เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 6 ตอนที่ 9-11
ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...
ตอนที่ 9 สวรรค์ไร้สิ้นหนทาง
ลุกตื่นขึ้นจากที่นอนอันอ่อนนุ่มเหนือคำบรรยาย หยางเฟยยังคงเคลิบเคลิ้มอยู่กับฝันหวานที่เมื่อคืนได้ฝันถึงชีวิตในวัยเด็กที่งดงามที่สุดของนางจนทำให้คลั่งไคล้ใหลหลงสยายผมนั่งอยู่ด้านหน้าหน้าต่าง ปล่อยให้นางกำนัลหวีผมให้นางตามใจชอบ ทันใดนั้นจู่ๆ นางก็ลุกขึ้นยืนและผลักหน้าต่างให้เปิดออก สายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาทางเบื้องหน้าทำให้นางรู้สึกสุขสบายจนอยากจะร้องครางออกมา
บนถนนหินสายเล็กๆ ที่อยู่ไกลลิบนั้นมีเด็กหนุ่มสองคนกำลังแบกถังน้ำขนาดใหญ่ด้วยความยากลำบาก เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างหน้านั้นค่อนข้างอ้วนเล็กน้อย เมื่อร่างกายเสียหลักเล็กน้อยน้ำที่อยู่ในถังก็กระเฉาะออกมาบางส่วน เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างหลังก็ต่อว่าต่อขานไม่ยอมหยุด
นากำนันยกมือป้องปากแอบหัวเราะ ท่าทางการหาบน้ำของสองราชนิกุลช่างชวนให้น่าขันจริงๆ ถังนั้นใบใหญ่เกินไปจนแทบจะเท่าตัวของพวกเขาแล้วและน้ำเต็มจนเกินไป เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นตกลงไปจึงมีใบไม้ขนาดใหญ่ที่ล้างสะอาดแล้วปิดอยู่อีกชั้นหนึ่ง เดินโซซัดโซเซราวกับตุ๊กตาล้มลุก
ทั้งสองวางถังลง หลี่ไท่นั่งนวดไหล่พลางกัดฟันกร่อดๆ “อาเค่อ ถังใบใหญ่เกินไป แม้ว่าข้าจะเป็นน้องชายเจ้าแต่เจ้าก็ไม่ควรหาเรื่องทรมานข้า เปลี่ยนถังที่เล็กกว่านี้สักหน่อยได้ไหม”
หลี่เค่อนั้นเหนื่อยกว่าเขามาก ถังน้ำถูกเลื่อนมาไว้ใกล้กับเขามาก หากในยามปกติแล้วเขาจะต้องคัดค้านอย่างแน่นอน แต่วันนี้เขากัดฟันทำโอยไม่บ่นอะไรเลย ครั้งก่อนที่ฮองเฮาเสด็จมาประทับที่สำนักศึกษานั้นย่อมต้องอยู่ใกล้กับน้ำตกเป็นธรรมดา แต่ตอนนี้หยางเฟยประทัยอยู่ในอาคารเล็ก ระยะทางในการหาบน้ำจึงไกลขึ้นถึงหนึ่งเท่าตัว
หลี่เค่อนั้นรู้จักนิสัยของหลี่ไท่เป็นอย่างดี หากให้ช่วยหาบเพียงรอบเดียวเขายังให้ความร่วมมือแต่หากให้หาบสองรอบเขาจะต้องบ่ายเบี่ยงแน่นอน ดังนั้นหลี่เค่อจึงได้สั่งทำถังขนาดใหญ่ใบใหม่ไว้แต่เนิ่นๆ แล้วเพื่อป้องกันโรคขี้เกียจกำเริบของหลี่ไท่
“อาไท่ อดทนอีกหน่อย ประเดี๋ยวก็ถึงแล้ว อย่างมากที่สุดคราวหน้าหากฮองเฮาเสด็จมาข้าจะช่วยเจ้าหาบน้ำอีกครั้ง เสด็จแม่ข้าจะออกจากวังได้สักครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องให้ท่านพักผ่อนให้เต็มที่ ต้องใช้น้ำที่ดีที่สุด นี่เป็นความกตัญญูที่พวกเราซึ่งเป็นลูกควรกระทำ”
ในด้านมารายาทแล้วหลี่ไท่วางตัวได้ดีมาก เขาพยักหน้ารับ ขณะที่เตรียมจะก้มตัวลงไปหาบน้ำต่อ จู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ตบที่หน้าผากของตนเองอย่างแรงและพูดกับหลี่เค่อว่า “พวกเราเป็นลาโง่สองตัว ก็เพียงแค่ลำเลียงน้ำสะอาดจากน้ำตกเข้ามาใช้ก็สิ้นเรื่อง แต่พวกเรากลับพยายามหาบน้ำอย่างไม่คิดชีวิต แม้แต่วิธีที่จะประหยัดแรงที่อวี้ฉือจอมโง่ยังคิดได้ แต่เจ้ากับข้าที่เป็นนักเรียนสองคนที่ฉลาดที่สุดในสำนักศึกษากลับคิดไม่ออก ถ้าต้องเหนื่อยตายก็สมควรแล้ว ทั้งยังจะไม่มีใครเห็นใจอีกด้วย ไม่แน่ว่าตอนนี้อวิ๋นเยี่ยอาจจะหลบอยู่ที่นั่นหัวเราะเยาะพวกเราอยู่ก็เป็นได้”
หลี่เค่อนั้นถึงกับอ้าปากค้าง ระยะทางหนึ่งลี้นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขา น้ำตกนั้นอยู่สูงแต่อาคารเล็กนั้นอยู่ในระดับต่ำกว่า ดังนั้นน้ำจะต้องไหลเข้ามาอย่างแน่นอน เพียงแค่ตัดปล้องไม้ไผ่และเชื่อมต่อเข้าด้วยกันก็ใช้ได้แล้ว วิธีง่ายๆ เช่นนี้ทั้งสองคนกลับคิดไม่ถึง
เมื่อครู่ยังมีกำลังใจในการหาบน้ำ ทันใดนั้นก็พบว่าความอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเช่นนี้ควรจะตำหนิในความโง่เขลาของตนเอง จึงทำให้หมดแรงในทันทีแล้วยังจะมีแรงในการหาบน้ำอีกหรือ
“เสี่ยวอั้น เสี่ยวโย่ว พวกเจ้าดูไว้ นี่คือจุดจบของลาโง่ พวกเขาต่างก็ยอมรับแล้ว ต่อไปพวกเจ้าอย่าได้เอาพวกเขาเป็นเยี่ยงอย่าง” กังวลอะไรก็มักจะเกิดเหตุการณ์นั้น อวิ๋นเยี่ยพาหลี่โย่วและหลี่อั้นโผล่ตัวออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ หลี่โย่วและหลี่อั้นสองพี่น้องต่างคนต่างกำลังถือกล่องอาหารอยู่ในมือซึ่งดูเหมือนว่ากำลังจะนำอาหารไปถวายให้หยางเฟยและอินเฟย
หลี่ไท่อวดอ้างตัวว่าเป็นคนฉลาดมาโดยตลอด คราวนี้ถูกอวิ๋นเยี่ยจับจุดอ่อนได้ จึงได้แต่ใบหน้าแดงก่ำหาข้อโต้แย้งอะไรไม่ได้เลยหลี่เค่อเองก็เช่นกัน อวิ๋นเยี่ยเดินเข้าไปหาและตบไหล่หลี่ไท่และหลี่เค่อเบาๆ แล้วพูดว่า “จุดเริ่มต้นของพวกเจ้าก็คือความกตัญญู แม้ว่าจะทำเรื่องที่โง่เขลาเพียงใดก็ควรได้รับการให้อภัย อย่างไรเสียความกตัญญูกตเวทีต้องมาก่อน เหมือนใครนะที่นอนหมอบอยู่บนพื้นน้ำแข็งเพื่อใช้ความร้อนในร่างกายละลายพื้นน้ำแข็งหนาๆ และจับปลาให้แม่ของเขา แม้ว่าการใช้สิ่วกะเทาะน้ำแข็งจะเร็วกว่า แต่เราก็ไม่ใช้มัน วิธีการอันโง่เขลาเช่นนี้ก็คล้ายกับวิธีการของพวกเจ้าสองคน ช่างเรียกได้ว่าวิถีที่แตกต่างแต่ผลลัพธ์นั้นเหมือนกัน”
ในตอนนี้หลี่เค่อและหลี่ไท่อยากจะกัดอวิ๋นเยี่ยให้ตาย ลิ้นอสรพิษที่พ่นพิษไม่ยอมหยุด ในสำนักศึกษาได้เคยซักถามเกี่ยวกับเรื่องเล่าในตำรา “เซี่ยวจิง” มาตั้งนานแล้วซึ่งในท้ายที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่าล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มคนโกหกที่ไร้สาระทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้องไห้จนหน่อไม้งอก หรือเรื่องนอนหมอบบนน้ำแข็งเพื่อจับปลา ล้วนแล้วแต่เป็นพวกพิการทางสมองจึงจะทำกัน อวิ๋นเยี่ยนำพวกเขาไปเปรียบเทียบกับคนที่ชื่อหวังเสียง เห็นได้ชัดว่ากำลังหัวเราะที่พวกเขาเป็นผู้พิการทางสมอง แม้จะไม่รู้ว่าพิการทางสมองคืออะไร แต่คำพูดที่มาจากปากของอวิ๋นเยี่ยนั้นจะต้องไม่ใช่คำที่ดีอย่างแน่นอน
หาบน้ำได้เพียงครึ่งทาง แน่นอนว่าจะละทิ้งกลางคันไม่ได้ ทั้งสองจึงยกถังน้ำขึ้นเดินหน้าต่อโดยไม่พูดอะไรเลย ภายใต้คำพูดที่เหน็บแนมของอวิ๋นเยี่ยที่พูดมาตลอดทาง สองพี่น้องก็ได้หาบน้ำไปจนถึงอาคารเล็กในอึดใจเดียว
หยางเฟยและอินเฟยที่ยืนอยู่ด้านหน้าอาคารเล็กนั้นน้ำตาไหลอาบแก้มตั้งนานแล้ว นี่คือผลจากการอบรมสั่งสอนของสำนักศึกษาอย่างนั้นหรือ อินเฟยรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก หยางเฟยหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาขับเหงื่อให้หลี่ไท่และหลี่เค่อที่เหงื่อไหลไคลย้อย เช็ดเหงื่อพลางร้องไห้ อินเฟยยังบอกอีกว่าพี่หญิงช่างมีวาสนายิ่งนักที่มีลูกชายที่กตัญญูเหมือนกับหวังเสียง ซึ่งทำให้สองพี่น้องฟังแล้วไม่รู้จะกล่าวอะไรดี
ทางด้านนี้หลี่อั้นจู่ๆ ก็ร้องไห้เสียงดัง คุกเข่าบนพื้นกอดขามารดาไม่ยอมปล่อยมือ เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายเพียงอย่างเดียว น้ำตาและน้ำมูกไหลอาบแก้ม รู้สึกคับข้องใจจนแทบจะชักดิ้นชักงออยู่แล้ว
ในที่สุดเขาก็หยุดร้องไห้และชี้ไปที่อวิ๋นเยี่ยและพูดกับมารดาว่า “เสด็จแม่ ข้าไม่ต้องการเรียนในสำนักศึกษา อวิ๋นเยี่ยเป็นปีศาจ เขาควักหัวใจของเสี่ยวโย่วออกมาและเปลี่ยนหัวใจแพะเข้าไปแทน ตอนนี้เสี่ยวโย่วเอาแต่ชอบกินหญ้า ไม่ชอบกินเนื้อ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะควักหัวใจของพวกเสด็จอาเจียอ๋องออกมาแล้วเปลี่ยนหัวใจสุนัขจิ้งจอกเข้าไปแทน ข้าล้วนแล้วแต่เห็นมากับตาตัวเอง เสด็จแม่ ข้าไม่อยากโดนควักหัวใจ ข้าอยากกลับวัง”
อินเฟยเปิดอกเสื้อของหลี่โย่วด้วยความงุนงงสงสัย เห็นว่าหน้าอกก็ยังคงขาวนวลเหมือนปกติ ไม่มีร่องรอยใดๆ แม้สักนิด ขณะที่กำลังจะปิดเสื้อของหลี่โย่วกลับเหมือนเดิม คิดไม่ถึงว่าหลี่โย่วก็เริ่มร้องไห้โฮเล่าระบายสิ่งที่น่าสังเวชของตนที่ประสบพบเจอมา
อวิ๋นเยี่ยยืนหัวเราะคิกคักอยู่ข้างๆ มองดูสองพี่น้องร้องไห้ระบายความอัดอั้น หลี่ไท่หัวเราะจนตัวงอ หลี่เค่ออายจนหน้าแดงไปถึงใบหูจนแทบอยากจะอุดปากของหลี่อั้นเสียให้ได้ แต่หยางเฟยนั้นกลับมีท่าทีรู้สึกเจ็บใจที่ลูกดูไม่เอาไหนเสียเลย อินเฟยเองก็เช่นกัน
ก่อนหน้านี้พวกเขาสองคนมักปั้นน้ำเป็นตัว แต่ไม่เคยแสดงท่าทีกุเรื่องได้สมจริงเหมือนครั้งนี้เลย เรื่องคนประหลาดที่มีรอยแผลเป็นเต็มตัว เรื่องการสลับสับเปลี่ยนหัวใจอะไรพวกนี้ ทำให้พระสนมทั้งสองฟังจนรู้สึกขนลุกขนพอง แต่กลับไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว
สิ่งแรกหลี่อั้นสัมผัสได้ก็คือสิ่งต่างๆ ไม่ได้เป็นไปในทิศทางที่เขาคาดการณ์ไว้ พี่ชายของเขากำลังโกรธ แต่ทว่าโกรธเขา มารดาของเขากำลังโกรธซึ่งก็โกรธเขาด้วย แม้แต่มารดาของหลี่โย่วผู้ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกทำร้ายก็ไม่พอใจเขาทั้งสองคนเช่นกัน
ทันทีที่เห็นรอยยิ้มอันน่าสยดสยองของอวิ๋นเยี่ย เขาก็หยุดร้องไห้ในทันใดและพูดกับมารดาอย่างจำยอมว่า “เมื่อครู่เป็นเพียงแค่ฝันร้ายของลูกเอง ต่อไปจะไม่พูดถึงอาจารย์ในทางที่ไม่ดีอีก ลูกจะตั้งใจเล่าเรียน”
หลี่โย่วหันกลับไปมองหลี่อั้นด้วยความงงงวย นานๆ ครั้งที่ทั้งสองจะพูดความจริงออกมา เหตุใดจึงกลายเป็นความฝันไปได้ ทั้งยังเตรียมวิงวอนต่อมารดาอีก ใครจะรู้มารดากลับตบเข้าที่ด้านหลังศีรษะหนึ่งฝ่ามือด้วยสีหน้าโกรธเคืองที่เขาไม่เอาไหน จึงได้เข้าใจว่าเหตุใดหลี่อั้นจึงต้องพูดโกหก
อวิ๋นเยี่ยประสานมือกล่าวเกลี้ยกล่อมว่า “พระสนมอย่าได้ทรงกริ้ว เสี่ยวอั้นและเสี่ยวโย่วเพิ่งมาถึงสำนักศึกษาเป็นครั้งแรก ไม่ว่าอะไรก็ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ย่อมต้องรู้สึกไม้คุ้ยชินเป็นธรรมดา เมื่ออยู่นานไปก็จะสามารถปรับตัวได้เอง เด็กๆ อาจจะติดนิสัยเอาแต่ใจบ้างถือเป็นเรื่องปกติ การลงโทษพวกเขานั้นหาใช่วิธีการแก้ไขปัญหา ขอเพียงแค่พวกเขาคิดว่าจำเป็นต้องเล่าเรียนเขียนอ่าน เช่นนี้แล้วจึงจะตั้งใจเรียนเอง มิฉะนั้นก็เป็นเพียงการฝืนเรียน ไม่ว่าเรียนอย่างไรก็จะไม่เกิดประโยชน์แม้แต่น้อย”
ฉวยโอกาสที่พระสนมทั้งสองแสดงการคารวะกลับ อวิ๋นเยี่ยแอบส่งแววตาที่เย็นชาน่ากลัวเป็นที่สุดให้หลี่โย่วและหลี่อั้นทำให้ทั้งสองพี่น้องตัวสั่นเทา เมื่อเห็นว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว อวิ๋นเยี่ยจึงหยิบกล่องอาหารทั้งสองกล่องที่อยู่บนพื้นส่งให้หลี่โย่วและหลี่อั้นแล้วจึงกล่าวกับสนมทั้งสองว่า “ขณะทานอาหารเช้า นี่เป็นซาลาเปาของสำนักศึกษาที่พวกเขาสองคนรู้สึกว่าอร่อยมาก ซึ่งอยากให้สนมทั้งสองได้ลิ้มลองด้วยจึงได้ซื้อเพิ่มขึ้นมาอีกจำนวนหนึ่ง นี่ก็เป็นน้ำใจของเด็กทั้งสองคน ขอพระสนมทั้งสองได้โปรดลองเสวยพ่ะย่ะค่ะ”
สองพี่น้องส่งกล่องอาหารให้มารดาของตนด้วยท่าทางที่แข็งทื่อ จากนั้นก็ไปยืนอยู่ด้านหลังอวิ๋นเยี่ยอย่างสุภาพ ซึ่งทำให้พระสนมทั้งสองเห็นแล้วปราบปลื้มอยู่ครู่หนึ่ง
ภายใต้ข้ออ้างที่ว่าต้องแบ่งชั้นเรียนให้ทั้งสองคน จากนั้นอวิ๋นเยี่ยก็กล่าวคำอำลาและมอบหมายเรื่องการต้อนรับพระสนมให้หลี่ไท่และหลี่เค่อดูแล จากนั้นก็พาเด็กน้อยทั้งสองเดินมุ่งหน้ายังไปสำนักศึกษา เมื่อเดินไปได้ครึ่งทางหลังจากอ้อมเนินเขาเล็กๆ อวิ๋นเยี่ยเพียงแค่หยุดเดิน สองพี่น้องก็กลัวจนหมอบลงพื้นสองมือกุมศีรษะร้องขอวิงวอนเต็มที่ สาบานอย่างรุนแรงว่าภายหน้าพวกเขาจะไม่กล้าเปิดเผยความลับของสำนักศึกษาอีกแล้ว
ได้ผลออกมาดีมาก อวิ๋นเยี่ยแอบคาดเดาว่าด้วยท่าทีเช่นนี้ของหลี่อั้นและหลี่โย่วไม่มีเหตุผลที่จะสอนให้ดีไม่ได้ ตอนนี้ก็เหลือเพียงหลี่เผิงเฉิงเท่านั้นที่ยังเป็นตัวอันตราย ขณะที่ลงมือทะเลาะวิวาทด่ากราดไปทั่วโดยไม่มีท่าทีว่าพูดจาติดขัดเลยแม้แต่น้อย เหตุใดเมื่อเข้าห้องเรียนแล้วกลับพูดติดอ่างอึกอักจนผู้คนทนไม่ไหว หรือจะบอกว่ามีเพียงการทำการผ่าตัดหลอกๆ จึงจะทำให้เขามั่นใจได้เท่านั้น คงต้องดูไปก่อน หากยังไม่สำเร็จอีก คงจะทำได้เพียงวิธีนี้เท่านั้นเอง
ท่าทางที่กำลังครุ่นคิดของอวิ๋นเยี่ยทำให้หลี่โย่วและหลี่อั้นที่อยู่ข้างหลังหวาดผวา ยังคิดว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังคิดแผนการชั่วร้ายอะไรบางอย่างอีกเพื่อที่จะรับมือกับพี่น้องของพวกเขา ตอนนี้แม้พูดความจริงมารดาของตนเองก็ยังไม่เชื่อ กำลังเสริมจากภายนอกก็ถูกตัดขาด การสงบเสงี่ยมเชื่อฟังเป็นเพียงวิธีเดียวที่จะทำให้มีชีวิตรอดต่อไปได้ สองพี่น้องไม่กล้าคาดหวังสำหรับอนาคตของพวกเขาอีกแล้วแม้แต่น้อย
เมื่อหลิวเซี่ยนเห็นหลี่โย่วและหลี่อั้นสองพี่น้องที่อยู่ตรงหน้าเขาวางตัวสุภาพเรียบร้อย เอ่ยปากรู้จักขอบคุณ กล่าวคำรู้จักนอบน้อมก็รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก นี่คือสองจอมมารน้อยที่ทำตัวไร้กฎเกณฑ์อยู่ในวังที่ไหนกัน หากแต่เป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์สองคนที่มีกริยามารยาทนอบน้อม ยิ่งเมื่อสวมชุดสีน้ำเงินครามยิ่งแสดงออกให้เห็นถึงความสูงศักดิ์ของราชนิกุลอย่างเด่นชัด เมื่อมองดูอวิ๋นเยี่ยซึ่งยืนอยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าไม่แยแสแอบยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นมาเต็มที่
“หลี่โย่ว หลี่อั้น รหัสนักศึกษาของพวกเจ้าคือ แปดร้อยเจ็ดสิบหก แปดร้อยเจ็ดสิบเจ็ด จัดให้อยู่ในอาคารหมวดอักษร “ตี้” ห้องหมายเลขสามศูนย์หก ชั้นสาม ทุกวันต้องตื่นในยามเหม่าสือ[1] ให้เวลาอาบน้ำและแปรงฟันเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป หากเกินกำหนดเวลาจะถูกลงโทษด้วยการวิ่งสี่ลี้ ยามเฉินสือ[2]รับประทานอาหารเช้า จากนั้นให้เวลาครึ่งชั่วยามเพื่อจัดการที่พักตนเอง เวลาที่เหลือก็คือเวลาเรียน พวกเจ้าจะได้รับแจกตารางเรียน ยามอู่สือ[3]คือเวลาอาหารกลางวัน มีเวลาพักหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นเข้าเรียนต่อ มีคาบเรียนเพียงหนึ่งชั่วยามในช่วงบ่าย เวลาที่เหลือเป็นเวลาอิสระ อาหารเย็นทานในยามเซินสือ[4] หากเลยจากเวลาที่กำหนดแล้วจะไม่มีการรอ ยามไฮ่สือ[5]เศษๆ ให้เข้านอนให้ตรงเวลา ห้ามกระทำฝ่าฝืนกฎ พวกเจ้าฟังเข้าใจแล้วหรือไม่”
“เข้าใจดีแล้ว” ทั้งสองตอบกลับพร้อมกัน เมื่อเห็นหลี่อั้นมีอาการลังเลเล็กน้อย หลิวเซี่ยนจึงถามต่อว่า “หลี่อั้น เจ้ายังจะถามอะไรอีกไหม”
“อาจารย์ พวกเรามีเวลาเล่นสองชั่วยามใช่หรือไม่” เขาพบปัญหานี้เมื่อดูจากตารางเวลาและถามด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“ใช่ พวกเจ้ายังเด็กอยู่ ดังนั้นคาบเรียนจึงยังไม่หนักหนา เวลาสองชั่วยามให้เป็นกิจกรรมยามว่างของพวกเจ้าเอง ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าไปเล่นฟุตบอลหรือเข้าร่วมการออกกำลังกายซึ่งจะเป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับพวกเจ้าในภายหน้า แต่เป็นการสมัครใจ หากเจ้าไม่เข้าร่วมก็ไม่มีใครว่าอะไร สำนักศึกษามีคนมากมายก้าวออกไป แต่จะไม่มีเศษสวะก้าวออกไป พวกเจ้าได้ยินชัดเจนหรือไม่” หลิวเซี่ยนตั้งใจอธิบายให้หลี่อั้นฟังโดยเฉพาะ
“ได้ยินชัดเจนแล้ว!” สองพี่น้องตอบเสียงดังมากกว่าเดิม บางที สำนักศึกษาก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คาดไว้ ยกเว้นอวิ๋นเยี่ย!
——
[1] เหม่าสือ เป็นเวลา ประมาณ ตี 5 ถึง 7 โมงเช้า
[2] เฉินสือ เป็นเวลา ประมาณ 7 โมงเช้า ถึง 9 โมงเช้า
[3] อู่สือ เป็นเวลา ประมาณ 11 โมงเช้า ถึง บ่ายโมง
[4] เซินสือ เป็นเวลา ประมาณ บ่าย 3 โมง ถึง 5 โมงเย็น
[5] ไฮ่สือ เป็นเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ถึง 5 ทุ่ม
ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...
ตอนที่ 10 ข้าคือหม่าโจวผู้วาสนาดี
หลังจากที่หยางเฟยและอินเฟยได้ส่งโอรสมาเรียนที่สำนักศึกษาด้วยตนเองแล้ว เรื่องเล่าเกี่ยวกับสำนักศึกษาแห่งเขาอวี้ซันก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งมหานครอย่างเมืองฉางอันที่มีประชากรแปดแสนคน บรรดาองค์ชายจึงเริ่มทยอยกันมาสมัครเรียนที่สำนักศึกษา ยังจะมีสถานที่ไหนดีกว่าสำนักศึกษาอวี้ซันกันอีก
สำนักศึกษาได้ทำการคัดเลือกเชื้อพระวงศ์จำนวนหนึ่งและลูกหลานของขุนนางที่สร้างความดีความชอบ และคัดแยกเหล่าเศรษฐีเก่าแก่ในเมืองเอาไว้อีกส่วน ลูกหลานชนชั้นสูงในเมืองกวนหล่งได้เสพสุขทุกอย่างของประเทศนี้แล้ว ตอนนี้แม้กระทั่งพื้นฐานทางสังคมของบุตรธิดาก็สูงกว่าบุตรของพวกเขาเองเสียอีก จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร แล้วพวกเราจะต้องเป็นชนชั้นล่างชั่วลูกชั่วหลานเช่นนั้นหรือ
กั๋วจื่อเจี้ยนได้เปิดโอกาสให้บุตรหลานของขุนนางต่ำกว่าขั้นที่ห้าลงไป หอหงเหวินก็เลิกวางท่าทีอวดดีดั่งผู้สูงศักดิ์ เริ่มมองหาบุคลากรชั้นดีในหมู่ลูกหลานของขุนนางระดับต่ำ เตรียมที่จะมุ่งเน้นการฝึกอบรมเพื่อแข่งขันกับสำนักศึกษาดูว่าใครจะเหนือกว่าใคร
แข่งกันสรรหาบุคลากรหรือ ในยุคปัจจุบันนั้นอวิ๋นเยี่ยมีความเชี่ยวชาญกับวิธีการนี้เป็นอย่างมากเมื่อเขาต้องมองหาโรงเรียนสำหรับลูกชายของเขา อวี๋ซื่อหนาน หลิวเจิ้งฮุ่ย ไม่ว่าจะมีความรู้เก่งกล้าสามารถเพียงไร สติปัญญาล้ำลึกอย่างน่าอัศจรรย์ ก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจหลักการกาลักน้ำได้ แม้จะนับรวมขงอิ่งต๋า ซ่งเหลียน เซียวอวี่ อาจารย์เหล่านี้ได้เอื้อผลประโยชน์ให้ กั๋วจื่อเจี้ยนและหอหงเหวินจะต้องได้เจ็บแค้นใจกับความพ่ายแพ้อย่างหมดรูปในการแข่งขันแย่งนักเรียนในครั้งนี้
ไม่มีสิ่งใดอื่น สำนักศึกษาอวี้ซันก็เพียงแค่ติดประกาศสั้นๆ นักเรียนที่มีความสามารถเพียงแค่แนะนำตัวเองก็สามารถเข้าร่วมการสอบของสำนักศึกษาได้แล้ว หลังจากผ่านการสอบแล้วก็สามารถเข้าเรียนในสำนักศึกษาได้ซึ่งไม่แตกต่างจากนักเรียนของสำนักศึกษาอื่นเลย นักเรียนที่ครอบครัวมีฐานะยากจนก็สามารถเข้าเรียนโดยไม่มีค่าใช้จ่ายได้ด้วย นอกจากนี้ทางสำนักศึกษายังมีทุนการศึกษาให้ยื่นขอได้อีก ทั้งยังสามารถทำงานระหว่างศึกษาได้ด้วยขอเพียงแค่ผลการเรียนดีพอ
ศักดิ์ศรีแห่งการเป็นนักเรียน ไม่มีใครคิดว่าตนเองด้อยกว่าคนอื่น ต่างก็มีหนึ่งศีรษะอยู่บนหัวไหล่ด้วยกันทุกคน เจ้าจะฉลาดกว่าข้าเช่นนั้นหรือ น่าขัน ต้องผ่านการสอบเสียก่อนจึงจะรู้กันอย่างชัดเจน เขาอวี้ซันในเดือนห้าเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย บ้านของเกษตรกรที่อยู่เชิงเขานั้นเต็มไปด้วยนักเรียนที่เดินทางเข้ามาเพื่อเข้าสอบ รวมไปถึงอีกหลายๆ คนที่รีบเร่งเดินทางมาจากแดนไกลเพื่อเข้าร่วมการสอบ
การจัดสอบครั้งใหญ่ของเขาอวี้ซันได้ทำให้พระราชตำหนักแห่งการคัดสรรบุคลากรของราชสำนักที่จัดปีละหนึ่งครั้งซึ่งถูกจัดขึ้นในเวลาเดียวกันต้องมืดมนหม่นหมอง นักเรียนผู้ยากไร้ที่ไม่สามารถส่งสำนวนข้อสอบต่อขุนนางได้จึงได้แต่ฝากความหวังไว้กับสำนักศึกษาอวี้ซัน บรรดาท่านอ๋องต้องการขุนนางใต้บังคับบัญชา เหล่ากองทัพต้องการเลขาธิการทางการทหาร กรมโยธาต้องการผู้ที่มีความสามารถเฉพาะด้าน อย่างเลวร้ายที่สุดเหล่าตระกูลใหญ่ก็ต้องการผู้ที่อยู่ใต้อาณัตตนเอง ยามออกมาเดินบนท้องถนนยังดูน่าเกรงขามมากกว่าราชเรขาคลังหลวงซึ่งเป็นขุนนางขั้นแปดของทางการเสียอีก
ฮ่องเต้เพิกเฉยต่อเรื่องดังกล่าว มีแต่เว่ยเจิงที่กระตือรือร้นในการถวายคำทัดทานถึงผลกระทบร้ายแรงที่จะตามมาเกี่ยวกับการที่สำนักศึกษาแย่งบุคลากรชั้นยอดกับทางราชสำนักขณะอยู่ให้ห้องประชุมราชกิจ หลี่ซื่อหมินยังหลี่ตาและฟังด้วยรอยยิ้ม ขุนนางในราชสสำนักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน แต่คนที่สามารถใช้งานได้จริงนั้นกลับมีเพียงไม่กี่คน เขาได้ทำการทดสอบเพื่อพิสูจน์ความสามารถที่แท้จริงของผู้ที่เรียกว่ายอดบุคลากรที่กำลังจะไปรับตำแหน่งนายอำเภอตามท้องที่ต่างๆ ด้วยตนเองแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้ทำให้เขาโกรธจนควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ เขียนอธิบายนับร้อยนับหมื่นคำแต่เมื่อต้องปฏิบัติจริงกลับไม่มีนโยบายใดๆ เลย เมื่อประสบปัญหาภัยแล้งกลับไม่รู้ว่าจะรับมือได้อย่างไร เมื่อพบปัญหาชาวบ้านก่อจลาจลก็ไม่รู้ว่าจะปลอบขวัญอย่างไร รู้จักแต่เพียงร้องขอความช่วยเหลือ ไม่รู้จักการจัดการความเป็นอยู่ของชาวบ้านแม้แต่น้อย มีเหลือก็แค่เพียงใจที่จงรักภักดีต่อประเทศเท่านั้น
เมื่อโจรมาถึงอย่างมากที่สุดข้าก็ยอมสละชีพ ขุนนางและชาวบ้านทุกครอบครัวต้องเอาตัวรอดกันเอง เพียงแค่นี้ก็สามารถทำให้แผ่นดินเป็นสุขได้ ขุนนางประเภทนี้ทำให้หลี่ซื่อหมินทั้งรู้สึกชอบและรู้สึกกังวล ขุนนางเช่นนี้จะไม่สามารถนำมาซึ่งความเจริญให้กับท้องถิ่น ขณะเดียวกันก็ไม่มีเภทภัยใดๆ ด้วยเช่นกัน อาณาจักรแปดร้อยปีที่ปกครองอยู่ก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
ในทางตรงกันข้ามนักเรียนระดับสูงของสำนักศึกษาที่อายุไม่มากนักต้องเข้าร่วมการฝึกปฏิบัติงานจริงในประเภทต่างๆ บ้างก็เป็นการดูแลจัดการเตาเผาหิน บ้างก็เป็นการจัดการดูแลกลุ่มช่างฝีมือ บ้างก็มีส่วนร่วมในการสร้างสะพาน บ้างก็เข้าร่วมในการแจกจ่ายเสบียงอาหารของกองทัพและไปช่วยเหลือท้องที่ที่ประสบภัยแล้ง หรือช่วยระบายน้ำในพื้นที่น้ำท่วม นอกจากนี้ยังมีบางส่วนที่ดูแลตลาดขนาดเล็กในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น สำหรับสถานที่ก่อสร้างพระราชวังนั้นยิ่งมีชายหนุ่มจำนวนมากมายที่เข้ามาร่วมทำงาน
นักเรียนที่เข้าร่วมในการก่อสร้างตรอกซิ่งฮั่วฟางได้ทำให้เรื่องน่าสงสัยที่เหล่าขุนนางฉางอันเอาแต่อยู่ในตำแหน่งแต่ไม่ทำงานถูกเปิดเผยออกมา พวกก่อกบฏหลายสิบคนที่ลอบวางเพลิงได้ทำให้มหานครที่ยิ่งใหญ่ซึ่งมีประชากรแปดแสนกว่าคนเกิดความอลหม่านไปทั้งเมือง ผลลัพธ์ที่ร้ายแรงเช่นนี้ ปกติแล้วเหล่าขุนนางทำอะไรกันอยู่
ในการประชุมเช้านั้นเว่ยเจิงได้พูดจนรู้สึกเหนื่อยมาก จึงได้เปลี่ยนให้ขงอิ่งต๋ามาจุดชนวนต่อ แต่ในสมองของหลี่ซื่อหมินกำลังหวนนึกถึงความสนุกเรื่องที่อวิ๋นเยี่ยได้เชิญเขารับตำแหน่งเป็นคณบดีของสำนักศึกษาอวี้ซัน ในตอนนั้นเขาคิดว่ามันไร้สาระมาก ภาระหน้าที่ของฮ่องเต้นั้นก็คือการปกครองไพร่ฟ้า ไม่ใช่ไปดำรงตำแหน่งหน้าที่ขุนนางอย่างจริงจัง มิฉะนั้นจะมีขุนนางเอาไว้ทำไมกัน
ตอนนี้มาหวนคิดดู ตนเองจำเป็นต้องดำรงตำแหน่งคณบดีจริงๆ เสียแล้ว ขอเพียงเป็นคณบดี นักเรียนในสำนักศึกษาก็เป็นนักเรียนของตนเองทั้งหมด ในบรรดาอาจารย์ในใต้หล้านี้ ตนเองสามารถได้ดำรงตำแหน่งทั้งสองสถานะถือเป็นวิธีการซื้อใจคนที่ดีที่สุด
หลี่ซื่อหมินจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา ไม่แปลกใจที่อวิ๋นเยี่ยไม่เห็นด้วยที่ในตอนนั้นเมื่อตนเองจะให้รัชทายาทเป็นคณบดีโดยยอมที่จะให้ตำแหน่งนั้นว่างเป็นเวลาสองปี แต่ก็ไม่ยอมที่จะให้เฉิงเฉียนเข้าไปข้องเกี่ยวกับสำนักศึกษา ใครจะรู้ว่าการนึกสนุกเพียงชั่ววูบของตนเองเมื่อสองปีก่อน กลับทำให้เกิดผู้ที่แข็งนอกอ่อนในออกมาได้ หลี่เฉิงเฉียนเอ๋ยหลี่เฉิงเฉียน เจ้าช่างโชคดีกว่าผู้ใดในอดีต สหายของเจ้ามีความเป็นห่วงเป็นใยเจ้าได้ถึงขั้นนี้ หากภายหน้าเจ้าเป็นฮ่องเต้ที่ดีไม่ได้เช่นนั้นคงผิดต่อทุกคนแล้วจริงๆ
เมื่อคิดถึงอวิ๋นเยี่ยสีหน้าของหลี่ซื่อหมินก็ดูแปลกไปเล็กน้อย กำหมัดแน่นจนส่งเสียงกร็อบๆ “เจ้าหนุ่ม ราชวงศ์ข้าถูกเอาเปรียบกันได้ง่ายดายเพียงนี้เชียวหรือ การก่อเรื่องอนาจารในราชสำนักมีโทษหนักถึงประหาร หากมีเวลาเราต้องค่อยๆ คุยกับเจ้าเสียหน่อยแล้ว”
เริ่มมีการถกเถียงกันในการประชุมเช้าจึงทำให้หลี่ซื่อหมินเรียกสติกลับคืนมาได้ชั่วคราว เห็นเพียงเว่ยฉือกงกำหมัดแน่นด้วยท่าทีอันแข็งกร้าวดุดันคว้าขงอิ่งต๋าที่ร่างผอมบางเอาไว้ราวกับเตรียมจะใช้กำลัง
“หยุดนะจิ่งเต๋อ จะใช้กำลังในท้องพระโรงเพราะเหตุใดกัน”
“ฝ่าบาท ตาเฒ่าแซ่ข่งคนนี้เป็นคนที่น่ารังเกียจจริงๆ หากพูดเรื่องอื่นก็ไม่เป็นไร กระหม่อมไม่เคยถือสาหาความเขาเลย แต่ในเมื่อบุตรชายกระหม่อมสามารถสร้างสะพานซั่งจินเฉียวด้วยก้อนหินเพียงไม่กี่ก้อนโดยไม่ใช้คานรับ กลับเป็นการกระทำที่เห็นชีวิตผู้คนเป็นผักปลา กระหม่อมกำลังจะคุยกับเขาให้รู้เรื่องให้จงได้”
ตระกูลอวี้ฉือนั้นหาได้ยากนักที่จะมีทายาทสักคนที่อ่านออกเขียนได้ ตอนนี้เขาสามารถนำคนหลายสิบคนไปสร้างสะพานที่ยาวสามสิบกว่าเมตรได้ เมื่อสะพานสร้างเสร็จแล้วกลับมีบางคนนั่งบ่นกระปอดกระแปด แน่นอนย่อมต้องโกรธเป็นธรรมดา
“ใครเป็นผู้สร้างสะพาน” หลี่ซื่อหมินนึกว่าตนเองได้ยินผิดไป สะพานที่อวี้ฉือเป่าหลินสร้างคนสามารถเดินข้ามไปได้ไหม ไม่แปลกใจที่ขงอิ่งต๋าจะพูดว่าตระกูลอวี้ฉือเห็นชีวิตผู้คนเป็นผักปลา เมื่อใดกันที่คนโง่ไม่รู้ความเริ่มสร้างสะพานเป็น
“เจ้าลูกไม่เอาไหน อวี้ฉือเป่าหลินได้นำช่างฝีมือเจ็ดสิบสามคนมาสร้างสะพานเสร็จภายในเวลายี่สิบหกวันกับอีกสี่ชั่วยาม” เว่ยฉือกงอ้าปากพูดด้วยความภาคภูมิใจเป็นพิเศษ
“ฝ่าบาท สะพานซั่งจินเฉียวนั้นเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการเข้าออกประตูจินกวงเหมิน อวี้ฉือเป่าหลินไม่ใช้เสาคานหรือขอนไม้ ใช้เพียงแค่หินก้อนใหญ่ไม่กี่ร้อยก้อนก่อสร้างขึ้นมาได้ ถึงแม้ว่าการแกะสลักหินด้านบนนั้นงดงามแต่กลับไม่สามารถใช้งานได้ หากถล่มลงมาจะต้องมีคนเสียชีวิต เหตุใดกระหม่อมจึงจะกล่าวว่าเขาเห็นชีวิตผู้คนเป็นผักปลาไม่ได้กัน”
หลี่ซื่อหมินมองดูอวี้ฉือกงด้วยความเป็นห่วง แล้วมองดูหลี่ต้าเลี่ยงเจ้ากรมโยธา เพื่อดูว่าเขาทั้งสองจะอธิบายอย่างไร
หลี่ต้าเลี่ยงลุกขึ้นยืนและพูดต่อฮ่องเต้ว่า “กราบทูลฝ่าบาท กรมโยธาได้ทำการตรวจสอบสะพานซั่งจินเฉียวแล้ว สะพานนั้นสร้างได้อย่างโอ่อ่าสวยงามและมั่นคงแข็งแรงใช้ได้จริง ไม่เป็นปัญหา”
อวี้ฉือกงรีบกล่าวสำทับว่า “กระหม่อมเองก็ยังเป็นห่วงว่าเจ้าลูกไม่เอาไหนของกระหม่อมจะสร้างสะพานที่ไม่มั่นคงใช้การไม่ได้ ดังนั้นในวันที่ลูกไม่เอาไหนคนนี้สร้างสะพานเสร็จสมบูรณ์ กระหม่อมเป็นคนแรกที่ขึ้นสะพานซึ่งมันมั่นคงมาก จากนั้นให้ทหารห้าสิบนายสวมเกราะหนักควบม้าข้ามสะพาน สะพานไม่มีเศษฝุ่นร่วงหล่นลงมาแม้แต่น้อย จากนั้นให้เคลื่อนรถมาเรียงกันจากหัวสะพานไปจนถึงปลายสะพาน สะพานนั้นก็ยังคงสภาพดีอยู่ กระหม่อมขอใช้ศีรษะรับประกันว่าสะพานนั้นไม่มีปัญหา”
แต่ไหนแต่ไรมาอวี้ฉือกงไม่เคยพูดโกหกตน หลี่ซื่อหมินนั้นเข้าใจดี ดังนั้นเขาจึงเชื่อในคำพูดของอวี้ฉือกงไปแล้วแปดส่วน ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากกลับเห็นว่าจั่งซุนอู๋จี้ก้าวออกมากล่าวว่า “ฝ่าบาททรงลืมสะพานจ้าวโจวเฉียวแล้วกระนั้นหรือ สะพานนั้นก็ไม่มีคานเช่นกันและสร้างด้วยการก่อหิน ซึ่งก็ยังคงอยู่ในสภาพดีมาจนถึงทุกวันนี้”
“สะพานนั้นถูกสร้างขึ้นโดยหลี่ชุนช่างฝีมือชื่อดังในสมัยราชวงศ์สุย อวี้ฉือเป่าหลินมีความสามารถอันใดจะไปเปรียบเทียบกับเขาได้” ขงอิ่งต๋ายังคงไม่ยอมเลิกรา
“เจ้าลูกไม่เอาไหนบอกว่าภาพแบบแปลนนั้นมาจากตระกูลด้านการก่อสร้าง ตระกูลกงซู เพียงแค่คนใดคนหนึ่งในตระกูลเขาออกมา ก็เก่งพอที่จะเปรียบเทียบได้กับหลี่ชุน”
อวี๋ซื่อหนานที่อยู่ด้านล่างโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตกลงกันไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าในวันนี้จะโจมตีสำนักศึกษาอวี้ซัน ใครจะรู้ว่าจะถูกขงอิ่งต๋าผู้ที่ทั้งงี่เง่าทั้งแข็งกระด้างชักนำจนผิดประเด็น ฮ่องเต้ก็รู้อยู่เต็มอกแต่ก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก กลับเอาแต่ไล่สอบถามเรื่องน่าสนใจของการสร้างสะพาน แผนการของวันนี้ก็ล้มเหลวอีกครั้ง
อวิ๋นเยี่ยยืนอยู่ที่เชิงเขาเพื่อทักทายต้อนรับนักเรียนที่มาสอบด้วยรอยยิ้มที่ไม่ได้หายไปเลย มองดูนักเรียนสูงวัย นักศึกษาและนักเรียนระดับประถมศึกษาที่เข้ามาไม่ขาดสายก็แทบจะอยากแหงนหน้าหัวเราะดังๆ เสียให้ได้ เดิมทีผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนในต้าถังนั้นมีน้อย ตอนนี้ทุกคนในเมืองฉางอันที่คิดว่าตนเองพอจะมีดีอยู่บ้างต่างก็มาที่นี่กันหมด แม้ไม่คิดขยายสำนักศึกษาก็คงไม่ได้แล้ว สวี่จิ้งจงที่นั่งจดบันทึกด้วยตนเองอยู่ที่โต๊ะก็ยิ้มอย่างมีเลศนัยไม่ขาดตอน เพียงแค่เห็นหอหงเหวินก่วนที่ทอดทิ้งเขาอย่างไม่แยแสต้องโชคร้ายก็สามารถทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นจนนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนได้แล้ว
“นักเรียนหม่าโจวคารวะอวิ๋นโหว” เสียงของชายร่างผอมดำพูดขึ้นอย่างก้องกังวาน แม้พบอวิ๋นเยี่ยก็ไม่เกิดความรู้สึกกดดันใดๆ แม้แต่น้อย แม้ว่าเขาจะสวมเสื้อผ้ากระสอบ สวมรองเท้าฟาง แต่ก็ยังยืนกรานที่จะคารวะอวิ๋นเยี่ยตามมารยาทของนักเรียน
“ดูเจ้าสวมเสื้อผ้าขาดๆ เก่าๆ แต่กลับไม่สามารถเปลี่ยนความคิดในการใฝ่เรียนรู้ได้ ช่างมีปณิธานอันมุ่งมั่น แม้ว่านักเรียนของสำนักศึกษาล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มาจากตระกูลดีมีฐานะ แต่ทว่าเมื่อผ่านประตูของสำนักศึกษาเข้าไปแล้วจะมีเพียงสถานะเดียวเท่านั้นนั่นก็คือนักเรียน เจ้าไม่ต้องกังวลใจใดๆ ทั้งสิ้น สำนักศึกษาอวี้ซันจะดูเฉพาะความสามารถของคนโดยไม่คำนึงถึงภูมิหลัง แสดงความสามารถทั้งหมดของเจ้าออกมา ให้ลูกหลานของตระกูลดีมีฐานะได้ประจักษ์เสียบ้าง”
หม่าโจวยังไม่ได้พูดอะไร สวี่จิ้งจงที่อยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นก่อนว่า อวิ๋นเยี่ยนั้นแปลกประหลาดมากกับนักเรียนคนอื่นเพียงพยักหน้าบอกว่าดีและจะไม่พูดอะไรมากมายนัก เหตุใดเมื่อชาวนาคนนี้มาถึงที่นี่อวิ๋นเยี่ยจึงได้พูดน้ำไหลไฟดับ จะต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ
” Jingzong ได้ยินคำพูดและจ้องเหมือนระฆังทองสัมฤทธิ์
“นักเรียนหม่าโจว ดูแล้วเจ้ามีลักษณะภูมิฐานและมุ่งมั่น ภายหน้าเจ้าจะต้องประสบความสำเร็จเป็นแน่ เอาเถอะ สำนักศึกษาก็จะช่วยจนถึงที่สุด ดูเจ้าสวมเสื้อผ้าขาดๆ โทรมๆ ไม่มีของอะไรติดตัว ดูท่าทางแล้วคงเตรียมจะนอนค้างแรมริมทาง บนเขาอวี้ซันตกดึกนั้นจะหนาวเย็น ข้าจะเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ เจ้านำไปมอบให้ผู้ดูแลสำนักศึกษาให้เขาจัดให้เจ้าค้างแรมที่หอเก็บตำราของสำนักศึกษาในคืนนี้ สำหรับอาหารให้ไปหาทานเองจากห้องอาหาร มา มา รับบัตรอาหารของข้าไปรอจนเจ้าสอบติดแล้วค่อยคืนให้ข้าก็พอ”
หลังจากพูดจบก็เขียนอักษรหนึ่งแถวบนกระดาษอย่างรวดเร็วแล้วมอบให้หม่าโจว แล้วจึงยัดเยียดบัตรอาหารของตัวเองให้แก่เขาไปพร้อมๆ กัน และก็ไม่รีรอให้หม่าโจวที่ขอบตาแดงก่ำได้พูดอะไรเร่งรัดให้เขารีบขึ้นเขาเพื่อจะได้ไม่เลยเวลาทานอาหาร
หม่าโจวไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ทำการคารวะอวิ๋นเยี่ยและสวี่จิ้งจงด้วยความนอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นก็สาวเท้ายาวๆ เดินขึ้นเขาไปซึ่งฝีเท้ารวดเร็วขึ้นมาก
“เหลาสวี่ ภายหน้าห้ามเจ้าแย่งโอกาสในการสร้างบุญคุณต่อผู้อื่นกับข้าอีก” เมื่อเห็นหม่าโจวเดินเลี้ยวผ่านสันเขาไปแล้ว อวิ๋นเยี่ยจึงพูดกับสวี่จิ้งจง
สวี่จิ้งจงเกาคางและถามอวิ๋นเยี่ยว่า “โหวเหยีย ท่านมั่นใจได้อย่างไรว่าหม่าโจวหม่าปินหวังจะต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถอย่างแน่นอน”
“ทุกคนที่กระทำตัวเปิดเผยจริงใจ จะต้องมีวาสนาดีเป็นอย่างยิ่งและผู้ที่วาสนาดีย่อมมีสัญลักษณ์แห่งความมงคลปรากฏอยู่ให้เห็น เมื่อครู่แม้ว่านักศึกษาผู้นี้จะแต่งกายซอมซ่อ แต่วาสนาแห่งความมั่งคั่งได้ปรากฏอยู่ในดวงตาคู่นี้ของข้าอย่างชัดเจน ภายหน้าเขาจะต้องเป็นเพื่อนร่วมงานของข้า ตอนนี้ให้เกียรติต่อกันเอาไว้ ภายหน้าจะได้คบค้ากันได้”
“โหวเหยียดีกับข้าน้อยมากขึ้น หรือว่าภายหน้าข้าเองก็จะมีวาสนาดีเช่นกัน”
“แน่นอนว่าเจ้าต้องมีวาสนาดี เพียงแต่สัญลักษณ์แห่งความมงคลเจ้าเป็นสีดำ ข้าจึงต้องเฝ้าดูเจ้าอย่างใกล้ชิด หากไม่ระวังเจ้าก็จะออกไปทำร้ายผู้อื่น พวกเราทั้งคู่ต่างก็ไม่ใช่คนมือสะอาด เช่นนั้นพวกเราก็ทนอยู่ด้วยกันเถอะ”
สวี่จิ้งจงได้ฟังคำพูดดังนี้แล้ว ดวงตาก็เบิกกว้างเท่าไข่ห่าน
ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...
ตอนที่ 11 ปลา คืออาหารที่ข้าชอบ
ในสนามบอลของสำนักศึกษานั้นเต็มไปด้วยโต๊ะและเก้าอี้ ผู้เข้าสอบที่ได้รับหมายเลขที่ลงทะเบียนได้ทยอยเข้าสู่สนามสอบตามลำดับ โชคดีที่มีเมฆลอยปกคลุมบนท้องฟ้าในวันนี้ แต่ก็ไม่ได้หนาอะไรมากนักเพียงแค่บดบังแสงแดดเอาไว้เหนือเมฆเท่านั้น มีสายลมแห่งขุนเขาพัดผ่าน สนามสอบจึงยังคงเย็นสบาย
หลี่กังถือกระดาษม้วนอยู่ในมือยืนบนลานสูงและตะโกนพูดกับผู้เข้าสอบรุ่นเยาว์จำนวนสามร้อยยี่สิบหกคน “สวรรค์เบื้องบนเป็นพยาน สำนักศึกษาอวี้ซันของข้านั้นทำการอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม แผ่นดินเบื้องล่างเป็นผู้พิสูจน์สำนักศึกษาอวี้ซันของข้าจะปฏิบัติต่อทุกคนช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นลูกหลานขุนนางตระกูลใด หรือนักศึกษาผู้ยากไร้ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ของผู้ที่มีชื่อเสียงหรือผู้ที่เล่าเรียนด้วยตนเอง ขอเพียงพวกเจ้าสอบได้คะแนนมากกว่าหกสิบคะแนนก็สามารถเดินเข้าสู่สำนักศึกษาแห่งนี้เพื่อเล่าเรียนได้ หากผิดคำจากที่กล่าวมา ขอให้ฟ้าดินลงโทษ”
เมื่อคำพูดจบลง ธูปจับเวลาขนาดใหญ่ก็ถูกจุดขึ้น อาจารย์ของสำนักศึกษาที่ยืนอยู่ใต้ลานก็เริ่มแจกกระดาษข้อสอบ โดยขอให้ผู้ที่เข้าสอบกรอกชื่อสกุลและบ้านเกิดของพวกเขาก่อนจากนั้นให้อาจารย์ทำการพับปิดชื่อสกุลและบ้านเกิดด้วยตนเอง หลังจากกระดาษข้อสอบได้ถูกตรวจอ่านเสร็จแล้วเท่านั้นจึงจะเปิดแถบกระดาษที่มีชื่อสกุลและบ้านเกิดออก การคัดลอกบทความนั้นทำไม่ทันจริงๆ จึงได้แต่ทำเช่นนี้ คราวหน้าจะมีผู้ที่คัดลอกบทความโดยเฉพาะมาเข้าร่วมอย่างแน่นอน
การกระทำนี้ทำให้ม่านตาของหม่าโจวหดตัวเล็กน้อย เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยมองเขาด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าอันเ**่ยวย่นของเขาก็แดงก่ำและก้มศีรษะลงเพื่อเขียนบ้านเกิดและชื่อสกุล อาจารย์จินจู๋ใช้แผ่นกระดาษปิดพันม้วนกระดาษข้อสอบด้วยสีหน้าที่เฉยเมย จากนั้นก็พับปิดกระดาษข้อสอบของผู้เข้าสอบคนถัดไปต่อไป
หม่าโจวเห็นกระดาษข้อสอบมีคำถามเพียงสามข้อเท่านั้น ซึ่งข้อแรกนั้นคือ “ปลา คืออาหารที่ข้าชอบ อุ้งตีนหมี คืออาหารที่ข้าชอบ แต่ห้ามครอบครองทั้งสองในเวลาเดียวกัน จึงทิ้งปลาแล้วเลือกอุ้งตีนหมี หากวันนี้ข้าต้องการทั้งสองอย่าง ควรจะทำเช่นไรดี”
นี่มันคือคำถามประหลาดอะไรกัน เหงื่อของหม่าโจวเริ่มไหลลงมาเพราะประโยคต่อไปคือการเปรียบเทียบระหว่างชีวิตกับความหยิ่งในศักดิ์ศรี ขงจื่อกล่าวว่าสละชีพนั้นคือคุณธรรม เมิ่งจื่อกล่าวว่าสละชีพเพื่อคุณธรรม แต่ไม่มีใครเคยบอกเขามาก่อนว่าคุณธรรมน้ำมิตรนั้นต้องมี แต่ชีวิตก็ต้องรักษาไว้ด้วย เช่นนี้ก็ไม่แลดูละโมบไปหน่อยหรือ
เมื่ออ่านต่อไปด้านล่าง ยังโชคดี ล้วนแล้วแต่ว่าให้ตอบตามความต้องการ เขาตัดสินใจที่จะไม่อ่านคำถามแรก เพียงแค่ตั้งสมาธิในการตอบคำถามสองข้อต่อไปก็พอซึ่งมันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา เมื่อธูปจับเวลาไหม้ไปเล็กน้อย เขาก็ตอบคำถามสองข้อนั้นได้อย่างมีสีสันแพรวพราว หลังจากที่ตรวจทานซ้ำแล้วซ้ำอีกนั้นเขาก็เริ่มครุ่นคิดคำถามแรกอีกครั้ง
ผู้ที่สามารถแนะนำตนเองเพื่อเข้าสอบในสำนักศึกษาได้นั้นย่อมต้องมีความสามารถ ไม่มีพวกปลอมปนเข้ามาอย่างแน่นอน ผู้ที่เล่าเรียนเขียนอ่านแห่งต้าถังล้วนแล้วแต่มีจิตใจที่ให้เกียรติในการศึกษา ต้องไม่มีผู้ที่ไร้ยางอายหลอกตัวเองรวมอยู่ในนี้เป็นแน่แท้
เมื่อธูปจับเวลาไหม้ถึงครึ่งหนึ่งผู้ที่เข้าสอบในสนามสอบต่างก็หน้าเศร้า ขมวดคิ้ว ไม่ว่าพวกเขาจะใจกล้าอาจหาญเพียงไรก็ไม่กล้าเลือกที่จะเป็นไม้หลักปักขี้เลน คำถามนี้หากไม่ถูกก็คือผิด ไม่มีทางสายกลางให้เดินได้
อวิ๋นเยี่ยถอนหายใจ ความคิดที่ตรงเป็นท่อนไม้ทำให้พวกเขาไม่มีใครกล้าก้าวออกนอกกรอบ แต่กลับไม่รู้ว่าการเมืองมักจะมองหาจุดร่วมในขณะเดียวกันก็เก็บความเห็นที่แตกต่างไว้ การร้องขอ การประนีประนอมที่ไม่มีคำว่าสิ้นสุดจนในที่สุดจึงได้ฉันทามติ ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เจรจากันไม่ได้นี่คือคุณสมบัติขั้นพื้นฐานที่สุดของการเป็นขุนนาง
หากไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้ก็ไม่สามารถเป็นข้าราชการที่ดีได้ ในตอนแรกหลี่กังเองก็ไม่เห็นด้วยที่อวิ๋นเยี่ยจะตั้งคำถามข้อนี้ ผู้มีปัญญาหากสูญเสียความหยิ่งในศักดิ์ศรีไปยังจะเรียกว่าผู้มีปัญญาได้อีกหรือ เขาดูแคลนผู้ที่ไม่รักในศักดิ์ศรีประเภทนี้อย่างที่สุด วิธีการของนักปกครองที่สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เพียงแต่ด้วยความที่อวิ๋นเยี่ยยืนกรานอย่างหนักแน่นจึงได้ยอมเพิ่มคำถามข้อนี้เข้าไป
หากหลี่ซื่อหมินอยู่ที่นี่ด้วยเขาจะเข้าใจอวิ๋นเยี่ย หากฝางเสวียนหลิงอยู่ด้วยก็จะเข้าใจเช่นกัน จั่งซุนอู๋จี้เองก็จะเข้าใจเช่นกัน เพราะว่าพวกเขาก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน ดังที่กล่าวกันว่าแข็งเกินไปนั้นอยู่ยาก อ่อนเกินไปนั้นจะลำบาก พวกเขารู้แจ้งเห็นชัดกับเรื่องราวเหล่านี้ดี
ต้าถังแข็งแกร่งเกินไป แต่ราชวงศ์ซ่งในสมัยต่อมาก็อ่อนแอเกินไป ราชวงศ์หนึ่งต้องแตกสลายในระหว่างการต่อสู้เข่นฆ่ากันและอีกราชวงศ์หนึ่งต้องดับสลายไปที่เขาหยาซันในท้ายที่สุด อวิ๋นเยี่ยอยากที่จะปลูกฝังจิตวิญญาณแห่งการปรึกษาหารือไว้ในความคิดของขุนนางต้าถังเป็นอย่างยิ่ง คนรู้จักกันแท้ๆ มีปัญหาอะไรนั่งเจรจากันดีกว่าการถือมีดฟาดฟันกันเป็นอย่างมาก การใช้กองทัพเป็นวิธีสุดท้ายของการเจรจา ไม่ควรใช้พร่ำเพรื่อ การปกป้องคุ้มครองประเทศจึงจะเป็นหน้าที่หลักของพวกเขา หากแบ่งแยกระหว่างกองทัพและการปกครองออกจากกันอย่างชัดเจนจะหลีกเลี่ยงภัยแอบแฝงที่ผู้บัญชาการประจำท้องที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จได้หรือ
พวกเขาตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อวิ๋นเยี่ยเริ่มกำหมัด ตัวเขายังมีเวลาให้ใช้อย่างน้อยก็ห้าสิบปี ไม่เชื่อว่าจะสอนพวกเขาให้เรียนรู้ที่จะนั่งลงและเจรจากันไม่ได้ เพื่อเป็นการปกป้องไพร่ฟ้า เพื่อบุกเบิกพื้นที่ที่จะทำให้พวกเขาอยู่รอดจึงจะเป็นสิ่งที่กองทัพพึงกระทำ การปกครองทางการเมืองเดิมก็ควรจะตัดขาดกับกองทัพตั้งแต่ต้นแล้ว พวกเขาควรจะไปปรากฏตัวอย่ที่ทะเลทราย ผืนหญ้าที่รกร้าง ป่าทึบ ท้องทะเล แต่ไม่ควรจะมารวมกันเป็นกลุ่มก้อนที่ฉางอัน
“เจ้าเป็นคนที่อิสระ มีที่มาแปลกๆ มีที่ที่จะไปอันคลุมเครือ หากจะมีความคิดประหลาดไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แม้ว่าตาเฒ่าอย่างข้าจะไม่รู้ว่าทำไมเจ้าจึงต้องการเพิ่มคำถามแปลกๆ ข้อนี้เสียให้ได้ แต่ทว่าข้ามองออกว่าเจ้าเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ข้าจึงได้รับปากให้เจ้าทำเช่นนี้ ก็เพื่อให้เจ้าได้เห็นความจริงได้อย่างชัดเจน ความแข็งแกร่งของความเคยชินนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด เจ้าอยากจะท้าทายมันผลที่ตามมาช่างน่ากลัวกว่าตั๊กแตนที่ฝืนหยุดล้อรถเสียอีก
เจ้าไม่ต้องกังวลกับข้อกล่าวหาต่างๆ ที่จะเกิดตามมาทีหลัง ข้าบอกอาจารย์คนอื่นๆ แล้วว่าคำถามนี้เป็นแบบทดสอบความคิดของนักเรียน ขอเพียงเลือกที่จะตอบคำถามข้อนี้และหาวิธีการแก้ไขได้ ไม่ว่าคะแนนสอบของเขาจะดีเพียงไหน สำนักศึกษาก็จะปรับตกเขาโดยไม่ให้โอกาสแก้ตัวใดๆ”
เสียงของหลี่กังค่อยๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง ตาเฒ่าคนนี้มักจะตามใจตนเองอยู่เสมอ แม้จะรู้ว่ามันผิด เขาก็ยังยอมปล่อยให้เขาไปลองดู สุดท้ายแล้วไม่สามารถควบคุมได้เขาก็ออกหน้ามาจัดการกับความยุ่งเหยิงนั้น
แนวคิดของนักการเมืองในยุคปัจจุบันอาจไม่เหมาะกับสภาพแวดล้อมทางสังคมในตอนนี้ แนวคิดเหล่านี้ก่อกำเนิดขึ้นเป็นช่วงแรกทางแถบยุโรปเหนือ แต่ตอนนี้สถานที่แห่งนี้ยังคงเป็นสภาพสังคมป่าเถื่อนเหมือนยุคเก่า แต่ละคนยังเป็นโจรถือขวานไล่ปล้นไปทั่ว ตะโกนโหวกเหวกโห่ร้อง มีความสุขอยู่กับการปล้นชิงและข่มขืน
เมื่อคิดดูแล้วก็ชวนให้หมดแรง ยุโรปยังอยู่ภายใต้การปกครองของคนบ้าอยู่ พระสันตะปาปาเพิ่งเผาห้องสมุดโรมันเสียหาย รัฐต่างๆ ที่มีเจ้าแคว้นปกครองจำนวนมากมายต่อสู้ฆ่าฟันกัน เหล่าอัศวินสวมชุดกระป๋องเหล็ก ถือหอกไม้ยาวประมาณหกเมตรทิ่มแทงกันไปมา
พระคัมภีร์ยังคงเขียนไว้บนหนังแกะอยู่เลย อยากจะเขียนเล่าเรื่องอะไรสักอย่างต้องฆ่าแกะก่อนหนึ่งตัวจึงจะได้ จู่ๆ อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกว่าตนเองลำดับความสำคัญสลับกันเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรมาบรรพบุรุษเราไม่เคยไร้สิ้นซึ่งสติปัญญา ตนเองจะมาแสดงความโง่แล้วอวดฉลาดอยู่ที่นี่ไปทำไม
ความรู้ของตนเองนั้นลึกซึ้งกว้างขวางเหมือนอาจารย์หลี่กังอย่างนั้นหรือ ปณิธานของตนเองมั่นคงได้ดั่งหลี่ซื่อหมินอย่างนั้นหรือ ที่ฆ่าลูกชายและลูกสาวมากมายได้ หากเป็นตนเองคงต้องบ้าไปนานแล้ว ตนเองเอาแต่คิดที่จะเปลี่ยนต้าถัง แต่กลับไม่รู้ว่าต้าถังกำลังเปลี่ยนแปลงตัวเองเช่นกัน ทฤษฎีเหล่านั้นในยุคปัจจุบันกล่าวได้ถูกต้องจริงๆหรือ ไม่น่าจะใช่ อย่างน้อยตอนนี้ประชาชนชาวต้าถังอาจเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกก็เป็นได้ ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะยังกินไม่อิ่มท้อง
ขุนนางของต้าถังในตอนนี้นั้นถือได้ว่าเป็นพวกใจซื่อมือสะอาดที่สุดแล้ว เมื่อเกิดภัยพิบัติจากตั๊กแตนขึ้น ก็มีคนกระโดดเข้ากองเพลิงเพื่อรับผิดชอบ เมืองฉางอันถูกเผาไหม้ หลายๆ คนก็ขังตัวเองในบ้านให้ไฟคลอกตายทั้งเป็น ยังต้องการให้พวกเขาทำอะไรอีก แม้ว่าตอนนี้จะมีโรงเรียนที่ดี แต่ประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครองของตนเองไม่สามารถมีความสุขกับมันได้ ซึ่งก็มีเหล่าขุนนางมาเยือนถึงที่เพื่อขอความเป็นธรรมแล้วไม่ใช่หรือ โดยไม่สนใจทั้งสองท่านที่ยืนอยู่ข้างหน้าเลยแม้แต่น้อยซึ่งท่านหนึ่งคือไท่ฟู่และอีกท่านหนึ่งคือกั๋วโหว ทั้งยังกล้าที่จะชี้นิ้วตะโกนโหวกเหวกใส่หน้าได้ จนกระทั่งสำนักศึกษารับปากว่าจะสร้างโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งขึ้นจึงยอมขอโทษด้วยความนอบน้อม แม้ขณะกำลังจะจากไปยังแอบพูดเบาๆ ว่าหวังว่าลูกชายคนโตของเขาสามารถเข้าเรียนในสำนักศึกษาได้ ทั้งยังมอบใบชาที่สดใหม่หลายคันรถให้กับอวิ๋นเยี่ย ซึ่งเขาเป็นนายอำเภอท้องที่ที่เหมาะสมมากที่สุดที่อวิ๋นเยี่ยได้เคยพบเห็นในชีวิตทั้งสองยุคของเขา
เมื่อรอให้เฉิงเฉียนขึ้นครองราชย์แล้วบอกเขาถึงความอันตรายของเอกอัครราชทูตก็พอแล้ว จากนั้นปล่อยให้เขาแก้ไขปัญหาเอง ตนเองก็เพียงแค่ถ่ายทอดวิชาความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ธรรมชาติอันล้ำค่าที่ตนเองพอจะมีความรู้อยู่เขาก็ได้เป็นปราชญ์แห่งยุคแล้ว ทั้งยังถือเป็นปราชญ์ที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย ไม่ใช่ปราชญ์จอมปลอมคนนั้นที่เอาแต่ขลุกอยู่กับอาหญิงอยู่ในลานบ้านเล็กๆ ตลอดทั้งวัน
“ท่านอาจารย์หลี่ ทุกคนที่ตอบคำถามแรกจะต้องถูกปรับตก” อวิ๋นเยี่ยยิ้มอย่างสดใสขณะพูดกับหลี่กัง ทั้งยังจงใจเสริมน้ำเสียงเป็นพิเศษด้วย “ต้องถูกปรับตก!”
คิ้วของเหลาหลี่ดูเหมือนจะกำลังเต้นรำอยู่ ลูบเคราของเขาอย่างโล่งอกเป็นที่สุดและพูดคำพูดของอวิ๋นเยี่ยซ้ำว่า “ต้องปรับตก” เมื่อพูดจบทั้งสองก็พากันหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังขึ้นมา ทำให้ผู้เข้าสอบต่างมองหน้ากันและกัน ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี
ในสมองของหม่าโจวมีความคิดนับหมื่นนับพันผุดขึ้นมา แม้ว่าการดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากสภาพชีวิตที่ลำบากจะเป็นเรื่องที่ยากมากแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่อยู่ที่เลือกจะกระทำเช่นไร แต่ก็คงหลีกเลี่ยงคำอนุมานที่ว่าบิดเบือนความยุติธรรมไม่ได้
เขารู้สึกดีกับสำนักศึกษาแห่งนี้มาก การให้กำลังใจของอวิ๋นเยี่ยเมื่อวานนี้ทำให้เขามีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมาก บัตรทานอาหารของสวี่จิ้งจงได้แก้ไขปัญหาที่อัตคัดและขัดสนที่สุดของเขา การค้างแรมหนึ่งคืนในหอเก็บตำราทำให้เขาอาลัยอาวรณ์กับหนังสือที่มีมากมายนับไม่ถ้วนในสำนักศึกษาแห่งนี้ ถึงแม้จะเป็นซาลาเปาที่แสนอร่อยที่สุดของสำนักศึกษาก็ไม่สามารถทำให้เขาวางหนังสือในมือลงได้ ตลอดคืนที่ไม่ได้นอนเขาได้อ่านตำราที่เก็บไว้เหล่านั้นเพียงแค่สองเล่มเท่านั้น ต่อให้เขามีความสามารถเช่นความจำชั่วพริบตาก็ไม่สามารถอ่านตำราทั้งหมดนี้ได้ในคืนเดียว
การสอบดำเนินการด้วยการไม่เปิดเผยชื่อจึงทำให้ความว้าวุ่นใจของเขาก็หายไปอย่างสิ้นเชิง มองเพียงภูเขาที่เขียวขจีและน้ำสีฟ้าใสที่อยู่เบื้องหน้า ท่ามกลางลมเย็นที่พัดผ่าน นี่คือดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ เป็นหอคอยงาช้าง[1]ในฝันของนักเรียนทุกคน แต่น่าเสียดายที่เราไร้วาสนาต่อกัน ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวใจน้ำตาก็ไหลรินไม่หยุด
แต่ทว่าพู่กันในมือของเขาก็ยังคงมั่นคงและแล้วตัวอักษรมากมายก็ปรากฏขึ้นบนกระดาษ “ปลา คือสิ่งที่ข้าปรารถนา อุ้งตีนหมีก็เป็นสิ่งที่ข้าปรารถนา เมื่อไม่สามารถครอบครองทั้งสองสิ่งได้ จึงต้องทิ้งปลาแล้วเลือกอุ้งตีนหมี การมีชีวิตอยู่ก็คือสิ่งที่ข้าปรารถนา คุณธรรมก็คือสิ่งที่ข้าปรารถนา เมื่อไม่สามารถครอบครองทั้งสองสิ่งได้ จึงต้องสละชีวิตและเลือกความถูกต้อง”
หลังจากเขียนเสร็จ เขาก็ดูเหมือนว่าจะถูกดึงวิญญาณออกไป นอนหมอบอยู่บนโต๊ะ มือกำหมัดแน่น พู่กันชั้นดีของสำนักศึกษาถูกเขากำจนหักโดยไม่รู้ตัว น้ำหมึกเปรอะข้อมือเลอะเป็นปื้น เขารู้สึกราวกับว่าตนเองได้ละทิ้งสิ่งที่สวยงามที่สุดในประวัติศาสตร์ไป ทรวงอกตายด้านรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวดั่งจะสิ้นใจ
นักเรียนคนอื่นๆ บางคนก็ไม่ลังเลอีกต่อไปเริ่มเขียนคำตอบอย่างขมักเขม่น ปากก็เผลออ่านออกมาโดยไม่รู้ตัวอีกทั้งเสียงยังดังขึ้นเรื่อยๆ “ปลา คือสิ่งที่ข้าปรารถนา อุ้งตีนหมีก็เป็นสิ่งที่ข้าปรารถนา จึงต้องทิ้งปลาแล้วเลือกอุ้งตีนหมี การมีชีวิตอยู่ก็คือสิ่งที่ข้าปรารถนา คุณธรรมก็คือสิ่งที่ข้าปรารถนา เมื่อไม่สามารถครอบครองทั้งสองสิ่งได้ จึงต้องสละชีวิตและเลือกความถูกต้อง”
หลี่กังลุกขึ้นจากเก้าอี้มองดูนักเรียนที่อยู่ด้านล่างแล้วถามว่า “มีใครตอบคำถามข้อแรกแล้วบ้างไหม”
ในสนามสอบเงียบกริบ หลี่กังจึงเปล่งเสียงดังขึ้นแล้วถามอีกครั้งว่า “มีใครตอบคำถามข้อแรกแล้วบ้างไหม” ก็ยังคงไม่มีใครตอบ หลี่กังจึงไม่พูดอะไรอีกเพียงแค่จ้องไปที่ธูปจับเวลา เมื่อควันสุดท้ายลอยสลายสิ้นไปจากปลายธูป หลี่กังก็หยิบกระดาษทดสอบขึ้นและค่อยๆ ฉีกออกเป็นสองส่วนแล้วโยนขึ้นไปในอากาศยิ้มพลางพูดว่า “คำถามสองข้อสุดท้ายนั้นง่ายมาก ซึ่งมีคะแนนเพียงสามสิบคะแนน คำถามข้อแรกนั้นยากที่สุดจึงมีคะแนนถึงเจ็บสิบคะแนน เหล่านักเรียนทั้งหลายพวกเจ้าต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตนเองและเลือกสิ่งที่ถูกต้องที่สุด การที่ไม่มีคำตอบคือคำตอบที่ดีที่สุด สำนักศึกษาอวี้ซันเชื่อว่าผู้ที่มีนิสัยอันมีคุณธรรมอันสูงส่งจึงจะเป็นผู้สูงส่งที่แท้จริง เหล่านักเรียนการมีความรู้ไม่มากพอไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแค่ศึกษาเพิ่มเติมก็ได้แล้ว แต่ถ้าหากขาดคุณสมบัติที่ดี จึงจะเป็นความขาดแคลนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งไม่สามารถที่จะเรียนรู้ได้ ยินดีต้อนรับทุกคนเข้ามาเป็นนักเรียนใหม่ของสำนักศึกษา พวกเจ้าล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ สำนักศึกษายินดีต้อนรับ”
ไม่มีเสียงโห่ร้องดีใจสักเท่าไร โดยมากแล้วกลับมีแต่เสียงร้องไห้ฟูมฟาย นี่คือบททดสอบสภาพจิตใจคนครั้งหนึ่งสำหรับอวิ๋นเยี่ยและหม่าโจว และยิ่งเป็นการทดสอบของทุกๆ คนอีกด้วย
——
[1] หอคอยงาช้าง เป็นคำที่ใช้บรรยายกลุ่มนักวิชาการ คนพวกนี้มักจะได้ชื่อว่าอยู่ในหอคอยงาช้าง กล่าวคือ อยู่โดยสันโดษห่างไกลฝูงชน อยู่ในโลกส่วนตัว คิดอะไรเพ้อฝันอยู่ตามลำพัง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น