ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 601-603
ตอนที่ 601 พวกมนุษย์มิใช่ตัวดี
น่าเสียดายที่แม้แต่เรื่องที่ผู้ใดเป็นคนส่งฟ้าผ่าลงมากลางอากาศ พวกเขาก็ยังไม่รู้
ในดินแดนจิ่วโจว มีแต่เพียงยามที่ผู้บำเพ็ญเพียรได้อย่างยอดเยี่ยมบรรลุขั้นกลายเป็นเซียน จึงจะดึงดูดให้เกิดฟ้าผ่า
แต่ก็ไม่มีใครจำได้แล้วว่านานเท่าไหร่แล้วที่ดินแดนแห่งนี้ไม่ได้มีเซียนท่านใหม่ถือกำเนิดขึ้นมา
อ้อ ครั้งล่าสุดนั่น ก็คือตอนที่ บรรพชนของซ่งชิงอีแห่งวังตันติ่งกงบรรลุเป็นเซียนกระมัง จึงได้ดึงดูดให้เกิดฟ้าผ่า
แต่ว่าฟ้าที่ผ่าลงมาในคราวนั้น ไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกับฟ้าผ่าที่ผ่าลงมาในเมืองว่านฮวาเชิงได้เลย
พลังทำลายล้างและคลื่นความรุนแรงแตกต่างกันอย่างลิบลับ
ผู้คนต่างตกอยู่ในความประหวั่นใจ พรั่นพรึง
ราวกับว่าผ่านไปเพียงแค่ค่ำคืนเดียว ดินแดนจิ่วโจวทั้งหมดก็ตกอยู่ในเมฆหมอกชั้นหนึ่ง
ลองคิดดูสิ ขนาดเมืองอย่างว่านฮวาเฉิง ที่เดิมมีเขตอาคมอันแข็งแกร่งปกป้องรักษา ไม่มีทางที่จะถูกทำลายได้ง่ายๆ
แต่ว่าฟ้าที่ผ่าลงมาอย่างไร้หนทางป้องกัน ทำให้ผู้คนทั้งหลายตกอยู่ในความวิตกกังวล ขณะเดียวกันก็หวาดกลัวว่าจะเกิดฟ้าผ่าลงมาเช่นนี้อีกหรือไม่ ในดินแดนจิ่วโจวจะยังมีเมืองใดที่สามารถทนรับฟ้าผ่าที่รุนแรงเช่นนี้ได้กัน?
แถมในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้ ทั้งท่านเจ้าสำนักหยินหยางและเจ้าตำหนักตันติ่งกงต่างก็หายสาปสูญจนไร้ร่อยรอยให้ติดตาม
ผู้คนล้วนใจหาย…..
ต่างก็เริ่มคาดเดาเหตุการณ์กันไปต่างๆนานา
บางก็ว่าทั้งสองคนฉากหน้าเป็นมิตรต่อกันแต่ในใจมีความขัดแย้ง จึงต่อสู้กันบนเกาะลอยฟ้า จนตกตายกันหมดสิ้น
แต่ก็ไม่มีศพให้เห็น แม้แต่ซากขี้เถ้าก็ยังไม่มี
บางก็ว่ามีขุมกำลังที่แข็งแกร่งและมีพลังอันยิ่งใหญ่บุกเข้ามาในดินแดนจิ่วโจว …..ท่านเจ้าสำนักหยินหยางและเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนต่างก็ถูกขุมกำลังนี้สำเร็จโทษไปแล้ว
คนจำนวนมากพากันเชื่อถือในเรื่องนี้
ดังนั้นในใจของพวกเขาจึงยิ่งเกิดความหวาดกลัวมากกว่าเดิม
แม้แต่สำนักหยินหยางและตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็ยังถูกกำจัดได้ เช่นนั้นขุมกำลังนี้จะต้องแข็งแกร่งจนถึงเพียงไหน?
โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวลือจากที่ใดก็ไม่รู้บอกว่า ขุมกำลังนั้น ก็คือบรรพชนที่อยู่เบื้องหลังของวังตันติ่งกง
แดนเซียน!
บรรพชนของซ่งชิงอีมีคนที่ฝึกฝนสำเร็จจนกลายเป็นเซียนวิเศษ เรื่องนี้มิใช่ความลับอันใดในแดนจิ่วโจว!
พอลองคิดดูให้ดีๆ เจ้าสำนักหยินหยางทำลายล้างวังตันติ่งกงจนราบคาบ ซ่งชิงอีก็ตายอย่างน่าอนาถ บรรพชนของนางจะยอมปล่อยปละเขาไปได้หรือ?
ยังมี หลานสาวของเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็ยังเป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักหยินหยาง สองฝ่ายที่เดิมทีเป็นเหมือนน้ำกับไฟ แต่กลับหลอมเข้ากันได้เพราะฮ่องเต้หญิงตัวน้อยผู้นั้น
เห็นได้ชัดว่าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนจะต้องถูกลูกหลงไปด้วยอย่างแน่นนอน
ยิ่งไปกว่านั้น สายฟ้าที่ผ่ากระหน่ำลงมาทั่วท้องฟ้าแฝงเอาไว้ด้วยพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งเกินใครจะเทียบ มันไม่ใช้พลังในดินแดนจิ่วโจว
ดังนั้นหลังจากใคร่ครวญด้วยเหตุผลกลับไปกลับมาแล้ว ไม่นานทุกคนต่างก็พากันเชื่ออย่าง
สนิทใจ
ทุกวันนี้ผู้คนในในดินแดนจิ่วโจวต่างก็ใช้ชีวิตอย่างผู้เข้มแข็งกลืนกินผู้อ่อนแออยู่แล้ว หากพลาดพลั้งไม่ทันระวังเมื่อไหร่มีหวังต้องกลายเป็นสิ่งของร่วมกลบฝังไปกับซ่งชิงอี
……………..
หุบเขาหมื่นปีศาจ ยามที่ตู๋กูซิงหลันเดินทางมาถึงความมืดก็คล้อยไปทางตะวันตกหมดแล้ว
ตะวันใหม่กลมดั่งผลส้ม แดงจนบาดตา
ท้องฟ้าวันนี้อากาศแจ่มใส สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของภูเขาเขียวที่มีหิมะปกคลุมยอดได้แต่ไกล
เพียงแค่ยืนอยู่ที่เชิงเขาของหุบเขาหมื่นปีศาจ ก็รู้สึกได้ถึงไอปีศาจที่แข็งแกร่งแล้ว
หุบเขาหมื่นปีศาจสูงตระหง่านเสียดยอดเมฆา ทิวเขาทอดตัวยาวเหยียด ทั้งงดงามและตระการตา
สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างไกลจากเมืองว่านฮวาเฉิงนับพันลี้ ยังดีที่ก้น**บของฟ่านอิงมีของวิเศษ ที่สามารถส่งคนเดินทางด้วยความรวดเร็วได้ พวกเขาจึงสามารถมาถึงหุบเขาปีศาจได้ในช่วงเวลาอันสั้น
เพียงแต่ว่าหุบเขาปีศาจมีเขตอาคม ไม่อาจล่วงล้ำได้ง่ายๆ ดึงนั้นจึงส่งมาถึงแค่เชิงเขาเท่านั้น
สีหน้าของท่านเจ้าสำนักไม่ค่อยดี เขายืนอยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน มองดูหุบเขาหมื่นปีศาจ
ทั่วทั้งหุบเขามีแต่กลิ่นของปีศาจจิ้งจอกที่เขาไม่ชอบเท่าไหร่
แต่เพราะว่าพี่ชายของศิษย์น้อยอยู่ที่นี่ จึงได้แต่ต้องจำใจเข้าไป
ตู๋กูซิงหลันหยุดอยู่ที่เชิงเขาครู่หนึ่ง ก็เอ่ยว่า “ขึ้นไปกันเถอะ”
ตอนนี้นางกำลังเป็นห่วงร่างกายของพี่รอง ถึงแม้ว่าเขาจะมีสายเลือดของเผ่ามังกรทมิฬอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่ว่าพิษนั่นก็มาจากแดนสวรรค์ กลัวว่าเขาจะต้านทานไม่ไหว
ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไป ก็เห็นว่ามีอะไรกลมๆเหมือนลูกบอลขนฟูๆกระเด้งดุ๋งๆออกมาจากในเขาด้วยความรวดเร็ว
ลูกบอลกลมๆนั่นยังไม่ทันได้เข้ามาใกล้พวกนาง พวกมันก็เปลี่ยนร่างกายเป็นร่างมนุษย์
จากนั้นฝูงจิ้งจอกน้อยในร่างมนุษย์ที่มีหูยาวและหางเป็นพวงก็พุ่งมาหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าพวกนาง
ทั้งหมดรั้งอยู่ในเขตอาคมป้องกัน รักษาระยะห่างจากพวกนางช่วงหนึ่ง
แต่ละตัวจับจ้องมองมาด้วยความหวาดระแวงอย่างเต็มที่
นี่เป็นครั้งแรกที่ตู๋กูซิงหลันได้เห็นลูกบอลมีขนกลายร่าง…..ถึงแม้ว่าจะได้เห็นปีศาจมามาก แต่ว่านี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นพวกมันกลายร่างกับตา
ดูไปแล้วแปลกประหลาดไม่น้อย ดวงตาดอกท้อต้องเบิกกว้างขึ้นมา
ในมือของปีศาจน้อยเหล่านี้ยังมีหอกและอาวุธต่างๆ พอกวาดตามองดูร่างของพวกมันรอบหนึ่ง พวกมันก็พากันพองขนขึ้นมา
“พวกเจ้าเป็นเผ่ามนุษย์?”
ตัวจ่าฝูงเป็นจิ้งจอกสีขาวตัวหนึ่ง หลังจากแปลงร่างเป็นมนุษย์ ตลอดร่างก็สวมใส่ชุดฟูๆสีขาวสะอาด หางใหญ่เป็นพวงแกว่งไปมาอยู่ด้านหลัง
ถึงแม้ว่าสีหน้าจะดูสงบนิ่ง แต่ว่าหางขนาดใหญ่ของมันกลับเคลื่อนไหวไปมาไม่มีหยุด
ทั่วทั้งหุบเขาหมื่นปีศาจต่างก็รู้กันดีว่าพวกมนุษย์นั้นมิใช่ตัวดีอะไร
โหดเ**้ยม เห็นแก่ตน กระหายเลือดและบ้าอำนาจ
ที่สำคัญพวกมันกินทุกอย่าง!
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว บนหุบเขาหมื่นปีศาจ บรรดาปีศาจน้อยที่ยังไม่สามารถแปลงร่างได้ มักถูกพวกมนุษย์บุกเข้ามาอยู่เรื่อยๆ จับตัวเผ่าพันธุ์เดียวกับพวกมันไปไม่น้อย
พวกปีศาจหมีถูกจับไปตัดอุ้งมืออุ้งเท้า กรีดถุงน้ำดีออกมากินทั้งเป็น
พวกจิ้งจอกและตัวมิงค์ก็ถูกจับไปถลกหนังทั้งเป็น ทำเป็นผ้าพันคอผ้าคลุมขนมิงค์ หนังจิ้งจอก
ทุกตนต่างก็เป็นสิ่งมีชีวิตในหกภพภูมิ ต่างก็มีสิทธิจะมีชีวิตอยู่ในโลกเหมือนกัน เผ่ามนุษย์กินเนื้อ บรรพชนของพวกมันรู้จักเลี้ยงดูไก่เป็ดปลาเอาไว้กินมานานนับพันนับหมื่นปีแล้ว แต่พวกมันก็ยังออกล่า ลงมือกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆอย่างโหดร้าย
สิ่งมีชีวิตที่ไร้ความผิดมากมายเท่าไรที่ต้องตายไปภายใต้ความโลภโมโทสันอันไร้ที่สิ้นสุดของพวกมนุษย์
อย่าได้เห็นว่าตอนนี้พวกปีศาจและพวกมนุษย์จะแยกกันอยู่อย่าสงบ
ที่จริงแล้วยังมีพวกปีศาจจำนวนไม่น้อยถูกพวกมนุษย์จับตัวไป กระทำการชั่วช้า เพื่อรีดเค้นเอาพลังวิญญาณของพวกมัน
บนหุบเขาหมื่นปีศาจ ปีศาจทั้งหลายต่างก็เกลียดชังพวกมนุษย์
อ้อ นอกเสียจากองค์ชายน้อย ที่พึ่งจะกลับมา หลังจากไปเกิดในครรภ์มนุษย์มาครั้งหนึ่ง
ในสายตาของประชากรเผ่าปีศาจทั้งหลาย องค์ชายน้อยคือตัวประหลาด
ดังนั้นทันทีที่พวกมันได้เห็นกลุ่มของตู๋กูซิงหลัน ทั้งยังเห็นว่าพวกนางมีไอหยินเข้มข้น ในใจของพวกมันก็เกิดความคิดต่อต้านอย่างรุนแรงขึ้นแล้ว
โดยเฉพาะบุรุษสองคนนั้น ทั่วทั้งร่างมีแต่หมอกสีดำปกคลุม ทั้งยังมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง
แค่ดูก็รู้ว่ามิใช่ตัวดีอะไร!
ดังนั้นไม่อาจปล่อยให้พวกมันก้าวเท้าเข้ามาในหุบเขาหมื่นปีศาจได้แม้แต่ก้าวเดียว!
ตู๋กูซิงหลันมองดูจิ้งจอกน้อยที่เป็นหัวหน้าตัวนั้น ก็รู้สึกว่ามันดูน่ารักมาก นางคิดจะลูบไล้มันดู จนอดที่จะขยับเข้าไปหาไม่ได้
แต่พอเห็นสายตาของนาง อีกฝ่ายถึงกับทำตัวแข็งทื่อแทบจะพองขนขึ้นมาทั้งตัวแล้ว
ดังนั้น ตู๋กูซิงหลันจึงได้แต่เก็บสายตากลับไป
“ข้ามาตามหาซูเยา”
นางพูดต่อไป “เมื่อวันก่อน เขาน่าจะนำตัวบุรุษรูปงามผู้หนึ่งกลับมา”
“เผ่ามนุษย์มีอะไรงดงามกัน ล้วนเป็นตัวอัปลักษณ์!” ปีศาจจิ้งจอกน้อยแยกเขี้ยวยิงฟันเชิงข่มขู่
ท่านเจ้าสำนักเห็นแล้วชักจะไม่พอใจ ดวงตาหงส์ของเขาจับจ้องไปยังเจ้าจิ้งจอกน้อย “เจ้าว่าใครไม่งดงาม?”
จิ้งจอกน้อย “……”
อยู่ๆมันก็รู้สึกเหมือนถูกบุรุษผู้นั้นข่มขู่ขึ้นมาจนเหงื่อเย็นๆหลั่งทั่วตัว
ตอนที่ 602 ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายพวกเจ้า
ท่านเจ้าสำนักถึงแม้จะมีรูปโฉมงดงาม แต่ยามทำสีหน้าไร้อารมณ์ก็เกินพอจะทำให้คนตื่นตระหนกได้
เห็นริมฝีปากแดงของเขาขยับน้อยๆ “ศิษย์ของข้าคือผู้ที่งดงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า ไม่อนุญาตให้โต้แย้ง”
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกอับอายจนเก้อเขินขึ้นมา เดี๋ยวก่อน นี่มันเวลาใดกัน เขาจะมาถกเถียงหาข้อสรุปในเวลานี้เพื่ออะไร?
เหล่าปีศาจทั้งหลาย “ ? ? ?”
พวกมันต่างก็เคยได้เข้าเฝ้าองค์ราชินีมาก่อน ดวงตาทุกคู่ต่างก็ถูกความงดงามขององค์ราชินีล้างสมองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
เคยมีคำพูดกล่าวเอาไว้ว่าอย่างไรนะ พอได้เห็นความงามที่แท้จริงมาแล้ว เมื่อเห็นสิ่งที่ธรรมดาก็กลายเป็นอัปลักษณ์ไป
เพียงแต่ว่าสตรีชาวมนุษย์ในชุดสีแดงตรงหน้านี้ นับว่างดงามเป็นพิเศษอยู่บ้างจริงๆ
อย่างน้อยๆพวกมันก็ไม่เคยเห็นใครในเผ่ามนุษย์ที่งดงามเช่นนางมาก่อนเลย
เพียงแต่ว่าเชื่อมั่นในตนเองจนออกนอกหน้าไปหน่อย
เจ้าหน้าตางดงามก็ส่วนงดงาม ยังจะต้องให้พวกตัวผู้ในเผ่ามนุษย์มาบีบบังคับให้ผู้อื่นเอ่ยออกมาว่าเจ้างดงาม นี่มันออกจะเกินไปหน่อยละมั้ง
เห็นไหมเล่า พวกมนุษย์ล้วนเป็นตัวหน้าเหม็นที่ไร้ยางอายด้วยกันทั้งสิ้น
มิว่าจะเป็นเรื่องใดก็ชมชอบบีบบังคับผู้คน
ขณะที่ในใจของปีศาจทั้งหลายกำลังคิดเช่นนี้อยู่ ก็ได้ยินท่านเจ้าสำนักเอ่ยว่า “จงรีบพูดออกมา ศิษย์ของข้าคือโฉมงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า”
พอเขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา แม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยังอดไม่ได้ที่อยากฟาดหน้าเขาสักครั้ง
แต่ว่าพอหันไปมองเห็นดวงหน้าที่งามล้ำเกินบรรยายของท่านเจ้าสำนัก ก็ไม่อาจตัดใจลงมือ
เกิดทุบลงไปแล้วหัวปูดโนขึ้นมาก็น่าเสียดายเกินไปแล้ว
ส่วนฟ่านอิงที่อยู่ด้านข้าง ก็มิได้พูดอะไรออกมา
ในใจของเขา ยายหนูน้อยย่อมงดงามอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจ มองเห็นความงามต่างกันคนละแบบ จึงไม่จำเป็นจะต้องมาบีบบังคับให้ผู้อื่นยอมรับ
เพราะท่านเจ้าสำนักเป็นเหตุ พวกปีศาจน้อยทั้งหลายจึงยิ่งเพิ่มพูนความไม่พอใจต่อมนุษย์กลุ่มนี้กว่าเดิม
พวกมันแทบอยากจะเขวี้ยงหอกยาวใส่เสียเดี๋ยวนี้ จากนั้นก็ส่งไปยังเบื้องหน้าองค์ราชินี ย่างบนไฟเสียเลย
ยังดีที่ตู๋กูซิงหลันรั้งท่านเจ้าสำนักเอาไว้ก่อน นางเผยรอยยิ้มน่าสนิทสนมและเป็นมิตรออกมา “ตัวน่ารักน้อยๆทั้งหลาย ที่ข้ามาหาซูเยาก็เพราะมีเรื่องสำคัญรีบด่วน ขอพวกเจ้าโปรดช่วยเปิดทาง ข้ารับรองว่าจะไม่ทำร้ายพวกเจ้าอย่างแน่นอน”
ข้ารับรองว่าจะไม่ทำร้ายพวกเจ้า!
คำพูดไม่กี่คำนั้นเปรียบเสมือนมีดแหลมที่เสียบลงไปในลำคอของผู้อื่น
พวกปีศาจน้อยดูอย่างไรก็รู้สึกว่านางคือตัวมากเล่ห์แสนร้ายกาจที่คิดจะบุกเข้ามาโจมตีพวกมัน
หากว่าตกลงไปอยู่ในเงื้อมือของสตรีผู้นี้เมื่อไหร่ มีหวังพวกมันจะต้องถูกถลกหนังจับตุ๋นในหม้อใบยักษ์อย่างแน่นอนใช่หรือไม่?
เพียงแค่ลองคิดเล่นๆ ปีศาจน้อยทั้งหลายก็พากันเหงื่อท่วมตัวหมดแล้ว
ปีศาจน้อยที่เป็นตัวจ่าฝูงถึงกับโกรธเกรี้ยวเสียจนขนพองฟู มันกุมหอกยาวในมือเอาไว้ ก้าวขากระโดดขึ้น พุ่งออกมาจากเขตอาคม
มันตั้งใจจะใช้หอกยาวด้ามนี้แทงเข้าไปในทรวงอกของตู๋กูซิงหลัน
ท่านเจ้าสำนักและฟ่านอิงต่างก็เปลี่ยนเป็นหน้าดำคร่ำเครียดขึ้นมา
แต่ไม่รู้ว่าทำไม ทันทีที่เจ้าปีศาจน้อยโผออกมาถึงเบื้องหน้าของตู๋กูซิงหลัน มันส่งเสียงคำรามขึ้นครั้งหนึ่งก็คุกเข่าลงไปตรงหน้านาง!
และเพราะยังห่างจากตู๋กูซิงหลันอยู่อีกช่วงหนึ่ง เจ้าปีศาจน้อยคุกเข่าลงไปก็คืบคลานอยู่อีกหลายก้าวถึงได้คืบคลานมาถึงตรงหน้านางได้
ในสมองของตู๋กูซิงหลันมีแต่คำถามเต็มไปหมด
นางยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามอะไร เจ้าปีศาจน้อยก็รีบโขกศีรษะหนักๆให้นางถึงสามครั้งติดๆกัน
ตู๋กูซิงหลัน “! ! !”
“เดี๋ยวก่อน ข้าไม่ใช่บรรพชนทั้งสิบแปดรุ่นของเจ้าเสียหน่อย เจ้าตัวน้อยที่น่ารักคุกเข่าให้ข้าไปทำไมกัน?”
ปีศาจน้อยตัวนั้นก็ทำสีหน้าหดหู่เช่นกัน
หากว่ามันรู้ว่าตนเองทำไมถึงทำเช่นนี้ ก็คงจะประหลาดมากแล้ว
มันได้แต่คุกเข่าอย่างนอบน้อมอยู่ตรงเบื้องหน้าตู๋กูซิงหลัน แม้แต่ศีรษะก็ยังไม่กล้าเงยขึ้นมา
ราวกับว่ามีแรงกดดันที่เหนือกว่าบางอย่างกดมันเอาไว้
ในใจของมันได้แต่คิดว่า จะต้องเป็นเพราะมนุษย์ผู้นี้เล่นลูกไม้อย่างแน่นอน!
ไม่รู้ว่านี่มันคือเวทย์มนต์หรือคาถาใดกันแน่!
พอปีศาจอื่นๆได้เห็นดังนั้น ต่างก็คิดไปว่าเจ้านั่นโดนคาถาใดเข้าแล้ว จึงพากันฮึดฮัดลุกฮือกันขึ้นมาด้วยความโกรธเกรี้ยวพุ่งออกมานอกเขตอาคม บุกเข้าใส่ตู๋กูซิงหลัน
แต่ว่าหอกยาวในมือยังไม่ทันได้ซัดออกไป แต่ละตัวก็เหมือนถูกภูเขาลูกใหญ่กดทับลงไปทรุดลงไปคุกเข่าบนพื้นเสียงดังตึงๆๆๆ
คุกเข่าลงไปแล้วก็ยังพากันโขกศีรษะสุดชีวิต
ในสมองของตู๋กูซิงหลันยามนี้มีแต่ไอหมอกไปหมดแล้ว…..
นางมองดูศีรษะมากมายที่มีแต่ขนฟูๆเต็มไปหมด แต่ละตัวมีหูยาวๆแหลมๆอยู่บนศีรษะ เจ้าตัวน่ารักทั้งหลายก้นกระดกทำหางกระดุ๊กกระดิ๊ก ในใจของตู๋กูซิงหลันก็ต้องคลี่ยิ้มออกมา
เจ้าพวกนี้ช่างเป็นตัวน้อยที่น่ารักจริงๆ!
“ลุกขึ้นเถอะ รีบลุกขึ้นเถอะ พวกเจ้าทำอะไรกันเนี้ย”
นางยื่นมือไปประคองปีศาจน้อยที่เป็นจ่าฝูงด้วยตนเอง
ทั้งยังถือโอกาสลูบหูผู้อื่นเล่นอีกด้วย
อืม…..สัมผัสแบบนี้ นุ่มนิ่มน่ารักจริงๆ!
ตอนนี้นางเข้าใจนิสัยของเมียเมีย สัตว์อสูรในพันธะสัญญาของจีเฉวียนแล้ว….
ตัวขนฟูๆพวกนี้มันช่างน่ารักน่าเอ็นดูจริงๆ
เมียเมีย….ไม่ได้พบเจ้ามานานมากแล้วเหมือนกันนะ
เจ้าปีศาจตัวน้อยที่ถูกตู๋กูซิงหลันเอาเปรียบก็แทบจะกลั้นใจตายแล้ว แต่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าตู๋กูซิงหลันโดยไม่มีเขตอาคมขวางกั้น มันก็เหมือนถูกพลังที่แข็งแกร่งบางอย่างกดเอาไว้
แม้แต่จะด่าออกไปก็ยังพูดอะไรไม่ออกสักคำ
ทั้งๆที่ในใจด่าทอตู๋กูซิงหลันไปพันรอบแล้ว แต่ว่าปากของมันกลับเอ่ยออกมาว่า “ข้าจะนำทางท่านไปตามหาองค์ชายน้อยเดี๋ยวนี้เลย”
ไปหากับแม่เจ้านะสิ!
“ดีเลย ดีมาก ช่างเป็นตัวน้อยที่น่ารักและเชื่อฟังจริงๆ”
ตู๋กูซิงหลันชื่นชมมันจากใจ จะคนหรือผีนางก็เคยเห็นมามากมานแล้ว แต่กลับรูปสึกว่าปีศาจพวกนี้น่ารักมากๆเลย
ท่านเจ้าสำนักยืนอยู่ด้านข้าง หมอกสีดำในมือของเขาค่อยๆจางหายไป
พอศิษย์น้อยได้เห็นใบหูของเจ้าปีศาจพวกนี้ สองตาก็เปล่งประกายระยิบระยับขึ้นมา
ท่านเจ้าสำนักแอบจดจำเอาไว้ในใจอย่างเงียบๆ ศิษย์น้อยชมชอบใบหูที่มีขนฟูๆ
ดังนั้นเขาจึงคอยจับตาดูใบหูเหล่านั้น เฝ้าสังเกตว่าศิษย์น้อยมองดูใบหูแบบใดนานเป็นพิเศษ
เหล่าปีศาจน้อยพอถูกเขาจับจ้องขึ้นมา ต่างก็รู้สึกหนาวจนเสียวสันหลังวาบอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าถูกวิญญาณแค้นจากที่ใดจับจ้องอยู่อย่างนั้น
พอตู๋กูซิงหลันพยุงจิ้งจอกน้อยที่เป็นจ่าฝูงขึ้นมา นางถึงได้รู้สึกว่านิ้วกลางในมือซ้ายอุ่นจนร้อนระอุ
พอมองตามไป จึงได้เห็นว่าเป็นแหวนที่ก่อนหน้านี้ซูเยาเคยสวมลงบนนิ้วให้กับนาง
ลวดลายจิ้งจอกนั่นปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
จิ้งจอกสีแดงเพลิงตัวหนึ่งเรืองแสงจนส่องประกายอยู่บนนิ้วมือของนาง
ตู๋กูซิงหลันเกิดความเข้าใจขึ้นมาในทันที ที่ปีศาจน้อยเหล่านี้พากันคุกเข่าลงโขกศีรษะต่อหน้าคงจะมีสาเหตุมาจากแหวนวงนี้นั่นเอง
ปกติแล้วในแต่ละเผ่าพันธุ์ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดย่อมมีอำนาจสูงกว่า ได้รับความเคารพนับถือจากผู้อื่นในเผ่า
เช่นเดียวกับฮ่องเต้ที่ปรากฏองค์ต่อหน้าราษฎร์ทั้งหลาย ก็ได้รับการถวายความเคารพกราบไหว้เช่นกันมิใช่หรือ?
แหวนที่จิ้งจอกน้อยมอบให้กับนาง เกรงว่าคงจะเป็นสัญลักษณ์แสดงฐานะของเชื้อพระวงศ์ เจ้าปีศาจน้อยตัวนี้จึงไม่อาจต่อต้านได้
ก่อนหน้านี้ตู๋กูซิงหลันเพียงแค่รู้สึกว่าแหวนวงนี้มีกลิ่นอายปีศาจเข้มข้น ที่สวมใส่เอาไว้เพราะว่ามันสวยงามเท่านั้น
คิดไม่ถึงว่าเจ้าจิ้งจอกน้อยจะมอบของเล่นที่หาได้ยากเช่นนี้ให้กับนาง
ตลอดทางที่ขึ้นมาบนภูเขา พวกเขาพบเจอปีศาจต่างๆอยู่ไม่น้อย
บนภูเขาลูกนี้ไม่ได้มีแต่ปีศาจขนฟูนุ่มยาวเหมือนเจ้าปีศาจน้อยแต่ยังมีพวกที่หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวอยู่เต็มไปหมดอีกด้วย
ตอนแรกที่ปีศาจพวกนั้นเห็นกลุ่มของนาง ก็พากันโกรธเกรี้ยวขึ้นมา
แต่รอจนพวกมันเข้ามาใกล้ๆตู๋กูซิงหลัน ต่างก็พากันคุกเข่าลงบนพื้นดังตึงๆตรงเบื้องหน้านาง
จนพื้นดินกลายเป็นหลุมเป็นบ่อไปหมด
ยิ่งได้พบเจอพวกปีศาจมากมายเท่าไหร่ ลวดลายจิ้งจอกบนแหวนวงนั้นก็ยิ่งเปล่งแสงสีแดงขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ
เหล่าปีศาจพากันคุกเข่าลงไปบนพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะเงยศีรษะขึ้นมา ในใจมีแต่ความประหวั่นพรั่นพรึง
ครั้งนี้ต้องย่ำแย่แน่แล้ว ที่มาในครั้งนี้มันคือตัวอะไรกันเนี่ย พลังกดดันที่อยู่ในร่างถึงกับทำให้พวกมันไม่กล้าอาจหาญล่วงเกิน
ตอนที่ 603 พี่ต๋าจี่
ตลอดทางตั้งแต่เชิงเขาจนถึงยอดเขา พวกปีศาจหน้าตาประหลาดทั้งหลายต่างก็พากันคุกเข่าให้พวกนางมาตลอด จนกระทั้งตู๋กูซิงหลันเข้าไปยังในวัง เงาหลังหายลับไปจากสายตาแล้ว พวกปีศาจทั้งหลายจึงค่อยได้สติขึ้นมา
พวกมันได้แต่ถอยออกมาปรึกษาหารือกันอย่างไม่ค่อยจะเต็มอกเต็มใจสักเท่าไร
พวกมันกำลังครุ่นคิดว่าสาวน้อยเผ่ามนุษย์ผู้นั้นคือตัวอะไรกันแน่ ที่พวกมันไม่เข้าใจก็คือ ทั้งๆที่นางเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง แต่ว่าทำไมในร่างถึงได้มีราศีของผู้ปกครองเผ่าปีศาจได้?
แม้แต่เขตอาคมของหุบเขาหมื่นปีศาจก็ไม่ได้มีผลอะไรกับนางทั้งสิ้น
สาวน้อยผู้นั้นคือ…. สัตว์ประหลาดกระนั้นรึ!
พอคิดถึงความเป็นไปได้เช่นนี้ พวกปีศาจทั้งหลายต่างก็พากันตัวสั่นสะท้านขึ้นมา
ท่านเจ้าสำนักเดินอยู่ข้างกายของศิษย์น้อย เขาพลันชะงักฝีเท้า ริมฝีปากแดงขยับ หันไปเอ่ยกับเหล่าปีศาจในหุบเขาหมื่นปีศาจว่า “พวกเจ้าต่างหากที่เป็นตัวสัตว์ประหลาด พวกเจ้าทั้งตระกูลล้วนใช่”
ปีศาจทั้งหลาย “…..”
ทำไมฟังๆดูแล้วถึงรู้สึกว่าบุรุษผู้นั้นกำลังด่าผู้อื่น แต่พอคิดดูให้ดี ที่เขาพูดมาก็ไม่ผิด
พวกมันเดิมทีก็เป็นสัตว์ประหลาดกันทั้งตระกูลอยู่แล้ว
ตู๋กูซิงหลันได้แต่หันไปค้อนหางตาใส่เขารอบหนึ่ง
ท่านเจ้าสำนักเอ่ยอย่างไร้อารมณ์ว่า “พวกมันบอกว่าเจ้าเป็นสัตว์ประหลาด แต่ศิษย์น้อยเจ้าไม่ใช่ ข้าไม่อนุญาตให้พวกมันว่ากล่าวเจ้าเช่นนั้น”
ตู๋กูซิงหลัน “หา?”
นางยิ่งทีก็ยิ่งไม่ค่อยเข้าใจประเด็นของฉุยซือเสียแล้ว?
พูดกันตามจริงแล้วนะ ฉุยซือ หากเจ้าเป็นคนแบบนี้ระวังจะไม่มีสหายเอานะ รู้หรือไม่?
ฟ่านอิงที่ยืนอยู่อีกด้าน ไม่รู้ว่าทำไม ถึงได้รู้สึกปวดฟันขึ้นมา
เขาเองก็เคยรักคนผู้หนึ่งอย่างลึกซึ้งมาก่อน เขารู้ดีว่าเมื่อบุรุษเกิดจิตปฏิพันธ์ ก็จะไม่ยอมให้มีเม็ดทรายใดๆอยู่ในสายตา
เจ้าสำนักหยินหยางจะใช่จีเฉวียนหรือไม่ เนื่องเพราะเคยใช้เหล็กแหลมพิสูจน์เลือดไปแล้ว เขาจึงมีความมั่นใจอยู่ถึงเจ็ดแปดส่วน
แต่เพราะว่าเห็นแก่หน้าของแม่หนูน้อย ช่วงนี้จึงยังมิได้ไปหาเรื่องเขาก็เท่านั้น
พอเห็นการกระทำของเขาในตอนนี้ ฟ่านอิงก็อดไม่ได้ที่จะคิดไปว่า หากว่าเขาคือจีเฉวียนขึ้นมาจริงๆ…..เช่นนั้นตนเองควรจะทำเช่นไร
ฆ่าเขาทิ้งไป…..แม่หนูน้อยก็คงจะต้องเสียใจ
หากไม่ฆ่าเขา….ความเคียดแค้นในใจของเขาก็ไม่มีวันได้ชำระ ต้องทุกข์ทรมานเช่นนี้เรื่อยไป
ที่จริงแล้วเขามีวิธีจัดการที่รวบรัดชัดเจนอยู่แล้ว แต่เพราะความขัดแย้งในใจ ดังนั้นแม้แต่วิธีนี้ก็ยังไม่ได้นำออกมาใช้
ตอนนี้เขาชักจะหวาดกลัวที่จะได้รู้ผลลัพธ์เสียแล้ว
…………..
ขณะที่ฟ่านอิงกวาดตามองไปนั้น ท่านเจ้าสำนักก็หันมามองพอดีเช่นกัน
เขาชำนาญการใช้วิชาอ่านใจ เนื่องเพราะไม่เคยไว้วางใจฟ่านอิง ดังนั้นตั้งแต่ที่ฟ่านอิงร่วมทางกับพวกเขา ท่านเจ้าสำนักก็ใช้วิชาอ่านใจมาโดยตลอด
ยังดีที่ ตลอดทางฟ่านอิงไม่ได้คิดอะไรมากมาย
ความคิดที่มีอยู่ในตอนนี้ เกรงว่าจะมีแต่เรื่องฝ่าฟันอุปสรรคและจะต้องฮึกเหิมห้าวหาญอย่างไรเท่านั้น
แต่ในขณะเดียวกัน อยู่ๆในใจของเขาก็มีแผนการอย่างหนึ่งขึ้นมา
ทั้งสองต่างก็จมอยู่ในห้วงความคิดของตน มีแต่ตู๋กูซิงหลันเพียงผู้เดียวที่ห่วงใยพี่ชายผู้ปากมากของตนเอง
นับตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาในหุบเขาหมื่นปีศาจ ก็รู้สึกได้ถึงไอปีศาจที่เข้มข้นบนภูเขา
พอมาถึงยอดเขา ถึงแม้ว่าจะมีแหวนที่ซูเยาให้นางเอาไว้คอยคุ้มครองอยู่ แต่ว่าก็ยังคงรู้สึกได้ว่ามีกลิ่นอายของปีศาจที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งสะกดข่มจนทำให้ผู้คนแทบจะหายใจไม่ออก
ไอปีศาจกับไอของจิตวิญญาณนั้นมีความแตกต่างกัน
ไอจิตวิญญาณค่อนไปทางนุ่มนวล มีประโยชน์มนุษย์สามารถนำไปใช้สอย
ในขณะที่ไอปีศาจค่อนไปทางก้าวร้าว และรุนแรงมากกว่า
หากมนุษย์สัมผัสถูก จะให้ความรู้สึกเหมือนถูกทิ่มแทง ไม่เพียงเท่านั้น มันยังสามารถแทรกซึมเข้าไปในร่างกายมนุาย์ ทำลายอวัยะภายใน จนทำให้เกิดอันตรายได้
ไอปีศาจบนร่างของซูเยาย่อมรุนแรง แต่แน่นอนเลยว่าปีศาจอีกตนหนึ่งที่อยู่ในตำหนักแห่งนี้ยังแข็งแกร่งกว่าซูเยาหลายต่อหหลายเท่า
ท่านเจ้าสำนักเดินนำไปด้านหน้า ระบบอ่านใจของเขายังไม่ได้ปิดตัวลง จึงสามารถดักจับความคิดในใจของศิษย์น้อยได้
ดังนั้นจึงเอ่ยปากออกมาว่า
“เจ้าจิ้งจอกตัวนั้นเคยพูดเอาไว้ว่า เขามีพี่สาวอยู่คนหนึ่ง นามว่า….”
ท่านเจ้าสำนักคิดย้อนกลับไป คิดอยู่ครู่หนึ่งค่อยเอ่ยขึ้นมา
“ต๋าจี่”
ตู๋กูซิงหลัน “ว่าอะไรนะ? ซูต๋าจี่หรือ?”
ตู๋กูซิงหลันแปลกใจขึ้นมา…….แม่เจ้า จริงรึ นางรู้สึกว่าตนเองมาผิดเรื่องไปหรือเปล่า
หากว่าจำได้ไม่ผิดละก็ ต๋าจี่สมควรจะอยู่โลกปัจจุบันมิใช่หรือ?
ตามประวัติศาสตร์ของโลกปัจจุบัน ซูต๋าจี่ คือนางปีศาจตนแรกที่ได้ชื่อว่าล่มบ้านล่มเมือง อ้ายย่าห์ หญิงงามอันดับหนึ่งในโลกหล้า!
ที่แท้เป็นพี่สาวของเจ้าจิ้งจอกน้อย?
คิดๆดูแล้ว ขนาดตัวนางยังวิ่งกลับไปกลับมาระหว่างมิติของโลกปัจจุบันและโลกอดีตได้ คุณพี่ต๋าจี่จะไปมาสักรอบก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลกประหลาดอันใด
ท่านเจ้าสำนักเห็นนางตื่นตะลึงถึงเพียงนี้ ก็ทบทวนความทรงจำอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เจ้าจิ้งจอกประหลาดนั้นแซ่ซู….พี่สาวของมันก็สมควรจะแซ่ซู นามว่าซูต๋าจี่ ไม่ผิดแน่นอน”
ท่านเจ้าสำนักทั้งรับผิดชอบและเอาจริงเอาจังอยู่เสมอ ข่าวสารที่ส่งให้กับศิษย์น้อยแน่นอนว่าต้องถูกต้องไร้ข้อผิดพลาด
ตู๋กูซิงหลัน “…..”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อยู่ๆนางก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
ตื่นเต้นที่จะได้พบกับ…..คนในตำนาน ไอดอลที่ชื่นชมบูชา
นางชะงักฝีเท้า สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นก็คลำไปบนเสื้อผ้าตามลำตัว
ท่านเจ้าสำนัก “ศิษย์น้อย หาอะไรอยู่หรือ?”
ตู๋กูซิงหลัน “สมุดเล่มเล็กๆ….อยากให้ไอดอลเซ็นชื่อให้….”
ท่านเจ้าสำนัก “ไอดอลคืออะไร?”
เขาถามพลาง ก็หยิบที่เก็บของของตนเองขึ้นมาเปิดดู
สมุดเล่มเล็กๆ ปกติก็ไม่ใช่สิ่งที่คนที่โตแล้วจะใช้กัน
เซ็นชื่อคือะไร……ก่อนหน้านี้เขายังไม่มีแม้แต่ชื่อของตนเองเลย แน่นอนว่าต้องไม่เคยเซ็นชื่อมาก่อน
“ไอดอลก็คือคนที่เราชื่นชอบชื่นชมอย่างยิ่ง” ตู๋กูซิงหลันทำตาหยี คิดอยู่ครู่หนึ่ง สมุดเล่มเล็กๆนางย่อมไม่มีอยู่แล้ว
อีกสักครู่พอได้พบพี่ต๋าจี่ ก็ค่อยขอให้นางเขียนชื่อลงบนเสื้อของตนเอง เกรงว่าราคาคงต้องกลายเป็นแพงระยับ สะท้านสะเทือนโลกอย่างแน่นอน!
พอคิดถึงตรงนี้ ตู๋กูซิงหลันก็เหลือบมองดูเสื้อผ้าของตนเอง ราวกับว่าได้เห็นตั๋วเงินเดินได้ขึ้นมา
ดังนั้นจึงอดไม่ไหวต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม ทั้งยังกระตุกแขนเสื้อของเจ้าจิ้งจอกน้อยจ่าฝูง “เร็วๆเข้า พวกเรารีบไปขอเข้าพบพี่ต๋าจี่กันก่อน”
เจ้าจิ้งจอกน้อยหันกลับมาเห็นแววตาที่เปล่งประกายสีทองระยิบระยับของนาง ก็ขนลุกขนพองขึ้นมา
สวรรค์ทรงโปรดเถอะ แววตานั่น ช่างละโมบโลภมากยิ่งนัก อย่างกับตัวมันเองตอนได้เห็นเนื้อติดมันก็ไม่ปาน
มันผวาจนตกใจขึ้นมา แต่ก็ไม่กล้าไต่ถามอะไรให้มากความ
เมื่อพลังอันยิ่งใหญ่ของเจ้าแห่งปีศาจที่อยู่กับนางกดดันลงไปที่มัน มันย่อมไม่กล้าขัดขืนอยู่แล้ว
จึงได้แต่พาตู๋กูซิงหลันเข้าไปในตำหนักด้วยความเชื่อฟัง
วังของหุบเขาหมื่นปีศาจ เป็นตำหนักโดดเดี่ยวหลังเดียวบนยอดเขาที่สูงที่สุด เหล่าปีศาจที่รับใช้อยู่ภายในวังมีไม่มาก เห็นเพียงเงาผ่านไปผ่านมาแค่แวบๆเท่านั้น
ยิ่งตู๋กูซิงหลันเข้าไปใกล้ตำหนักหนัก ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงไอปีศาจที่แข็งแกร่ง ที่แทบจะบาดลงไปในผิวเนื้อ
พอเจ้าปีศาจจิ้งจอกพาพวกนางมาถึงหน้าประตูใหญ่ ก็ไม่กล้าเข้าไปข้างในแล้ว
“องค์ราชินีทรงประทับอยู่ด้านใน พวกเจ้าเข้าไปเองเถอะ ข้าไม่กล้า”
ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า องค์ราชินีทรงงดงามล้ำเลิศ หากแต่พระอารมณ์เลวร้ายอยู่เสมอ แม้แต่คนในเผ่าเดียวกันก็ไม่เคยไว้หน้า
ดังนั้นทุกคนจึงพากันหวาดกลัวนาง ทั้งเคารพและยำเกรง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น