เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 6 ตอนที่ 6-7
ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...
ตอนที่ 6 การกล่าวเตือนด้วยใจจริงของหล...
ทุกครั้งที่เขาบาดเจ็บ อวิ๋นเยี่ยจะรีบกลับไปที่สำนักศึกษา หลบอยู่ในห้องทำงานเล็กๆ ของเขาเพื่อเลียแผล ซึ่งนี่กลายเป็นนิสัยอย่างหนึ่งไปเสียแล้ว มีเพียงการอยู่ที่นี่เขาจึงจะรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งของตนเอง
เมื่อเทียบกับปีศาจมารร้ายในเมืองหลวงแล้ว อวิ๋นเยี่ยกลับคิดถึงวันแห่งความสงบสุขบนทุ่งหญ้าเป็นอย่างมาก การมีความสัมพันธ์ทางกายเพียงครั้งเดียวโดยปราศจากปัจจัยใดๆ ทางอารมณ์ แต่กลับมาเป็นบ่วงพันธนาการรอบคอตนเองก่อนหน้านี้เป็นเพียงร่างกายที่ทำให้เขาไม่สามารถปล่อยวางได้ ตอนนี้ไม่แน่ว่าร่างกายนั้นอาจจะกำลังสร้างเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาอยู่ก็เป็นได้ เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ทำให้พื้นที่ราบเรียบด้านหนึ่งให้นูนสูงขึ้นมาได้
เดินเล่นอยู่ในสำนักศึกษาราวกับผีดิบเดินได้ อยากจะเปิดประตูห้องเรียนใครจะรู้ว่าประตูนั้นกลับหนักเป็นอย่างมาก เขาเกือบจะใช้เรี่ยวแรงจนหมดสิ้นจึงจะเปิดประตูนั้นได้ ห้องเรียนนั้นเงียบสงบไร้เสียง นักเรียนทั้งสิบคนพร้อมใจกันจ้องมองเขา ดูเหมือนว่าอยากจะรู้ความคิดของเขาเกี่ยวกับประตู
สีหน้าของหลี่ไท่มีอาการเย้ยหยันปรากฏอยู่เล็กน้อย ความเหนือชั้นของนักเรียนหัวกะทินั้นโดดเด่นออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย หลี่เค่อดูเหมือนพยายามจะหลบเลี่ยงสายตาของอวิ๋นเยี่ย จะต้องทำอะไรผิดแน่ หั่วจู้สีหน้าตื่นตระหนกเหล่มองอวี้ฉือเป่าหลินที่นั่งกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาเป็นผู้ที่ทำให้ประตูหนักมากถึงเพียงนี้แน่ มีเชือกอยู่ด้านหลังประตูแขวนอยู่บนคานเส้นหนึ่งที่ล็อกประตูไว้ หากอยากเปิดประตูจะต้องยกของหนักมาแขวนอยู่ที่ปลายเชือกอีกด้านหนึ่ง อวิ๋นเยี่ยเกาะขอบหน้าต่างและมองออกไปด้านนอกเห็นเชือกอีกด้านหนึ่งมัดถังไม้ไว้
ออกแบบได้ค่อนข้างน่าสนใจ หากต้องการเปิดประตูก็ต้องยกถังน้ำที่เต็มถังขึ้นตามเชือกในแนวทแยงและเทน้ำเข้าไปในรางน้ำ เมื่อประตูปิดถังก็จะกลับลงไปในสระเพื่อเติมน้ำอีกครั้ง รอให้ผู้ที่เปิดประตูเป็นคนถัดไปยกมันขึ้นอีกครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“เป่าหลิน เจ้าเป็นคนทำสิ่งนี้ใช่หรือไม่” อวิ๋นเยี่ยรู้สึกประหลาดใจกับการฉลาดขึ้นอย่างฉับพลันของอวี้ฉือเป่าหลิน
“อาจารย์ข้าเป็นคนทำ หั่วจู้ช่วยข้าออกความคิดมากมาย ข้าเห็นชายชราที่รดน้ำในสวนดอกไม้ ทุกครั้งที่หิ้วน้ำก็ไอเอาเป็นเอาตาย จึงได้คิดหาวิธีที่ว่าเขาจะได้ไม่ต้องหิ้วน้ำเอง”
ไม่น่าแปลกใจที่หลี่กังจะชอบอวี้ฉือเป่าหลินมากถึงเพียงนี้ บางครั้งยังลำเอียงอีกด้วย อวี้ฉือจอมโง่ที่ยิ้มอย่างซื่อบื้อจนเห็นฟันครบสามสิบสองซี่ก็มีความน่ารักของเขาอยู่ สงสารและเมตตาผู้อ่อนแอซึ่งเพียงแค่เรื่องนี้ก็มากพอที่จะทำให้อวิ๋นเยี่ยหันมามองเขาใหม่
“ดีมาก เจ้าสามารถใช้สิ่งที่ได้เรียนรู้ไปแล้วนำมาประยุกต์ใช้ประโยชน์ แม้ว่าอาจจะยังเป็นการทำแบบหยาบๆ แต่ก็ได้เริ่มก้าวแรกแล้วซึ่งก้าวนี้นั้นสำคัญมาก วันหนึ่งเราจะปล่อยให้น้ำไหลเข้าไปในบ้านด้วยตัวของมันเอง นี่เป็นระบบวิศวกรรมอย่างหนึ่ง หากแก้ปัญหาได้ข้าเชื่อว่ามันจะนำพาเกียรติยศและเงินทองมากมายมาให้พวกเจ้าไม่มีที่สิ้นสุด ข้าจะให้คะแนนเพิ่มอีกห้าคะแนนสำหรับผลการสอบของเป่าหลินในปีนี้ ขอให้ทุกคนพยายามกันอย่างเต็มที่ ผลคะแนนไม่ได้มีจากการสอบได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น”
“อาจารย์ อวี้ฉือเป่าหลินออกแบบของสิ่งนี้ได้ ข้าเชื่อว่าทุกคนในห้องนี้ก็สามารถทำได้เช่นกัน หรืออาจจะดีกว่าด้วย อย่างเช่นมันต้องออกแรงมากเกินไป เพียงแค่ติดตั้งฟันเฟืองอีกสองชุดปัญหานี้ก็จะสามารถแก้ไขได้ วิธีการที่ดูเกือบจะปัญญาอ่อนประเภทนี้ข้าไม่เห็นด้วย เขาได้รับคะแนนพิเศษมาง่ายเกินไป คะแนนของพวกเราไร้ค่าเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
หลี่ไท่ลุกขึ้นอย่างโกรธเคืองมาก ต่อว่าว่าอวิ๋นเยี่ยลำเอียงเข้าข้างอวี้ฉือเป่าหลิน
“ชิงเชวี่ยเจ้าพูดถูกทุกอย่าง แล้วทำไมเจ้าไม่ไปทำล่ะ หากคนทำเป็นเจ้าและทำสิ่งนี้ให้สมบูรณ์แบบ เจ้าจะได้รับคะแนนเพิ่มอีกสิบคะแนน ตนเองไม่ทำแล้วยังจะโทษเพื่อนคนอื่นที่ทำอีก ซึ่งมันไม่ถูกต้อง คนที่ไม่ลงมือทำไม่มีสิทธิ์ที่จะตำหนิคนที่ลงมือทำ เพราะเขาเดินไปได้ไกลกว่าเจ้าการได้รับรางวัลมันก็สมเหตุสมผลแล้ว
วิชาฟิสิกส์เป็นวิชาที่ต้องลงมือทำจริงๆ การเปลี่ยนความรู้ให้เป็นสิ่งของจริงที่จับต้องหรือเห็นได้จึงจะเป็นความยอดเยี่ยมของวิชานี้ มิฉะนั้นมันก็จะกลายเป็นเพียงกองขยะที่อยู่ในหัวสมองเจ้า”
นี่เป็นส่วนที่อวิ๋นเยี่ยชื่นชอบมากที่สุด การพูดคุยกันที่นี่จึงจะยิ่งได้ใกล้ชิดกับยุคปัจจุบันมากกว่า ในตอนนี้ได้ทำให้วัยรุ่นอายุสิบกว่าขวบเหล่านี้ได้กลายเป็นตัวเองอีกคนหนึ่ง ก็รู้สึกดีใจจากส่วนลึกในหัวใจ
สำหรับความเข้าใจเรื่องของกำลัง ทั้งสิบสองคนได้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงเรื่องแรงเสียดทาน ได้ทำให้หลี่ไท่ตกอยู่ในห้วงแห่งความคิดอย่างสุดตัว เขากำลังคิดไตร่ตรองเรื่องกังหันน้ำของตนเองอยู่
ตอนนี้มักจะมีสิ่งแปลกประหลาดหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างตกลงมาจากท้องฟ้าเป็นระยะๆ ถึงกับมีหมูวิ่งชนหน้าต่างจนพังและตกลงบนโต๊ะของอาจารย์หลี่กัง เรื่องร่มที่ลอยลงมาไม่ใช่หลี่ไท่คนเดียวที่สนใจอีกต่อไป จนกระทั่งมีวันหนึ่งขณะที่เมิ่งปู้ถงโดดร่มลงมาจากท้องฟ้า อาจารย์ผู้สูงวัยก็คลุ้มคลั่งอย่างที่สุด เมิ่งปู้ถงที่กลัวจนปัสสาวะราดซึ่งคาดหวังว่าจะได้รับรางวัลจากสำนักศึกษากลับถูกโบยอย่างแรงไปสิบไม้
สำนักศึกษานั้นดูแลยากแล้ว หลี่กังเป็นทุกข์กับเรื่องนี้จนกระทั่งผมเส้นสุดท้ายยังหงอกเลย สำนักศึกษาอวี้ซันนั้นไม่เหมือนสำนักศึกษาอื่น เหล่านักเรียนนั้นไม่ร้จักรักษากฎระเบียบ ลูกชายคนโตของหลี่ต้าเลี่ยงหลี่เผิงเฉิงมาสำนักศึกษายังไม่ถึงเจ็ดวัน ตอนนี้ก็เอาแต่วิ่งเล่นกินดื่มอยู่บนสนามบอลทุกวันอย่างสนุกสนาน เอาชนะคู่ต่อสู้ไปมากมาย แม้โดนโบยก็นิสัยเสียแก้ไม่หาย
ก่อนหน้านี้เป็นเด็กที่ดีมากเพียงใด อ่อนน้อมถ่อมตน สุภาพและมีมารยาท แม้ว่าเวลาพูดจะอึกอักเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการใฝ่เรียนของเด็กคนนี้ การให้เขาอยู่ร่วมห้องกับต้วนเหมิ่งและเฉิงฉู่เลี่ยงตนเองยังกังวลว่าเด็กที่มีสภาพไม่สมบูรณ์คนนี้จะถูกกลั่นแกล้ง ใครจะคิดว่าต้วนเหมิ่งและหลี่เผิงเฉิงที่สุดจะเยียวยาที่สุดในสำนักศึกษาแห่งนี้จะทนฟังการพูดของเขาไม่ไหวจนอยากจะต่อยเขา ต้องบอกให้ชัดเจนก่อน ไม่ใช่เพราะเจ้าพูดไม่คล่องจึงได้ต่อยเจ้า แต่เป็นเพราะลูกผู้ชายคนหนึ่งแต่แม้แต่ลิ้นของตนเองก็ไม่สามารถควบคุมได้ ช่างเป็นพวกไม่เอาไหนเสียเลยจึงได้ต่อยเจ้า
ในห้องมืดๆ เล็กๆ ที่ด้านหลังของห้องเรียนมีคนสองคนเข้ามา คนที่ออกมาคือหลี่เผิงเฉิง แม้ว่าจะขอบตาดำ จมูกมีเลือดไหลออกมา แต่ปากกลับพูดอย่างต่อเนื่องว่าสะใจยิ่งนัก โดยพูดต่อเนื่องกันอย่างไหลลื่นไร้ที่เปรียบเลย นับแต่นั้นมาเขาก็หลงชอบกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงทุกประเภท อีกทั้งยังไม่ยอมแก้นิสัยด้วย
นักเรียนของสำนักศึกษาไม่เคยซ้ำเติมข้อบกพร่องของผู้อื่น แต่จะท้าทายจุดที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้าโดยเฉพาะ ในด้านการศึกษาสายวิชาการนั้นหลี่ไท่เหนือชั้นกว่าพวกเขาราวฟ้ากับเหว สำหรับวิชาที่การต่อสู้ก็ถูกต่อยจนร้องไห้โฮกลับไปเช่นกัน ในสำนักศึกษามีโอกาสให้รังแกหลี่ไท่ได้ไม่มากนัก ดังนั้นทุกครั้งที่ได้จับคู่ต่อสู้กับเขาฝ่ายตรงข้ามจะลงมืออยางสุดกำลัง โดยทั่วไปในเวลาเช่นนี้หลี่เค่อเพิ่งชนะคู่ต่อสู้ของเขาได้ซึ่งก็จะล้างแค้นให้กับน้องชายของเขา ต่อยคู่ต่อสู้ของหลี่ไท่จนร้องไห้โฮ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้เกิดความโกรธแค้นของทุกคน ไม่ทันไรก็จะมีพวกหยาบกระด้างกลุ่มหนึ่งกระโดดออกมาตอบโต้เพื่อความเป็นธรรม อย่างเช่น ต้วนเหมิ่งได้รับหมัดที่รุนแรงของหลี่เค่อ สำหรับต้วนเหมิ่งแล้วเนื่องจากมีผลงานที่ยอดเยี่ยมจึงเป็นที่สนใจของหลี่เผิงเฉิง…
หลี่ไท่และหลี่เค่อสองพี่น้องกลับไปที่วังพร้อมกับรอยฟกช้ำที่มุมปาก เล่าวีรกรรมอันเลิศเลอในการปราบผู้อื่นไปทั่วของพวกเขาให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ฟัง เด็กผู้ชายมักจะไม่เคยพูดว่าตนเองถูกต่อยกี่ครั้ง แต่จะบอกว่าตนเองต่อยตีคนอื่นได้อาการสาหัสเพียงไร สำหรับรอยฟกช้ำที่มุมปากของตนเองนั้นเป็นเพราะประมาททั้งสิ้นหรือไม่ก็เกิดจากการลอบโจมตีเท่านั้น
ทุกการเคลื่อนไหวในทุกๆ วันของพวกเขาจะมีคนคอยเขียนฎีการายงานให้หลี่ซื่อหมิน มีหรือที่หลี่ซื่อหมินจะไม่รู้ว่าพวกเขาถูกต่อยมา ฟังพี่น้องสองคนพูดเข้าขากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยแต่กลับไม่เปิดโปงความจริง นั่งฟังจนจบด้วยรอยยิ้ม จากนั้นได้มอบหลี่อั้นและหลี่โย่วให้กับพวกเขาสองพี่น้อง โดยให้พวกเขาพาไปด้วยเมื่อเดินทางกลับไปสำนักศึกษา เหตุผลก็คือพี่น้องสองคนนี้แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติด้านลบที่เลวร้าย
ในบรรดาลูกชายทั้งหมดของหลี่ซื่อหมินมีเพียงหลี่เฉิงเฉียนที่พำนักอยู่ตามลำพังในวังตะวันออก หลี่ไท่และหลี่เค่อเวลาโดยส่วนใหญ่จะพักอยู่ในสำนักศึกษา ลูกชายทั้งสามคนนี้จะยุ่งวุ่นวายอยู่กับงานของพวกเขาเอง อีกทั้งยังทำได้ดีอีกด้วย นี่คือสิ่งที่ทำให้หลี่ซื่อหมินรู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นที่สุด สามพี่น้องไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ชั่วคราว แต่ละคนจะเดินไปตามทางของตัวเองซึ่งดูเหมือนจะมีแนวโน้มว่ายิ่งเดินยิ่งห่างกันออกไปเรื่อยๆ
ในวังได้ถูกหลี่อั้นและหลี่โย่วทำให้สับสนอลหม่านไปหมด ถึงกับมีเรื่องที่ว่าพวกเขาทำอนาจารนางกำนัลในวังเกิดขึ้นด้วย หลี่ซื่อหมินมองดูลูกชายคนโตสองคนซึ่งมีความน่าเกรงขามที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาและมองไปที่คนที่หัวอ่อนไร้สมองซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า ลูกชายคนเล็กที่ขี้ขลาดตาขาว เอามือนวดขมับแล้วนั่งกลัดกลุ้มอยู่ในใจ หรือจะบอกว่าวิธีที่เขาสอนลูกชายนั้นยังห่างไกลจากการสั่งสอนของสำนักศึกษากัน
“หลี่อั้น หลี่โย่ว ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปพวกเจ้าไปเล่าเรียนที่สำนักศึกษาอวี้ซัน สำหรับกฎกติกาพี่ชายทั้งสองของเจ้าจะบอกเจ้าเอง ในภาคการศึกษานี้หากไม่มีธุระสำคัญห้ามกลับวัง”
หยางเฟยรู้ว่าการไปสำนักศึกษาครั้งนี้หลี่อั้นจะต้องพบเจอความทุกข์ยากไม่จบไม่สิ้น หลี่เค่อนั้นค่อยยังดีหน่อยเพราะเขามีเหตุผลตั้งแต่ยังเป็นเด็ก การต้องให้ไปอยู่ข้างนอกก็ยังให้นางวางใจได้ โดยเฉพาะในปีนี้ที่เขาดูมีบารมีเหมือนท่านอ๋องแล้ว ในเวลาอีกไม่ถึงสองปีก็สามารถปกครองที่ดินศักดินาได้แล้ว นางมีความมั่นใจในตัวลูกชายคนโตของนาง ภายหน้าจะต้องเป็นท่านอ๋องที่ดีได้แน่ แต่หลี่อั้นไม่รู้ว่ามีอะไรผิดปกติจึงได้มีนิสัยดื้อรั้นสุดจะเอ่ยมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว อาจารย์ในวังก็ถูกเขากลั่นแกล้งจำนวนนับไม่ถ้วน เมื่อพูดถึงเขาก็จะส่ายศีรษะ ตอนนี้ยิ่งมาคลุกคลีกับหลี่โย่วจึงยิ่งทำให้นางเป็นกังวลมากขึ้น ตอนนี้มีพี่ชายเขามาดูแล ไม่แน่บางทีอาจจะเปลี่ยนนิสัยเสียของเขาได้
พี่ชาย ที่สำนักศึกษามีอะไรน่าเล่นบ้าง พวกเราสองพี่น้องร่วมมือกันจัดการพวกในสำนักศึกษาให้หมด ทำให้พวกลูกชนชั้นสูงทั้งหมดยอมศิโรราบกับพวกเรา แล้วบังคับให้มอบทรัพย์สมบัติในบ้านของพวกเขาออกมาให้พวกเราให้หมด” หลี่อั้นคิดวางแผนจะตั้งตนเป็นใหญ่ด้วยจิตใจที่ทะเยอทะยาน
“เสี่ยวอั้น ข้าเคยบอกเจ้าหรือไม่ว่าคำว่าท่านอ๋องในสำนักศึกษานั้นใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้” หลี่เค่อยิ้มเจื่อนๆ พลางพูดกับน้องชาย ด้วยนิสัยข้อนี้หากอยู่ในสำนักศึกษาและไม่ถูกทำร้ายจนตายคงจะเป็นเรื่องแปลก อยากจะเป็นอ๋องหรือเป็นใหญ่ ฝันไปเสียเถอะ
“หรือว่าพวกเขากล้าตีข้า” ดวงตาของหลี่อั้นเบิกกว้างขึ้น
“เจ้าคิดว่ารอยฟกช้ำที่มุมปากของข้าได้มาจากไหน เมื่อไปถึงสำนักศึกษาเจ้าต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง จะต้องตื่นนอนก่อนฟ้าสางทุกวัน พับผ้าห่มสวมเสื้อผ้า ตักน้ำ หุงข้าว เจ้าจะต้องทำด้วยตนเอง ก่อนหน้านี้ยังมีนักเรียนที่มาขอฟังบรรยายคอยช่วยเหลือ ตอนนี้นักเรียนที่มาขอฟังบรรยายเหล่านั้นได้กลายเป็นนักเรียนอย่างเป็นทางการแล้ว ดังนั้นเรื่องของตนเองก็ต้องทำเอง”
“ข้าเป็นท่านอ๋อง ต่อให้ต้องตายก็จะไม่ทำงานที่ชนชั้นต่ำถึงทำกันเด็ดขาด” หลี่อั้นพูดด้วยสีหน้าที่อึดอัด
“ท่านอ๋องและอ๋องน้อยที่อยู่ในสำนักศึกษามีอย่างน้อยก็สิบกว่าคน พวกเขาต่างก็ยอมจัดการเรื่องต่างๆ ของตัวเองแต่โดยดีทั้งนั้น คิดว่าสำนักศึกษาจะมีข้อยกเว้นสำหรับเจ้า เสี่ยวอั้น ข้าจะบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง ด้วยนิสัยของเจ้ารับรองว่าจะต้องถูกลงโทษอย่างหนีไม่พ้น แล้วก็อีกสิ่งหนึ่งที่เจ้าจงจำไว้ให้ดีว่ายอมโดนโบยดีกว่าการถูกจองจำให้สำนึกผิด จำเอาไว้”
” ข้าต้องถูกตีหรือ”
“ด้วยนิสัยของเจ้าต้องโดนอย่างแน่นอน เรื่องการยอมให้ถูกกักขังอย่าได้ยอมรับโทษนี้อย่างเด็ดขาด รัชทายาท อวิ๋นเยี่ย หลี่หวยเหริน จั่งซุนชง พวกเขาต่างก็ได้รับความทุกข์ทรมานจากมันมาแล้วทั้งสิ้น พี่ชายไม่อยากให้ถึงเวลานั้นแล้วเจ้าต้องถูกลากออกมา ข้านั้นสู้ต้วนเหมิ่งไม่ได้ เพียงแต่หลังจากเขาถูกกักขังเป็นเวลาสี่วันแล้ว แม้แต่เดินก็ยังไม่เป็นเลย จำเอาไว้ให้ดี
หลี่อั้นได้แต่กลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อกๆ เขาได้ยินว่าแม้แต่รัชทายาทก็หนีไม่พ้นจากมือมารของสำนักศึกษา ก็รู้ว่าคราวนี้เกรงว่าเขาอาจหนีไม่พ้นเคราะห์กรรมครั้งนี้ไปได้ จึงคว้าพี่ชายไว้ด้วยความกลัวและพูดว่า “ข้าจะพักอยู่กับท่าน”
“เป็นไปไม่ได้ ทางสำนักศึกษาไม่ยอมให้นักเรียนชั้นต้นอยู่พักร่วมห้องกับนักเรียนรุ่นพี่ ความเป็นไปได้มากที่สุดก็คืออยู่กับนักเรียนใหม่ด้วยกัน สี่คนต่อหนึ่งห้อง
ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...
ตอนที่ 7 เปลี่ยนหัวใจให้หลี่โย่ว
หยางเฟย อินเฟย เดินทางมาส่งหลี่อั้นและหลี่โย่วไปเข้าเรียนด้วยขบวนอันใหญ่โต เมื่อรถม้ามาถึงตีนเขาอวี้ซัน หยางเฟยก็นึกชอบสถานที่แห่งนี้ขึ้นมา ไม่เพียงแต่อากาศที่ร้อนอบอ้าวจะหายไปหมดแล้ว บ้านพักของชาวนาก็เป็นระเบียบเรียบร้อย บ้านครึ่งด้านที่เป็นเอกลักษณ์ของแดนกวนจงที่ทาเป็นสีขาวเทาเมื่อรวมกับอิฐสีแดงบนหลังคาแล้วมันดูมีความมงคล ถนนกว้างและราบเรียบไม่เกิดการกระแทก นอกจากนี้ยังมีร้านเหล้าและร้านน้ำชาหลายแห่งระหว่างสองข้างทางเพื่อให้พักผ่อนซึ่งเป็นสถานที่ที่สงบเรียบร้อยจริงๆ
นางไม่ได้ออกจากวังมาสิบปีแล้ว ไม่ว่าเห็นอะไรก็แปลกใหม่ไปหมด ภาพบรรยากาศที่เสื่อมโทรมเมื่อสมัยก่อนได้ทำให้นางรู้สึกฝังใจโดยคิดว่ามันเป็นบาปที่บิดาของนางสร้างขึ้น ตอนนี้ได้เห็นชาวประชาอยู่อย่างเป็นสุขและมีงานทำ แน่นอนว่าในใจย่อมปล่อยวางลงได้มากจึงเปิดม่านรถขึ้นมองดูภายนอกไม่ยอมเลิก
หลี่เค่อควบรถม้าให้มารดาด้วยตนเอง นั่งอยู่ตรงบริเวณกุมบังเ**ยนม้าและเล่าให้นางฟังว่าตรงนี้คือที่ไหน มีเรื่องราวที่ไม่ค่อยมีคนรู้อะไรบ้าง ทั้งยังชี้ไปยังสถานที่ที่มีควันดำแต่ไกลๆ แล้วบอกว่ามันเป็นเตาเผาปูนซีเมนต์ ตอนนี้ของสิ่งนี้ใช้ได้ดีมาก ทางการเองแม้เผาปูนทั้งวันทั้งคืนก็ยังไม่พอใช้ ภายหน้าตนเองต้องไปประจำที่แดนเสฉวน ไม่ว่าอย่างไรเตาเผาซีเมนต์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
“เค่อเอ๋อร์ นิสัยดื้อรั้นเอาแต่ใจของน้องชายเจ้าจะสามารถขอให้อาจารย์ในสำนักศึกษายั้งมือบ้างได้หรือไม่ เห็นแก่ที่ว่าเขาอายุยังน้อยลงโทษให้เบาหน่อยจะได้หรือไม่ แม่ได้ยินที่เจ้าพูดถึงวิธีการเหล่านั้นดูคล้ายกับกฎทหารเลย”
เมื่อชื่นชมทัศนียภาพจนพอแล้ว แน่นอนว่าจะต้องกังวลกับลูกชายตัวน้อยที่ชวนให้หนักใจของตัวเอง
“ท่านแม่ ท่านพูดได้ถูกต้องแล้ว กฎในสำนักศึกษาก็คือกฎทหาร หากไม่ถูกโบยก็จะต้องถูกกักขังให้สำนึกผิดไม่มีตัวเลือกที่สาม เรื่องที่เสี่ยวอั้นจะโดนโบยนั้นเป็นสิ่งที่แน่นอนแล้ว ท่านไม่ต้องกังวลมากเกินไป ลูกผู้ชายหากไม่ลำบากบ้างจะไม่เป็นยอดคน
ครั้งนี้ท่านมีวันหยุดพักผ่อนครึ่งเดือน เช่นนั้นก็ขอให้ลูกได้พาท่านไปเที่ยวชื่นชมทัศนียภาพ หากท่านสนใจยังสามารถไปฟังการบรรยายของอาจารย์หลี่กัง อาจารย์อวี้ซัน อาจารย์หยวนจางและอาจารย์หลีสือได้ด้วย ทั้งสี่ท่านนี้ล้วนเป็นผู้ที่มีความรู้มากมายสุดหยั่ง บรรยายในชั้นเรียนได้ดีมาก บางครั้งลูกยังไม่อยากจะให้หมดคาบเรียนเลย ถ้าต้องการฟังเรื่องแปลกใหม่ก็สามารถไปฟังการบรรยายของอวิ๋นเยี่ยได้ เรื่องราวน่าเหลือเชื่อต่างๆ นานา เรื่องเล่าแปลกประหลาด จะไม่ทำให้การเดินทางครั้งนี้ของท่านต้องเสียเปล่าแน่
ลูกได้ขอให้นักพรตซุนช่วยตรวจสุขภาพร่างกายให้ท่านด้วย ไม่ต้องพิธีรีตองละเอียดอะไรมากมายเหมือนขณะอยู่ในวัง การมีผ้าม่านกันอยู่แล้วสามารถวินิจฉัยโรคได้ก็เป็นเรื่องแปลกแล้ว คราวก่อนฮองเฮาก็ทรงให้อาจารย์ซุนจับชีพจรต่อหน้าพระพักตร์เลย คราวนี้ท่านเองก็เช่นกัน คิดว่าในวังจะไม่ตำหนิ
นอกจากนี้ยังมีโครงกระดูกขนาดใหญ่ในสำนักศึกษาซึ่งมีขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของห้อง ฟันหนึ่งซี่ก็ยาวประมาณหนึ่งฟุต เป็นสัตว์ประหลาดยักษ์โบราณที่แท้จริง นอกจากนี้ยังมีประตูประหลาดอีกหนึ่งบานที่เมื่อเข้ามาจากทางซ้าย หากไม่รู้วิธีเข้าไปอย่างถูกต้องก็จะออกมาจากด้านขวา ซึ่งมันเป็นกลไกด้านวิศวะโยธาที่ถูกสร้างขึ้นโดยตระกูลกงซูซึ่งพวกเขาเป็นลูกหลานของหลู่ปัน
การต้มชาของอาจารย์จ้าว อาหารที่อวิ๋นเยี่ยทำนั้นไม่ควรพลาดเลยสักอย่าง การล่องแพบนแม่น้ำตงหยาง ชมทัศนียภาพเขาเขียวและน้ำใสสะอาด ท่านจะต้องชอบอย่างแน่นอน”
หลี่เค่อบรรยายแผนการดูแลท่านแม่ของตนเองอย่างน้ำไหลไฟดับ อยากจะให้ความสุขทั้งหมดที่มารดาของเขาไม่เคยประสบพบเจอมาก่อนตลอดชีวิตได้ประสบพบเจอให้หมด ถูกขังอยู่ในวังมาตลอดชีวิตสิ่งที่ไม่เคยพบเจอก็ถือเป็นความทุกข์ทรมานอย่างหนึ่ง
ในเวลานี้หลี่อั้นได้ลืมคำแนะนำของพี่ชายไปแล้ว ได้นั่งบนรถม้าของหลี่เค่อที่ควบไปบนถนนมองเห็นหลี่โย่วที่คุ้นหน้าก็กระโดดจากรถของมารดาตนเองร้องเรียกหลี่อั้นไว้ ทั้งสองได้ขึ้นรถแล้วไล่คนขับรถม้าลง ตนเองควบม้าอย่างบ้าคลั่งจนคนเดินถนนตกใจและรีบหลบ สองคนนั่งหัวเราะเสียงดังอยู่บนรถม้า
หลี่กัง อวิ๋นเยี่ย สวี่จิ้งจงและหลิวเซี่ยนรอต้อนรับอยู่ที่ปลายถนนแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นรถมาจากระยะไกลก็ยืนขึ้นแล้วออกมาต้อนรับ กลับเห็นรถม้าคันหนึ่งถูกควบห้อตะบึงมุ่งหน้าเข้ามา เตะกระจาดใส่ใบหม่อนล้มคว่ำไปจำนวนนับไม่ถ้วน นี่เป็นของที่ชาวบ้านนำมาตากแดดให้น้ำค้างแห้งซึ่งวางไว้ริมถนนจากนั้นจะนำกลับไปเป็นอาหารหนอนไหม แต่คราวนี้ถูกทำลายไปหมดแล้ว ตัวหนอนไหมไม่สามารถกินใบหม่อนที่เปรอะดินได้ไม่เช่นนั้นพวกมันจะติดเชื้อโรค
ในสำนักศึกษาเต็มไปด้วยคุณชายชนชั้นสูงทั้งสิ้นข้าเห็นมามากแล้ว อวิ๋นเยี่ยพยุงหลี่กังไปยืนด้านข้าง สวี่จิ้งจงก็ถอยหลังหลบตามสัญชาตญาณ หลิวเซี่ยนเกร็งข้อมือแล้วก้าวขึ้นไปข้างหน้าและคว้าสายบังเ**ยนไว้ ม้าตัวนั้นยกสองเท้าหน้าขึ้นกลางอากาศในทันใดและไม่สามารถเดินไปข้างหน้าได้อีก
หลี่โย่วและหลี่อั้นกลิ้งตกลงจากรถเมื่อลุกขึ้นก็เตรียมที่จะอ้าปากด่าทอ ทันใดนั้นหลี่อั้นก็พบว่าอวิ๋นเยี่ยยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยการให้กำลังใจดูเหมือนว่าต้องการให้เขาด่า เด็กที่ดื้อรั้นส่วนมากจะฉลาดจึงรีบปิดปาก เขารู้ถึงฤทธิ์เดชของอวิ๋นเยี่ย ก่อนหน้านี้ขณะอยู่ในวังก็ถูกจับไปกลั่นแกล้งอยู่ไม่น้อย
หลี่โย่วยังไม่รู้จักแยกแยะสถานการณ์ ทันทีที่ประโยคที่ว่าสุนัขรับใช้หลุดออกมาจากปาก หลี่อั้นก็รีบปิดปากเขาแต่เขาก็ยังคงส่งเสียงก่นด่าสาปแช่งอู้อี้ๆ อยู่ในปากไม่เลิกรา
ทั้งสี่คนที่ยืนอยู่ที่นั่นต่างก็รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร หลี่กังเริ่มขมวดคิ้วจึงหันกลับไปพูดกับหลิวเซี่ยน “หลี่อั้นควบม้าเหยียบใบหม่อนของเกษตรกรจนเสียหาย โบยยี่สิบครั้ง หลี่โย่วร่วมมือด้วยโบยยี่สิบครั้งเช่นกัน อีกทั้งยังด่าทออาจารย์อีกโบยสิบครั้ง”
หลายปีมานี้หลิวเซี่ยนลงโทษลูกท่านหลานเธอมามากจนชินชามานานแล้ว เด็กสองคนนี้ไม่อยู่ในสายตาเขา เพียงแค่กวักมือก็มีชายร่างใหญ่หลายคนปรากฏขึ้นข้างหลังเขา องค์ชายทั้งสองถูกพาตัวไปราวกับลูกไก่ถูกจับไว้
อวิ๋นเยี่ยขอโทษต่อเกษตรกรและขอให้พวกเขาไปสำนักศึกษาเพื่อรับค่าชดเชย เหล่าเกษตรกรก็เริ่มคุ้นเคยกับกฎข้อนี้ของสำนักศึกษาก้มหน้าก้มตาเก็บใบหม่อนที่ไม่เลอะขึ้นมาโดยที่ไม่ได้ถือสาอะไร
รถมาถึงแล้ว หลี่เค่อยืดคอมองหาน้องชายไม่พบ เห็นเพียงรถม้าของเขาจอดอยู่ข้างถนนก็รู้ว่ามันไม่ดีแล้ว เมื่อเขาเห็นเกษตรกรที่อยู่ไกลออกไปกำลังเก็บตะกร้าใบหม่อนที่ล้มระเนระนาดเขาก็รู้ว่าโอกาสสูงมากที่น้องชายของเขาถูกส่งไปยังสถานลงโทษของสำนักศึกษาแล้ว
ยกมือก่ายหน้าผากและเล่าเรื่องให้มารดาฟังและก็ถือโอกาสเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดให้อินเฟยฟังด้วย มารดาทั้งสองที่ร้อนรนจึงรีบลงจากรถ คารวะหลี่กังเคย หลี่กังเคยเป็นไท่ฟู่มาก่อน อยู่สถานะที่ต้องให้การเคารพ นอกจากต้องคำนับฮ่องเต้และฮองเฮาแล้ว พระสนมคนอื่นๆ ไม่เคยอยู่ในสายตา ประสาอะไรกับหยางเฟยที่เมื่อก่อนก็เคยอบรมสั่งสอนตั้งแต่สมัยที่อยู่ในราชวงศ์สุย อินเฟยเองก็เช่นเดียวกัน ในสมัยนั้นตนเองและบิดาของอินเฟยก็เป็นเพื่อนร่วมงานกัน เพียงแต่ต่อมาตระกูลอินขุดหลุมฝังศพของตระกูลหลี่ซึ่งหลี่กังคิดว่าทำกันเกินไป จึงไม่ไปมาหาสู่กับตระกูลอินอีก แต่อินเฟยกลับเห็นหลี่กังเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ที่ควรเคารพมาโดยตลอด
“พวกเจ้าสองคนในตอนนั้นต่างก็เป็นเด็กดีใฝ่หาความก้าวหน้าทั้งคู่ เหตุใดกลับปล่อยปละละเลยต่อลูกๆ ไม่สั่งสอนให้ดี เพราะเหตุใดกัน” เหลาหลี่จะอาละวาดแล้ว ตอนนี้นักเรียนแต่ละคนที่ส่งมานั้นเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนสอนยากขึ้นเรื่อยๆ ย่อมต้องโกรธเป็นธรรมดา
พระสนมทั้งสองไม่ว่าจะด้วยฐานะหรืออายุก็ล้วนแต่ไม่กล้าเถียงหลี่กัง ได้แต่ต้องก้มศีรษะรับคำสอน
“ช่างเถอะ เมื่อถูกส่งมายังสำนักศึกษาแล้ว ข้าจะเป็นคนอบรมสั่งสอนเอง พวกเจ้าห้ามคัดค้านใดๆ ยังโชคดีที่อายุยังน้อยและยังไม่เป็นอุปสรรคสักเท่าไร กว่าที่พวกเจ้าจะได้มีโอกาสออกจากวังสักครั้งก็ไปพักผ่อนให้สบายใจกับสู่อ๋องเถอะ”
เมื่อพูดจบก็นั่งรถม้าของหลี่เค่อและให้อวิ๋นเยี่ยเป็นผู้ขับขึ้นเขาไป ฉากนี้ได้ทำให้สวี่จิ้งจงถึงกับอึ้งกิมกี่ไป นี่เป็นท่าทีการวางตัวของปรมาจารย์แห่งยุคใช่หรือไม่ เมื่อไหร่ตัวเองถึงจะทำได้ถึงจุดนี้บ้าง
เขาไม่ได้มีคุณสมบัติที่จะแข็งกร้าวได้ จึงต้องโค้งคำนับเชิญพระสนมทั้งสองขึ้นรถเพื่อที่จะได้เดินทางต่อไป
อินเฟยขึ้นรถม้าของหยางเฟย ยกมือป้องปากหัวเราะจนตัวงอ หยางเฟยที่กำลังสับสนว้าวุ่นรู้สึกประหลาดใจจึงถามถึงสาเหตุ
“พี่สาว ไม่ได้อาจารย์มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าเขายังคงมีนิสัยเหมือนเดิม แต่สุขภาพยังแข็งแรงดี” อินเฟยยังยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้ข้าไม่เป็นกังวลเรื่องโย่วเอ๋อร์อีกต่อไปแล้ว มีอาจารย์คอยดูแล คิดหรือว่าเขาจะหนีรอดไปได้”
“เจ้านี่นะ ข้าได้ยินเค่อเอ๋อร์บอกว่าสำนักศึกษานั้นใช้กฎทหาร หากลงโทษพวกเขาจนเป็นอะไรไป ถึงตอนนั้นเจ้าอยากร้องไห้ก็ไม่ทันแล้ว”
“พี่สาว ท่านไม่เคยถูกอาจารย์ตีหรือ แต่น้องนั้นเคยโดนไม่น้อย ตอนนี้นึกขึ้นมาแล้วมือยังรู้สึกปวดอยู่เลย สำหรับโย่วเอ๋อร์นั้น อาจารย์ท่านมีขอบเขตของท่านเอง หลายวันนี้ข้าตั้งใจจะไปฟังการบรรยายของอาจารย์เสียหน่อย ท่านว่าถ้าข้าทำการบ้านไม่ได้ อาจารย์จะตีมือข้าหรือไม่”
คำพูดนี้พูดจนในใจของหยางเฟยเจ็บแปลบ อินเฟยนั้นเหมือนกับตัวนาง ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดก็คือขณะที่ได้เรียนหนังสือกับอาจารย์ ช่วงชีวิตต่อจากนั้นก็ต้องอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวนอยู่ตลอดเวลา นางเองก็เริ่มนึกย้อนกลับไปถึงสมัยวัยเยาว์ที่ไม่ต้องทุกข์ร้อนอะไรของนางเองเช่นกัน ช่วงชีวิตในตอนนั้นช่างงดงามมาก!
บนเขาอวี้ซันมีสตรีผู้สูงศักดิ์หลายคนอาศัยอยู่ เมื่อได้ยินว่าพระสนมเสด็จมาที่เขาอวี้ซัน พวกเขาต่างก็มารอรับเสด็จที่ทางเข้าของบ้านพัก หลังทักทายกันเสร็จแล้ว หลี่เค่อก็ส่งอินเฟยไปที่บ้านพักของราชนิกุลเพื่อพักผ่อน จากนั้นจึงพามารดามาที่บ้านพักของตนเอง
นอกจากนางกำนัลคนสนิทของมารดาแล้ว นางกำนัลและขันทีคนอื่นๆ ได้ถูกจัดให้ไปพักในเรือนอีกหลังที่อยู่ถัดออกไป เมื่อเปิดประตูลานบ้านของเรือนเล็ก ในบริเวณลานบ้านนั้นเต็มไปด้วยดอกไม้ป่าหลากหลายชนิดที่บานสะพรั่ง ไม่มีบรรยากาศของพระราชวังแต่มีความงามอีกแบบหนึ่ง
ในเรือนเล็กได้ปูพรมหนาไว้ทั่วทุกที่ จนสามารถคลุมข้อเท้าได้เลย ด้านหน้าหน้าต่างที่หันหน้าไปทางภูเขาเขียวมีแคร่ปูผ้าวางอยู่ตัวหนึ่ง ในยามว่าไม่มีอะไรทำก็ถือหนังสือทั่วไปขึ้นอ่านพลางมองไปยังภูเขาที่เขียวขจีที่อยู่ห่างไกล แอบงีบหลับสักครู่ ช่างเป็นชีวิตที่งดงามจริงๆ
เรือนเล็กงดงามราวกับกล่องผ้าที่ละเอียดประณีตที่สามารถมัดใจหยางเฟยไว้ได้ในทันที เทือกเขาเขียวทอดตัวยาว เรือนเล็กก็เป็นเหมือนเม็ดไฝที่ปลายคิ้ว ซึ่งก็ไม่ได้ทำลายความงามของสาวงามนางนี้ แต่กลับทำให้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น นี่คือความฝันของหญิงสาวตัวน้อยๆ
จึงไม่รบกวนมารดาของตนอีก เพียงแค่บอกนางกำนัลว่าเครื่องดื่มอยู่ที่ไหน น้ำหอมอยู่ที่ไหน เครื่องนอนอยู่ที่ไหน อุปกรณ์ขัดตัวใช้อย่างไร นางกำนัลมองไปที่ชักโครกที่เป็นกระเบื้องเคลือบแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี หลี่เค่อจึงนั่งลงไปแล้วสาธิตให้นางดู สุดท้ายเมื่อดึงเชือกสีฟ้าที่แล้วน้ำก็ไหลออกมาในทันใด นางกำนัลมองดูแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อยากจะลองในตอนนี้เลย
“บอกท่านแม่ด้วยว่าข้าจะกลับมาอีกครั้งในช่วงอาหารเย็น จะให้นางได้ลิ้มรสอาหารของสำนักศึกษาดูว่าเป็นอย่างไร” หลังจากพูดจบก็หันไปมองดูมารดาที่นั่งอยู่บนแคร่เตี้ยเหม่อลอยมองดูภูเขาที่ไกลออกไป พลางยิ้มแล้วปิดประตูเดินจากไป
หลี่ไท่ขณะที่ท่านแม่ของเจ้ามาเจ้าจับข้ามาหาบน้ำ แม่ของข้ามาแล้วเจ้าก็อย่าหวังจะหนีรอดได้ แม่ข้าก็ต้องใช้น้ำที่สะอาดที่สุดเช่นกัน มีเพียงน้ำที่นั่นเท่านั้นที่เหมาะกับใบหน้าอันงดงามของแม่ข้า หลี่ไท่เจ้ารอก่อนเถอะ พี่ชายมาหาเจ้าแล้ว คืนนี้ต้องหาบน้ำและใช้ถังใบใหญ่ด้วย!
ด้วยจิตใจที่แน่วแน่ หลี่เค่อไปหาหลี่ไท่อย่างมีความสุข สำหรับน้องชายเขาหลี่อั้น ไม่ได้อยู่ในความคิดของเขามาตั้งแต่แรกแล้ว ผู้คนมากมายในสำนักศึกษาที่ถูกลงโทษ แต่ไม่มีใครถูกลงโทษจนนิสัยเสียเลย
เขาไม่รู้ว่าหลี่อั้นกำลังทนทรมานรับโทษแบบใด หลี่โย่วตกใจจนสลบไปแล้ว หัวใจดวงน้อยๆ ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงตั้งแต่แรกเห็น คนที่มีร่างกายเปื่อยเน่าที่นอนกลิ้งไปมาอยู่ตรงหน้าคว้าเท้าหลี่โย่วไว้และขอร้องเขาตั้งใจพัฒนาตัวเอง ไม่เช่นนั้นก็จะมีจุดจบเช่นเดียวกับเขา ยังไม่ทันได้พูดอะไรอีกดวงตาของหลี่โย่วก็กลอกขึ้นด้านบนแล้วสลบไป
ทันใดนั้นก็มีคนสวมผ้าป่านสีขาวสองคนหามหลี่โย่วขึ้นมาวางบนโต๊ะที่มีรอยเลือดเป็นจุดๆ ทั้งยังถอดเสื้อผ้าของเขาออกหมดแล้วผูกมือและเท้าไว้กับโต๊ะ
อวิ๋นเยี่ยสวมชุดสีขาวและสวมหน้ากากปิดปากเดินเข้ามา ในมือยังถือมีดที่คมมากเอาไว้ด้วย ที่หน้าอกของหลี่โย่วถูกใช้พู่กันวาดวงกลมไว้หนึ่งวง ราวกับกำลังเตรียมจะควักหัวใจ
หลี่อั้นกัดฟันถามว่า “เจ้าจะทำอะไร”
“โอ้ เสี่ยวอั้น ไม่มีอะไร ข้าแค่ต้องการเปลี่ยนหัวใจให้เสี่ยวโย่ว” ภายใต้แสงสลัวๆ ที่ตะเกียง แววตาของอวิ๋นเยี่ยราวกับกำลังเปล่งแสงสีแดง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น