เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 6 ตอนที่ 50-53

ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...

 

ตอนที่ 50 การจากลาที่เศร้าโศก

 

ลั่วหยางเป็นใจกลางของคลองขุดใหญ่ส่วนปั่นจู่คือไข่มุกของคลองขุดอย่างไม่มีข้อกังขา อยู่ในตำแหน่งบนสุดของคลองทงจี้ฉวีซึ่งเป็นสถานีเปลี่ยนถ่ายสินค้าเหนือใต้ ราชวงศ์ต้าถังเพิ่งก่อตั้งเพียงสิบกว่าปี อำเภอเล็กๆนี้ก็เริ่มส่อแววเจริญรุ่งเรือง ชุมนุมไปด้วยพ่อค้าที่ต่างสำเนียงอยู่ในตัวอำเภอเล็กๆนี้ หลอมรวมกันจนแทบจะกลายเป็นทะเลใหญ่


 


ใบเรือในคลองขุดใหญ่แน่นจนราวกับเป็นกำแพงต้นไม้ กุลีที่สวมเสื้อสั้นจำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นๆลงๆอยู่บนไม้กระดานยาวพาดกราบเรือ ในเวลานี้ย่อมขาดเจ้าหน้าที่เก็บภาษีของอำเภอไม่ได้ ต่างยืนอยู่บนท่าเรือถือกระบองสุ่ยหว่าเอวคาดดาบยาว ทั้งตรวจสอบสินค้าทั้งประเมินราคาได้ในพริบตาเดียว


 


เฉิงฉู่มั่วประหลาดใจมากว่าทำไมอวิ๋นเยี่ยจึงไม่เดินทางตรงกลับเลือกทางอ้อม ทั้งๆที่ไปอำเภอซงหยางได้โดยตรงแต่กลับอ้อมมาทางปั่นจู่ทำให้ต้องเพิ่มระยะทางไกลขึ้นอีกเท่าตัว


 


กำลังนึกจะถามกลับถูกหนิวเจี้ยนหู่สกัดไว้ ทั้งสองคนส่งสายตากันแล้วหลบอวิ๋นเยี่ยออกมาแจงสี่เบี้ยกัน คนหนึ่งพร่ำพูดพร่ำสอนอีกคนตั้งอกตั้งใจรับฟังสุดท้ายแล้วจึงได้ถึงบางอ้อ


 


ดวงอาทิตย์เพิ่งขึ้นตรงศีรษะอวิ๋นเยี่ยก็สั่งให้พักที่ปั่นจู่หนึ่งวัน ไม่ได้พักโรงแรมเพราะไม่มีโรงแรมไหนสามารถรับแขกได้ถึงสองร้อยคน ทั้งปฏิเสธนายอำเภอปั่นจู่ที่เชื้อเชิญให้ไปพักยังที่ทำการนายอำเภอ ขบวนรถคงไปต่อถึงริมแม่น้ำฮวงโหจึงหยุดตั้งค่ายพักแรม


 


อวิ๋นเยี่ยนำไปเพียงซ่านอิงกับวั่งไฉโดยบอกซินเย่ว์เพียงคำเดียวแล้วก็ออกจากค่ายพักแรม ภายใต้สายตาที่ไม่เข้าใจของซินเย่ว์รวมทั้งเพลิงปริศนาที่สุมเต็มอกของเฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่ อวิ๋นเยี่ยไปอย่างสบายใจยังด้านเหนือน้ำของแม่น้ำฮวงโห


 


ริมแม่น้ำฮวงโหเต็มไปด้วยก้อนกรวดกลมเกลี้ยงมุมต่างๆถูกกระแสน้ำชะออกจนเกลี้ยงเกลา ภูเขาหินริมแม่น้ำแห่งนี้ก็เช่นเดียวกัน น้ำฮวงโหกระแทกซอกหินเบาๆเกิดเสียงดังซู่ๆ


 


กลิ่นดินของแม่น้ำฮวงโหฉุนจัด น้ำฮวงโหฤดูร้อนค่อนข้างขุ่น เนื่องจากเป็นพื้นที่ราบกระแสน้ำจึงไหลช้ามาก เพียงแต่ผิวน้ำมีวังวนอยู่บ้างแสดงให้เห็นถึงความปั่นป่วนใต้ผิวน้ำ


 


อวิ๋นเยี่ยนึกถึงตัวเองตอนวัยเด็กแก้ผ้าว่ายน้ำริมแม่น้ำฮวงโหที่ขุ่นคลั่ก แล้วถูกมารดาลากกลับไปฟาดอย่างหนักหน่วง ก็ยิ่งรู้สึกสนิทชิดเชื้อกับแม่น้ำสายนี้อย่างมาก เก็บก้อนหินบางๆมาก้อนหนึ่งเหวี่ยงออกไปบนผิวน้ำ ก้อนหินกระโดดอยู่บนผิวน้ำไม่หยุด เกิดน้ำกระเซ็นขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง


 


สิบเอ็ดครั้ง อวิ๋นเยี่ยรู้สึกพอใจอย่างยิ่ง ซ่านอิงหยิบหินขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจหนึ่งก้อนเดาะที่มือทีเดียวแล้วเหวี่ยงออกไป หินก้อนนั้นบินออกไปทันทีไม่รู้ว่าเกิดน้ำกระเซ็นขึ้นมากี่ครั้ง เหวี่ยงก้อนหินแล้วก็ยืนกอดอกอยู่ริมแม่น้ำด้วยท่าทีของจอมยุทธ


 


“เสี่ยวอิง สักครู่จะมีกองเรือผ่านมา ข้ามีจดหมายฉบับหนึ่งให้เจ้าช่วยข้าส่งขึ้นไปบนเรือ” อวิ๋นเยี่ยควักจดหมายที่ไม่ได้ปิดผนึกยื่นให้ซ่านอิงฉบับหนึ่ง


 


“ท่านรอใครอยู่หรือ ไม่เหมือนรอคนที่ดีหรือว่าเป็นเมียเก็บของท่าน เรื่องส่งบัตรสนเท่ห์เช่นนี้ข้าไม่รับทำหรอก” ซ่านอิงตอบปฏิเสธอวิ๋นเยี่ย พอเห็นอวิ๋นเยี่ยประหลาดใจจึงพูดอีกว่า “คำกระซิบของหนิวเจี้ยนหู่ยังดังกว่าที่คนอื่นพูดเสียงดัง ข้าไม่อยากได้ยินก็ยังไม่ได้”


 


“เรื่องราวภายในอธิบายได้ยากแต่ไม่ใช่จดหมายรักแน่นอน เป็นการจัดการเกี่ยวกับหลิ่งหนาน ไม่สามารถเปิดเผยได้ในเมืองหลวงจึงต้องจัดวางไว้ที่นี่ เป็นเด็กเป็นเล็กคิดอะไรให้มากเรื่อง ถ้าไม่ทำก็คืนมีดวิเศษของข้าให้ข้า ข้าจะเอามาปอกก้อนหินเล่น”


 


หัวใจของซ่านอิงกระตุกขึ้นมาทันที ใช้มีดนั้นฆ่าคนเขายังไม่ยอมทำ ไม่ต้องพูดถึงเอาไปปอกก้อนหิน อารมณ์ความรู้สึกของเด็กยากจนทำอะไรไม่ได้ดังใจผุดขึ้นมาทันที รีบพูดละล่ำละลักว่า “ได้ ได้ ข้าช่วยท่านส่งจดหมาย หนี้สินลดลงหนึ่งร้อยก้วน”


 


อวิ๋นเยี่ยรู้สึกพอใจมากคราวนี้ เด็กคนนี้เรียนรู้วิธีหาเงินได้แล้วจนได้


 


วั่งไฉวิ่งไปมาบนหาดทรายที่อ่อนนุ่มฝากรอยเท้าไว้มากมาย ดมน้ำฮวงโหที่กลิ่นดินฉุนจัดแล้วจามเสียงดังแสดงว่าน้ำนี้ไม่ถูกปากมัน แล้วก็วิ่งกลับไปหาอวิ๋นเยี่ยหลบซ่านอิง


 


กองเรือมหึมาล่องลงไปตามกระแสน้ำ หัวเรือแขวนธงหงส์เหินรับลมเสียงดังอู้ๆ อวิ๋นเยี่ยยืนมือไพล่หลังอยู่บนหินก้อนยักษ์ริมแม่น้ำ เสื้อเขียวถูกลมพัดโบกพลิ้วขึ้นมายิ่งดูงามสง่ายิ่งนัก


 


เดิมนึกว่าท่าทีที่พิเศษของตัวเองเช่นนี้จะต้องเป็นจุดสังเกตให้หลี่อันหลานบนเรือมองเห็น ใครจะรู้ว่าไม่มีคนไหนสนใจเลยแม้แต่นิด คนเรือบนเรือยังคงชี้โน่นชี้นี่ ไม่มีคำพูดที่ดีออกจากปากพวกนี้แน่นอน


 


ซ่านอิงนึกอยากหลบซ่อน แต่รับปากอวิ๋นเยี่ยแล้วว่าจะต้องส่งจดหมายเหล่านั้นขึ้นไปบนเรือ เขาจึงมัดจดหมายบนลูกธนู หยิบคันธนูยาวของตัวเองเล็งไปยังเรือลำที่หรูหราที่สุดใหญ่ที่สุดแล้วยิงออกไป


 


ลูกธนูยาวพุ่งออกไปพร้อมเสียงหวีดหวิวปักอยู่ที่เสากระโดงเรือ เกิดเสียงร้องโวยวายบนเรือว่ามีผู้ลอบสังหาร ชายร่างใหญ่มากมายถือดาบวิ่งมาที่กราบเรือ เรียกร้องว่าจะขึ้นบกจัดการสับร่างสองหนุ่มบนบกให้ละเอียด


 


เสียงก่นด่าน่าเกลียดมากจนอวิ๋นเยี่ยบอกซ่านอิงว่า “เสี่ยวอิงเจ้าสามารถทำให้คนที่ด่าเราหนักมากที่สุดหยุดปากได้หรือไม่”


 


เท้าซ่านอิงกระดกทีเดียว ก้อนหินขนาดไข่ไก่ก็กระโดดขึ้นมาอยู่ในฝ่ามือ ไม่ทันเห็นว่าเขาเกร็งกำลังอะไร หินก้อนนั้นก็บินออกไปไวจนเกิดเสียงต้านลมดังอู้ๆ


 


เจ้าหัวล้านที่ยืนกระทืบเท้าด่าคนเงียบเสียงลงทันที อวิ๋นเยี่ยถึงขนาดเห็นอาการที่ฟันเขาบินขึ้นมา สมอหินยักษ์ถูกทิ้งลงกลางแม่น้ำทันที เรือใหญ่เคลื่อนตัวลงไปอีกนิดเดียวก็จอดสนิทกลางแม่น้ำ หัวเรือส่ายไปมาเล็กน้อยราวกับสัตว์ร้ายที่ถูกล่ามโซ่ไว้ เรือเล็กที่ตามๆกันมาด้านหลังก็จอดลงด้วย การทิ้งสมอกลางแม่น้ำฮวงโหเช่นนี้อันตรายมาก คนบนเรือทั้งหมดเริ่มร้องเสียงดังกัน มีขันทีที่สวมชุดเขียวหลายคนยิ่งด่าได้แสบแก้วหูมาก


 


ลูกธนูบนเสากระโดงเรือถูกนำลงมาแล้ว ทหารคุ้มกันมองเพียงแวบเดียวก็รีบวิ่งเข้าไปในเคบินเรือ เสี่ยวหลิงตังที่สวมกระโปรงสีเขียวอ่อนก็วิ่งออกมาทันที โบกมือให้อวิ๋นเยี่ย หลี่อันหลานที่สวมขาวทั้งชุดก็ออกมายืน เหล่าทหารคุ้มกันต่างถอยกลับไปหมด


 


เป็นครั้งแรกที่พบว่าแม่น้ำฮวงโหที่สงบนิ่งก็มีเสียงดังมากราวกับเสียงถอนใจที่ไม่มีวันสิ้นสุด คำพูดของเสี่ยวหลิงตังผ่านมาชนิดขาดเป็นห้วงๆ “ท่านพี่อวิ๋น ท่านรักษาตัวด้วย พวกเราไปหลิ่งหนานกันแล้ว”


 


ฟังออกได้ว่านางกำลังร้องไห้ด้วยความเสียใจยิ่งนักกระทั่งมีการสะอึกสะอื้น ในพระราชวังที่เย็นเฉียบอวิ๋นเยี่ยเป็นเพื่อนคนเดียวของนาง ขณะลงเรือที่ฉางอันคนอื่นล้วนมีคนมาส่ง มีเพียงนางที่โดดเดี่ยวตัวคนเดียวราวกับดอกผูกงอิงที่ปลิวไปตามลมบนโลกใบนี้ ไม่มีใครใส่ใจว่านางปลิวไปตกที่ไหน นางพยายามมองหาดูในฝูงคนแต่ไม่พบแม้แต่เงาของอวิ๋นเยี่ย นางเข้าใจว่าอวิ๋นเยี่ยลืมนางไปนานแล้ว ตัวเองกับองค์หญิงกำลังจะไปที่นรกคนเป็นแห่งนั้น พอเห็นเงาร่างของคนที่คุ้นเคยกะทันหัน ความเจ็บปวดภายในจิตใจราวกับมีผู้รับฟังได้จึงร้องไห้ออกมาโดยไม่ได้สนใจอะไรอื่นอีก


 


หลิงตังเป็นเด็กสาวที่ไม่เคยคิดอะไรมาก ในความคิดง่ายๆของนางเพียงขอให้มีอาหารอร่อยทุกวันอย่ามีงานมากเกินไปนัก ให้วันเวลาผ่านไปอย่างสงบสุขก็คือชีวิตที่สมบูรณ์แบบ


 


ใครจะรู้ว่าชะตาชีวิตมักจะเล่นงานนาง นางชอบของอร่อยก็ไม่ได้กินของอร่อย นางอยากทำงานน้อยแต่ก็มีงานมากมายให้นางทำ นางอยากมีชีวิตที่สุขสงบแต่ชะตาชีวิตกลับส่งนางไปถิ่นที่น่ากลัวมากที่สุด


 


หลี่อันหลานกอดหลิงตังกอดแน่นมาก นางเกรงว่าอวิ๋นเยี่ยจะพาหลิงตังไป นางสาบานว่าจะให้หลิงตังมีชีวิตที่ดีที่สุด ไม่ให้นางต้องได้รับความทุกข์โศกอีกแม้เพียงนิดเดียว การปรากฏตัวของอวิ๋นเยี่ยทำให้จิตใจที่ขมขื่นของนางได้รับความหวานชื่นขึ้นมาบ้างเล็กน้อย


 


มองเห็นอวิ๋นเยี่ยเดินกลับไปมาบนฝั่งราวกับนึกอยากปลอบขวัญตัวเองกับองค์หญิงแต่ก็หาวิธีไม่ได้ หลิงตังเลยยิ้มออกมาร้องตะโกนว่า “ท่านพี่อวิ๋น หากท่านว่างให้มาที่หลิ่งหนาน ข้าคิดถึงท่าน” ตะโกนจบแล้วก็ปิดหน้าวิ่งกลับเข้าข้างในเคบิน


 


อวิ๋นเยี่ยออกจะเสียใจว่าตัวเองน่าจะอยู่ฉางอันต่ออีกสักพักหรือไม่ รอส่งพวกนางแล้วจึงเดินทางไปวัดเส้าหลินจะดีกว่าหรือไม่ แต่ความคิดนี้มีเพียงแวบเดียวก็ผ่านไป ไม่ได้หรอก เรื่องเช่นนี้เหมือนเรือใหญ่หากไม่มีท่าเรือก็เทียบเรือเข้าฝั่งไม่ได้ แม้ยอมให้คนรู้แต่ก็ให้คนเห็นไม่ได้


 


อวิ๋นเยี่ยไม่อยากให้เป็นที่บาดตาคนมาก ทำเช่นนี้ดีที่สุดแล้ว มองเห็นหลี่อันหลานปล่อยผมออก ใช้มีดเล็กตัดผมออกไปปอยหนึ่งกำไว้ในมือแล้วแบมือออกให้ลมพัดผมเหล่านี้ปลิวหายไป


 


อวิ๋นเยี่ยอยากให้ลมพัดผมเหล่านั้นมาแต่ผมก็ยังถูกพัดจนหายไปหมดสิ้น นัยน์ตาอวิ๋นเยี่ยร้อนผ่าวยกมือขึ้นโบกให้นางแล้วลงจากหินก้อนยักษ์ เขากังวลว่าหลี่อันหลานจะมองทะลุถึงความอ่อนแอของตัวเอง


 


อวิ๋นเยี่ยหลบอยู่หลังก้อนหินจัดการอารมณ์รักใคร่ของตัวเอง วั่งไฉยื่นหัวออกไปสืบดูแทนอวิ๋นเยี่ย ซ่านอิงกระโดดสูงลิบยื่นมือกลางอากาศราวกับคว้าอะไรได้ อวิ๋นเยี่ยทุบศีรษะตัวเองแล้วจึงสงบลงมาได้


 


เสียงตะโกนให้เก็บสมอดังแว่วมา อวิ๋นเยี่ยเข้าใจดีว่ากองเรือที่ออกมาจากกว่างทงฉวีกำลังจะเลี้ยวเข้าทงจี้ฉวี แล้วค่อยเข้าไปไหวสุ่ย ผ่านปังโกวจนถึงเจียงตูแล้วค่อยแล่นไปตามแม่น้ำเจียงหนานเหอจนถึงอวี๋หัง สุดท้ายแล้วเฝิงอั้งจะรับช่วงต่อนำเข้าพื้นที่เหลียวตี้ เริ่มต้นจัดการเหลียวตี้เป็นเจ้าครองที่ดินอย่างแท้จริง ที่ดินแปดร้อยลี้คงทำให้นางปั่นป่วนสาหัสทีเดียว


 


 แต่โบราณมาคนเรามักเศร้าโศกเวลาจากไกล คนยุคใหม่ไม่สามารถซึมซับความเศร้าโศกของคนโบราณได้ การจากไกลแต่ละครั้งอาจหมายถึงจากไปอย่างถาวร ไม่เหมือนปัจจุบัน นั่งเครื่องบินเพียงสามชั่วโมงก็สามารถบินไปรับความเย็นชื่นใจของลมทะเลในหลิ่งหนานที่เจริญรุ่งเรืองได้


 


นี่คือเหตุผลที่ทำไมหลิงตังจึงร้องเรียกว่าคิดถึงอวิ๋นเยี่ยในตอนท้าย หากไม่พูดตอนนี้ก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว หลิงตังรู้ว่าฐานะเช่นอวิ๋นเยี่ยจะไม่ยอมให้เขาไปหลิ่งหนานได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้เพียงแค่ความคิดถึงนางก็ยังอยากจะร้องเรียกออกมาให้อวิ๋นเยี่ยได้รับรู้ถึงจิตใจของนาง


 


“ให้ท่าน” ซ่านอิงยื่นมือไปตรงหน้าอวิ๋นเยี่ย ในมือถือผมไว้เส้นหนึ่ง นี่เป็นผมเพียงเส้นเดียวที่ปลิวมาถึงริมฝั่งแม่น้ำ ซ่านอิงเห็นได้อย่างชัดเจน


 


“ขอบใจมาก” อวิ๋นเยี่ยรับเส้นผมคล้องไว้ที่กระเป๋า แล้วนำวั่งไฉเดินกลับไป เขาเดินเร็วมากกำหมัดจนแน่น ดูสิว่าสังคมที่เส็งเคร็งได้ทำอะไรไว้ ไม่ยินยอมให้มีสิ่งดีงามในโลกนี้เลย วันเวลาที่ยินดีไม่เคยมีมากเท่าวันเวลาที่เศร้าโศกเสียใจ ที่พูดกันว่าเรื่องราวในโลกมีเก้าในสิบอย่างที่ไม่ตรงกับความต้องการ หรือว่าคำพูดชุ่ยๆเหล่านี้เป็นความจริง?


 


ความคิดนี้เพิ่งผุดขึ้นมา ใบหน้าของซินเย่ว์ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าอวิ๋นเยี่ย “ส่งไปหมดแล้วหรือ”


 


ซินเย่ว์กระพริบตาโตถามอวิ๋นเยี่ย


 


“ใช่แล้ว ส่งไปหมดแล้ว เจ้าตามข้ามาทำไม เมื่อวานนี้ไม่ใช่คุยเรื่องนี้กับเจ้าไปแล้วหรือ” อวิ๋นเยี่ยออกจะร้อนรน การส่งหญิงคนอื่นให้ภรรยาจับได้เป็นเรื่องที่น่าเขินมากๆ


 


“ข้าไม่ได้ถามถึงองค์หญิง แต่อยากถามถึงนางกำนัลสวยงามที่สวมกระโปรงเขียวว่าเป็นใคร ข้าไม่ได้ใส่ใจองค์หญิง ต่อให้นางมีความสามารถสูงส่งเท่าไหนก็แต่งมาที่บ้านเราไม่ได้ ไม่ได้ห่วงเลย เพียงแค่อยากรู้ว่าสายตาของสามีข้านั้นเป็นอย่างไรเท่านั้นเอง”


 


จากน้ำเสียงที่ดูถูกดูแคลนของซินเย่ว์ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าเวลานี้นางสามารถฆ่าเสือได้ด้วยมือเปล่าทีเดียว 

 

 


ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...

 

ตอนที่ 51 วัดเส้าหลิน

 

เป็นความจริงแท้แน่นอนที่ระยะห่างทางกายภาพสามารถทำให้ระยะห่างทางความรู้สึกเป็นไปในทางเดียวกัน หลังจากหลี่อันหลานจากไปแล้วอารมณ์ของอวิ๋นเยี่ยก็ได้รับการปลดปล่อยไปด้วย เขาไม่ต้องแกล้งทำเป็นขี่ม้าเดินทางอีกแล้ว การขี่ม้านับว่าเป็นเรื่องต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมาก การนั่งอยู่บนหลังม้าทั้งวันจะทำให้พลังงานคนคนหนึ่งหายไปจนหมดเกลี้ยง ในเมื่อมีรถม้าให้นั่งแล้วทำไมตัวเองต้องไปทนขี่ม้าด้วย


 


เขาซงซันช่วงฤดูร้อนเต็มไปด้วยบรรยากาศป่าเขามีแต่ต้นไม้ใบหญ้าที่หนาแน่นเต็มป่าเขา แถบหุบเขาพอมองเห็นที่นาแปลงเล็กๆที่เพิ่งบุกเบิกมาบ้าง คนทำนาล้วนเป็นพระสงฆ์ที่ไม่ได้ศีรษะล้านต่างสวมจีวรพระสงฆ์สวดท่องมนตราแต่ไม่ได้เป็นพระสงฆ์แท้จริง พวกเขาเป็นอุบาสกที่อาศัยในวัด ใบรับรองการบวชตู้เตี๋ยไม่ใช่ได้มาง่ายๆดังนั้นพวกเขาจึงต้องรอคอยใบรับรองคุณสมบัติการบวชจากราชสำนัก


 


เด็กหญิงนุ่งชุดลายดอกมือหิ้วตะกร้าเดินตามอยู่ข้างๆอวิ๋นเยี่ย ผมนางผูกเป็นจุกสองข้างคล้ายซาละเปาสองลูกบนศีรษะ ให้ความสนใจอวิ๋นเยี่ยที่นอนอยู่บนรถลากอย่างมาก อวิ๋นเยี่ยชวนขึ้นรถด้วยแต่เด็กน้อยยิ้มปฏิเสธดูเป็นเด็กหญิงที่มีมารยาทมากอายุไม่ถึงสิบขวบ ตะกร้าในมือน่าจะไม่เบาแต่ราวกับว่านางไม่รู้สึกอะไรทั้งยังเดินได้ไวมาก


 


ดูออกได้ว่านางอยากนั่งรถทั้งสนใจเสื้อผ้าที่สวยงามของเหล่าสาวใช้บ้านอวิ๋นอย่างยิ่ง แต่นางกลับวิ่งตามรถลากของอวิ๋นเยี่ย เหล่าผู้ชายตัวโตนั่งรถม้าปล่อยให้เด็กสาววิ่งคนเดียวช่างไม่ตรงกับหลักศีลธรรมของอวิ๋นเยี่ย ดังนั้นเขาจึงชวนเด็กหญิงนั่งรถอีกครั้งบอกว่าหากไม่อยากนั่งกับชายแปลกหน้าก็ไปนั่งกับพี่สาวสวยๆเหล่านั้นก็ได้


 


ครั้งนี้นางไม่ปฏิเสธโดดทีเดียวขึ้นไปนั่งบนประทุนรถโดยดีดเท้าได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว การที่เด็กสาวสิบขวบหิ้วตะกร้าหนักสิบกว่าชั่งโดดขึ้นรถม้าได้นั้น อวิ๋นเยี่ยไม่แปลกใจแม้เพียงนิดเดียว สาเหตุหลักคือที่นี่เป็นวัดเส้าหลินต้นตำรับการฝึกวิทยายุทธทั่วแผ่นดิน การมีเรื่องเกินความคาดหมายบางเรื่องไม่ใช่จะเกินความคาดคิดแม้เพียงนิดเดียว


 


อวิ๋นเยี่ยไม่ชอบรถม้าที่มีประทุนเพราะเห็นว่าเป็นการขวางกั้นทิวทัศน์ป่าเขาที่สวยงาม อวิ๋นซันจึงปูรถลากให้มีเบาะหนานุ่มเพื่อให้โหวเหยียนอนอยู่ข้างบนตัวเองขับรถ เห็นเด็กหญิงหน้าตาสวยงามนั่งคร่อมบนรถม้ายิ้มแย้มมองมาที่ตัวเองก็ยิ่งมีแรงมากขึ้นขับให้รถม้าวิ่งได้เร็วขึ้นอีก


 


ท้องฟ้ามืดครึ้มท่าทางฝนจะตกลงมาแล้วแต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น วั่งไฉมีถุงผ้าห้อยคอวิ่งเข้ามา ซ่านอิงที่สมควรตายใส่ของอร่อยชอบกินที่เหล่าสาวใช้ให้แขวนไว้ที่คอได้แค่ดมแต่กินไม่ได้ วั่งไฉจึงวิ่งอย่างร้อนรนมาที่อวิ๋นเยี่ยหวังว่าเขาจะช่วยตัวเองย้ายถุงผ้าไว้ที่ใต้ปาก


 


ซ่านอิงกับอวิ๋นเยี่ยเคยมีข้อตกลงกันว่าทำเช่นนี้ไม่ได้ทั้งไม่อนุญาตให้คนอื่นทำด้วย ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยจึงทำได้เพียงแค่ผายมือให้วั่งไฉรู้ว่าหมดหนทางจริงๆ


 


เด็กหญิงถูกท่าทางที่ประหลาดของวั่งไฉดึงดูดความสนใจจึงหยิบขนมเส่าเกาในตะกร้าออกมาชิ้นหนึ่ง หยุดคิดแล้วหักออกครึ่งหนึ่งเก็บคืนกลับไปแล้วยื่นมือส่งขนมเส่าเกาที่ปากวั่งไฉอยากดูวั่งไฉกิน


 


วั่งไฉที่ชอบกินขนมหวานอย่างที่สุดมีหรือที่จะละทิ้งโอกาส แลบลิ้นนิดหนึ่งแล้วกินขนมเส่าเกาในมือเด็กหญิงทันที เด็กหญิงถูกลิ้นที่หยาบกร้านของวั่งไฉเลียจนจั๊กจี้หดมือหัวเราะกิ๊กกั๊กไม่หยุด


 


“สาวน้อย เจ้าชื่ออะไรหรือ” อวิ๋นเยี่ยชำเลืองมองเด็กหญิง นี่จะเป็นเด็กหญิงที่หลงเสน่ห์วั่งไฉอีกคน


 


เด็กหญิงไม่พูด เพียงแต่ยิ้มเห็นฟันขาวสะอาด


 


เริ่มมองเห็นประตูไม้ของวัดเส้าหลินแต่ไกลแล้วไม่ได้ยิ่งใหญ่งดงามมาก สร้างขึ้นมาจากไม้ไม่กี่ท่อนแม้แต่สีก็ไม่ได้ทา เงียบเหงาไม่มีคนมานมัสการเลย มิน่าที่โหวจวินจี๋สงสัยว่าทำไมต้องมานมัสการที่วัดเส้าหลินเพราะที่นี่เป็นวัดที่ไม่รับทำพิธีกรรมทางศาสนา


 


เห็นแต่ไกลว่ามีพระรับแขกสวมชุดดำมาอย่างพริ้วเบา หลังจากทำความเคารพกันแล้วพระชุดดำก็ไม่สนใจอวิ๋นเยี่ยอีก พูดกับเด็กหญิงว่า “สือสือ ทำไมเจ้าจึงไม่รู้กฎระเบียบเช่นนี้ การบำเพ็ญไม่ใช่ให้เจ้ารับความสะดวกสบายเพียงชั่วครู่ชั่วยาม พวกเราต้องใช้ความจริงใจความเคารพมาปฏิบัติต่อพระพุทธเจ้าโดยตั้งความหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้หลักธรรม การที่ให้เจ้าเดินทางบนเขาสิบลี้ถือเป็นการฝึกฝนให้เข้าถึงหลักธรรม การฝึกฝนวันนี้เจ้าจะต้องเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว”


 


เด็กหญิงไม่ได้โต้แย้งแม้เพียงคำเดียวแต่ยกสองมือพนมพูดว่า “น้อมปฏิบัติตามคำสั่งสอนท่านอาจารย์อา” พูดจบก็คล้องตะกร้าทำความเคารพอวิ๋นเยี่ยแล้วตามพระชุดดำเข้าไปในวัด


 


เฉิงฉู่มั่วโดดลงจากหลังม้าหันกลับไปดูประตูวัดที่ปิดไปอีก บอกอวิ๋นเยี่ยว่า “เยี่ยจื่อ พวกหัวโล้นรู้สึกจะไม่ต้อนรับพวกเรา ข้ารู้สึกว่าพวกเขาคล้ายกับมีความเป็นอริต่อพวกเรา”


 


“ไม่แปลกหรอก ตั้งแต่ต้าถังตั้งราชวงศ์ก็ควบคุมศาสนาพุทธอย่างเข้มงวดแต่ส่งเสริมศาสนาเต๋า ตู้เตี๋ยของพระสงฆ์ได้มายากเย็นมาก เจ้าไม่เห็นหรือว่าในหุบเขาล้วนเป็นอุบาสกที่ปลูกพืชผักกินอยู่กันเอง วัดเส้าหลินเป็นวัดระบือนามสูงสุดในแผ่นดิน โดยทางกฎระเบียบแล้วย่อมไม่กล้าล่วงละเมิดแม้เพียงนิดเดียว


 


พระสงฆ์เหล่านี้ครั้งนั้นเคยช่วยฝ่าบาทไว้ไม่น้อยขณะบุกตีหวงซื่อชง ชาวพุทธต่างตั้งความหวังว่าพวกเขาสามารถเกลี้ยกล่อมให้ฝ่าบาทผ่อนคลายการควบคุมชาวพุทธได้บ้าง ผ่อนผันให้ได้ตู้เตี๋ยมากขึ้น ปีก่อนหน้านี้พระอวี้หลินกับพระเจวี๋ยหย่วนเคยไปฉางอันเที่ยวหนึ่งแต่ถูกฝ่าบาทปฏิเสธผิดหวังกลับมา ย่อมมีความรู้สึกเป็นอริต่อพวกเราที่เป็นพวกศักดินาอยู่บ้าง สามารถเข้าใจได้”


 


หนิวเจี้ยนหู่พูดว่า “แม้แต่คนส่งข่าวที่ประตูใหญ่ก็ยังไม่มี พวกเราคงไม่ต้องถึงกับบุกเข้าวัดเลยสินะ”


 


“ในเมื่อเขาไม่ตามใจเรา เราก็ตามใจเขา พวกเราตั้งค่ายพักแรมที่นี่ ข้าไม่เชื่อว่าพระสงฆ์เหล่านี้จะกล้าโอหังอะไรปานนี้ อีกทั้งอาจารย์เต้าซิ่นแห่งวัดไป๋หม่าก็ยังเป็นแขกพักอยู่ที่นี่ ข้ากับอาจารย์ถานอิ้นนับว่าเคยรู้จักกัน อาศัยจุดนี้พวกเขาคงไม่ถึงกับไม่ให้พวกเราพบ”


 


อวิ๋นเยี่ยลงมาจากรถลากแล้วสั่งให้ผู้ดูแลบ้านตั้งค่ายพักแรม ตัวเองนำเฉิงฉู่มั่ว หนิวเจี้ยนหู่กับซ่านอิงเดินขึ้นบันไดจนถึงหน้าประตูใหญ่จับห่วงเคาะประตู เสียงเคาะประตูดังป๊อกๆไปไกลทีเดียว


 


พระสงฆ์อายุสี่สิบกว่าเปิดประตูบอกอวิ๋นเยี่ยว่า “อุบาสกเชิญกลับกันเถอะ วัดนี้เป็นวัดบำเพ็ญเพียร ไม่เปิดรับผู้นมัสการ ขออุบาสกไปวัดอื่นเพื่อนมัสการพระพุทธเถอะ”


 


อวิ๋นเยี่ยมองนัยน์ตาเย็นชาของพระสงฆ์แล้วว่า “ข้าเป็นเพื่อนเก่าของอาจารย์ถานอิ้น การมาครั้งนี้เพื่อเยี่ยมเยียนอาจารย์ อีกทั้งข้ายังมีจดหมายสำคัญฉบับหนึ่งจะต้องมอบให้ต่อหน้าอาจารย์เต้าซิ่น ขอให้อาจารย์โปรดอำนวยความสะดวกด้วย”


 


พระสงฆ์แม้จะเย็นชาแต่ก็มีมารยาทดีบอกให้อวิ๋นเยี่ยรอสักครู่เขาจะไปแจ้งข่าว อวิ๋นเยี่ยมีความสนใจวัดเส้าหลินในยุคต้าถังอย่างมาก เงี่ยหูฟังอยู่นานก็ยังไม่ได้ยินเสียงที่เกิดจากการฝึกวิทยายุทธของเหล่าพระสงฆ์ หรือที่คนรุ่นหลังพูดถึงหลุมต่างๆในวัดเส้าหลินนั้นเกิดขึ้นในยุคหลัง ไม่เช่นนั้นทำไมจึงได้ยินแต่เสียงเคาะมู่อวี๋แต่ไม่ได้ยินเสียงฝึกวิทยายุทธกันเลย


 


อาจารย์ถานอิ้นมาแล้ว อาจารย์เจวี๋ยหย่วนตามอยู่ข้างหลังล้วนเป็นคนคุ้นเคย อวิ๋นเยี่ยยิ้มขึ้นไปทำความเคารพ “อาจารย์ถานอิ้น เราจากกันที่เขาไม่จีสี่ปีแล้ว สีหน้าอาจารย์แดงเรื่อคิดว่าพุทธานุภาพคงล้ำหน้าขึ้นอีก ช่างเป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนัก”


 


“สหายน้อยอวิ๋นเยี่ยมาไกลพันลี้ข้าซึ้งใจยิ่งนัก โปรดเข้าวัดสนทนากัน” ใบหน้าอาจารย์ถานอิ้นที่ผอมดำไร้รอยยิ้มแย้ม เพียงแต่เชิญอวิ๋นเยี่ยเข้าวัดราวหุ่นยนต์โดยไม่มีอารมณ์ยินดีแม้เพียงนิดเดียว


 


หลังจากนั่งกันเรียบร้อยในห้องรับแขกอวิ๋นเยี่ยถามว่า “อาจารย์อยู่เหนือทางโลกเหตุใดจึงดูมีกังวล หากเป็นเรื่องกังวลทางโลกสามารถบอกกล่าวข้าได้ คาดว่าคงสามารถแก้ไขอะไรให้ได้บ้างเล็กน้อย”


 


“สหายน้อยหยอกเล่นแล้ว ข้าเส้าหลินเป็นวัดสายเซ็น มุ่งตรงที่จิตมนุษย์ บรรลุธรรมทางจิต ไม่ได้อาศัยตัวหนังสือ หากมีกังวล เพราะจากมโนจิต ย่อมต้องฝ่าฟัน กำจัดกิเลส เพื่อความก้าวหน้า สหายน้อยคิดมากเกินไปแล้ว”


 


อวิ๋นเยี่ยสูดกลิ่นทั่วบริเวณแล้วบอกถานอิ้นว่า “เกิดแก่เจ็บตาย ท่านอาจารย์ยังไม่หลุดพ้นอีกหรือ พวกท่านมักกล่าวว่าโลกมนุษย์มีทุกข์หนักหนา อาจารย์ผู้นี้ใกล้จะไปสู่แดนสุขาวดี ท่านสมควรยินดีแทนเขาจึงจะถูก”


 


เฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่หัวเราะหึๆอยู่ด้านหลัง ป่วยแล้วยังไล่อวิ๋นเยี่ยออกไปอีกช่างโง่เขลาเกินเยียวยา


 


“อาจารย์อวี้หลินใกล้จะมรณภาพแล้ว แม้อวิ๋นโหวไม่คำนึงถึงที่ท่านเป็นอริยสงฆ์ ก็สมควรเคารพที่ท่านมีอาวุโสสูงถึงเก้าสิบปีแล้ว ทำไมจึงใช้คำเสียดสีอีกเล่า” เจวี๋ยหย่วนเป็นพระสงฆ์สายวิทยายุทธ จึงเปิดไต๋ด้วยความโกรธแค้นสุดแสนโดยที่ถานอิ้นยังไม่ทันเอ่ยปาก 

 

 


ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...

 

ตอนที่ 52 อวี้หลินจอมกะล่อน

 

อวิ๋นเยี่ยเห็นเจวี๋ยหย่วนโมโหแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ ลุกขึ้นเดินไปยังที่พักของเจ้าอาวาสซึ่งอยู่ใกล้ห้องรับแขกมาก เดินไปตามกลิ่นยาที่นำทาง เลี้ยวผ่านเฉลียงทางเดินสองสามรอบแล้วอวิ๋นเยี่ยก็มาถึงบริเวณที่มีแต่พรรณไม้ชนิดต่างๆ


 


มีพระสงฆ์หนุ่มกำลังต้มยาที่เฉลียง ใช้พัดในมือคอยโบกฟืนสนเบาๆ หม้อยาดำเมื่อมกำลังเดือดปุดๆ ใบหน้าที่งดงามไม่แสดงอารมณ์ใดๆ


 


การที่อวิ๋นเยี่ยบุกเข้าห้องเจ้าอาวาสโดยไร้เหตุผล ทำให้แม้แต่อาจารย์ถานอิ้นก็เกิดอารมณ์ขุ่นมัว อาจารย์เจวี๋ยหย่วนกำหมัดแน่นจนเกิดเสียงดังเอี๊ยดๆ พระผู้เยาว์ที่ปรนนิบัติในห้องลุกขึ้นมาเตรียมขับไล่แต่ถูกเฉิงฉู่มั่วสกัดเอาไว้


 


อาจารย์อวี้หลินที่นั่งเข้าฌานอยู่บนเตียงลืมตาขึ้นมากะทันหัน ท่องคำว่าอู๋เลี่ยงโซ่วฝูแล้วก็พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ข้ายังนึกว่าใครมา ไม่นึกว่าจะเป็นอวิ๋นโหว พระพุทธเจ้าศักดิ์สิทธิ์จริง ข้ารออยู่นานแล้ว”


 


อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจว่าพระชราพูดอะไร คว้าข้อมือพระชราแล้วจับชีพจร พบว่าชีพจรเต้นแรงมีพลังยังดีกว่าของตัวเองอีก แม้คิดจะตายก็ยังยาก


 


“พระเฒ่าเอ๋ยท่านจบสิ้นแล้ว ดูชีพจรท่านอยู่เกินร้อยได้สบายมาก ทีนี้ก็ดีเลยที่ไม่ตายก็จะตายแล้ว” ท่าทางสมน้ำหน้าเต็มที่ตามแบบอวิ๋นเยี่ย


 


ทั้งถานอิ้นกับเจวี๋ยหย่วนกำลังจะพูดก็โดนอาจารย์อวี้หลินไล่ออกไป เฉิงฉู่มั่วก็โดนถานอิ้นคว้าคอเสื้อหิ้วออกไปด้วยชนิดไม่มีสิทธิ์ต่อต้านเลย หนิวเจี้ยนหู่รู้ตัวดี พอได้ยินที่อวิ๋นเยี่ยพูดก็รู้ว่าเรื่องไม่ธรรมดาเลยลากซ่านอิงออกไปด้วย ในห้องคงเหลือเพียงอาจารย์อวี้หลินกับอวิ๋นเยี่ย


 


อวิ๋นเยี่ยกางแข้งกางขาบนพื้นห้องพูดอย่างเหนื่อยหน่ายว่า “พระเฒ่าเอ๋ย ที่เคยโม้ๆไว้แต่ก่อนเวลานี้กรรมตามสนองแล้ว อยู่ดีๆเอาอายุขัยตัวเองมาต่อรองด้วย เวลานี้คนมาเรียกร้องเอาแล้วท่านจะว่าอย่างไรดี”


 


อวี้หลินก็หาวแล้วเอนกายบนเก้าอี้นอน กระดิกคิ้วขาวทำท่าลิงหลอกเจ้า อาการนี้ทำเอาอวิ๋นเยี่ยสดุ้งเฮือกลุกขึ้นมานั่งตัวตรง “พระเฒ่า ท่านไม่กลัวตายจริงหรือ หรือคิดจะเบี้ยวหนี”


 


“ข้าอยู่มาถึงปีนี้เก้าสิบปีเต็มแล้วอีกเพียงสามวันก็จะถึงวันเกิดปีที่เก้าสิบเอ็ด จะสำคัญอะไรถ้าอยู่มากขึ้นหรือน้อยลงสักกี่ปี อวิ๋นโหวจะมาทำให้ข้าตื่นเต้นตกใจยังไม่เข้าขั้นหรอก”


 


อวิ๋นเยี่ยถอนหายใจ ใครจะไปนึกว่าพระสงฆ์ระดับสุดยอดแห่งยุคจะเป็นจอมกะล่อน เป็นทั้งกะล่อนทองกะล่อนเงิน


 


“อวิ๋นโหว เพียงแค่ฝ่าบาทตอบตกลงให้ข้าได้ตู้เตี๋ยเพิ่มขึ้นปีละหนึ่งในสิบส่วน สมบัติของวัดไม่โดนทางโลกเข้ามารุกล้ำแล้วเจ้ายกข้าไปจุดไฟเผาได้เลยทันที ไม่แน่ว่าเจ้าอาจเก็บอัฐิบางเม็ดของข้าไว้ไปบูชาในศาลเจ้าประจำตระกูลของเจ้า ถือเป็นเกียรติยิ่งใหญ่เลยทีเดียว”


 


“ครั้งก่อนที่ท่านคุยกับฝ่าบาทไม่ได้พูดเช่นนี้ ท่านอ้างพระพุทธพระธรรมทุกคำ หลักเซ็นลึกล้ำคำพูดแฝงความหมายเข้าใจยากเย็น จนข้าเองยังฟังไม่รู้เรื่องว่าท่านพูดอะไรกัน แต่เวลานี้กลับพูดเหมือนเป็นจอมกะล่อน เพราะอะไรหรือ”


 


อวิ๋นเยี่ยไม่เข้าใจเลยว่าพระชราบำเพ็ญเพียรลึกล้ำ รู้อยู่ว่าอายุขัยตัวเองไปได้อีกยาวแล้วทำไมจึงต้องเอาชีวิตตัวเองมาทำเป็นเล่น


 


ข้าสวดมนตร์บูชาพระมาแล้วแปดสิบปี สำหรับข้าแล้วมูลสุนัขก็เป็นพระ ดินโคลนก็เป็นพระ จอมกะล่อนก็เป็นพระ ข้าแปลงร่างได้ร้อยแปดพันอย่างแต่เวลานี้เป็นจอมกะล่อน เจ้าจะทำอะไรข้าได้”


 


พูดจบเพื่อแสดงตัวตนว่าเป็นจอมกะล่อน ถึงขนาดม้วนแขนเสื้อขึ้นมาควักขนมเส่าเกาจากตะกร้าหนึ่งชิ้นกินอย่างเอร็ดอร่อย อวิ๋นเยี่ยก็ไม่ยอมแพ้ควักออกมาหนึ่งชิ้นด้วย ครึ่งชิ้นที่อยู่ข้างบนทั้งคู่ต่างไม่แตะต้อง


 


“พระเฒ่า ทำไมท่านไม่กินครึ่งชิ้นข้างบนกลับต้องเอาชิ้นเต็มที่อยู่ข้างล่าง”


 


“เจ้าไม่ใช่ทำเหมือนกันหรือ ครึ่งชิ้นข้างบนติดกลิ่นสัตว์เลี้ยงทำให้รสชาติหายไปครึ่งหนึ่ง ข้าชอบชนิดที่มีหัวมีท้ายไม่ชอบชนิดเริ่มต้นหรือจบลงกลางคัน”


 


ได้ยินคำพูดนี้แล้วอวิ๋นเยี่ยตกใจจนทำเส่าเกาในมือตกพื้น ถามอวี้หลินอย่างฝืดๆว่า “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าครึ่งหนึ่งนั้นป้อนให้วั่งไฉบ้านข้ากินไป” สาวน้อยสือสือเพียงแค่หักออกครึ่งชิ้นป้อนวั่งไฉไม่ได้ใช้ปากกัด เขารู้ได้อย่างไรกัน หรือว่ามีอภินิหารจริงๆ


 


“พวกเจ้ามนุษย์ทางโลกรู้น้อยมักตกใจมาก เรื่องง่ายๆมักจะคิดไปทางสลับซับซ้อน ก็สือสือบอกข้าไม่ได้หรือ นางเป็นเด็กดีที่ทั้งฉลาดทั้งเชื่อฟัง เป็นดอกไม้ป่าแสนงามที่หายากนักจะพูดโกหกได้อย่างไร”


 


ในหน้าอวิ๋นเยี่ยแดงก่ำช่างน่าขายหน้าจริงๆ แต่ต่อหน้าอวี้หลินมนุษย์เทพผู้โด่งดังคนนี้ใครจะไม่คิดไปทางสลับซับซ้อน คิดว่าพระเฒ่าจะต้องมีอภินิหารแน่นอนทำให้สามารถรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ ไม่นึกเลยว่าเพราะมีคนอื่นบอกให้รู้


 


“พระเฒ่า ท่านฝ่ายพุทธเอาฮ่องเต้ไปค้าขายโดยไม่ได้บรรลุถึงอะไรกลับทำให้อดตายทั้งเป็น ในเมื่อมีตัวอย่างเช่นนี้อยู่ก่อนแล้วฮ่องเต้คนไหนจะไม่ระแวงท่านฝ่ายพุทธ ฝ่าบาทไม่ได้สังหารฝ่ายพุทธทิ้งทั้งหมดนับว่าเพราะเห็นแก่วัดเส้าหลินแล้ว ท่านยังกล้าใช้ชีวิตเป็นเดิมพันในขณะที่เขาลำบากมากที่สุด เวลานี้ผลกรรมตามสนองแล้วพระเฒ่ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือ”


 


เป็นครั้งแรกที่อวี้หลินแสดงความเจ็บปวดบนใบหน้า ท่องคำพระออกมาแล้วจึงบอกอวิ๋นเยี่ยว่า “เรื่องฮ่องเต้เหลียงอู่ตี้เป็นความผิดของฝ่ายพุทธจริงๆ คนที่เชื่อถือพระพุทธเจ้าอย่างจริงจังคนหนึ่งโดนพวกฝ่ายพุทธชั่วร้ายทำลายล้างสิ้น เพียงเพราะกิเลสตัณหา ทำให้ผู้คนทั่วแผ่นดินคับแค้นใจฝ่ายพุทธ ทั้งตู้เหมินกับฝ่าหยวนพวกเจ้าต่างเป็นคนชั่วร้ายของฝ่ายพุทธ เดิมทีเพียงต้องการให้พวกเจ้าช่วยเหลืออู่ตี้เพื่อให้มีสันติสุขทั่วแผ่นดินราษฎรร่ำรวย ปรากฏเมืองพุทธที่แท้จริงออกมา ที่ไหนได้เรื่องดีๆที่จะทำให้เกิดการสร้างผลบุญชั่วลูกชั่วหลาน กลับถูกความโลภในทรัพย์สมบัติทำลายล้างจนหมดสิ้น การที่ฝ่ายพุทธมีเคราะห์กรรมเช่นทุกวันนี้เกิดขึ้นจากความโลภ ทุกอย่างล้วนมีต้นสายปลายเหตุ เวลานี้เป็นช่วงที่ฝ่ายพุทธจะต้องโดนชำระล้าง อวิ๋นโหว แค่ชีวิตของข้าคนเดียวจะชำระหนี้บาปนี้หมดได้อย่างไร หากลบล้างได้เพียงหนึ่งในหมื่นข้าเองก็ยินดีที่จะพร้อมตายอย่างยิ่ง”


 


เวลานี้พระเฒ่าไม่เหลือทางอื่นให้ไปได้อีกแล้วต่างกับบันทึกในประวัติศาสตร์ หลี่ซื่อหมินแข็งกร้าวกับฝ่ายพุทธรุนแรงขึ้นสมบัติของวัดต้องเสียภาษีแล้ว การบวชเด็กเล็กมีความผิดเท่ากับซื้อขายเด็ก ทางการเฝ้าดูวัดวาอารามโดยไม่ยอมละสายตาแม้แต่นิด ทรัพย์สินเงินทองที่สะสมมายาวนานรวมทั้งที่ปล่อยเงินกู้ต่างๆเป็นกองสมบัติมหาศาล เหล่าพระสงฆ์ทำผิดเงื่อนไขเพียงน้อยนิดก็อาจถึงขนาดโดนล้างวัดจนหมดสิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกไม่ถึงห้าสิบปีฝ่ายพุทธจะต้องถอนตัวออกจากส่วนกลางจงหยวน ทั้งยังถูกฝ่ายเต๋าโจมตีทุกวิถีทางคอยเบียดเบียนฝ่ายพุทธ พุทธมามกะนับวันมีแต่จะลดน้อยถอยลง หากรากฐานถูกทำลายแล้วก็ไม่อาจจะคืนกลับมาได้อีก


 


“ท่านฝ่ายพุทธยึดครองภูเขาลือนามทั่วแผ่นดิน การซ่อมแซมหลังคาเหล็กวัดหลินเหยียนเมื่อครั้งเจินกวนปีที่สามร่ำลือทั่วหล้าว่าใช้เหล็กถึงหนึ่งแสนชั่ง เวลาฟ้าผ่าบนนั้นเหล็กหลอมละลายเป็นทางจนเกิดแสงสว่างไปทั่วอาณาบริเวณ แค่เพียงจุดนี้ก็เห็นได้ถึงฐานรากที่หนักแน่นและความแข็งแกร่งของท่านฝ่ายพุทธ พระเฒ่า ท่านฝ่ายพุทธโลภในทรัพย์สินมากเกินไปโดยไม่ได้ทำประโยชน์ให้แผ่นดินแม้แต่นิด หากฝ่าบาทไม่จัดการพวกท่านแล้วจะไปจัดการกับใครหรือ”


 


อวิ๋นเยี่ยลุกขึ้นมานั่งแล้วเริ่มเจรจากับพระชราอย่างจริงจัง นี่เป็นภารกิจที่หลี่ซื่อหมินกับจั่งซุนมอบหมายให้เขาทำ ที่อาจารย์อวี้หลินป่วยหนักนั้นมีข่าวไปถึงฉางอัน หลี่ซื่อหมินนึกถึงเรื่องที่เคยคุยกับอวี้หลินครั้งก่อน หากอวี้หลินสามารถบอกวันตายตัวเองได้แม่นยำก็จะยอมพิจารณาผ่อนผันทางรอดให้ฝ่ายพุทธได้บ้าง อวี้หลินบอกทันทีว่าตัวเองจะอยู่ได้ไม่เกินเก้าสิบปี ในเมื่อเวลานี้ได้ข่าวอวี้หลินป่วยหนัก จะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าอวี้หลินกำลังเร่งให้เขาทำตามที่เคยรับปากไว้ เมื่ออวิ๋นเยี่ยบอกว่าจะไปนมัสการวัดเส้าหลินจึงมอบหมายภารกิจนี้มาด้วย เส้นตายของหลี่ซื่อหมินคือฝ่ายพุทธจะต้องควบคุมจำกัดขนาด จะต้องชำระภาษี จะทำธุรกิจร่วมกับเอกชนไม่ได้ ทำได้เพียงตั้งอกตั้งใจสวดมนตร์เท่านั้น


 


สีหน้าของอวี้หลินเศร้าโศกมากยิ่งขึ้น จากน้ำเสียงของอวิ๋นเยี่ยเขาฟังออกถึงความแข็งกร้าวของหลี่ซื่อหมิน ต่อให้ครั้งนี้ตัวเองตายไปตามกำหนดแล้วหลี่ซื่อหมินทำตามสัญญายอมผ่อนปรนให้ทางรอดได้บ้าง แต่ใครจะรับรองได้ว่าต่อไปจะไม่เพิ่มความเข้มงวดขึ้นมาอีก เวลานี้วัดวาอารามราชวงศ์ใต้จำนวนสี่ร้อยแปดสิบวัดกลายเป็นวัดร้าง เป็นที่อยู่ของวิญญาณเร่ร่อนสัมภเวสี การกดขี่จากทางการและฝ่ายเต๋าราวกับไฟลามทุ่ง ฐานะของฝ่ายพุทธตกต่ำสุดขั้วจนไม่เหลือความรุ่งเรืองสง่างามในอดีตอีกต่อไป


 


“อู๋เลี่ยงโซ่วฝู ข้าได้ทำจนสุดความสามารถแล้ว ขอให้บาปกรรมทั้งปวงจงมาตกอยู่ที่ตัวข้า ให้เพลิงดอกบัวแดงเผาผลาญบาปเคราะห์ฝ่ายพุทธข้าให้สิ้น ในเมื่ออวิ๋นโหวมาแล้วก็อยู่ชมพิธีกรรมของข้าเลยดีไหม”


 


พูดจบแล้วอวี้หลินก็กลับกลายสู่สภาพที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรอื่นอีก อ๋อ ก็คือท่าทางจอมกะล่อนของเขา


 


“ใครจะมีแก่ใจมาดูเพลิงเผาพระเฒ่า ที่ข้ามาวัดเส้าหลินก็เพื่อขอบุตร ตระกูลอวิ๋นมีทายาทน้อยนิด หากยังมัวแต่ทำตาปริบๆดูพระเฒ่าถูกเพลิงเผาตายแถมเก็บอัฐิไม่กี่เม็ดไปค้ากำไร ไม่แน่ว่าชาตินี้ข้าคงไม่ต้องคิดมีทายาทอีก ดังนั้นเรื่องนี้ข้าไม่เกี่ยวข้องด้วย หากท่านอยากเผาก็เผา อัฐิโชคร้ายของท่านนั้นตระกูลอวิ๋นไม่กล้ารับไป”


 


แววตาเฉียบคมของอวี้หลินฉายแสงแวววับก้มกายลงกระซิบว่า “อวิ๋นโหวเป็นคนที่เกิดจากการรวมปัญญาฉลาดเฉลียวของมวลมนุษย์ เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในแผ่นดิน ไม่เคยได้ยินว่าฉีหลินมีท้องละเจ็ดแปดตัว ทายาทนั้นมีแน่นอนแต่ไม่ได้มีมากเด็ดขาด มีแต่หมูที่มีลูกทีเดียวเจ็ดแปดตัว หมูเจ็ดแปดตัวย่อมเทียบไม่ได้กับฉีหลินตัวเดียว ไม่รู้ว่าอวิ๋นโหวมีแผนเด็ดอะไรที่จะช่วยข้าฝ่ายพุทธได้”


 


ฟังอวี๋หลินเปรียบเทียบชุ่ยๆแล้ว อวิ๋นเยี่ยพ่นความชั่วร้ายออกมาจากอกจนได้ บอกอวี้หลินว่า “ต้นกำเนิดของศาสนาคืออะไร พวกท่านละทิ้งหลักการความเชื่อของตัวเองและเดินเส้นทางผิดไปไกลมากแล้ว ทำไมจึงยังหวังจะได้รับผลที่ดีอีกเล่า”


 


“อวิ๋นโหวพูดผิดแล้ว พุทธไม่เคยบังคับฝืนใจให้คนทำในสิ่งที่เขาไม่อยากทำ พุทธเพียงแต่บอกผู้คนว่าอะไรคือสิ่งดีงาม อะไรคือสิ่งชั่วร้าย ให้ตัวเขาเองเลือกสิ่งดีงามหรือสิ่งชั่วร้าย ชีวิตนั้นอยู่ในกำมือของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่มีคำว่าต้นกำเนิด มีแต่ความว่างเปล่า”


 


อวิ๋นเยี่ยนึกไม่ถึงว่าอวี้หลินจะอธิบายหลักธรรมะเช่นนี้จึงเกิดความสนใจอย่างมาก พูดกับอวี้หลินอีกว่า “ตามที่ท่านว่านั้นการศึกษาพุทธก็คือการฝึกความเป็นมนุษย์นั่นเอง ท่านดูพวกพระสงฆ์ที่บุ้ยปากท่องมนตร์ราวกับว่าพวกเขาจึงเป็นฝ่ายพุทธแท้จริง โบสถ์วิหารสร้างอย่างวิจิตรพิสดาร เกรงว่าพระพุทธรูปจะไม่ใหญ่โตพอ เกรงว่าคนมานมัสการไม่มากพอ เบื้องหน้าอยู่ในศีลในธรรม เบื้องหลังกลับสกปรกโสมม เห็นแล้วเป็นอย่างไร พระเฒ่า หากท่านไม่ปรับปรุงพุทธศาสนา แม้ครั้งนี้ท่านจะรอดพ้นเคราะห์กรรมนี้ เร็วช้าสักวันหนึ่งพวกท่านจะต้องโดนคนทั้งหมดทอดทิ้ง”


 


“คนดีงามทำผิดเพี้ยน ความผิดเพี้ยนยังดีงาม คนผิดเพี้ยนทำดีงาม ความดีงามยังผิดเพี้ยน ทุกสิ่งล้วนจิตสรรสร้าง” อาจารย์อวี้หลินราวกับกลายเป็นพระสงฆ์คุณธรรมสูงยิ่งอีก นั่งด้วยทีท่าที่น่าเกรงขาม ทำให้อวิ๋นเยี่ยนึกสงสัยอย่างมากว่าตัวเองตาฝาดไปหรือไม่


 


“การเปลี่ยนแปลงเป็นสาเหตุที่ฝ่ายพุทธสามารถอยู่ได้ถึงสองพันปีโดยไม่เสื่อมถอย ตั้งแต่เทียนจู๋ปรากฏศาสนาพุทธขึ้นมา ได้ผ่านพายุฟ้าฝนมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง เวลานี้ก็ยังคงเจริญไม่เสื่อมถอย ศาสนาพุทธเผยแผ่มาทางทิศตะวันออก พระสงฆ์ผู้ทรงศีลสูงยิ่งไม่รู้เท่าไรได้ปรับปรุงตลอดเวลา ละทิ้งกระพี้ให้เหลือแต่แก่นสาร ทำให้แผ่นดินต้าถังมีหลักธรรมสารพัด ทุกคนต่างต้องการปรับปรุงแต่ไม่มีใครริเริ่มทำจริง อวิ๋นโหว ข้ายังขาดโอกาส”


 


“โอกาสมีอยู่แล้ว มีพระสงฆ์ที่โง่กว่าท่านคนหนึ่งเดินทางไกลหมื่นลี้ไปยังเทียนจู๋ นึกอยากจะแก้ไขสภาพการณ์ที่มีสารพัดหลักธรรมตามที่ท่านว่า ข้าคาดคะเนว่าปีหน้าหรือปีมะรืนก็ควรกลับมาได้ ถึงเวลานั้นพวกท่านจะแก้ไขปรับปรุงหลักธรรมปรับปรุงคำสอนก็จะไม่เกี่ยวข้องกับข้า คำพูดเหล่านี้พอออกนอกประตูนี้แล้ว ข้าจะลืมหมดสิ้น จำได้เพียงแค่ว่าข้ามานมัสการวัดเส้าหลิน 

 

 


ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...

 

ตอนที่ 53 ตำนานพระสงฆ์กวาดพื้น

 

 


“อวิ๋นโหวยังจำเสวียนจั้งได้? เขาสามารถทำสำเร็จไหม” อวี้หลินลุกขึ้นยืนแล้วมองอวิ๋นเยี่ยเพื่อขอคำยืนยันด้วยความหวังเต็มเปี่ยม


 


“ฟ้าไม่แล้งน้ำใจต่อคนที่มีความเพียร เสวียนจั้งจะประสบผลสำเร็จ ข้าเคยพบหน้าเขาครั้งหนึ่งที่รกร้างฮวงหยวน เวลานั้นเขาอยู่ในสือกั๋วแล้ว คนเจาอู่จิ่วซิ่งไม่ทำร้ายพระสงฆ์ที่แสวงหาธรรมะ ข้ากำลังรออ่านบทประพันธ์ไซอิ๋วที่เขาเขียนอยู่”


 


“พระพุทธเมตตา ขอให้คุ้มครองเสวียนจั้งกลับมาโดยสวัสดิภาพ ความหวังที่จะช่วยให้ศาสนาพุทธรุ่งเรืองต้องอาศัยเขาแล้ว” อาจารย์อวี้หลินพนมมือไหว้ไปทางทิศตะวันตกด้วยความศรัทธาเต็มเปี่ยม


 


“พระเฒ่า ที่ข้ารังเกียจที่สุดก็คือพวกท่านเอะอะก็จะโยนภารกิจที่หนักหน่วงให้ไปกดทับอยู่ที่ใครคนหนึ่ง ตัวเองเพียงแค่ยืนมองอยู่ข้างๆรอคอยให้บังเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นมา หากพวกท่านล้วนมีความคิดเช่นนี้สู้ยกเลิกวัดวาอารามแล้วต่างแยกย้ายกันไปยังจะดีกว่า”


 


คุยกันถึงนี่แล้วอวี้หลินก็พอรู้ถึงเส้นตายพื้นฐานของฮ่องเต้ นโยบายโดยพื้นฐานที่เขาเตรียมดำเนินการต่อคือไม่ล้มล้างศาสนาพุทธแต่ก็ไม่เผยแผ่ธรรมะ ยังคงกดดันฝ่ายพุทธอย่างต่อเนื่อง สนใจเพียงสมบัติของวัดพุทธแต่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับหลักคำสอนมากนัก นับว่าเป็นความโชคดีท่ามกลางความโชคร้ายอย่างมากแล้ว


 


อวิ๋นเยี่ยคิดแล้วพูดอีกว่า “ไม่ทราบอาจารย์สนใจที่จะสร้างวัดในพื้นที่ทุ่งหญ้าหรือไม่ ข้ามีทุ่งหญ้าเล็กๆผืนหนึ่งในพื้นที่ทุ่งหญ้า มีคนทำปศุสัตว์ราวสี่ห้าพันคน ข้าอยากให้พวกเขามีที่พึ่งทางใจ ไม่ทราบว่าอาจารย์มีความเห็นเช่นไร”


 


“สร้างวัดเวลานี้ย่อมทำได้อยู่ เพียงแต่ตู้เตี๋ยต้องรบกวนอวิ๋นโหวออกแรงด้วย ข้าได้ยินว่าอวิ๋นโหวมีอิทธิพลพอสมควรทางใต้ สู้ข้าสร้างวัดสักแห่งทางใต้ด้วยจะดีไหม”


 


ในโลกนี้ไม่มียอดฝีมือที่ยอมให้อะไรต่ออะไรผ่านหูผ่านตาไปได้ง่ายๆ อวิ๋นเยี่ยเพิ่งคิดจะให้เหล่าพระสงฆ์ช่วยเป็นที่พึ่งทางใจให้คนทำปศุสัตว์ในทุ่งหญ้า เขาก็วางแผนไปถึงอาณาจักรของหลี่อันหลาน เอาเถอะ ให้พวกคนป่าคนเถื่อนบนต้นไม้ที่หลงเชื่อผีเชื่อวิญญาณพิสดารทั้งต้องอาศัยเลือดมนุษย์เพื่อความเฮี้ยน มานั่งท่องอมิตตพุทธด้วยกันก็ดีเหมือนกัน จึงเปิดประตูเอากล่องไม้จากมือหนิวเจี้ยนหู่ยื่นให้อาจารย์อวี้หลิน ขยี้จมูกแล้วพูดว่า “อาจารย์ นี่เป็นตู้เตี๋ยที่ใช้เงินจำนวนมหาศาลถึงได้จากฝ่าบาท มีทั้งหมดสิบหกใบล้วนเป็นตู้เตี๋ยของพระสงฆ์ผู้ใหญ่ หรือหมายความว่าท่านสามารถสร้างวัดได้สิบหกแห่ง แน่นอนว่าในกวนเน่ย เหอตง เหอเป่ย เจี้ยนหนาน ไหวหนาน ไหวเป่ย หล่งโย่ว พื้นที่เหล่านี้ตั้งไม่ได้ แต่พื้นที่ทุ่งหญ้ากับหลิ่งหนานนั้นไม่มีปัญหา”


 


“พระกษิติกัรบาสาบานว่าหากนรกไม่ว่างเปล่าจะไม่ยอมตรัสรู้ ข้ายินดีเป็นผู้บุกเบิกเปิดประตูสู่ธรรมะ ให้ชาวบ้านในพื้นที่ป่าเถื่อนมีเส้นทางเข้าสู่ทางธรรม”


 


พูดเช่นนี้แล้ว อวิ๋นเยี่ยย่อมรู้สึกดีขึ้นมามาก ถึงแม้อวิ๋นเยี่ยถูกตีตายก็ยังไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนดีจอมปลอม แต่วิธีพูดของคนดีจอมปลอมมักทำให้ผู้คนเคลิบเคลิ้ม การพูดครั้งต่อๆไปก็คงพูดเช่นนี้อีก


 


ประตูถูกผลักออกมา พระผู้เยาว์คนนั้นยกชามยาเดินเข้ามา วางไว้บนโต๊ะเตรียมปรนนิบัติอวี้หลินดื่มยา อวิ๋นเยี่ยคลุกคลีกับซุนซือเหมี่ยวมานาน ย่อมรับรู้จากกลิ่นได้ถึงสรรพคุณของตัวยา เช่นยาเหลียนเฉียวที่ลดธาตุไฟเพิ่มความโปร่งโล่งชามนี้เหมาะสมกับตัวเองอย่างมาก หลายวันมานี้รีบร้อนเดินทางจนธาตุไฟขึ้นสูงสมควรต้องให้ลดลง เพิ่งมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้พระชราไป การดื่มยาของเขาสักชามไม่น่ามีอะไรมาก ว่าไปแล้วเขาเองก็ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรที่ต้องดื่ม


 


อวิ๋นเยี่ยไม่เคยรู้จักคำว่าเกรงใจ การเป็นแขกมัวแต่เกรงใจมีแต่ทำให้ตัวเองเสียเปรียบ นี่เป็นคำสอนของท่านลุงเฉิงจำเป็นต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด รอให้ตัวเองเป็นถึงระดับท่านลุงเฉิงความรู้นี้คงจะแน่นปังแน่นอน นึกดังนี้แล้วก็ยกชามยาดื่มลงไปรวดเดียวหมด รสชาติขมมากเพราะเพิ่มหวงเหลียนลงไปด้วย รีบรับน้ำผิวส้มบ้วนปากจากมือของพระผู้เยาว์ที่กำลังตกตะลึงแล้วบ้วนอย่างแรงสองครั้งจึงคายออกมา กริยาสุดแสนไร้มารยาทอย่างที่สุด


 


พระผู้เยาว์กำลังจะออกปากตำหนิแต่อวี้หลินชิงพูดก่อนว่า “เปี้ยนจี ห้ามเสียมารยาท อวิ๋นโหวธาตุไฟขึ้นสูง ยานี้เหมาะกับเขามาก เต้าเย่ว์มักชมว่าเจ้าอายุเพียงน้อยนิดก็ได้ธรรมะขั้นสูงมีพื้นฐานแข็งแกร่ง แต่ทำไมวันนี้จึงดูอ่อนด้อยเช่นนี้ ยังไม่รีบถอยไปอีก”


 


พระผู้เยาว์รีบค้อมศีรษะขออภัยอวิ๋นเยี่ย เพิ่งมีอารมณ์โกรธเกิดขึ้นเพียงพริบตาเดียวก็ราบเรียบสุขสงบ อวิ๋นเยี่ยมองพระผู้เยาว์คนนี้อย่างสนอกสนใจ เมื่อครู่นี้ขณะที่อยู่ในเฉลียงได้ยินคนเรียกเขาว่าเปี้ยนจี อวิ๋นเยี่ยก็อยากรู้นักว่าพระผู้เยาว์คนนี้เป็นเช่นไร ใช่เป็นพระชนิดเสือซ่อนเล็บหรือไม่ เวลานี้เห็นแล้วว่าสามารถมีอารมณ์โกรธเกิดขึ้นได้ แสดงว่าไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องทรยศหักหลังชนิดชั่วร้ายได้


 


“อวิ๋นโหวทำไมจึงดูเหมือนใส่ใจเปี้ยนจีมาก ถึงขนาดใช้เรื่องยาทดสอบปฏิกิริยาของเขา เป็นเพราะอะไรหรือ” แก่จนกลายเป็นปิศาจ อวิ๋นเยี่ยสุงสิงกับเหล่าสุนัขจิ้งจอกแก่มามากมาย ไม่ต้องอธิบายมากพูดเพียงว่า “ขณะที่อาจารย์สร้างวัดให้นำเปี้ยนจีติดตัวไว้จะดีที่สุด ก่อนอายุห้าสิบอย่าได้ไปเหยียบฉางอัน มิฉะนั้นจะมีภัยมหันต์”


 


พูดจบแล้วก็ยิ้มลาอวี้หลิน ฝากจดหมายที่หลี่กังให้เต้าซิ่นไว้ที่อาจารย์อวี้หลิน แล้วเดินไพล่หลังออกจากห้องอวี้หลิน เตรียมเที่ยวชมวิววัดเส้าหลินให้เพลิดเพลิน ทั้งดูวิทยายุทธเจ็ดสิบสองชนิดตามที่เล่ากันในตำนาน


 


ถานอิ้นกับเจวี๋ยหย่วนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู พอได้ยินเสียงที่อวิ๋นเยี่ยคุยกันอย่างแช่มชื่นกับอวี้หลิน จึงได้วางใจรอคอยอย่างเงียบสงบ ถานอิ้นพอจะรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลในอาการป่วยของอวี้หลิน ทั้งๆที่ไม่มีอาการป่วยเลยแต่กลับมีท่าทางใกล้จะตาย ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเจ้าอาวาสจึงทำเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอวิ๋นเยี่ยอาจจะพอรู้บ้าง


 


มองเห็นอาจารย์อวี้หลินเดินส่งอวิ๋นเยี่ยออกมาด้วยสีหน้าแดงเรื่อสดใส ถานอิ้นก็รู้ว่าไข้ใจของอาจารย์ได้รักษาหายแล้ว พอไร้ความกังวลย่อมยินดีร่วมมือทุกอย่าง ไม่ว่าอวิ๋นเยี่ยต้องการไปที่ไหนก็ไปได้ตามต้องการ


 


ตำหนักใหญ่ต้าสยงเป่าเตี้ยนเป็นจุดแรกที่อวิ๋นเยี่ยไป การกราบไหว้พระพุทธรูปในวัดย่อมเป็นสิ่งสมควร ตำหนักเป็นสถาปัตย์ชนิดชายคาคู่พักเขากว้างห้าเจียน กลางตำหนักเป็นพระพุทธเจ้าสิทธัตถะยุคปัจจุบัน ซ้ายมือเป็นพระพุทธเจ้าเย่าซือแห่งโลกคริสตัลตะวันออกยุคอดีต ขวามือเป็นพระพุทธเจ้าอมิตตพุทธแห่งโลกสุขสันต์ตะวันตกยุคอนาคต ผนังตำหนักฝั่งตะวันออกตะวันตกเป็นรูปพระอรหันต์สิบแปดองค์ ข้างหลังกำแพงฉากกั้นเป็นรูปกวนซื่ออิน ตำหนักต้าสยงเป่าเตี้ยนวัดเส้าหลินต่างกับตำหนักต้าสยงเป่าเตี้ยนวัดอื่นๆ ด้วยด้านซ้ายขวาของพระพุทธรูปทั้งสามยุคจะมีรูปยืนของปรมาจารย์ตั๊กม้อต๋าหมอจู่ซือกับจิ่นนาหลัวหวังต้นตำรับไม้กระบองเส้าหลิน


 


จุดธูปบูชาพระพุทธรูปแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็ถูกดึงดูดสายตาจากฉีหลินสองตัวที่แบกเสากลางตำหนัก ทั้งตำหนักล้วนมีแต่รูปคนหูที่เบ้าตาลึกโตคิ้วดก แม้แต่นางฟ้าก็ยังเป็นหญิงหูที่เปลือยท่อนบน อย่างเดียวที่พอจะทำให้อวิ๋นเยี่ยชื่นใจบ้างก็คือพระโพธิสัตว์กวนอิม แต่ก็ยังถูกแขวนอยู่ด้านหลังกำแพงฉากกั้น คงมีเพียงฉีหลินที่เป็นผลผลิตจากหัวเซี่ยแท้ๆ ถึงแม้จะมีหัวมังกร ลำตัววัว ปกคลุมด้วยเกล็ดปลา ดูน่าอนาถอยู่บ้าง แต่ก็ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกผูกพันใกล้ชิดมาก


 


ความรู้สึกที่ดีต่อพระโพธิสัตว์กวนอิมสืบเนื่องจากคำพูดที่ว่า “ชายดีงามเอ๋ย เจ้ามองรับรู้ถึงสิ่งเลวร้ายทั้งสามของทุกชีวิต เกิดจิตเมตตายิ่งใหญ่ ช่วยทุกชีวิตตัดขาดสิ่งกังวล ช่วยทุกชีวิตสู่สุขอนันต์ ชายดีงามเอ๋ย ขอตั้งนามเจ้าแต่บัดนี้ ว่ากวนซื่ออิน”


 


อวิ๋นเยี่ยเองไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนี้ คงรู้เพียงว่าท่านปฏิญาณตนที่จะช่วยเหลือชาวโลก แต่ก็ยังรู้สึกแค้นเคืองที่เห็นหนวดเคราบนใบหน้าพระโพธิสัตว์กวนอิม ภาพลักษณ์ยุคหลังของพระโพธิสัตว์กวนอิมล้วนเป็นหญิงที่ใบหน้าเปี่ยมล้นด้วยความเมตตาปรานี การที่ได้เห็นภาพเป็นชายเต็มตัวแล้วออกจะยอมรับได้ยาก


 


ถานอิ้นเห็นอาการเสียดมเสียดายของอวิ๋นเยี่ย จึงหัวเราะพูดว่า “บางท้องถิ่นบูชาร่างหญิงของพระโพธิสัตว์ โดยใช้รูปร่างองค์หญิงที่สามของเมี่ยวจวงอ๋องตามตำนานเล่าขาน เมื่อบวกเข้ากับแนวทางกตัญญูกตเวทิตาของหัวเซี่ยเราแล้ว ย่อมเข้าเป็นเนื้อเดียวกันได้อย่างดี ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ต้าฉือต้าเปยกวนซื่ออินแปลงร่างให้เห็นได้นับหมื่นนับพันร่าง เพื่อขจัดภัยร้ายทั้งปวง การที่อวิ๋นโหวให้ความเคารพบูชาย่อมไม่ผิดอยู่แล้ว”


 


เคยรู้ตำนานนี้อยู่แล้ว ท่านย่าพูดเสมอว่าคนที่มีใจกตัญญูกตเวทิตาย่อมเป็นสิ่งที่ดี บุตรสาวเมี่ยวจวงอ๋องคนนั้นสละนัยน์ตาตัวเองข้างหนึ่งกับแขนอีกข้างหนึ่งเพื่อรักษาอาการป่วยของบิดา จึงได้รับพระราชทานนัยน์ตาหนึ่งพันดวงกับแขนหนึ่งพันข้างจากพระพุทธเจ้า เป็นตัวอย่างของความกตัญญูกตเวทิตาตั้งแต่โบราณกาล


 


อวิ๋นเยี่ยเคยคุยเล่นกับท่านย่า ว่าหากวันหนึ่งท่านป่วย แล้วหลานควักนัยน์ตาออกมาทั้งตัดแขนตัวเองออกมารักษาท่าน ท่านเห็นเป็นอย่างไร เกิดพระพุทธเจ้าไม่ทันเห็นความกตัญญูกตเวทิตาของหลาน ลืมให้นัยน์ตาหนึ่งพันดวงกับแขนหนึ่งพันข้างแก่หลาน หลานคงแย่แน่ๆ แต่คิดอีกที หากให้มาจริงๆ แล้วให้หลานลากแขนพันข้างกับตาพันดวงวิ่งไปโน่นไปนี่ คงทำให้คนอื่นตกใจตาย ผลการพูดล้อเล่นนี้คือโดนไม้ไปสองที


 


หน้าประตูหอไตรมีพระชรากวาดพื้นอยู่จริงๆ ชราจนดูอายุไม่ออก เฉิงฉู่มั่ว,หนิวเจี้ยนหู่กับซ่านอิงต่างรุมล้อมจดจ้องพระชรา ในนิยายของอวิ๋นเยี่ย พระชราคนนี้มีความสามารถขึ้นฟ้าลงดิน ไม้กวาดอันเดียวตีจนจอมยุทธสองคนหนีหัวซุกหัวซุน


 


ความเป็นจริงในเวลานี้ห่างไกลจากตำนานมหาศาล พระชราที่ทั้งผอมทั้งแก่สุดๆจนราวกับลมยังตีให้ล้มลงได้ เฉิงฉู่มั่วเห็นกล้ามเนื้อที่ทั้งแห้งทั้งหย่อนยานของพระชรา หนิวเจี้ยนหู่เห็นช่วงล่างที่อ่อนแอจนแทบไร้แรงยืน ซ่านอิงได้ยินเสียงหายใจหอบที่สั้นและแรงรวมทั้งเสียงก้องสะท้อนในหน้าอก ไม่ว่ามองจากมุมไหน วิทยายุทธวิเศษอย่างเดียวที่พระชรามีอยู่คงมีเพียงล้มลงวัดพื้น ไม่ได้มีแววจอมยุทธแม้เพียงนิดเดียว


 


ในฐานะที่เคารพความชรา ทั้งสามจึงไม่ได้ขอประลอง ถานอิ้นทำความเคารพพระชราด้วยอาการเคารพอย่างสูง หนิวเจี้ยนหู่พกความหวังสุดท้ายถามถานอิ้นว่า “อาจารย์ท่านนี้มีนามว่าอะไรหรือ”


 


ถานอิ้นตอบว่า “หนิวโหวเหยียน้อย พระกวาดพื้นนี้กวาดพื้นหอไตรตั้งแต่ที่ข้ามาเส้าหลิน ตอนนั้นท่านยังไม่แก่ขนาดนี้ ข้าอยู่เส้าหลินมาห้าสิบกว่าปีแล้ว หมายความว่าท่านอยู่ที่นี่มามากกว่าห้าสิบปีแล้ว”


 


หนิวเจี้ยนหู่ได้ยินแล้วยิ่งเกิดข้อกังขาในใจ หากว่าตอนนั้นพระชราอายุห้าสิบปี ตอนนี้ไม่ใช่ร้อยปีแล้วหรือ ไม่แน่ว่าอาจจะทันเห็นต๋าหมอจู่ซือใช้กกก้านเดียวข้ามแม่น้ำ


 


ไม่ว่าท่านจะมีวิทยายุทธหรือไม่ แค่อายุก็สมควรแก่การเคารพ ทั้งหมดจึงพนมมือทำความเคารพพระชราโดยไม่ได้นัดหมาย พระชราราวกับไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ ยังคงกวาดพื้นที่สะอาดสะอ้านอยู่แล้วต่อไปเรื่อยๆ


 


มาถึงหอไตรแล้วทั้งคัมภีร์ล้างไขกระดูกและคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นย่อมไม่ดูไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยบอกว่าเป็นสุดยอดคัมภีร์วิทยายุทธระดับของวิเศษที่คนธรรมดาไม่มีสิทธิ์ได้เห็น เวลานี้มีผู้ดูแลวัดมาด้วยคิดว่าคงจะได้สมปรารถนา


 


พอได้ยินคำขอของหนิวเจี้ยนหู่ทั้งสามคน ถานอิ้นหัวร่อฮ่าๆบอกว่า คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นยังอยู่แต่คัมภีร์ล้างไขกระดูกถูกฮุ่ยเข่อขโมยไปยังคงไร้ร่องรอย คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นเป็นเพียงท่าฝึกสิบสองท่า ดูพวกเจ้าทั้งสามคนต่างชอบวิทยายุทธ ดูๆหน่อยจะเป็นไรไป


 


ได้ยินถานอิ้นพูดเช่นนี้แล้ว หนิวเจี้ยนหู่ทั้งสามคนรีบพุ่งเข้าไปในหอไตรอย่างรวดเร็ว อวิ๋นเยี่ยเดินตามอย่างเอ้อระเหย เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมอวิ๋นเยี่ยจึงรู้สึกว่าพระชราราวกับมองตัวเองอยู่ แต่พอเขาหันกลับไปดูก็เห็นพระชรายังคงกำลังกวาดพื้นอย่างช้าๆอยู่เรื่อยๆ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)