เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 6 ตอนที่ 58-60
ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...
ตอนที่ 58 เรื่องของการปล้น
การเจรจาผ่านไปด้วยความราบรื่นอย่างยิ่ง ความจริงอวิ๋นเยี่ยพูดแค่แปดคำเท่านั้น “ราวไข่กองสุม ภัยใกล้มาถึง” มีแค่แปดคำนี้ก็เพียงพอแล้ว เดินแกว่งลูกประคำในมือเตรียมกลับไปควบคุมซินเย่ว์ดื่มน้ำซันจาด้วยความรื่นรมย์
หันหลังไปมองนัยน์ตาที่วิบวับราวกับไฟนรกของพระชราแล้วพูดอีกว่า “พระเฒ่า เงินทองไม่จีรัง เห็นแก่ลูกประคำข้าขอแถมคำพูดให้ท่านอีกนิด” เพิ่งพูดจบไฟนรกก็หายไปในพริบตาพร้อมกับร่างผอมดำก็หายไปในความมืดยามราตรีด้วย
อวิ๋นเยี่ยสั่นศีรษะคิดว่าตัวเองก็นับว่าได้ทำคุ้มค่าลูกประคำวิเศษของพระชรา ไม่ว่าอย่างไรก็ตามหากลดการเข่นฆ่าลงได้บ้างก็ลดลงเถอะ หากหลี่เฉิงเฉียนเริ่มต้นลงมือแล้วผลลัพธ์ยากจะคาดเดา สมควรต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมถอย ฝ่ายพุทธเป็นฝ่ายอ่อนแอกว่าน่าจะเจียมเนื้อเจียมตัว อวิ๋นเยี่ยไม่อยากเห็นโศกนาฏกรรมบู๊ล้างผลาญฝ่ายพุทธเกิดขึ้นในโลกมนุษย์อีก
เหล่าชุยกำลังเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ที่กระโจมหยิบไม้กระบองหวดคนครัวอย่างบ้าคลั่ง ตระกูลอวิ๋นไม่เคยรังแกคนขนาดนี้ เหล่าชุยถึงแม้เพิ่งทำความชอบมาหยกๆก็ไม่สามารถเหิมเกริมได้ถึงเพียงนี้
ยังไม่ทันรอให้อวิ๋นเยี่ยไปถึงเหล่าชุยก็พุ่งตัวเข้ามาก่อน ในมือมีแผ่นซันจากำมือหนึ่งถามอวิ๋นเยี่ยว่า “โหวเหยีย ท่านเป็นคนสั่งคนครัวต้มน้ำซันจาให้ฮูหยินหรือ”
ไม่เคยเห็นเหล่าชุยมีไฟฟืนมาก่อนแต่ครั้งนี้กล้าสอบถามข้าช่างน่าแปลกจริงๆ อวิ๋นเยี่ยตั้งใจรอให้เรื่องชัดเจนก่อนค่อยตัดสินใจว่าจะจัดการอย่างไรต่อ พอเห็นเหล่าชุยถามก็พยักหน้า
“มั่วแล้ว โหวเหยีย น้ำซันจาให้หญิงมีครรภ์ดื่มไม่ได้ ซันจากินมากจะทำอันตรายเด็กในครรภ์ ผู้หญิงมีครรภ์แล้วกินของนี้ไม่ได้ โหวเหยีย ทีหลังรายการอาหารของฮูหยินจะต้องผ่านตาข้าก่อนมิฉะนั้นให้ฮูหยินกินไม่ได้” พูดจบก็เดินไป ก่อนไปยังเตะคนครัวอีกหนึ่งที
อวิ๋นเยี่ยประสานมือให้เงาหลังเขาอย่างเคอะเขิน คนแก่ในหมู่บ้านอวิ๋นเป็นเช่นนี้ทั้งนั้น หากสิ่งที่ตัวเองทำนั้นถูกต้อง นอกจากท่านย่าแล้วสามารถโวยวายคนอื่นได้อย่างรุนแรง ขนาดหลี่ไท่กับหลี่เค่อตะกละจะเก็บลูกหม่อนทำกิ่งหม่อนหักไปยังโดนคนชราลูกบ้านด่าไล่หลังตลอดทาง ใช้เงินให้ก็ไม่เอา จะให้สองพี่น้องรู้ว่าลูกหม่อนเก็บได้แต่ทำลายต้นหม่อนไม่ได้ ยังดีที่สองพี่น้องเวลานี้รู้ว่าเกษตรกรเหนื่อยยากจึงไม่ได้ตอบโต้ คนชราลูกบ้านก็ไม่รู้ฐานะสองพี่น้อง ไม่เช่นนั้นต้องตกใจตายแน่
พอหลี่ซื่อหมินรู้เรื่องนี้แล้วได้ตำหนิสองพี่น้องอย่างรุนแรงต่อหน้าขุนนางทั้งหมดแล้วให้รางวัลพวกเขาอีกมากมาย ทั้งยังว่าสองพี่น้องไม่รู้ความเหนื่อยยากของเกษตรกรไม่รู้ความสำคัญของต้นหม่อน แค่ตะกละจนทำให้ต้นหม่อนเสียหายสมควรโดนโทษหนัก แต่สองพี่น้องรู้จักแก้ไขสิ่งที่ผิดไม่วางอำนาจข่มขู่คนอื่นถือว่าทำได้ยาก จึงสมควรให้รางวัลคุณคือคุณโทษคือโทษเอามาปนเปกันไม่ได้ ทำให้ทั้งราชสำนักต่างฮือกันประจบสอพลอยกใหญ่
ไม่ไหวแล้วทีนี้ต้องกลับบ้านแล้วไม่มีคนแก่ดูแลนี่อันตรายจริงๆ แค่กินซันจายังอาจโดนข้อหาฆาตกรรมบุตรชายตัวเอง หากจะเที่ยวทั่วไปอีกทั้งเดือนสงสัยไร้ญาติขาดมิตรหมดแน่ ดูแววตาที่แสนกังวลของบ่าวไพร่ก็รู้แล้ว เหล่าเฉียนกำลังปาดเหงื่อด้วยสีหน้าซีดเผือด คนครัวกุมศีรษะนั่งยองๆบนพื้นร้องไห้เสียอกเสียใจ
อวิ๋นเยี่ยปลอบคนครัวว่า “เรื่องนี้โทษเจ้าไม่ได้เพราะเป็นความผิดของข้าเอง พรุ่งนี้เรากลับบ้านกันแล้วมอบฮูหยินให้ท่านย่าดูแล พวกเราเป็นผู้ชายกันหมดต่างไม่รู้เรื่องพวกนี้ ที่เจ้าโดนตียกนี้ถือว่าโดนแทนข้าแล้วกัน”
คนครัวร้องเสียงดังขึ้นอีก พูดไปร้องไป “โหวเหยีย ที่ข้าโดนตีนั้นสมควรแล้ว หากไม่ใช่หมอชุยพบก่อนที่ข้าเอาซันจาต้มเสร็จไปให้ฮูหยินแล้วคุณชายจิ๋วเป็นอะไรขึ้นมา ข้าก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้”
นี่เป็นเรื่องจริง หากเกิดเรื่องขึ้นมาเขาอยู่ไม่ได้แน่นอน ต่อให้ตระกูลอวิ๋นไม่เอาเรื่องทั้งหมู่บ้านก็ไม่ยอมให้อภัยแน่นอน บุ้ยปากให้เหล่าเฉียนปลอบโยนคนครัวต่อ ตัวเองเปิดม่านเข้าไปในกระโจม
ยังดีที่ทุกคนต่างปิดซินเยี่ยไว้ นางจึงยังไม่รู้ อยู่บนเตียงสองคนกับสือสือกุมท้องร้องฮือๆเพราะกินมากเกินไป พอเห็นอวิ๋นเยี่ยเข้ามา ซินเย่ว์ถามว่า “น้ำซันจาเล่า ข้ากินมากไป สือสือก็กินมากไปแล้ว”
“เพิ่งรู้ว่าหญิงมีครรภ์ดื่มน้ำซันจาไม่ได้จนเกือบเป็นเรื่องเป็นราว รีบออกไปเดินเล่นกันข้างนอกจะได้ไม่ท้องอืดกลางคืน” อวิ๋นเยี่ยพูดให้จบง่ายๆแล้วก็ต้อนพวกเขาเตรียมออกไปเดินเล่นข้างนอกกัน
บ่าวไพร่ตระกูลอวิ๋นเตรียมกลับบ้านกันตั้งแต่กลางคืน นอกจากกระโจมที่ต้องใช้คืนนี้แล้วนอกนั้นเอาใส่รถไปก่อน ของขวัญที่เตรียมไว้ให้วัดเส้าหลินทั้งหมดให้เหล่าเฉียนมัดรวมกันพรุ่งนี้นำไปให้ที่วัดแต่เช้า ตัวเองจะได้ตัวเบากลับบ้าน
เสี่ยวหนิวก็คิดเช่นเดียวกัน มีเพียงเฉิงฉู่มั่วที่ติว่าเวลาที่ออกมาน้อยเกินไปทำให้ไม่มีโอกาสเที่ยวให้มากหน่อย เขาซงซันก็ยังไม่ทันได้เที่ยวอะไรจนโดนจิ่วอีบิดเนื้อที่แขนไปทั้งรอบ เฉิงฉู่มั่วหันไปมองจิ่วอีบอกว่า “อยากบิดก็บิดให้แรงหน่อย ไม่เจ็บเลย”
กลางคืนสือสือนอนกับซินเย่ว์ อวิ๋นเยี่ยนอนอยู่บนรถลากคุยกับซ่านอิงตัวเขามีกลิ่นหอมจางๆยุงภูเขาไม่เข้าใกล้ไปกัด เขาดื่มสุราไปมากจนดูเมาเล็กน้อยเปิดหน้าอกรับแสงจันทร์ ท้องฟ้าที่ถูกฝนชะล้างเมื่อตอนบ่ายดูมืดดำเป็นพิเศษ ดวงดาวคล้ายเพชรพลอยมากขึ้น เพียงแต่ภายใต้แสงจันทร์วันเพ็ญที่ส่องสว่างดาวแต่ละดวงต้องหนีไปส่องแสงอยู่ไกลๆ เสียงสุนัขป่าหอนใต้แสงจันทร์วันเพ็ญ น้ำทะเลจะขึ้นสูงคนจะซึมเศร้ามากขึ้น โดยเฉพาะชายหนุ่มที่มีพลังแต่ไม่มีที่ให้ระบายเช่นซ่านอิงยิ่งเป็นเช่นนี้
“เยี่ยจื่อ ทำไมโลกนี้จะต้องมีความผูกพันอะไรมากนัก เมื่อก่อนนี้ข้านึกว่ามีตัวข้าคนเดียวไม่มีความห่วงใยอะไรจะทำอะไรก็ได้ อาจารย์ก็สอนให้ข้ามีหัวใจที่แกร่งกล้าไม่หวาดกลัวอะไร ไม่นึกว่าแค่มาลั่วหยางก็พบว่าทิ้งพวกหญิงแก่เด็กอ่อนไม่ได้ ท่านไม่รู้หรอกพวกเขาลำบากมากจริงๆ ข้าเองยังไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ยายแก่อายุหกสิบยังต้องทาเครื่องสำอางไปขายตัว ท่านรู้ราคาไหม เงินหนึ่งเหวินหรือข้าวฟ่างหนึ่งชั่ง” พูดจบก็หัวเราะขึ้นมา เพียงแต่น้ำตาไหลจนทำให้เห็นแล้วหดหู่ใจ
“นางเก็บเด็กสองคน คนหนึ่งห้าขวบคนหนึ่งสามขวบ อาศัยในเล้าแห่งหนึ่งในนั้นเล็กจนคนเข้าไปไม่ได้ ยายแก่อาบน้ำทุกวันว่าอาบสะอาดไม่แน่อาจมีแขกวิดน้ำบ่ออาบ หน้าหนาวก็เช่นเดียวกัน ข้าให้เงินยายแก่ เด็กชายคนโตหน่อยนึกว่าข้าจะรังแกยายแก่เลยกอดขาข้ากัดใหญ่ ท่านว่าน่าหัวเราะไหม”
เจ้านี่ เดิมข้านึกว่าจะเล่าว่าข้าดีใจแค่ไหนที่ซินเย่ว์มีครรภ์ อยากคุยโม้ให้เห็นถึงอนาคตที่เจริญรุ่งเรืองของตระกูลอวิ๋น ใครจะรู้ว่ากลับโดนเจ้านี่มาเล่าเรื่องตลกอะไรให้เสียบรรยากาศจนรู้สึกตาร้อนผ่าว
“พอข้าบอกว่าข้าเป็นลูกชายของซ่านสยงซิ่นยายแก่นั้นก็ผลักข้าออกไปข้างนอกแม้แต่เงินที่ให้ยังไม่เอา แค่ขอร้องข้าไม่ให้นำเด็กหนุ่มที่นั่นไปทำสงครามก็พอแล้ว นางสามารถเลี้ยงเด็กสองคนนั้นได้ นางบอกว่าการค้าของนางดีมาก เยี่ยจื่อ ยายแก่ที่ใช้กระดาษแดงกับปูนขาวทาหน้าทุกวันจะค้าได้ดีแค่ไหนกัน ท่านเป็นผู้เก่งกาจเรื่องค้าขาย ท่านบอกข้าหน่อยว่าทำอย่างไรการค้าของนางจึงจะไปได้ดี”
นั่งไม่ติดแล้ว วายร้ายนี่ตั้งใจมาหาเรื่องแท้ๆแค่หญิงแก่ขายตัวก็จะมารบกวนข้า ยื่นขาเตะทีเดียวซ่านอิงก็ตกลงจากรถลาก ยอดฝีมืออย่างซ่านอิงตกลงไปทื่อๆบนพื้นไม่หลบไม่ตอบโต้ นอนยิ้มแหะๆให้อวิ้นเยี่ยบนพื้น เด็กคนนี้โดนชีวิตเล่นงานหนักไม่น้อย อวิ๋นเยี่ยเองก็นึกไม่ถึงว่าการผลักดันของตัวเองทำให้ส่งซ่านอิงไปที่หลุมไฟนรกหรือพูดได้ว่าส่งไปที่บึงโคลนดูด ต่อให้มีฝีมือแค่ไหนก็ทำอะไรไม่ได้มือติดเท้าติดไปหมดคล้ายไก่ป่วย หรือว่ายาแรงที่ให้ไปส่งผลหนักเกินไปนะ
นอนอยู่บนรถลากพูดกับซ่านอิงที่นอนอยู่ใต้รถลากต่อว่า “ไม่ได้มีอะไรมากเลยเพราะยายแก่เลือกผิดทางเอง หากนางเลือกทางอื่นก็ไม่ต้องทนหิว พวกนางเลือกทางรอดตัวเองไม่เป็นต้องมีคนชี้นำ เจ้าก็คือคนชี้นำคนนั้น กรรมของบิดาหนี้ของบิดาลูกชดใช้นั้นเป็นสิ่งถูกต้อง ยายแก่นั่นตอนนี้ทำกล่องไม้ขีดไฟก็คงพอรอดได้แล้วสามารถเลี้ยงเด็กสองคนให้โตได้ เด็กโตเร็วมากไม่ทันสังเกตก็จะโตเป็นคนหนุ่ม คนแค่ไม่กี่ร้อยคนมีโรงงานไม้ขีดไฟโรงเดียวก็พอที่จะให้พวกเขาอยู่รอดได้ จริงสิ พอเจ้ามาวัดเส้าหลินแล้วใครช่วยพวกผู้หญิงกับเด็กเหล่านั้น”
“ฉีเฉิงกับหม่าชื่อรวมทั้งคนดูแลบ้านสามคนที่ข้ายืมจากบ้านท่าน ข้ายกเงินให้พวกเขาทั้งหมดแล้วพวกเขากำลังดูแลอยู่ หากเงินไม่พอข้าเตรียมตามท่านกลับฉางอันหาบ้านคนรวยปล้นสักบ้านน่าจะรวบรวมได้มากพอ ท่านรู้ไหมว่าฉางอันบ้านไหนรวยสุดนอกจากบ้านท่าน”
ซ่านอิงพูดเรื่องนี้จริงจังมาก อวิ๋นเยี่ยไม่ได้กังวลความสามารถในการปล้นของเขาแม้แต่นิด เลือดเสี่ยงหม่ายังคงเดือดพล่านอยู่ในเส้นเลือดของเขา พอเจอปัญหายุ่งยากปฏิกิริยาแรกก็คือการปล้น
เมื่อมีค้อนแล้วก็เห็นอะไรเป็นตะปูไปหมดนี่มันเป็นตรรกะแบบไหนกัน ราวกับคนรวยทั้งโลกเป็นแพะอ้วนแต่ละตัวที่รอให้เชือด คำโบราณว่าความจนเป็นบ่อเกิดแผนชั่ว ความรวยเป็นบ่อเกิดใจงามนั้นไม่ผิดแม้เพียงนิดเดียว ตั้งแต่มีเงินแล้วอวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกว่าตัวเองมีจิตใจดีงามขึ้นมามาก ฟังซ่านอิงเล่าเรื่องเศร้าโศกแล้วรู้จักเจ็บปวดด้วยถือเป็นความก้าวหน้า ครั้งหน้าหากฟังอีกจะต้องเจ็บปวดยิ่งขึ้นจึงจะถูก
“การปล้นมีวิธีการหลายชนิด วิธีการที่เจ้าเลือกเป็นชนิดที่ไม่ได้ใช้เทคนิคอะไรเลยแม้แต่นิด ลงทุนมากเกินไปกำไรน้อยเกินไป ทั้งยังมีผลกระทบทางร้ายมากเกินไปชื่อเสียงไม่ดีเลยสักนิด เจ้าต้องปล้นอย่างสุภาพเรียบร้อยให้พวกแพะอ้วนทั้งหลายเต็มอกเต็มใจที่จะส่งเงินให้ จนกระทั่งไม่รับยังไม่ได้แล้วเจ้าจะพบว่าความสำเร็จของเจ้าสูงกว่าบรรพบุรุษทั้งหลายของตระกูลซ่าน เสร็จสิ้นการปล้นแล้วทุกคนยังสำนึกในบุญคุณล้นเหลือ นี่จึงเป็นหัวใจของการปล้นอย่างแท้จริง
ซ่านอิงฟังจนน้ำลายยืด ดูดน้ำลายแล้วความคิดคล้ายซึมซับได้จึงบอกอวิ๋นเยี่ยว่า “เหมือนที่ท่านเพิ่งปล้นพระชราเมื่อครู่นี้ ลูกประคำมรกตประกายดาวราคาหลายพันก้วนถูกท่านปล้นไปทั้งยังมีอาการซาบซึ้งใจ ข้าเห็นเขาทำความเคารพท่านในที่มืด เหล่าเจียงว่านี่จึงเป็นธาตุแท้ของโหวเหยีย เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมข้าจึงเป็นยาจกเขาเป็นคนหัวราน้ำแต่ท่านเป็นโหวเหยีย ท่านช่วยสอนข้าด้วยการปล้นชนิดนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ”
อวิ๋นเยี่ยนึกอยากอัดเขาเต็มทน แค่ธรรมเนียมปฏิบัติปกติที่สุดแสนธรรมดากลับโดนเขาเห็นเป็นการปล้น หากเป็นการปล้น เรื่องที่หลี่เฉิงเฉียนสามพี่น้องทำอยู่นั้นแหละเป็นการปล้นอย่างแท้จริงคือปล้นทั่วแผ่นดิน แค่คิดยังทำให้เลือดเดือดพล่านไปทั่วร่าง
“กลับฉางอันครั้งนี้ข้ามีงานเปิดประมูลที่ต้องการให้เจ้าคุ้มครองในนั้นล้วนมีแต่ของวิเศษเลิศล้ำ แค่ให้เจ้ารับประกันความปลอดภัยได้ตลอดรอดฝั่ง เจ้าจะได้รับส่วนแบ่งห้าพันก้วน เพียงพอที่จะให้เจ้าซื้อที่ดินผืนใหญ่ในลั่วหยาง ทั้งปลูกบ้านให้พวกผู้หญิงและเด็กได้หลายร้อยคน”
นึกถึงกองเรือที่ใกล้จะกลับมาจากทั่วประเทศแล้วอวิ๋นเยี่ยก็จิตใจโปร่งโล่ง วังของหลี่ซื่อหมินใกล้จะสร้างเสร็จแล้ว กำลังรอเสาไม้หนันมู่กับการสลักเสลาเล็กๆน้อยๆ ปกติหนันมู่ต้องทิ้งไว้สองปีให้เนื้อไม้แห้งจึงจะนำมาใช้ได้ อวิ๋นเยี่ยจะสร้างโรงอบไม้ธรรมชาติ ทำให้เวลาการรับแรงของเนื้อไม้ลดลงจากสองปีเหลือเพียงสิบวัน ถึงแม้ไม่ได้มีผลดีเท่าการทิ้งไว้ตามธรรมชาติแต่ก็เพียงพอกับการใช้งานก่อสร้างพระราชวัง การแสดงของดีๆที่เหล่าผู้มีอำนาจราชศักดิ์เมืองฉางอันทึ่มๆทั้งหลายไม่เคยเห็น เรื่องรักษาความปลอดภัยจึงจำเป็นอย่างที่สุด
ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...
ตอนที่ 59 ฟ้าลั่นอีกครั้ง
ไม่ว่าเฉิงฉู่มั่วจะไม่ยินยอมมากแค่ไหนก็ไม่ตามอวิ๋นเยี่ยกับหนิวเจี้ยนหู่กลับบ้านไม่ได้ การเดินทางไกลที่ระหกระเหินจะเป็นอันตรายต่อหญิงมีครรภ์ ดังนั้นการเดินทางกลับบ้านอวิ๋นเยี่ยจึงเลือกทางน้ำ แม้เดินเรือทวนน้ำจะช้าอยู่บ้างแต่ก็ไปได้ราบเรียบไม่สะเทือนเหมือนทางบก
จริงๆแล้วทิวทัศน์สองฝั่งแม่น้ำฮวงโหไม่ได้มีอะไรให้ชมนัก องค์ประกอบหลักมีแต่พุ่มไม้เตี้ยๆกับหญ้าที่รกร้าง การเกิดน้ำท่วมเถาฮวาซวี่นประจำปีจะทำลายพืชทุกชนิดที่โผล่พ้นน้ำ อวิ๋นเยี่ยชอบนอนฟุบห้อยศีรษะอยู่ที่หัวเรือมองผิวน้ำจะเห็นภาพประหลาดที่น้ำนิ่งแต่สองฝั่งเคลื่อนที่เองได้
ซินเย่ว์จะนั่งอยู่ข้างๆรั้งเสื้ออวิ๋นเยี่ยไว้ นางห่วงมากเกรงว่าสามีตัวเองจะตกลงไปในน้ำ สือสืออยู่อีกด้านจับเท้าอวิ๋นเยี่ยไว้ ทุกครั้งที่เขานึกอยากใกล้ผิวน้ำให้มากขึ้นเพื่อรับความรู้สึกรื่นรมย์จากภาพสองฝั่งที่มีความเปลี่ยนแปลง ซินเย่ว์กับสือสือก็จะดึงเขากลับมานิดหน่อย ซินเย่ว์ไม่มีแรงมากเท่าสือสือ นางคนเดียวก็สามารถดึงอวิ๋นเยี่ยได้
ไม่ไหวแล้วผู้หญิงสองคนนี้ทำเสียบรรยากาศ อวิ๋นเยี่ยหมุนตัวนอนหงายอยู่บนพื้นหัวเรือมองดูแสงอาทิตย์ผ่านซอกไม้รวกที่มุงหลังคาเรือ ขณะที่ตัวอยู่ในแม่น้ำฮวงโหดูแสงอาทิตย์เดือนหกราวกับหมดอานุภาพไม่รุนแรงอีกต่อไป
ควักเม็ดสนออกจากอกเสื้อเม็ดหนึ่งเคาะออกได้ง่ายมาก เนื่องจากเม็ดสนโดนฝ่ามือต้าลี่จินกังจั่งมาแล้วนับไม่ถ้วนครั้ง ไม่ได้พูดเล่น โดนฝ่ามือต้าลี่จินกังจั่งจริงจึงได้แตกง่ายเช่นนี้
เม็ดสนที่เจวี๋ยหย่วนใช้เวลาทั้งคืนจึงคั่วเสร็จได้ถุงหนึ่ง สุดท้ายแล้วจึงใช้ฝ่ามือทุบเปลือกนอกของเม็ดสนออกทุกเม็ด นี่เป็นของกินเล่นที่เขาตั้งใจเตรียมไว้ให้ลูกสาว น่าสงสารที่พ่อเป็นพระสงฆ์ไม่มีของดีอะไรให้ลูกสาวจึงต้องแสดงความรักของพ่อเช่นนี้ สือสือเสียดายเกินไปที่จะกิน หลังจากอวิ๋นเยี่ยกินไปแล้วเม็ดหนึ่งก็ใช้ขนมกุ้ยฮวาเกาแลกกับนางทุกวัน เด็กหญิงชอบกินขนมมากที่สุดทนความเย้ายวนของขนมกุ้ยฮวาเกาไม่ได้ โดนกุ้ยฮวาเกาเปลี่ยนลูกสนไปเรื่อยๆจนตอนนี้เหลือไม่มากแล้ว
ไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงไม่ใช้เครื่องมือจะต้องใช้มือเปล่าเท่านั้น อวิ๋นเยี่ยไม่สามารถรู้ได้ ไม่แน่ว่าเขาเลียนแบบคนซื่อบื้อที่ยอมถอดเสื้อออกเลี้ยงยุงให้กินอิ่มจะได้ไม่ไปกัดมารดาคนนั้น ต่างเป็นพวกคนขี้เกียจสันหลังยาว ต้นเหยี่ยเฮาเฉ่าขึ้นอยู่เต็มทุ่งแค่ถอนออกมาไม่กี่ต้นตากแห้งจุดไฟก็เป็นยากันยุงชั้นดี ไม่เห็นต้องใช้วิธีปัญญาอ่อนเช่นนั้น
กลิ่นหอมบนตัวซ่านอิงก็มาจากสิ่งนี้ เพียงแค่เพิ่มสมุนไพรกับเครื่องหอมบางอย่างก็เป็นยากันยุงชั้นเยี่ยม เดิมอวิ๋นเยี่ยนึกใช้เงินสองร้อยก้วนซื้อสูตรจากซ่านอิง ใครจะรู้ว่าหมอนี้ฉลาดขึ้นแล้ว หลังจากถามจนรู้ว่าจะเอาไปทำอะไรแล้วเขาก็เอาศีรษะตัวเองโขกกับประตูบ้านดังปังๆ อวิ๋นเยี่ยกับเฉิงฉู่มั่วดูอยู่ข้างๆจนนึกหวาดเสียว ประตูห้องพักแขกของตระกูลอวิ๋นพังแน่แล้ว
เวลานี้นอกจากพวกเด็กสตรีเหล่านั้นต้องผลิตไม้ขีดไฟแล้วยังต้องผลิตยากันยุงอีก เพื่อซื้อวัตถุดิบซ่านอิงอดไม่ได้ต้องติดหนี้อวิ๋นเยี่ยเพิ่มขึ้นอีกห้าร้อยก้วน ครั้งนี้ที่ตามเขากลับฉางอันก็ไปในฐานะหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยเพื่อชำระหนี้ ฉีเฉิงกับชื่อหม่าที่เคยทำงานลั่วหยางได้อย่างดี โดยเฉพาะฉีเฉิงพอแต่งเครื่องแบบแล้วใครจะดูออกว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนยังถือค้อนปลอมเป็นเสี่ยงหม่าอยู่เลย
เมืองลั่วหยางเงียบสงบดังก่อน เรื่องยอดฝีมือเข้าเมืองฆ่าคนกลายเป็นเรื่องเล่าที่คลุมเครือ ถ้าผ่านไปอีกไม่กี่วันไม่แน่ว่าแม้แต่เรื่องเล่าก็ยังหายไปกลายเป็นหลงซันคนนี้ไม่เคยมีอยู่จริงมาแต่ไหนแต่ไร การต้องก่อเรื่องใหญ่โตเพื่อกลุ่มคนชั่วร้ายนั้นได้ไม่คุ้มเสียอยู่แล้ว หลังจากผู้ว่าหลิวเปลี่ยนบ้านหลงซันเป็นฝูโซ่วถังที่เป็นสถานรับเลี้ยงสตรีเด็กกำพร้าแล้ว ชื่อเสียงบารมีของผู้ว่าสูงขึ้นมาอีกหลายขุมทันที ชาวเมืองลั่วหยางได้ร่วมใจกันทำหนังสือฎีกาถึงราชสำนักขอให้ปูนบำเหน็จขุนนางชั้นเยี่ยมเช่นผู้ว่าหลิวคนนี้ ทั้งเว่ยโซ่วและตู้ถิงยิ่งปิติยินดีวางท่าราวกับเป็นขุนนางที่ประกอบคุณงามความดีเกื้อหนุนผู้ว่า ทำให้ดูแล้วน่าตบยิ่งนัก
โหวจวิงจี๋แกล้งทำเป็นหูหนวกตาบอด เขาเชื่อมั่นว่าสามพี่น้องนี้เป็นคนก่อเรื่องแต่ไม่สามารถหาหลักฐานได้ จึงเพียงแค่หลับหูหลับตายอมรับคุณงามความดีของผู้ว่าหลิว กัดฟันร่วมลงนามในหนังสือฎีกาถึงราชสำนักด้วย
ยังไม่ได้เห็นหน้าตาโหวเหลียนเอ๋อร์ ได้แต่กลิ่นน้ำหอมที่รุนแรงหลังฉากกั้นจนไม่รู้ว่านางใช้น้ำหอมอาบน้ำหรือไม่ อวิ๋นเยี่ยห่วงแทนหลี่เฉิงเฉียนมาก น้ำหอมตระกูลอวิ๋นขายแพงมาก ไม่รู้ว่ารัชทายาทจะสู้ราคาไหวแค่ไหน
โหวฮูหยินเชิญหมออีกหลายคนด้วยความยินดีเพื่อให้มั่นใจว่าซินเย่ว์กับหนิงซื่อมีครรภ์จริงๆ แล้วหลบอยู่ในบ้านกับสองสาวคุยโขมงโฉงเฉงทั้งวัน พอซินเย่ว์กลับมาก็กำหนดกฎเกณฑ์ให้อวิ๋นเยี่ยปฏิบัติสารพัดเช่นหลังดื่มสุราห้ามเข้าห้องนอน เวลานอนกลางคืนแตะตัวได้เฉพาะท่อนบน ท่อนล่างห้ามเด็ดขาด นี่เป็นกฎเหล็กหากละเมิดจะถูกไล่ออกจากห้องนอนไม่มีผ่อนผัน ทำจนกลางคืนอวิ๋นเยี่ยแค่พลิกตัวก็โดนซินเย่ว์ใช้เท้ายันไปอีกด้าน เตียงเดียวโดนแบ่งเขตแดนคนละฝั่งอย่างชัดเจน
โหวเจี๋ยเป็นเด็กดี แทบจะขนของเกลี้ยงบ้านโหว ถึงแม้อวิ๋นเยี่ยบอกเขาว่าของเหล่าไม่มีชิ้นไหนที่เอาเข้าสถานศึกษาได้เลยแต่เขาไม่ยอมเชื่อ คิดว่ามีที่พึ่งระดับอวิ๋นเยี่ยของแค่นี้ไม่น่ามีปัญหาอะไร เขายังไม่รู้ว่าหลิวเซี่ยนเป็นจอมมารร้ายขนาดไหน
บ้านซ่งที่ถูกซินเย่ว์เด็ดดอกไม้จนเกลี้ยงครั้งนี้ได้เรื่องมงคลใหญ่ อวิ๋นเยี่ยแจ้งเรื่องผลงานการปลูกดอกโบตั๋นให้ฮองเฮาซึ่งชื่นชอบดอกไม้ใหญ่ ฮองเฮาชอบดอกไม้ที่ไม่มีกลิ่นว่าดอกไม้ที่มีกลิ่นนำพวกแมลงภู่พวกผึ้งเข้ามาทำให้ในวังขาดความหนักแน่น ดอกโบตั๋นที่ไม่มีกลิ่นหอมทั้งยังบานได้ในฤดูหนาวจะต้องเป็นที่สนใจของนาง นี่เป็นเกียรติยศสูงยิ่งของตระกูลซ่ง ตระกูลซ่งที่ร้องไห้มาเกือบสิบวันหยุดร้องไห้ทันที เหล่าไท่เหยียตระกูลซ่ง ตาเฒ่าที่รักดอกไม้ดังชีวิตจิตใจใช้จอบขุดต้นเสาเย่าหกต้นด้วยตัวเอง ให้บุตรชายตามอวิ๋นเยี่ยเข้าวังถวายให้ฮองเฮา
เรือเลี้ยวเข้าคลองกว่างทงฉวีที่ถงกวน พื้นที่ราบในกวนจงทำให้ทัศนวิสัยเปิดกว้างขึ้นมาทันที อวิ๋นเยี่ยในฐานะเจ้าบ้าน การแยกไปในเวลานี้ย่อมไม่เหมาะสม ข้าวสาลีในทุ่งได้ถูกเก็บเกี่ยวแล้วเหลือเพียงตอข้าวสาลีสูงเชียะกว่า ชาวนายุคราชวงศ์ถังยังคงมีนิสัยแบบปีก่อนๆคือเก็บเพียงรวงข้าวไม่เก็บตอข้าว รอจนตอแห้งแล้วก็จุดไฟเผาเป็นเถ้าถ่านคืนสู่พื้นดิน
หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นที่เจ้าบ้านไม่อยู่ไม่รู้ว่าผลเก็บเกี่ยวเป็นอย่างไร ภาพที่ชาวหมู่บ้านขนข้าวสาลีไปเก็บในยุ้งฉางตระกูลอวิ๋นนั้น อวิ๋นเยี่ยเห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่เคยเบื่อ ถึงแม้ไม่มีราคาค่างวดอะไรแต่ไม่มีใครกล้ามองข้าม เงินทองเครื่องเพชรพลอยหิวกินไม่ได้ กระหายน้ำดื่มไม่ได้ คงต้องมีอาหารเต็มยุ้งเท่านั้นที่ทำให้ผู้คนวางใจ นี่เป็นโอสถขนานเอกทางใจที่ขาดเสียไม่ได้เลย
ห่างฉางอันห้าสิบลี้ เห็นเหล่าจวงนำทหารคุ้มกันสองคนควบม้าวิ่งบนฝั่งอย่างเร็ว ใช้มือป้องปากตะโกนไปที่เรือ ฟังอยู่พักใหญ่จึงฟังรู้เรื่องว่า ท่านย่าอยู่ที่ท่าเรือหน้ารอการมาถึงของอวิ๋นเยี่ย
แน่ใจได้เลยว่านางไม่มีทางมาต้อนรับอวิ๋นเยี่ย หลายวันนี้ท่านย่ายิ่งวันยิ่งดูอวิ๋นเยี่ยขัดหูขัดตา ยกเหลนคนโตของตัวเองให้ผู้หญิงที่ไม่มีตำแหน่งถูกต้อง เพียงข้อนี้ก็เพียงพอแล้ว เวลานี้ได้ยินข่าวดีจากบ่าวไพร่ที่ควบม้าเร็วกลับบ้านมาส่งข่าวย่อมนั่งอยู่ในบ้านไม่ติด ทั้งยังเหล่าหนิวฮูหยินกับเหล่าหนิวที่กลับมาตั้งแต่เมื่อไรยังไม่รู้เลย
เนื่องจากเรือแล่นมาตามลม สามสิบลี้พริบตาเดียวก็มาถึงแล้ว ซินเย่ว์อุ้มท้องยืนบนเรืออย่างอิ่มอกอิ่มใจ ผู้หญิงต้องอาศัยท้องทำให้ได้หน้าได้ตา นี่เป็นสัจธรรมที่ต้าถังไม่เคยเปลี่ยนมานับพันปี สือสือพยุงซินเย่ว์ เสี่ยวชิวกางร่ม มองดูคนแน่นท่าเรือจนดำมืด ซินเย่ว์พยายามยืดคอที่ขาวผ่องมองดูว่าคนที่มาต้อนรับนางมีฐานะเพียงพอหรือไม่
พอขึ้นบกได้ท่านย่าแม้แต่มองก็ยังไม่มองหลานชายที่ปกติยกให้ปานของวิเศษ ไม้เท้าไม่ต้องใช้ก็ลากซินเย่ว์ดูซ้ายดูขวา พูดไม่หยุดเลยว่าดูดีงามมากสมบูรณ์แบบขึ้นท้องก็เริ่มขึ้นมาแล้ว
ท้องไม่ทันสองเดือนขึ้นมาได้คงแปลก เหล่าซุนถูกท่านย่าเรียกเข้ามาอย่างไม่ได้เต็มใจนัก จับข้อมือแมะชีพจรดูแล้วก็บอกท่านย่าว่า “ถูกต้อง มีครรภ์ใกล้สองเดือนแล้ว” พูดจบก็ยืนอยู่ข้างเหล่าหนิวที่กำลังงุ่นง่านรอเรือลำที่สองเพื่อจับชีพจรภรรยาเสี่ยวหนิวให้ตระกูลหนิวได้มั่นใจเต็มที่
การทำความเคารพของอวิ๋นเยี่ยนั้นเหล่าหนิวไม่ได้แยแสเลย ตระกูลเหล่าหนิวเวลานี้ก็มีแค่ทายาทเดี่ยว เหล่าหนิวฮูหยินเครียดจนจับแขนเหล่าหนิวไม่ยอมปล่อย เห็นคนเรือเทียบท่าแรงไปหน่อยก็จ้องจนคิ้วตั้งขึ้นมา คงเห็นคนมากเลยไม่กล้าออกอารมณ์พยายามกดฟืนไฟให้ลดลง แต่ในใจคงฟันคนเรือไม่ต่ำกว่าพันครั้งไปแล้ว
พอเสี่ยวหนิวฮูหยินลงจากเรือ คู่เหล่าหนิวก็พุ่งเข้าไป ซุนซือเหมี่ยวจับชีพจรแล้วให้คำตอบยืนยันแน่ชัดจึงทำให้หนิวฮูหยินวางใจ ชื่นชมความศักดิ์สิทธิ์ของวัดเส้าหลินไม่หยุดหย่อน
บ้านเหล่าเฉิงมีผู้ดูแลบ้านมาคนเดียว ฐานะของจิ่วอียังไม่ต้องให้สามีภรรยาเหล่าเฉิงมาเอง เฉิงฉู่มั่วไม่สู้ยินดีนัก จิ่วอีก็ทำท่าราวกับจะร้องไห้ เห็นบ้านคนอื่นครื้นเครงกัน ตัวเองเงียบกริบแล้วทั้งคู่ต่างมีรู้สึกรับไม่ค่อยได้
เหล่าหนิวหัวเราะเลิกแล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้เจออวิ๋นเยี่ยนานแล้ว ยิ้มให้อวิ๋นเยี่ยแล้วพยักหน้าว่า “ไม่ได้เจอกันปีหนึ่ง ถือว่าโตแล้วกำลังจะเป็นพ่อคนแล้ว ใช้ชีวิตให้ดีๆย่อมดีกว่าทุกอย่าง เรื่องดีชั่วในราชสำนักยุ่งเกี่ยวน้อยลงจะดีกว่า ให้กลับหมู่บ้านไปเลย เมืองฉางอันไม่ต้องไปหรอก”
คำพูดนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเครียด เวลานี้เขาอ่อนไหวมาก ฟังคำพูดเหล่าหนิวออกได้ว่าราชสำนักไม่ได้นิ่งสงบเหมือนอย่างที่เห็น คลื่นใต้น้ำคงรุนแรงพอสมควร
เรื่องหลิ่งหนานถึงอย่างไรก็คงมีผลข้างเคียง การเคลื่อนไหวใหญ่ของฝ่ายทหารคงทำให้ขุนนางฝ่ายบุ๋นไม่สบายใจ ไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเลย ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเคลื่อนไหวในราชสำนัก ต้องการดึงอำนาจที่เสียไปจากพื้นที่อื่นให้กลับคืนมา เป็นไปได้ว่าทุ่งหญ้าจะเป็นเป้าหมายแรก อวิ๋นเยี่ยราวกับถูกพัวพันไปด้วย
“ท่านลุงหนิวกลับมาแล้ว ไม่รู้ว่ามีอะไรเปลี่ยนในทุ่งหญ้าหรือไม่” อวิ๋นเยี่ยถามเหล่าหนิว
“หลี่จีเวลานี้ควบคุมทหารหกหมื่นคนในทุ่งหญ้าคนเดียวทำให้ออกจะเกินกำลัง ดังนั้นราชสำนักตกลงใจส่งขุนนางฝ่ายบุ๋นเข้าประจำที่ทุ่งหญ้าบ้างเพื่อช่วยหลี่จีดูแลราษฎรในทุ่งหญ้า เจ้าต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้ ครั้งนี้พวกเขาอิจฉาตาร้อนจะหาเหตุกัน ภรรยาน้อยของเจ้าทำเรื่องที่ไม่สะอาดนักโดนคนจับได้ เวลานี้พวกเผ่าพันธุ์อื่นในทุ่งหญ้าไปร้องทุกข์กับฮ่องเต้เกี่ยวกับความผิดของนาง ต้องการให้ราชสำนักพิจารณา”
ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...
ตอนที่ 60 เคราะห์ของเสี่ยวอู่
เว่ยเจิงหลังจากเงียบสงบไปครึ่งปีเกิดระเบิดขึ้นแล้ว เมื่อสามวันก่อนอยู่ในราชสำนักมือถืออู้ป่านกล่าวโทษด้วยความโกรธว่าเหล่าศักดินาติดโลภจนเป็นนิสัย เพื่อเงินทองแล้วไม่ได้ใส่ใจศักดิ์ศรีราชสำนักทำชั่วทั่วสารทิศ ปฏิบัติต่อราษฎรราวกับม้าต่าง ผลักไสทหารทำตัวเยี่ยงโจร เมืองฉางอันเหม็นคละคลุ้งด้วยกลิ่นเงินเหรียญ ขุนนางชั่วร้ายขูดรีดล่าคนแดนเถื่อนจนเป็นธรรมเนียม โรงงานคล้ายแดนนรก
สรุปแล้วพูดขนาดว่าราษฎรทั่วแผ่นดินถึงขีดขั้นจะก่อกบฏได้ทุกเมื่อ จะต้องโจมตีพวกพ่อค้านายทุนที่จิตใจดำมืดอย่างรุนแรง ให้ราชสำนักและราษฎรมีทัศนคติที่เห็นคุณค่าของการเกษตรเป็นทุนในยุคทองแบบเดิม หากยังคงปล่อยให้พ่อค้านายทุนทำตามใจชอบจะทำให้จิตใจผู้คนผันแปรจากอดีต มีการปฏิบัติตัวโดยไร้ศีลธรรมจรรยา ความซื่อใสบริสุทธิ์ของสังคมจะจมหาย นี่คือความหวังของเว่ยเจิงที่แม้ยอมทนหิวก็ต้องรักษาจรรยาสูงส่ง
การคลังของหลี่ซื่อหมินเพิ่งจะผ่อนคลาย ปีที่แล้วคลังเพิ่งจะมีรายรับเป็นบวก กระทรวงการคลังไม่สนใจเรื่องศีลธรรมจรรยาเด็ดขาดหวังเพียงให้มีทรัพย์สินเงินทองเต็มคลัง หากราชสำนักต้องการใช้เงินแล้วตัวเองสามารถควักออกมาให้ใช้ได้ จึงเป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลัง
เหล่าศักดินาก็เพิ่งได้รับผลประโยชน์มหาศาลจากการค้าในสองปีนี้ ไม่มีคนไหนต้องการกลับไปยุคมืดที่ยากจนข้นแค้น จากประหยัดไปฟุ่มเฟีอยนั้นง่ายแต่จากฟุ่มเฟือยไปประหยัดนั้นยาก นี่เป็นสัจธรรม คำพูดของเว่ยเจิงทำให้เหล่าศักดินาโกรธแค้นจนเกิดสงครามทั้งทางปากและพู่กันไม่หยุดหย่อน
เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นครั้งนี้สามัคคีกันอย่างยิ่ง แม้แต่เสนาบดีกระทรวงการคลังจ่างซุนอู๋จี้ครั้งนี้ก็ปิดปากสนิท การที่เป็นชั้นศักดินาฝ่ายบู๊มารับตำแหน่งฝ่ายบุ๋น สู้อยู่เฉยๆนั่งบนภูดูเสือกัดกันดีกว่า
หลี่เฉิงเฉียนแอบห่วงอวิ๋นเยี่ย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเป็นแกนกลางของปัญหา หลายปีนี้ตระกูลอวิ๋นพุ่งขึ้นมาไวมากจนเกินไป เกินครึ่งของแฟชั่นหาทรัพย์สมบัติใหม่ทั้งหมดเกิดจากอวิ๋นเยี่ยทำให้เกิดขึ้น นึกถึงที่ตัวเองกำลังจะปฏิรูประบบเงินเหรียญแล้วหลี่เฉิงเฉียนก็หนาวไปทั้งตัว
หลี่ซื่อหมินไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่าศักดินาทำธุรกิจ ที่เขาใส่ใจคือขวัญของราษฎร หากราษฎรไม่พอใจสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ ตัวเองที่เป็นฮ่องเต้ก็นั่งบัลลังก์อยู่ยาก นโยบายหลอกราษฎรไม่ใช่วิธีที่ดีแต่ก็มักใช้ได้ผล
การตรวจสอบทั่วแผ่นดินเป็นการตัดสินใจของหลี่ซื่อหมิน เริ่มจากภายในก่อนโดยฮองเฮาเริ่มนำเป็นตัวอย่าง หลี่เฉิงเฉียนรู้ว่าครั้งนี้ตระกูลอวิ๋นจะต้องเสียหายยับเยิน ไม่มีใครกล้าเป็นปฏิปักษ์กับราชวงศ์แม้แต่เว่ยเจิงก็ไม่กล้า แต่ตระกูลอวิ๋นจะแตกต่างกัน ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไปเอามาเป็นแพะได้ดีที่สุด แม้แต่พวกที่ได้รับผลประโยชน์คือเหล่าศักดินาทั้งหลายก็คงคิดเช่นเดียวกัน การปล่อยให้เพื่อนตายไปไม่ว่าแต่ตัวเองรอดจะเหมาะสมที่สุด
คลื่นใต้น้ำในราชสำนักรุนแรงมากแต่ตระกูลอวิ๋นยังคงสุขสำราญ ซินเย่ว์ถูกท่านย่าเอาไปเขาอวี้ซัน ย่าหลานอาศัยอยู่ในหอหลังเล็กไม่สนใจภายนอกตั้งใจรักษาครรภ์อย่างเดียว เรื่องในบ้านทั้งหมดปล่อยให้อวิ๋นเยี่ยจัดการ ในช่วงเวลาคลื่นลมรุนแรงเช่นนี้นางกับซินเย่ว์ไม่สามารถรับมือได้
เสี่ยวยาตีสู้สือสือไม่ได้ทำให้นางแค้นเคืองมากอีกทั้งฮันฮันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสือสือ หลังจากฮันฮันโดนสือสือลากใบหูขี่หลังวิ่งไปสามรอบแล้ว พอฮันฮันเห็นนางก็วิ่งหนีไม่กล้าอยู่ใกล้ตัวนางอีก เสี่ยวยาไม่ยอมที่พี่ชายตัวเองโดนยึดครอง จึงร่วมมือกับเสี่ยวซีเสี่ยวเป่ยสั่งสอนสือสือพร้อมกัน ผลที่ได้ก็ยังคงเลวร้าย เสี่ยวซีเสี่ยวเป่ยที่ฝึกวิทยายุทธมาตลอดเวลาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเด็กน้อยวัดเส้าหลิน โดนตีจนกระเจิง เสี่ยวตงเสี่ยวหนานอายุสิบเอ็ดรู้สึกตัวว่าเป็นสาวแล้วไม่ไปวุ่นวายกับเสี่ยวยา สถานการณ์จึงบีบบังคับให้เสี่ยวยาต้องหาผู้ช่วยจากภายนอก
คุณหนูลูกสาวคนรองบ้านอู่ชอบพอกับเสี่ยวยามานาน เพียงแต่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กบนเขาไม่ใคร่ได้ออกมา เสี่ยวยารู้จักกับเด็กสาวคนนี้ในตลาดเพราะตัวเองเลินเล่อคิดเงินผิดจนเกือบทำให้ยายแก่ขายผักต้องขาดทุน โชคดีที่มีสาวน้อยตระกูลอู่มาช่วยแก้ที่ผิดให้ทำให้เสี่ยวยาไม่ต้องขายหน้า เด็กสาวคนนี้ฉลาดมากทั้งเป็นคนใจคอกว้างขวาง เสี่ยวยาที่กว้างขวางพอกันก็รีบจัดให้เป็นคู่หูทันที ทั้งถ่ายทอดวิชาความรู้ที่พี่ชายมอบให้ตัวเองแก่นางทั้งหมด แม้แต่หนังสือใหม่ๆในห้องหนังสือของพี่ชายก็ยังเอาให้เสี่ยวอู่เพื่อเปิดหูเปิดตา
นั่งรถม้าคันเล็กรีบร้อนมาบ้านอู่ ยืนอยู่ข้างล่างตะโกน “เสี่ยวอู่ เสี่ยวอู่ออกมาเร็ว” ในอวี้ซันไม่มีใครไม่รู้จักเสี่ยวยาทั้งไม่มีใครไม่ชอบเสี่ยวยา ผู้ใหญ่ในบ้านอู่เห็นเสี่ยวยายืนเรียกคุณหนูเล็กก็ไม่สนใจคงปล่อยให้พวกคุณหนูสนุกสนานตามสบาย
คุณหนูเล็กที่นุ่งกระโปรงสีชมพูลงมาอย่างเร็วแล้วขึ้นรถม้าเสี่ยวยาอย่างคล่องแคล่ว กำลังจะจับบังเ**ยนบังคับม้า ความจริงรถม้าของเสี่ยวยาไม่ใช่รถม้าควรเรียกว่ารถลา ลาแก่สีเทาที่อ่อนโยนถูกเลือกมาเป็นม้าของเสี่ยวยา เสี่ยวยาชอบหูยาวของลาแก่ คุยแหลกว่าม้าตัวเองเหมือนกระต่ายมากที่สุด เสี่ยวอู่อธิบายให้ฟังนางหลายรอบแล้วว่าเป็นลาไม่ใช่ม้าแต่เสี่ยวยาไม่สนใจ นางเชื่อว่าลาของนางเป็นม้ามันก็จะต้องเป็นม้า เป็นม้าที่มีหูยาว เสี่ยวอู่เห็นเถียงสู้ไม่ไหวก็เลยต้องแกล้งทำเป็นตัวเองนั่งรถม้า ความดื้อด้านของเสี่ยวยาไม่มีใครสู้ได้
ม้าของตัวเองไม่อนุญาตให้ใครแตะต่อให้เป็นเพื่อนซี้แค่ไหนก็ไม่ได้ รีบแย่งบังเ**ยนม้ามาแล้วสะบัดทีเดียวลาแก่ก็เลี้ยวอย่างเชื่องๆไปบ้านอวิ๋น เสี่ยวยาแข็งขืนใช้กำลังอย่างมากกับม้าตัวเองเป็นครั้งแรก ใครจะรู้ว่าม้าตัวนี้ยังคงย่างเท้าตามจังหวะปกติของตัวเองไปยังบ้าน ไม่ว่าจะร้องเร่งอย่างไรก็ไม่เป็นผล
ถือโอกาสตอนม้าเดินกลับบ้าน เสี่ยวยาเล่าต้นสายปลายเหตุให้เสี่ยวอู่ฟังโดยใช้คำพูดที่ระบายสีใส่ไข่ถึงความโหดร้ายทารุณของสือสือ ส่วนฮันฮันก็โดนบรรยายเป็นหนูน้อยแสนดีแสนน่ารักที่ถูกทารุณกรรม เสี่ยวอู่กำหมัดแน่นโกรธแค้นจนบังคับตัวเองไม่อยู่ ในใจนางนั้นฮันฮันสมควรถูกส่งไปเข้าโรงเชือดแล้วกลายเป็นของอร่อยบนโต๊ะอาหาร การโดนทารุณกรรมจากสือสือนั้นสมควรแล้วเพราะสิ่งไร้ค่าที่กินข้าวเป็นอย่างเดียวโดยไร้ผลผลิต หากแม้แต่สร้างความบันเทิงให้เจ้านายยังไม่ได้ก็สมควรต้องโดนทารุณกรรม
จริงๆแล้วความโกรธแค้นของนางมาจากอวิ๋นเยี่ย คุณหนูเล็กที่ทั้งฉลาดเฉลียวทั้งสวยงามอย่างตัวเองก็ยังไม่เข้าตาเขา ต้องไปคว้าตัวเด็กชาวป่าจากบ้านป่าแดนเถื่อนมาเป็นลูกศิษย์นี้เป็นเรื่องสุดแสนจะทนทานจริงๆ
อวิ๋นเยี่ยที่นางเห็นเป็นคนที่จิตใจงามที่สุดความรู้กว้างขวางมากที่สุด เขาเพียงแค่เอาอ่างน้ำสาดออกไปก็มีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ เขาสามารถทำให้น้ำในคลองไหลผ่านลำไผ่ที่โค้งงอข้ามสันเขื่อนไหลเข้าที่นาด้วยตัวมันเอง กระทั่งสามารถสร้างนกไม้ที่บินร่อนในอากาศโดยไม่หยุดได้ แต่ก่อนนี้เคยเข้าใจว่าการแสวงการอาจารย์ฝึกวิชาเป็นเรื่องที่ผู้ชายจึงจะทำได้ ไม่นึกว่าผู้หญิงก็มีอาจารย์ได้ ทำไมตัวเองจึงไม่ใช่เสี่ยวอู่ อยากเห็นนักว่าเด็กชาวป่าคนนั้นเก่งกาจอย่างไรจึงได้อาจารย์ระดับอวิ๋นเยี่ยรับเข้าเป็นศิษย์
ตระกูลอวิ๋นครื้นเครงตลอดเวลา ทุกคนดูเหมือนล้วนมีรอยยิ้มบนใบหน้า ไม่เหมือนในบ้านตัวเองแต่ละคนต่างคอยระวังตัว ร่างกายบิดาไม่สู้ดีมารดามีนิสัยอ่อนแอ พี่ชายสองคนถึงแม้อยู่ในสถานศึกษาแต่มักกลับมาทำให้มารดาอับอายอยู่เสมอ มารดายังไม่กล้าบอกให้บิดาที่เจ็บป่วยรับรู้
ที่ศาลาในสวนหลังบ้านสือสือกำลังถือพู่กันอย่างเคอะเขินค่อยๆเขียนตัวหนังสือตัวโตๆทีละขีดทีละเส้น มือที่เคยกำแต่จอบเสียมจับพู่กันแล้วช่างรู้สึกแปลกแยกมาก เหงื่อบนหน้าผากหยดติ๋งๆลงมาจนต้องใช้แขนเสื้อปาดเหงื่อออก โชคยังดีที่ไม่ได้หยดลงกระดาษ ยังเหลือหนังสืออีกตัวการเรียนวันนี้ก็เสร็จสิ้น สือสือดีใจมาก
ยืนดูข้างๆอยู่นาน เสี่ยวอู่ทำปากเบะอย่างไม่รู้ตัว นอกจากเขียนให้เต็มแบบเหมียวหงชนิดโย้ไปเย้มาจนเละเทะแล้ว กระดาษทั้งแผ่นยังโดนขยำจนยับยู่ยี่ บนนั้นยังมีรอยหมึกหยดอีกเยอะแยะ นี่หรือคือลูกศิษย์ชั้นดีที่อวิ๋นเยี่ยเลือกมา
กระชากแผ่นเหมียวหงของสือสือมาขยำๆแล้วโยนลงพื้นทั้งกระทืบแถมอีกหลายทีแล้วพูดหัวเราะเยาะว่า “นี่เรียกว่าเขียนหนังสือหรือ ดีกว่าสุนัขคลานหน่อยเดียวเท่านั้น”
สือสือเงยหน้ามองเสี่ยวอู่แล้วถาม “เช่นนั้นเจ้าว่าต้องเขียนอย่างไรหรือ”
เสี่ยวอู่หยิบพู่กันเพียงครู่เดียวกระดาษแผ่นใหม่ก็มีตัวหนังสือเขียนจนเต็มแผ่น ตัวหนังสือสวยงามทุกตัวดูรู้เลยว่าผ่านการฝึกฝนมามาก สือสือพยักหน้าว่า “เขียนได้สวยมากเจ้าเขียนได้ดีกว่าข้ามาก อาจารย์ว่าขอเพียงให้ข้าพยายามฝึกฝนก็เขียนให้สวยงามได้ ดังนั้นที่ตัวหนังสือเจ้าสวยก็ไม่แปลก ข้าย่อมมีวันที่ตามเจ้าได้ทัน เพียงแต่เจ้าขยำตัวหนังสือข้าจนพังทั้งยังใช้เท้ากระทืบ การทำเช่นนี้มันเกินไป เป็นตามที่อาจารย์ว่าคือสมควรอัด ดังนั้นเจ้าต้องโดนอัด”
เสี่ยวอู่หัวเราะร่าหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง นางไม่เข้าใจจริงๆว่าจะมีเด็กผู้หญิงที่ไหนลงไม้ลงมือ เป็นเรื่องที่มีแต่หญิงชั้นต่ำจึงจะทำ รอนางหัวเราะจนพอแล้วยืดตัวยืนขึ้น จมูกก็โดนโจมตีด้วยหมัดอย่างแรง
ทรงตัวไม่อยู่ทรุดลงกองกับพื้น สือสือขี่บนตัวเสี่ยวอู่ใช้หมัดชกที่สะโพกเสี่ยวอู่ อัดหนึ่งครั้งนับหนึ่งทีอัดรวมทั้งหมดสี่สิบเก้าครั้งจึงหยุดมือ
“เจ้าทำลายตัวหนังสือข้าสี่สิบเก้าตัว ข้าอัดเจ้าสี่สิบเก้าหมัดถือว่าหายกันแล้ว” พูดจบไม่ได้แยแสเสี่ยวอู่ที่มือหนึ่งกุมจมูกอีกมือหนึ่งกุมสะโพก กลับไปนั่งที่ศาลาหยิบกระดาษแผ่นใหม่เริ่มเขียนหนังสืออีกห้าสิบตัว อาจารย์บอกว่าต้องเขียนวันละห้าสิบตัวขาดไม่ได้เลย
ก่อนนั้นโดนเสี่ยวยารังแก สือสืออดทนเงียบๆจนวันหนึ่งอาจารย์บอกว่า “สือสือ ความคับแค้นที่เจ้าโดนมาหลายวันนี้อาจารย์เห็นทั้งหมด แล้วทำไมไม่ยุ่งด้วยเล่า ข้าเพียงแค่อยากดูว่าเจ้าจะจัดการสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร เจ้าเลือกที่รับความคับแค้นเอง นี่เป็นคุณธรรมที่ดีของผู้หญิงแต่ไม่ใช่กฎระเบียบของสำนักเรา จำไว้ว่าหากใครรังแกเจ้าก็โจมตีคืนไม่ว่าเป็นใคร เจ้ามีวิทยายุทธชั้นเยี่ยมหากไม่ใช้ก็น่าเสียดาย พวกเขารังแกเจ้าหนึ่งครั้งเจ้าก็อัดนางหนึ่งครั้ง รังแกเจ้าสองครั้งเจ้าก็อัดนางสองครั้ง ข้าไม่คิดว่าจะมีใครรังแกเจ้าครั้งที่สาม โลกเราก็เป็นเช่นนี้ หากเจ้าอดทนถอยอย่างเดียวมีแต่จะทำให้พวกเขาเหิมเกริมมากขึ้น อัดสองครั้งก็พอแล้ว”
หลังจากครั้งนั้นแล้ว พอเสี่ยวยามารังแกอีกก็จะโดนสือสือขี่บนตัวอัดสะโพก หลังจากอัดไปสองครั้งก็สบายไปเลย สือสือจึงเชื่อว่าคำพูดอาจารย์ถูกต้องทั้งหมด
จมูกสือสือมีเลือดออกทั้งสะโพกเจ็บปวดอย่างยิ่ง นางไม่เคยโดนทารุณกรรมเช่นนี้มาก่อน เนื่องจากสวยงามน่ารักดังนั้นจึงมีแต่คนรุมกันโอ๋นางจนไม่มีเรื่องไหนที่คิดทำแล้วไม่สำเร็จ การสั่งสอนในวันนี้ทำให้นางเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าหากไม่รู้จักศัตรูอย่างแท้จริงแล้วรีบลงมือก่อนนั้นเป็นเรื่องโง่เง่าอย่างที่สุด
เด็กหญิงที่สวยงามเลือดออกจมูกน้ำตาไหลพราก ไม่ใช่ร้องไห้เสียใจหรือเพราะเจ็บปวด แต่จมูกโดนต่อยจนน้ำมูกน้ำตาไหลลงมาเอง
เสี่ยวยาพยุงเสี่ยวอู่ลิ้นแลบแอบย่องออกไปเพราะนางเกรงว่าสือสือจะจัดการนางเช่นนี้ด้วย จมูกเลือดออกนั้นเจ็บปวดมาก ป้าพี่เลี้ยงยัดก้อนผ้าลินินในรูจมูกทั้งสองข้างให้เสี่ยวอู่จึงห้ามเลือดได้ ทั้งเอาผ้าเช็ดใบหน้าเล็กๆให้นางจึงดูดีขึ้นเล็กน้อย
เสี่ยวอู่ส่องกระจกเห็นจมูกแดงเรื่อของตัวเองทั้งยังมีผ้าลินินที่แลบออกมาจากรูจมูกทั้งสองข้างแล้วนัยน์ตาลืมจนกลมโต ตัวประหลาดนี้เป็นตัวเองจริงหรือ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น