปในถุงเก็บของ
ทูตส่างซั่นลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ที่รักความสมบูรณ์แบบเขาไม่ต้องการสิ่งใดที่ไม่สมบูรณ์
ถึงแม้สิ่งที่ไม่สมบูรณ์นั้นจะล้ำค่าปานใด ซ่อมแซมจนสมบูรณ์เพียงไหน เขาก็จะโยนทิ้งอย่างไม่ไยดี ไม่มองอีกเลย คาดไม่ถึงว่าเขาจะเก็บผ้าม่านที่เห็นชัดว่ามีตำหนิผืนนี้ไว้
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เฉยเมยอย่างยิ่งอยู่เสมอ ทูตส่างซั่นเองก็ไม่ทราบว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าใส่ใจมากมิใช่หรือ? และเห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าปฏิบัติด้วยอย่างสนิทสนมกลมเกลียวยิ่ง แล้วทำไมจู่ๆ ก็…
คล้ายว่าทูตส่างซั่นจะนึกอะไรขึ้นมาได้อีก “อ่า ใช่แล้ว ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขอรับ ยามที่แม่นางกู้มอบผ้าม่านผืนนี้ให้ยังฝากถ้อยคำให้ข้าน้อยมาแจ้งแก่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ด้วยขอรับ”
ในที่สุดท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เหลือบมองเขาอีกแวบหนึ่ง “ถ้อยคำใด?”
“แม่นางกู้กล่าวว่า นางเคยอาศัยชื่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไปก่อเรื่องจริงๆ สร้างความยุ่งยากให้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ นางรู้สึกขออภัยยิ่ง ภายหน้าจะไม่ทำอีกเด็ดขาด ขอท่านเทพศักดิ์สิทธิ์โปรดวางใจ”
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เงียบงัน
เขาไม่พูดอะไร เหลาขลุ่ยไผ่ต่อไป
ต่อมาทูตส่างซั่นตาแหลมสังเกตเห็นว่า ขลุ่ยที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เหลาขึ้นมาใหม่มีรูเกินมาหนึ่งรู…
“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขอรับ ข้าน้อยไม่เข้าใจเลย อันที่จริงแม่นางกู้ก็มิได้อาศัยชื่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไปก่อเรื่องอันใด เพียงแต่จงใจยั่วโม่โหผู้อื่นเท่านั้น ความจริงแล้วนางพึ่งพาตัวเองทุกอย่าง นางพลิกสถานการณ์ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์จนงดงามเช่นนี้ได้ก็อาศัยความสามารถของตนเองทั้งสิ้น การที่เข้าชั้นเรียนเมฆาคล้อยได้โดยงดเว้นการทดสอบก็เป็นนางอาศัยความพากเพียรของตน ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ตำหนินางละทิ้งนางด้วยเหตุนี้ ข้าน้อยรู้สึกว่าค่อนข้าง…” ทูตส่างซั่นเริ่มทำใจกล้ากล่าวความเห็นตนออกมา
เห็นได้ชัดเจนยิ่งนัก ว่าเขาก็ได้ยินบทสนทนาเหล่านั้นของกู้ซีจิ่วกับอวิ๋นชิงหลัว…
เท่าที่เขาเห็นนั่นไม่มีอะไรเลย เป็แค่เด็กน้อยทะเลาะกันเท่านั้น อย่างมากกู้ซีจิ่วก็เป็นเพียงเด็กแสบที่ค่อนข้างกวนโมโหผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นยิ้มก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก
“เหตุใดจึงบอกว่าเปิ่นจุนละทิ้งนาง?” ในที่สุดท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เปิดปากเอ่ย น้ำเสียงเรียบเฉย “อันที่จริงเปิ่นจุนแค่อยากให้นางเข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์อย่างราบรื่นเท่านั้น ตอนนี้บรรลุจุดประสงค์แล้ว ย่อมสมควรถอนตัวมา ไม่เกี่ยวกับทิ้งหรือไม่ทิ้ง”
“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ภารกิจรัดตัว จากมาเป็นเรื่องปกติ แต่ข้าน้อยเห็นว่าแม่นางกู้ชอบคฤหาสน์หลังนั้นมาก นางยังปลูกดอกไม้ไว้ในเรือนอีกด้วย ใช่แล้ว ยามที่ข้าน้อยทำลายเรือนทิ้ง พบแบบแปลนที่นางวาดแผ่นหนึ่งในเรือนของนางด้วยขอรับ ดูเหมือนจะเป็นสวนหย่อมเล็กๆ ที่นางออกแบบเอง ดูน่าสนใจยิ่ง ตอนนี้กลับพังพินาศไปเช่นนี้แล้ว…อันที่จริงให้นางอาศัยอยู่ในเรือนนั้นตลอดไปก็ไม่เป็นไรเลยนี่ขอรับ อย่างไรเสียทุกคนก็ล้วนยอมรับความจริงที่นางอาศัยอยู่ที่นั่นได้แล้ว น่าจะไม่มีผู้ใดนินทาหรอกขอรับ” ทูตส่างซั่นกล่าวต่อ
“มู่เฟิง วันนี้เจ้าชักจะพูดมากไปแล้ว!” ท่านเทพศักดิสิทธิ์ดีดนิ้วเปาะ มีดในมือพุ่งเข้าใส่ไผ่เขียวต้นหนึ่ง เสียบเข้าไปมิดด้ามเสียงดังปึก
มู่เฟิงไม่กล้าพูดจาวุ่นวายต่อแล้ว
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์หมุนขลุ่ยไผ่ในมือ “ด้านหลงซือเย่เป็นอย่างไรบ้าง?”
มู่เฟิงจึงรายงาน “เขายังติดตามอยู่ข้างกายองค์ชายหรงเช่อขอรับ ”ตอนนี้ยังไม่พบอะไร อาการบาดเบ็ดขององค์ชายหรงเช่อสาหัสยิ่ง ระหว่างทางยังสลบไปหนหนึ่งด้วย หลงซือเย่ดูแลอยู่ตลอด เพิ่งกลับถึงอาณาจักรเฟยซิงเมื่อหลายวันก่อน หลายวันมานี้เก็บตัวอยู่ตลอด ได้ยินว่าเขาเพิ่งลุกจากเตียงได้เมื่อวานซืน อาการแย่กว่าอวิ๋นชิงหลัว รากฐานของอวิ๋นชิงหลัวดีกว่าเขา หลายวันก่อนสามารถออกมาวิ่งได้แล้ว ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขอรับ โทษของนางยังต้องดำเนินการอยู่หรือไม่?”
628 เปิ่นจุนดีใจแล้ว เจ้าไสหัวไปได้แล้ว!
“ให้นางฟื้นฟูอีกสักระยะแล้วกัน” น้ำเสียงท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่แยแสนัก
“ขอรับ!” มู่เฟิงรับตอบรับ
“ที่อื่นมีความเคลื่อนไหวอะไรหือไม่?”
“ไม่มีขอรับ”
“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ คนชุดเขียวที่ระเบิดตัวเองผู้นั้นใช่ผู้บงการเบื้องหลังหรือไม่ขอรับ? ฟังจากคำสารภาพของ๋เชียนหลิงเทียน เมื่อก่อนยาของเขาก็เป็นคนลึกลับจัดหามาให้เขา แต่หลังจากคนชุดเขียวผู้นั้นตาย ยาของเขาก็ขาดช่วงไป ด้วยเหตุนี้เขาถึงมาหาซื้อยาที่ตลาดผีอย่างร้อนรนถึงเพียงนี้…”
“มิได้ง่ายดายปานนั้น” นัยน์ตาท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ทอแสงแวบหนึ่ง “พวกเขาน่าจะเป็นเพียงตัวหมากที่ถูกเผยออกมาเท่านั้น เกมนี้เพิ่งจะเริ่มขึ้นต่างหาก”
มู่เฟิงขมวดคิ้ว “เช่นนั้นเขามีจุดประสงค์ใดกันขอรับ?”
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามเขาอย่างจริงจัง “เปิ่นจุนโดดเด่นหรือไม่?”
มู่เฟิงพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “โดดเด่นขอรับ!”
“ราชบัลลังก์สามารถทำให้พี่น้องแตกคอ พอลูกแตกหัก สายเลือดและความสัมพันธ์ถูกโยนไปไกลสุดขอบนับประสาอะไรตำแหน่งนี้ของเปิ่นจุนเล่า? ไม่รู้ว่ามีคนมากน้อยเพียงใดจ้องจะเตะเปิ่นจุนลงไป แล้วขึ้นมานั่งแทนที่”
มู่เฟิงขมวดคิ้วอีกครา “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นเทพ ตำแหน่งเทพจะอาศัยการช่วงชิงเข้าแทนที่ได้อย่างไรกัน? สมองของคนผู้นี้ถูกลาเตะเข้าหรือไง!”
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ทอดถอนใจ “ต่อให้เป็นเทพก็มีช่วงเวลาที่ต้องดับสูญ ยังเร็วไปที่เจ้าจะกล่าวเช่นนี้”
มู่เฟิงตกตะลึง สีหน้าซีดเซียวลง “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านกล่าวเช่นนี้…หมายความว่าอย่างไรขอรับ?” น้ำเสียงสั่นพร่า
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เคาะขลุ่ยหยกลงบนลำไผ่ทีหนึ่ง “เปิ่นจุนยังมิถึงคราวดับสูญหรอก! เจ้าทำท่าทางดั่งญาติล่วงลับเช่นนี้ไม่ดีกระมัง? จงใจทำให้เปิ่นจุนสะอืดสะเอียนหรือ?”
มู่เฟิงพูดไม่ออก
“เอาล่ะ ไสหัวไปได้แล้ว!” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์โบกมือ
มู่เฟิงโค้งกายอำลา ทว่าเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้อีก จึงกล่าวรายงาน “ใช่แล้ว ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขอรับ พลังยุทธ์ของเชียนหลิงอวี่ผู้นั้นฟื้นฟูแล้ว ตอนนี้ใกล้ถึงขั้นแปดแล้ว ตาเฒ่ากู่ฉานโม่ปรีดานัก ตั้งใจจะจัดงานเลี้ยงฉลองให้เขาเป็นพิเศษ”
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มองดูเขา “เรื่องกระจอกงอกง่อยเช่นนี้เจ้ายังตั้งใจนำมารายงานแก่เปิ่นโดยเฉพาะอีกหรือ?”
“เอ่อ ข้าน้อยแค่อยากทำให้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ดีใจสักนิด ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ภายภาคหน้าจะเป็นแขนขาให้พวกเราได้นะขอรับ”
“โอ้ เปิ่นจุนดีใจแล้ว เจ้าไสหัวไปได้แล้ว!”
“เพียงแต่ ถึงพลังยุทธ์ของเด็กคนนี้จะฟื้นฟูแล้ว แต่ก็ยังมีจุดหนึ่งที่ทำให้คนรู้สึกปวดหัวยิ่งอยู่” มู่เฟิงรายงานต่อ เห็นว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อารมณ์ไม่ดี คล้ายว่าถูกเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สลักสำคัญนี้ทำให้รำคาญ เขาก็ยังทำใจกล้าพูดต่อไป “เด็กคนนี้สามารถเข้าชั้นเรียนเมฆาคล้อยได้แล้วชัดๆ ก็ยังยืนกรานจะรั้งอยู่ในชั้นเรียนเมฆาคล้อย กล่าวทำนองว่าจะร่วมหัวจ่มท้ายกับแม่นางกู้ แม่นางกู้อยู่ที่ไหนเขาก็จะอยู่ที่นั่น! ทำให้อาจารย์ใหญ่กู่โมโหไม่เบา”
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่พูดไม่จา
“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขอรับ อายุเช่นเชียนหลิงอวี่นับเป็นช่วงวัยแรกรุ่นหนุ่มสาว แม่นางกู้กับเขาห่างกันไม่มาก ข้าน้อยว่าเชียนหลิงอวี่คงตกหลุมรักแม่นางกู้เข้าแล้ว ต่อไปพวกเขาจะอยู่ชั้นเดียวกัน อยู่ร่วมกันทุกเมื่อเชื่อวัน บางที…อาจจะ…”
“อาจจะอะไร?”
“บางทีภายหน้าพวกเขาอาจจะถูกตาต้องใจกัน เกิดเป็นเรื่องมงคล” มู่เฟิงทำใจกล้ากล่าวออกมาตามที่คาดเดา
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มองเขาอยู่ครู่หนึ่ง “มู่เฟิง วันนี้เจ้าช่างซุบซิบเหลือเกินนะ เจาคิดจะตักเตือนเปิ่นจุนใช่หรือไม่?” น้ำเสียงเขาเยียบเล็กเล็กน้อย
มู่เฟิงก้มหน้าลง “ข้าน้อยมิกล้า”
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กล่าวอย่างเฉยชา “เปิ่นกับกู้ซีจิ่วอย่างมากก็มีเพียงไมตรีระหว่างศิษย์อาจารย์เท่านั้น ไม่มีวาสนาอื่น เปิ่นจุนเพียงเห็นนางชนรุ่นหลังเท่านั้น เข้าใจหรือไม่?”
“เข้าใจแล้วขอรับ!” มู่เฟิงไม่กล้าคิดเหลวไหลอีก
ต่อไปเรื่องที่เกี่ยวกับนางไม่ต้องมารายงานเปิ่นจุนเป็นพิเศษ เปิ่นไม่มีเวลาใส่ใจเรื่องนี้!
“ขอรับ!” มู่เฟิงรับคำ
“ไปซะ”
629 เจ้าจะชดใช้อย่างไร? ชดใช้ด้วยร่างกายดีหรือไม่?
มู่เฟิงส่งเสียงตอบรับ ในที่สุดก็จากไปแล้ว
สายลดพัดผ่านป่าไผ่เกิดเสียงดังซ่าๆ พัดพาความคิดของผู้ใดให้สับสน รบกวนจิตใจของผู้ใดเล่า?
ทุกอย่างยังไม่เริ่ม เขาแยกตัวมาตอนนี้น่าจะยังทัน
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่ตรงนั้น เขาคิดจะหุ้มรูขลุ่ย[1] ถึงได้พบว่าบนขลุ่ยมีรูเกินมาหนึ่งรู…
….
ยามราตรีแสงดาวพราวเต็มฟ้า เนินสนโบกพลิ้ว
ในป่าสนแห่งหนึ่ง
คนชุเขาวผู้หนึ่งยืนสง่าอยู่ตรงนั้น เบื้องหน้ามีชายชุดเขียวคนหนึ่งกำลังค้อมกายรายงานเขาอยู่
“นายท่าน สายลับในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ถูกกำจัดหมดแล้ว พวกเราต้องจัดหาเพิ่มหรือไม่ขอรับ?”
เสียงของคนชุดขาวผู้นั้นเยือกเย็นปานธารน้ำแข็ง “ไม่ต้อง เขาสงสัยแล้ว สั่งการทุกหน่วย ให้รอดูจังหวะก่อนชั่วคราว”
“ขอรับ!” ชายชุดเขียวคนนั้นตอบรับ นิ่งไปครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะทักท้วง “นายท่านขอรับ ที่เชียนหลิงเทียนถูกเปิดโปงคราวนี้เป็นแผนการของกู้ซีจิ่วผู้นั้น เด็กสาวคนนี้ไม่ธรรมดา ทำลายแผนการของพวกเราติดๆ กันหลายครั้ง ต้องการให้ข้าน้อยส่งคนไปกำนางหรือไม่ขอรับ?”
คนชุดขาวเงียบไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงเฉยเมยดังเดิม “เป็นพวกเจ้าโง่เกินไป ถึงทำให้นางบรรลุผล ไม่ต้องยุ่งกับนาง นางไม่น่ากังวล”
“ข้าน้อยรู้สึกว่าต่อไปนางจะกลายเป็นเสี้ยนหนามของพวกเรามิสู้ฉายโอกาสที่นางไม่ปีกกล้าขาแข็ง…”
“เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ? อย่ายุ่งกับนาง! ถ้าหุนหันทำอะไรไปแม้แต่ก้าวเดียว ข้าจะถลกหนังเจ้า!” น้ำเสียงคนชุดขาวผู้นั้นอำมหิตขึ้นมา
“…ขอรับ” ชายชุดเขียวคนนั้นไม่กล้าพูดต่อแล้ว โค้งคำนับแล้วล่าถอยไป
คนชุดขาวผู้นั้นเงยหน้ามองฟ้า ดวงดาวส่องสกาวเต็มฟากฟ้า ดั่งนัยน์ตาแวววาวของสาวน้อย
“กู้ซีจิ่ว…” คนชุดขาวผู้นั้นกระซิบ หัวเราะเบาๆ พลางกัดฟัน “เจ้าทำลายงานใหญ่ของข้าหลายครั้งหลายครา เจ้าจะชดใช้อย่างไร? ชดใช้ด้วยร่างกายดีหรือไม่?”
ไม่มีผู้ใดเอ่ยตอบเขา มีเพียงเสียงลมพัดผ่านป่าสนเบาๆ
เขาพลันหมุนกาย หายลับไปจากจุดเดิม
….
หุบเขาจริยาเป็นหุบเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีเรือนอิฐเขียวหลักเล็กๆ ยี่สิบกว่าหลังกระจายกันอยู่ เรียงรายอย่างเป็นระเบียบ เสมือนหอพักพนักงาน
ที่นี่คือที่พักของศิษย์ในชั้นเรียนเมฆาคล้อย
ชั้นเรียนเมฆาคล้อยกับชั้นเรียนเมฆาม่วงแตกต่างกัน ที่พักของศิษย์ในชั้นเรียนเมฆาม่วงล้วนเป็นอาคารสองชั้นหลังเล็กๆ ด้านในมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีทุกอย่างที่ควรมี ดังคฤหาสน์หลังน้อยก็มิปาน
แต่ของชั้นเรียนเมฆาคล้อยเป็นเรือนอิฐเขียวมุงกระเบื้อง ธรรมดาสามัญ หนึ่งหลังพักรวมกันสองคน
กู้ซีจิ่วย้ายมาอยู่ที่นี่ได้หนึ่งเดือนแล้ว เพื่อนร่วมเรือนของเธอเป็นแม่นางน้อยอายุสิบห้าปีนางหนึ่ง มีนามที่แสนจะไพเราะคล่องปากว่า…หลานไว่หู
ยามที่กู้ซีจิ่วได้ยินกู่ฉานโม่ประกาศว่าเพื่อนร่วมเรือนของเธอคือใคร ความรู้สึกแรกก็คือแม่นางน้อยที่มีนามเช่นนี้คงเฉลียวฉลาดมากแน่นอน เจ้าเล่ห์ดั่งจิ้งจอก
แต่พอพบหน้านางจริงๆ ถึงได้รู้ว่า นามช่างไม่ตรงกับบุคลิกคนโดยแท้
หลานไว่หูเป็นแม่นางน้อยอายุสิบห้าปี โตกว่ากู้ซีจิ่วแค่ไม่กี่ปี แต่ตัวเล็กยิ่งนัก รูปร่างไม่สูง ใบหน้าอ่อนเยาว์ ดวงตากลมโต น่ารักเหมือนตุ๊กตา
อารมณ์ของแม่นางน้อยผู้นี้คาดเดาได้ง่ายนัก ล้วนเขียนอยู่บนหน้าทั้งสิ้น!
นางแบ่งแยกบุญคุณความแค้นชัดเจนนัก ตอนที่กู้ซีจิ่วจะมาอยู่ร่วมเรือนกับนาง นางคงจะเคยได้ยินข่าวลืออะไรมา สีหน้าที่มีต่อกู้ซีจิ่วจึงระแวดระวังเจือด้วยสนใจใคร่รู้ และไม่ค่อยชอบคุยกับเธอนัก
นางและกู้ซีจิ่วคนหนึ่งพักอยู่ห้องทางตะวันออกอีกคนพักอยู่ห้องทางตะวันตก ทุกวันหลังจากแม่นางน้อยเข้าห้องแล้วก็จะลงกลอนประตูขังตนอยู่ในห้อง ราวกับหวั่นเกรงว่ากู้ซีจิ่วที่หน้าซื่อใจคดผู้นี้จะไปวางยาพิษนาง…
กู้ซีจิ่วทราบว่าทำไมนางถึงระแวงตน เป็นเพราะแม่นางน้อยผู้นี้เป็นคนบ้านเดียวกันกับเยี่ยนเฉิน…
วันแรกที่กู้ซีจิ่วย้ายมา พอออกประตูมาก็พบเยี่ยนเฉินเข้าพอดี ใบหน้าหล่อเหลาของเยี่ยนเฉินเคร่งตึงกล่าวเตือนเธอ ให้เธออยู่ห่างจากหลานไว่หูตัวน้อย
630 เธอยุ่งมาก ยุ่งอย่างยิ่ง
ใบหน้าหล่อเหลาของเยี่ยนเฉินเคร่งตึงกล่าวเตือนเธอ ให้เธออยู่ห่างจากหลานไว่หูตัวน้อย อย่าเล่นเล่ห์กับเด็กน้อยไร้เดียงสาคนนี้ หากเธอเล่นเล่ห์อะไร เขาเยี่ยนเฉินที่เป็นอันดับหนึ่งคนนี้จะไม่ยกโทษให้เธอ…พล่ามอะไรทำนองนี้
กู้ซีจิ่วฟังเขาพล่ามจนจบ ก็ยิ้มหวานตอบไปประโยคเดียวว่า “เดิมทีข้าก็ไม่มีความคิดที่จะเล่นเล่ห์กับนางหรอก แต่พอได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็รู้สึกว่าถ้าไม่เล่นเล่ห์กับนางสักครั้งคงจะผิดต่อตนเอง”
เยี่ยนเฉินโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
กู้ซีจิ่วชมสีหน้าเขียวคล้ำของเขาอย่างเพลิดเพลิน จากนั้นก็เตือนเขาอย่างมีเมตตา “เจ้าสามารถทำให้จิ้งจอกน้อยของเจ้าระวังข้า อยู่ห่างจากข้าได้นะ”
ด้วยเหตุนี้เยี่ยนเฉินจึงถลึงตามองเธอแวบหนึ่ง แล้วหันมาเรียกหลานไว่หูออกไป…
หลักจากนั้น พอแม่นางน้อยกลับมาอีกครั้ง ก็มองเธอด้วยสีหน้าตื่นตัว ระวังเธอปานระวังโจร
กู้ซีจิ่วก็คร้านจะสนใจนางเช่นกัน หลังจาเข้าชั้นเรียนเมฆาคล้อยเธอก็ยุ่งวุ่นวายสารพัด
ถึงแม้ชั้นเรียนเมฆาคล้อยจะเป็นชั้นเรียนบ๊วย แต่อาจารย์ก็ยังคงสอนอย่างเข้มงวดยิ่ง บทเรียนที่ถ่ายทอดก็ละเอียดมากเช่นกัน
นับแต่กู้ซีจิ่วทะลุมิติมา ถึงแม้จะเรียนรู้หลายอย่างคละเคล้ากันมาบ้าง แต่ล้วนเป็นการเรียนแบบนู้นนิดนี่หน่อย ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แถมยังขาดโลกทัศน์อีกด้วย เรียนอย่างสับสนอลหม่าน
อาจารย์ของที่นี่ถึงแม้วิชายาวิชาพิษจะสู้กู้ซีจิ่วไม่ได้ แต่ความสำเร็จในด้านอื่นๆ ก็ยังคงเยี่ยมยอดมาก อย่างเช่นวิชาผสมผสานหรือคลี่คลายวิชายุทธ์ต่างๆ ของแต่ละสำนักเอย วิชากระบี่เอย เคล็ดวิธีฝึกฝนรากฐานวิญญาณธาตุต่างๆ เอย…
ถึงแม้ในตำราที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มอบให้เธอก็มีบรรยายไว้เช่นกัน แต่สุดท้ายแล้วก็สู้หลักสูตรเฉพาะทางที่อาจารย์ของที่นี่บรรยายไม่ได้
หลังจากได้ฟังบทเรียนต่อเนื่องกันหลายบทกู้ซีจิ่วก็รู้สึกเหมือนพบทางสว่าง
เนื่องจากเธอมาช้าเกินไป จึงมีความรู้มากมายที่เธอต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง ผนวกกับยังต้องไปให้อาหารเจ้าสามตัวนั้นด้วย และไปหลอมยาหาเงินบ้างเป็นครั้งคราว แล้วยังถูกเชียนหลิงอวี่ลากไปทำภารกิจพิสดารอีก…
ดังนั้นหลายวันที่ผ่านมานี้ เธอยุ่งมาก ยุ่งอย่างยิ่ง
ยุ่งจนไม่มีเวลามาสนใจเพื่อนร่วมเรือนที่ระแวดระวังเธอคนนั้น…
จวบจนอาศัยอยู่ร่วมกันมาสามวันแล้ว มีอยู่วันหนึ่งกู้ซีจิ่วกำลังฝึกยุทธ์อยู่ในห้อง ก็ได้ยินเสียงครวญคราง เริ่กแรกเธอไม่ได้สนใจอะไร แต่เสียงครวญครางนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ ปนด้วยเสียงร้องไห้สะอึกอื้น
กู้ซีจิ่วหนวกหูจนฝึกยุทธ์ต่อไม่ได้ ทำได้เพียงไปดู
แต่จิ้งจอกน้อยผู้นั้นเหมือนจะลงกลอนประตูเฉกเช่นที่ผ่านมา กู้ซีจิ่วจึงไปเคาะหน้าต่างนาง ให้นางเบาเสียงร้องไห้ลงหน่อย อย่ารบกวนเพื่อนบ้าน
ผลคือหลานไว่หูร้องไห้ดังกว่าเดิม ร้องไห้พลางบอกว่านางจะตายแล้ว ปวดท้องเหลือเกิน…
นางร้องไห้ดั่งสายพิรุณต้องดอกหลี่ (ดอกแพร์) แถมยังไม่ยอมเปิดประตูให้กู้ซีจิ่ว
กู้ซีจิ่วยอมแพ้ เคลื่อนย้ายไปถีบประตูเรือนของเยี่ยนเฉินที่อยู่ห่างออกไปสองลี้ เตะเขาขึ้นมา บอกเขาว่าสหายร่วมบ้านเกิดตัวน้อยของเขาปวดท้อง ให้เขารีบไปเชิญหมอมา
เยี่ยนเฉินมีสีหน้าระแวง ปฏิกิริยาแรกคือเอ่ยถามประโยคหนึ่งว่า “เจ้าทำอะไรนาง?”
กู้ซีจิ่วโมโหแล้ว ตอบโต้เขาทันที “เจ้าจะทำหน้าเหมือนถูกสวมเขาเช่นนี้ไปทำไม เจ้าคงไม่ถึงขั้นคิดว่าข้าจะทำอะไรนางอยู่ตลอดเวลากระมัง?!”
เยี่ยนเฉินถูกประโยคเดียวตอกกลับจนใบหน้าหล่อเหลาเขียวคล้ำ สายตาที่มองกู้ซีจิ่วคล้ายมองสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง
กู้ซีจิ่วคร้านจะสนใจเขาแล้ว พอพูดจบก็ใช้วิชาเคลื่อนย้ายกลับมาทันที
เธอล้างหน้าบ้วนปากเล็กน้อยเลิกผ้าห่มออกเตรียมจะนอนหลับ ผลคือได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นแว่วมาจากห้องนอนของแม่นางน้อย “ข้าจะตายแล้ว ฮือๆ ทำยังไงดี? ปวดท้องเหลือเกิน เลือดไหลเต็มไปหมด…”
กู้ซีจิ่วที่เลิกผ้าห่มอยู่ชะงักไปครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะกุมขมับ พลันถีบประตูห้องแม่นางน้อยให้เปิดออก แล้วเดินเข้าไป
ที่แท้แม่นางน้อยก็มีประจำเดือน แถมยังเป็นประจำเดือนครั้งแรกเสียด้วย…
พลังวิญญาณของแม่นางน้อยไม่ต่ำเลย แต่เห็นได้ชัดว่าไม่เคยเรียนสุขศึกษา ทั้งยังไม่มีใครสอนนางด้วย นางจึงไม่ทราบ
631 เจ้ามีอคติต่อนาง อคติล้ำลึกยิ่ง!
ชาติก่อนเธอก็เคยป่วยเพราะมีประจำเดือน หลังจากเรียนวิชาแพทย์งานวิจัยชิ้นแรกของเธอก็คือการเอาชนะประจำเดือน ดังนั้นจึงรักษาอาการป่วยนี้ได้ง่ายดายนัก
เมื่อเยี่ยนเฉินพาหมอตามมาถึง หลานไว่หูก็ไม่ปวดแล้ว อีกทั้งด้วยการชี้แนะของกู้ซีจิ่ว จึงทราบแล้วว่าต้องจัดการอย่างไร
และหลังจากผ่านวิกฤตนี้ไป ท่าทีที่หลานไว่หูมีต่อกู้ซีจิ่วก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ตามติดเธอต้อยๆ พอเห็นเธอก็ยิ้มหน้าบานปานดอกทานตะวัน ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงได้รับเพื่อนร่วมชั้นตัวน้อยมาหนึ่งคน
แน่นอนว่าเยี่ยนเฉินผู้นั้นก็ยังคงระแวดระวังกู้ซีจิ่วอย่างเหนียวแน่น เมื่อเห็นสหายร่วมบ้านเกิดของตนวนเวียนอยู่รอบตัวกู้ซีจิ่วย่อมขัดหูขัดตา เคยลากจิ้งจอกน้อยตัวนี้ไปอบรมอยู่นานสองนาน ผลคือหลานไว่หูที่เชื่อฟังเขามาโยตลอดต่อต้านเขาเป็นครั้งแรก
กู้ซีจิ่วเห็นฉากสนทนานั้นเข้าพอดี ยามนั้นแม่นางน้อยมีสีหน้าดื้อดึงพลางเอ่ยว่า “ข้าไม่เอา ซีจิ่วดีมาก เจ้ามีอคติต่อนาง อคติล้ำลึกยิ่ง! นางไม่ทำร้ายข้าแน่นอน แถมยังรักษาอาการป่วยของข้าอีก…”
เหยียนเฉินโมโห “เจ้าจะไปรู้อะไร นางเสแสร้งเก่งจะตาย เจ้าไร้เดียงสาเกินไป ต่อให้นำเจ้ามัดรวมกันห้าสิบคนก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของนาง พอถึงเวลาเจ้าถูกนางขายแล้วก็คงช่วยนางนับเงินอีก!”
พอกล่าวประโยคนี้จบ เขาก็เห็นกู้ซีจิ่วเดินเข้ามา…
กู้ซีจิ่วไม่สนใจเขา เรียกหลานไว่หูโดยตรง “จิ้งจอกน้อย อยากไปล่าสัตว์กับข้าไหม? จะได้มีเนื้อย่างกินตอนเย็น”
ด้วยเหตุนี้หลานไว่หูจึงร้องไชโยแล้ววิ่งตามกู้ซีจิ่วไป ทิ้งเยี่ยนเฉินไว้ตรงนั้นกับสายลมฤดูใบไม้ร่วงที่แสนวังเวง
อันที่จริงพลังวิญญาณของหลานไวหู่ก็ไม่ต่ำต้อย พลังวิญญาณแรกเริ่มคือขั้นหกตอนกลาง แถมยังรากวิญญาณเดี่ยวหายาก ไม่ว่ากระบวนท่าใดก็เรียนรู้ได้เร็วมาก
เดิมทีกู่ฉานโม่เห็นว่าเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีแน่นอน จัดให้อยู่ชั้นเรียนเมฆาม่วง แต่หลังจากนางอยู่ในชั้นเรียนเมฆาม่วงได้สามเดือน ไม่รู้ว่าอาจารย์สอนไม่ได้เรื่อง หรือเป็นเพราะนางไม่มีประสาทสัมผัสด้านวิชายุทธ์ตั้งแต่เกิด ถึงแม้นางจะเรียนรู้กระบวนได้มากมาย แต่นางก็ไม่รู้ว่าต้องใช้ออกมายามใด…
ก็เหมือนกับการมอบไอดีเกมเลเวลสูงให้มือใหม่ที่เพิ่งหัดเล่น พยายามแค่ไหนก็ฝีมือขั้นสูงออกมาไม่ได้
ทุกครั้งที่ลงมือจะแสดงกระบวนยิ่งใหญ่ทั้งหมดออกไปไม่ว่าจะเหมาสมหรือไม่ก็ตาม…
การสอนของอาจารย์ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มิใช่แค่บรรยายในห้องเรียนอย่างเดียว ให้ความสำคัญกับภาคปฏิบัติมาก มักจะให้เหล่าศิษย์จับกลุ่มสู้กันอยู่บ่อยครั้ง อาศัยสิ่งนี้มาทดสอบระดับความเข้าใจที่มีต่อกระบวนท่าใหม่ๆ
จับกลุ่มสู้เช่นนี้ย่อมต้องมีการวางกลยุทธ์ภายใน เน้นออกกระบวนท่าสอดประสานกัน
ผลคือผู้ใดจับกลุ่มกับหลานไว่หูผู้นั้นพบโศกนาฏกรรม สาวน้อยไม่รู้วิธีประสานกับเพื่อนร่วมกลุ่ม ยิ่งไม่รู้อีกว่าควรออกกระบวนท่าไหนยามใด
บ่อยครั้งที่เพื่อนร่วมกลุ่มใช้วิชายุทธ์ธาตุไฟออกมา นางกลับใช้น้ำสายหนึ่งทำให้ดับมอด…
สุดท้ายก็ถูกอีกกลุ่มบดขยี้…
ผลัดเช่นนี้อยู่สามครั้ง ไม่มีผู้ใดยอมจับกลุ่มกับนางอีกต่อไป นางเข้ามาก่อนกู้ซีจิ่วครึ่งปี เคยเป็นนักเรียนใหม่ของชั้นเรียนเมฆาม่วง
ถึงแม้เยี่ยนเฉินจะต้องการปกป้องนาง แต่ไม่ได้อยู่ชั้นเรียนเดียวกันเขาก็ทำได้เพียงอาศัยบารมีเขาปกป้องนางไม่ได้ถูกเพื่อนร่วมชั้นรังแกเท่านั้น อย่างอื่นก็ควบคุมไม่ได้แล้ว
หลังจากเยี่ยนเฉินทราบว่านางตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ก็เคยสอนเพิ่มเติมให้นาง อยากทำให้นางจำได้ว่าต้องประสานกับเพื่อนร่วมกลุ่มอย่างไร แต่อย่างไรเสียในการฝึกภาคปฏิบัติก็ชั่วพริบตาก็มีการเปลี่ยนแปลงนับพัน กระบวนท่าส่วนใหญ่ต้องใช้ออกไปตามสถานการณ์
เมื่อเยี่ยนเฉินสอนวิธีประสานเช่นนี้ให้นาง ผลคืออีกฝ่ายแสงกระบวนท่าอื่นออกมา หลังจากหลานไว่หูลงสนามก็มือไม้สับสนวุ่นวายเช่นเคย ถ่วงแข้งถ่วงขาคนทั้งทีม
ชั้นเรียนเมฆาม่วงเป็นชั้นเรียนที่ไปไวมาก ล้วนเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ เพิ่มนางเข้าไปสักคนออกจะไม่เข้าท่านัก ทุกคนล้วนยุ่งมาก ไม่มีใครยินดีจะนำพานาง
ไปๆ มาๆ อยู่เช่นนี้ ในที่สุดกู่ฉานโม่ก็หมดหวัง รู้สึกว่าในสายวิชายุทธ์สาวน้อยผู้นี้คงจะเป็นไม้ผุที่ไม่สลักเสลาได้
632 ฝึกฝนเพื่อนร่วมทีมสมองหมูสองคนนั้น
ด้วยเหตุนี้จึงหักใจย้ายนางไปไว้ชั้นเรียนเมฆาคล้อยอยู่รวมกลุ่มกับศิษย์ที่มีปัญหาคนอื่นๆ หวังเพียงว่าจะกระตุ้นให้นางมุมานะก้าวผ่านสิ่งนี้ไปได้
ศิษย์ของในชั้นเรียนเมฆาคล้อยก็ต้องแข่งขันอยู่บ่อยๆ เช่นกัน น่าจะเป็นเพราะกิตติศัพท์ ‘ตัวถ่วงกลุ่ม’ ของหลานไว่หูโด่งดังเกินไป ทุกครั้งที่ชั้นเรียนเมฆาคล้อยต้องจับกลุ่มแข่งขันทุกคนล้วนหลบเลี่ยงนางทั้งสิ้น
ดังนั้นทุกครั้งที่ต้องแข่งวรยุทธ์หลานไว่หูล้วนไม่มีกลุ่มให้เข้า ทำได้เพียงยืนมองตาละห้อยอยู่วงนอก มองผู้อื่นรบรากันอย่างคึกคักเร่าร้อน มองผู้อื่นจับกลุ่มกันไปล่าสัตว์ที่หลังเขา
บางครั้งนางก็รวบรวมความกล้าเข้าไปร่วมด้วย ผลคือคนเหล่านั้นบ้างก็ไม่แยแสนาง บ้างก็วิ่งหนีไวยิ่งกว่ากระต่ายเสียอีก…
ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มานานกว่าครึ่งปีแล้ว จนกระทั่งกู้ซีจิ่วมาถึง
หลังจากกู้ซีจิ่วเข้าชั้นเรียนเมฆาคล้อย ทุกคนต่างปฏิบัติต่อเธออย่างสนใจใคร่รู้ปนกับระแวดระวัง
หลังจากผ่านเหตุการณ์ก่อนหน้าเหล่านั้นมา ก็ไม่มีใครกล้าดูถูกเธออีก แต่ก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้เธอเช่นกัน
พวกเขาเลื่อมใสที่เธอแตกฉานด้านวิชาแพทย์ แต่พวกเขาก็หวาดระแวงแผนการอันล้ำลึกของเธอ
คนเหล่านี้ถึงแม้จะเป็นอัจฉริยะ แต่สุดท้ายก็ล้วนเป็นเด็กอายุสิบสี่สิบห้าทั้งสิ้น โลกของเด็กไม่ชมชอบคนที่เฉลียวฉลาดมากเกินไป
ประกอบกับพลังวิญญาณของกู้ซีจิ่วเพิ่งจะขั้นห้า ต่อให้เป็นชั้นเรียนเมฆาคล้อยก็ถือว่าเป็นที่โหล่ คนอื่นไม่ทราบเลยว่าที่แท้แล้วพลังยุทธ์ของเธอเป็นอย่างไร ดังนั้นยามที่จับกลุ่มจึงไม่ต้องการร่วมกลุ่มกับเธอ
มีเพียงเชียนหลิงอวี่ที่กล้าจับกลุ่มกับเธอ
หนึ่งกลุ่มต้องมีอย่างน้อยสามคน ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วจึงนับหลานไว่หูที่เฝ้าดูอยู่วงนอกร่วมกลุ่มด้วย…
การรวมตัวกันของกลุ่มนี้ค่อนข้างประหลาดอยู่บ้าง เชียนหลิงอวี่เคยสอบได้ที่โหล่ของชั้นนี้ แต่ทุกคนล้วนทราบกันถ้วนหน้าว่าพลังวิญญาณของเขาฟื้นฟูกลับมาแล้ว สิ่งที่จุดด้อยคือความเข้าใจในการประสานวิชายุทธ์กับพลังวิญญาณ กระบวนท่าผสานพลังวิญญาณทั้งหมดที่ได้เรียนก็ไม่นับว่ามาก ดังนั้นทุกคนจึงเดาไม่ออกยามต่อสู้เขาจะสำแดงออกมาระดับใด
กู้ซีจิ่วพลังวิญญาณต่ำ วิชาพิษสูงส่ง มีประสบการณ์ต่อสู้
แต่อาจารย์ได้กล่าวไว้ชัดเจนแล้วว่าระหว่างการแข่ง ใช้พิษไม่ได้ ใช้วิชาเคลื่อนย้ายไม่ได้ ใช้ได้เพียงกระบวนท่าที่อาจารย์สอนให้…
ด้วยเหตุนี้ข้อได้เปรียบของกู้ซีจิ่วจึงหายไปหมด
ส่วนหลานไว่หู สิ่งที่นางทำเป็นประจำคือสาดน้ำลงบนเปลวไฟ…
ดังนั้นยามที่กู้ซีจิ่วเข้าสู่ชั้นเรียนเมฆาคล้อยแล้วต้องจับกลุ่มต่อสู้เป็นครั้งแรก จึงพ่ายแพ้อย่างน่าผิดหวัง
หลักการอยู่รอดของกู้ซีจิ่วคือ ไม่ว่าจะทำหรือไม่ทำอะไร ก็ต้องทำให้ดี เธอจะไม่ยอมล้าหลังคนอื่น
หลังจากพ่ายแพ้เป็นครั้งแรก เธอจดจำบทเรียนที่เจ็บปวดไว้ เธอก็เริ่มวางแผลกลยุทธ์ พลางถือโอกาสฝึกฝนเพื่อนร่วมทีมสมองหมูสองคนนั้นตามแนวทางของตัวเอง
อันที่จริงแนวทางการจับกลุ่มสู้เช่นนี้ค่อนข้างเหมือนการต่อสู้ในเกมออนไลน์มาก
บางคนเหมาะกับโจมตีระยะประชิด บางคนเหมาะกับโจมตีระยะไกล บางคนเหมาะจะคุมเกม
แต่สิ่งที่ทุกคนที่ต้องทำร่วมกันในการจบกลุ่มสู้ก็คือเสริมจุดเด่นหักล้างจุดด้อยของกันและกัน มีตัวต้านหลัก ตัวต้านรอง มีตัวคุมเกม…
ชาติก่อนฝีมือการเล่นเกมส์ของกู้ซีจิ่วสูงส่ง เก่งด้านคุมเกม คนที่สามารถดวลตัวต่อตัวกับเธอได้มีอยู่แค่ไม่กี่คน
แถมเธอยังเป็นหัวหน้ากิลด์อีกด้วย ในเกมออนไลน์นั้น ‘กิลด์หมาป่านภาขจร’ ของเธอแข็งแกร่งที่สุด
ยอดฝีมือในกิลด์มีมากมายดั่งเมฆา แต่กลับนับถือเธอที่สุด เนื่องจากกองกำลังที่ต่อสู้ภายใต้การบัญชาของเธอยังไม่เคยปราชัยเลยสักครั้ง ทีมที่มีเธออยู่ล้วนชนะทุกครั้ง
ความสามารถด้านบัญชาการของเธอยอดเยี่ยมมาก ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน หลังจากสู้แพ้เป็นครั้งแรกเธอก็เริ่มสรุปจุดเด่นจุดด้อยของกลุ่มตัวเอง
ในกลุ่มนี้ของเธอเชียนหลิงอวี่ยังดีหน่อย เจ้าเด็กนี่มีฝีมือด้านต่อสู้ กระบวนท่าต่อสู้เล็กน้อยก็กระจ่างแจ้งแล้ว เธอไม่จำเป็นต้องเปลืองสมองเกินไป
มีเพียงหลานไว่หูเท่านั้น สาวน้อยคนนี้สติทึบด้านการต่อสู้…
กู้ซีจิ่วสละเวลาว่างห้าวันเพื่อมาฝึกฝนนางโดยเฉพาะ ให้นางฝึกซ้อมกระบวนท่าทั้งหมดที่เป็นต่อหน้าเธอหนึ่งรอบ ปรากฏว่ากระบวนท่าเหล่านี้ยามแม่นางน้อยใช้ออกมาเดี่ยวๆ ล้วนทรงอานุภาพไม่น้อย แต่พอผสมผสานกันกลับเละเทะวุ่นวาย
633 นี่ทำให้เธอไม่สบอารมณ์ยิ่ง…
ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วจึงเริ่มสอนนางว่าต้องสอดประสานอย่างไร ผลคือสาวน้อยผู้นี้จำไม่ได้ หลงๆ ลืมๆ ยามปกติควรใช้กระบวนท่านี้นางกลับไปใช้ท่าอื่น สาดน้ำลงไปเต็มหัวเชียนหลิงอวี่ที่เป็นคู่ซ้อมนาง…
เชียนหลิงอวี่ถูกราดน้ำใส่สามสิบครั้งในวันเดียวในที่สุดก็เตลิดหนีไป! ระเบิดโทสะตามประสาคุณชายน้อยใส่หลานไว่หูครู่หนึ่ง แล้วหันหลังจากไป
หลานไว่หูแสดงสีหน้าสำนึกผิด มองดูกู้ซีจิ่ว “ซีจิ่ว ข…ข้าโง่มากใช่ไหม? จ…เจ้าก็ไม่ต้องการข้าแล้วเหมือนกันใช่ไหม?”
กู้ซีจิ่วนวดคลึงหว่างคิ้ว มองท่าทางตาละห้อยของนางแล้วใจไม่แข็งพอ ส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “เจ้าฝึกต่อไป ขอเพียงเจ้าอยากเข้าร่วม ข้าก็จะไม่ทิ้งเจ้า” ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ทอดทิ้งเพื่อนร่วมกลุ่มคนนี้ ครั้งนี้ก็เช่นกัน
ด้วยเหตุนี้หลานไว่หูจึงโห่ร้องอย่างยินดี มานะฝึกฝนต่ออีกครั้ง
กู้ซีจิ่วนั่งอยู่ตรงนั้นมองดูนางพลางขบคิดไปด้วย จิ้งจอกน้อยตัวนี้ประสานงานกับคนอื่นไม่ได้ แล้วถ้าให้คนที่ร่วมกลุ่มกับนางเป็นฝ่ายประสานกับนางเองล่ะ?
นี่เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมมาก! ขณะที่เธอกำลังจะไปลองปฏิบัติตามความคิดนี้ ด้านหลังก็มีเสียงคนกระแอมไอเบาๆ
เธอหันหลังไป มองเห็นเยี่ยนเฉินยืนอยู่ตรงนั้น กำลังมองหลานไว่หูที่ฝึกฝนจนเหงื่อโซมหน้าอยู่ในสนาม แววตาซับซ้อนอยู่บ้าง
หลายวันมานี้กู้ซีจิ่วไม่ชอบขี้หน้าเขามาก เนื่องจากเจ้าหนุ่มคนนี้มักจะมองว่าเธอขวางหูขวางตาทุกครั้ง ระแวงเธอปานระแวงหมาป่า สายตาที่มองเธอประหนึ่งมองพังพอนเหลือง เกรงว่าเธอจะวางอุบายลูกไก่น้อยหลานไว่หู นี่ทำให้เธอไม่สบอารมณ์ยิ่ง…
เวลาที่กู้ซีจิ่วอารมณ์ไม่ดี เธอมักจะทำให้คนอื่นอารมณ์ไม่ดีไปด้วย
ดังนั้นบางครั้งกู้ซีจิ่วก็จงใจไปหาเรื่องเยี่ยนเฉิน
ยกตัวอย่างเช่นบังเอิญพบเยี่ยนเฉินล่าสัตว์ร้ายเพียงลำพังอยู่ในหุบเขา เธอจะซัดวิชาแยกวายุเข้าไปเสมอ ทำให้สัตว์ที่เยี่ยนเฉินซุ่มโจมตีอยู่หลายชั่วยามถึงจะดักไว้ได้ตกใจจนหนีไป…
บางครั้งก็ให้ลู่อู๋น้อยแอบติดตามเยี่ยนเฉิน ถึงแม้ลู่อู๋น้อยจะเป็นแค่ลูกสัตว์ แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นสัตว์ขั้นแปด ไม่ว่ามันจะไปที่ใดเหล่าสัตว์ได้กลิ่นลอยลมมาแต่ไกลก็หนีไปซ่อนตัว ดังนั้นทุกครั้งที่ลู่อู๋น้อยลงสนาม เยี่ยนเฉินเดินเตร่อยู่ในหุบเขาตั้งนานสองนานก็ไม่พบแม้แต่กระต่ายสักตัว มักจะคว้าน้ำเหลว
อาหารการกินในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ส่วนมากล้วนอาศัยสัตว์ที่เหล่าศิษย์ออกไปล่าหรือพืชผักที่ศิษย์เก็บเกี่ยวมาทั้งสิ้น
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาม่วงหรือชั้นเรียนเมฆาคล้อยทุกเดือนล้วนต้องทีตัวบ่งชี้ภารกิจด้านนี้
เดิมทีเยี่ยนเฉินล้วนปฏิบัติภารกิจได้สมบูรณ์เกินเกณฑ์ บางครั้งถึงขั้นสมบูรณ์เกินเกณฑ์ไปสามถึงสี่เท่าเลย กลายเป็นแบบที่ควรเอาเยี่ยงอย่างของชั้นเรียน ถูกอาจารย์ของทุกชั้นยื้อแย่งเขามาเป็นแบบอย่างในการสอนศิษย์ในชั้นเรียนตน
แต่หลังจากเขาขัดแย้งกับกู้ซีจิ่ว ผลงานล่าสัตว์ของเขาก็เริ่มดิ่งลง แม้แต่จะผ่านเกณฑ์ก็ยังยาก
พ่อครัวใหญ่ของห้องครัวก็มองเยี่ยนเฉินด้วยสายที่ค่อนข้างลึกซึ้ง ถามอย่างเป็นห่วงหลายครั้งว่าร่างกายเยี่ยนเฉินเจ็บปวดหรือไม่ แม้แต่อาจารย์ของเขาก็เริ่มกังวลกับสภาพของเขาแล้ว…
เยี่ยนเฉินมีนิสัยหยิ่งทะนง เขามีความกลัดกลุ้มที่พูดออกไปไม่ได้ และไม่อยากบอกว่าถูกกู้ซีจิ่วก่อกวน…
ในเมื่อล่าสัตว์ไม่ได้ เขาเลยเปลี่ยนไปเก็บสมุนไพรวิญญาณแทนเพื่อช่วยให้ภารกิจสำเร็จทางอ้อม
แต่ลู่อู๋ตัวนั้นประหนึ่งแผ่นยาหนังสุนัข ไม่ว่าเขาพบสิ่งใดยังไม่ทันได้เก็บเกี่ยว เจ้านี่ก็ไม่รู้ว่าโผล่มาจากซอกหลืบรูใด ตวัดกรงเล็บใส่สมุนไพรนั้นจนแหลกละเอียด จากนั้นก็วิ่งฉิวหายไปอย่างไร้ร่องรอย
มันวิ่งเร็วปานลมกรด เยี่ยนเฉินไล่ตามมันอยู่หลายครั้ง ก็พบว่าเร็วสู้สี่ขาของเจ้านี่ไม่ได้ ได้แต่ถลึงตามองหางทั้งเก้าแกว่งไกวจนหายลับไป
เขารู้สึกอยู่เสมอว่าหางของมันแกว่งเป็นแบบแผนอะไรสักอย่าง ยามนั้นจึงจับตามองอย่างใกล้ชิด พบว่าหางอันหนึ่งของมันงอเป็นรูป S หางอีกสองอันรวมกันเป็นรูป B[1]…
————————————————————————————-
[1] SB เป็นคำแสลงบนอินเทอร์เน็ตของชาวจีน ความหมายคือ ไอ้โง่หรือไอ้กระจอก
634 กู้ซีจิ่วยังคงไม่สนใจเขาเช่นเดิม
ความจริงแล้วเยี่ยนเฉินผู้นี้สุขุมเยือกเย็นวรยุทธิ์ยอดเยี่ยม ถึงแม้จะเย็นชา แต่ก็ปฏิบัติต่อเพื่อนร่วมชั้นไม่เลวนัก แถมยังมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่นด้วย ยามใดที่เพื่อนร่วมชั้นของเขาพบเรื่องเดือดร้อนบากหน้ามาขอให้เขาช่วย เขาก็ไปช่วยเสมอ เขามีความสามารถ รูปโฉมก็หล่อเหลา ย่อมกลายเป็นยอดชายในดวงใจของเหล่าศิษย์หญิงในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ แม้แต่เหล่าศิษย์ชายก็ยังนับถือเขามาก
แต่คนที่สุขุมเยือกเย็นวรยุทธิ์สูงส่งเช่นนี้กลับถูกกู้ซีจิ่วกลั่นแกล้งแล้วหลบหนีไปหลายต่อหลายครั้ง อยากจะจับสาวน้อยเจ้าเล่ห์คนนี้มาทุบแรงๆ สักที
แต่กู้ซีจิ่วเป็นศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาคล้อย แถมยังเป็นศิษย์ใหม่ด้วย
ส่วนเขาเป็นศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาม่วง แถมยังเป็นศิษย์อาวุโส ย่อมไม่อาจไปท้าสาวน้อยผู้นี้ดวลตัวต่อตัวได้ เกรงว่าจะถูกครหาว่าเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก
ถูกนางยั่วโมโหจนหาทางออกไม่เจอแต่กลับทำอะไรนางอย่างจริงจังไม่ได้
สุดท้ายคนที่ชอบปลีกวิเวกเดินทางเพียงลำพังเช่นเขาก็เริ่มจับกลุ่มกับเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ แล้ว พอคนเพิ่มขึ้น เจ้าลู่อู๋ก็แอบซุ่มก่อกวนอยู่รอบกายเขาเงียบๆ ไม่ได้ง่ายๆ อีกต่อไปสถานการณ์ของเขาก็ดีขึ้นมาบ้าง
แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนประเภทที่ยอมเสียเปรียบผู้อื่นถูกยั่วโมโหจนร้อนรนจึงคิดจะเอาคืนกู้ซีจิ่ว เขามีพลังวิญญาณธาตุดินและธาตุสายฟ้า พลังวิญญาณสองธาตุนี้ล้วนล้ำเลิศ ดังนั้นยามที่กู้ซีจิ่วเดินๆ อยู่ก็มักจะมีหินก้อนใหญ่โผล่ขึ้นมาตรงหน้ากะทันหันเสมอ หรือจู่ๆ ก็มีหลุมขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา ก้นหลุมเต็มไปด้วยเศษหินแหลมคมทั้งเล็กทั้งใหญ่ ทิ่มแทงแล้วไม่ถึงตายแต่ก็ตำเท้าบาดเจ็บได้
เนื่องจากกู้ซีจิ่วก็มองเขาขวางหูขวางตาเช่นกัน จึงกลายเป็นความเคยชินแล้วที่ทั้งสองฝ่ายจะตั้งแง่ใส่กัน ดังนั้นพอกู้ซีจิ่วเห็นเขาโผล่มากะทันหัน ปฏิกิริยาแรกก็คือกระโดดผลุงขึ้นมา ตั้งกำแพงเพลิงทันที ทำให้เยี่ยนเฉินเกือบจะชนเข้าแล้ว
เยี่ยนเฉินสีหน้าอึมครึม เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ที่ไม่ได้โต้ตอบกลับ แถมยังใช้กระบี่ในมือกดมันไว้ กดจนเปลวเพลิงสลายไป จากนั้นก็เก็บกระบี่ลงฝักยืนอยู่ข้างกายเธอ “เจ้ากำลังสอนไว่หูแข่งขันหรือ?”
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าคำถามเขาไร้สาระ จึงไม่สนใจเขา
“ความจริงไว่หูมิได้โง่งม…” เยี่ยนเฉินพูดต่อโดยไม่แยแสสีหน้าอึมครึมของเธอ
ไร้สาระ! ใครมีตาก็ดูออกทั้งนั้น! กู้ซีจิ่วยังคงไม่สนใจเขาเช่นเดิม คิดค้นกระบวนท่าให้หลานไว่หูต่อไป
“นางแค่ไม่เหมาะกับการแข่งขัน…ข้าเคยสอนนางแล้ว นางจำกระบวนท่าเหล่านั้นไม่ได้เลย…ข้าไม่อยากให้นางถูกกดดันมากเกินไป ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้นางเข้าร่วมการจับกลุ่มสู้อีก ไม่อยากให้นางบาดเจ็บอีก…” เยี่ยนเฉินเอ่ยกับตัวเอง
“กู้ซีจิ่ว ข้าไม่สนว่าเจ้าจะฝึกฝนนางด้วยจุดประสงค์ใด แต่โปรดอย่าทำร้ายนาง เจ้าเห็นข้าขวางหูขวางตาก็มาแก้แค้นข้าได้ แต่อย่าไปลงกับนาง…”
กู้ซีจิ่วโมโหแล้ว “เจ้าเป็นญาติกับพระถังซัมจั๋งหรือไง? พูดพร่ำไม่รู้จบอยู่ได้! ข้าเห็นเจ้าขวางหูขวางตาจริงๆ นั่นแหละ แต่เกี่ยวอะไรกับนาง? นางก็คือนาง เจ้าก็คือเจ้า! เจ้าไม่ใช่พ่อนาง นางก็ไม่ใช่แม่เจ้า บัญชีแค้นของเจ้าข้าจะไปคิดลงกับนางได้ทำไม? เจ้าคิดว่าตัวเองสำคัญนักหรือไง?”
เยี่ยนเฉินพูดไม่ออก…
กู้ซีจิ่วพูดต่อไป “เจ้าพูดไม่ขาดปากว่าไม่อยากให้นางบาดเจ็บ ไม่อยากให้นางเข้าร่วมการจับกลุ่มสู้ เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าอยู่ในชั้นเรียนอย่างโดดเดี่ยว? รู้หรือไม่ว่าไม่มีผู้ใดอยากไปทำภารกิจกับนาง? เกรงว่านางจะบาสดเจ็บก็เลยไม่ให้นางได้ลอง เป็นห่วงนางหรือทำร้ายนางกันแน่?! คิดจะเลี้ยงนางให้กลายเป็นนกน้อยในกรงจริงๆ หรือไง?”
เยี่ยนเฉินอ้าปากค้าง
กู้ซีจิ่วกล่าวขึ้นมาอีก “ในเมื่อเฉิงเหย่าจิน[1]แบกขวานสามคมท่องใต้หล้าได้ ข้าก็ไม่เชื่อว่าจิ้งจอกน้อยจะใช้กระบวนท่ามากมายนี้ไม่ได้! ข้าไม่เชื่อเรื่องบ้าๆ นี่!”
กล่าวถึงตรงนี้หัวใจพลันเต้นแรงแวบหนึ่ง!
ขวานสามคม…
เฉิงเหย่าจินก็ใช้ขวานสามคม ใช้กระบวนท่าสามแบบซ้ำๆ กันจนคล่อง สังหารศัตรูได้นับหมื่น
ถ้าหากลดความซับซ้อนให้จิ้งจอกน้อย แล้วหากนะบ่าในนั้นมาผสานกันสักสี่ห้าท่า นางจะจำได้ขึ้นใจหรือไม่นะ?
635 ความรู้สึกค่อนข้างซับซ้อน
เธอไม่สนใจพระถังที่อยู่ข้างกายอีกต่อไป เรียกหลานไว่หูมาทันที
หลานไว่หูยังคงหวั่นเกรงกู้ซีจิ่วอยู่บ้าง โดยเฉพาะยามฝึกฝน
กู้ซีจิ่วเข้มงวดยิ่งกว่าท่านอาจารย์เสียอีก อันที่จริงนางมองเห็นเยี่ยนเฉินตั้งนานแล้ว แต่ไม่กล้าเข้ามา
ยามนี้พอกู้ซีจิ่วร้องเรียก นางถึงได้วิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “ซีจิ่ว ข้าฝึกเป็นยังไงบ้าง?” แล้วหันไปทักเยี่ยนเฉิน “พี่เยี่ยนเฉิน”
เยี่ยนเฉินพยักหน้านิดๆ ความรู้สึกค่อนข้างซับซ้อน
จิ้งจอกน้อยตัวนี้เมื่อก่อนชอบมาป้วนเปี้ยนอยู่รอบกายเขา ขอเพียงเห็นเขาก็จะปรี่เข้ามาทันที เรียกพี่เยี่ยนเฉินอย่างนั้นพี่เยี่ยนเฉินอย่างนี้อยู่ไม่ขาดปาก
ทว่ายามนี้ไม่เรียกก็ไม่มา แถมพอทักเสร็จสายตาเคารพเจือด้วยเชื่อใจของนางก็เบนไปที่กู้ซีจิ่วทันที รอให้นางชี้แนะต่อ
ไม่มองเขาอีกเลยสักแวบ ทำให้เขาไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง
หากมิใช่ว่ากู้ซีจิ่วก็เป็นสตรีเช่นกัน เยี่ยนเฉินเกือบจะคิดว่าจิ้งจอกน้อยของบ้านตนตกหลุมรักกู้ซีจิ่วเข้าแล้ว…
เขามองกู้ซีจิ่วอีกแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าบนร่างเด็กสาวคนนี้มีมนต์เสน่ห์อันใด ถึงได้ดึงดูดความสนใจผู้อื่นปานนี้ แม้แต่จิ้งจอกน้อยของบ้านเขาก็ถูกนางชักจูงไปแล้ว…
กู้ซีจิ่วให้หลานไว่หูฝึกซ้อนกระบวนท่าทั้งหมดอีกรอบหนึ่งรอบ จากนั้นก็คัดเลือกออกมาห้ากระบวนท่า เธอเรียงลำดับอยู่ครู่หนึ่ง แล้วให้นางฝึกตามนี้
เดิมทีหลานไว่หูก็คุ้นเคยกับห้าท่านนี้อยู่แล้ว นำพวกมันมาผสานเข้าด้วยกันก็ไม่นับว่ายากเย็นอะไร นางฝึกฝนอย่างจริงจังอยู่หนึ่งชั่วยาม เข้าใจภาพรวมได้ทะลุปรุโปร่งแล้ว
ระหว่างที่ฝึกฝน กู้ซีจิ่วคอยดูอยู่ด้านข้างตลอด ปรับแก้ให้นางบ้างเป็นครั้งคราว
เยี่ยนเฉินที่ปกติมีงานยุ่งอยู่เสมอก็ไม่ได้จากไป ยืนมองอยู่ด้านข้างเช่นกัน
เขาก็เป็นอัจฉริยะคนหนึ่งเหมือนกัน กลยุทธ์นี้ของกู้ซีจิ่วเขาใคร่ครวญเล็กน้อยก็เข้าใจภาพรวมแล้ว เขาประทับใจยิ่ง อดไม่ได้ที่จะนับถือกลยุทธ์อันของกู้ซีจิ่วผู้นี้ยิ่งนัก
เชียนหลิงอวี่ก็วิ่งกลับมาแล้ว เด็กหนุ่มคนนี้โกรธง่ายแต่ก็หายเร็ว กลับมาอีกครั้งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
กู้ซีจิ่วฝึกหลานไว่หูได้พอสมควรแล้ว จึงเรียนเชียนหลิงอวี่เข้าไปแล้วทั้งสามคนออกกระบวนท่าประสานกัน แม้แต่เยี่ยนเฉินที่ดูอยู่ด้านข้างก็ถูกลากลงน้ำไปด้วย ถูกบังคับให้เป็นเป้าซ้อม…
ต้องกล่าวเลยว่าวรยุทธ์ของเยี่ยนเฉินช่างสมกับที่เป็นอับดับหนึ่งในบรรดาศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาม่วง ทุกท่วงท่าแฝงด้วยเสียงกึกก้อง รวดเร็วว่องไว พวกกู้ซีจิ่วทั้งสามคนใช้ค่ายกลที่เพิ่งคิดค้นขึ้นปิดล้อมเข้า แต่ก็ยากที่ล้มเขาได้…
ครั้งแรกที่กู้ซีจิ่วได้ประมือกับเขาตรงๆ ในใจรู้สึกนับถือขึ้นมาวรยุทธ์ของเขามิใช่เล่นๆ เลย มากความสามารถนัก ฝ่ายตนสามคนปิดล้อมเขาไว้ก็ยังไม่ได้เปรียบเลย
อันที่จริงเยี่ยนเฉินค่อนข้างตกใจ ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์หาคนต่อกรกับเขาได้ยากนัก หากเอาจริงขึ้นมา เขาเพียงคนเดียวก็เอาชนะเหล่ากองกำลังของชั้นเรียนเมฆาคล้อยที่รวมตัวกันมาได้คราวเดียว
ยามที่เขาเพิ่งถูกกู้ซีจิ่วลากมาเป็นเป้าซ้อมของสามคนนี้ ยังไม่กล้าใช้พลังทั้งหมด เกรงว่าจะทำให้พวกเขาสามคนบาดเจ็บ จึงใช้พลังเพียงห้าส่วนเท่านั้น
แต่พอสามคนนั้นคุ้ยเคยกับการประสานกันมากขึ้นเท่าไหร่ กระบวนท่าที่สำแดงออกมาก็ร้ายกาจมากขึ้นเท่านั้น ทรงอานุภาพมากขึ้นเรื่อยๆ บีบให้เขาใช้พลังแปดส่วนในการต้านทาน…
เดิมทีเขาเป็นเพียงเป้าซ้อม แต่หลังจากสู้กันไปเขาก็รู้สึกสนใจขึ้นมา
พวกเขาต่อสู้กันไปจนถึงพลบค่ำ จนหมดแรงถึงได้หยุดมือ
หลานไว่หูเหงื่อเปียกชุ่มอาภรณ์ แต่นางฮึกเหิมอย่างยิ่ง เป็นครั้งแรกที่นางได้สัมผัสความสุขจากการต่อสู้เช่นนี้ และเป็นครั้งแรกที่ตัวภาระอีกต่อไป เป็นครั้งแรกที่ถูกผู้อื่นต้องการ ความรู้สึกเช่นนี้ผ่อนคลายยิ่งนัก
ใบหน้าน้อยๆ ของนางแดงระเรื่อ ดวงตาแวววาว ถึงแม้จะเหนื่อยแทบตาย แต่กลับมีความสุขจนแทบจะบิน วอแวกู้ซีจิ่วว่าอยากจะเอาอีกตา
636 เด็กหนุ่มผู้สง่างามเย็นชาอยู่เสมอแทบจะสบถออกมา
เยี่ยนเฉินก็ยังติดใจอยู่เช่นกัน มองดูกู้ซีจิ่ว “เอาอีกตาหรือไม่?”
กู้ซีจิ่วลุกขึ้นมา เอ่ยหยามว่า “ทำไมข้าเป็นคู่ซ้อมเจ้าด้วย?”
เยี่ยนเฉินพูดไม่ออก ใครเป็นคู่ซ้อมใครกันแน่? เป็นใครกันที่ลากเขามาเป็นเป้าซ้อม?
“กู้ซีจิ่ว เจ้ายังไร้ยางอายได้มากกว่านี้หรือไม่”
“ได้!” กู้ซีจิ่วตอบอย่างซื่อตรงยิ่งนัก จากนั้นก็ยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง “อยากให้ข้าเป็นคู่ซ้อมให้ก็จ่ายมาหนึ่งร้อยหินวิญญาณ!”
เยี่ยนเฉิงตะลึงงัน
สามมุมมองของเขาพังทลายแล้ว!
สุดท้ายแล้ว เยี่ยนเฉินก็ต้านทานลูกอ้อนของหลานไว่หูไม่ไหว ควักหินวิญญาณหนึ่งร้อยก้อนออกมาแลกกับอีกหนึ่งตา อยากหลั่งน้ำตานัก!
ยามต้องจากไปเยี่ยนเฉินก็ละล้าละลัง เมื่อตกอยู่ภายใต้สายตาที่สื่อว่า ‘มีอะไรก็รีบพูด อย่าพิรี้พิไร’ ของกู้ซีจิ่ว ในที่สุดเขาก็ถามออกมาประโยคหนึ่ง “ถังซัมจั๋งคือผู้ใด? เฉิงเหย่าจินคือผู้ใด?”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก…
….
นับแต่นั้นเยี่ยนเฉินก็มาซ้อมมือกับสามคนนี้เกือบทุกวัน
เนื่องจากสถานที่ฝึกซ้อมที่กู้ซีจิ่วเลือกแห่งนี้ลึกลับยิ่งนัก คนทั่วไปจะหาที่นี่ไม่เจอ ดังนั้นคนอื่นๆ จึงไม่ทราบ และไม่มีใครมามุงดู
ผ่านไปเช่นนี้อยู่หลายวัน ในที่สุดก็ถึงการจับกลุ่มสู้ครั้งที่สองของชั้นเรียนเมฆาคล้อย
ผลคือ…ผลคือสามคนที่เดิมทีไม่น่าคาดหวังที่สุดกลับพลิกสถานการณ์ไปอย่างสิ้นเชิง กวาดล้างกลุ่มอื่นๆ โดดเด่นทิ่มแทงสายตาฝูงชน
ใครก็นึกไม่ถึงว่าหลานไว่หูของ ‘กลุ่มขี้แพ้’ จะแสดงความสามารถได้ถึงระดับนี้ ตัวไร้ค่ากลายเป็นมือสังหารผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อประสานกระบวนท่ากับกู้ซีจิ่วและเชียนหลิงอวี่ ผู้ใดก็หยุดยั้งไว้ไม่ได้…
ทั้งสามคนชนะการต่อสู้ครั้งนี้อย่างงดงาม เชียนหลิงอวี่เชิดหน้าภาคภูมิ หลานไว่หูยิ่งไปกันใหญ่กระโดดโลดเต้นวนรอบกายกู้ซีจิ่วอยู่หลายรอบ ดึงแขนกู้ซีจิ่วไว้กล่าวว่าต้องจัดงานฉลองใหญ่
งานฉลองย่อมเป็นงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จ หลานไว่หูอยู่ที่นี่เนื่องจากตอนแรกทักษะการเอาตัวรอดไม่สูงนัก ส่วนใหญ่จึงไม่มีรายได้เสริม ได้รับเพียงหินวิญญาณสิบก้อนต่อเดือน และส่วนมากก็ใช้จ่ายไปเกือบหมดแล้ว ดังนั้นนางจึงยากจนข้นแค้น ปกติเป็นเยี่ยนเฉินที่จุนเจือนางอยู่เสมอ
คราวนี้ที่นางกล่าวว่าจะเชื้อเชิญแขกย่อมรับรองไม่ไหวเป็นแน่ โชคดีที่ยังมีเยี่ยนเฉินอยู่ เยี่ยนเฉินก็อารมณ์ดีมากเช่นกัน จึงตกปากรับคำ
ดังนั้น เย็นวันนี้ ณ ชั้นหนึ่งของโรงอาหารสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ซึ่งแต่เดิมเป็นที่กินข้าวของศิษย์ในชั้นเรียนเมฆาม่วง ได้มีศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาคล้อยสามคนก้าวเข้ามาอย่างห้าวหาญ มาร่วมโต๊ะที่อยู่ตรงใจกลางและเห็นชัดเจนที่สุด เยี่ยนเฉินเป็นผู้เชิญมา เชิญมาเพื่อเลี้ยงฉลองให้พวกกู้ซีจิ่วทั้งสามคน
เยี่ยนเฉินใจป้ำนัก กล่าวออกมาว่า “วันนี้พวกเจ้าสั่งได้ตามสบายเลย ขอเพียงกินเข้าไปไหว ข้าจะจ่ายทั้งหมดให้เอง”
เขาเพิ่งพูดจบ ก็มีเสียงโห่ร้องยินดีแว่วออกมาจากแขนเสื้อของกู้ซีจิ่ว “ดีเหลือเกิน! คราวนี้ในที่สุดก็ได้กินอิ่มแล้ว! ข้าจะกินเนื้อกวางวิญญาณน้ำแดง เอ็นเสือดาววิญญาณผักกระเทียม…”
หอยตัวหนึ่งกลิ้งออกมา หนูน้อยคนหนึ่งมุดออกมาชี้นิ้วสั่งอย่างยิ่งใหญ่ แทบจะสั่งอาหารขึ้นชื่อทั้งหมดของชั้นมาอย่างละจาน…
เยี่ยนเฉินสีหน้าอึมครึม
อาหารมื้อใหญ่นี้จ่ายไปถึงสองพันแปดร้อยหินวิญญาณ ทำให้เยี่ยนเฉินแทบหมดตัว ทรัพย์สินทั้งหมดที่เขาเก็บหอมรอบริบมาสามปีถูกนำออกมาจ่าย ผลคือยังไม่พอ…
แถมพ่อครัวใหญ่ของที่นี่ก็เคร่งครัดมาก ไม่อนุญาตให้แปะไว้
สุดท้ายเป็นกู้ซีจิ่วที่ทนดูไม่ได้ ออกให้ก่อนหนึ่งพันหินวิญญาณ คนทั้งสี่ถึงปลีกตัวออกมาได้
เยี่ยนเฉินเอ่ยขอบคุณกู้ซีจิ่วเสียงแผ่ว กู้ซีจิ่วโบกมือพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องขอบคุณ” จากนั้นก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้ “นี่เป็นสัญญากู้ยืม เจ้าลงนามก็พอแล้ว”
เยี่ยนเฉินตะลึง เด็กหนุ่มผู้สง่างามเย็นชาอยู่เสมอแทบจะสบถออกมา
แต่โมโหก็ส่วนโมโห เขาไม่มีนิสัยเบี้ยวหนี้ สุดท้ายจึงลงนามตนบนสัญญากู้ยืมแผ่นนั้น ซึ่งระบุไว้ชัดเจนว่าจะชดใช้หินวิญญาณหนึ่งพันก้อนนี้ภายในสองปี
637 ดูเหมือนว่าหนนี้…จะทำเกินไปหน่อย
เมื่อรับสัญญากู้ยืมมาแล้ว หันหลังลอยชาย ลากหอยของบ้านตนกลับไป
เจ้าหอยยักษ์กินอิ่มเกินไป ตอนนี้แม้แต่ฝาก็ปิดไม่สนิทแล้ว คลานไปตามพื้นทีละก้าวๆ และเปลี่ยนร่างให้เล็กลงไม่ได้
มันมีความสุขมาก ระหว่างทางก็วางแผนในอนาคตกับกู้ซีจิ่วไปด้วย “เจ้านาย ต่อไปท่านพยายามทำให้เจ้าทึ่มคนนี้เชิญไปเป็นแขกอีกสิ เขาใจกว้างยิ่งนัก เป็นครั้งแรกที่ข้าได้กินจนพอใจขนาดนี้”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน
กู้ซีจิ่วคิดว่าการทำให้เยี่ยนเฉินเชิญไปเป็นแขกอีกครั้งในภายภาคหน้าเกรงว่าจะยากเย็นยิ่งกว่าปีนขึ้นสวรรค์เสียอีก
เมื่อนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาที่อึดอัดจนแดงก่ำปานกวนอูของเยี่ยนเฉินยามมีเงินไม่พอจ่ายเมื่อครู่นี้ จู่ๆ กู้ซีจิ่วก็รู้สึกสึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย ดูเหมือนว่าหนนี้…จะทำเกินไปหน่อย
สำหรับเยี่ยนเฉินแล้วนี่คือบทเรียนราคาแพง ภายหน้ายามที่เยี่ยนเฉินต้องเชิญกู้ซีจิ่วมาเป็นแขกอีก เขาจะบอกกล่างล่วงหน้าประโยคหนึ่งว่า คนกินได้ตามสบาย แต่หอยกินไม่ได้
การที่เขาเชิญกู้ซีจิ่วมาหนนี้ก็มาข้อดีอยู่บ้าง ยกตัวอย่างเช่นในที่สุดกู้ซีก็ไม่หาเรื่องเขาอีกต่อไป ยามล่าสัตว์เก็บสมุนไพรก็ไม่ส่งลู่อู๋น้อยคอยตามก่อกวนเขาอีก ในที่สุดเขาก็สามารถล่าสัตว์เก็บสมุนไพรได้ตามปกติแล้ว
….
เรื่องที่พวกกู้ซีจิ่วทั้งสามคนจับกลุ่มกันพลิกสถานการณ์กวาดล้างทั้งชั้นเรียนเมฆาคล้อยย่อมทำให้เบื้องบนตกตะลึง
ตอนที่กู่ฉานโม่ได้ยินเรื่องนี้ในคืนนั้น เขารู้สึกแปลกใหม่ยิ่ง แต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจอะไร
ถึงอย่างไรศิษย์ในชั้นเรียนเมฆาคล้อยก็เป็นศิษย์ตกชั้นทั้งนั้น ส่วนเชียนหลิงอวี่ก็สมควรเป็นศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาม่วงได้แล้ว มีเขารวมอยู่ในนั้น ผสานกับความสามารถในการพลิกแพลงสถานการณ์ของกู้ซีจิ่ว สามรถเอาชนะในชั้นเรียนเมฆาคล้อยได้สักสองสามตาก็ไม่นับว่าแปลกเกินไป ส่วนหลานไว่หู ขอเพียงนางไม่ถ่วงแข้งถ่วงขาคนในกลุ่มก็พอแล้ว…
ถึงแม้จะคิดเช่นนี้ แต่ยามที่จับกลุ่มสู้ครั้งถัดไป เขาก็ตั้งใจไปดูเป็นพิเศษครั้งหนึ่ง ผลคือทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตามองโลก!
การจับกลุ่มสู้ครั้งนี้พวกกู้ซีจิ่วทั้งสามประสานงานเข้าขากันยิ่ง แม้แต่หลานไว่หูก็มีบทบาทสำคัญในกลุ่มด้วย มิได้เป็นเพียงแจกันประดับใบหนึ่ง
ถึงแม้หลานไว่หูมีแค่ห้ากระบวนท่า แต่เมื่อนำห้ากระบวนท่านี้มาประสานเข้ากับพวกกู้ซีจิ่วทั้งสองก็จะทรงอานุภาพนัก ทุกครั้งที่จับกลุ่มสู้หลานไว่หูมักจะลงมือเป็นคนแรกเสมอ พ่นน้ำสายหนึ่งใส่ผู้ฝึกฝนธาตุไฟของอีกฝ่ายก่อน ทำให้อีกฝ่ายเพิ่งจะลงมือก็ต้องชะงักแล้ว
หากผู้ฝึกฝนธาตุดินของอีกฝ่ายก่อกำแพงดินมาต้านรับสายน้ำได้ทันกาล เชียนหลิงอวี่ก็จะลงมือทันที ใช้เถาวัลย์หยั่งรากชอนไชกำแพงดินของอีกฝ่าย ทั้งงัดทั้งดึง ทำให้กำแพงดินของอีกฝ่ายคลายตัว จากนั้นก็สายน้ำของหลานไว่หู่พุ่งใส่อีกครั้ง พังทลายทันที ทำให้อีกฝ่ายที่มีหลายคนเปียกโชกเหมือนไก่ตกหม้อแกง
เชียนหลิงอวี่อาศัยจังหวะนี้ซัดลูกไฟขนาดใหญ่เข้าไป แล้วกู้ซีจิ่วก็ใช้พายุหมุนพัดโหม ทำให้ลูกไฟขยายใหญ่ขึ้นอีกหลายเท่าในชั่วพริบตา
หลังจากโดนกระบวนท่านี้ซ้ำๆ ร่างกายของอีกฝ่ายเดี๋ยวเปียกน้ำเดี๋ยวไฟลน ทั้งหมดก็ล้มพับไป
ยามนั้นกู่ฉานโม่ยังคงอยู่ในช่วงรับทัณฑ์ทรมาน ทำให้ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอยิ่ง
ทุกครั้งที่รับโทษร่างกายเขาจะสูญเสียน้ำเป็นจำนวนมาก ดังนั้นริมฝีปากเขาจึงแตกเป็นขุยอยู่ตลอด หนวดเคราก็แห้งแข็งปานต้นหูหยาง (ต้นป็อปล่าร์) ดูน่าเวทนามาก หากมิใช่เพราะสนใจใคร่รู้ในการจับกลุ่มนี้จริงๆ เขาคงไม่คิดจะออกมา
เขาเฝ้าดูอยู่ตลอด หลังจากจบการแข่งขัน เขาก็เรียกทั้งสามออกมาพร้อมกัน
เอ่ยชมเชยก่อนเป็นอับดับแรก แล้วกล่าวให้กำลังใจอีกหลายประโยค คำพูดเหล่านี้เขากล่าวอย่างปีติยินดีนัก
กู้ซีจิ่วฟังเขาร่ายอยู่นานสองนาน ในที่สุดก็เอ่ยเตือนเขาประโยคหนึ่ง “ท่านอาจารย์ใหญ่ ข้ารู้สึกว่าคำพูดให้กำลังใจไม่อาจปลุกเร้าจิตใจคนให้ฮึกเหิมได้จริงๆ มิสู้มอบรางวัลให้ดีกว่าถึงจะเข้าท่าจริง”
อาจารย์ใหญ่กู่คิดๆ ไปก็ว่าถูก จึงให้รางวัลเป็นหินวิญญาณคนล่ะหนึ่งร้อยก้อน
เมื่อกู้ซีจิ่วเห็นว่าสีหน้าเขาหมองคล้ำหมดสง่าราศีโดยแท้ ก็ครุ่นคิดเล็กน้อย หยิบขวดยาใบหนึ่งออกมาจากร่างแล้วยื่นให้…
638 เศรษฐีอันดับหนึ่งของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์
“อาจารย์ใหญ่กู่ นี่คือยาหยกกระจ่าง สามารถรักษาอาการแดดไหม้ไฟลวกได้ ทาแล้วจะทำให้ผิวที่ได้บาดเจ็บชุ่มชื้นอย่างรวดเร็ว กำจัดรอยแตกได้…”
ตอนนี้กู่ฉานโม่ทราบถึงฝีมือด้านการหลอมโอสถของกู้ซีจิ่วแล้ว นางไม่เพียงแต่หลอมโอสถล้ำค่าบางอย่างของโลกนี้ได้เท่านั้น ยังหลอมโอสถบางอย่างที่เขาไม่ได้ยินชื่อมาก่อนได้ด้วย ยกตัวอย่างเช่นยาบำรุงโฉม ได้ยินว่านางวางขายในตลาดผีไปแล้วหลายขวด ผู้ที่เคยใช้ล้วนบอกว่าดี
ยามนี้พอเห็นนางกำนัลสิ่งนี้ให้ ก็พึงพอใจมาก เพียงแต่ยังคงปฏิเสธอย่างเคร่งครัดเที่ยงธรรม “อาจารย์ใหญ่เช่นข้าไม่รับสินบนใดๆ”
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว “ใครบอกว่าข้ามอบสินบน?” มือน้อยๆ ข้างหนึ่งยื่นออกมา “ยานี้ในตลาดผีขายขวดล่ะแปดร้อยหินวิญญาณ ท่านเป็นอาจารย์ใหญ่จะขายให้ท่านในราคาพิเศษแล้วกัน หกร้อยหินวิญญาณก็พอ”
กู่ฉานโม่แทบกระอักโลหิตออกมา!
สุดท้ายเขาก็ยังคงซื้อยาของนาง เนื่องจากเขาลองใช้ดูเล็กน้อย ทาลงบนรอยแตกแห่งหนึ่ง ผลคือรอยแตกนั้นสมานกันเร็วมากจริงๆ…ที่สำคัญกว่านั้นคือ ความรู้สึกแสบร้อนนั้นก็บรรเทาลงไปมากเช่นกัน
ยาเช่นนี้เขาหาจากที่อื่นมิได้ หาได้ที่กู้ซีจิ่วจอมเจ้าเล่ห์ผู้เดียว ดังนั้นต่อให้แพง เขาก็ต้องกัดฟันซื้อ
ที่เขามาหาสามคนนี้ยังมีจุดประสงค์อื่นอยู่ด้วย ดังนั้นพอให้กำลังใจเสร็จเขาก็เอ่ยความต้องการของตนออกมา “กลยุทธ์ของพวกเจ้ายอดเยี่ยมมาก โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ประลองกับสหายร่วมชั้นเรียนเมฆาคล้อยต่อไปก็ไม่น่าสนใจมากเท่าไหร่แล้ว มิสู้เริ่มขั้นต่อไป พวกเจ้ามาประลองกับชั้นเรียนเมฆาม่วงดีหรือไม่?”
ดวงตาเชียนหลิงอวี่ส่องประกายทันที เขาอยากกลับไปถล่มชั้นเรียนเมฆาม่วงมานานแล้ว! แม้เป็นเพียงการประลองก็ตาม…
การประลองจะต้องต่อสู้กันอย่างจริงจัง ชนะเรียบอยู่ตลอดก็น่าเบื่อเหมือนกัน
เพียงแต่ในกลุ่มของพวกเขาสามคนกู้ซีจิ่วคือหัวหน้ากลุ่ม ดังนั้นเขาจึงหันไปมองกู้ซีจิ่วทันที
กู้ซีจิ่วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยถามกู่ฉานโม่ “พวกเราเป็นศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาคล้อย ประลองกับชั้นเรียนเมฆาม่วงแล้วเสียเปรียบนัก อย่างไรเสียอาหารของพวกเราสองฝ่ายก็แตกต่างกัน เท่ากับจุดเริ่มต้นที่พวกเรายืนแตกต่างกัน นี่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมยิ่ง”
กู่ฉานโม่ก็ใจกว้างมาก โบกมือเป็นการใหญ่ “ได้ ขอเพียงพวกเจ้าชนะชั้นเรียนเมฆาม่วงได้สักตา ต่อไปก็สามารถกินอาหารที่ชั้นหนึ่งของโรงอาหารได้”
กู้ซีจิ่วยังคงมีเงื่อนไขข้อที่สอง “อาจารย์ใหญ่กู่ เหตุผลที่ท่านให้พวกเราไปประลองกับชั้นเรียนเมฆาม่วงเป็นเพราะอยากศึกษาแนวทางการจับกลุ่มของพวกเรากระมัง อยากเห็นว่าการจับกลุ่มเช่นนี้จะทรงอานุภาพมากเพียงใด จากนั้นก็พิจารณาว่าจะเผยแพร่ให้แก่เหล่าศิษย์ดีไหม ใช่หรือไม่?”
จุดประสงค์ของกู่ฉานโม่ถูกกู้ซีจิ่วกล่าวออกมาจนหมดเปลือก จึงชะงักไปครู่หนึ่ง ค่อยพยักหน้ารับ “มิผิด กู้ซีจิ่ว แนวทางการจับกลุ่มของเจ้าพิเศษมาก แต่ก็มีประสิทธิภาพมากเช่นกัน แนวทางการจับกลุ่มที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้สมควรจะเผยแพร่จริงๆ เพื่อยกระดับความสามารถในการร่วมกันของศิษย์ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ของพวกเรา”
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วแวบหนึ่ง “ไม่ง่ายเลยกว่าข้าจะคิดค้นแนวทางการจับกลุ่มนี้ได้ สิ้นเปลืองจิตวิญญาณไปไม่น้อย ข้าไม่อาจให้ผู้อื่นนำไปเรียนรู้เปล่าๆ ได้ เช่นนี้แล้วกัน จ่ายมาสองพันหินวิญญาณ อาจารย์ใหญ่กู่ก็ซื้อแนวทางนี้ไปเผยแพร่ได้แล้ว…”
กู่ฉานโม่นิ่งงัน
ในที่สุดเขาก็ระเบิดโทสะออกมา “กู้ซีจิ่ว เจ้าหน้าเงินไปแล้วหรือไง?! ตอนนี้เจ้าร่ำรวยกว่าข้าเสียอีก ยังจะเอาหินวิญญาณมากมายปานนั้นไปทำอันใด?!”
กู้ซีจิ่วไม่พูดไม่จา เพียงมองดูเขา
ในที่สุดกู่ฉานโม่ก็ยอมแพ้เธอ “ได้ ยอมเจ้าแล้ว! เจ้าไปรับที่คลังหินวิญญาณได้ในภายหลัง”
กู่ฉานโม่จากไปประหนึ่งพายุบุแคม
เชียนหลิงอวี่อดไม่ได้ที่จะยกนิ้วชมเชยกู้ซีจิ่ว “ซีจิ่ว ยังคงเป็นเจ้าที่รู้ช่องทางหาเงิน! ข้ารู้สึกว่าถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ถึงหนึ่งปีเจ้าก็จะกลายเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์”
639 เจ้าจะด่าเหมารวมไม่ได้…
กู้ซีจิ่วยิ้มแวบหนึ่งไม่พูดอะไร
เชียนหลิงอวี่ยังคงเป็นกังวลอยู่บ้าง “ซีจิ่ว สุภาษิตกล่าวไว้สอนศิษย์จนเชี่ยวชาญตัวอาจารย์ย่อมอดตาย หากพวกเรายอมให้พวกเขาเรียนรู้แนวทางการจับกลุ่มทั้งหมดนี้ เกรงว่าต่อไปพวกเราคงเอาชนะเพวกขาไม่ได้อีกแล้ว”
“ทำไม? กลัวหรือไง?” กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว
เชียนหลิงอวี่เกาศีรษะ “แค่กังวลเล็กน้อยเท่านั้น”
“ไม่จำเป็นต้องกังวล” กู้ซีจิ่วเอ่ย “พวกเขาไม่มีทางเรียนรู้ทั้งหมดได้”
เชียนหลิงอวี่มองเธอด้วยความประหลาดใจ กู้ซีจิ่วจึงอธิบายให้เขาฟังต่อ “ความจริงแล้วสถานการณ์ของพวกเราสามคนค่อนข้างพิเศษ พลังวิญญาณของเจ้าอยู่ในระดับชั้นเมฆาม่วงระดับสูงแล้ว ขาดแค่การต่อสู้อย่างจริงจังเพียงอย่างเดียว ส่วนข้าถึงแม้พลังวิญญาณจะไม่เข้าขั้น แต่ข้ามีประสบการณ์ต่อสู้โชกโชน รับมือกับสถานการณ์ได้ดี จิ้งจอกน้อยถึงแม้จะใช้กระบวนยุทธ์ได้ไม่เก่งนัก แต่อานุภาพของกระบวนท่าที่นางสำแดงออกมาทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงนัก การจับกลุ่มแบบพวกเรานี้พวกเขาเลียนแบบไม่ได้หรอก…”
ในการจับกลุ่มสู้ ถึงแม้หลานไว่หูจะใช้ห้ากระบวนท่านั้นซ้ำๆ แต่กู้ซีจิ่วและเชียนหลิงอวี่ล้วนเป็นคนหลักแหลม ตอบสนองว่องไว ประสานงานกันดี สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในสนามรบที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดได้อย่างรวดเร็ว และสามารถปรับตัวตามสถานการณ์ได้
ก็เหมือนการเล่นเกมออนไลน์ ต่อให้มีกลยุทธ์เขียนไว้ตรงนั้นอย่างชัดเจน แต่มิใช่ว่าจะสามารถเรียนรู้กันได้ทุกคน ยังต้องอาศัยสติปัญญาและความเร็วในการตอบสนองของผู้คน…
พอกู้ซีจิ่วอธิบายเช่นนี้ ในที่สุดเชียนหลิงอวี่ก็เข้าใจ เขารู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา “เช่นนี้ก็ดี! ถ้างั้นพวกเรามาซ้อมกันให้ดีเถอะ แล้วตาหน้าไปบดขยี้ตัวบัดซบชั้นเมฆาม่วงกัน!”
เขาไม่สบอารมณ์ชั้นเรียนเมฆาม่วงมานานแล้ว!
หลานไว่หูพยายามอดกลั้นไว้ แต่ก็อดไม่ได้ “พี่เยี่ยนเฉินของข้าก็เป็ศิษย์ชั้นเรียนเมฆาม่วงนะ เจ้าจะด่าเหมารวมไม่ได้…”
เชียนเหลิงอวี่ก็เลื่อมใสเยี่ยนเฉินมากเหมือนกัน “ได้ ยกเว้นเขาแล้วกัน!”
….
ชั้นเรียนเมฆาม่วงและชั้นเรียนเมฆาคล้อยไม่ถูกกันมานานแล้ว ต่างรู้สึกไม่พอใจกันและกัน
ศิษย์ชั้นเรียนเมฆาม่วงดูแคลนศิษย์ชั้นเรียนเมฆาคล้อย ทุกครั้งที่พบบ้างก็ทำมองเมิน บ้างก็หัวเราะเยาะ
สนามฝึกยุทธ์ของชั้นเรียนเมฆาม่วงเป็นสนามฝึกที่ดีที่สุด อาณาเขตล่าสัตว์ของศิษย์ในชั้นเรียนเมฆาม่วงก็ดีที่สุดและใหญ่ที่สุด
อย่างที่ทุกคนทราบกันดี ยิ่งลึกเข้าไปในหุบเขาเท่าไหร่ก็ยิ่งล่าสัตว์วิญญาณและเก็บเกี่ยวสมุนไพรวิญญาณระดับสูงได้ง่ายขึ้นเท่านั้น ศิษย์ขอชั้นเรียนเมฆาม่วงครอบครองอาณาเขตตั้งแต่หลังเขาไปจนถึงสันเขา ศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาคล้อยจะขึ้นไปไม่ได้เด็ดขาด แม้ว่าบางครั้งจะลักลอบเข้าไปแต่ก็จะถูกโยนออกมาเสมอ
ต่อให้เป็นตอนที่จัดการแข่งขันกระชับมิตรกับสำนักศึกษาที่อยู่ภายนอก ศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาคล้อยก็เข้าร่วมไม่ได้ ทำได้เพียงมองดูศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาม่วงแสดงแสนยานุภาพตาละห้อย…
ก่อนที่ศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาคล้อยจะมาที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ส่วนใหญ่เป็นอัจฉริยะที่ได้รับการพะเน้าพะนอ ถูกคนในตระกูลเอาอกเอาใจดั่งพญาหงส์ ทุกคนล้วนหยิ่งทะนงภาคภูมิ ถูกเลี้ยงดูจนเสียนิสัยไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา
ตราบจนมาถึงสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ถึงได้รู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน ที่นี่มีอัจฉริยะอยู่มากมาย คุณสมบัติของพวกเขามิเลิศเลอไปกว่าฝูงชน ไม่โดดเด่นเลยสักนิด ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเจียมตนอีกครั้ง
ตอนที่พวกเขาเข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มาถึงอย่างไรก็เพิ่งอายุสิบสองสิบสามปีเท่านั้น ล้วนเป็นเด็กน้อยทั้งสิ้น เป็นช่วงวัยต่อต้านพอดี ความสูงส่งทะนงตนผนวกกับความน้อยเนื้อต่ำใจรวมอยู่บนร่างพวกเขา ทำให้บางครั้งพวกเขาก็ดูถูกตนเองยอมรับความพ่ายแพ้ บางครั้งล้มแล้วไม่ยอมลุก บางครั้งก็ทำตัวเกกมะเหรกเกเรเพื่อหาความมีตัวตน ถึงหล่อหลอมให้เกิดเด็กมีปัญหามากมายถึงเพียงนี้ ถึงได้มีชั้นเรียนเมฆาคล้อยแห่งนี้…
ที่นี่ก็เหมือนค่ายฝึกทหารรบ แข่งขันกันอย่างโหดร้าย ต่อสู้กันอย่างดุเดือด มีบางคนที่ได้อยู่ต่อและมีบางคนที่ถูกคัดออก
ผู้ที่เก่งกาจจะกลายเป็นหน่วยรบพิเศษของจักรพรรดิ ผู้ที่ไม่เหมาะสมจะถูกส่งไปเลี้ยงหมู…
ศิษย์ชั้นเรียนเมฆาม่วงก็เหมือนหน่วยรบพิเศษ พวกเขาย่อมไม่เห็นทหารที่ถูกคัดออกแล้วส่งไปเลี้ยงหมูในไร่อยู่ในสายตา…
640 +641
บทที่ 640+641
โดย
Ink Stone_Romance
บทที่ 640 เรื่องนี้ประหลาดนัก!
ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มีนักเรียนชั้นเมฆาม่วงมากที่สุด มีทั้งหมดเก้าชั้นเรียน ชั้นเรียนศิษย์ใหม่สามชั้น ชั้นเรียนระดับกลางสามชั้น ชั้นเรียนระดับสูงสามชั้น
ตามสถานการณ์ปกติแล้ว ศิษย์ใหม่เล่าเรียนสามปีก็จะเข้าสู่ชั้นเรียนระดับกลาง ชั้นเรียนระดับกลางเล่าเรียนสี่ปีก็จะเข้าสู่ชั้นเรียนระดับสูง แน่นอน ถ้าพบคนที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ก็อนุญาตให้ข้ามชั้นได้
เฉกเช่นเยี่ยนเฉินผู้โดดเด่น มาอยู่ได้สามปี ก็กลายเป็นศิษย์ดีเด่นของชั้นเรียนระดับสูงแล้ว
ส่วนชั้นเรียนเมฆาคล้อยเป็นชั้นเรียนสำหรับรองรับศิษย์ที่ล้มเหลวในชั้นเรียนศิษย์ใหม่
หรือสำหรับผู้ที่มีระดับวิญญาณพอถูๆ ไถๆ ถึงขั้นหก เป็นอัจฉริยะทว่าไม่มีคุณสมบัติพอจะเข้าชั้นเรียนเมฆาม่วง
ศิษย์เช่นนี้มีไม่มากนัก ดังนั้นจึงมีเพียงชั้นเรียนเดียว
ถึงแม้พวกกู้ซีจิ่วจะสามารถกลาดล้างชั้นเรียนเมฆาคล้อยได้อย่างยอดเยี่ยม แต่นั่นก็เป็นเพียงการคัดนายทัพจากหมู่คนเป๋[1]เท่านั้น ในสถานที่ที่ไม่ขาดแคลนเรื่องน่ามหัศจรรย์อย่างสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์นั้นไม่นับว่าเป็นอันใด
และไม่ได้แปลว่าจะสามารถเอาชนะกลุ่มที่อ่อนแอที่สุดในชั้นเรียนเมฆาม่วงได้
ดังนั้นกลุ่มของกู้ซีจิ่วคิดจะเอาชนะให้ได้สักตานั้นไม่ง่ายดายเลย จะต้องทำงานหนักขึ้น
ยามซวีของทุกวันเป็นเวลาฝึกซ้อมที่ตายตัวของคนทั้งสาม พวกเขาจะเรียนรู้และฝึกฝนบนพื้นที่รกร้างแห่งหนึ่งด้านหลังหุบเขา
วันนี้ กู้ซีจิ่วและเชียนหลิงอวี่ล้วนมาถึงแล้ว ผลคือรออยู่นานสองนานก็ไม่เห็นจิ้งจอกน้อยผู้นั้นโผล่มา
กู้ซีจิ่วฉงนใจ ที่ผ่านมาจิ้งจอกน้อยจะมาถึงเป็นคนแรกเสมอ ครั้งนี้เป็นอะไรไป?
ยุคนี้ไม่มีโทรศัพท์จึงติดต่อสอบถามไม่ได้ เพียงแต่กู้ซีจิ่วก็ยังมีวิธีอยู่ เธอเรียกเจ้าหอยยักษ์ที่รับหน้าที่เฝ้ายามอยู่รอบๆ มา ให้มันจับสัมผัสดู
เจ้าหอยยักษ์ไม่พูดทำเพลงอะไรมุดดินลงไปทันที ผ่านไปครู่หนึ่งก็รายงานแก่กู้ซีจิ่ว “นางอยู่บนทุ่งหญ้าที่ห่างจากที่นี่ไปห้าลี้ โอ้ กำลังสู้กับคนอื่นอยู่!”
เด็กว่านอนสอนง่ายคนนั้นสู้กับคนอื่นอยู่หรือ? เรื่องนี้ประหลาดนัก!
ร่างกายกู้ซีจิ่วเปล่งแสงวาบ เคลื่อนย้ายไปทันที…
“ซีจิ่ว รอข้าด้วยสิ!” เชียนหลิงอวี่สีหน้าทะมึน รีบไล่ตามไปทันที
….
“ฝีมือกระจอกอย่างเจ้ายังคิดจะเอาชนะชั้นเรียนเมฆาม่วงของพวกเราอีกหรือ? อย่าฝันไปหน่อยเลย! แค่นิ้วเดียวของข้าก็ขยี้ศีรษะเจ้าได้แล้ว!”
บนทุ่งหญ้า หลานไว่หูล้มกองอยู่บนพื้น ชุดกระโปรงที่เดิมทีขาวสะอาดเต็มไปด้วยฝุ่นธุลี เรือนผมแผ่สยายยุ่งเหยิง เห็นได้ชัดว่านางถูกทุบตี พยายามจะลุกขึ้นมาหลายครั้งแต่ก็ล้มเหลวทุกครั้ง
มีศิษย์ชั้นเมฆาม่วงคนหนึ่งยืนหยิ่งผยองอยู่หน้าร่างนาง ต่อว่านางอย่างลำพอง
“เจ้าโง่อย่างกับหมู หากมิใช่เยี่ยนเฉินคุ้มครองเจ้ามาโดยตลอด เจ้าคงถูกตะเพิดกลับบ้านไปนานแล้ว! ยังจะอาศัยอยู่ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ได้อีกหรือ?”
“เอ้า ร้องไห้คร่ำครวญอีกแล้ว ในใจเจ้าคงคิดจะไปฟ้องพี่เยี่ยนเฉินของเจ้าอยู่กระมัง? คนอย่างเจ้า ก็ทำได้แค่กระเสือกกระสนซุกอยู่ใต้ปีกของเขา พอห่างจากเขาเจ้าก็ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง”
“ข้าไม่ใช่แบบนั้น!” ใบหน้าน้อยๆ ของหลานไว่หูเปียกปอนน้ำตา ทว่ายังคงเถียงหัวชนฝา
“อันที่จริงเจ้าฟ้องไปก็ไม่มีประโยชน์ ข้าก็ไม่ได้ทำอะไรเจ้าจริงๆ เสียหน่อย ต่อให้เขารู้ขึ้นมาอย่างมากก็คงต่อว่าข้าสักครา เขาเป็นศิษย์ชั้นแนวหน้าคนหนึ่งของชั้นเรียนระดับสูง ลงมือกับศิษย์ใหม่เช่นข้าไม่ได้กระมัง? อย่างไรก็ตามข้าขอเตือนเจ้าด้วยความจริงใจ คนโง่อย่างเจ้าอยู่อย่างว่าง่ายในชั้นเรียนเมฆาคล้อยง่อยๆ ไปวันๆ เสียเถอะ อย่าได้คิดตะเกียกตะกายกลับชั้นเรียนเมฆาม่วงอีก เจ้าไม่คู่ควร”
ศิษย์คนนั้นโจมตีความเชื่อมั่นในตัวเองที่แสนเปราะบางของหลานไว่หูต่อไป
หลานไว่หูกัดริมฝีปากแน่น ไม่พูดอะไรออกมา
“เจ้าอย่าคิดว่าตอนนี้มีพรรพวกสองคนแล้วจะกำแหงต่อหน้าข้าได้ สองคนนั้นก็เป็นตัวไร้ค่าเหมือนกัน คนหนึ่งถูกขับไล่จากชั้นเรียนเมฆาม่วง อีกคนไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะเข้าชั้นเรียนเมฆาคล้อยด้วยซ้ำ ต่อให้พวกเขามากันพร้อมหน้า ข้าก็สามารถซัดพวกเจ้าทั้งหมดลองไปนอนกองได้ด้วยมือเดียว!”
หลานไว่หูโกรธแล้ว “พวกเขามิใช่เช่นนั้น! พวกเขามีฝีมือล้ำเลิศ! เจ้ารังแกข้าได้ แต่ไม่อนุญาตให้ว่าพวกเขาเช่นนี้!”
————————————————————————————-
บทที่ 641 ซีจิ่ว ข้าทำขายหน้าเสียแล้ว…
กู้ซีจิ่วปรากฎตัวขึ้นมาจากความว่างเปล่า เธอปรากฏตัวเบื้องหน้าศิษย์คนนั้นโดยตรง ห่างกันไม่ถึงครึ่งเมตร ศิษย์คนนั้นสะดุ้งโหยง ถอยหลังไปตามสัญชาตญาณ พอเห็นคนที่มาชัดเจนก็หน้าเปลี่ยนสี “เป็นเจ้า!”
กู้ซีจิ่วคร้านจะสนใจเขา ยื่นมือให้หลานไว่หู “จิ้งจอกน้อย ลุกขึ้นมา!”
ดวงตาหลานไว่หูเปล่งประกาย แต่ยังอับอายอยู่บ้าง ”ซีจิ่ว ข้าทำขายหน้าเสียแล้ว…”
“เจ้าเป็นผู้ช่วยของนางหรือ? เหอะๆ พวกเจ้าคิดจะรุมข้าหรือไง?” ศิษย์คนนั้นโวยวายอยู่ด้านข้าง
กู้ซีจิ่วยังคงไม่สนใจเขาเช่นเดิม จับชีพจรให้หลานไว่หู พบว่านางได้รับบาดเจ็บภายในเล็กน้อย อาการภายนอกไม่ร้ายแรง ถึงได้วางใจ มอบยารักษาเม็ดหนึ่งให้นางปลอบนางพลางซักถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
ความจริงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ง่ายดายนัก
อย่างที่ทุกคนทราบกันดี ในชั้นเรียนที่ยอดเยี่ยมล้วนมีศิษย์ที่รั้งท้ายอยู่สักคน
ผู้ที่อยู่เบื้อหน้านี้ก็เช่นกัน เขามีนามอันโดดเด่นว่าหวงเทียนสิง เขาเป็นอดีตสหายร่วมชั้นของหลานไว่หู ผลการเรียนเขารั้งท้ายอยู่ตลอด เพื่อปลอบประโลมจิตใจ เขาจึงมากลั่นแกล้งหลานไว่หูที่ไม่ได้เรื่องยิ่งกว่าเขา มักจะทุบตีหลานไว่หูจนน่วมเสมอ
ฝีมือเจ้าเด็กนี่ไม่ได้ดีเด่อะไรมากมาย แต่ก็เฉลียวฉลาดอยู่บ้าง ยามที่รังแกหลานไว่หูไม่เคยเหลือบาดแผลภายนอกที่เด่นชัดไว้บนร่างนางเลย ต่อให้มีแผลก็เป็นจุดที่ไม่อาจเปิดเผยได้
อย่างเช่น ท้องน้อย ต้นขา…ตำแหน่งใต้ร่มผ้าเหล่านี้เป็นเป้าหมายโจมตีของเขา
เนื่องจากตำแหน่งที่บาดเจ็บเหล่านี้ไม่เคยถูกผู้ใดพบเห็น แถมหลานไว่หูยังเป็นสาวน้อยที่ค่อนข้างหัวรั้นด้วย เหตุการณ์ที่ถูกรังแกส่วนมากจะไม่บอกแก่เยี่ยนเฉิน
ด้วยเหตุนี้เจ้าเด็กคนนี้จึงรังแกนางหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ทุกสามวันก็ห้าจะมาหาเรื่องนางสักครั้ง
จวบจนกู้ซีจิ่วมาถึง จิ้งจอกน้อยชอบป้วนเปี้นวอแวเธอ แทบจะไม่ออกห่างเธอเลย ทำให้สิบวันมานี้เจ้าเด็กนี่หาโอกาสไม่ได้
หนนี้จิ้งจอกน้อยอยู่ลำพัง จึงถูกเขาสกัดไว้
เจ้าเด็กนี่คงจะได้ยินเรื่องที่กลุ่มของหลานไว่หูสยบชั้นเรียนเมฆาคล้อยทั้งหมดได้ และไม่เชื่ออย่างยิ่งว่าจิ้งจอกปวกเปียกที่ปล่อยให้เขารังแกตัวนั้นจะเก่งกาจได้ถึงเพียงนี้ ดังนั้นจึงสกักดหลานไว่หูไว้แล้วบังคับให้นางประมือกับตน…
หลานไว่หูทั้งเกลียดทั้งกลัวเขา ไม่อยากประมือกับเขา แต่เจ้าเด็กนี่ขวางทางไว้ไม่ให้นางจากไป สุดท้ายจึงจำใจต้องประมือด้วย ต่อมาหลานไว่หูพ่ายแพ้ เลยถูกเขาทุบตีจนน่วมอีกครั้ง
กลายเป็นเหตุการณ์เมื่อครู่นี้
ชั่วระยะที่พูดกันอยู่ เชียนหลิงอวี่ก็มาถึง เมื่อเขาเห็นสหายตัวน้อยที่ปกติน่ารักน่าเอ็นดูถูกทุบตีจนน่าเวทนาเช่นนี้ โทสะก็พวยพุ่งสูงสามจั้ง เงื้อแขนถกแขนเสื้อหมายจะเข้าไปชกตีคน
หวงเทียนสิงค่อนข้างหวาดกลัว พยัคฆ์ร้ายยังหวั่นเกรงฝูงหมาป่า นับประสาอะไรกับเขาที่ไม่พยัคฆ์ร้าย…
ในใจเขาหวาดหวั่น แต่สีหน้ายังคงหยามหมิ่นยิ่งนักอยู่ “นี่พวกเจ้าคิดจะรุมหรือ? เหอะๆ ”ข้ากับนางประลองกันอย่างถูกต้อง นางแพ้ก็สอมควรยอมรับผลของการพ่ายแพ้…”
เชียนหลิงอวี่เดือดดาลยิ่ง “ตัวอย่างเจ้ามีค่าพอให้พวกข้ารุมหรือไง? คุณชายน้องอย่างข้าคนเดียวก็สามารถจัดการเจ้าได้อยู่หมัดแล้ว!”
หวงเทียนสิงถอยไปด้านหลัง “ข้าประลองไปแล้วรอบหนึ่ง นี่เจ้าจะสู้แบบผลัดไม้หรือ? เหอะ เช่นนั้นถึงเจ้าชนะก็ไม่นับว่ามีฝีมืออะไร!”
กู้ซีจิ่วตบไหล่หลานไว่หูเบาๆ “จิ้งจอกน้อย เจ้าเชื่อใจข้าไหม?”
หลานไว่หูตะลึงไปครู่หนึ่ง พยักหน้าอย่างหนักแน่น “เชื่อ!”
“ดี เช่นนั้นก็สู้กับเขาอีกครั้ง! วางใจเถอะ ด้วยวรยุทธ์ของเจ้าเอาชนะเขาได้แน่ ขอเพียงทุ่มเทให้เต็มที่ก็พอ” จากนั้นก็มองหวงเทียนสิงแวบหนึ่ง “กล้าประลองกับนางอีกตาหรือไม่?”
หวงเทียนสิงเชิดหน้าตอบ “มีอะไรให้ไม่กล้ากัน? พวกเจ้าอย่ากลัวที่ข้าทุบตีนางจนหมอบอีกครั้งก็พอ!”
————————————————————————————-
[1] คัดนายทัพจากหมู่คนเป๋ อุปมาถึง การคัดเลือกคนที่พอจะใช้การได้บ้างจากเหล่าคนที่ใช้การไม่ได้เลย
บทที่ 642+643
โดย
Ink Stone_Romance
บทที่ 642 ข้าจะเป็นกำลังใจให้เจ้านะ!
กู้ซีจิ่วพยักหน้า ล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา ปูลงบนโขดหินที่อยู่ด้านข้าง ตวัดเขียนอักษรอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเรียกคนที่เหลือเข้ามา “นี่คือสัญญาเป็นตาย หลังจากพวกเจ้าลงนามแล้วสามารถต่อสู้กันอย่างเต็มที่ได้! ไม่ว่าเป็นหรือตาย ขึ้นอยู่กับฝีมือ!”
หวงเทียนสิงตกตะลึง จ้องมองกู้ซีจิ่ว “เจ้าเอาจริงหรือ? ถ้าข้าสังหารนางจริงๆ พวกเจ้าจะไม่ล้างแค้นให้นางหรือ? ไม่สิ เยี่ยนเฉินไม่ปล่อยข้าไปแน่…”
“หลังจากลงนามในสัญญาเป็นตาย เป็นอยู่ตกตาย ผู้อื่นไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย เยี่ยนเฉินก็ทราบเหตุผลนี้ ไม่เอาเรื่องเจ้าแน่นอน ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วว่ากล้าลงนามหรือไม่” น้ำเสียงกู้ซีจิ่วสบายๆ
หวงเทียนสิงตัดสินใจได้ทันที “ได้! เช่นนั้นเจ้าสองคนก็ต้องเป็นพยานรู้เห็นด้วย! ลงนามของตนด้วยเช่นกัน!”
“ไม่มีปัญหา” กู้ซีจิ่วเขียนชื่อตัวเองลงไปก่อน
เชียนหลิงอวี่ยังคงเชื่อใจกู้ซีจิ่วมาก ดังนั้นหลังกจากที่เขาชะงักไปครู่หนึ่งก็เขียนนามของตนลงไปเช่นกัน
ใบหน้าน้อยๆ ของหลานไว่หูขาวเผือด แต่นางก็กัดริมฝีปากแน่นแล้วเขียนนามของตนลงไป
หวงเทียนสิงถูกต้อนมาถึงตรงนี้ ครั้นจะไม่ลงนามก็ดูขี้ขลาดเกินไปหน่อย ด้วยเหตุนี้จึงลงนามเช่นกัน
กู้ซีจิ่วโบกสัญญาเป็นตายฉบับนั้น เป่าจนหมึกบนนั้นแห้ง ยิ้มบางๆ ทว่ารอยยิ้มนั้นมองอย่างไรก็ดูน่าขนลุก หวงเทียนสิงถูกรอยยิ้มนี้ของเธอทำให้อกสั่นขวัญแขวน
กู้ซีจิ่วมองหลานไว่หู “จิ้งจอกน้อย วรยุทธ์เจ้าแข็งแกร่งกว่าเจ้ามาโดยตลอด เพียงแต่เจ้าใจอ่อนเกินไป ยามต่อสู้ลงมือไม่เต็มที่ ถ้าเจ้าทุ่มเทจริงๆ เขาย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า ตอนนี้ถึงเวลาที่เจ้าต้องพิสูจน์ตัวเองแล้ว! จำไว้ประโยคหนึ่ง พบพานศัตรูบนทางแคบผู้ที่กล้าหาญกว่าถึงจะมีชัย เยามนี้เจ้ามีแต่ต้องสู้!”
ไม่มีใครสามารถซุกอยู่ใต้ปีกผู้อื่นไปได้ชั่วชีวิต เป็นความจริงที่ว่าจะต้องพึ่งพาตัวเอง สิ่งเดียวที่หลานไว่หูขาดไปคือความเหี้ยมหาญ แถมยังใจอ่อน เกรงว่าถ้าควบคุมแรงไม่ดีจะทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บได้ หากเป็นเพียงคุณหนูผู้หนึ่งที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในห้องหอ นิสัยเช่นนางไม่นับว่ามีอะไร ปกติทั่วไปยิ่ง
แต่นางเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ที่ให้ความเคารพต่อผู้ที่แข็งแกร่ง หากนางไม่ฮึดสู้ก็มีแต่จะถูกทิ้งไว้ด้านหลังและถูกกลั่นแกล้งรังแก!
ดังนั้นครั้งนี้กู้ซีจิ่วต้องบีบให้นางทลายกำแพงในใจตนให้ได้
หลานไว่หูมองเธอด้วยสายตาเปล่งประกาย เห็นได้ชัดเจนยิ่งนัก จิตวิญญาณการต่อสู้ของนางถูกวาจานี้ของกู้ซีจิ่วปลุกเร้าขึ้นมาแล้ว
กู้ซีจิ่วยิ้มนิดๆ “ข้าจะเป็นกำลังใจให้เจ้านะ!”
จากนั้นเธอก็ถอยหลังไป “เอาล่ะ พวกเจ้าเริ่มได้เลย!”
….
เชียนหลิงอวี่ยังไม่วางใจเท่าไหร่ กระซิบถามกู้ซีจิ่ว “จิ้งจอกน้อยจะไหวหรือ? อย่าได้ถูกอีกฝ่ายสังหารเข้าจริงๆ เลย! หากว่านางเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น บางทีเยี่ยนเฉินอาจจะไม่สนสัญญาเป็นตายแล้วไปเอาเรื่องหวงเทียนสิงก็ได้ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะมาเอาเรื่องเจ้า…”
กู้ซีจิ่วเอ่ยว่า “วางใจเถอะ! ยามที่ถูกบีบให้ถอยจนหมดทางถอยแล้ว จิ้งจอกก็สามารถเปลี่ยนเป็นหมาป่าได้! อีกอย่างยังมีข้าอยู่ทั้งคน!”
ในที่สุดหลานไว่หูกับหวงเทียนสิงก็เริ่มสู้กันแล้ว ในสนามรบเกิดคลื่นโหมกระหน่ำ
ตอนแรกเริ่ม บางทีอาจเป็นเพราะอิทธิพลที่สั่งสมมานานของหวงเทียนสิง หลานไว่หูเลยยังไม่กล้าใส่เต็มที่ ตกเป็นรองทันที
เชียนหลิงอวี่ค่อนข้างร้อนรน กระโดดเหยงๆ อยู่ตรงนั้น “จิ้งจอกน้อย ทุบเขาสิ! ทุบเขาเลย! อย่าเอาแต่ถอย!”
กู้ซีจิ่วจับจ้องสนามรบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเริ่มนับจำนวน “สอง แปด ห้า สี่ สาม…”
คนอื่นอาจไม่ทราบว่าเธอนับทำไม แต่หลานไว่หูกลับทราบดี เนื่องจากกู้ซีจิ่วเคยเรียงลำดับกระบวนท่าทั้งหมดของนางไว้ เช่นนี้ยามที่ต่อสู้จะได้ตักเตือนได้สะดวก แต่เดิมเพื่อให้ประสานงานได้สะดวก นึกไม่ถึงว่าจะได้ใช้ที่นี่วันนี้!
วรยุทธ์พื้นฐานของหลานไว่หูไม่ได้ต่ำต้อย เพียงแต่ยามต่อสู้ไม่รู้ว่าควรใช้กระบวนท่าไหนตอบโต้ศัตรูเท่านั้น
————————————————————————————-
บทที่ 643 และทุกอย่างนี้ล้วนเป็นเพราะกู้ซีจิ่วทั้งสิ้น…
ยามนี้พอกู้ซีจิ่วท่องออกมา นางก็รีบออกท่าตามที่กู้ซีจิ่วบอกทันที!
ผ่านไปครู่หนึ่ง หวงเทียนสิงที่อยู่ภายใต้การโจมตีปานพายุคลั่งของนางก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถูกหลานไว่หูซัดกระเด็นไปหลายที…
เป็นครั้งที่หลานไว่หูต่อสู้ลำพังแล้วเป็นฝ่ายได้เปรียบ ความกล้าเพิ่มพูนขึ้นทันที!
เมื่อนางได้เห็นหวงเทียนสิงที่นางชิงชังมาโดยตลอดถูกนางโจมตีจนล้มลุกคลุกคลาน นางก็ฮึกเหิมมาก! สำแดงวิชายุทธ์ได้ดียิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้การประลองตัวต่อตัวจึงค่อยๆ กลายเป็นการโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ในที่สุดหวงเทียนสิงก็ยอมแพ้ ร้องไห้คร่ำครวญให้หยุด…
ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะให้พวกเขาลงนามในสัญญาเป็นตาย แต่สุดท้ายก็ไม่คิดจะให้แลกชีวิตจริงๆ ยังคงให้หลานไว่หูยั้งมือในเวลาที่เหมาะสม
เมื่อมองหวงเทียนสิงอีกครั้ง ก็กลายเป็นว่าคลานอยู่บนพื้นแล้ว ในการต่อสู้ครั้งนี้ เขาถูกหลานไว่หูซัดจนกระเด็นไปชนก้อนหินสิบสี่ครั้ง ทุ่มลงแอ่งโคลนแปดครั้ง โคลนเปรอะทั่วร่าง หน้าบวมปูดเหมือนหัวหมู ซี่โครงก็ทักไปหลายท่อน ตอนที่หลานไว่หูหยุดมือ เขาล้มคว่ำอยู่บนพื้นลุกแทบไม่ขึ้นแล้ว…
ยินดีเดิมพันต้องยอมรับผลแพ้ชนะ เขาเก็บชีวิตตนกลับมาได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ดังนั้นหลังจากยอมรับความพ่ายแพ้ตามเงื่อนไขของสัญญาเป็นตายโขกศีรษะให้หลานไว่หูแปดครั้งแล้ว เขาก็ไม่กล้าพูดเหลวไหลอีกเลย ทั้งกลิ้งทั้งคลานไปขึ้นสัตว์พาหนะของตนแล้วจากไป
ความสูญเสียครั้งนี้เพียงพอให้เขาจดจำไปชั่วชีวิต นับตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่กล้าหาเรื่องหลานไว่หูอีก ทุกครั้งที่เห็นนางก็จะหลีกหนีไปตามสัญชาตญาณ…
วินาทีที่เขาจากไป หลานไว่หูก็ร้องไชโยเสียงดังลั่นจนทั้งหุบเขาแทบสะเทือน!
ในที่สุดก็เชิดหน้าภาคภูมิได้แล้ว! ในที่สุดก็อาศัยกำลังตนเอาชนะเจ้าสวะที่คอยรังแกนางอยู่เสมอได้แล้ว!
หลานไว่หูฮึกเหิมอย่างยิ่ง วนอยู่รอบตัวกู้ซีจิ่ว “ซีจิ่ว ข้ารักเจ้าที่สุดเลย! เลื่อมใสเจ้าที่สุดเลย!” ด้วยความดีใจ นางแทบถลาใส่อ้อมแขนกู้ซีจิ่วแล้ว
เยี่ยนเฉินเคยเป็นที่พึ่งของนาง แต่เขาก็เป็นเหมือนผู้ปกครองของนาง หากนางถูกสหายร่วมสำนักรังแก ด้วยสถานะของเยี่ยนเฉินไม่อาจทุบตีศิษย์คนนั้นได้จริงๆ ทำได้เพียงอบรบสั่งสอนแค่ไม่กี่ประโยค มากสุดก็ปกป้องไม่ให้นางได้รับบาดเจ็บร้ายแรง แต่แก้ไขปัญหาที่แท้จริงไม่ได้ เป็นการรักษาที่ปลายเหตุมิใช่การรักษาที่ต้นเหตุ
แต่กู้ซีจิ่วกลับทำให้นางก้าวข้ามกำแพงในใจได้ ปล่อยให้นางสั่งสอนคนที่รังแกนางด้วยตัวเองหนึ่งยก ให้นางได้ใช้หมัดเอาชนะด้วยตัวเอง! ให้นางได้ระบายโทสะและเพิ่มความมั่นใจในตัวเอง ทำให้รู้สึกปลอดโปร่งอย่างยิ่ง
ถึงแม้นางจะอ่อนล้ามาก ถึงขั้นมีบาดแผลบนร่าง แต่นางกลับดีใจจนแทบจะโบยบิน
“จิ้งจอกน้อย เหนื่อยไหม? วันนี้ยังจะฝึกอยู่หรือไม่?” กู้ซีจิ่วถาม
“ฝึก!” หลานไว่หูตอบเสียงดัง
กู้ซีจิ่วคลี่ยิ้ม จูงนางแล้วก้าวเดิน “ได้ เช่นนั้นพวกเราไปฝึกกัน!”
ทั้งสามคนเดินเคียงไหล่กันจากไป ยามที่เดินจากไปกู้ซีจิ่วเหลือบมองต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งด้วยท่าทีคล้ายมิเจตนา หยักยิ้มมุมปากแวบหนึ่ง แล้วจากไป
บนต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลต้นนั้น เงาร่างของเยี่ยนเฉินปรากฏขึ้น
หมัดที่กำแน่นของเขาค่อยๆ คลายออก หินก้อนหนึ่งที่อยู่ในมือเขาแหลกเป็นผง สายลมพัดพา กระจายหายไป
เขามาถึงไม่ช้าไม่เร็วเกินไป ตรงกับช่วงที่พวกกู้ซีจิ่วตามมาถึงที่นี่พอดี ดังนั้นเขาจึงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด…
ได้เห็นจิ้งจอกน้อยที่ว่านอนสอนง่ายของบ้านตนถูกปลุกเร้าจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมา ได้เห็นนางรุกไล่อย่างห้าวหาญ ได้เห็นนางทุบตีหวงเทียนสิงผู้นั้นจนลงไปนอนหมอบ…ยามที่หลานไว่หูโห่ร้องดีใจ เขาก็รู้สึกว่าโลหิตในทรวงอกเดือดพล่านเช่นกัน ขอบตาเปียกชุ่มเล็กน้อย ในที่สุดจิ้งจอกน้อยของเขาก็เติบโตแล้ว!
และทุกอย่างนี้ล้วนเป็นเพราะกู้ซีจิ่วทั้งสิ้น…
เด็กสาวคนนี้มีความสามารถมากจริงๆ แผนการเจ้าเล่ห์ก็มากมายเช่นกัน แต่แผนการเจ้าเล่ห์ของนางกลับไม่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกเดียดฉันท์…
บทที่ 644 + 645
โดย
Ink Stone_Romance
บทที่ 644 นางสร้างปาฏิหาริย์
เขาพบว่าตนเองรู้สึกสนใจนางมากขึ้นเรื่อยๆ และชื่นชมมากขึ้นเรื่อย
เด็กสาวผู้นี้ก็เหมือนกล้องสลับลาย ทุกครั้งที่หมุนก็จะกลายเป็นลวดลายใหม่…
หรือนี่จะเป็นเหตุผลที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์รับนางเป็นศิษย์?
….
เรื่องที่กลุ่มของกู้ซีจิ่วจะได้ประลองกับศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาม่วงแพร่กระจายไปทั่วสำนักอย่างรวดเร็ว ข่าวนี้ทำให้ศิษย์ทั้งหมดในชั้นเรียนเมฆาคล้อยคึกคักมาก!
ในที่สุดศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาคล้อยก็สามารถท้าทายชั้นเมฆาม่วงอย่างเป็นทางการได้แล้ว!
ต่อให้พวกเขาจะเห็นกลุ่มของกู้ซีจิ่วขัดหูขัดตา แต่ก็รู้สึกว่าต่อสู้ได้ยอดเยี่ยมจริงๆ
เมื่อก่อนชั้นเรียนเมฆาม่วงดูถูกที่จะประลองแบบกลุ่มกับพวกเขา เนื่องจากรู้สึกว่าเช่นนั้นเป็นการลดตัวเกินไป…
ยามนี้ในที่สุดก็มีโอกาสเช่นนี้เสียที ต่อให้พ่ายแพ้ก็เพียงพอให้พวกเขาตื่นเต้นไประยะหนึ่งแล้ว
ฝ่ายศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาม่วง ดูถูกยิ่งนักตามปกติ ศิษย์ในชั้นเรียนศิษย์ใหม่ทั้งสามชั้นผู้ใดก็ไม่เต็มใจจะต่อสู้ เนื่องจากรู้สึกว่าชนะไปก็ไม่สมศักดิ์ศรี…
แต่ในเมื่อกู่ฉานโม่กล่าวมาเช่นนี้แล้ว อาจารย์ของทั้งสามชั้นเรียนก็บอกปัดไม่ได้ แต่ผู้ใดก็ไม่ยินยอมรับเคราะห์นี้ก่อน สุดท้ายเลยตัดสินใจจับฉลากกัน…
ชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องสามเคราะห์ร้ายจับได้ ‘โอกาส’ ครั้งนี้ อาจารย์ของห้องสามอึดอัดใจมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงกลับไปที่ชั้นเรียนตน เลือกไปเลือกมา สุดท้ายก็เลือกกลุ่มที่ด้อยที่สุดมารับมืออย่างขอไปที
กู้ซีจิ่วเข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์อย่างเป็นทางการได้หนึ่งเดือนครึ่งแล้ว ถูกต้อนรับด้วยการสู้กับชั้นเรียนเมฆาม่วงเป็นครั้งแรก
เดิมทีอาจารย์ของชั้นเรียนเมฆาม่วงไม่ได้เก็บเอาการประลองครั้งนี้มาใส่ใจเป็นจริงเป็นจัง ในใจเขาแค่คิดว่ากู่ฉานโม่คงจะว่างเกินไป ดังนั้นถึงได้เกิดความคิดเพี้ยนๆ จัดการประลองเช่นนี้ขึ้น เขาก็ทำได้เพียงให้ศิษย์ของตอบรับการต่อสู้ เป็นพี่เลี้ยงเล่นกับเด็กน้อย
สนามประลองที่เขาจัดคือสนามเล็กของชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องสาม แต่กู่ฉานโม่กลับไม่เห็นด้วย เขารู้สึกว่าเรื่องแบบนี้ควรจะจัดให้เป็นทางการสักหน่อย ถึงอย่างไรก็เป็นครั้งแรกที่ศิษย์ของชั้นเมฆาคล้อยท้าประลองชั้นเมฆาม่วง เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะปลุกเร้าจิตใจให้ฮึกเหิม ดังนั้นกู่ฉานโม่จึงเลือกจัดการประลองหนนี้ที่สนามกีฬาของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์
สนามกีฬาของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ฐานะเทียบได้กับสนามกีฬาแห่งชาติปักกิ่งของยุคปัจจุบัน มีเพียงยามที่มีการแข่งขันสำคัญเท่านั้นถึงจะจัดขึ้นที่นี่
อาจารย์ทุกคนต่างรู้สึกว่ากู่ฉานโม่บ้าไปแล้ว ถูกเผาในแดนเพลิงลับแลจนเลอะเลือน ถึงได้เล่นใหญ่ปานนี้
ที่นี่ยังคงเป็นกู่ฉานโม่ที่มีอำนาจมากที่สุด ถึงแม้ภายในใจของอาจารย์คนอื่นจะไม่เห็นด้วยกับคำสั่งเขา แต่ก็ไม่อาจคัดค้านได้ ดังนั้นจึงจัดเตรียมงานนี้อย่างไม่ใคร่เต็มใจนัก
แต่พวกเขาก็แอบต่อต้านในทางอ้อม อย่างเช่นจงใจจัดบทเรียนสำคัญในวันที่มีแข่งขัน ทำให้ศิษย์ในชั้นเรียนตนไปชมไม่ได้…
ด้านศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาคล้อย ส่วนใหญ่พวกเขาเกรงว่ากลุ่มของกู้ซีจิ่วจะพ่ายแพ้ยับเยินเกินไป จะสะเทือนความมั่นใจในตัวเองของพวกเขาที่ไม่ง่ายเลยกว่าจะเสริมสร้างขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงเลือกที่จะไม่ไปชมเช่นกัน เพียงบอกกล่าวแก่สหายหลายคนที่จะไปชมว่า กลับมาเล่าผลให้ฟังด้วยก็พอ ฟังแค่ผลการแข่งขันคงไม่กระทบกระเทือนนัก…
ดังนั้นในวันที่การประลองเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ผู้ชมในสนามกีฬาจึง…น้อยนิดหร็อมแหร็ม
ที่นั่งชมส่วนใหญ่เงียบเหงาวังเวง ว่างเปล่าจนที่สายลมโชยเข้ามาจากฝั่งหนึ่งพัดทะลุไปถึงอีกฝั่งหนึ่งได้
อาจารย์เมิ่งของห้องสามนั่งอยู่กับกู่ฉานโม่บนเวทีในตำแหน่งของกรรมการ มองดูความเงียบเหงาวังเวงด้านล่างเวที ในที่สุดก็กระซิบถามกู่ฉานโม่อย่างจริงใจว่า “อาจารย์ใหญ่ เป็นเพราะก่อนหน้านี้ท่านเคยล่วงเกินศิษย์ของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้เลยรู้สึกผิดต่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นถึงได้จัดงานครั้งนี้ขึ้นเพื่อกอบกู้ภาพลักษณ์ในใจท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหมขอรับ?”
กู่ฉานโม่ตอบเขาเพียงสองคำอย่างตระหนี่วาจา “เหลวไหล!”
————————————————————————————-
บทที่ 645 รุกไล่อย่างห้าวหาญ
“เช่นนั้นท่านทำเพราะเหตุใด? ข้าทราบว่าวิชาหลอมโอสถของแม่นางกู้ผู้นี้ร้ายกาจมาก เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี เรื่องนี้ทุกคนล้วนยอมรับ และข้าก็ทราบว่านางเคยสร้างปาฏิหาริย์อยู่หลายหน สติปัญญาก็เฉียบแหลมนัก ถึงขั้นรู้ทั้งวิชาแพทย์และวิชากู่ ช่วยสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์พวกเราหาตัวคนชั่วสร้างความชอบใหญ่หลวง เรื่องนี้ทุกคนทราบกันดี รู้สึกว่านางเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งจริงๆ แต่อย่างไรก็ตามพลังวิญญาณของนางขั้นห้ามิใช่หรือ? พอถึงยามที่สู้กันเข้าจริงๆ ข้าเกรงว่านางจะไม่ไหว พ่ายแพ้เป็นเรื่องเล็ก หากว่าพลาดพลั้ง นางบาดเจ็บขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไร? เกรงว่าจะให้คำอธิบายแก่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้นะขอรับ”
“วางใจเถอะ! ทุกอย่างยังมีข้าอยู่! เจ้าให้ศิษย์ของเจ้าทุ่มเทสุดความสามารถก็พอ”
ดวงตาอาจารย์เมิ่งทอแสงแวบหนึ่ง เขารอประโยคนี้อยู่เลย!
ในสนามรบไม่ยึดถือสายสัมพันธ์ เขาเคยสั่งสอนศิษย์ว่าต้องเอาจริงทุกครั้งที่ลงสนามต่อสู้ ในการต่อสู้ต้องใช้พลังทั้งหมด ตอนนี้อาจารย์ใหญ่กูกล่าวเช่นนี้แล้วเขายังต้องกลัวอะไรอีกเล่า?
เขารีบส่งกระแสเสียงให้ศิษย์สามคนนั้นของตนที่เพิ่งขึ้นมาบนเวที ‘แสดงฝีมือได้เต็มที่! พยายามเล่นงานพวกเขาให้หมอบในชั่วลมหายใจเดียว จบเรื่องตลกฉากนี้เสียเนิ่นๆ!’
ดวงตาของศิษย์สามคนนั้นเปล่งประกาย รีบถูไม้ถูมือทันที!
ถ้าลงมืออย่างไว้หน้าพวกเขาก็ต้องระมัดระวัง ค่อนข้างลำบากนัก นี่สามารถแสดงฝีมือได้เต็มที่แล้วยังต้องกลัวอะไรอยู่อีก?! ลุยกันเลย!
จิตวิญญาณการต่อสู้ลุกโชนอยู่ในดวงตาพวกเขา…
การประลองเริ่มขึ้นแล้ว…
การประลองครั้งนี้รวดเร็วยิ่ง ไปๆ มาๆ ไม่ถึงครึ่งชั่วยามด้วยซ้ำ
บนเวทีศิษย์ชั้นเมฆาม่วงทั้งสามคนนอนหมอยอยู่บนพื้นสองราย อีกรายหนึ่งถึงแม้ยังยืนไหว แต่เสื้อผ้าที่สวมถูกกรีดจนขาดวิ่น แม้แต่เส้นผมก็ขาดแหว่งไปไม่น้อย จนตรอกอย่างยิ่ง
แต่พวกกู้ซีจิ่วทั้งสามยังยืนอยู่ตรงนั้นอย่างปกติดี เชียนหลิงอวี่กำลังเท้าเอวหัวเราะเยาะอยู่ตรงนั้น “ดูเหมือนชั้นเมฆาม่วงก็ไม่เท่าไหร่นี่ ฮ่าๆๆๆ”
กู่ฉานโม่ถามอาจารย์เมิ่งที่มองด้วยสายตาโง่งม “ศิษย์ของเจ้าทุ่มเทสุดความสามารถแล้วใช่หรือไม่? ถูกศิษย์ชั้นเมฆาคล้อยเอาชนะได้คงเสียหน้ามากเอาการ”
อาจารย์เมิ่งหน้าแดงเถือก เขาสูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง เอ่ยถามกู่ฉานโม่ “ข้าส่งไปอีกกลุ่มได้ไหมขอรับ?”
มารดามันเถอะ หากรู้ล่วงหน้าว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ เขาคงไม่จับสะเปะสะปะจนได้ที่โหล่ แล้วส่งศิษย์กลุ่มที่ด้อยที่สุดมาประลอง!
กู่ฉานโม่หน้าตึง “เจ้าคิดจะเวียนกลุ่มสู้กับเด็กสามคนนี้หรือไง?”
อาจารย์เมิ่งพูดไม่ออก…
กู่ฉานโม่ตบไหล่เขาเบาๆ “เหล่าเมิ่ง เห็นแก่ที่เจ้าน่าเวทนาถึงเพียงนี้ ข้าจะให้เจ้าประลองอีกตาก็ได้ เพียงแต่ต้องเป็นอีกสามวันให้หลัง หวังว่าเจ้าจะคัดคนมาดีๆ หากอีกสามวันให้หลังคนของเจ้ายังแพ้อีก ผู้เฒ่าคงรู้สึกขายหน้าแทนเจ้าแล้ว…”
ถึงแม้การประลองครั้งนี้จะมีผู้ชมหร็อมแหร็ม แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกลับมหาศาลยิ่ง เพียงวันเดียวก็แพร่ทั่วทุกมุมของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ แม้แต่ข้ารับใช้ที่รับหน้าที่ทำความสะอาดโดยเฉพาะก็ทราบกันทั่ว
ศิษย์ชั้นเมฆาคล้อยเชิดหน้าภาคภูมิ ศิษย์ชั้นเมฆาม่วงห้องสามกลายเป็นที่น่าขบขันของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ สามวันนั้นศิษย์ของห้องสามเดินไปไหนล้วนไม่กล้าเงยหน้าขึ้น เห็นคนก็หลบทันที…
แน่นอนว่าพวกเขาแต่ละคนก็หายใจไม่ทั่วท้องเช่นกัน รอคอยที่จะได้ต่อสู้แก้ตัวประกาศศักดาในอีกสามวันให้หลัง
….
สามวันต่อมา ณ สนามกีฬา
ที่นั่งผู้ชมแน่นขนัด ไม่เพียงแต่ศิษย์และอาจารย์ทั้งมาที่มาดู แม้แต่พ่อครัวใหญ่ของโรงอาหารก็วิ่งมาดูด้วย
เพื่อสู้แก้ตัว คราวนี้อาจารย์เมิ่งได้ส่งกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดในชั้นเรียนมา สามคนนั้นพอขึ้นเวทีมากลิ่นอายก็แตกต่างกันแล้ว เอาชนะไปก่อนด้วยเสียงปรบมือที่ดังกึกก้อง
เป็นครั้งแรกที่หลานไว่หูได้เข้าการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ นางมองดูศีรษะคนที่ดำพรืดอยู่ด้านล่างแล่วค่อนข้างลายตา เมื่อมองเห็นคู่ต่อสู้ทั้งสามคนชัดเจนแล้วฝ่ามือนางก็มีหยาดเหงื่อซึมอออกมา
บทที่ 646 + 647
โดย
Ink Stone_Romance
บทที่ 646 รุกไล่อย่างห้าวหาญ 2
นางถึงขั้นไม่เชื่อสายตาตัวเองอยู่บ้าง ส่งกระเสียงไปหากู้ซีจิ่ว ‘ซีจิ่ว พวกเขาคือกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดในห้องสาม! พวกเรา…เกรงพวกเราต้องแพ้เสียแล้ว…’
ทว่านัยน์ตาของกู้ซีจิ่วกลับมีแววยิ้มหัวพาดผ่านแวบหนึ่ง ส่งเสียงกลับไปว่า ‘ข้าเดาได้แต่แรกแล้วว่าต้องเป็นพวกเขา จำกลยุทธ์ที่ข้าสอนให้เจ้าก่อนหน้านี้ได้หรือไม่?’
‘จำได้แล้ว!’
‘เช่นนั้นก็ดี! ไม่ต้องกลัว เจ้าแสดงฝีมือสุดความสามารถตามที่พวกเราซ้อมกันมาก่อนหน้านี้ก็พอ ปล่อยที่เหลือให้ข้าเอง!’
‘ได้!’
เชียนหลิงอวี่ก็ไม่หวั่น เขาคึกคักมาก!
สามารถทำให้อีกฝ่ายส่งทัพหน้าที่แข็งแกร่งที่สุดมาได้ไม่ว่าแพ้หรือชนะก็สมศักดิ์ศรีทั้งนั้น!
ประกอบกับเมื่อคืนนี้กู้ซีจิ่วบอกเขาไว้แล้ววว่าอีกฝ่ายอาจส่งทัพหน้ามา จึงสร้างกลยุทธ์ไว้ล่วงหน้า ดังนั้นความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะชนะยังคงมีอยู่มากนัก…
เนื่องจากก่อนเปิดตัวครั้งที่แล้ว ทำให้กู่ฉานโม่มีความสุขมาก จึงมอบห้องฝึกยุทธ์ห้องหนึ่งให้พวกเขาโดยเฉพาะ
ห้องฝึกยุทธ์นั้นเป็นความลับ มีเพียงพวกเขาสามคนเท่านั้นที่เข้าไปได้ ถึงคนอื่นอยากเข้าก็หาประตูไม่เจอ
ดังนั้นสามวันมานี้ถึงแม้ผู้คนในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์จะอยากรู้อยากเห็นกลยุทธ์ของพวกเขายิ่ง แต่กลับไปยืนดูอยู่ข้างๆ ไม่ได้ จึงไม่อาจคาดเดาได้
แถมการประลองครั้งก่อนก็มีผู้ชมน้อยมาก ผู้ชมเป็นศิษย์หลายคนในชั้นเมฆาคล้อยที่วรยุทธ์ต่ำต้อย มองตัวหลักไม่ออก กู่ฉานโม่ที่เป็นยอดฝีมืออย่างแท้จริงก็เก็บเรื่องนี้เงียบสนิทไม่แย้มพราย ส่วนอาจารย์เมิ่ง เขาก็มองที่มาที่ไปออก แต่กู่ฉานโม่ตบไหล่เขาแล้วกำชับเขาไว้ประโยคหนึ่ง “เจ้าคงไม่นำกลยุทธ์ที่ตนคิดไว้มาชี้แนะศิษย์ที่จะประลองรอบหน้ากระมัง? เช่นนั้นไม่ยุติธรรมยิ่งนัก อาจารย์ใหญ่เช่นข้าคิดว่าปล่อยให้พวกเขาแสดงฝีมืออย่างอิสระดีกว่า”
ด้วยเหตุนี้อาจารย์เมิ่งจึงได้แต่ปิดปากปากเงียบ ไม่เผยกลยุทธ์ของพวกกู้ซีจิ่วให้ศิษย์ตนเลยสักคำ แค่ให้พวกเขาเตรียมตัวดีๆ อย่าทำให้เขาขายหน้า
เนื่องจากทุกคนนึกเสียใจที่พลาดโอกาสครั้งก่อนไป ดังนั้นครั้งนี้ทุกคนจึงมาอย่างพร้อมเพรียง เบิกตากว้างในวินาทีที่การประลองเริ่มขึ้น
หลานไว่หูเป็นผู้เปิดฉากข่มขวัญก่อน กวัดแกว่งกระบี่ล้ำค่า วารีเขียวครามสายหนึ่งพุ่งออกมา กู้ซีจิ่วใช้กระบวนท่าลมสลาตันตามนางไปติดๆ สายน้ำที่พึ่งพาสายลมกลายเป็นคลื่นยักษ์ถาโถมในชั่วพริบตา…
อีกฝ่ายก็มิใช่ผู้ที่เคี้ยวได้ง่ายๆ รีบก่อกำแพงดินสกัดกระแสน้ำไว้ทันที อีกสองคนที่เหลือใช่พลังวิญญาณธาตุทองและธาตุไฟโจมตีใส่ฝ่ายกู้ซีจิ่ว
เชียนหลิงอวี่ซัดลูกไฟใหญ่ลูกหนึ่งออกไปสกัดเพลงยุทธ์ธาตุไฟของอีกฝ่ายไว้ แต่กลับขวางคมกระบี่ที่แปลงมาจากพลังวิญญาณธาตุทองของอีกฝ่ายไว้ไม่ทัน เมื่อเห็นว่ากำลังจะพุ่งใส่หลานไว่หูที่อยู่ด้านหน้าสุด กู้ซีจิ่วกระซิบทันทีว่า “สอง!”
มือขวาของหลานไว่หูยังคงออกกระบวนท่าเดิม ทว่ามือซ้ายพลันโบกสะบัด กำแพงวารีสายหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า คมกระบี่ชำแรกเข้าไปในกำแพงวารี ราวกับคนที่ฟาดฟันปุยฝ้ายด้วยความโกรธขึ้ง พยายามปานใดก็ไม่มีอานุภาพอย่างที่พึงมี
ทองก่อกำเนิดน้ำ คมกระบี่นี้ไม่เพียงแต่ฟันกำแพงวารีนี้ให้ขาดไม่ได้เท่านั้น กลับเสริมให้กำแพงวารีแกร่งกล้าขึ้นอีกหลายเท่าด้วย
กู้ซีจิ่วและเชียนหลิงอวี่รีบย้ายตำแหน่งทันที เชียนหลิงอวี่ปล่อยเถาวัลย์ออกมา คลายกำแพงดินที่อีกฝ่ายก่อขึ้น กำแพงดินถูกกระแสน้ำและเถาวัลย์โจมตีอย่างรุนแรงจึงพังทลายลง กู้ซีจิ่วซัดวิชาแยกวายุไปผสานกับลูกไฟที่เชียนหลิงอวี่ปล่อยออกมาออกมาอีกครั้ง…
คนทั้งหกปล่อยกระบวนท่าอยู่บนเวทีดั่งพายุโหมก็มิปาน ล้วนแต่รวดเร็วว่องไวทั้งสิ้น
ในบรรดาคนทั้งหกกู้ซีจิ่วว่องไวที่สุด แถมสายตาของนางก็เฉียบคมที่สุดด้วย ยามที่อีกฝ่ายเพิ่งจะสำแดงกระบวนท่าออกมาเธอก็ส่งเสียงแล้ว ชี้นำให้หลานไว่หูออกกระบวนท่า ขณะเดียวกันเธอประสานกับเชียนหลิงอวี่อย่างเต็มที่ไปด้วย สับเปลี่ยนตำแหน่งบ้างเป็นครั้งคราว…
ฝูงชนได้พบเจอกับความประหลาดใจ เมื่อพบว่าหลานไว่หูที่เมื่อก่อนออกกระบวนท่าต่อเนื่องกันไม่ได้เลยบัดนี้ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน ออกกระบวนท่าต่อเนื่องกัน ไม่มีชะงักเลยสักนิด นางถึงขั้นใช้ทักษะเคลื่อนไหวทั้งซ้ายและขวา สองมือซ้ายขวาสามารถปล่อยกระบวนท่าที่แตกต่างกันได้ในเวลาเดียวกัน ได้ทั้งโจมตีและป้องกัน…
————————————————————————————-
บทที่ 647 รุกไล่อย่างห้าวหาญ 3
อีกฝ่ายซัดธาตุไฟและธาตุทองมา นางก็ใช้กำแพงวารีสกัดไว้ อีกฝ่ายโจมตีด้วยธาตุดิน เชียนหลิงอวี่ก็สร้างกำแพงเถาวัลย์ขวางไว้…
พลังวิญญาณของเชียนหลิงอวี่ใกล้บรรลุขั้นแปดแล้ว ถึงแม้เขาจะสำแดงกระบวนท่าง่ายๆ แต่ก็ทรงอานุภาพนัก! ทุกกระบวนท่าที่ปล่อยออกมาเพียงพอจะทำให้อีกฝ่ายเข้าตาจนแล้ว
พลังวิญญาณของหลานไว่หูก็ไม่อ่อนด้อยเช่นกัน พอนางสำแดงกระบวนท่าออกมาอย่างถูกต้องแลต่อเนื่อง ก็สามารถทำให้อีกฝ่ายปวดเศียรเวียนเกล้าได้แล้ว
พลังวิญญาณของกู้ซีจิ่วต่ำที่สุด แต่นางมีพลังวิญญาณธาตุลมที่หายาก ลมทุกสายล้วนพัดพาได้ถูกเวลา บางครั้งก็เกื้อหนุนเปลวไฟให้ลุกลามเป็นทะเลเพลิง บางครั้งก็เกื้อหนุนกระแสน้ำจนก่อตัวเป็นคลื่นยักษ์ถาโถม ทุกกระบวนท่าที่นางปล่อยออกมาล้วนทำให้ของกระบวนท่าที่เพื่อนร่วมกลุ่มสำแดงออกมาทรงพลังขึ้นเป็นเท่าตัว…
ในการต่อสู้ การคาดเดาความเคลื่อนไหวของศัตรูล่วงหน้าคือกุญแจที่จะนำไปสู่ชัยชนะ และกู้ซีจิ่วก็เป็นบุคคลประเภทนี้พอดี อีกฝ่ายยังไม่ทันออกกระบวนท่าก็ถูกเธอมองออกทันทีอยู่ตลอด และรีบร้องบอกเพื่อนร่วมกลุ่มท่าตั้งรับที่สอดคล้องกันทันที…
วิธีต่อสู้เช่นนี้ของพวกเขาสามคน ก็คล้ายการนัดแนะกันล่วงหน้า ประสานงานกันเข้าขายิ่ง มิใช่แค่ประลองว่ากลุ่มใดเหนือกว่ากลุ่มใด ทำให้ฝูงชนที่อยู่ที่นี่ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว…
แน่นอนว่าถึงพวกกู้ซีจิ่วทั้งสามคนจะร้ายกาจ แต่อีกฝ่ายก็หาใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน การประลองครั้งนี้ตระการตาน่าชม ทำให้สายตาคนพร่ามัว
ท้ายที่สุดแล้ว ยังคงเป็นฝ่ายกู้ซีจิ่วที่มีชัย แน่นอน เป็นการเอาชนะได้อย่างเฉียดฉิว
ในสนามกีฬาเสียงไชโยโห่ร้องระเบิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ของชั้นเมฆาม่วงหรือศิษย์ของชั้นเมฆาคล้อยล้วนกู่ร้องอย่างสะใจ โดยเฉพาะศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาคล้อยที่ดีใจจนบ้าคลั่งไปแล้ว!
ทันที่ผลการแข่งขันประกาศออกมา พวกเขาก็พุ่งขึ้นไปบนเวที ยกตัวพวกกู้ซีจิ่วขึ้นแล้วโยนขึ้นสูงๆ…
ดูเหมือนกู่ฉานโม่จะปลื้มปีตินัก เขาหันไปถามอาจารย์ท่านอื่นๆ ที่อยู่ข้างกายตน “พวกท่านได้รับชมทุกอย่างแล้ว มีความเห็นว่าอย่างไรบ้าง?”
อาจารย์เอ “กู้ซีจิ่วไม่ธรรมดา!”
อาจารย์บี “สายตานางเฉียบคมนัก! แถมยังคุ้นเคยกับกระบวนท่าพื้นฐานของพลังวิญญาณธาตุต่างๆ ด้วย มองออกได้ทันท่วงที!”
อาจารย์ซี “นางช่างมีความสามารถเปลี่ยนไม้ผุให้กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ได้ อบรบหลานไว่หูให้กลายเป็นมือสังหารได้!”
อาจารย์ดี “นางยังแปลงยากให้ง่ายด้วย กระบวนท่าของพวกเขาสามคนล้วนเห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าไม่สลับซับซ้อน แต่พอประสานกันแล้วเยี่ยมยอดนัก!”
อาจารย์อี “ที่ข้าค่อนข้างสงสัยคือ ระหว่างที่ต่อสู้ทำไมบางครั้งนางนับเลขออกมา? สรุปแล้วทำเพื่ออะไร? เป็นคาถาพิสดารอย่างหนึ่งหรือ?”
อาจารย์เอ “แค่นี้เจ้าก็ไม่รู้หรือ? ฮ่าๆ เจ้าไม่เห็นหรือว่าทุกครั้งที่นางนับเลขออกมา หลานไว่หูผู้นั้นจะปล่อยกระบวนท่าออกมาทันทีมิใช่หรือ? นี่เห็นได้ชัดว่านางเรียงลำดับกระบวนท่าให้หลานไว่หู เปรียบเสมือนการเตือนกลายๆ ด้วยเหตุนี้หลานไว่หูถึงได้ออกกระบวนท่าได้รวดเร็วและแม่นยำปานนี้!”
อาจารย์ซีกำมือแน่น “น่าเสียดายที่นางนับเร็วเกินไป มิเช่นนั้นคงจำได้บ้างว่าเลขไหนตรงกับกระบวนท่าใด…”
อาจารย์อีลอบยิ้ม ความทรงจำของเขาเป็นเลิศ เขาจดจำไว้แล้ว!
จะนำกลับไปถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ ครั้งหน้าเขาอาจส่งกลุ่มของชั้นเรียนตนบ้าง…
ที่เขานึกไม่ถึงก็คือ กว่าเขาจะให้ลูกศิษย์จับคู่กระบวนท่าทั้งหมดกับตัวเลขเหล่านั้นของหลานไว่หูและหาทางลายมันให้ได้นั้นไม่ง่ายแลย ยามที่ต้องประลองกันอีกครั้งจึงมั่นใจมาก ทว่ากู้ซีจิ่วกลับเปลี่ยนจากการนับเลข มาเป็นการใช้อักษรแทนที่…
….
การประลองครั้งนี้ทำให้ชื่อเสียงของพวกกู้ซีจิ่วเลื่องลือไปทั่วสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ กู่ฉานโม่จึงตัดสินใจได้ทันทีว่า ต่อไปนี้ทุก สิบวันจะให้พวกกู้ซีจิ่วทั้งสามท้าประลองกับศิษย์ชั้นเมฆาม่วงหนึ่งกลุ่ม ด้วยเหตุนี้กระแสนิยมของการท้าประลองจึงลุกฮือไปทั่วสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาม่วงหวั่นเกรงว่าจะพ่ายแพ้ ดังนั้นจึงมุมานะฝึกซ้อมเป็นพิเศษ
ศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาคล้อยก็เชิดหน้าได้อย่างเต็มภาคภูมิและมีความมั่นใจมากขึ้น ใครบอกว่าชั้นเรียนเมฆาคล้อยล้วนเป็นตัวไร้ค่า? นี่มิใช่ว่ามีม้ามืดโผล่ออกมาแล้วหรือ? มีม้ามืดตัวแรกได้ก็มีตัวที่สองตัวที่สามได้…ไม่แน่ต่อไปอาจจะเป็นทีของตนบ้างก็ได้…
————————————————————————————-
บทที่ 648 ตี้ฝูอียอมหักไม่ยอมงอ
พวกเขาเริ่มศึกษากลยุทธ์ของกลุ่มกู้ซีจิ่ว จากนั้นก็หาเพื่อนร่วมกลุ่มที่เหมาะสมอีกครั้ง บางครั้งท้าประลองกันบ้างเพื่อหาแรงบันดาลใจ พัฒนาตัวเอง
….
วันเวลาผ่านไปว่องไวนัก พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามเดือนแล้ว
เขาสู้ช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงอีกครั้ง เมฆาเคลื่อนคล้อยลอยล่องบนเวหา บดบัดจันทร์เสี้ยวที่แขวนลอยกลางนภา
กู้ซีจิ่วกำลังนั่งบนโขดหินใหญ่ริมผาสูงชัน เงยหน้ามองดวงจันทร์อย่างค่อนข้างใจลอย
เธอไม่ใช่เด็กสาวประเภทที่ชอบรับลมแล้วหลั่งน้ำตา เหม่อมองจันทร์แล้วช้ำชอก นั่นเป็นเรื่องที่พวกนักกวีที่ชมชอบธรรมชาตินิยมทำกัน เหตุผลที่นั่งใจลอยอยู่ที่นี่เป็นเพราะเธอกำลังทบทวนตัวเองอยู่
เธอรู้สึกว่าอันที่จริงเธอก็เป็นคนที่รักมั่นถือมั่นคนหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นในยุคปัจจุบันเธอชอบดาราชายคนหนึ่งตั้งแต่อายุสิบสอง จากนั้นก็ชอบมาโดยตลอด
ไม่ว่าเขาจะเป็นหนุ่มหล่อน่ากินคนหนึ่ง หรือเป็นตาลุงที่ค่อนข้างตกยุคแล้ว เธอก็ยังชอบอยู่ตลอด ต่อให้เข้าสู่ค่ายฝึกนักฆ่าแล้วก็ยังชอบ
ทุกปีจะต้องเก็บสะสมโปสเตอร์ของเขาหลายแผ่น ตั้งแต่เขาอายุยี่สิบหกหน้าใสเต่งตึง จนเขาอายุสามสิบหกใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยของกาลเวลา เธอก็ชอบทั้งนั้น
อีกตัวอย่างคือเธอเริ่มชอบหลงซีตอนอายุสิบแปด รู้สึกว่าเขาคือไทป์ที่ตนชอบ น่าจะเป็นคนที่จะอยู่ตนได้ไปชั่วชีวิต ดังนั้นเธอจึงเริ่มไล่ตามทีละๆ ก้าวอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ถึงขั้นวางแผนอย่างละเอียดไว้ในใจ ทุกอย่างดำเนินไปตามแผน
วางแผนมาเกือบห้าปี อีกนิดเดียวก็จะสำเร็จอยู่แล้ว! จวบจนวินาทีที่ตาย เธอถึงได้รู้ว่าหลงซีก็วางแผนเรื่องเธอเหมือนกัน…
ที่ต่างกันก็คือ เธอวางแผนจะจับเขาทำสามี แต่เขาวางแผนเพื่อให้ได้หัวใจเธออย่างสมบูรณ์ที่สุด…
เมื่อมาถึงโลกนี้ เธอตัดสินใจว่าจะตัดขาดจากอดีต นึกไม่ถึงว่าจะต้องพบกับหลงซือเย่ผู้นี้อีก เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าหน้าไม่ได้เหมือนหลงซีไปเสียทั้งหมด นิสัยทั้งหมดก็เปลี่ยนไป แต่ยังมีความทรงจำของหลงซีอยู่ ถึงขั้นยังพัวพันเธอไม่ยอมเลิกรา ทำให้เธอกลุ้มใจมาก
ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ชายที่เธอชอบพอมานานหลายปี ซ้ำเธอยังรักมั่นถือมั่นปานนี้ เธอคิดว่าต่อให้เธออยากสลัดอีกฝ่ายทิ้งไว้ในอดีตแค่ไหนก็คงทิ้งไม่ลง
แต่ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่ตอนไหนกัน ดูเหมือนว่าเธอปล่อยวางเรื่องหลงซีได้แล้ว เธอไม่ได้นึกถึงเขาบ่อยๆ อีกแล้ว ต่อให้นึกถึงขึ้นมาอีก ก็ไม่รู้สึกทุกข์ทรมานถึงเพียงนั้นแล้ว…
และไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่ตอนไหนเหมือนกัน ดูเหมือนเธอจะมีความรู้สึกต่อตี้ฝูอี ชอบที่จะได้ฟังข่าวคราวของเขา พอได้ยินคนอื่นเอ่ยถึงนามนี้ขึ้นมา หัวใจเธอจะเต้นแรง ยามที่เธอคิดว่าตัวเองน่าจะชอบตี้ฝูอีเข้าแล้ว เธอก็ได้พบกับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อีก…
ความรู้สึกชอบพอที่เธอมีต่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่งก็ก่อตัวขึ้นมา และความชอบพอนั้นก็ไม่ต่างกับที่มีให้ตี้ฝูอีเลย เวลาที่ได้ยินคนอื่นเอ่ยถึงท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา หัวใจเธอก็เต้นแรงเหมือนกัน…
กู้ซีจิ่วยกมือนวดคลึงหว่างคิ้ว เธอไม่ใช่คนหลายใจพรรค์นั้นชัดๆ แล้วจะชอบผู้ชายสองคนในเวลาเดียวกันได้ยังไง?!
หรือร่างกายเล็กๆ นี่ผิดปกติอะไรขึ้นมา?
จะว่าไปเมื่อก่อนร่างนี้ของเธอก็ค่อนข้างคลั่งรักไม่น้อย เพียงแต่เก็บซ่อนไว้ค่อนข้างลึก…
พอนึกถึงตี้ฝูอี เธอก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงความฝันเมื่อคืน ความฝันนั้นค่อนข้างเหลวไหลเลอะเทอะ แปลกประหลาดยิ่งนัก
เธอฝันว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เรียกตี้ฝูอีมาเจอต่อหน้าเธอ จากนั้นก็บอกเขาว่า อยากให้เธอออกเรือนกับเขา แต่เงื่อนไขแรกคือเขาต้องมอบกาสุราน้อยใบนั้นให้เป็นสินสอด
และในฝันตี้ฝูอีมีสีหน้ายอมหักไม่ยอมงอ กอดกาสุราใบน้อยของเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย กล่าวอะไรทำนองว่าจะร่วมเป็นร่วมตายกับกาสุราใบน้อย คนอยู่กาอยู่ ยอมไม่แต่งานแต่ไม่ยอมเสียกาสุราไป ส่งผลให้เธอสะดุ้งตื่นทันที!
ว่ากันตามจริง เธอไม่ได้พบตี้ฝูอีมาหลายเดือนแล้ว เพียงแต่ทราบจากปากสหายร่วมสำนักมาบ้างว่าเขาดูเหมือนจะสบายดี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น