หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 600-603
บทที่ 600 กลเม็ดเดิม!
ความรุ่งโรจน์ของระบบจักรภพไพศาล อาณาจักรดั้งเดิมแห่งดาวเคราะห์เต๋าไพศาลเมื่อวันวาน กลายเป็นเพียงเรื่องเล่าสืบทอดกันมา เมื่อตระกูลไม่รู้สิ้นมาเยือน ดวงดาวที่เคยเต็มไปด้วยชีวิต บัดนี้กลายเป็นเพียงดินแดนรกร้างเท่านั้น
หากมองจากระยะไกล ท้องฟ้านั้นไม่ได้สดใสอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นสีเทาหม่นด้วยเมฆหมอก หากมองด้วยสายตาของผู้ฝึกตนระดับสูงอย่างชัดๆ จะเห็นว่าหมอกสีเทานั้น แท้จริงคือแมลงปีกแข็งสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วน ที่ตัวเล็กมากเสียจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แมลงสีเทาเหล่านั้นกระจายไปทั่วท้องฟ้าของดาวเคราะห์เต๋าไพศาล กินบริเวณกว้างจนราวกับเป็นอนันต์
สิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่พยายามเข้าหรือออกดาวดวงนี้โดยไม่มีตราประจำตัว จะถูกแมลงปีกแข็งเหล่านี้ชอนไชร่างจนถึงแก่ความตาย แม้จะมีปราณอยู่ที่ระดับดาวพระเคราะห์ ร่างของพวกเขาก็จะยังถูกรุมทิ้งกัดกิน จนไม่เหลือแม้แต่ซากให้ได้เชยชม
นี่เป็นเศษเสี้ยวของพลังที่หลงเหลืออยู่ ของหนึ่งในราชันสวรรค์แห่งตระกูลไม่รู้สิ้น แม้สำนักวังเต๋าไพศาลจะล่มสลายลง และราชันสวรรค์ได้จากไปเรียบร้อยแล้ว แต่พลังที่หลงเหลืออยู่ก็ยังทำหน้าที่เปรียบเสมือนเกราะป้องกันดาวเคราะห์แห่งนี้
พื้นผิวดาวเคราะห์ที่เคยเต็มไปด้วยความเขียวชอุ่มและน้ำอันอุดมนั้น กลับกลายเป็นเพียงพื้นที่โล่งแจ้งแห้งเหือดไร้ซึ่งชีวิต ทั้งป่าและน้ำกลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่า อสูรกลายพันธุ์มากมายที่ตระกูลไม่รู้สิ้นนำมาปล่อย ทำลายบริเวณทั้งหมดเสียสิ้น นอกจากนี้ยังมีวัตถุเวทลักษณะเหมือนเครื่องเจาะยักษ์คล้ายอาวุธเทพ ที่ปล่อยไอพลังรุนแรงเสียจนทำลายสวรรค์และผืนดินให้ราบเป็นหน้ากลองได้ ปลายของเครื่องเจาะนั้นพุ่งเสียบทางเข้าของสำนักวังเต๋าไพศาลเอาไว้!
เครื่องเจาะยักษ์ผ่าภูเขาให้กลายเป็นสองซีก ตัวด้ามที่วางอยู่ท่ามกลางเศษหินเศษดินและซากปรักหักพัง ปล่อยไอชั่วร้ายออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
บนดาวเคราะห์เต๋าไพศาลแห่งนี้ มีวัตถุเวทลักษณะนี้อยู่เก้าชิ้นด้วยกัน!
ทั้งหมดเจาะเข้าไปในผืนดิน ปลายชี้ไปที่ใจกลางของดาวเคราะห์ และเดินหน้าดูดเอาพลังชีวิตของทั้งระบบจักรภพไพศาลออกมา
ระบบจักรภพไพศาลเป็นวงแหวนปราณยักษ์ ทั้งระบบเปรียบเสมือนตาข่ายโครงสร้างขนาดใหญ่ อันมีดาวเอกเป็นจุดศูนย์กลางทำหน้าที่เหมือนดวงใจแห่งชีวิต เมื่อดูดพลังออกจากดาวเองอันเป็นหัวใจนี้ พลังชีวิตของทั้งระบบจักรวาลก็ย่อมได้รับผลกระทบไปด้วยทั้งหมด
ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นจำนวนมาก ล้อมวัตถุเวทรูปร่างเหมือนหัวเจาะนี้อยู่ หลายคนเดินตรวจตราพื้นที่ เป้าหมายก็คือ การทำลายสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่ยังหลงเหลืออยู่ให้สิ้นซากไป
บนท้องฟ้า ยานพาหนะสำหรับการรบหน้าตาโบราณ บินผ่านไปเป็นครั้งคราว ผู้ฝึกตนระดับสูงของตระกูลไม่รู้สิ้นยืนอยู่บนยานเหล่านั้น มองลงมายังผืนดินเบื้องล่างด้วยสายตาเย็นเฉียบ
ความโดดเดี่ยว การเมินเฉย และความโหดเหี้ยม คือหัวใจที่ขับเคลื่อนโลกใบนี้ให้เดินหน้าต่อไป แม้จะยังมีผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลหลงเหลืออยู่ ผู้ที่ยังคงพยายามต่อต้านชีวิตอันแสนโหดร้ายเช่นนี้ ความพยายามของพวกเขาก็ไร้ซึ่งความสำคัญใดๆ พวกเขาไร้ซึ่งอำนาจ ทำได้เพียงมองดวงดาวและจักรวาลบ้านเกิดของตน ค่อยๆ เหี่ยวเฉาและหมดสิ้นซึ่งรอยแห่งชีวิต จนท้ายที่สุดก็กลายสภาพไปเป็นเพียงตัวอย่างของเผ่าพันธุ์ที่สูญสิ้น ที่ราชันสวรรค์แห่งตระกูลไม่รู้สิ้น เก็บไว้ดูเล่นเพียงเท่านั้น
ความฝันเดียวที่เหลืออยู่ของผู้ต่อต้านบนดาวเอกแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล คือการใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อต่อสู้ แม้จะไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงความสิ้นหวังนี้เลยก็ตาม…
บัดนี้ บนดาวเอกของระบบจักรวาลไพศาล คลื่นสะเทือนจากการเคลื่อนย้ายปรากฏขึ้นท่ามกลางซากปรักหักพัง ห่างจากทางเข้าหุบเขาของสำนักวังเต๋าไพศาลไปไกลพอตัว คลื่นนี้ปรากฏขึ้นและสลายหายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้หวังเป่าเล่อเข้ามาได้โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้
ทันทีที่ปรากฏกายและยังไม่ทันได้ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม แม่นางน้อยก็พูดด้วยเสียงลน
“หมอบลงเร็ว!”
หวังเป่าเล่อตกใจและรีบหมอบลงทันทีตามสัญชาตญาณ ในตอนเดียวกันนั้น ร่างของแม่นางน้อยก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว นางสร้างผนึกมืออย่างต่อเนื่อง ร่างของทั้งสองปกคลุมด้วยหมอกหนาจนกลืนเข้ากับสภาพแวดล้อม
ทันทีที่สำเร็จ ยานรบลาดตระเวนก็ปรากฏขึ้นด้วยความเร็วสูงและหยุดค้างอยู่กลางอากาศ บนยานนั้นมีผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นยืนอยู่ ผู้ฝึกตนผู้นั้นยังอายุน้อย พร้อมด้วยหกมือสามศีรษะตามแบบฉบับของตระกูลไม่รู้สิ้น เขาสวมชุดเกราะสีเทาที่มีจุดบกพร่องอยู่หลายจุด กระนั้นดวงตาของชายหนุ่มก็ยังไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
ชายหนุ่มผู้นี้คือผู้ฝึกตนของตระกูลไม่รู้สิ้น ที่พรั่งพร้อมไปด้วยประสบการณ์การต่อสู้อย่างโชกโชน ดวงตาทั้งหกของเขามองลงมายังผืนดินเบื้องล่าง สำรวจพื้นที่อย่างละเอียดเป็นเวลานาน ก่อนจะมองไปยังพื้นที่ว่างเปล่าโดยรอบ และจากไปในที่สุด
หวังเป่าเล่อไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว จนกระทั่งยานลาดตระเวนนั้นจากไป แม้แม่นางน้อยจะจัดการกำบังกายพวกเขาทั้งสองด้วยหมอก แต่เขายังคงมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายนอกอย่างชัดเจน ชายหนุ่มเห็นทุกสิ่งบนท้องฟ้าอย่างแจ่มแจ้ง พลังที่ชายหนุ่มผู้นั้นปล่อยออกมา แซงหน้าเฟิ่งชิวหรันไปมาก โดยมีปราณอยู่ที่ระดับ… เชื่อมวิญญาณ!
หลังจากเวลาผ่านไปสิบห้านาที แม่นางน้อยกำลังจะขยับตัว ประกายวาบเข้ามาในดวงตาหวังเป่าเล่อพร้อมด้วยสัญญาณจิตที่ชายหนุ่มส่งไปให้นางรับรู้
“อย่าเพิ่งขยับ รอดูก่อนอีกครึ่งชั่วโมง!”
เมื่อได้ยินดังนั้น แม่นางน้อยก็เงียบลงอีกครั้ง เวลาเดินหน้าผ่านไปจนเกือบครบครึ่งชั่วโมง ยานรบที่หายไปเมื่อก่อนหน้ากลับมาอีกครั้ง หลังจากที่สำรวจบริเวณโดยรอบเรียบร้อย ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นก็สร้างผนึกมือ ทันใดนั้น แผนที่มายาก็ปรากฏขึ้น
แผนที่นั้นแสดงให้เห็นภาพของบริเวณนี้เมื่อก่อนหน้า หลังจากที่เทียบเคียงเรียบร้อยว่าภาพและความเป็นจริงเบื้องล่างเหมือนกันอย่างไม่ผิดเพี้ยน ผู้ฝึกตนคนเดิมก็หันหลังจากไปจริงๆ ในที่สุด
หากหวังเป่าเล่อตัดสินใจขยับตัวเมื่อก่อนหน้า จนทำให้ภาพและความเป็นจริงไม่ตรงกันนั้น ทั้งสองจะต้องโดนจับได้เป็นแน่ ผลที่ตามมาก็คงไม่ต้องพูดถึง…
หลังจากที่รออยู่อีกสักพัก หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกในที่สุด เขาส่งสัญญาณให้แม่นางน้อยนำภาพมายากำบังออก ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งใด แม่นางน้อยก็สร้างผนึกมือเพื่อทำให้บริเวณที่พวกเขาซ่อนอยู่ก่อนหน้า ดูเหมือนในภาพฉายอย่างไม่มีผิดเพี้ยน จากนั้นหวังเป่าเล่อก็หัวเราะฝืด
“แม่นางน้อย ข้าเกรงว่าที่นี่จะอันตรายเกินไป…”
“ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะช่วยเจ้าทำภารกิจนี้ จะไม่มีอะไรผิดพลาดแน่นอน เอาละ ข้าต้องการใช้เสี้ยวที่เหลือของกฎแห่งระบบจักรภพสำนักวังเต๋าไพศาล มาห่อหุ้มตัวเจ้าไว้ นี่จะทำให้เจ้าเปลี่ยนหน้าตาให้เหมือนคนจากตระกูลไม่รู้สิ้นได้ หากเจ้าไม่เจอเข้ากับผู้ที่มีปราณระดับดาวพระเคราะห์ ก็จะไม่มีใครจับได้อย่างแน่นอน!” แม่นางน้อยพูดอย่างรวดเร็ว นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้นางมั่นใจ ว่าจะช่วยหวังเป่าเล่อทำภารกิจได้สำเร็จ
หากเป็นดาวดวงอื่น นางคงไม่สามารถช่วยอะไรหวังเป่าเล่อได้ในสภาพนี้ แต่ด้วยสถานะของนางบนดาวเคราะห์เอกแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล พลังของนางจึงกลับมาใช้ได้อีกครั้ง แม้บริเวณนี้จะกลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง แต่ตัวนางเองก็ยังคุ้นเคยกับบ้านเกิดเป็นอย่างดี
เมื่อพูดจบ แม่นางน้อยก็สร้างผนึกมืออีกครั้งโดยไม่ปล่อยให้หวังเป่าเล่อได้ออกความคิดเห็น นางตบฝ่ามือลงบนพื้นที่หาได้สั่นสะเทือนไม่ แต่กลับมีลำแสงสีเงินฉายขึ้นมาจากใต้ดินแทน จุดกำเนิดแสงนั้นไม่ได้ใหญ่มาก จึงทำให้ดึงมาได้เพียงเสี้ยวหนึ่งของแสงจากดวงดาวเท่านั้น ไม่นานนัก ก้อนแสงขนาดเท่ากำปั้นก็ถือกำเนิดขึ้น
ทันทีที่ดวงตาของหวังเป่าเล่อสบเข้ากับจุดกำเนิดแสง ชายหนุ่มก็ต้องตกใจ เขาเห็นผู้ฝึกตนมายมาย หลากหลายกระบวนเวท และเส้นด้ายนับไม่ถ้วนที่เรียงร้อยทุกคนและทุกวิชาเข้าด้วยกัน กระบวนเวทแต่ละวิชาสอดประสานกันด้วยด้ายเหล่านั้น
ส่วนสิ่งที่อยู่เบื้องลึกลงไปนั้น หวังเป่าเล่อหาได้ทราบไม่ ที่เขาเห็นเมื่อก่อนหน้าเป็นขีดสุดของความสามารถของเขาแล้ว แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้จิตใจของเขาปั่นป่วนไม่เป็นชิ้นดี แม่นางน้อยกดก้อนแสงนั้นเข้าไปตรงกลางหน้าผากของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว
ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นอย่างรุนแรง ก่อนบวมออกในฉับพลัน ภายในไม่กี่ลมหายใจ ร่างกายเขาก็แปรสภาพไปมากมายหลายครั้ง ชายหนุ่มสูงขึ้น ใบหน้าสองหน้างอกขึ้นมาข้างคอ แขนอีกสี่แขนแทงออกจากข้างลำตัว
หวังเป่าเล่อแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตนเองเห็น ส่วนแม่นางน้อยก็หายตัวไปในหน้ากากทันทีที่ทำสำเร็จ แต่ก็ยังไม่วายกำชับหวังเป่าเล่ออยู่ในใจ
“ข้าทำได้เพียงเท่านี้ จงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้เร็วที่สุด และอย่าเผลอเปิดโปงตนเอง พวกตระกูลไม่รู้สิ้นนานๆ ทีจะมีปฏิสัมพันธ์กันเอง ข้าฟังภาษาของพวกนี้เข้าใจและจะแปลให้เจ้าฟัง ทีนี้จงตามเดิมตามทางที่ข้าบอก และทำภารกิจให้สำเร็จเสีย
“อย่ากังวลใจไป ข้ารู้ทางลับทีห่างจากที่นี่ไปไม่ไกล ทางลับนี้จะนำเจ้าไปสู่จุดต่ำสุดของซากทางเข้าสำนัก สิ่งที่เจ้าต้องตามหาอยู่ที่นั่น ที่ที่เจ้าหลอมฝักกระบี่ได้ก็อยู่ที่นั่นเช่นเดียวกัน!”
ดูเหมือนจะเป็นนางมากกว่าที่ต้องการแผ่นศิลา… หวังเป่าเล่อพึมพำในใจขณะหัวเราะฝืด หากเขาตามไม่ทัน ก็คงไม่สมควรได้รับตำแหน่งขุนนางระดับสองชั้นรองแห่งสหพันธรัฐ ดูเหมือนว่าแม่นางน้อยจะมีอำนาจเปลี่ยนรายละเอียดบททดสอบได้ แผ่นศิลานั้นคงไม่ใช่เงื่อนไขในการผ่านบททดสอบที่ห้า แต่เป็นสิ่งที่แม่นางน้อยต้องการ
ด้วยเหตุนี้นางจึงแลกเปลี่ยนโดยการใช้โอกาสหลอมฝักกระบี่มาเป็นตัวล่อ แต่ในเมื่อเรื่องกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว หวังเป่าเล่อก็ทำได้เพียงสูดหายใจเข้าและกลอกตา ชายหนุ่มคิดว่าหากตนเองไม่ใช้โอกาสนี้ประจบเอาใจแม่นางน้อย ก็คงเสียชื่อเต็มทน ด้วยเหตุนี้เขาจึงพูดกับแม่นางน้อยในใจด้วยน้ำเสียงอ่อนไหว
“แม่นางน้อย เป่าเล่อไม่ใช่คนซื่อบื้อไม่รู้ความ… แต่ข้ายินดีทำทุกอย่างเพื่อเจ้า ต่อให้จะต้องบุกป่าฝ่าขุนเขาอันตราย เดินทางข้ามทะเลเพลิง หรือหักกระดูกตนเองก็ตาม”
บทที่ 601 ราชันสวรรค์ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด!
คำพูดของหวังเป่าเล่อทำให้แม่นางน้อยใจสั่น อันแสดงออกมาผ่านลมหายใจของนางที่เร็วขึ้นในจิตของเขา
ชายหนุ่มรู้สึกพอใจในผลงานของตนเองทันที เขาเป็นถึงชายผู้ที่มีรูปโฉมงดงามที่สุดในสหพันธรัฐ เพียงแค่ดีดนิ้วก็มีสตรีมากมายหลายหมื่นแสนคนยอมศิโรราบลงแทบเท้า แค่ทำให้แม่นางน้อยประทับใจนี้ง่ายเสียยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก ตั้งใจว่าจะประกาศความรักอันแสนร้อนแรงมั่นคงที่มีต่อแม่นางน้อย ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจกว่าเดิม และมองหาช่องว่างโน้มน้าวนางให้ยอมออกจากที่แห่งนี้เสีย
“หยุดพูดเดี๋ยวนี้ ไอ้อ้วน เลิกแสดงละครแล้วไปทำงานได้แล้ว เร็วเข้า!”
หวังเป่าเล่อกระพริบตาปริบ ตกใจที่กลเม็ดเด็ดของตนเองใช้ไม่ได้ผลเสียแล้ว แต่ความหน้าด้านหน้าทนของชายหนุ่ม ก็ทำให้เขารีบกระเด้งตัวขึ้น แทนที่จะหงอด้วยความอับอายที่โดนจับได้ เขาค้อมตัวลงเล็กน้อย กระโจนไปข้างหน้าสองสามก้าว ก่อนจะนึกได้ว่าตอนนี้ตนเองมีร่างกายเหมือนผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้น ชายหนุ่มจึงรีบยืดตัวขึ้นทันที และเดินอย่างองอาจไปตามทางที่แม่นางน้อยบอก หวังเป่าเล่อในคราบชายจากตระกูลไม่รู้สิ้น เดินเข้าหาจุดหมายอย่างแน่วแน่มั่นคง
ไม่นานนัก ยานรบสามลำก็บินผ่านศีรษะเขาไป ยานทุกลำหยุดอยู่เหนือหวังเป่าเล่อ ผู้โดยสารก้มลงมามองเข้าแวบหนึ่ง ก่อนจะจากไปโดยไม่สนใจเขาอีก
ชายหนุ่มได้แต่มองและคิดในใจว่าตนเองก็อยากได้ยานพาหนะกับเขาบ้างเหมือนกัน แต่ก็รู้ดีว่าโอกาสที่จะได้มานั้นน้อยนิดนัก เขาถอนใจอยู่ภายในก่อนจะเดินย่ำต๊อกต่อไป หวังเป่าเล่อเดินผ่านซากปรักหักพังมากมาย ก่อนจะชะงักกึกอยู่กับที่
“แม่นางน้อย หากเจ้าไม่ได้รีบอะไร ข้าขอเก็บนู่นเก็บนี่ไประหว่างทางได้หรือไม่”
ในตอนแรกแม่นางน้อยคิดว่าจะปฏิเสธคำขอของหวังเป่าเล่อ แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าตอนนี้นางต้องพึ่งเขาเพื่อทำภารกิจของตนให้สำเร็จ นางจึงไม่พูดอะไร อันถือเป็นคำตกลง
ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายเมื่อไม่ได้ยินคำปฏิเสธ เขามองไปรอบๆ ก่อนจะเดินเข้าไปหาซากผุพังนั้น ตรวจตราบริเวณโดยรอบอย่างถี่ถ้วนครั้งหนึ่ง ก่อนจะค้นพบสมบัติเวทที่หักพังสองสามชิ้น และเก็บเข้ากระเป๋าไป
ซากสมบัติเวทนั้นเสื่อมสภาพมากเสียจนยากที่จะบอกว่าเคยเป็นสิ่งใดมาก่อน แต่หวังเป่าเล่อเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการหลอมอาวุธเวท อันแปลว่าเขาบอกได้ในทันทีว่าสิ่งที่เก็บมาได้เหล่านี้ ล้วนทำมาจากวัสดุมีค่าอันแสนยอดเยี่ยม ชายหนุ่มหมายมั่นที่จะแยกชิ้นส่วนสมบัติเวทเหล่านี้ออก เพื่อนำมาใช้ในภายหลัง
หวังเป่าเล่อเดินหน้าบุกซากเมืองเพื่อเก็บสิ่งของต่อไป ท่ามกลางความเงียบจากแม่นางน้อย หากคิดว่าตนเองสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เขาก็จะหยิบสิ่งของเหล่านั้นเข้ากระเป๋าโดยไม่ลังเล
ชายหนุ่มเจอเข้ากับผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นอยู่บ้างตามทาง แต่ภาพมายาจำแลงที่แม่นางน้อยเสกให้เขา โดยใช้กฎจักรวาลไพศาลนั้น ทำให้การเผชิญหน้าเหล่านั้นไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น นอกจากทำให้เจ้าตัวสะดุ้งตกใจอยู่ภายใน คลังสมบัติของเขาขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนบริเวณที่ชายหนุ่มเข้าไปรื้อค้น
ไม่ว่าจะเป็นซากสมบัติเวท ชิ้นส่วนที่ดูประหลาดน่าขัน ต้นไม้เหี่ยวเฉา หรือเมล็ดที่แห้งกรัง หวังเป่าเล่อเก็บมาหมดทุกสิ่งอย่างไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียวให้ดูต่างหน้า เขามุ่งหน้าเข้าใกล้เทือกเขาทางเข้าสำนักวังเต๋าไพศาลเข้าไปทุกที ตามการนำทางของแม่นางน้อย
ชายหนุ่มได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังลั่น สะเทือนสะท้านออกมาจากประตูทางเข้าหุบเขาที่อยู่ไกลออกไป เมื่อเข้าไปใกล้ ก็เห็นวัตถุเวทเครื่องเจาะยักษ์ที่กำลังทะลวงยอดเขานั้นอยู่ วัตถุเวทยักษ์ปล่อยพลังรุนแรงออกมาขณะดูดพลังงานจากใต้ดิน กระบวนการดูดซับชีวิตของระบบจักรพิภพนี้ ส่งเสียงเครื่องยนต์ให้สะท้อนก้องไปในอากาศอย่างไม่หยุดยั้ง
เมื่อเทียบกับเครื่องเจาะยักษ์ หวังเป่าเล่อเปรียบเสมือนมดตัวจ้อยไร้ค่า ความเล็กกระจ้อยของเขาทำให้ชายหนุ่มตื่นตาตื่นใจกับวัตถุเวทชิ้นนี้มากขึ้นไปอีก
“ไอ้วัตถุเวทยักษ์นี่มันคืออะไรกัน มันกำลังทำอะไรอยู่หรือ” หวังเป่าเล่อสะอึก ขณะพูดพึมพำอยู่ในหัว
“นี่คือปลิงดูดพลังจักรวาล เป็นวัตถุเวทของราชันสวรรค์คนที่สองแห่งตระกูลไม่รู้สิ้น ใช้เพื่อดึงเอาพลังจักรวาลออกจากจักรพิภพ ราชันสวรรค์คนที่สองจะนำพลังนั้นไปใช้ในการฝึกปราณให้กับตนเอง ราชันสวรรค์คนที่สองมีจักรพิภพใต้อาณัติอยู่เก้าอาณาจักร และตั้งใจว่าจะใช้พลังจากระบบดวงดาวเหล่านี้ ในการก้าวข้ามระดับราชันไปเป็นจักรพรรดิ… ตระกูลไม่รู้สิ้นมีราชันสวรรค์อยู่ทั้งหมดสามสิบเจ็ดคน และเหนือไปกว่านั้นก็มีจักรพรรดิสวรรค์อยู่ห้าคนด้วยกัน!” แม่นางน้อยพูดอย่างไร้อารมณ์ หลังจากที่เงียบอยู่สักพัก
ราชันสวรรค์สามสิบเจ็ดคน จักรพรรดิสวรรค์ห้าคนเช่นนั้นหรือ หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขารู้ว่าตระกูลไม่รู้สิ้นมีจักรพรรดิผู้ปกครองมาตั้งแต่สมัยเข้าไปอยู่ในนิมิตมืด แต่ในตอนนั้นมีจักรพรรดิสวรรค์อยู่เก้าคน ไม่ใช่ห้า จักรพรรดิสวรรค์ที่ปรากฏกายที่สำนักแห่งความมืด คือจักรพรรดิตั่วมู่ ผู้มีราชันสวรรค์อยู่ใต้ปกครองหกคน ถือว่าเป็นหนึ่งในจักรพรรดิสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดจากทั้งหมด อาจเรียกได้ว่าอยู่ในสามอันดับแรกเลยก็ว่าได้!
ถ้าเช่นนั้นก็แปลว่าทั้งราชันสวรรค์และจักรพรรดิสวรรค์มีจำนวนลดน้อยลง แค่เพียงจักรพรรดิสวรรค์ก็หายไปถึงสี่คนแล้ว!
ความคิดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตัวสั่น เขาพอเดาออกว่าเกิดสิ่งใดขึ้น คงจะมีการรบพุ่งกันในช่วงเวลาที่ผ่านมาแน่นอน ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าคำของแม่นางน้อยมีความรู้สึกบางสิ่งซ่อนอยู่ ความรู้สึกนั้นช่างแสนซับซ้อนและเดียวดาย แต่เขาก็อดถามต่อไปไม่ได้
“ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้แต่กลับเป็นแค่ลำดับสอง ขั้นปราณของราชันลำดับสองนี้คือขั้นใดกันหรือ ใช่ระดับดาราจักรหรือไม่ แล้วการจะอยู่ในระดับราชันได้นี้ต้องมีปราณขั้นใด ราชันสวรรค์คนแรกแข็งแกร่งเพียงใดกัน”
หากทั้งสองไม่ได้มายืนอยู่ที่แห่งนี้ แม่นางน้อยอาจเลือกไม่ตอบคำถามเขา แต่เมื่อกลับมาอยู่ที่ดาวบ้านเกิดของนาง แม่นางน้อยก็รู้สึกได้ถึงอารมณ์ปั่นป่วนมากมายภายในใจ แม้ฉากหน้าจะยังดูสงบนิ่งก็ตามที หลังจากเงียบอยู่สักพัก นางก็เอ่ยตอบเสียงเบา
“ระดับราชันของตระกูลไม่รู้สิ้นนี้ เทียบเท่ากับปราณขั้นดาราจักร ราชันสวรรค์คนที่สองมีปราณขั้นดาราจักรแบบสมบูรณ์แบบ แต่ก็ยังห่างจากระดับจักรพรรดิอยู่ถึงครึ่งทาง นั่นแข็งแกร่งพอสำหรับเจ้าหรือไม่…”
“ส่วนราชันสวรรค์คนแรกนั้น…” แม่นางน้อยดูจนด้วยคำพูด นางดูไม่แน่ใจอย่างประหลาดขณะครุ่นคิด และเลือกที่จะเอ่ยออกมา
“ราชันสวรรค์คนแรกคือบุคคลลึกลับในตระกูลไม่รู้สิ้น มีน้อยคนนักที่รู้จักนามของเขา แต่มีข่าวลืออยู่สองเรื่องด้วยกันที่ทำให้ทุกคนรู้ดีว่าเขาน่ากลัวเพียงใด ข่าวลือเรื่องแรกคือเขาท้าสู้กับจักรพรรดิสวรรค์คนที่ห้า เจ้าพอเดาได้หรือไม่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น” แม่นางน้อยโยนคำถามกลับไปให้หวังเป่าเล่อแทน
ชายหนุ่มตัวแข็ง ก่อนเอ่ยตอบหลังจากคิดอยู่สักพัก “เขาแพ้แต่ไม่ตายหรือ”
“เขาชนะ!” คำตอบของแม่นางน้อยเปรียบเสมือนสายฟ้าที่ฟาดเข้ากลางศีรษะของหวังเป่าเล่อ หากก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เข้าไปอยู่ในนิมิตมืด เขาคงไม่ตกใจมากเท่านี้ แต่ประสบการณ์ในนิมิตมืดทำให้เขารู้มากกว่าคนทั่วไป ว่าระดับพลังระหว่างผู้ฝึกตนในระดับดาราจักรและระดับจักรวาลนั้น แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเพียงใด ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงตอบคำถามของแม่นางน้อยกลับไปเช่นนั้นในตอนแรก ว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่ราชันสวรรค์คนแรกจะกรำชัยมาได้
เป็นไปได้ว่าหลายคนก็คิดเช่นเดียวกับหวังเป่าเล่อ ทำให้แม่นางน้อยบอกว่าเรื่องนี้เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น
“แล้วข่าวลือเรื่องที่สองเล่า” แม้อำนาจของราชันสวรรค์คนแรกจะห่างจากเขาไปหลายขุม แต่หวังเป่าเล่อก็ยังอดถามต่อไม่ได้
“ข่าวลือเรื่องที่สองนี้ยิ่งมีคนเชื่อน้อยลงไปอีก อย่างน้อยก็ไม่ใช่ข้าคนหนึ่งเล่า… ว่ากันว่าเมื่อก่อนนี้ตระกูลไม่รู้สิ้นมีจักรพรรดิสวรรค์อยู่เก้าคนด้วยกัน แต่ราชันสวรรค์คนแรกสังหารไปเสียสี่ กระนั้นอีกห้าคนที่เหลือก็ไม่ได้คาดโทษเขาในเรื่องนี้แต่อย่างใด ซึ่งไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ด้วยเหตุนี้เรื่องนี้จึงเป็นได้เพียงข่าวลือเท่านั้น เจ้าก็ควรเชื่อแบบนั้นเช่นกัน”
หวังเป่าเล่อเบิกตากว้าง ความรู้สึกมากมายไหล่บ่าเข้ามาในจิตใจ แม่นางน้อยอาจไม่เชื่อเรื่องนี้ แต่หวังเป่าเล่อรู้ดี ว่าเมื่อก่อนนี้ตระกูลไม่รู้สิ้นเคยมีจักรพรรดิสวรรค์ถึงเก้าคนจริงๆ …
เป็นเพียงแค่ข่าวลือจริงๆ นะหรือ หากเป็นความจริงแล้วละก็ ต้องแปลว่าราชันสวรรค์คนแรกนั้นทรงพลังมากเสียจนไม่มีผู้ใดต้านทานได้เลยทีเดียว! ชายหนุ่มสองจิตสองใจว่าจะถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากแม่นางน้อยดีหรือไม่ แต่เมื่อเห็นว่านางเริ่มจมดิ่งสู่ความเศร้า เขาก็โยนความสงสัยใคร่รู้ของตน รวมถึงความตกใจเมื่อก่อนหน้าทิ้งไปเสีย และเก็บงำ คำถามเอาไว้เงียบๆ คนเดียว เมื่อเดินทางเข้าไปใกล้ประตูหุบเขาแม่นางน้อยก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“อย่าได้เดินเข้าประตูไปเชียว จงอ้อมไปด้านหลังของภูเขา ข้าจะชี้บอกทางลับให้เมื่อเจ้าไปถึง”
หวังเป่าเล่อไม่พูดตอบอันใด แต่เปลี่ยนทิศทางอย่างนุ่มนวลเพื่อมุ่งหน้าไปยังด้านหลังของหุบเขา เมื่อเข้าไปใกล้ขึ้น ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองวัตถุเวทขนาดยักษ์ที่ปักหลักอยู่กลางยอดเขานั้น ภาพที่เห็นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเศร้าเล็กน้อย ตอนที่ยังอยู่ในนิมิตมืด สิ่งที่เค้ารู้เกี่ยวกับตระกูลไม่รู้สิ้น จำกัดอยู่เพียงตอนที่จักรพรรดิสวรรค์เดินทางมาที่สำนักของเขา เพื่อทวงหาดวงวิญญาณของบุตรสาวตนเอง รวมถึงสิ่งที่เขาอ่านเจอในบันทึกบางเล่มเท่านั้น
ตระกูลไม่รู้สิ้นไม่ใช่ชนเผ่าที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยเลือดเนื้อ หากแต่เป็นผนึกสายสัมพันธ์ขนาดใหญ่ โดยมีตระกูลไม่รู้สิ้นเป็นจุดศูนย์กลาง ตระกูลนี้ประกอบไปด้วยอารยธรรมมากมายหลากหลาย… ทุกอารยธรรมผนึกกำลังกันต่อสู้กับสำนักแห่งความมืด เพื่อให้ตนเองได้อยู่เหนือทั้งชีวิตและความตาย พวกเขาต้องการหยุดยั้งสำนักแห่งความมืด จากการทำหน้าที่ควบคุมวิญญาณของตนในนามของเต๋าสวรรค์…
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น… คือการล่มสลายของประมุขแห่งสำนักแห่งความมืดและเต๋าสวรรค์ที่ถูกทำลายลง อันทำให้ตระกูลไม่รู้สิ้น… ก้าวขึ้นมามีอำนาจเหนือสิ่งใดทั้งปวง! จิตใจของหวังเป่าเล่อดำดิ่งสู่ความเศร้า ความรู้ที่เขามีเกี่ยวกับตระกูลไม่รู้สิ้นนั้น แม้จะไม่สมบูรณ์แต่ก็มากพอตัว ชายหนุ่มถอนหายใจอยู่ภายในก่อนคิดถึงสหพันธรัฐ
ในจักรพิภพแห่งเต๋าและจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ตระกูลไม่รู้สิ้นมีอำนาจสูงสุด อนาคตของสหพันธรัฐที่ถูกเปลี่ยนจากอาณาจักรอันขับเคลื่อนโดยนวัตกรรม มาเป็นการขับเคลื่อนโดยพลังปราณ ด้วยอำนาจแห่งกระบี่สำริดเขียวโบราณจากสำนักวังเต๋าไพศาลนั้น อาจไม่ได้รุ่งโรจน์และเต็มไปด้วยความหวังเหมือนที่เคยคิดไว้
หวังเป่าเล่อมุ่งหน้าไปที่เบื้องหลังของหุบเขาสำนักวังเต๋าไพศาลท่ามกลางความเงียบ จุดหมายปลายทางของเขาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในตอนนั้นเองที่เสียงลนของแม่นางน้อยดังกังวานขึ้นในหัว
“ระวัง มีผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้!”
ทันทีที่พูดจบ ยานรบเจ็ดถึงแปดลำก็พุ่งตัดท้องฟ้ามาอย่างรวดเร็ว ยานสามลำที่นำหน้ามีผู้ฝึกตนประจำอยู่ยานละคน ส่วนยานรบที่เหลือนั้นมีผู้ฝึกตนอยู่ราวลำละสามถึงห้าคน ยานลำหนึ่งหยุดชะงักอยู่กลางอากาศขณะที่กำลังพุ่งผ่านด้วยความเร็วสูง หนึ่งในผู้ฝึกตนสามคนจากตระกูลไม่รู้สิ้นในยานลำนั้น ก้มลงมองหวังเป่าเล่อที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังเบื้องล่าง ก่อนจะเอ่ยปากพูดในภาษาที่ชายหนุ่มเข้าใจ!
บทที่ 602 ประกายจรัสดาว!
“นามของข้าคือหนานโจว ผู้ฝึกตนระดับสามจากกองกำลังที่สาม ใต้บัญชาของราชันสวรรค์ลำดับสอง ข้าขอสั่งให้เจ้าเข้าร่วมกองกำลังของเราเพื่อสนับสนุนการกำราบศัตรู จงขึ้นยานมาเดี๋ยวนี้และแจ้งชื่อของเจ้ากับข้า!” ผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณจากตระกูลไม่รู้สิ้นปล่อยรังสีทรงพลังออกมา ก่อนพุ่งตรงมาข้างหน้า และประกาศด้วยเสียงดังลั่นเหมือนสายฟ้าพิโรธ
แม่นางน้อยกระวนกระวายในทันที นางพูดอย่างรวดเร็ว “หมอนั่นสั่งให้เจ้าขึ้นยาน เขาต้องการให้เจ้า…”
หวังเป่าเล่อไม่ได้รอให้แม่นางน้อยพูดจบ ชายหนุ่มดึงสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว ในใจทราบดีว่าสถานการณ์ที่ตนเองเผชิญหน้าอยู่นี้อันตรายเพียงใด แต่ก็ไม่มีประโยชน์ให้ต้องกังวลจนไม่เป็นอันทำอะไร เขากระโจนขึ้นไปในอากาศโดยฉับพลัน มุ่งหน้าไปยังยานที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้าจนกระทั่งเท้าเหยียบลงบนยาน ชายหนุ่มยืนอยู่ท่ามกลางสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นคนอื่นๆ ดวงตากวาดมองพวกเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนสังเกตเห็นว่าชุดเกราะที่พวกนี้สวมใส่ต่างจากผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณผู้นั้น
เขาจำได้ว่ายานรบที่ตนเองเห็นก่อนหน้านี้มีผู้โดยสารอยู่เพียงคนเดียว จึงมั่นใจว่าผู้คนรอบกายก็เพิ่งถูกเกณฑ์มาใหม่เช่นกัน ผู้ฝึกตนสองคนที่มาใหม่และผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณ ดูไม่ได้มีความเคารพกันและกันมากนัก ฟันเฟืองในสมองของหวังเป่าเล่อหมุนอย่างบ้าคลั่ง เมื่อแม่นางน้อยพูดจบ ชายหนุ่มก็ก้มหัวลงแทนที่จะทำมือคารวะหรือโค้งคำนับ และพูดในภาษาของสำนักแห่งความมืด
“เป่าเล่อ!”
แม่นางน้อยเงียบทันทีที่ได้ยิน
ผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณดูไม่ได้สนใจที่หวังเป่าเล่อไม่ได้เคารพแม้แต่น้อย และทำเพียงพยักหน้าตอบเช่นกัน ยานรบแล่นตรงไปข้างหน้าอีกครั้ง สู้จุดหมายปลายทางที่ไกลแสนไกล ชายหนุ่มสมาชิกใหม่บนยานลอบถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก
เขาไม่แน่ใจว่าตระกูลไม่รู้สิ้นทักทายกันอย่างไร เนื่องจากมีมืออยู่ถึงหกมือ หลังจากที่เห็นการวางตัวเท่ากันของผู้ฝึกตนสองคนบนยาน และผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณแล้ว เขาก็ตัดสินใจไม่ทำความเคารพใดๆ โดยเลือกเพียงค้อมหัวลงเท่านั้น
และเขาก็ทำถูกแล้วเสียด้วย ตระกูลไม่รู้สิ้นสร้างมาจากการผนึกกำลังฉันท์พันธมิตร สมาชิกแต่ละคนมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างกัน ส่วนการเมืองภายในก็ยุ่งเหยิงวุ่นวาย ด้วยเหตุนี้แม้ในวัฒนธรรมของการฝึกตน ผู้ที่อ่อนแอกว่าจะต้องคารวะผู้ที่แข็งแกร่งกว่า แต่หวังเป่าเล่อก็เอาตัวรอดไปได้โดยเพียงก้มหัวลงเท่านั้น
ยานรบเคลื่อนที่ออกห่างปากทางเข้าภูเขาสำนักวังเต๋าไพศาล ชายหนุ่มในคราบตระกูลไม่รู้สิ้นเงียบไปตลอดทาง หลังจากที่เดินทางผ่านสนามรบเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ซากปรักหักพังของเมืองใหญ่ก็ปรากฏขึ้นแก่สายตาพวกเขา
ซากนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ตึกรามบ้านช่องมากมายดูอยู่ในสภาพดีพอตัว พวกเขาไม่ได้เป็นกลุ่มเดียวที่เพิ่งมาถึง แต่มียานรบแบบเดียวกันหลายสิบลำ กำลังพุ่งตัดท้องฟ้ามายังเมืองนี้เช่นกัน
“ภารกิจของพวกเจ้าคือการสังหารผู้รอดชีวิตทุกคนให้สิ้น!” ผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณประกาศอย่างไร้อารมณ์ ก่อนก้าวออกจากยานลงไปยังสมรภูมิเบื้องล่างด้วยก้าวเดียว หวังเป่าเล่อและผู้ฝึกตนคนอื่นๆ บนยานก็ทำเช่นเดียวกัน
สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นที่มาจากบริเวณอื่นของดาวเดินหน้าทำตามคำสั่ง หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นว่าระดับปราณของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันมาก ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ที่ระดับเชื่อมวิญญาณ ส่วนผู้ที่อ่อนแอที่สุดอยู่ที่ระดับกำเนิดแก่นใน นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณอยู่บ้างอีกด้วย
ชายหนุ่มถึงพื้นอย่างเงียบเชียบขณะสังเกตผู้คนรอบตัวไปด้วย ในใจก็คิดว่าตนเองจะจากกองทัพย่อมๆ เหล่านี้ไปได้อย่างไร เพื่อมุ่งหน้าไปที่ประตูทางเข้าตรงหุบเขาตามแผนการเดิม
เขาพุ่งไปข้างหน้าตามกระแสของกำลังพลตระกูลไม่รู้สิ้นเพื่อกำจัดศัตรู เสียงระเบิดดังออกจากเมืองร้างอย่างไม่ขาดสาย พร้อมด้วยเสียงตะโกนของผู้คนที่เข้ารบพุ่งกัน รวมถึงการระเบิดตัวเองของนักรบมากมายโดยไม่หยุดยั้ง
เมืองร้างนี้เป็นหนึ่งในที่สุมกำลังพลของผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่รอดชีวิต พวกเขายังไม่ยอมศิโรราบต่อตระกูลไม่รู้สิ้น แม้สำนักหลักจะจากไปแล้วพร้อมความหวังของการมีชีวิตรอดก็ตามที ผู้ฝึกตนเหล่านี้เลือกที่จะปักหลักอยู่เบื้องหลัง ฝากชะตาเอาไว้กับดาวเคราะห์เต๋าไพศาลบ้านเกิดของตน
เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ฝึกตนเหล่านี้ก็ให้กำเนิดชีวิตใหม่ แม้อนาคตจะดูมืดมนไร้ซึ่งความหวัง มีแม้กระทั่งผู้ทรยศในหมู่พวกเขา แต่ผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่ก็ยังเลือกสู้เพื่ออิสรภาพจนลมหายใจสุดท้าย
เสียงระเบิดจากการต่อสู้ยังดังต่อเนื่องไม่หยุด หวังเป่าเล่อรุดไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบ รอบกายเขามีผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นสองคนด้วยกัน ต่างคนต่างอยู่ห่างกันราวสามร้อยเมตร คนหนึ่งมีปราณระดับกำเนิดแก่นใน อีกคนอยู่ที่ระดับจุติวิญญาณ
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังคิดหาทางหนีทั้งสองคนเพื่อจากเมืองร้างนี้ไปนั้น พลังปราณระดับจุติวิญญาณก็ระเบิดออกจากตำหนักเบื้องหน้าโดยฉับพลัน พลังนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก จนทำให้ตำหนักยุบเข้าไปตามแรงดูด สตรีนางหนึ่งกระโจนออกจากตำหนักนั้น… พุ่งตรงมาที่ผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณจากตระกูลไม่รู้สิ้น!
สตรีผู้นั้นมีอายุราวสี่สิบปี พลังปราณของนางดูไม่มั่นคง แม้จะอยู่ที่ระดับจุติวิญญาณแต่นางก็ได้รับบาดเจ็บอยู่พอตัว สตรีผู้นี้พุ่งเข้าใส่ผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณจากตระกูลไม่รู้สิ้นทันทีที่หลุดออกจากตำหนักมาได้
แรงปะทะนั้นสะท้อนออกมาในรูปของเสียงระเบิด สตรีผู้นั้นกระอักเลือดออกมา หน้าซีดเผือดเหมือนกระดาษขาว นางขยับตัวพุ่งไปอีกทางหนึ่งเพื่อหนี ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่ถูกโจมตีได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ดวงตาของเขาวาววับด้วยความอำมหิต ก่อนพุ่งตัวตามนางไปเพื่อไล่ล่า
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดต่อหน้าต่อตาหวังเป่าเล่อ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา เพียงแต่ปรายตามองและหันไปสำรวจตำหนักที่ยุบเข้าไปอย่างเงียบๆ เขาตั้งใจไม่เดินไปทางตำหนักนั้นแต่เลี่ยงไปอีกทางหนึ่งแทน
แต่นอกจากหวังเป่าเล่อแล้ว ในที่แห่งนั้นยังมีผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในอีกคนอยู่ หลังจากคิดอยู่สักพักเขาก็พุ่งไปที่ตำหนักเบื้องหน้า ทันทีที่ไปถึง รังสีพลังอีกชุดก็ระเบิดออกจากตำหนักนั้น
เสียงระเบิดกึกก้องดังตามมา เศษซากหินปูนปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ ร่างหนึ่งพุ่งออกจากตำหนักพร้อมด้วยรังสีที่รุนแรงน้อยกว่าคนแรก โดยมีพลังอยู่ที่ระดับกำเนิดแก่นใน เจ้าของรังสีนั้นกระโจนเข้าใส่ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นเช่นกัน!
เขามีอายุเพียงยี่สิบกว่าปีเท่านั้น การที่พัฒนาปราณได้จนถึงระดับกำเนิดแก่นในด้วยอายุเพียงเท่านี้ถือว่าเก่งกาจหาตัวจับยากเป็นอย่างยิ่ง แม้ชายผู้นี้จะดูบาดเจ็บอย่างชัดเจน แต่ก็ยังต่อสู้ด้วยความโหดเหี้ยมเด็ดขาด แต่ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นก็แข็งแกร่งไม่แพ้กัน หากต่อสู้กันต่อไปคงยากที่จะคาดเดาผลแพ้ชนะ
ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นหันมาตะโกนใส่หวังเป่าเล่อเพื่อขอความช่วยเหลือ ชายหนุ่มคู่ต่อสู้ก็เห็นเหตุการณ์นั้นด้วยเช่นกัน ประกายวาบเข้ามาในดวงตา เขากำลังจะหันไปที่ตำหนักเบื้องหลังเพื่อมองดู แต่ก็ชะงักกลางคัน
เนื่องจากเขาไม่จำเป็นต้องมองหาอีกต่อไป หวังเป่าเล่อเห็นแล้วว่าสิ่งใดที่ชายหนุ่มพยายามปกป้อง เด็กน้อยกำลังนั่งยองๆ อยู่ใต้ซากปรักหักพัง นางกอดเข่าของตนเองเอาไว้ ตัวสั่นงันงก
เสื้อผ้าของเด็กน้อยขาดวิ่นเต็มไปด้วยฝุ่นสกปรกเหมือนยาจกเข็ญใจ นางมองชายหนุ่มที่กำลังต่อสู้เบื้องหน้าด้วยน้ำตาอาบสองแก้ม เมื่อหันมาเห็นหวังเป่าเล่อ เด็กน้อยก็ตัวสั่นด้วยความหวาดหลัว
หวังเป่าเล่อสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ ก่อนจะหันไปสำรวจบริเวณโดยรอบ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นคนอื่นอยู่ เขาก็เดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ชายหนุ่มเพิ่มความเร็วขึ้น ภายในพริบตาก็ไปถึงตัวผู้ฝึกตนสองคนที่กำลังขับเคี่ยวกันอยู่
ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นกระปรี้กระเปร่าขึ้นทันทีที่กำลังเสริมมาถึง ส่วนชายหนุ่มจากสำนักวังเต๋าไพศาลตะโกนก้องด้วยความสิ้นหวัง ขณะที่เขากำลังจะระเบิดตัวเองเพื่อทำลายคู่ต่อสู้นั้น หวังเป่าเล่อก็เพิ่มความเร็วขึ้นอีกครั้ง ร่างของเขากลายเป็นเพียงภาพติดตาที่พุ่งผ่านผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นไป!
เร็วจนไม่มีเวลาได้ตั้งท่ารับมือ ศีรษะทั้งสามของผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นหลุดออกจากบ่า เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ ร่างไร้ศีรษะนั้นตกลงบนพื้นอย่างอ่อนปวกเปียก
ภาพนี้ทำให้ชายหนุ่มตกใจเป็นอันมาก เขารีบถอยหนีไปทันที มองหวังเป่าเล่อเขม็งด้วยความงุนงงและระวังตัว
หวังเป่าเล่อไม่ได้หันกลับไปมองชายหนุ่มและเด็กน้อย แต่หันหลังกลับเพื่อจากไปทันที ในตอนนั้นเองที่แม่นางน้อยซึ่งคงความเงียบเอาไว้ตั้งแต่เขาพูดภาษาตระกูลไม่รู้สิ้น ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ หวังเป่าเล่อไม่แน่ใจว่านางทำได้อย่างไร แต่นางส่งแสงจากประกายจรัสดาวให้หลั่งไหลเข้าห้อมล้อมทั้งสองเอาไว้ ทั้งชายหนุ่มที่กำลังมีสีหน้างุนงงแกมระวังตัวและเด็กหญิงตัวน้อย ร่างของพวกเขากลายสภาพไปเป็นสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นต่อหน้าต่อตาหวังเป่าเล่อ!
“ช่วยข้าบอกพวกเขาที ว่าภาพมายานี้จะคงอยู่เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ให้พวกเขา… รีบหนีไปจากที่นี่เสีย”
หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย การกระทำของแม่นางน้อยดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย หากตัวตนที่แท้จริงของทั้งสองถูกเปิดโปงโดยตระกูลไม่รู้สิ้น ตัวเขาเองนั่นแลที่จะต้องไปพัวพันกับเรื่องอันตรายร้ายแรงนี้
แม่นางน้อยเองก็รู้ว่าตนเองตัดสินใจบุ่มบ่ามไร้ความรอบคอบเพียงใด ชั่วอึดใจหนึ่ง นางก็ก้มศีรษะลงและพูดสิ่งที่นางไม่เคยพูดมาก่อนเป็นครั้งแรก
“ข้าขอโทษ”
หวังเป่าเล่อถอนหายใจ เขาหันไปมองศิษย์หนุ่มจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่เริ่มหายตกใจอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มพอใจกับการปรับตัวของชายตรงหน้า เขารีบพูดด้วยเสียงเบาในภาษาของสำนักวังเต๋าไพศาล
“ภาพมายานี้จะคงอยู่เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น รีบหนีไปเสีย!”
ชายตรงหน้าเขาตัวสั่นเมื่อได้ยิน เขามองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาที่ยากเกินเข้าใจ ก่อนจะกอดเด็กหญิงตัวน้อยที่ตัวสั่นเทาเอาไว้ ทั้งสองกำลังจะจากไป ในตอนนั้นเองที่เด็กหญิงที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนตระกูลไม่รู้สิ้น หันกลับมาหาหวังเป่าเล่อ ก่อนถามขึ้นมาโดนพลัน “ศิษย์พี่ ท่านมีนามว่าอะไรหรือ”
หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย เขามองเด็กน้อยที่บัดนี้มีสามศีรษะหกมือ ดวงตากระจ่างสว่างไสว ก่อนจะคิดถึงอนาคตของสหพันธรัฐและพูดตอบด้วยเสียงแผ่ว
“เป่าเล่อ!”
เมื่อตอบคำถามเสร็จ ชายหนุ่มก็หันหน้าจากไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่หันกลับมามอง
บทที่ 603 แผ่นศิลาอารยธรรมจารึก!
ภารกิจที่เรียกผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นนับร้อยมารวมตัวกันนี้ ใช้เวลาไม่นานก็ปิดฉากลง โดยกินระยะเวลาเพียงหกชั่วโมงเท่านั้น หวังเป่าเล่อไม่ทราบตัวเลขผู้เสียชีวิตจากฝั่งสำนักวังเต๋าไพศาล แต่จากที่เขาเห็นด้วยตาตนเองก็มากกว่าสี่สิบคนอย่างแน่นอน
ท้ายที่สุด ผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณก็ผนึกกำลังกันกวาดล้างเมืองนั้นให้หายไปจากแผนที่โดยสิ้นเชิง โดยไม่ทิ้งไว้แม้แต่ซากให้ได้ดูต่างหน้า
ส่วนผู้ฝึกตนที่ถูกเรียกตัวมาระหว่างทางนั้น ได้รับอนุญาตให้กลับไปได้เมื่อภารกิจเสร็จสิ้น ต่างคนต่างเดินออกจากที่แห่งนั้นไปตามทางของตนเอง หวังเป่าเล่อก็มุ่งหน้าไปยังประตูหุบเขาสำนักวังเต๋าไพศาลในทันที
เมื่อได้ร่วมทำภารกิจและเห็นการต่อสู้ของตระกูลไม่รู้สิ้นด้วยตาตนเองแล้ว หวังเป่าเล่อก็ไม่มีปัญหาเรื่องการทำตัวให้กลมกลืนกับพวกนี้อีกต่อไป เขาไม่ได้พยายามกลบเกลื่อนร่องรอยตนเองขณะเดินทางอีกแล้ว แต่พุ่งทะยานไปในอากาศอย่างโจ่งแจ้งแทน
ระหว่างทางชายหนุ่มเจอเข้ากับผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นอยู่บ้างประปราย หวังเป่าเล่อไม่ได้รอให้พวกนั้นหันมามองเขาก่อน แต่กลับมองพวกเขาแทนด้วยสายตาประเมิน เมื่อทั้งสองฝ่ายสบตากัน ธรรมเนียมการพยักหน้าแลกเปลี่ยนก่อนแยกย้ายดูจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาในสังคมนี้
ตลอดทางชายหนุ่มไม่เจออันตรายใดๆ เขากลับมาที่ประตูทางเข้าหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลอีกครั้ง เมื่อมาถึง ชายหนุ่มก็ยืนมองวัตถุเวทรูปเครื่องเจาะ พลางฟังเสียงสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ที่วัตถุเวทนี้ปล่อยออกมา เสียงของแม่นางน้อยดังก้องในหัว
“เจ้าไปเรียนภาษา… ตระกูลไม่รู้สิ้นมาจากที่ใดกัน!”
“ภาษาของสำนักแห่งความมืดอย่างไรเล่า เจ้าไม่รู้หรือแม่นางน้อย” หวังเป่าเล่อตอบอย่างสงบนิ่ง
คำตอบนี้ส่งให้แม่นางน้อยจมสู่ความเงียบ นางย้อนนึกไปถึงตอนที่หวังเป่าเล่อหายไปชั่วคราว เมื่อครั้งที่ชายหนุ่มเข้าไปอยู่ในวัตถุเวทแห่งความมืด นางพอเดาได้เกิดสิ่งใดขึ้นระหว่างนั้น แต่ก็กลับมารู้สึกอับจนหนทางอีกครั้งเช่นกัน ไม่ว่านางจะเสนอให้เขาทำสิ่งที่ยากเย็นแสนเข็ญจนแทบเป็นไปไม่ได้เพียงใด เขาเพียงแต่ต้องใช้เวลาสักพักก็จะทำสำเร็จเสมอไป
แม่นางน้อยเริ่มปวดหัวตุบเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าหวังเป่าเล่อรู้ว่านางยกเมฆเรื่องสำนักแห่งความมืด แต่ตัวนางก็เชื่อว่าสิ่งที่ตนเองพูดจะยังคงถือว่าจริงอยู่เสมอ ตราบใดที่นางไม่เปิดเผยว่าตนเองโกหก ด้วยเหตุนี้แม่นางน้อยจึงพ่นลมเยาะเย้ยตามนิสัยเดิม
“ข้ารู้อยู่แล้ว ข้าแค่อยากรู้ว่าเจ้าจะรู้หรือไม่!”
“เป็นเช่นนั้นหรือ เหตุใดจึงต้องทดสอบข้ากันเล่า เจ้าไม่ได้ตั้งใจจะให้ข้าเล่นบทวีรบุรุษช่วยผู้คนหรือใช่ไหม เจ้าก็รู้นี่แม่นางน้อย ว่าข้าไม่ใช่คนแบบนั้น” หวังเป่าเล่อยืดเส้นยืดสายอย่างขี้เกียจ ชายหนุ่มโยนความรู้สึกกระอักกระอ่วนเรื่องการสังหารหมู่ผู้รอดชีวิตจากสำนักวังเต๋าไพศาลทิ้งไปเรียบร้อยแล้ว ความคิดของเขาง่ายมาก เขาไม่ใช่พ่อพระนักบุญใดๆ ชีวิตของเขาทำเพื่อสหพันธรัฐเท่านั้น และหน้าที่ของเขาก็คือในฐานะพลเมืองของสหพันธรัฐเท่านั้นเช่นกัน
สหพันธรัฐ และสำนักแห่งความมืด
แม้หวังเป่าเล่อจะสงสารประชากรบนดาวเคราะห์เต๋าไพศาลแต่ก็ทำได้เพียงเห็นใจ ด้วยเหตุนี้เขาจึงถามแม่นางน้อยออกมาเช่นนั้น เพื่อให้นางหยุดคิดว่าจะให้เขากอบกู้สำนักวังเต๋าไพศาลที่เคยรุ่งเรืองเสีย
“ความจริงแล้ว แม้สำนักแห่งความมืดจะล่มสลายลง แต่รากฐานของสำนักนั้นยังคงอยู่ มีผู้หนึ่งที่ทั้งลึกลับและทรงอำนาจจากสำนักแห่งความมืด ที่คอยสอดแนมอยู่ในตระกูลไม่รู้สิ้น นี่เป็นข้อมูลลับที่สำคัญมาก ศาสตร์แห่งความมืดที่ข้าได้ร่ำเรียนมาก็จากท่านผู้นี้เช่นกัน จะเรียกว่าข้าเป็นหนึ่งในศิษย์ของเขาก็ได้!” ฟันเฟืองในหัวของแม่นางน้อยทำงานอย่างหนัก จนทำให้นางสามารถปั้นน้ำเป็นตัวได้ภายในไม่กี่วินาที เมื่อโม้เสร็จเรียบร้อย นางก็อดไม่ได้ที่จะภูมิใจกับไหวพริบที่แสนคมกริบของตนเอง
“ข้าทดสอบเจ้าเพราะข้าอยากรู้ว่าเจ้าได้รับการยอมรับจากท่านอาจารย์ของข้าหรือไม่ หากมีเขาคอยช่วยเหลือ อนาคตของเจ้าคงจะสดใส ไม่มีอะไรที่เจ้าทำไม่ได้เป็นแน่!”
แม่นางน้อยยังคงภาคภูมิใจในความสามารถของตนเองจนพูดต่อได้เป็นฉากๆ หากมีใครเห็นภาพนางในตอนนี้ได้ จะเห็นว่านางกำลังชูกำปั้นไปในอากาศด้วยท่าทีสดใส ราวกับกำลังให้กำลังใจเพื่อนร่วมโลกให้สู้ชีวิตต่อไปอย่างไรอย่างนั้น
สีหน้าของหวังเป่าเล่อยากจะอธิบาย เขาไม่เชื่อสิ่งที่แม่นางน้อยพูดเมื่อก่อนหน้า แต่สิ่งที่นางพูดเมื่อครู่นี้ดูมีเหตุมีผลจนทำให้แม้แต่เขายังเริ่มสงสัยในตนเอง สุดท้ายแล้วชายหนุ่มก็ตัดสินใจจะไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่อยู่ดี
แต่ด้วยความที่ตนเองยังทำภารกิจอยู่ เขาจึงไม่ได้ประกาศออกมาโต้งๆ ว่าไม่เชื่อนาง ชายหนุ่มเพียงแต่พยักหน้าและเออออตามแม่นางน้อยเท่านั้น อันทำให้นางพอใจขึ้นอีกและบอกทางลับให้กับเขาในที่สุด
เมื่อแม่นางน้อยอารมณ์ดีเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่านางน่ารักเหลือเกิน เพราะว่าสตรีนางใดที่เอาใจง่ายก็น่ารักกันทุกคน
เมื่อรู้ว่าทางเข้าลับอยู่ตรงไหน ชายหนุ่มก็แหย่แม่นางน้อยต่อไปขณะพุ่งไปตามทาง ลึกเข้าไปยังประตูเข้าหุบเขาสำนักวังเต๋าไพศาล
ทางลับนี้ถูกซ่อนไว้อย่างดีมาก เต็มไปด้วยฝุ่นและดินทราย รวมถึงชิ้นส่วนที่ผุพังยุบเข้ามาข้างใน แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับหวังเป่าเล่อแต่อย่างใด เขามุ่งไปข้างหน้าอย่างมั่นคง สองชั่วโมงต่อมา ชายหนุ่มก็มาปรากฏกายอยู่ภายในประตูหุบเขาด้านในของสำนัก!
หุบเขานี้ถูกผ่าออกเป็นสองซีกด้วยกัน วัตถุเวทเครื่องเจาะยักษ์เดินหน้าสกัดพลังจักรพิภพของมันออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง จนทำให้ภายในหุบเขามีรอยแยกมากมาย ทำให้เขาเดินทางลำบากขึ้น
กระนั้นก็ใช่ว่าจะผ่านไปไม่ได้เลยทีเดียว เพียงแต่ต้องใช้เวลาหน่อยเท่านั้น หลายชั่วโมงต่อมา ชายหนุ่มก็บุกตะลุยลึกเข้าไปในหุบเขาตามการนำทางของแม่นางน้อย จนมาถึงหน้าห้องลับในที่สุด!
กำแพงที่รายล้อมถ้ำเต็มไปด้วยรอยแตกมากมาย นอกจากนี้ในอากาศยังมีกลิ่นอายของคำสาป แม้รอยแยกในกำแพงจะทำให้คำสาปอ่อนกำลังลง แต่ก็ยังทรงพลังมากพอที่จะทำให้วิญญาณของหวังเป่าเล่อแทบขาดเป็นชิ้น วิญญาณของชายหนุ่มสั่น จิตใจว่างเปล่ากลวงโบ๋ ร่างของเขาโซเซไปมาจนแทบสลบ
โชคดีที่ในตอนนั้นเอง ประกายจรัสดาวที่ห่อหุ้มร่างของชายหนุ่มไว้ก็ปล่อยพลังอันแสนอ่อนโยนออกมา เพื่อปลุกให้เขาตื่นจากภวังค์ ชายหนุ่มรีบล่าถอยในทันที พร้อมด้วยใบหน้าซีดเผือดและร่างกายสั่นเทิ้ม แม้จะมีกฎจักรวาลไพศาลปกป้องอยู่ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกได้ถึงอันตรายร้ายแรงเบื้องหน้าตน
“แม่นางน้อย เจ้าตั้งใจจะฆ่าข้าหรืออย่างไร…” ชายหนุ่มสีหน้าบูดบึ้ง อันตรายที่ร่ายกายเขาสัมผัสได้นั้น เข้มข้นรุนแรงเสียยิ่งกว่าพลังของผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณเสียอีก ประสบการณ์ในนิมิตมืดทำให้เขาพอเดาได้ว่า คำสาปนี้สร้างโดยผู้ที่ทรงพลังเทียบเท่าท่านอาจารย์ของเขาในสำนักแห่งความมืด
นอกจากนี้ด้วยความที่คำสาปถูกทำลายจนไม่สมบูรณ์ จึงทำให้เขายังมีชีวิตรอดอยู่ได้แบบครบสามสิบสอง มิเช่นนั้นแล้วละก็ เขาคงไม่มีโอกาสได้มาเหยียบที่แห่งนี้เลยด้วยซ้ำ วิญญาณของเขาคงแหลกสลายไปเสียตั้งแต่ตอนที่อยู่ไกลออกไปแล้ว
“หน้าที่หลักของคำสาปคือการซ่อนที่แห่งนี้ไว้ให้เจ้าหาไม่เจอ… ไม่ต้องกังวลไป หากคำสาปนี้ยังคงอยู่แปลว่าตระกูลไม่รู้สิ้นยังหาที่แห่งนี้ไม่เจอ รีบเข้าไปเร็ว ศิลาอารยธรรมจารึกที่ข้าต้องการอยู่ข้างในนี้!” แม่นางน้อยกระแอมเพื่อซ่อนความรู้สึกอับอายเอาไว้ ก่อนจะรีบออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว
หวังเป่าเล่อลังเลอยู่นานก่อนตัดสินใจว่าจะบุกเข้าไปอย่างระมัดระวัง แม่นางน้อยพยายามอย่างเต็มที่ในการปกป้องหวังเป่าเล่อด้วยกฎจักรวาลไพศาล เพื่อต่อสู้กับคำสาปร้าย ชายหนุ่มค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้า จนมาถึงหน้าประตูหินทางเข้าห้องลับในที่สุด เขาผลักประตูให้เปิดออกอย่างช้าๆ สูดหายใจเข้าลึก กัดฟัน และเดินเข้าไปในห้อง
ทันทีที่เหยียบเข้าไปภายใน คำสาปก็ส่องแสงจ้าออกมาทันที ลำแสงหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ ลำแสงนั้นทรงพลังมากเสียจนเพียงเส้นเดียวก็ทำให้ชายหนุ่มเสียชีวิตลงได้ในทันที แต่ยังโชคดีที่มีกฎจักรวาลไพศาลปกป้อง เขาจึงยังอยู่รอดปลอดภัย
ลำแสงแต่ละเส้นมาพร้อมเสียงเสียดแหลมเหมือนคมดาบที่ฟาดฟัน ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเสียวสันหลังวาบเมื่อได้ยิน เขาเห็นจุดที่ลำแสงทุกเส้นเชื่อมต่อกัน จุดนั้นลอยอยู่เหนือสิ่งหนึ่งที่มีขนาดเท่าครึ่งฝ่ามือ… ศิลาจารึก!
ศิลาจารึกนั้นดูเหมือนไม่มีอยู่จริง เนื่องจากโปร่งแสงและเต็มไปด้วยอักขระมากมายที่ตัวเขาอ่านไม่ออก นอกจากนี้ยังเต้นตุบๆ เป็นจังหวะตามแสงอีกด้วย ศิลาอารยธรรมจารึกมีกลิ่นอายของความเก่าแก่ที่บอกไม่ถูก ส่งออกมาอย่างเด่นชัด
ทันทีที่สายตาของเขาสบลงบนศิลาจารึก ชายหนุ่มก็รู้สึกราวกับว่าศิลาแผ่นนี้ได้เห็นความตายมามากมายนับไม่ถ้วน เห็นดวงดาวที่ดับสลาย ดวงอาทิตย์ที่สูญสิ้น และความเหี่ยวเฉาทุกสิ่งอย่างในจักรวาลนี้ แต่ในขณะเดียวกัน… ก็เห็นต้นกำเนิดของทุกสิ่ง ชีวิตใหม่ ดาวใหม่ ดวงอาทิตย์ใหม่ และจักรวาลใหม่เช่นกัน!
ราวกับว่าจักรวาลทั้งหมดอาศัยอยู่ภายในศิลาแผ่นนี้ กระนั้นศิลานี้ก็ยังไม่สมบูรณ์อยู่กึ่งหนึ่ง…
“นี่มัน… อะไรกัน…” หวังเป่าเล่อพึมพำ หยุดหายใจไปชั่วขณะ
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ครั้งที่ข้ายังเป็นเด็ก บิดาข้าบอกว่านี่คือพลังแห่งเต๋าที่ผู้ฝึกตนชั้นสูงสุดจากจักรพิภพแห่งเต๋าอื่น จะเข้าใจได้เมื่อถึงขั้นที่หกของการฝึกตน” แม่นางน้อยพึมพำตอบ ส่วนหวังเป่าเล่อก็ตกใจไปเรียบร้อย เวลาผ่านไปนานก่อนที่เขาจะกลับมาได้สติอีกครั้ง เพราะได้ยินเสียงบาดลึกแหลมสูงของลำแสงที่ดังมาเข้าโสตประสาท
“แล้วเราจะหยิบมาได้อย่างไร รีบกันหน่อยเถิด ข้ารู้สึกว่าเสื้อผ้าตัวเองจะกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเร็วๆ นี้!”
“อย่าตื่นตกใจไป ข้าไม่ได้จะให้เจ้าเอาชีวิตมาทิ้งหรอกนะ เอาละ ข้าจะทำให้เจ้านำพลังรอบกายมาใช้ได้ ทั้งพลังจากคำสาปและพลังจากศิลาอารยธรรมจารึก พลังนี้จะทำให้เจ้าหลอมฝักกระบี่สำเร็จ นอกจากนี้ฝักกระบี่ของเจ้าจะยังดูดซับเอาเสี้ยวพลังจากดินแดนแห่งนี้เข้ามาด้วย เพื่อสร้างรากฐานให้ฝักกระบี่ของเจ้าพัฒนาเป็นวัตถุเวทชั้นสูงสุดต่อไป!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น