เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 6 ตอนที่ 43-46
ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...
ตอนที่ 43 ติดตามต้นตระกูล
พูดถึงเรื่องนี้แล้วร่างของฉีเฉิงก็ยืดตรงขึ้นมา ถึงแม้จะโดนมัดชนิดมัดทั้งสี่เท้าก็ยังพยายามแหงนดูหน้าอวิ๋นเยี่ย อยากรู้ว่าตัวเองไปเสียท่าให้คนไหนแน่
กลุ่มพัวผีหุ้นหุ้นเอาตัวรอดเก่งที่สุดแม้จะมีโอกาสเพียงแค่เส้นยาแดงผ่าแปด ไม่จะจมดินโคลนจนมิดก็ต้องหาทางรอด แต่หากรู้ว่าไม่มีโอกาสรอดแล้วก็จะยอมก้มศีรษะรับดาบโดยไม่ร้องทุกข์เด็ดขาด
“ความรู้ของข้าได้จากมารดาข้าเองแต่น่าเสียดายที่นางสอนข้าได้เพียงปีเดียวก็ป่วยเสียชีวิต คุณชายท่านนี้ ฉีเฉิงตกอยู่ในมือท่านแล้วจะฆ่าจะแกงแล้วแต่ท่าน สงสารเพียงน้องชายทึ่มของข้าต้องตามข้าไปหาพญายมอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว หม่าชื่อเอ๋ยสู้ต่อเถอะ เจ้าอย่าได้ต้องตายเลย”
“มารดาเจ้ารู้หนังสือย่อมแสดงว่าไม่ได้มาจากครอบครัวที่ไม่ใหญ่โต อย่างน้อยก็ต้องเป็นบุตรสาวคนรู้หนังสือ ฉีเฉิง เจ้าเพียงบอกข้าว่าปา**่ที่ใช้ดาบค้อนไม้หลอกคนนั้นได้มาจากไหน ไม่แน่ว่าข้าจะปล่อยเจ้าสองพี่น้อง”
บรรดาวีรบุรุษยุคสงครามสุยถัง วีรบุรุษที่อวิ๋นเยี่ยชื่นชอบมากที่สุดก็คือสองคนที่ถือค้อนทำจากกระดาษเที่ยวข่มขู่คนอื่น ไม่รู้ว่าฉีกั๋วหย่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้านี่ถ้าหากเกี่ยวข้องทางเทือกเถาเหล่ากอ นิสัยที่มุทะลุแข็งแกร่งทั้งหนักไปทางมีคุณธรรมรู้คุณคนเช่นซ่านอิงย่อมไม่อยู่นิ่งเฉย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ยิ่งจะมีอะไรให้ทำอีกมาก
“มารดาข้าคุยเป็นเรื่องตลก มารดาข้าเป็นคุณหนูตระกูลขุนนางถูกบิดาข้าชิงตัวไปเป็นฮูหยินค่ายโจร แรกๆมารดาข้าไม่ยินยอมบิดาข้าก็ไม่บังคับ ต่อมาเกิดจลาจลหนักตระกูลมารดาข้าโดนทหารกบฏสังหารหมดสิ้น มารดาข้าจึงแต่งงานกับบิดาข้าเพื่ออยู่กินด้วยกัน เรื่องใช้ค้อนไม้ข่มขู่คนเป็นเรื่องที่มารดาข้ามอบให้บิดาข้า”
แม้ความเป็นมาจะน่าขบขันแต่อวิ๋นเยี่ยไม่ได้หัวเราะ ในขณะที่กำลังตัวเองไม่เพียงพอการยืมใช้กำลังจากภายนอกไม่ใช่ทำไม่ได้ แม้แต่ในโลกของสัตว์เรื่องเช่นนี้ก็มีอยู่เสมอ ปลาปักเป้าและอึ่งอ่างจะเห็นได้ชัดเจน เมื่อมีอันตรายก็จะพองตัวข่มขู่ศัตรูเป็นวิธีการรักษาชีวิตอย่างหนึ่ง ไม่ว่าใช้วิธีอะไรในการรักษาชีวิตย่อมไม่เกินเลย
“อย่าบอกนะว่าบิดาเจ้าคือฉีกั๋วหย่วน ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่บังเอิญเช่นนี้” อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจแล้วถึงแม้แต่หลอกให้รับก็ยังจะเอามาใช้ ไม่ว่าเขาจะรับหรือไม่รับว่าบิดาเขาชื่อฉีกั๋วหย่วน อวิ๋นเยี่ยก็ตั้งใจให้ฉีกั๋วหย่วนเป็นบิดาเขา เรื่องเช่นนี้เหล่าเจียงถนัดมากที่สุด
ฉีเฉิงตะลึงทันทีเอียงกายมองอวิ๋นเยี่ย เขาไม่เข้าใจคนเสื้อหรูหรานี้ดูทีเดียวก็รู้ว่าเป็นผู้สูงศักดิ์ทำไมจึงรู้จักบิดาเขา กั๋วหย่วนเป็นชื่อบิดาที่มารดาตั้งให้ หากไม่แล้วชื่อฉีเอ้อร์จอมชะงักฟังดูไม่ดีเท่าไร
“ทำไมท่านรู้จักชื่อบิดาข้า ท่านอายุยังน้อยไม่มีทางรู้จักบิดาข้าหรอก” อวิ๋นเยี่ยชะงักงัน พริบตาเดียวก็ยิ้มย่องผ่องใสร้องเรียกซ่านอิงที่กำลังพาวั่งไฉเดิน “เสี่ยวอิง เสี่ยวอิง มานี่ ข้าจะแนะนำพี่น้องเจ้าให้รู้จัก”
คำพูดนี้ตั้งใจหลอกล่อแต่ซ่านอิงเชื่อว่าพูดจริง โดดเข้ามาทันทีแล้วบอกอวิ๋นเยี่ยว่า “ท่านอย่ามาหลอกข้า ใครเป็นพี่น้องข้า”
อวิ๋นเยี่ยชี้ฉีเฉิงที่กำลังกระพริบตาประจบประแจงตัวเองว่า “คนนี้แหละ”
ซ่านอิงโกรธจัด คว้าคอเสื้ออวิ๋นเยี่ยว่า “ท่านดูหมิ่นข้า”
อวิ๋นเยี่ยโดนหิ้วขึ้นมาแต่ยังคงสีหน้าเดิม ยิ้มพูดว่า “ซ่านอิง เรื่องนี้เจ้าไม่มีทางเลือก บิดาเจ้ากับบิดาเขาเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายกัน บิดาเขาไม่ได้ผิดต่อตระกูลซ่านเจ้า หรือพูดกลับกัน การที่เขากลายเป็นเช่นนี้เพราะโดนผลร้ายจากบิดาเจ้า เจ้ามีอาจารย์มีบ่าวไพร่คุ้มครองแต่เขาไม่มี อยู่กับมารดาถูกดูหมิ่นเหยียดหยามในเมืองลั่วหยาง เวลานี้เจ้ายังไม่ยอมรับพี่น้องที่โชคร้ายคนนี้ของเจ้าอีกหรือ อ๋อ ตอนนี้เจ้าเป็นยอดฝีมือย่อมดูถูกพี่น้องที่เหมือนขยะสังคม ไม่เช่นนั้นข้าอาสาช่วยเจ้าใช้ดาบฟันเขาทิ้งให้หมดเรื่องหมดราวไปเลยจะดีไหม”
ลิ้นอสรพิษของอวิ๋นเยี่ยพ่นพิษร้ายออกมา แต่ละคำพูดเหมือนบาดเข้าหัวใจซ่านอิง เขาคลายอวิ๋นเยี่ยออกแล้วถามเสียงแหบแห้งว่า “บิดาเขาเป็นใคร บิดาข้าติดค้างเขาตั้งแต่เมื่อไร พูดให้ชัดเจนไม่เช่นนั้นอย่าโทษว่าข้าทำเกินเหตุ”
“ชื่อฉีกั๋วหย่วน หากมารดาเจ้าไม่เคยบอกเจ้ามาก่อนก็ถือว่าข้ากำลังพล่าม พี่น้องสองคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ข้างกายบิดาเจ้ามีคนหนึ่งคือบิดาเขาฉีกั๋วหย่วน บุญคุณนี้ตระกูลซ่านเจ้าติดค้างเขามากมาย เป็นอย่างไรจะให้ข้าฟันเขาหรือไม่”
ขณะที่ฉินฉยงรู้จากอวิ๋นเยี่ยว่าซ่านสยงซิ่นยังมีทายาทก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้อวิ๋นเยี่ยฟังอย่างละเอียดลออ ฉีกั๋วหย่วนก็คือพี่น้องคนสุดท้ายของซ่านสยงซิ่นที่ตายในการรบครั้งสุดท้าย แม้ตายก็ยังไม่เสียใจที่ติดตามซ่านสยงซิ่น
ซ่านอิงกำพร้าแต่เล็กจึงเห็นเรื่องความสัมพันธ์ครอบครัวสำคัญที่สุด ไอ้เบื๊อกนี่ก็คือคนมั่วซั่วที่เห็นพี่น้องเหมือนแขนขาเห็นผู้หญิงเหมือนเสื้อผ้าแบบผู้ชายในตำนาน อวิ๋นเยี่ยไม่ต้องการเลยที่จะใช้ต้ายาเป็นเชือกมัดซ่านอิงเพราะเชือกเส้นนี้มัดได้ไม่หนาแน่นพอ เวลานี้มีฉีเฉิงตกลงมาจากท้องฟ้า สำหรับอวิ๋นเยี่ยแล้วยังดีใจยิ่งกว่าหลินเม่ยเม่ยตกลงมาจากท้องฟ้า หากผู้หญิงเป็นเชือกที่สามารถมัดนิ้วมือเขาได้สักนิ้วหนึ่ง เชือกพี่น้องเส้นนี้จะเป็นเชือกหนังวัวที่สามารถมัดซ่านอิงจนกระดุกกระดิกไม่ได้
สำหรับซ่านอิงแล้วยศถาบรรดาศักดิ์เปรียบเสมือนผักหญ้าแค่ยื่นมือก็ได้แล้ว แต่ถ้าเป็นตัวฉีเฉิงก็คงไม่ใช่แล้ว ความดีใจของอวิ๋นเยี่ยมีมากจนเขาอยากร้องเพลง‘หลันฮวาฮวา’มาระบายอารมณ์ตัวเอง แต่พอเห็นอาการซ่านอิงทั้งเจ็บปวดทั้งยินดีแล้วกดความรู้สึกอยากร้องเพลงของตัวเองไว้แล้วดันซ่านอิงไปอยู่ข้างตัวฉีเฉิง ตัวเองเดินมือไพล่หลังไปหาซินเย่ว์ ไม่รู้ว่าข้าวเตียวหูเมนูสุดยอดของนางทำเสร็จหรือยัง
เฉิงฉู่มั่วและหนิวเจี้ยนหู่ต่างยกข้าวชามใหญ่คนละชามบนนั้นเต็มไปด้วยเนื้อตุ๋น นั่งกินอยู่บนก้อนหินอย่างไม่มีมาดของผู้ดีมีสกุลเลย พอเห็นอวิ๋นเยี่ยเข้ามาก็ถามว่า “เจ้าไปทำให้ซ่านอิงคลั่งอะไร ดูเขาดีอกดีใจแล้วก็ร้องไห้โฮอยู่กับโจรเสี่ยงหม่าคนนั้น”
“ฉู่มั่ว นับขึ้นมาแล้วโจรเสี่ยงหม่าคนนั้นก็เป็นพี่น้องเจ้าด้วย บิดาเขาคือฉีกั๋วหย่วน” พูดจบก็มุดเข้ากระโจมเตรียมเอาข้าวให้ตัวเอง ทิ้งเฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่ที่กินข้าวไม่ลงอีกทั้งยังคงงงอยู่นอกกระโจม
ตระกูลอวิ๋นมีพลังมนตราชนิดหนึ่ง พลังมนตราที่สามารถทำให้คนไปในทางร้าย สามหญิงสูงศักดิ์ในกระโจมต่างยกชามที่ใหญ่กว่าศีรษะพวกนางกินข้าวกันอยู่ กินจุอย่างมาก แม้แต่อรชรอ้อนแอ้นอย่างจิ่วอีก็ยังกินไปครึ่งชามแล้ว ระหว่างนี้ออกกำลังกันมาก อีกทั้งเป็นช่วงอายุสิบเจ็ดสิบแปดกำลังกินกำลังนอน การกินจุเช่นนี้ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลก
ก่อนหน้านี้พวกนางยังขี้อายกันบ้างต่างเกรงใจไม่กล้ากินมาก แต่ตอนนี้ไม่ต้องแคร์กันแล้ว พอเห็นอวิ๋นเยี่ยเข้ามาซินเย่ว์วางชามลงแล้วตักข้าวให้อวิ๋นเยี่ยทั้งเติมเนื้อตุ๋นอีกมากมายไว้ข้างบน ยกให้อวิ๋นเยี่ยแล้วก็นั่งลงทั้งกินทั้งคุยกันต่อกับสาวอีกสองคน
ยกชามข้าวออกนอกกระโจมแล้ว เห็นเฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่กำลังเหม่อมองซ่านอิงที่ทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ ชามข้าวถูกวางอยู่ข้างๆ ราวกับไม่มีอารมณ์แม้แต่จะกินข้าวอีกต่อไป
อวิ๋นเยี่ยพุ้ยข้าวเข้าปากเต็มคำแล้วผงกศีรษะ ฝีมือซินเย่ว์ดีขึ้นมาอีก ข้าวเตียวหูที่อ่อนนุ่มแกล้มด้วยเนื้อตุ๋นมันย่องช่างเข้ากันดีนัก อร่อยกว่าข้าวส่านฟั่นของซีเป่ยอีก พออารมณ์ดีย่อมกินได้ลื่นคอทั้งยังมีละครชีวิตพี่น้องพบกันให้ดูอีก ข้าวหนึ่งชามพริบตาเดียวก็ไม่เหลือร่องรอย กินอีกไม่ได้แล้วไม่เช่นนั้นคืนนี้คงอึดอัด ซินเย่ว์ยกกาน้ำชามาให้อวิ๋นเยี่ย อุณหภูมิกำลังดี ได้ภรรยาที่เอาอกเอาใจช่างเป็นเรื่องดีจริงๆ
ละครชีวิตยังคงมีต่อ เพียงแต่ฉีเฉิงออกอาการชัดเจนว่าไม่อิน มักจะแอบดูชิ้นเนื้อในชามของบ่าวไพร่ตระกูลอวิ๋น ควรรู้ว่าตั้งแต่เช้าจนป่านนี้เขายังไม่ได้กินข้าวแม้แต่คำเดียว เมื่อวานกินอะไรก็ลืมหมดแล้ว เวลานี้เห็นคนอื่นกินกันอย่างเอร็ดอร่อยแต่ท้องตัวเองกำลังกระตุกด้วยความหิว
ความจริงอวิ๋นเยี่ยประหลาดใจนักว่า คนต้าถังมักเห็นเรื่องสัญญาของบรรพบุรุษสำคัญกว่าชีวิต การจับคู่ตั้งแต่อยู่ในท้องมีน้อยมากที่เกิดการพลิกลิ้นขึ้น คนที่ทิ้งคนจนรับคนรวยมีตัวอย่างให้เห็นน้อยมาก เมื่อเกิดขึ้นจึงกลายเป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมา
หากสองคนสัญญากันว่าจะร่วมกันช่วยเหลือให้เป็นเศรษฐี คนที่จับไม้สั้นได้จะต้องตั้งอกตั้งใจช่วยเหลืออีกฝ่ายอย่างเต็มที่ หลังจากคนที่จับได้ไม้ยาวกลายเป็นเศรษฐีแล้ว ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะเสร็จนาฆ่าโคถึก เขาจะต้องช่วยเหลืออีกฝ่ายให้เป็นเศรษฐีด้วยจึงจะยอมรามือ ถึงเวลานั้นแล้วจึงจะนับว่าสัญญาเสร็จสิ้น
สำหรับอวิ๋นเยี่ยเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระแต่ก็เกิดขึ้นให้เขาเห็นอยู่รอบตัวตลอดเวลา ทำให้ส่วนลึกในใจเขานึกดูถูกตัวเองมากขึ้นทุกที สองคนที่ไม่เคยพบกันแต่หลังจากคุยกันรู้เรื่องชัดเจนแล้วก็กลายเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายกัน แม้แต่เฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่ก็ยังอยากจะมีบ้าง
อวิ๋นเยี่ยเห็นสีหน้าที่ซีดเผือดของหนิวเจี้ยนหู่ เข้าใจสาเหตุที่แท้จริงของเขาจึงตบไหล่หนิวเจี้ยนหู่ว่า “ครั้งนั้นลุงหนิวสังหารคนของซ่านสยงซิ่นหมดสิ้นในคืนเดียว ข้ารู้ตั้งแต่อยู่ที่หล่งโย่ว คนอื่นล้วนไม่กล้ารับผิดชอบ การตัดสินใจฉับพลันของลุงหนิว ข้านับถือยิ่งนัก”
“เยี่ยจื่อ เจ้าเชื่อว่าสิ่งที่บิดาข้าทำครั้งนั้นถูกต้องหรือ การสังหารพี่น้องตัวเองก็ถูกต้องหรือ” คำถามนี้รบกวนจิตใจหนิวเจี้ยนหู่มาแล้วหลายปีเพียงแต่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้จนวันนี้จึงได้ถามออกมา
อวิ๋นเยี่ยตบหน้าหนิวเจี้ยนหู่อย่างแรงจนเฉิงฉู่มั่วที่อยู่ข้างๆสะดุ้งเฮือกมองอวิ๋นเยี่ยอย่างไม่เข้าใจ ควรรู้ว่าตลอดมาต่อให้พวกเขาทำอะไรผิดอวิ๋นเยี่ยก็ไม่เคยโกรธ แต่เวลานี้กลับตาแดงก่ำราวกับจะกินคน
หนิวเจี้ยนหู่รู้ว่าตัวเองเพิ่งพูดอะไรไป การถูกตบหน้ากลับทำให้จิตใจเขาสบายขึ้นมามาก เลือดที่ไหลออกจากจมูกก็ไม่ได้เช็ด เงยหน้ายิ้มแล้วบอกอวิ๋นเยี่ยว่า “เยี่ยจื่อ ตบได้ดีมาก ข้าไม่ควรสงสัยพฤติกรรมของบิดาข้า ข้าควรเชื่อถือบิดาข้าว่าการทำเช่นนี้ย่อมต้องมีเหตุผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้าเป็นลูกชายเขา ต่อให้คนทั้งโลกเห็นว่าเขาเป็นคนเลือดเย็นแค่ไหนหรือเป็นคนเลวที่ชั่วช้า ข้าก็สมควรยืนอยู่ข้างเขาและร่วมเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก”
“หนิวเจี้ยนหู่เจ้าจำไว้ นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าได้ยินเจ้าข้องใจลุงหนิว หากมีครั้งหน้าอีกข้าจะตัดขาดเจ้า อาศัยไอคิวของเจ้ามีเหตุผลอะไรที่จะข้องใจการตัดสินใจของลุงหนิว ครั้งนั้นหากไม่ใช่ลุงหนิวตัดสินใจฉับพลัน ตระกูลฉิน ตระกูลเฉิง ตระกูลหลี่จี อีกทั้งตระกูลหนิวเจ้าเองอย่าได้คิดว่าจะมีคนรอดแม้เพียงคนเดียว ในเมื่อเข้าพวกแล้วก็ต้องยืนอย่างมั่นคงกลับใจไม่ได้ การลังเลสั่นไหวเป็นจุดตาย เจ้าคิดหรือว่าฉินอ๋องครั้งนั้นไม่ได้เตรียมแผนรับมือ พวกเจ้าสี่ตระกูลเพิ่งสวามิภักดิ์ ฉินอ๋องจึงใช้ซ่านสยงซิ่นเป็นตัวลองใจการสวามิภักดิ์ของพวกเจ้า
เวลานั้นทั่วหล้ารวมหนึ่งเป็นที่แน่นอนแล้ว ซ่านสยงซิ่นไม่รู้ดีชั่ว เพื่อตำแหน่งผู้บัญชาการเหล่าทัพยอมเป็นศัตรูกับคนทั่วหล้า ไม่ได้สนใจความเจ็บปวดของราษฎรทั่วหล้า หวางซื่อชงที่เขาภักดีเลวร้ายแค่ไหนพวกเจ้าไม่รู้หรือ การสังหารไม่ได้เกินไปเลย ตลอดชีวิตของลุงหนิวมีเป้าหมายยิ่งใหญ่เพียงหนึ่งเดียวคือทั่วหล้าไม่ให้มีใครอดตาย เพื่อมันฝรั่ง เขายอมที่จะใช้ฐานะขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ขอโทษข้าซึ่งเป็นเด็กที่ไม่มีอะไรเลย การสังหารคนเลวร้ายที่ไม่รู้ดีชั่วไม่กี่คนจะเป็นไรไป พวกเขาเป็นภัยต่อความสงบสุขของโลก เจ้ารู้ไหมว่าปลายราชวงศ์สุยสำมะโนครัวทั่วหล้ามีถึงเจ็ดล้านกว่าครัวเรือน เวลานี้มีเพียงสามล้านครัวเรือนแล้วอีกสี่ล้านกว่าครัวเรือนไปไหนแล้วเล่า ตายกันหมดแล้ว สิบแปดทัพก่อกบฏ สามสิบสองกลุ่มควันไฟ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสัตว์ร้ายกินคน พวกเขากินคนไปสี่ล้านกว่าครัวเรือนจนหมดสิ้น เพื่อป้องกันคนไม่ให้ตายมากพวกต้นเหตุก่อภัยร้ายไม่สมควรตายหรือ เจ้าคิดว่าที่ข้าพยายามลงทุนลงแรงหาวิธีจัดการซ่านอิงเพื่ออะไร หากเขามีแนวความคิดก่อกบฏแม้เพียงนิดเดียว ข้าจะสังหารเขาโดยไม่ลังเลใจทันที”
ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...
ตอนที่ 44 ชำระบุญคุณความแค้นโดยพลัน
ทำอย่างไรจึงจะมีน้องชาย เรื่องนี้ไม่สามารถหยุดยั้งซ่านอิงที่ได้รับการอบรมแบบโจรเสี่ยงหม่าตั้งแต่เล็ก หลงซันเจ้าถิ่นลั่วหยางรังแกน้องชายตามชะตาลิขิตของตัวเองเป็นเรื่องเล็กอยู่หรือ แค้นนี้ย่อมต้องชำระ ในยุทธจักรบุญคุณต้องทดแทนแค้นต้องชำระด้วยการชำระบุญคุณความแค้นโดยพลัน ส่วนคำว่าลูกผู้ชายล้างแค้นสิบปีไม่สายนั้นเขาไม่เคยเชื่อเลย สำหรับเขาแม้แต่ชั่วยามเดียวก็ยังนานเกินไป
เอาชามอ่างใส่ข้าวเต็มชามทั้งเนื้อตุ๋นใส่จนพูนยัดใส่มือฉีเฉิง ตัวเองขี่ม้าเร็วฝุ่นตลบตลอดทางไปถึงลั่วหยาง อวิ๋นเยี่ยไม่ต้องสงสัยเลยว่าอวสานของเจ้าถิ่นหลงซันมาถึงแล้ว เมื่อเจอกับอินทรีที่บินอยู่เหนือฟากฟ้าแล้วชีวิตเขาย่อมต้องเป็นโศกนาฏกรรมแน่นอน เขาไม่ใส่ใจความเป็นความตายของหลงซันแต่เขาใส่ใจฉีเฉิงมากกว่า
ฉีเฉิงเห็นชัดว่าหิวจัดแต่ก็ยังอดทนใช้ช้อนป้อนข้าวให้หม่าชื่อ หม่าชื่อได้กินยาที่ซ่านอิงให้ไปแล้วอาการดีขึ้นมากมาย เลือดเสียที่หน้าอกก็ถูกซ่านอิงใช้เข็มซันเหลิงปล่อยออกมาแล้ว ตอนนี้กำลังเอนบนเก้าอี้กินข้าวอยู่
ฉีเฉิงใส่ใจมากโดยใช้ข้าวหุ้มเนื้อตุ๋นแช่ให้แฉะก่อนแล้วจึงป้อนให้หม่าชื่อกิน หม่าชื่อกินอย่างตะกละตะกรามชนิดยกคอขึ้นแล้วกลืนเข้าไปทั้งคำอย่างรวดเร็วราวกับเป็ดที่กำลังโดนป้อนข้าว
“ไม่ต้องรีบกิน เฮลา หน้าอกเจ้าบาดเจ็บกินเร็วนักไม่ได้ เจ้าดูยังมีอีกเยอะแยะ เนื้อดีมากค่อยๆเคี้ยว เคี้ยวละเอียดแล้วค่อยกลืนแม่เราสอนเรามาเช่นนี้ ตั้งแต่นี้ไปพวกเรารุ่งเรืองแล้วไม่ต้องกินข้าวฟ่างแล้ว ข้าเพิ่งหาคนใหญ่โตที่พึ่งได้มีวิทยายุทธสุดยอดเป็นลูกของพี่น้องพ่อเรา ได้ยินว่ามีความสัมพันธ์กับโหวเหยียที่นี่อย่างดี ตอนนี้ไปจัดการหลงซันแล้ว บอกว่าเดี๋ยวจะกลับมา”
ฉีเฉิงค่อยๆเล่าเรื่องราวให้หม่าชื่อฟังแต่หม่าชื่อราวกับไม่ได้ใส่ใจ ขอให้ฉีเฉิงตัดสินใจแล้วเขาเดินตามเท่านั้น ถึงอย่างไรพี่ฉีก็ไม่ทำร้ายตัวเองแน่นอน
จนกระเพาะตัวเองเต็มแล้วเขาได้ยินเสียงท้องฉีเฉิงร้องจ๊อกๆ ทั้งยังน้ำลายมุมปากที่คอยหยดลงมา เขาพยายามดันชามอ่างข้าวไปที่ฉีเฉิงบอกว่า “พี่ชาย ท่านกิน เนื้อจะหมดแล้ว”
ฉีเฉิงยิ้มร่ากลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่บอกว่า “พูดอะไรกัน ทำไมข้าจะไม่รู้ว่าเจ้ากินจุแค่ไหน มา กินให้หมดชามอ่างนี้ให้ร่างกายฟื้นคืนไวๆ พี่จะพาเจ้าไปอุนโหรวจวี รูปร่างชุ่ยเหนียงพวกเราเคยแอบดูมาแล้วโอยขาวจริงๆ จุ๊ๆ ไว้เจ้าหายแล้วพวกเราไปกัน ข้ากินจนอิ่มแล้วตอนเมื่อครู่ที่เจ้าหลับ ข้ากินขาหมูคนเดียวทั้งขาไม่ได้เหลือให้เจ้า”
หม่าชื่อแข็งใจกินไปอีกสองคำบอกว่าเลี่ยนเกินไปแล้วกินแต่ข้าวไม่กินเนื้อ หลังจากดื่มน้ำแล้วก็ไม่ยอมกินอีก เขารู้ดีว่าพี่ฉีโกหก ตั้งแต่เล็กขนาดแย่งขนมโก๋ขึ้นรามาได้หนึ่งชิ้นยังต้องแบ่งตัวเองครึ่งชิ้น คนแบบนี้มีหรือที่มีขาหมูแล้วไม่เหลือไว้ให้ตัวเองแต่กินคนเดียวหมด
ฉีเฉิงเห็นหม่าชื่อไม่ยอมกิน มองดูในชามอ่างยังเหลือข้าวอยู่เกือบครึ่งกับเหลือเนื้ออยู่บ้าง จึงบอกว่าอย่าเสียของ แล้วยกชามอ่างโกยใส่ปากตัวเองโดยไม่ต้องหยุดหายใจ
อวิ๋นเยี่ยยืนอยู่ห่างๆแต่เห็นชัดเจนชนิดไม่ต้องแอบฟังเขาก็เดาออกว่าพี่น้องกำลังพูดอะไรกัน ใบหน้าด้านข้างของหนิวเจี้ยนหู่แดงก่ำในตามีแต่ความชื่นชมที่ปิดไม่มิด เฉิงฉู่มั่วก็เช่นเดียวกัน นี่คือเสน่ห์ของความสัมพันธ์ในยุทธภพ เขาสามารถเสกสรรปั้นแต่งให้คนหนึ่งยอมตายเพื่ออีกคนหนึ่งได้ ความสัมพันธ์เช่นนี้เป็นความสวยงามแต่ก็ทารุณมาก
ดอกไม้ในคุกและน้ำผึ้งที่หน้าผาสูงล้วนเป็นสิ่งที่สวยงามสุดยอดในโลกมนุษย์และเป็นความอร่อยสุดยอดด้วย คนที่มีความสัมพันธ์เช่นนี้มักใช้ชีวิตตัวเองเช่นเดียวกับดอกไม้ไฟที่มีแสงสีสวยงามในเวลาสั้น แต่แสงสีชนิดนี้อยู่ได้เพียงพริบตาเดียว เมื่อระเบิดออกแล้วก็หายไป
ตบหน้าหนิวเจี้ยนหู่กับเฉิงฉู่มั่วคนละฉาด เป็นเสาหลักของตระกูลใหญ่โตทำไมไปอิจฉาชื่นชมเรื่องที่พวกสิ้นไร้ไม้ตอกจึงจะทำได้ สมควรเอาศีรษะไปให้ลาเตะให้หายทึ่ม มีคนทั้งตระกูลตามหลังจะไปมีชีวิตอิสระอะไรกันนัก หากจำเป็นแล้ว ให้มีความกล้าหาญที่จะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ยังดีกว่าถือมีดไปไล่แทงคนตามถนน
“เรื่องชนิดนี้แค่คิดได้ก็พอแล้วอย่าได้ชักนำตัวเองเข้าไปยุ่ง พวกเขาทำเช่นนี้ได้แต่พวกเจ้าทำไม่ได้ ข้างบนมีผู้ชรารอให้เจ้าส่งเวลาสิ้นลม ข้างล่างมีผู้เยาว์ที่รอเจริญเติบโต หากอยากชำระบุญคุณความแค้นโดยพลันต้องรอชาติหน้าแล้ว”
“เยี่ยจื่อ ทำไมข้าจึงอยากร้องไห้ ข้าออกจะชื่นชมอิจฉาว่าพวกเราจะมีวันที่เป็นเช่นนี้ไหม” เฉิงฉู่มั่วยังอุตส่าห์ถามอีก
“ความคิดของข้าเป็นเช่นนี้ คือรอให้พวกเราแก่ชราจนเดินไม่ไหวแล้วยังสามารถมีอาการครบสามสิบสองนั่งเล่นไพ่มาจองบนโต๊ะ ถือโอกาสด่าลูกชายสั่งสอนหลานๆวางท่าเหล่าไท่เหยียไว้ ยิ่งหากมีพลังเหลือไปซ่องนางโลมได้จะดีที่สุด ผ่านชาตินี้ได้เช่นนี้เป็นความหวังของข้า ฉู่มั่ว การค้นหาข้าสามวันสามคืนบนทุ่งหญ้าเป็นเรื่องต้องห้าม คนมีสมองจะไม่ทำเช่นนั้นหรอก”
“ถ้าเช่นนั้นแล้วจะเรียกทำไมว่าพี่น้อง”
“สามารถช่วยให้ข้ามีชีวิตผ่านไปได้อย่างราบรื่นได้ในชาตินี้ก็คือพี่น้อง คำถามนี้รอไว้ให้เราแก่ชราจนไม่ไหวแล้วค่อยพูด ตอนนั้นเจ้าจะให้ข้าตามเจ้าไปปล้นพระราชวังข้าก็ไปด้วย ตอนนี้ให้คิดถึงองค์หญิงชิงเหอหลี่จิ้งภรรยาในอนาคตของเจ้าให้มากๆหน่อย เจ้าได้ไปเยี่ยมเยียนมาแล้วกี่ครั้ง”
อวิ๋นเยี่ยดูผู้ดูแลบ้านเฉียนเอาถังข้าวมาเติมข้าวเติมเนื้อให้ฉีเฉิง ถามเฉิงฉู่มั่วโดยไม่ได้หันมอง
“อพิโธ่เอ๋ย ปีนี้ชิงเหอเพิ่งอายุสิบสี่ปี ข้ากับเด็กอายุสิบสี่จะมีอะไรคุยกันได้”
“ข้าจำได้ว่าตอนที่เจ้าได้จิ่วอีมาก็อายุสิบสี่ปี ทำไมตอนนี้ไม่กลายเป็นเดรัจฉานเล่า” หนิวเจี้ยนหู่ทำเสียงเสียดสีเฉิงฉู่มั่ว
“ตอนจิ่วอีคลอดลูกสาวข้าเกือบต้องตายไป หากไม่ใช่เยี่ยจื่อกับนักพรตซุนโลกนี้ก็ไม่มีนางแล้ว เรื่องนั้นข้าไม่อยากให้เกิดขึ้นในตัวชิงเหออีก” เฉิงฉู่มั่วนึกถึงเรื่องนี้แล้วก็อดหวาดหวั่นไม่ได้ จิ่วอีคว้ามือเขาขอร้องให้เขาช่วย เหตุการณ์ที่สยดสยองเช่นนั้นเขาไม่อยากให้มีอีกเป็นครั้งที่สองในชาตินี้
“บอกเจ้าให้ ผู้หญิงราชวงศ์แต่งงานมาแล้วต้องมีชีวิตให้ดี วังองค์หญิงเส็งเคร็งนั่นอย่าไปดีที่สุดให้รับชิงเหอกลับบ้าน ผู้หญิงหงอยเหงาอยู่คนเดียวในวังองค์หญิงช่างน่าสงสาร โชคเจ้ายังดีที่แต่งงานกับชิงเหอที่มีนิสัยนุ่มนวล หากเปลี่ยนเป็นองค์หญิงคนอื่นเจ้าจะตายอนาถยิ่งกว่าหมูตัวหนึ่ง ไม่มีคนไหนพูดง่ายเลย เหอผู่คนหนึ่งหลานหลิงคนหนึ่ง ทั้งสองคนนี้ หึๆ ได้ยินว่าเหอผู่ยกให้ฝางอี้ไอ้ หลางหลิงยกให้น้าชายเล็กของเขาเอง ฮ่าๆ ช่างเหมาะสมกันมากที่สุด”
“เยี่ยจื่อ ทำไมเจ้าหัวเราะเยาะเช่นนี้ มีอะไรพิกลหรือ” หนิวเจี้ยนหู่ถามอวิ๋นเยี่ยอย่างระมัดระวังเนื่องจากประสบการณ์ของเขาที่ผ่านมา ทุกครั้งที่อวิ๋นเยี่ยหัวเราะด้วยเสียงร้องของแมวกลางคืนเช่นนี้มักจะมีคนโชคร้ายแสนสาหัส
“พี่ทั้งสองช่วยกันจำไว้ว่าตระกูลฝางกับตระกูลโต้ว เรื่องสองตระกูลนี้อย่าได้ไปยุ่ง ยิ่งไม่ต้องไปยุ่งกับสององค์หญิงนี้ ต่อให้มีปัญหากันก็ยังต้องถอยห่าง นี่เป็นสององค์หญิงที่สามารถทำให้ตายหมดทั้งตระกูลได้ ใครโดนแล้วโชคร้ายทันที”
ทั้งคู่จ้องมองอวิ๋นเยี่ยที่เต็มไปด้วยความมั่นใจโดยไม่รู้ว่าความมั่นใจมาจากไหน แต่จากตัวอย่างเรื่องต่างๆที่ผ่านมาก็ยังเชื่อคำพูดเขาไว้จะดีกว่า ไม่เช่นนั้นเวลาผิดพลาดขึ้นมาจะขอให้เขาช่วยเหลือก็ยากที่จะเปิดปากแล้ว
ฟ้าเริ่มมืดแล้ว เมฆดำทะลักมาจากเขาอีกด้านหนึ่ง พริบตาเดียวก็บังท้องฟ้าจนมืดมิด ผู้ดูแลบ้านเฉียนรีบสั่งการบ่าวไพร่เสริมความแข็งแรงให้กระโจม ย้ายกระโจมที่อยู่พื้นที่ต่ำไปอยู่พื้นที่สูงและขุดร่องระบายน้ำรอบๆกระโจม บ่าวไพร่ตระกูลอวิ๋นล้วนจัดการได้อย่างเป็นระเบียบ ส่วนบ่าวไพร่ตระกูลเฉิงกับหนิวต่างจัดการอย่างชุลมุน
ผู้ดูแลบ้านเฉียนเตะฉีเฉิงที่ทำอะไรไม่ถูกไปทีหนึ่งแล้วโยนกระโจมเล็กให้เขาหลังหนึ่ง หากไม่มีแล้วฝนเทลงมาอาการเจ็บของหม่าชื่อต้องหนักมากขึ้นไปอีก แต่ฉีเฉิงตั้งกระโจมไม่เป็นเลยคว้าแขนผู้ดูแลบ้านเฉียนไม่ยอมปล่อย เหล่าเฉียนยังมีเรื่องต้องจัดการอีกมากจะว่างช่วยเขาได้อย่างไร สลัดฉีเฉิงแล้วก็รีบไปโวยบ่าวไพร่ตระกูลเฉิงว่า “ยังไม่รีบย้าย**บห่อของเจ้านายเจ้าไปกระโจมบนที่สูงอีก จะรอให้ฝนสาดหรือ”
เฉิงฉู่มั่วยืนดูบนที่สูงเห็นชัดเจนบอกอวิ๋นเยี่ยว่า “ทำไมบ่าวไพร่บ้านเจ้าต่างรู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร ของบ้านข้าเซ่อซ่ามากไม่ผลักก็ไม่ขยับ”
อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจคำพูดโง่ๆของเฉิงฉู่มั่ว เดินลงเนินมาตรงหน้าฉีเฉิง กางกระโจมออกแล้วเริ่มติดตั้งโครงเหล็ก กระโจมตระกูลอวิ๋นล้วนแต่ใช้แผ่นเหล็กหนามาม้วนเป็นท่อกลวง ที่ปลายทำลิ่มไว้เพียงแค่สวมให้ถูกด้านก็ต่อติดกันได้เลย ผ้ากระโจมใช้ผ้าลินินทาน้ำมันสนอย่างหนาสามารถกันน้ำได้อย่างดีที่สุด กระโจมพอดีครอบรถลากได้พอดี ฉีเฉิงไม่ได้พูดอะไร แต่กำมือทำความเคารพอวิ๋นเยี่ยแล้วมุดเข้ากระโจมดูแลหม่าชื่อที่อ่อนแออยู่ การรอดชีวิตจากค้อนโซ่ของเหล่าเจียงได้นับว่าเป็นโชคของหม่าชื่อที่สวนทางสวรรค์ได้
ลมพายุรุนแรงพัดมาจนเกิดฝุ่นฟุ้งทั่วไป ฟ้าร้องครืนๆ มืดฟ้ามัวดิน โรงม้าที่เพิ่งทำเสร็จโดนลมแรงพัดทีเดียวหลังคาก็หลุดหายไป เหล่าบ่าวไพร่วิ่งออกมาตะโกนให้สัญญาณสู้กับลมแรง ผ้าน้ำมันต้านลมยากที่จะอยู่นิ่ง เฉิงฉู่มั่วเห็นแล้วรำคาญจึงวิ่งออกไปใช้มือกดผ้าน้ำมันที่เกือบโดนลมพัดไปไว้บนพื้น มีบ่าวไพร่ตระกูลอวิ๋นถือไม้ลิ่มออกมาทันที ตอกเพียงสองสามทีก็ยึดไว้อยู่ สองแขนเฉิงฉู่มั่วมีกำลังมากกล้ามขึ้นเป็นมัด ผ้าน้ำมันที่ต้านลมก็ถูกเขายึดไว้อยู่กับที่ พอลมไม่เข้ามาม้าศึกที่กำลังร้องกันลั่นก็เงียบเสียงลงทันที เฉิงฉู่มั่วหัวเราะฮ่าๆโชว์ร่างกายที่กำยำล่ำสันให้อวิ๋นเยี่ยดู ที่ตอบรับเขาคือนิ้วกลางที่ยื่นออกมาของอวิ๋นเยี่ยกับหนิวเจี้ยนหู่
วั่งไฉไปไหนแล้ว ไม่เห็นแม้แต่เงาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว อวิ๋นเยี่ยร้อนรนมากรีบหาตามที่ต่างๆ กลับพบหัวม้ายื่นออกมาจากกระโจมที่สาวใช้พักอยู่ ไม่ใช่วั่งไฉแล้วยังจะเป็นใครอีก ในปากเคี้ยวอาหารไม่หยุด เห็นอวิ๋นเยี่ยมองมันอยู่ยังอ้าปากร้องหนึ่งครั้งถือเป็นการทักทาย
เมื่อสายฟ้าย้ายสนามรบมาอยู่เหนือศีรษะ ตามติดด้วยสายฟ้าเป็นแฉกๆ ฝนก็เทกระหน่ำลงมา เม็ดฝนสีขาวกระทบกระโจมเสียงดังราวตีกลอง เวลาที่ยุ่งเหยิงผ่านพ้นไปแล้ว ที่ตั้งค่ายกลับคืนความสงบดังเดิม หน่วนลาดตระเวนด้านนอกก็ถอยกลับมาแล้วส่วนใหญ่ คงเหลือส่วนน้อยเฝ้าระวังอยู่บนยอดเนิน
ฟ้ามืดสนิทแล้ว ซ่านอิงคืนนี้คงกลับมาไม่ได้แล้ว อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ห่วงเขา ไอ้หนูที่เริ่มสังหารคนตั้งแต่อายุสิบขวบ หากไปเสียท่าเจ้าถิ่นคนหนึ่งก็ถือว่าสมน้ำหน้า
ฝนที่รุนแรงรวดเร็วผ่านไปแล้ว คงเหลือเพียงฝนที่ปรอยลงมาเล็กน้อยกระจายอยู่เต็มท้องฟ้า ฝนบนที่ราบก็เป็นเช่นนี้เอง มาอย่างฉุนเฉียวแต่ไม่ได้อยู่นาน เสียงฟ้าร้องเบาๆผ่านศีรษะไปราวกับไปถึงขอบฟ้า สายฟ้าสุดท้ายที่ขอบฟ้าก็ค่อยๆจางหายไปแล้ว แผ่นดินมีแต่ความมืดมิด คงมีแสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงที่กำลังเปล่งแสงสีส้มในค่ายพักแรมเท่านั้น
เสียงฝีเท้าม้าที่เร่งรีบดังแว่วมา ซ่านอิงถือทวนใหญ่พุ่งออกมาจากความมืดราวกับจอมมาร เสื้อผ้าแนบร่างสนิท ฝนที่เทลงมาเมื่อครู่นี้ไม่ได้ล้างคาวเลือดที่อยู่เต็มร่างของเขาให้หมดสิ้น หยดน้ำจากมุมเสื้อภายใต้แสงตะเกียงเห็นถึงสีแดงที่น่าประหลาด ศีรษะมนุษย์ที่ผูกอยู่ใต้คอม้าแยกเขี้ยวยิงฟันอย่างน่าเกลียด ใช้ทวนในมือเขี่ยทีเดียวศีรษะนั้นก็ร่วงลงมาใต้เท้าฉีเฉิง
ฉีเฉิงเก็บศีรษะคนขึ้นมาแล้วผงกศีรษะให้ซ่านอิง จากนั้นก็ใช้พิธีใหญ่กราบไหว้ ซ่านอิงที่อยู่บนหลังม้าท่าทางหยิ่งยโสราวกับนกอินทรีบนยอดเขา เหนือสิ่งทั้งมวล
“สังหารอย่างไร” อวิ๋นเยี่ยประหลาดใจในประสิทธิภาพของเขา
“เข้าประตูตะวันตก ออกประตูตะวันออก”
“สังหารไปเท่าไร”
“หกสิบสามคน”
ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...
ตอนที่ 45 ความเป็นมาของการบังบนหลอกล่าง
ฝนที่กระหน่ำมื่อคืนนี้ชะล้างความอ่อนเปลี้ยไปจนหมดสิ้น หน่วยคุ้มกันทั้งสามตระกูลเริ่มสวมทั้งหมวกเหล็กเสื้อเกราะ แผ่นเกราะดำเมื่อมถูกขัดจนเงาวับ ม้าศึกก็ถูกแปรงขนจนขึ้นเงา ขนแผงคอถูกสาวใช้ถักเป็นเส้นเปียเล็กๆทั้งแถบ ติดเครื่องประดับที่มีทั้งหมดทำให้ดูโอ่อ่าสง่าผ่าเผย รูปร่างทหารที่ใหญ่โตปานขุนเขาขี่ม้าศึกที่แข็งแรงสูงใหญ่ดูเป็นหน่วยรบที่ทั้งหรูหราสุดขีดทั้งเก่งกาจสุดยอด ถนนแผ่นหินเขียวส่วนตรงกลางที่สึกกร่อนยังมีน้ำขังอยู่บ้าง ถูกเท้าม้าย่ำจนน้ำกระเซ็นไปทั่ว
ทางสามสิบลี้พริบตาเดียวก็ไปถึง ประตูเมืองลั่วหยางที่ใหญ่ทะมึนมหึมามองเห็นได้แต่ไกล ธงใหญ่ของตระกูลอวิ๋น,เฉิงและหนิวได้คลี่ออกมาแล้ว ขบวนสองร้อยกว่าคนค่อยๆเคลื่อนไปที่ประตูเมือง
ผู้ดูแลร้านทั้งสามตระกูลในลั่วหยางรออยู่ที่ประตูเมืองแต่เช้าพอเห็นขบวนรถปรากฏก็รีบเข้ามาต้อนรับ อวิ๋นเยี่ยทั้งสามคนนั่งอยู่บนม้ามองดูประตูเมืองที่ปิดมิดชิดทั้งเฝ้าระวังอย่างหนาแน่นแล้วชักไม่ชอบใจ บอกผู้ดูแลร้านว่า “หนังสือที่พวกเราจะไปนมัสการวัดเส้าหลินได้ส่งให้ผู้ว่าเมืองลั่วหยางแล้ว ทำไมประตูเมืองจึงยังเฝ้าระวังอย่างหนาแน่นเช่นนี้ เห็นพวกเราเป็นโจรเสี่ยงหม่าหรือ”
เห็นเจ้านายเกิดอารมณ์ผู้ดูแลร้านสามตระกูลรีบคุกเข่า ผู้ดูแลร้านตระกูลอวิ๋นอธิบายว่า “โหวเหยีย หนังสือได้ยื่นที่ประตูจวนผู้ว่าตั้งแต่เมื่อสามวันก่อน ผู้ว่าหลิวก็ตอบตกลงที่จะมาต้อนรับวันนี้ ใครจะรู้ว่าพลบค่ำเมื่อวานมีคนร้ายบุกเข้ามาทางประตูตะวันตก มือถือทวนฟันคนที่หวนโซ่วฟางหกสิบสามคน สังหารแก๊งอันธพาลลั่วหยางแก๊งหนึ่งจนหมดสิ้นแล้วออกไปทางประตูตะวันออก ผู้ว่าหลิวได้รายงานเรื่องนี้ให้ขุนพลรักษาเมืองลั่วหยางแล้วเวลานี้ยังเฝ้าอยู่ที่จวนผู้ว่ารอคำตอบดังนั้นจึงไม่สามารถมาได้ ให้รองผู้ว่าลั่วหยางเว่ยโซ่วและผู้บัญชาการประจำกองตู้เอี๋ยนให้มารอรับโหวเหยีย,เสี่ยวกงเหยียกับเสี่ยวโหวเหยีย”
ในเมื่อมีขุนนางท้องถิ่นมาแล้ว อวิ๋นเยี่ยจึงลงม้าค่อยๆเดินขึ้นหน้าโดยมีเฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่ตามอยู่ข้างหลัง ที่ตามอยู่หลังผู้ดูแลร้านตระกูลอวิ๋นเป็นชายกลางคนสองคน ไม่ต้องรออวิ๋นเยี่ยถามก็กุมมือทำความเคารพ “ข้าน้อยเว่ยโซ่วเป็นรองผู้ว่าลั่วหยางคารวะอวิ๋นโหว,นายพันเฉิงและนายพันหนิว เมื่อวานลั่วหยางไม่สงบทำให้อับอายอวิ๋นโหวยิ่งนักโปรดให้อภัยที่ขาดตกบกพร่องด้วย”
“อวิ๋นโหวเป็นโหวฝ่ายบู๊ไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องการปกครองท้องถิ่น ข้าเพียงแค่ไปนมัสการวัดเส้าหลินนอกนั้นล้วนไม่สนใจ” รู้แล้วว่าหมอนี่คิดอะไรอยู่ คือกังวลว่าอวิ๋นเยี่ยจะมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ทำให้เรื่องที่น่าจะทำให้เงียบไปได้กลับมาวุ่นวายขึ้นอีก ความสัมพันธ์ของขุนนางบุ๋นบู๊ยุคต้าถังปกติก็ไม่ราบรื่นนักอยู่แล้ว เรื่องที่ถือโอกาสกวนน้ำให้ขุ่นนั้นต่างคนต่างทำกันถนัดนัก
อวิ๋นเยี่ยเองอยากให้เรื่องนี้ถูกฝังให้ลึกที่สุดอยู่แล้ว การกระทำของซ่านอิงเมื่อคืนนี้ทำให้เขาตกใจยิ่งนัก หกสิบสามคนถูกเขาสังหารหมดสิ้นในเวลาชั่วครู่เดียว หมอนี่แทบจะเป็นเทวดาได้แล้ว
เอี๋ยนโซ่วเห็นอวิ๋นเยี่ยไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ทำให้ดีใจจนออกนอกหน้า ส่งสายตาให้ผู้บัญชาการประจำกองตู้เอี๋ยน ตู้เอี๋ยนรีบขึ้นหน้ายิ้มทำความเคารพ “มักได้ยินชื่ออวิ๋นโหวในหนังสือครอบครัว ไม่นึกว่าจะได้พบตัวจริงในวันนี้ช่างเป็นบุญวาสนาจริงๆเลย”
หมอนี่ไม่ได้ใช้พิธีการขุนนางแต่ใช้แบบเสมอชั้นเดียวกัน ไม่รู้ว่าเขาเป็นรุ่นหลังของใคร ผู้ดูแลบ้านตระกูลอวิ๋นรีบเตือนว่า “โหวเหยีย ผู้บัญชาการประจำกองตู้เป็นหลานอาแท้ๆของตู้เซี่ยง กิจการตระกูลเราที่ลั่วหยางได้รับการดูแลจากผู้บัญชาการมากมาย”
อวิ๋นเยี่ยหัวเราะฮ่าๆคว้ามือตู้เอี๋ยนพูดว่า “ที่แท้เป็นพี่ตู้ ข้าก็เคยได้ยินชื่อแต่ไม่เคยเห็นตัวเหมือนกัน ตู้เซี่ยงเวลานี้อยู่ที่อวี้ซันพักฟื้นโรคปอด ก่อนมายังกำชับข้าว่าหากมีปัญหายุ่งยากให้ขอความช่วยเหลือจากพี่ตู้ได้ ตอนนี้ข้าเป็นแขกมาร้ายหวังว่าพี่ตู้คงไม่ขับไล่ข้าออกไป”
ตู้เอี๋ยนได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดถึงผู้อาวุโส รีบถอยหลังค้อมตัวเคารพพูดว่า “ไม่รู้ว่าอาการป่วยของท่านอาข้าฟื้นคืนปกติแล้วยัง”
อวิ๋นเยี่ยยืดตัวตรงพูดอย่างเป็นงานเป็นการว่า “ตู้เซี่ยงเพียงแค่ไม่สบายเล็กน้อย เวลานี้มีหมอเทวดาซุนดูแลคงไม่มีปัญหา ก่อนออกเดินทางยังเห็นตู้เซี่ยงกับอาจารย์จ้าวเอี๋ยนหลิงนั่งแพไม้ไผ่ดื่มน้ำชาสนทนากันอยู่ มีสุขภาพดีมาก”
ตู้เอี๋ยนได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดดังนั้นจึงวางใจลง ตระกูลตู้เวลานี้ต้องอาศัยตู้หรูฮุ่ยคอยอุปถัมภ์ค้ำจุน จะเกิดโรคภัยไม่ได้เด็ดขาด กำลังจะขอบคุณอวิ๋นเยี่ยกลับได้ยินเฉิงฉู่มั่วพูดว่า “เมื่อยมานานแล้วยังไม่จบกัน ทั้งสามครอบครัวยังรอเข้าเมืองกันอยู่”
อวิ๋นเยี่ยกับตู้เอี๋ยนมองหน้ากันแล้วหัวเราะ ตู้เอี๋ยนผายมือเชิญ มือไม่ทันลงเฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่ก็ขึ้นม้าไปแล้ว กำลังจะเข้าเมือง มองรองผู้ว่ากับผู้บัญชาการราวกับไม่มีตัวตน
อวิ๋นเยี่ยฝืนยิ้มให้เว่ยโซ่วกับตู้เอี๋ยนแล้วพูดว่า “ทั้งสองท่านโปรดอย่าถือสา ทั้งคู่อยู่ที่ฉางอันก็เป็นเช่นนี้ ข้าไม่สามารถควบคุมได้เลย”
เว่ยโซ่วเป็นสุนัขจิ้งจอกที่อยู่วงการขุนนางมานานปีจึงไม่แสดงสีหน้าอะไรให้เห็นอยู่แล้ว เรื่องที่ทั้งคู่ทำเสียมารยาทก็ไม่ได้ถือสา ยิ้มพูดว่า “ข้าเตรียมสุราเล็กน้อยที่ภัตตาคารชุนเฟิงอีผิ่นโหลวต้อนรับโหวเหยีย ไม่ทราบจะได้ไหม”
“อวิ๋นเยี่ยครั้งนี้รับคำสั่งท่านย่าไปนมัสการวัดเส้าหลิน มิกล้าดื่มกินให้เสียพิธีการ ขอท่านรองผู้ว่าโปรดให้อภัยด้วย”
เว่ยโซ่วรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้จึงไม่ได้ฝืนอีก เดินพร้อมอวิ๋นเยี่ยเข้าเมืองลั่วหยาง
ลั่วหยางสมกับเป็นเมืองที่มีสมญาว่าเมืองยิ่งยงสุดหล้า กำแพงเมืองสูงแปดจั้งเป็นรองพียงฉางอัน ลำน้ำป้องกันเมืองไหลเชี่ยวกรากกว้างสามจั้งเต็ม กำแพงเมืองเต็มไปด้วยรอยบิ่นกร่อนทั้งรอยดาบขวานฟันไฟเผายังเหลืออยู่ให้เห็น บันทึกความโหดร้ายทารุณของสงครามแต่ละครั้ง
อวิ๋นเยี่ยลูบคลำโบราณสถานเหล่านั้นแล้วนึกภาพขณะที่สิบแปดทัพกบฏรุมโจมตีลั่วหยาง ลูกธนูปานฝูงตั๊กแตน ชีวิตดังเส้นฟาง ศพแล้วศพเล่าร่วงหล่นลงมาจากกำแพงเมือง เกิดระลอกคลื่นในลำน้ำป้องกันเมืองทีเดียวแล้วก็สาบสูญไป
ชัยชนะที่ได้จากกองซากศพ หลี่ซื่อหมินชนะชนิดหมิ่นเหม่สุดๆ ซากศพของเหล่ากบฏกลายเป็นอาหารสุนัขป่าไปหมดนานแล้ว
“กำแพงเมืองมิใช่ไม่สูงพอ ลำน้ำป้องกันเมืองมิใช่ไม่ลึกพอ อาวุธมิใช่ไม่แกร่งคมพอ เสบียงกรังมิใช่ไม่เพียงพอ ผู้รักษาเมืองยังต้องทิ้งเมืองไป เพราะชัยภูมิมิสำคัญเท่าจิตใจผู้รักษาเมือง จึงพูดได้ว่า ราษฎรมิใช่ว่าเพียงอาศัยการปิดชายแดนก็จะห้ามอยู่ ชาติมิใช่เพียงอาศัยสิ่งขีดขวางทางธรรมชาติก็จะป้องกันอยู่ การระบือเกียรติทั่วแผ่นดินมิใช่เพียงอาศัยความคมกริบของอาวุธเท่านั้น”
อวิ๋นเยี่ยไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆก็นึกถึงคำพูดของปราชญ์เมิ่งจื่อ จึงท่องออกมาโดยไม่รู้ตัว ได้ยินเสียงปรบมือพบว่าเป็นเว่ยโซ่ว ตู้เอี๋ยนก็ถูมือตามด้วย จึงยิ้มพูดว่า “พอเห็นเมืองลั่วหยางก็นึกถึงเรื่องเก่าที่ฝ่าบาทใช้ร้อยทหารม้าสู้ศึกโต้วเจี้ยนเต๋อ นึกภาพฝ่าบาทสง่างาม ผาดโผนในหมู่ทหารหาญ หาใครเทียบเทียม แม้กระทั่งป้อมปราการที่แข็งแกร่งเช่นนี้ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งฝีเท้าของฝ่าบาทได้เลย ทำให้เกิดความเลื่อมใสยิ่งนัก”
“อวิ๋นโหวเรียนมากรู้กว้าง เข้าถึงสารพัดความรู้ ไม่นึกว่าแม้แต่เมิ่งจื่อก็ยังสุดแสนแม่นยำ เมื่อครู่ที่เข้าถึงคงได้รับประโยชน์ยิ่งนัก ข้านั้นชราภาพไร้คุณค่าแล้วอยู่คู่ลั่วหยางทุกวันกลับไม่ได้รับผลอะไรเลย คิดแล้วช่างน่าเสียดายสุดแสน”
คารมเว่ยโซ่วแฝงอารมณ์ผ่อนคลาย การคุยกับคนเช่นนี้จึงไม่น่าเบื่อ หลังจากที่ต่างยกย่องความยิ่งใหญ่ของฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินให้มีอายุหมื่นปีแล้วทั้งสามคนก็ขี่ม้าเข้าเมืองด้วยกัน
ต่อให้มีผู้เก่งกล้าเข้าเมืองสังหารผู้คน ความพลุกพล่านของลั่วหยางก็ไม่ลดลงแม้แต่น้อย คนเดินถนนทั้งไปทั้งมาไม่มีหยุด ต่างไม่ได้ระมัดระวังมากเท่าฉางอันแต่เพิ่มการปล่อยอารมณ์มากขึ้น ความหนักแน่นลดลงแต่ความเฉิดฉายมากขึ้น ตลาดทั้งตะวันออกตะวันตกไม่สามารถปิดกั้นความอยากได้ทรัพย์ของเหล่าพ่อค้า วางแผงขายไม่ได้แต่ไม่ห้ามการทูนของใส่ตะกร้าบนศีรษะเร่ขายผู้คน หนุ่มหาบของมือถือป๋องแป๋งใช้เสียงกู่เรียกขายประสานกันได้อย่างกลมกลืนน่าดูทีเดียว ทั้งยังมีสาวหูจีสวยงามหยาดเยิ้มอุ้มไหสุราส่งสายตาหวานฉ่ำให้ผู้คน อยากให้ผู้คนได้ลิ้มรสสุราที่เพิ่งมาถึงของตัวเอง
“ทุกท่านต่างเป็นขุนนางชั้นยอด ดูแค่ความเจริญฟูเฟื่องทั้งเมืองก็รู้ได้ว่าทุกท่านต้องลงแรงมหาศาลเพียงไหน อวิ๋นเยี่ยนับถือจริงๆ” จะต้องขจัดสิ่งที่ซ่านอิงก่อกรรมไว้ให้หมดเกลี้ยงไม่เช่นนั้นจะมีภัยแฝงอีก เจ้านี่สังหารหลงซันคนเดียวก็พอแล้วทำไมต้องไปล้างหมดทั้งแก๊ง เจ้าจะให้ผู้ว่าหลิว,รองผู้ว่าเว่ยกับผู้บัญชาการตู้กลบเกลื่อนให้เจ้าอย่างไรกัน
“น่าแค้นใจโจรร้ายนั้นเหิมเกริมสุดกำลัง กลางวันแสกๆละเลงเลือดเมืองลั่วหยาง พวกข้าเตรียมหนังสือฎีกาขอรับโทษรอให้ราชสำนักกำหนดโทษลงมา” พูดถึงนี่แล้วใบหน้าที่หมดอารมณ์ของเว่ยโซ่วปรากฏออกมาชัดเจน ตู้เอี๋ยนก็มีแต่ความสิ้นหวังเต็มหน้า
“ราษฎรเจ็บตายมากมายนักหรือ” อวิ๋นเยี่ยโกรธจัด
“ก็ไม่เชิง ที่ตายล้วนเป็นพวกอันธพาลชั่วช้า เพียงแต่ทางการไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนจึงไม่สามารถจับตัวคนเหล่านี้มาลงโทษได้ ใครจะนึกได้ว่าพวกเขาไปหาเรื่องคนที่ไม่สมควรมีเรื่อง นับว่าผลกรรมตามสนองจึงโดนล้างจนเกลี้ยงแล้วหนีไกลพันลี้ ฟ้าดินกว้างใหญ่พวกเราจะไปตามจับได้อย่างไร”
ตู้เอี๋ยนนับว่ามาจากตระกูลขุนนางผู้ใหญ่จึงไม่ได้ปิดบังอวิ๋นเยี่ย พูดความในใจออกมา
“ข้าเข้าใจว่าราษฎรซื่อตรงถูกสังหารโดยไม่มีความผิดเสียอีก เตรียมให้ทหารครอบครัวติดตามจับกุม ที่แท้เป็นพวกอันธพาล ตายไปก็ตายไปจะมีอะไรนักหนา เรื่องต่อสู้ตามฆ่ากันระหว่างแก๊งต่างๆไม่ใช่เรื่องที่ทางการจะควบคุมได้ ก่อนหน้านี้เกิดเพลิงไหม้ใหญ่ในฉางอันก็เพราะอันธพาลพวกนี้ ฝ่าบาทกริ้วจัดให้ถอนรากถอนโคนพวกกลุ่มพันธมิตรเสือขาว ถึงขนาดพบธนูตีเมืองในรังโจรของพวกเขา ดังนั้นเรื่องแค่นี้ของพวกท่านจึงไม่นับว่าเป็นเรื่อง”
หาเหตุผลให้พวกเขาพ้นความรับผิดชอบ ขุนนางยุคต้นถังยังไม่ได้เรียนรู้เรื่องการบังบนหลอกล่าง ไม่รู้ว่าไม่รู้จักธรรมเนียมวงการขุนนางได้อย่างไรกัน หากทุกคนล้วนโปร่งแสงราวน้ำใสทั้งสว่างราวกระจกเงา แล้วตระกูลอวิ๋นจะหาประโยชน์จากที่ไหนได้เล่า
จริงดังนั้น ทั้งคู่ตาสว่างขึ้นมาทันทีถามพร้อมกันว่า “ที่อวิ๋นโหวเล่าเป็นเรื่องจริงแน่หรือ” เรื่องนี้หลี่ซื่อหมินถือว่าเป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าจึงไม่ได้แจ้งให้รู้กันทั่วหล้า คนที่รู้มีไม่มาก กระทั่งขุนนางลั่วหยางที่อยู่ข้างนอกก็ยังไม่อยู่ในฐานะที่จะรู้ได้
“พี่ตู้ เรื่องนี้ตู้เซี่ยงรู้ละเอียดยิบให้ม้าเร็วถามตู้เซี่ยงเป็นพยานก็ได้แล้ว ไม่มีอะไรยากหรอกอันธพาลตายไม่กี่คน ลั่วหยางมีแต่จะเป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น” อวิ๋นเยี่ยยังคงพยายามเปิดสมองให้ขุนนางคู่นี้ต่อ ไม่รู้ว่าพวกเขาทำไมจึงเลื่อนขึ้นมาได้ถึงขุนนางระดับหัวหน้าท้องถิ่นได้
ทั้งคู่ต่างทำความเคารพอวิ๋นเยี่ยอย่างสูง เมื่อเสร็จเรื่องรับรองอวิ๋นเยี่ยแล้วก็รีบขอโทษอำลาจากไป คงไปปรึกษาหารือผู้ว่าหลิวเรื่องความเป็นไปได้ในการจัดการเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก เรื่องเล็กมลายหายไป
อวิ๋นเยี่ยมีความมั่นใจในตัวพวกเขาอย่างมาก นี่เป็นสัญชาตญาณของขุนนางท้องถิ่น ตัวเองเพียงแค่ปลุกสัญชาตญาณแต่กำเนิดของพวกเขาเท่านั้น พวกเขาจะต้องจัดการเรื่องนี้ได้อย่างเรียบร้อยด้วยตัวเอง โดยที่ไม่ต้องให้อวิ๋นเยี่ยต้องเปลืองสมองคิดอีก
เฉิงฉู่มั่ว,หนิวเจี้ยนหู่และซ่านอิงนั่งอยู่ที่โถงใหญ่รออวิ๋นเยี่ย ทุกคนต่างหน้าตาเคร่งเครียด แม้แต่ซ่านอิงก็ยังสำนึกผิดเต็มหน้า เดิมทีตัวเองนึกเพียงแค่สังหารหลงซันคนเดียว ใครจะรู้ว่าไปเจอพวกนี้กำลังจับเด็กหลายคนใส่ไห ซ่านอิงที่คลุกคลีอยู่ในวงการผิดกฏหมายมีหรือจะไม่รู้ว่าพวกนี้กำลังสร้างคนแคระ รออีกหลายปีค่อยขายให้พวกละครเร่ ให้ผู้คนดูเล่นหาความสนุกกัน
ความทุกข์ยากของเด็กเหล่านั้นไม่มีใครสนใจอีกต่อไป ด้วยบันดาลโทสะอย่างมากจึงได้เปิดการสังหารหมู่ กำจัดพวกนี้จนหมดเกลี้ยงทุบไหแตกหมดแล้วปล่อยเด็กออกมาทั้งหมด ทั้งแบ่งทรัพย์สินให้พวกเขาไปแล้วให้กลับบ้านกันเอง
ด้วยเหตุผลนี้เอง อวิ๋นเยี่ย,เฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่จึงไม่ได้ตำหนิซ่านอิง พวกเขารู้ว่าหากตัวเองพบเรื่องทารุณกรรมเช่นนี้คงลงมือหนักยิ่งกว่านี้อีก ที่กังวลเรื่องเดียวในเวลานี้ก็คือการตามสืบของทางการ หากตั้งใจสืบหาจริงๆ ย่อมไม่มีความลับที่ปิดได้ตลอดกาลในโลกนี้
ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...
ตอนที่ 46 ปัญญาของโหวจวินจี๋
ก่อนหน้านี้นานมาก อวิ๋นเยี่ยเคยถามเหล่าเฉิงกับเหล่าหนิวเกี่ยวกับความลับของวิทยายุทธว่าผู้เยี่ยมยุทธในตำนานนั้นมีอยู่จริงหรือไม่ เป็นไปได้หรือไม่ที่มีคนสู้ได้หนึ่งต่อร้อยคน
เหล่าเฉิงไม่ได้สนใจเหลียวแลปัญหานี้แม้แต่นิด เหล่าหนิวกลับให้คำตอบอวิ๋นเยี่ยที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ การต่อสู้ชนิดหนึ่งต่อร้อยในสนามรบนั้นมีอยู่จริง เมื่อมีความกล้าหาญ แม้แต่กระต่ายก็ยังขับไล่สุนัขป่าได้ ในสิ่งแวดล้อมเช่นนั้น การใช้ร้อยทหารม้าทำลายข้าศึกหมื่นคนได้ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก
เหล่าหนิวบอกที่ว่าใครวิทยายุทธสูงต่ำนั้น คือดูว่าใครแข็งแกร่งกว่า ร่างกายมีความปราดเปรียวกว่า ฝึกฝนจนชำนาญท่วงท่ามากกว่า จิตใจต่อสู้มากกว่า มีความมุมานะสูงกว่า รู้จักใช้และขับเคลื่อนพลังทั้งร่างกายในการต่อสู้ รู้วิธีใช้การแลกที่น้อยที่สุดเพื่อผลที่มากที่สุด
เทียบพลังแล้วคนเดียวถึงอย่างไรก็ไม่สามารถมีพลังเหนือกว่าสิบคน แต่คนที่เคยฝึกวิทยายุทธอย่างเข้มงวดย่อมชนะคนธรรมดาสิบคนได้โดยง่ายดาย แต่ถ้าคิดจะเอาชนะคนสิบคนที่ฝึกวิทยายุทธด้วยกันโดยไม่คำนึงถึงสภาพการณ์จิตใจและความมุมานะนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย
อวิ๋นเยี่ยเคยทำการทดลองในสถานศึกษา หลี่เผิงเฉิงแทบจะไม่มีคู่ต่อสู้ในหมู่นักเรียนเลย ต้วนเหมิ่งกับหลี่เก๋อแยกกันต่างก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้เขา แต่หากต้วนเหมิ่งกับหลี่เก๋อร่วมกัน หลี่เผิงเฉิงก็จะต้องโดนเล่นงานฝ่ายเดียว
การที่เฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่เคารพนับถือซ่านอิงก็เกิดจากการต่อสู้ ทั้งสองคนร่วมกันก็ยังสู้ซ่านอิงไม่ได้เลย เฉิงฉู่มั่วที่หมกมุ่นอยู่แต่เรื่องวิทยายุทธถึงขนาดไม่ไปวุ่นวายกับซ่านอิงอีกเลย ย่อมเห็นได้ว่าการพ่ายแพ้ครั้งนั้นฝังใจเขามากขนาดไหน
ในโลกนี้ย่อมมีคนที่ทำให้ผู้คนแหงนหน้าขึ้นมอง ขณะที่อวิ๋นเยี่ยเห็นซ่านอิงมือเดียวหิ้วหมูอ้วนตัวหนักสองร้อยชั่ง ถอนขนหมูพลางคุยกับตัวเองพลาง ก็รู้ว่าซ่านอิงเป็นพญาอินทรีจริงๆ อวิ๋นเยี่ยไม่ให้พญาอินทรีตัวนี้มีโอกาสบินผาดโผนเหนือหล้า ดังนั้นจึงคิดหาทุกวิถีทางที่จะผูกมัดเขาไว้อยู่ที่พื้น
เหล่าเจียงเคยพูดว่าเขาเป็นทหารที่ทุบหัวคนโดยไม่ทันรู้ตัวได้ดีที่สุด นี่คือเหตุผลที่เขาฝึกค้อนโซ่โดยเฉพาะ การสู้กันซึ่งๆหน้าเขาสู้แม้กระทั่งเฉินเส้าเหยียยังไม่ได้ แต่ในสนามรบยอดฝีมือเช่นเฉิงเส้าเหยียตายในค้อนโซ่ของเขาไม่น้อยกว่าสามคน ลึกลับจนกระทั่งแม้แต่ความชอบทางทหารก็ยังบันทึกไม่ได้ หากไม่เช่นนั้นแล้วตัวเองอย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับนายพันจึงจะถูก พอเจอซ่านอิงค้อนโซ่ของเขาก็ยังม่กล้าใช้ เพราะถ้าลงมือแล้วเหล่าเจียงเชื่อว่าหากตัวเองยังมีชีวิตอยู่ได้ จะต้องเป็นผลจากบรรพบุรุษที่ช่วยคุ้มครอง
อวิ๋นเยี่ยเห็นคนทั้งสามในโถงใหญ่ต่างเงียบกริบ จึงยิ้มพูดว่า“หากไม่มีอะไรเกินคาด เรื่องจะยุติเพียงเท่านี้ ผู้ว่าจะปิดคดีโดยสรุปว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างแก๊ง ดังนั้นพวกเจ้าสามคนไม่จำเป็นต้องปั้นหน้าเศร้ามากมายนัก
พวกเจ้าได้เห็นภาพผู้ร้ายในโปสเตอร์ประกาศจับของทางการแล้วไม่ใช่หรือ เป็นชายร่างยักษ์กล้ามเนื้อเป็นมัดๆหัวหลิมตากลม เสี่ยวอิง ขณะที่เจ้าจัดการได้ใส่หน้ากากจางเฟยใช่ไหม”
พออวิ๋นเยี่ยเปิดปาก สีหน้าทั้งสามคนก็ผ่อนคลายลง ซ่านอิงฝืนยิ้มพูดว่า “ข้าเพียงแต่ปล่อยผมออกให้ผมสยายปรกหน้าไว้ อาจารย์เคยบอกว่าทำเช่นนี้จะทำให้ศัตรูกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ ใครจะรู้ว่ามีผลเป็นเช่นนี้”
เฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่หัวเราะออกมาทันที ในเมื่ออวิ๋นเยี่ยบอกว่าเรื่องจบลงเพียงเท่านี้ เช่นนี้แล้วก็คงจบลงเพียงเท่านี้จริงๆ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยทำเช่นไรแต่ผลคงเป็นไปตามที่ว่านี้ ไม่มีเหตุเกินกว่านี้อีก
ซ่านอิงดีอกดีใจไปหาพี่น้องใหม่ฉีเฉิง ฉีมู่เติง หม่าชื่อ หม่าเฮลา และเตรียมไปเยี่ยมเยียนพวกกำพร้าที่เหลืออยู่ทั้งหลายจากลูกน้องเก่าของบิดาตัวเองในครั้งนั้น เป็นการแสดงน้ำใจตัวเอง ทั้งทนหน้าด้านไปยืมเงินหนึ่งพันก้วนจากอวิ๋นเยี่ย ทั้งยืมตัวผู้ดูแลบ้านอวิ๋นไปด้วย เรื่องเช่นนี้ต้องอาศัยมืออาชีพ เขาทำไม่ได้
อวิ๋นเยี่ย,เฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่นำของขวัญไปเยี่ยมเยียนลั่วหยางหลิวโส่วโหวจวินจี๋ นี่เป็นการกำชับจากเหล่าเฉิงเหล่าฉินเขาจึงไม่กล้าประมาท ปกติคนใจแคบเช่นอวิ๋นเยี่ยต้องหลบไปให้ห่างไกลจึงจะถูก คนนี้อนาคตจะก่อกบฏ แต่คำกำชับของเหล่าเฉิงกับเหล่าฉินเขาไม่ปฏิบัติตามไม่ได้
ประตูหน้าบ้านลั่วหยางหลิวโส่วฝู่เต็มไปด้วยขุนนางที่รอทำธุระ ทั้งคนทั้งรถมากมาย
อวิ๋นเยี่ยมองเห็นเว่ยโซ่วกับตู้เอี๋ยนก็อยู่ในนั้นด้วย กำลังล้อมคนชราหนวดเครายาวถกเถียงอย่างรุนแรง เห็นดังนั้นแล้วเฉิงฉู่มั่วจึงดึงหัวม้าหันไปแล้วตรงเข้าด้านหลังเรือน
เฉินฉู่มั่วเหิมเกริมมากในบ้านตระกูลโหว ใช้เท้าเตะประตูเล็กหลังเรือนออกแล้วก็ตะโกนลั่น “โหวเอ้อร์ โหวเอ้อร์เจ้านี่หายไปไหนกัน ข้ามาถึงลั่วหยางแล้วเจ้าก็ไม่ออกมาต้อนรับ คันตามตัวนักหรือ”
บ่าวที่ดูหน้าเป็นคนพาลถือกระบองวิ่งออกมาเตรียมเล่นงานคน พอมาถึงกลับคุกเข่าโครมลงมา “เฉิงเส้าเหยีย ท่านช่วยหน่อยเถอะ สองวันนี้เหล่าเหยียเหยียอารมณ์ไม่ดี เส้าเหยียรองพูดมากไปสองคำ เวลานี้ยังนอนอยู่บนเตียงลุกไม่ขึ้น ท่านช่วยหน่อยเถอะ”
คนคุ้นเคยกันพูดขอให้ช่วยแล้วก็เที่ยวเรียกบ่าวไพร่คนอื่น ทั้งผูกม้า ทั้งรับของขวัญ ไม่ต้องแจ้งขออนุญาตเจ้านาย ความคุ้นเคยทำให้ไม่ต้องมากพิธี
ไม่นานนัก คนหนุ่มหน้าตาดีมีบ่าวพยุงเดินกระเผลกมาที่ลานหลังเรือนยิ้มร่าว่า “รู้ว่าพี่ทั้งสามจะมาวันนี้ แต่พูดอะไรผิดหูเลยโดนบิดาข้าอัดไปชุดใหญ่ ลงจากเตียงไม่ไหวไม่ได้ไปต้อนรับ พวกพี่ๆอย่าได้ถือโทษเลย”
ไม่ทันรออวิ๋นเยี่ยพูดทักทาย เฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่ก็ห้อมล้อมหนุ่มน้อยมองหัวจรดเท้า หนิวเจี้ยนหู่ว่า “เสี่ยวเจี๋ย ไม่เจอหลายปี ไอ้เด็กกระเปี๊ยกโตขึ้นมาเยอะเลย เมื่อก่อนโดนแค่เท้าอาโหว ตอนนี้โดนไม้แล้ว นับว่าก้าวหน้าขึ้น”
เด็กอายุสิบห้าโดนคนเกาถูกที่คัน เสียงที่กำลังเปลี่ยนเหมือนเสียงเป็ดร้องก๊าบๆกำลังจะโต้ เฉิงฉู่มั่วก็ลากเขาอย่างแรงไปข้างๆว่า “ใครจะรอฟังเจ้าเล่าสาเหตุ ข้าจะมาพบอาผู้หญิง ตั้งแต่บ้านเจ้าย้ายมาลั่วหยาง เวลาข้าโดนอัดแม้แต่ที่ซ่อนตัวยังหาไม่ได้เลย คิดถึงอาผู้หญิงที่สุด ที่ยืนข้างหลังเป็นพี่ชายบ้านอวิ๋นของเจ้า จำไว้ดีๆ หากไร้ความเคารพแม้เพียงนิดเดียว ข้าจะอัดเจ้าจนอาผู้หญิงยังจำเจ้าไม่ได้ แต่ไม่ต้องให้ข้าลำบาก เจ้าจะต้องไปเรียนหนังสือที่สถานศึกษาอวี้ซันทันที เจ้าต้องอยู่ในมือของเขา จะได้รู้พิษสง”
ในบ้านโหว เฉิงฉู่มั่วทำอะไรตามใจได้มากกว่าบ้านตัวเอง เดินอย่างอุกอาจไปทางลานหลังเรือนทำให้เหล่าสาวใช้หลบกันระเนระนาด เพิ่งก้าวเข้าประตูวงพระจันทร์กระบองอันหนึ่งก็ฟาดมาที่ศีรษะเฉิงฉู่มั่ว
เฉิงฉู่มั่วหัวเราะฮ่าๆยื่นมือจับกระบองไว้แล้วพูดกับพุ่มไม้ข้างหลังว่า “น้องเหลียนเอ๋อร์ เจ้าจะหลบไปถึงไหน จะแต่งงานไปเป็นสนมรัชทายาทที่เมืองฉางอันอยู่แล้ว ครั้งก่อนดื่มสุรากับรัชทายาทยังพูดถึงเจ้า ข้ามีจดหมายอยู่ในอกเสื้อ ถ้าเจ้าไม่ออกมาก็ไม่ให้”
แต่ก่อนอวิ๋นเยี่ยเข้าใจว่าคนแรกที่รัชทายาทแต่งงานด้วยก็คือชายารัชทายาท ใครจะรู้ว่าคนแรกที่แต่งคือสนม การแต่งชายารัชทายาทจะต้องแจ้งถึงฟ้าดิน ซูไอ้บุตรสาวคนโตของมี่ซูเฉิงซูต่านจึงเป็นชายารัชทายาทที่แท้จริง การแต่งงานนี้กำหนดโดยไท่ซั่นอ๋อง แม้แต่หลี่ซื่อหมินก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้
ขณะที่เฉิงฉู่มั่วกำลังหยอกล้อเหลียนเอ๋อร์อย่างสนุกสนาน ผู้หญิงชุดชาววังออกมาจากด้านหลังใช้มือตบท้ายทอยเฉิงฉู่มั่ว พูดว่า “เจ้าเด็กเกเรไร้มารยาท มาเยี่ยมอาผู้หญิงแต่ไกลแล้วทำไมวุ่นวายกับเหลียนเอ๋อร์เล่า ไม่รู้หรือว่านางจะแต่งงานทันทีแล้ว พบคนไม่ได้”
เฉิงฉู่มั่วโดนตีจนรู้สึกโล่งอกโล่งใจ หันหลังคุกเข่าลงแล้วฉิ่งอันด้วยความเคารพ พิธีนี้อวิ๋นเยี่ยก็คุ้นเคยอย่างยิ่ง อยู่ในบ้านเฉิง บ้านหนิว บ้านฉิน ก็ทำไปนับไม่ถ้วนครั้งแล้วด้วยเหตุผลเดียวกัน ในยุคสมัยที่ความกตัญญูเหนือกว่ากฎหมายนั้น พวกเฉิงฉู่มั่วพบท่านย่าก็โขกศีรษะดังปังๆเหมือนกันไม่มีทางเลือก เจ้าเพียงยอมรับว่าตัวเองเป็นรุ่นอ่อนอาวุโสพิธีเช่นนี้ก็หลบไม่พ้น เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามจะมายึดถือว่าตัวเองมาจากยุคหลัง เป็นการแสดงออกถึงความไม่มีมันสมอง ผ่านพิธีพบหน้าแล้วเฉิงฉู่มั่วก็ยื่นมือเข้าไปควักล้วงในอกเสื้ออวิ๋นเยี่ย ควักเอาขวดเล็กๆสวยงามออกมาได้สี่ห้าขวดก็เอาไปประจบประแจงข้างกายโหวฮูหยินบอกว่า “ท่านอา นี่เป็นน้ำหอมที่นิยมที่สุดในเมืองฉางอัน นี่เป็นกลิ่นหลันฮวา นี่เป็นเหมยฮวาหอมเย็น นี่เป็นกลิ่นชีจื่อฮวา กลิ่นกุ้ยฮวาแรงมากที่สุด มารดาข้าใช้กลิ่นเย่ว์จี้มาตลอด ว่าเหมาะสมกับนางมากที่สุด ท่านลองดูสิ”
โหวฮูหยินหยิบน้ำหอมไปแต่พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เยี่ยเกอเอ๋อร์มาเป็นครั้งแรก ไม่เหมือนพวกเขาทั้งสองที่ช่ำชอง มาถึงนี่แล้วก็คือถึงบ้านอย่าได้มองเป็นอื่น รอให้ครอบครัวข้าไปถึงเมืองหลวงข้าจะไปกราบเหล่าฮูหยินที่บ้านเอง น้ำหอมนี้ข้าขอรับไว้ น้องเหลียนเอ๋อร์ของเจ้าจะแต่งงานได้ใช้แน่นอน”
“ท่านอาหญิงอย่าได้ดูเป็นอื่น ของที่จะให้น้องเหลียนเอ๋อร์ท่านย่าได้เตรียมไว้นานแล้ว อยู่ในรายการของขวัญ เจ้าสาวแต่งงานน้ำหอมใช้ปนกันไม่ได้ใช้เพียงชนิดเดียวก็พอ นี่เป็นของท่านอาหญิงลองเอามาหลายชนิดให้ท่านลองดู หากชอบชนิดไหนผู้ดูแลร้านตระกูลอวิ๋นในลั่วหยางจะส่งให้ท่าน พรุ่งนี้ภรรยาข้าจะเข้ามาคารวะ ท่านอาหญิงบอกนางก็พอแล้ว”
โหวฮูหยินได้ยินชื่อน้ำหอมมานานแล้ว เพียงแต่ลั่วหยางมีน้อยมาก ตระกูลอวิ๋นก็ไม่ยอมขายน้ำหอมให้มีทั่วหล้า ของขวัญประจำปีที่ตระกูลอวิ๋นส่งมาให้ มีน้ำหอมทุกครั้งทั้งคุณภาพก็ดีขึ้นทุกครั้ง เป็นของขวัญที่โหวฮูหยินชื่นชอบมากที่สุด หยิบน้ำหอมแล้วก็เดินยิ้มจะเอาไปลองที่หลังบ้าน ก่อนไปยังตบท้ายทอยเฉิงฉู่มั่วอีกครั้ง
อาหารได้เตรียมไว้แล้ว โหวเจี๋ยเป็นเพื่อนร่วมดื่มกับพี่ชายทั้งสาม สุราก็เป็นสุราตระกูลอวิ๋น บนโต๊ะสุราเฉิงฉู่มั่วเพิ่งนึกขึ้นได้ถามโหวเจี๋ยว่าโดนอัดเพราะอะไร พอพูดถึงเรื่องนี้ใบหน้าโหวเจี๋ยก็ดึงจนเป็นซาละเปา นวดสะโพกด้วยความระมัดระวังแล้วจึงพูดว่า “พวกพี่ๆวันนี้เข้าเมือง คงจะรู้เรื่องเมื่อวานนี้แล้วว่ามีจอมยุทธสุดยอดคนหนึ่งมาเมืองลั่วหยาง มาเดี่ยวม้าเดี่ยวทวนเดี่ยวเข้ามาทางตะวันตกออกทางตะวันออก ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามแก๊งมังกรน้ำลั่วหยางก็โดนสังหารหมดสิ้นเรียกได้ว่าไม่มีอะไรเหลือ ก่อนไปยังนำศีรษะหลงซันไปด้วย
ลั่วหยางสั่นสะเทือน ทุกคนต่างหวั่นไหว ข้าไม่ยินยอมเพราะเท่ากับไม่ไว้หน้าข้าตระกูลโหว จึงเตรียมทหารบ้านไปหาคนคนนี้เพื่อจับเขามารับโทษ แต่ยังไม่ทันออกจากบ้านก็โดนบิดาข้าลงโทษยี่สิบไม้ใหญ่ว่าข้าไม่เจียมตัวไม่รู้จักความเป็นความตาย ทำโทษให้ข้าอยู่บ้านสำนึกผิด”
สามคนนี้ฟังจบ นึกถึงฝีมือที่น่าหวาดหวั่นของซ่านอิงแล้วขนลุกขนชัน ต่างยกนิ้วหัวโป้งให้ทั้งกล่าวชื่นชมเจ้าคนไม่รู้จักตายคนนี้ โหวเจี๋ยยิ้มรับความชื่นชมจอมปลอมนี้
โหวจวินจี๋มาแล้ว ไม่ทันรอให้ทั้งสามคนทำความเคารพก็นั่งอย่างสง่าผ่าเผยในที่ประธาน ดื่มสุราต่อกันสามถ้วย ใบหน้าที่แดงคล้ำไม่เห็นอาการดีใจหรือโกรธเคือง แววตาราวกับฟ้าแลบกวาดไปมาบนใบหน้าของคนทั้งสาม หยุดนิ่งที่ใบหน้าอวิ๋นเยี่ยนานที่สุด นิ่งไปครู่หนึ่งคีบใบกระเจี๊ยบขึ้นมาเคี้ยวในปากแล้วไม่ถูกปากจึงถ่มออกมา แล้วดื่มสุราอีกหนึ่งถ้วย ก้มตัวลงมามองคนทั้งสามแล้วถามเสียงเบาว่า “เรื่องนี้เจ้าสามคนใครเป็นคนทำ”
อวิ๋นเยี่ย เฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่มองหน้ากัน แล้วสั่นศีรษะพร้อมกันราวกับนัดกันไว้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น