เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 6 ตอนที่ 54-55
ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...
ตอนที่ 54 ฝนหมอกที่ปั่นป่วน
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้เข้าไปด้วยแต่ผันกายไปนั่งอยู่บนขั้นบันไดจ้องดูพระชรากวาดพื้นอย่างไม่กระพริบตา คนอายุร้อยปีไม่ได้มีมากในโลกนี้ เมื่อเทียบกับคนเป็นๆที่อายุยืนยาวแล้วหนังสือวิเศษที่ชื่อคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นไม่ได้มีแรงดึงดูดตัวเองเลยแม้แต่นิด
พระชรายังคงกวาดพื้นอยู่ ไม้กวาดราวกับมีพลังลึกลับที่ทำให้คนสงบลงได้ อวิ๋นเยี่ยเห็นตั๊กแตนตายตัวหนึ่งถูกไม้กวาดกวาดไป ขาตั๊กแตนที่เป็นฟันเลื่อยเกาะเส้นไม้กวาดจนติดแน่นไม่ยอมหลุดออก เดิมเข้าใจว่าพระชราที่เปี่ยมด้วยใจเมตตาคงจะหยุดเพื่อเก็บซากตั๊กแตนออกไป ไม่แน่ว่าอาจจะฝังไว้ในดินเพื่อแสดงออกถึงจิตใจเมตตาของฝ่ายพุทธ ที่ไหนได้พระชรายังคงไม่ได้เปลี่ยนวิธีการกวาดพื้นของตัวเอง คงมองดูซากตั๊กแตนถูกพื้นหินชิงสือที่แข็งแกร่งลากถูจนร่างแหลกละเอียด ฝนบนฟ้าเริ่มตกปรอยๆลงมา อวิ๋นเยี่ยคิดอย่างดื้อรั้นว่านี่คือน้ำตาที่ฟ้าร่ำไห้เพื่อตั๊กแตนตัวนั้น ฟ้องร้องถึงความไร้น้ำใจของพระชราคนนั้น
ลานไม่ได้กว้างมากกวาดไปนานหนึ่งก้านธูปต้องกวาดหมดอยู่แล้ว เขาวางไม้กวาดลงจนได้ นำกระบวยที่เลื่อยผ่าครึ่งน้ำเต้าตักน้ำจากถังไม้แล้วสาดออกไป เม็ดน้ำที่ใสแจ๋วระยิบระยับกระเด็นตกลงบนแผ่นหินชิงสืออย่างทั่วถึง อ๋อ อวิ๋นเยี่ยนึกอยู่นานจึงรู้ว่าเขากำลังสาดน้ำ เพียงแต่แหงนหน้าดูฟ้ามีเม็ดฝนเล็กๆกำลังตกลงมาอย่างหนาแน่นไม่หยุดหย่อนลงบนแผ่นหินชิงสือเปียกปอนอยู่นานแล้ว เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้เสียสติอวิ๋นเยี่ยจึงยื่นมือออกไปเพื่อรับความรู้สึกเย็นเฉียบของเม็ดฝนที่ตกลงมา
หลังจากที่แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้เสียสติแล้ว อวิ๋นเยี่ยจึงพูดกับพระชราว่า “อาจารย์ ฝนกำลังตกทำไมท่านยังจะสาดน้ำอีกเล่า”
พระชราทำเหมือนไม่ได้ยินยังคงตักน้ำจากถังไม้สาดออกข้างนอก ประหลาดมากอวิ๋นเยี่ยพบว่าเขาไม่เคยสาดน้ำบนพื้นส่วนที่เคยสาดแล้ว ถึงแม้พื้นเปียกไปแล้วทั้งหมดจนแยกแยะไม่ออก เขาก็ราวกับรู้ว่าส่วนไหนที่ยังไม่ได้สาดชนิดที่เป็นไปอย่างไม่ผิดเพี้ยน อวิ๋นเยี่ยแกล้งยืนบนพื้นที่ยังไม่ได้สาด แต่หลังจากที่โดนพระชราสาดจนเต็มศีรษะแล้วก็รู้สึกสะท้อนใจ นี่ช่างเป็นยอดคนที่มองไม่เห็นอะไรอื่นเลยไม่ว่าน้ำฝนหรือแม้แต่คนตัวโตๆเช่นตัวเองต่างไม่มีอยู่จริงในสายตาของเขา คงจะต้องคุยกันดีๆ ไม่แน่ว่าอาจจะได้ประโยชน์
“ทำไมอวิ๋นโหวจึงไม่เข้าไปหลบฝนในหอไตร ทั้งยังโดนพระกวาดพื้นสาดจนเปียกไปทั้งตัว ทำไมจึงไม่หลบไป” เงาร่างของถานอิ้นออกมาจากหอไตร
“อาจารย์ถานอิ้น ข้าเกิดความรู้สึกเคารพนับถือพระกวาดพื้นท่านนี้กะทันหัน อยากขอความรู้จากท่านสักหน่อยจะได้ไหม” พระชราไม่ได้สนใจเขาเลย ได้เพียงหวังว่าฐานะของถานอิ้นผู้ดูแลวัดจะทำให้เขาสมปรารถนา
“ขอความรู้จากพระกวาดพื้น?” ถานอิ้นแสดงความงุนงงเต็มหน้า
“ใช่แล้ว ข้าดูทุกกริยาของพระกวาดพื้นท่านนี้ล้วนซ่อนสิ่งลี้ลับไว้ ข้ามีข้อสงสัยอยู่มากมาย อยากให้อาจารย์ท่านนี้คลายข้อข้องใจให้” อวิ๋นเยี่ยยอมวางบ่าไหล่ตัวเองลงเป็นครั้งแรก ขอความช่วยเหลือจากถานอิ้น
“อวิ๋นโหวพูดตลกแล้ว พระกวาดพื้นป่วยเป็นโรคสมองตั้งแต่สามสิบปีก่อน มีชีวิตอย่างทื่อมะลื่อมาแล้วสามสิบปี นอกจากรู้แค่กวาดพื้นกับสาดน้ำแล้วไม่รับรู้เรื่องอื่นทั้งหมด แม้แต่กินข้าวสวมเสื้อผ้ายังต้องมีพระสงฆ์คอยช่วยเหลือ เจ้าอาวาสว่าพระพุทธเมตตาแล้วแต่ที่เขาเป็นไป ดังนั้น ไม่ว่าเกิดพายุฝนตกหิมะลงก็ต้องปล่อยให้เขากวาดพื้นหน้าหอไตร ไม่นึกว่ากวาดมาแล้วตั้งสามสิบปี ท่านดูแผ่นหินชิงสือยังถูกเขากวาดจนเหลี่ยมมุมหายไปหมด หรือว่าอวิ๋นโหวจะขอความรู้การกวาดพื้นจากเขา?” ถานอิ้นพยายามกลั้นหัวเราะแล้วอธิบายให้อวิ๋นเยี่ยเข้าใจ
ฟังคำพูดถานอิ้นแล้วอวิ๋นเยี่ยนึกอยากหารูที่ไหนมุดเข้าไป คนแก่ที่ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ถึงขนาดถูกตัวเองมองเห็นเป็นยอดคน ช่างน่าขายหน้ามากจริงๆ ถานอิ้นเห็นอวิ๋นเยี่ยอับอายจนไม่มีที่ยืนจึงรีบมุดกลับเข้าไปในหอไตรอย่างไม่กระโตกกระตาก คงปล่อยให้อวิ๋นเยี่ยยืนถอนใจยาวกลางฝน
อับอายเกินที่จะเข้าหอไตร อวิ๋นเยี่ยเตรียมเดินชมวัดเส้าหลินกลางสายฝนคนเดียว ฝนวันนี้ปรอยได้ช่างนุ่มนวลแท้ๆ เดินไพล่มือขึ้นบันไดไป วัดที่ว่างเปล่าไม่เห็นใครเลย มีเพียงเสียงสวดมนตร์เบาๆทะลุผ่านสายฝนเข้าหูอวิ๋นเยี่ย
อาจารย์เต้าซิ่นหลบหน้าไม่ยอมให้พบไม่รู้ด้วยสาเหตุอะไร ไม่ได้พบเขาที่วัดไป๋หม่าซื่อในลั่วหยางบอกว่ากำลังเข้าฌาน เข้าฌานสองวันจบก็บอกว่าอาจารย์ไปไกลถึงวัดเส้าหลิน อาจารย์สงฆ์อาวุโสสูงที่นิยมโดดเดี่ยวเป็นพิเศษกำลังเล่นกลอะไรอยู่นะ?
ข้ามธรณีประตูลานด้านหลังแล้ว อวิ๋นเยี่ยเตรียมไปชมจุดที่ต๋าหมอผินหน้าสู่ผนังเมี่ยนปี้ ผนังถ้ำยุคหลังเห็นรอยเงาดำคล้ำได้จริงๆ เวลานี้สามารถเห็นรอยโบราณสถานที่มีมาตั้งแต่ดั้งเดิมได้ย่อมเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมนัก ส่วนเต้าซิ่นนั้น ไม่ได้เจอก็ช่างเถอะ อวิ๋นเยี่ยเชื่อว่าตัวเองไม่ได้มีความปรารถนาอะไรจากฝ่ายพุทธอยู่แล้ว การหวังให้วัดเส้าหลินไปสร้างวัดที่ทุ่งหญ้ากับหลิ่งหนานนั้นเป็นความคิดวินวินที่ต่างคนต่างได้ด้วยกัน เต้าซิ่นคิดเองว่าอวิ๋นเยี่ยมีความต้องการมากกว่านั้นจึงได้หลบไม่ให้พบ เขาช่างเห็นตัวเราเป็นอะไรมากเกินไป คงเพราะเห็นตัวเรากำทรัพย์สินส่วนนั้นไว้ อวิ๋นเยี่ยเข้าใจแล้วว่าที่แท้เต้าซิ่นหลบไม่ให้พบมีสาเหตุจากเรื่องนี้เอง จริงๆแล้วคนที่คิดจะหาเรื่องเอาเงินจากฝ่ายพุทธนั้นเป็นพวกหลี่เฉินเฉียง ไม่ได้เกี่ยวกับข้าเลย เรื่องนี้แม้แต่จะถามข้าก็ยังไม่ถาม
ไม่ใช่ว่าทุกคนล้วนคิดไม่ซื่อต่อเงินของพวกเขา อย่างน้อยอวิ๋นเยี่ยก็ไม่ได้สนใจเลย ต่อให้มีเงินสองล้านก้วนถูกซ่อนอยู่ในที่ที่ไม่มีใครรู้อย่างมิดชิด หากไม่มีการหมุนเวียนก็ไม่ต่างอะไรกับเศษเหล็กเศษทองแดง
การใช้เครื่องทรมานไม่ว่าเหลาหู่เติ้งหรือน้ำพริกไทยบังคับให้เจ้าบอกที่ซ่อนทรัพย์สมบัติเหล่านั้นหรือเต้าซิ่น นั่นเป็นวิธีการที่โง่เขลาที่สุดในโลก เครื่องอัดแรงดันน้ำของหลี่ไท่ใกล้จะสำเร็จรอมร่ออยู่แล้ว ต้าถังพียงแค่ใช้เครื่องอัดผลิตเหรียญรุ่นใหม่ที่ประณีตสวยงามออกมาทั้งวันทั้งคืนไม่หยุด ยกค่าเงินให้สูงขึ้นก็พอแล้ว ต่อให้เต้าซิ่นเจ้ามีเงินมากเท่าไหนก็ช่าง ก็ได้แค่หลอมละลายเป็นเครื่องทองแดง ผลผลิตทองคำมีจำกัดมาก ได้ถามฝางเสวียนหลิงแล้ว ยังห่างไกลจากที่สามารถนำมาผลิตใช้เป็นเงินเหรียญได้ ที่สามารถหมุนเวียนในท้องตลาดสำคัญที่สุดคือเหรียญทองแดง
ภาพพิมพ์ของเหรียญหนึ่งเหวิน,สองเหวินและห้าเหวินที่หลี่เค่อออกแบบไว้ได้ส่งถึงมือหลี่ซื่อหมินแล้ว ลายเส้นประณีตสวยงามภาพศีรษะของหลี่ซื่อหมินเห็นอย่างชัดเจน ต่างจากเหรียญบรอนซ์เก่าที่กรอบและสึกกร่อนได้ง่าย เหรียญใหม่เพิ่มสัดส่วนทองแดงให้มากขึ้นจนมีแสงขึ้นเงาเหลืองอร่าม แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับเหรียญที่ขึ้นเขียวเหล่านั้น หากการทดลองเสร็จสิ้น หลี่ซื่อหมินไม่มีเหตุผลที่จะไม่เห็นควรให้ทั้งแผ่นดินใช้เงินเหรียญชนิดใหม่นี้ การแลกเปลี่ยนนั้นราชสำนักเพียงแค่รับเหรียญเก่าคืนแล้วแจกจ่ายเหรียญใหม่ก็สามารถทำกำไรได้สองในสิบส่วน ความสูญเสียในขั้นตอนการหลอมที่เคยมีมากนั้นก็หายไปหมดสิ้น
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงก้าวแรก รอให้เครื่องอัดเหรียญเงินปรากฏตัว จนกระทั่งเครื่องอัดเหรียญทองปรากฏตัว ความต้องการเหรียญทองแดงก็จะลดลงไปมากมาย ผลของการลดลงก็คือราคาทองแดงจะตกลงอย่างรุนแรง เต้าซิ่นเอ๋ย นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเจ้า ยังไม่รู้จักรีบคว้าไว้อีกหรือ
ในวัดมีพระทองแดงสูงใหญ่อีกทั้งเครื่องใช้ทองแดงอีกนับไม่ถ้วน นี่คงเป็นความลับที่เก็บซ่อนสมบัติของพวกเจ้าสินะ หน่วยข่าวกรองสืบความลับที่ซ่อนอยู่ภายในรูปปั้นดินได้แล้ว เจ้ายังคิดซุกซ่อนได้อีกนานเท่าไรกัน จดหมายของหลี่กังยังไม่สามารถทำให้เจ้าพบหน้าข้าในทันทีหรือ
เดินอยู่ท่ามกลางสายฝน อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าเรื่องในโลกนี้บางอย่างช่างน่าขันนัก ครั้งนี้ให้หลี่เฉิงเฉียน,หลี่ไท่กับหลี่เค่อสามพี่น้องเปิดศึกด้านเงินทองกับฝ่ายพุทธ ตัวเองเป็นคนสังเกตการณ์อยู่ข้างนอก ไม่มีการสั่งสอน ไม่มีการตักเตือน หลบอยู่ไกลๆ ก็เพื่อจะดูว่าตระกูลหลี่สามารถรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งได้หรือไม่กันแน่ เรื่องสร้างความเจ็บแค้นให้คนทั้งโลกนั้น ปล่อยให้คนตระกูลหลี่ทำกันเองดีกว่า ตระกูลอวิ๋นรับไม่ไหวจริงๆ
ความวุ่นวายของเต้าซิ่นเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย สู้ชื่นชมทิวทัศน์เขาเซ่าซื่อซันท่ามกลางฝนหมอกนี้ให้สบายใจดีกว่า
พอเห็นเม็ดฝนก็นึกถึงพระชราที่เป็นอัลไซเมอร์ เขากำลังทำตามสิ่งที่ร่างกายเคยชิน ส่วนสมองนั้นแม้กระทั่งยุคหลังนี้ก็ยังเข้าใจมันได้น้อยมาก ไม่ต้องพูดถึงเวลานี้ ไม่ใช่ไม่เคยเห็นคนเป็นอัลไซเมอร์ การกระทำของพระชราไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย ในโลกนี้มีความลับมากมายที่อธิบายไม่ได้ด้วยเหตุผลทั่วไป เช่นการมาที่นี่ของตัวเองก็เป็นความลับที่ยิ่งใหญ่
อย่าไปสนใจอะไรให้มากเกินไปเลย ขอให้ไม่เป็นภัยกับตัวเองก็พอแล้ว การไปเที่ยวเปิดโปงคนอื่นเป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรมอย่างยิ่ง
สือสือเดินออกมาจากม่านหมอกหนาทึบ อุ้มลูกสุนัขสีเหลืองไว้ในอ้อมอก ลูกสุนัขอ้วนมากคอยดันหน้านางตลอดเวลาดูท่าทางมีการบำรุงอย่างดีตรงกันข้ามกับสือสือที่ผอมบาง หมอกหนามีความชื้นสูงจัด ผมของนางเปียกแฉะจนแนบอยู่ที่หน้าผาก มุมเสื้อก็มีน้ำหยดลงมาเป็นทาง ไม่รู้ว่านางอยู่กลางสายฝนนานเท่าไรแล้ว
ฝนตกหนักขึ้นทุกที สือสือวิ่งเข้าไปในถ้ำเล็กๆที่อวิ๋นเยี่ยหลบฝนอยู่ พอเห็นอวิ๋นเยี่ยอยู่ข้างในแล้ว หน้าแดงก่ำจะรีบออกไป นางเป็นเด็กสาวที่ขี้อายมาก
“จะวิ่งไปไหนกัน ข้างนอกฝนตกหนักมาก ไม่กลัวจะโดนฝนจนไม่สบายหรือ เป็นเด็กเป็นเล็ก ทำไมต้องมีอะไรมากมายนัก” อวิ๋นเยี่ยแข็งขืนลากสือสือเข้ามาในถ้ำ ลูกสุนัขยังพยายามใช้ฟันน้ำนมกัดข้อมืออวิ๋นเยี่ย เรื่องมากเหมือนเจ้าของเลย
เข้าไปในถ้ำแล้วสือสือกลับหายขี้อาย วางลูกสุนัขลงบนพื้น ตัวเองกอบกิ่งไม้แห้งจากในถ้ำแล้วหาหญ้าแห้ง เอาหินสองก้อนกระแทกกันด้วยความชำนาญจนเกิดประกายไฟวูบวาบ นี่หรือคือเคียวไฟ? อวิ๋นเยี่ยดูสือสือก่อไฟด้วยความสนใจ อาจเพราะว่าความชื้นในอากาศมีสูงมาก นางเคาะอยู่นานก็ยังไม่สามารถทำให้กิ่งไม้แห้งติดไฟได้ คงรู้สึกว่าใช้เวลานานจนเกินไปแล้วจึงแหงนหน้าขึ้นมองอวิ๋นเยี่ย พอเห็นอวิ๋นเยี่ยกำลังจ้องตัวเองอยู่ก็รีบก้มหน้าเคาะเคียวไฟต่ออีก
อวิ๋นเยี่ยควักไม้ขีดไฟออกมาวาดไปทีหนึ่งก็เกิดเปลวไฟสว่างขึ้นมาทันที ท่ามกลางแววตาชื่นชมของสือสือ จุดหญ้าให้ติดก่อน สือสือเอากิ้งไม้แห้งวางบนหญ้าแห้งแล้วค่อยเอากิ่งแห้งที่ใหญ่หน่อยวางซ้อนขึ้นไป ทำได้ถูกต้องมากเป็นวิธีจุดไฟที่ชำนาญมาก
ไฟจุดติดแล้วแต่ควันดำก็มาด้วย เพียงเดี๋ยวเดียวทั้งคู่กับสุนัขอดไม่ได้ต้องวิ่งออกไปสูดอากาศที่นอกถ้ำ สือสือตบศีรษะตัวเอง ส่งลูกสุนัขให้อวิ๋นเยี่ยแล้วตัวเองก็เริ่มปีนหน้าผาขึ้นไป อวิ๋นเยี่ยตะโกนให้นางลงมา ฝนตกหน้าผาลื่นมากเกินไป
ปีนขึ้นไปได้ราวสองจั้ง สือสือก็ลากหญ้าแห้งออกมาฟ่อนใหญ่จากบนผาแล้วจึงปีนลงมา ดูใกล้จะถึงพื้นแล้ว ก้อนหินที่นางเกาะอยู่เกิดหลุดออกมา อวิ๋นเยี่ยกระโดดขึ้นไปจะรับนางไว้ ใครจะรู้ว่าเขาคว้าน้ำเหลว ร่างสือสือบิดกลางอากาศทีเดียวตีลังกากลับหลังแล้วยืนนิ่งอยู่บนพื้น
“เจ้าปีนสูงเช่นนั้นทำไม เกิดตกลงมาจะทำอย่างไร” สือสือหัวเราฮิๆไม่ตอบแต่ใช้นิ้วชี้ผนังหน้าผา อวิ๋นเยี่ยแหงนหน้าดูเห็นควันดำออกมาจากจุดที่สือสือดึงหญ้าออกมาเมื่อครู่นี้ ที่แท้ถ้ำนั้นเป็นจุดที่ควันออกไปได้
กลับเข้าไปในถ้ำใหม่ ในนั้นไม่มีควันดำอีกคงเหลือแต่กลิ่นไหม้ไฟ สือสือยกก้อนหินออกมาสองก้อนถือว่าเป็นเก้าอี้ของทั้งคู่ ภูเขากลางฝนเย็นสบายดีแท้แต่สำหรับสือสือที่เสื้อผ้าเปียกปอนนับว่าหนาวแล้ว
อวิ๋นเยี่ยถอดเสื้อคลุมที่มีความชื้นให้สือสือ นางโบกมือปฏิเสธ “รีบเปลี่ยนเสื้อเปียกออกแล้วใส่ตัวนี้ รอผึ่งแห้งแล้วค่อยเปลี่ยนคืน” อวิ๋นเยี่ยชักมีอารมณ์ จะมาขนบธรรมเนียมอะไรกันนัก เด็กน้อยตัวราบเรียบราวไม้กระดานยังจะกลัวใครดูอีกหรือ
ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...
ตอนที่ 55 โชคสองชั้นถึงบ้าน
ยืนอยู่ที่ปากถ้ำมองดูฝนหมอกที่อึมครึมของเขาเซ่าซื่อซัน ฟังเสียงก๊อกแก๊กที่อยู่ข้างหลังแล้วอวิ๋นเยี่ยนึกขำ เด็กหนอเด็กถึงอย่างไรก็ยังต้องเชื่อฟังคนที่แก่กว่า
“เสร็จแล้ว” เสียงเล็กๆผ่านเข้ามา หันกลับไปดูแล้วอวิ๋นเยี่ยหัวเราะกิ๊กออกมา เสื้อตัวโตมากจนสือสือต้องจับชายเสื้อไว้ไม่ให้ตกลงบนพื้น อวิ๋นเยี่ยเก็บไม้ท่อนหนึ่งแขวนเสื้อของเด็กน้อยปักไว้ข้างกองไฟรอผึ่งให้แห้ง
วัดเส้าหลินกินข้าวเพียงวันละสองมื้อ ซินเย่ว์ห่วงว่าอวิ๋นเยี่ยจะหิวจึงตั้งใจใส่ของกินไว้ในอกเสื้อให้เขา ควักห่อกระดาษน้ำมันออกมาในนั้นมีหูปิ่งอันใหญ่ใส่ไว้อยู่ หูปิ่งมีไส้เป็นเนื้อแพะตากแห้ง หักหูปิ่งออกเป็นสองชิ้นแล้วยื่นให้สือสือชิ้นหนึ่ง
นางลังเลนิดหนึ่งแต่ก็ทนความเย้ายวนของอาหารไม่ได้ เด็กวัยนี้กินเก่งที่สุดตอนอวิ๋นเยี่ยในวัยนางอยากกินทั้งวัน ขนาดแม่ใช้ให้ไปซื้อเกลือยังสามารถเลียนิ้วจุ่มลงไปชิมเกลือ พูดได้ว่าขอให้เป็นของที่กินได้ล้วนลองกินมาจนหมด ไม่ว่าจักจั่น ตั๊กแตน นกกระจอก ปลาเล็กปลาน้อยในแม่น้ำล้วนลองมาหมดแล้ว ไม่เกี่ยวกับความหิวแต่เพียงเพราะอยากลองรสชาติใหม่ๆเท่านั้น
จริงดังนั้นปฏิกิริยาของสือสือไม่ต่างกับตัวเองในวัยเด็กเลย หลังจากควักเนื้อแพะป้อนให้ลูกสุนัขสองสามชิ้นแล้ว นางก็ค่อยๆกินคำเล็กๆ อย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียวหูปิ่งครึ่งชิ้นก็เข้าไปอยู่ในท้อง อวิ๋นเยี่ยโยนกระติกน้ำให้สือสือ ตัวเองค่อยๆกินต่อช้าๆ เนื้อแพะตากแห้งเค็มมากนางต้องคอแห้งแน่ ดูนางพลิกไปพลิกมาไม่รู้วิธีเปิดกระติกน้ำ อวิ๋นเยี่ยวางหูปิ่งตัวเองลงแล้วบิดเปิดกระติกน้ำ เวลานี้ตระกูลอวิ๋นสามารถมีเครื่องทำเกลียวไม้ได้แล้ว แต่ยังทำเกลียวเหล็กไม่ได้เพราะยังหามีดทำเกลียวที่เหมาะสมไม่ได้จึงต้องยกเลิกไป
เอากระติกดื่มน้ำแล้วสือสือแอบดูชายหนุ่มตรงหน้า แม้แต่กินข้าวก็ยังดูสุภาพเรียบร้อย ได้ยินว่าพวกคุณชายที่เรียนหนังสือต่างสุภาพเรียบร้อยเช่นนี้ พวกพระสงฆ์ในวัดนอกจากเจ้าอาวาสแล้วต่างไม่ชอบยิ้ม เขายังมีของที่ถูแล้วมีไฟลุกติดขึ้นมาได้ เคียวไฟตัวเองใช้มานานจนเวลานี้จุดไฟไม่ติดแล้ว
“บิดาเจ้าเล่า ทำไมจึงปล่อยให้เจ้าเด็กสาวคนเดียววิ่งไปทั่วภูเขา” อวิ๋นเยี่ยถามสือสือ ท่าทีของพระสงฆ์ในวัดที่มีต่อนางประหลาดมาก คล้ายเป็นรุ่นอาวุโสทางสายเลือดแต่ก็ราวกับมีอะไรขวางกั้นอยู่ การมีเด็กสาวในวัดของพระสงฆ์ย่อมไม่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว
“ท่านพ่อต้องสวดมนตร์ทั้งยังต้องสอนวิทยายุทธให้พระสงฆ์อื่นอาศัยอยู่ในวัด มีข้าอยู่ที่เชิงเขาคนเดียว” สือสือแหงนหน้าใช้นัยน์ตาที่แวววับมองอวิ๋นเยี่ย
บิดานางเป็นพระสงฆ์? อวิ๋นเยี่ยอดกลั้นอยู่นานที่ไม่ถามคำนี้ออกมาเพราะเกรงว่าจะทำให้เด็กน้อยเสียใจ แต่ไหนแต่ไรมาอวิ๋นเยี่ยยอมรับนับถือเด็กแข็งแกร่งที่สามารถสู้ชีวิตด้วยตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย พวกเขาไม่ต้องรอความสงสารหรือเห็นใจ ต่อให้ถูกตีศีรษะแตกพวกเขาก็ยังสามารถปีนจากร่องน้ำขึ้นมาได้
อวิ๋นเยี่ยอยากรู้นักว่ากระเป๋าในอกเสื้อตัวเองซินเย่ว์ใส่อะไรลงไปบ้าง จึงควักออกมาทีละอย่างเริ่มด้วยไม้ขีดไฟต่อด้วยผ้าเช็ดหน้าตามมาด้วยของหนึ่งห่อ ไม่เลว ยังมีเนื้อวัวแห้งผลไม้แห้งอุดมสมบูรณ์มาก ตั้งแต่ไม่มีเรื่องบุหรี่แล้วอวิ๋นเยี่ยก็ติดของกินจุกจิก เวลาว่างๆหากไม่มีของอะไรขบเคี้ยวมักรู้สึกว่าขาดอะไรไป
แบของกินจุกจิกออกมาแล้วก็ชวนสือสือร่วมลงมือกินกัน ปากเล็กๆเคี้ยวได้รวดเร็วมาก เนื้อวัวแห้งถูกนางอมไว้ในปากราวกับจะชิมจนรสชาติสุดท้ายออกมาให้หมด หรี่ตารับความสุขที่ได้จากอาหารที่เอร็ดอร่อย
ในเวลาน้ำชาตอนบ่ายที่สบายอารมณ์ มีของที่น่ากินมากเท่าไรก็ไม่เพียงพอให้สองคนที่นิยมการกินอาหารอร่อย เสื้อที่อยู่ข้างกองไฟไม่มีควันขาวออกมาอีกแล้ว กำแล้วรู้สึกถึงความอุ่นในมือ ยื่นเสื้อให้สือสือแล้วอวิ๋นเยี่ยออกไปนอกถ้ำ ฝนข้างนอกได้หยุดโดยไม่ทันรู้สึก อากาศนำความหอมกรุ่นของป่าเขามาด้วย เมื่อสูดเข้าไปแล้วรู้สึกสดชื่นไปทั่วทั้งร่าง
สือสือเดินออกมาจากถ้ำ ทั้งคู่สบตากันแล้วยิ้มต่างเข้ากันได้ดีมาก กุมมือน้อยๆของสือสือไว้ในมืออย่างเป็นกันเองแล้วลากนางลงเขา ความจริงก็ชอบวิธีการเช่นนี้มากอยู่แล้ว การพบกันโดยบังเอิญในถ้ำทำให้ทั้งคู่ได้ใกล้ชิดกันอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด
สำหรับสือสือแล้วอวิ๋นเยี่ยรู้สึกได้เลยว่าชอบเด็กคนนี้จากส่วนลึกของหัวใจ ทั้งแข็งแกร่งทั้งเข้าใจเรื่องราว คล้ายดอกไม้ป่าที่ทั้งติดดินทั้งเป็นธรรมชาติ
วัดเส้าหลินอยู่ที่เชิงเขา ค่ำแล้วพระสงฆ์เคาะระฆังทองแดงเสียงดังก้องกังวาน คละด้วยเสียงสั่นเทิ้มสะท้อนอยู่ท่ามกลางป่าเขา ประตูหลังยังเปิดอยู่ ทั้งคู่กำลังจะย่องเข้าวัด แต่ใครจะรู้ว่าเจวี๋ยหย่วนยืนอยู่ในประตูหลัง พอเห็นอวิ๋นเยี่ยกับสือสือจูงมือกันเข้าประตูก็พูดกับสือสือทันทีว่า “ให้ลงเขาทุกวันก่อนเข้าเรียนค่ำ นี่เป็นกฎระเบียบ เจ้าลืมแล้วหรือ ทำไมยังรบกวนแขกอีก ยิ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง”
“อาจารย์เจวี๋ยหย่วน วันนี้ข้าชวนสือสือนำข้าเที่ยวชมเขาเซ่าซื่อซันกลางฝน หากไม่ใช่เพราะนางรู้จักถ้ำเล็กที่หลบฝนได้ ข้าต้องกลายเป็นลูกสุนัขตกน้ำแน่นอน ขอให้อาจารย์เห็นแก่หน้าข้าโปรดให้อภัยนางสักครั้ง ครั้งนี้ผิดที่ข้าเอง สือสือโดนข้าทำให้ต้องผิดกฎระเบียบ”
ได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดเช่นนี้แล้ว ใบหน้าเจวี๋ยหย่วนจึงผุดรอยยิ้มออกมานิดหนึ่ง พูดติดๆกันว่ามิกล้าแล้วพูดกับสือสือว่า “ครั้งนี้เห็นแก่เจ้าที่พาอวิ๋นโหวท่องเที่ยว ยอมปล่อยให้ครั้งหนึ่ง ครั้งหน้าหากทำผิดจะไม่ให้อภัยอีก ไปเถอะ จัดการให้เรียบร้อยแล้วลงเขาไป”
“ได้ ท่านพ่อ ข้าจะลงเขาแล้ว” สือสือมองเจวี๋ยหย่วนแวบหนึ่งแล้วคลายมืออวิ๋นเยี่ยออก ไปห้องเตรียมนำตะกร้าลงเขา ที่แท้พระสงฆ์นั้นคือเจวี๋ยหย่วน พระสงฆ์วิทยายุทธอันดับหนึ่งที่ทรงเกียรตินอกจากกินเนื้อได้แล้วยังมีภรรยาได้อีก? ไม่แหวกแนวมากไปหน่อยหรือ
เห็นอวิ๋นเยี่ยมองดูเขาด้วยความงุนงง เจวี๋ยหย่วนฝืนยิ้มพูดว่า “อวิ๋นโหวคงไม่รู้ ข้านั้นเคยทำผิดศีลข้อกาเมจนมีพยานบาปคนนี้ ข้าเคยถูกวินัยธรบัญญัติโทษให้ก่อเนินเขา ท่านดูเนินดินหน้าวัดก็คือผลงานที่ข้าใช้แรงงานทำมาห้าปี แต่ไม่ว่าโทษจะหนักเท่าไร ข้าก็ไม่สามารถทอดทิ้งเด็กคนนี้ได้ ผ่านมาโดยไม่รู้ตัวสิบปีแล้ว ดูเด็กคนนี้เติบโตขึ้นทุกวันจนไม่สามารถอาศัยอยู่ในวัดได้อีก จึงสร้างบ้านให้นางหลังหนึ่งไว้ที่เชิงเขาเพื่อให้นางพอใช้พักอาศัยได้ กลางวันนางมาที่วัดได้ แต่กลางคืนจะต้องลงเขาไปอยู่บ้าน บางครั้งข้าเป็นห่วงจนนอนไม่หลับทั้งคืนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อมีกังวลแล้วโพธิจิตบกพร่องยังน่ากลัวกว่าผิดศีลกาเมเสียอีก”
นี่ยังนับว่าเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งเมื่อผิดศีลกาเมแล้วก็รับผิดจะมีอะไรมากมายนัก หาบดินก่อเนินเขาสูงขนาดตึกห้าชั้นนับว่าได้ชดใช้ความผิดต่อพระวินัยของวัด เพียงแต่เด็กหญิงไม่สามารถให้อยู่ในวัดได้ เจวี๋ยหย่วนก็แสดงออกถึงความห่วงใยในฐานะบิดาคนหนึ่ง เพียงแต่คำพูดสองคำสุดท้ายฟังดูไม่เป็นภาษามนุษย์ เห็นอยู่ชัดๆว่าเจ้าเป็นต้นเหตุให้เด็กลำบากยังมีหน้ามาพูดว่าโพธิจิตบกพร่อง แล้วตอนผิดศีลกาเมทำอะไรอยู่หรือ
สือสือหิ้วตะกร้าทำความเคารพเจวี๋ยหย่วนกับอวิ๋นเยี่ยแล้วก็จะลงเขา ลูกสุนัขสีเหลืองเดินกระดิกหางตามอยู่ข้างหลังเห็นแล้วรู้สึกอนาถใจ อวิ๋นเยี่ยนึกอะไรขึ้นมาแล้วพูดว่า “สือสือ รอก่อน เจ้ามานี่ ข้ามีอะไรจะบอก”
สือสือเดินมาอย่างเชื่อฟังทั้งคอยดูสีหน้าของเจวี๋ยหย่วน นางไม่อยากจากบิดาไป เจวี๋ยหย่วนหันหน้าไปอีกทางหนึ่งไม่ดูพวกเขาทั้งสอง
อวิ๋นเยี่ยเดินขึ้นหน้าลูบศีรษะสือสือพูดว่า “ข้าชื่ออวิ๋นเยี่ย หรือปู๋ชี่ ขุนนางชั้นสาม บรรดาศักดิ์หลานเถียนโหว วิชาคณิตศาสตร์แม้ไม่นับว่าเป็นหนึ่งในแผ่นดินแต่คนที่เทียบเคียงได้ก็หาได้ยากนัก เจ้ากับข้าพบกันนับว่ามีวาสนา ข้าแสนถูกใจเจ้าที่มีความซื่อบริสุทธิ์ทั้งเห็นใจเจ้าที่ขาดที่พึ่ง เจ้าสนใจที่จะเป็นลูกศิษย์ข้าฝึกวิชาคณิตศาสตร์หรือไม่”
สือสือลืมตาโตไม่รู้จะทำอย่างไรดี แต่เจวี๋ยหย่วนกลับคุกเข่าลงไปเสียงดังโครมทั้งลากตัวสือสือลงไปด้วย สำหรับสือสือแล้วนี่เป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า โอกาสชั้นเลิศเช่นนี้จะไม่รีบคว้าไว้ได้อย่างไร ชื่อเสียงอวิ๋นเยี่ยสือสือนั้นไม่รู้แต่เจวี๋ยหย่วนมีหรือที่จะไม่รู้
“สาธุ สาธุ จางสือได้รับการอุปถัมภ์จากอวิ๋นโหวเป็นวาสนาของนางแท้ๆ ทั้งเป็นวาสนาของเจวี๋ยหย่วนด้วย ข้าขอแสดงความยินดีกับอวิ๋นโหวด้วย” อาจารย์อวี้หลินไม่รู้ปรากฏตัวอยู่หลังอวิ๋นเยี่ยตั้งแต่เมื่อไรปรบมือด้วยความยินดี
สือสือคุกเข่าที่พื้นโขกศีรษะด้วยความเคารพสามครั้ง เจวี๋ยหย่วนในฐานะผู้ปกครองคุกเข่าด้านข้างก็โขกศีรษะขอบคุณด้วย นี่เป็นสิ่งที่สมควรกระทำ อวิ๋นเยี่ยรับการกราบสามครั้งจากสือสือ หมายความว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเขาคืออาจารย์ของสือสือ มีทั้งอำนาจและภารกิจแทบจะเท่ากับบิดามารดาของสือสือ
อวิ๋นเยี่ยลูบคลำศีรษะของสือสืออีกครั้งหนึ่งพูดว่า “เป็นลูกศิษย์ข้า ต้องรู้จักความละอายใจ ไม่ใช่ไม่ทำดีเพราะเรื่องเล็ก ไม่ใช่ทำชั่วเพราะเรื่องเล็ก การศึกษาอาศัยความขยันมาก่อน การปฏิบัติตนความกตัญญูมาก่อน พวกเราไม่เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เคารพเพียงบรรพบุรุษ อาศัยมือเราเบิกฟ้าเราเอง บุกเบิกแผ่นดินเราเอง แม้สิ้นหนทางก็ไม่ท้อ แม้ถึงจุดตายก็สู้เพื่ออยู่รอด สิ่งเหล่านี้เจ้าทำได้หรือไม่”
คำสอนของอวิ๋นเยี่ยทำให้อวี้หลินกับเจวี๋ยหย่วนอ้าปากค้าง ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าอาจารย์สอนลูกศิษย์เช่นนี้ ไม่มีกฏระเบียบที่ละเอียดชัดเจน มีแต่ขอบเขตที่กว้างขวาง ไม่เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เคารพแต่บรรพบุรุษ สนับสนุนให้ลูกศิษย์ตัวเองใช้ทุกวิถีทางเพื่อเอาชีวิตรอด นี่เป็นกฎระเบียบของสำนักไหนกัน ลูกศิษย์ที่มาจากอาจารย์เช่นนี้เชื่อได้ว่าล้วนเป็นคนที่พยศสุดแสน หากหวังเป็นสุภาพบุรุษนั้นเป็นไปไม่ได้เลย
สือสือกลับตอบรับด้วยความยินดีว่า “ลูกศิษย์จะต้องทำได้”
ได้ยินคำพูดนี้แล้ว อวิ๋นเยี่ยหัวเราะฮ่าๆ เตะตะกร้าใต้เท้ากระเด็นไป อุ้มสือสือพาดไหล่เดินสาวเท้าอาดๆไปที่ค่ายพักแรมของตัวเอง สือสือฟุบบนบ่าอวิ๋นเยี่ยลาบิดาด้วยน้ำตานองหน้า
อวิ๋นเยี่ยแบกเด็กสาวคนหนึ่งกลับมาค่ายพักแรมย่อมเกิดโกลาหล จนอวิ๋นเยี่ยบอกฐานะสือสือให้ทุกคนรับรู้แล้ว บ่าวไพร่ตระกูลอวิ๋นต่างขึ้นมาทำความเคารพนายหญิงจิ๋ว เฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่ก็มอบของขวัญให้ ซ่านอิงใช้มีดสลักหุ่นไม้ทันทีจนได้รับคำชมไปทั่ว ซินเย่ว์มีรุ่นอ่อนอาวุโสเป็นคนแรก ใช้ศีรษะสือสือเป็นเวทีการแสดง บนนั้นปักแน่นไปด้วยเครื่องประดับระยิบระยับ เสี่ยวหนิวฮูหยินกับจิ่วอีก็ยินดีอย่างยิ่ง จับสือสือแต่งตัวเป็นหุ่นกระบอก
ซินเย่ว์กำลังค้นผ้าให้สือสือเพื่อเตรียมตัดเสื้อผ้าใหม่ แต่เกิดอาการคลื่นไส้กะทันหันจนน้ำตาน้ำมูกออกพร้อมกันหมด หญิงสาวทั้งสองข้างตกใจจนต้องรีบพยุงเอาไว้เตรียมเรียกให้หมอมาตรวจ
“อาจารย์แม่จะมีน้องชายแล้ว” สือสือพูดออกมาคำหนึ่ง ซินเย่ว์ได้ยินแล้วลืมตาจนกลมโตชี้สือสือพูดว่า “เจ้าพูดอีกครั้งซิ”
“ชุยผอผอบอกว่า ผู้หญิงคลื่นไส้ก็คือจะมีน้องชายแล้ว” สือสือกระพริบตาโตพูดอีกรอบหนึ่ง
จิ่วอีที่เคยคลอดบุตรตบศีรษะตัวเองอย่างแรงไปหนึ่งที อาการที่ชัดเจนขนาดนี้ตัวเองกลับไม่ได้สังเกตเห็น ต้องอาศัยเด็กสาวสิบขวบมาเตือนสติ รีบพุ่งตัวออกไปหาหมอมาจับชีพจรให้ซินเย่ว์
ซินเย่ว์พูดได้เพียงคำเดียวว่าสวรรค์แล้วก็ค่อยๆลงไปนอนบนเตียง เพิ่งนอนลงไปก็ค่อยๆคลานขึ้นมาอีกปากพร่ำพูดว่า “ช้าไว้ ช้าไว้ อย่าทำให้เด็กเป็นอะไร อย่าทำให้เด็กเป็นอะไร” แล้วเรียกสือสือ จูบที่หน้านางถี่ๆราวกับลูกไก่จิกข้าวกิน
เสี่ยวหนิวฮูหยินเอ็ดตะโรลั่น ทำจนคนทั้งค่ายพักแรมปั่นป่วนกันหมด ถึงแม้ยังไม่ได้ตรวจชัดเจน แต่เหล่าเฉียนก็ร้องไห้จนน้ำตานองหน้าไปแล้ว ตระกูลอวิ๋นมีทายาทแล้วหมายความว่าครอบครัวตัวเองสามารถอยู่รับความอู้ฟู่ต่อในบ้านตระกูลอวิ๋น ปีก่อนๆที่เคยคิดจะไปหาทางเจริญก้าวหน้าที่อื่นนั้นมลายหายไปจนหมดสิ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น