เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 6 ตอนที่ 4-5
ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...
ตอนที่ 4 ถูกลอบกัดเสียแล้ว
นางกำนัลจัดเรียงถาดเงินทีละชิ้นอย่างเรียบร้อยตามคำสั่งของอวิ๋นเยี่ยและเปิดฝาออก กลิ่นหอมกรุ่นของอาหารก็ลอยคละคลุ้งไปทั่ว ขณะที่หลี่ซื่อหมินทำงานนั้นจะไม่ใส่ใจกับเรื่องอาหาร แม้ว่าอาหารเลิศรสบนสรวงสวรรค์จะวางเรียงรายอยู่เบื้องหน้าก็ตามที ก็ไม่ได้ทำให้ความคิดเขาว่อกแว่กแม้แต่น้อย การที่ไม่มองอาหารบนโต๊ะเลยเป็นเพราะตั้งใจสนทนากับเฝิงอั้งอย่างจริงใจเป็นที่สุด
ที่ตำหนักด้านข้างมีโต๊ะเตี้ยๆ สำหรับรับรองเพียงห้าตัวเท่านั้นซึ่งแตกต่างจากโต๊ะของผู้อื่นที่มีสีสันชวนมอง สิ่งที่อวิ๋นเยี่ยเตรียมไว้ให้ตนเองทั้งหมดล้วนทำจากปู ไม่ได้กินปูมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว วันนี้ตั้งใจจะลงมือให้เต็มที่จึงเอาค้อนเล็กๆ ออกจากอกเสื้อ กรรไกรขนาดเล็ก ไม้จิ้มฟัน ช้อนเล็กๆ ยังมีคีมที่ใช้สำหรับหนีบก้ามปูด้วย สำหรับสิ่วปลายโค้งนั้นอวิ๋นเยี่ยคิดว่าไม่จำเป็น จากนั้นล้างมืออย่างมีความสุขเตรียมตัวที่จะเริ่มกิน
ปูถูกยกเข้ามาหนึ่งตัว เอาก้ามออกเพื่อเก็บไว้กินทีหลังสุด ของดีมักจะต้องอยู่ตอนจบเสมอ แคะกระดองปูออกและกินอย่างเอร็ดอร่อย มีชาวต้าถังไม่กี่คนที่กินของสิ่งนี้ แต่ละตัวจึงเลี้ยงได้อ้วนมาก ถึงกับตักมันปูได้หนึ่งช้อนเต็มๆ เมื่ออมเอาไว้ในปากช่างมีความสุขเสียนี่กระไร ใช้ไม้จิ้มฟันดันเนื้อปูออกมาและจุ่มลงในน้ำส้มสายชูที่ใส่ขิงเล็กน้อย รสชาติใหม่สดชวนเคลิบเคลิ้มราวกับได้มรรคผล ใช้คีมหนีบก้ามปูให้แตกส่งเสียงที่ฟังแล้วทำให้จิตใจแจ่มใสเบิกบาน ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่าในห้องดูเหมือนจะเงียบมาก เมื่อครู่ยังมีเสียงเครื่องดนตรีดังอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับไม่มีแล้ว
จึงได้เงยหน้าขึ้นและพบว่าหลี่ซื่อหมิน เฝิงอั้งและฝางเสวียนหลิงกำลังมองดูเขากินปูอย่างสนุกสนาน เฝิงจื้อไต้เอามือกุมศีรษะและซ่อนตัวอยู่ข้างหลังสุด อวิ๋นเยี่ยยิ้มอย่างเจิดจรัสแล้วถามว่า “เหตุใดฝ่าบาทจึงไม่ทรงเสวยพระกระยาหารพ่ะย่ะค่ะ หรือฝีมือปรุงอาหารของกระหม่อมจะไม่อยู่ในพระเนตรของฝ่าบาท”
หลี่ซื่อหมินส่ายศีรษะและหยิบอุปกรณ์เล็กๆ บนโต๊ะขึ้นมา ทดลองอยู่หลายครั้งแล้วพูดว่า “หากจะให้งานออกมาดี ก็ต้องลับคมเครื่องมือเสียก่อน ซึ่งเจ้าเองก็ทำได้อย่างละเอียดเยี่ยมยอดแล้ว อาหารที่เจ้าปรุงเรายังหาข้อติติงไม่ได้ ทั้งสี กลิ่นและรสชาติล้วนมีครบถ้วน อร่อยกว่ามื้ออาหารในวังเสียอีก เพียงแต่เราและเฝิงกงดูเจ้ากินอย่างมีชีวิตชีวาจึงแวะมาดู เจ้ากินต่อไปเถอะ”
ก็เพียงแค่ตนเองใช้ปากกัดปูจึงดูค่อนข้างไม่สุภาพไม่ใช่หรือ เมื่อครู่ตอนอยู่ในครัวหลานหลิงก็กินเช่นนี้เหมือนกัน ไม่เห็นว่านางจะบ่นอะไรเลย พอมาถึงที่นี่ก็ห้ามทำอย่างนี้แล้วหรือ
ฝางเสวียนหลิงหัวเราะเสียงดังและพูดว่า “ชายชราอย่างข้าฟันไม่ดี เห็นอาหารเลิศรสกลับมีใจแต่ยากจะได้กิน รู้สึกทรมานใจจริงๆ เช่นนั้นอุปกรณ์เหล่านี้ให้ข้ายืมไปใช้หน่อยได้หรือไม่” ยังจะพูดอะไรได้อีก อวิ๋นเยี่ยจำต้องนำอุปกรณ์เล็กๆ หลายอย่างนี้ลงไปล้างในกะละมังล้างถ้วยชาที่อยู่ข้างๆ ให้ความสะอาดและส่งมอบให้กับ ฝางเสวียนหลิง แต่เหล่าฝางกลับไม่ยอมรับ สายตาจ้องมองไปที่กะละมังที่เขาล้างอุปกรณ์อย่างตาไม่กะพริบโดยไม่กล่าวอะไรเลย
หลี่ซื่อหมินหน้าแดงจนชวนให้ตกใจ ชี้ไปที่น้ำชาแล้วถามว่า “ของสิ่งนี้มีไว้ใช้ล้างมือหรือ”
น้ำชาในงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยปูไม่ใช้สำหรับล้างมือ แล้วจะให้นำมาทำอะไร เมื่อคิดถงตรงนี้ ในใจก็สะดุ้งเฮือก พวกเขาคงไม่ได้ดื่มชานี้หรอกนะ
คนฉลาดน้อยกลุ่มนี้ ฆ่าฉันทั้งเป็นแท้ๆ อวิ๋นเยี่ยน้ำตาตกในอย่างที่สุด ทั้งห้าคนที่มาทานข้าว มีคนฉลาดน้อยสี่คนดื่มน้ำชาที่นำมาล้างมือเข้าไป มีเพียงชายฉลาดคนเดียวที่ไม่ได้ดื่ม จุดจบของคนฉลาดนี้ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าจะลงเอยเช่นไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนึ่งในนั้นมีหลี่ซื่อหมินที่ใจคอคับแคบอยากจลบล้างความอับอาย ต้องเป็นเพียงทั้งห้าคนนั้นเป็นคนฉลาดน้อยเหมือนกันหมดจึงพอจะลบล้างได้
“โอ้ กราบทูลฝ่าบาท นี่คือน้ำชาแก้อาการเลี่ยนมันที่กระหม่อมจัดเตรียมไว้เป็นพิเศษสำหรับงานเลี้ยงในวันนี้ โดยชงจากใบชาที่ดีที่สุด เหมาะที่สุดสำหรับการดื่มสังสรรค์”
หลังจากพูดจบ อวิ๋นเยี่ยก็ยกถ้วยกระเบื้องเคลือบใบเล็กๆ ขึ้นดื่มคำโต นำชาที่ผสมกลิ่นคาวของปูทำให้เขาอยากอาเจียนเสียให้ได้ แต่ต้องพยายามฝืนกลืนลงไป หากอาเจียนออกมา ความรุนแรงของเหตุการณ์ในวันนี้หากหลี่ซื่อหมินไม่ทำให้เขาคลานกลับบ้านนี่สิจึงเป็นเรื่องแปลก ผลที่ตามมานั้นเลวร้ายมาก จึงได้ต้องลำบากกระเพาะของตนเองเสียแล้ว การต้มชาของราชวงศ์ถังใส่แม้แต่น้ำมันหมูไม่ใช่หรือ
สีหน้าขอหงลี่ซื่อหมินนั้นดีขึ้น ส่งเสียง ฮึ แล้วพูดว่า “คราวหน้าหาภาชนะที่ใส่น้ำชาให้ใบเล็กกว่านี้หน่อย ชาดีๆ ถูกทำจนเสียรสชาติหมดแล้ว”
เฝิงอั้งก็สัมทับว่า “รสชาติของชานั้นยอดเยี่ยมจริงๆ เมื่อยามข้าจะกลับจะต้องนำกลับไปให้มากๆ เสียหน่อย”
ฝางเสวียนหลิงรับอุปกรณ์จากมืออวิ๋นเยี่ยด้วยสีหน้าที่งงงวย จากนั้นเดินมาที่เบื้องหน้าของหลี่ซื่อหมินและขอให้เขาใช้มันก่อน จากนั้นจึงเรียกขันทีเข้ามาเพื่อสั่งให้ไปหาของที่คล้ายกรรไกรเล็กๆ มาให้ท่านอื่นๆ ใช้ให้ครบจำนวนคน
เฝิงอั้งนั้นเป็นชายชาตินักรบ ย่อมต้องมีบารมีความน่าเกรงขามของทหาร ก้ามปูที่ติดข้อก้ามใหญ่ถูกเคี้ยวกัดจนน้ำที่เนื้อปูไหลเยิ้มออกมา ชมไม่ขาดปาก การทานปูดูเหมือนจะเป็นเพียงของทานเล่นหลังมื้ออาหารหลัก ของจำพวกกรรไกรที่อยู่บนโต๊ะนั้นไม่ได้ใช้เลย ก้ามใหญ่ๆ ของปูถูกจับใส่ปากกัดเปลือกกันเสียงดังกร๊อบๆ อวิ๋นเยี่ยนั้นฟังจนเสียวฟันไปหมดแล้ว เพียงแค่ต้องการให้ฮ่องเต้เห็นว่า ตนเองมีความสามารถจุข้าวเหมือนถังข้าวที่กินข้าวเจ็ดกิโลกรัมกับเนื้ออีกห้ากิโลกรัมเท่าเองไม่ใช่หรือ
ให้เขากินอาหารเหล่านี้ช่างน่าเสียดายนัก ไม่ชอบข้าวเหนียวที่ใส่ในรากบัว ถามอวิ๋นเยี่ยว่าทำไมถึงไม่ใส่เนื้อเสือเข้าไปบ้างโดยบอกว่าเนื้อเสือนั้นน่าอร่อยกว่า เมื่อกลับไปแล้วจะมอบเนื้อเสือตากแห้งให้อวิ๋นเยี่ยบางส่วน และเแส้หนังเสืออีกหลายสิบเส้น เมื่อเหล่มองเฝิงอั้งที่กำลังดีอกดีใจเป็นการใหญ่ ไม่แน่ว่าผู้ชายคนนี้อาจจะเป็นตัวการใหญ่ที่นำไปสู่การสูญพันธุ์ของเสือโคร่งอย่างถาวรก็เป็นได้
อาหารมื้อเดียวแต่ก็กินกันจนถึงพลบค่ำจึงจะเสร็จ สำหรับการร้องเพลงเต้นรำในวังนั้นอวิ๋นเยี่ยไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย ท่วงทำนองการเต้นรำที่หลี่ซื่อหมินแต่งขึ้นด้วยตนเองดูแล้วน่าเบื่อมาก หยิบยกผลงานที่ตนเองปราบโต้วเจี้ยนเต๋อได้มาประกาศความสำเร็จตลอดทั้งวัน นางรำร้อยกว่าคนสวมเสื้อเกราะร่ายรำสะเปะสะปะไร้ระเบียบ ประเดี๋ยวออกมาร่ายรำประเดี๋ยวออกมาร้องเพลง เนื้อเพลงยากแก่การเข้าใจ ให้ผู้หญิงเต้นผู้ชายร่ายรำเดิมก็ไม่น่าดูชมอยู่แล้ว การแสดงการฆ่าไม่ดุเดือด การร้องครวญไม่โหยหวน นางรำชุดขาวใช้การเหล่ตามองแสดงให้เห็นถึงความเย่อหยิ่ง สะบัดแขนเสื้อราวกับดอกไม้ที่โปรยปราย สุดท้ายจึงคุกเข่าลงต่อหน้าโอรสสวรรค์ทั้งยังถวายคำนับอย่างหญิงสามัญชนด้วย
คาดว่าเฝิงอั้งคงมีความคิดเช่นเดียวกับอวิ๋นเยี่ยทนดูไม่ไหวเช่นกัน เขาจึงถอดเสื้อคลุมออกแล้วตะโกนเสียงดัง กระโดดม้วนตัวกลางอากาศแล้ววิ่งวนหนึ่งรอบจากนั้นจึงเริ่มร่ายรำกระบี่เจี้ยนอู่ เหวี่ยงแขนสะบัดเท้าเหมือนคนบ้า
หลี่ซื่อหมินตะโกนว่าเยี่ยม ตนเองก็โยกไหล่ สะบัดมือแล้วกระโดดลงไปที่ลานห้องโถง เมื่อคนอื่นเต้นรำเขาก็ไม่ควรจะเอาแต่นั่งกิน อวิ๋นเยี่ยมองดูปูที่กำลังใกล้จะเย็นชืดที่อยู่เบื้องหน้าแล้วก็ชวนให้หดหู่ใจยิ่งนัก
ล้วนแล้วแต่ชอบเต้นรำกันและเต้นไม่ได้ดีเลย จะแยกขาหนึ่งร้อยแปดสิบองศาก็ทำได้ไม่ตรงพอ จะม้วนตัวสักสองรอบก็ดูแล้วอาจเกิดอันตรายจากการล้มลงได้ เฝิงจื้อไต้จะกระโดดแยกขาหนึ่งร้อยแปดสิบองศากลางอากาศดูแล้วเหมือนถูกลูกศรปักบั้นท้ายเสียมากกว่า การเต้นรำของฝางเสวียนหลิงดูแล้วมีท่าทางเหมือนแม่เฒ่ากำลังเดินตลาด อาหารดีๆ มีไม่กิน แต่ละคนต่างอยากจะลงไปชักกระตุกกัน
เมื่อเสียงปรบมือดังขึ้นแต่ละคนก็กลับที่ของตน หลี่ซื่อหมินเช็ดเหงื่อไคลบนหน้าแล้วถามอวิ๋นเยี่ยว่า “การเต้นรำของเราเป็นอย่างไรบ้าง”
“นอกจากกล้ามเนื้อจะมีความแข็งแกร่งแล้ว ท่าทียังอ่อนช้อย สง่างามราวกับเหยี่ยวที่กางปีก ดุดันราวกับปลายักษ์กำลังก่อเกลียวคลื่นหรือราวกับพายุคลั่งที่ถาโถมเข้ามา สำหรับการร่ายรำของฝ่าบาทแล้วกระหม่อมไม่มีอะไรจะกล่าวได้อีกเลยจริงๆ” สิ่งที่เกลียดที่สุดเลยก็คือสถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าการปิดตาข้างหนึ่งเพื่อพูดยกยอปอปั้นมันเป็นทักษะสำคัญอย่างหนึ่งที่ขุนนางต้องมีแต่อวิ๋นเยี่ยไม่ชอบเลยจริงๆ
งานเลี้ยงของต้าถังนั้นยาวนานจนน่าหวาดหวั่น นี่ก็ผ่านไปสามชั่วโมงยามเต็มๆ แล้ว อาหารที่เรียกว่า “ลูกห่านน้อยในกระเพาะแพะ” บ้าบออะไรนั่นเพิ่งจะถูกจอมพลังสองคนหามเข้ามาได้สองตัว แพะทั้งตัวถูกจัดวางบนถาดในท่าคุกเข่า หลี่ซื่อหมินหยิบมีดสำหรับตัดเสื้อบนโต๊ะขึ้นแล้วขว้างออกโดยไม่เจาะจงมีดก็ไปปักบนตัวแพะ จอมพลังก็ดึงมีดออกแล้วแทงมีดเข้าไปภายในเนื้อ ทำการคำนับแล้วจึงผาท้องแพะแล้วดึงห่านออกมาจากข้างใน จากนั้นก็นำไข่ไก่หลายฟองออกจากท้องห่านอีกทีหนึ่ง ทั้งยังมีข้าวเหนียวที่ซึมน้ำมันจนเป็นสีเหลืองอ่อน ไข่ไก่นั้นมีจำนวนไม่มากเพียงแค่ห้าฟองเองจึงแบ่งคนละหนึ่งฟอง อวิ๋นเยี่ยสังเกตเห็นว่าฟองที่ให้หลี่ซื่อหมินนั้นใหญ่ที่สุด ไม่แน่ว่าอาจเป็นไข่ห่าน ส่วนของตนเองนั้นเล็กสุดเหมือนไข่นกพิราบ เมื่อมองไปที่ของจื้อไต้ก็รู้สึกพอใจมาก เพราะของเขามีขนาดเล็กประมาณเล็บมือ ไม่รู้ว่ามันคือไข่อะไร
ข้าวที่หุงด้วยน้ำมันห่านหากกินแล้วรู้สึกอร่อยสิเป็นเรื่องแปลก นอกจากนี้ยังโดนโรยด้วยพริกไทยจำนวนมาก ซึ่งหากใส่ในน้ำแกงยังถือได้ว่าไม่เลว แต่การใส่มากเกินไปแล้วจะสามารถลิ้มชิมรสชาติดั้งเดิมของอาหารนั้นได้อย่างไรกัน
ต่อจากเฝิงอั้ง ฝางเสวียนหลิงก็ลุกขึ้นขอบพระทัยฮ่องเต้สำหรับการประทานมื้ออาหาร จากนั้นก็เริ่มกินกันอย่างเต็มที่ รสชาติของไข่นั้นไม่เลว เพียงแต่ข้าวเหนียวหนึ่งช้อนเล็กๆ นั้นมันเลี่ยนเกินไปทั้งยังมีกลิ่นพริกไทยที่ฉุนจัด ทำให้แสบจมูกเป็นอย่างยิ่ง
เฝิงอั้ง เหล่าฝาง เสี่ยวเฝิงกินกันอย่างมีความสุขหาที่เปรียบไม่ได้ โดยเฉพาะเฝิงอั้งที่อมข้าวเหนียวคำนั้นไว้แล้วกลั้วอยู่ในปากไปมาเสียดายที่จะกลืนมันลงไป ดูแล้วชวนขยะแขยงยิ่งนัก ฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินก็เช่นเดียวกัน ราวกับว่านี่เป็นการลิ้มชิมรสชาติอย่างถูกต้องที่เหล่าชนชั้นสูงมักทำกัน
ไม่จำเป็นต้องกินอวิ๋นเยี่ยก็รู้ดีว่าตนเองไม่สามารถกลืนลงไปได้ ตักข้าวหนึ่งขึ้นมาหนึ่งช้อนน้ำมันสีเหลืองก็หยดย้อยลงมาเป็นเส้น นี่เป็นการกินข้าวที่ไหนกันเป็นการกินน้ำแกงนำมันชัดๆ กลิ่นเหม็นสาบของห่านก็ลอยเข้าจมูก นี่ไม่ใช่ข้าวหน้าเป็ดย่างเมืองกว่างตงที่เคยกิน นี่มันยาพิษชัดๆ
ฮ่องเต้กำลังยุ่งอยู่กับการพูดคุยกับเฝิงอั้งและฝางเสวียนหลิง อวิ๋นเยี่ยจึงฉวยโอกาสคว้าถาดข้าวของจื้อไต้ที่อยู่ข้างๆ มาแล้วย้ายของตัวเองข้ามไป จื้อไต้เป็นคนดีเขากินข้าวเกลี้ยงจานราวกับว่าจานเพิ่งจะล้างมาใหม่ๆ อาหารพระราชทานหากไม่กินถือว่าเป็นการเสียมารยาทอย่างที่สุด
ภายใต้แววตาที่ดุดันของอวิ๋นเยี่ยจื้อไต้ก็ได้กินข้าวของอวิ๋นเยี่ยจนหมดเกลี้ยงด้วยความยินดีอย่างมาก ทั้งยังประสานมือขอบคุณเขาด้วยความยินดีปรีดามากขึ้นไปอีก
เหมือนมีใครบางคนที่แอบดันอวิ๋นเยี่ย เมื่อหันกลับไปมองก็ไม่เห็นใครเลยหลังจากผ่านไปสองสามครั้งเขาก็เริ่มสังเกต เป็นจริงงดังคาดมีมือน้อยๆ ยื่นออกมาจากหลังม่านกำลังเตรียมจะดันเขาอีก นอกจากหลานหลิงแล้วอวิ๋นเยี่ยนึกไม่ออกว่าจะมีใครกล้าบ้าบิ่นเช่นนี้อีก
จึงได้นำเปลือกปูที่เพิ่งจะกินจนเกลี้ยงวางใส่มือน้อยๆ นั้น มือน้อยๆ นั้นก็หดกลับไปทันใดนั้นเปลือกปูก็ลอยออกมาอีกครั้งกระแทกเข้าที่ศีรษะอวิ๋นเยี่ยแล้วหล่นลงบนโต๊ะ ส่งเสียงก๊อกแก๊กๆ จนทำให้หลี่ซื่อหมินสังเกตเห็นและหันมา
หลานหลิงจึงเดินออกมาจากด้านหลังม่านอย่างเปิดเผยทำการคารวะบิดานางและรับการคำนับจากทุกคน
“หลานหลิงนี่ก็ดึกแล้วทำไมยังไม่เข้านอนอีก มาที่ตำหนักนี้เพราะอะไร” หลี่ซื่อหมินเอ็นดูและตามใจลูกสาวของเขาเสมอมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลานหลิง
“เสด็จพ่อ หม่อมฉันมาตามหาสุนัขขี้เรื้อนที่ทรยศไม่รักษาคำพูด ไม่มีสัจจะหลอกหม่อมฉันตั้งหลายครั้งเพื่อคิดบัญชี” หลานหลิงกำหมัดน้อยๆ และพูดกับบิดาของตนด้วยความคับแค้นใจ
หลี่ซื่อหมินหันไปเหล่มองเฝิงอั้งแล้วจึงเหล่มองฝางเสวียนหลิง เดินผ่านจื้อไต้และพูดกับอวิ๋นเยี่ยอย่างดุดัน “ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสุนัขขี้เรื้อนที่หลานหลิงพูดถึงต้องเป็นเจ้าแน่ ช่างใจกล้านักแม้แต่ลูกสาวของเราเจ้าก็กล้าที่จะหลอกลวง หลานหลิง มันเกิดอะไรขึ้นพูดออกมาเสด็จพ่อจะจัดการให้เจ้าเอง”
จบกัน อวิ๋นเยี่ยอยากจะพุ่งเข้าไปปิดปากน้อยๆ ของหลานหลิง เรื่องที่เขาส่งปูให้หลี่อันหลานจะต้องถูกเปิดโปงออกมาแน่เลย
ตามกฎแห่งความโชคร้าย สิ่งที่ยิ่งกังวลว่าจะเกิดขึ้นก็จะยิ่งเกิดขึ้นแน่นอน แม่นยำเป็นที่สุด ปากน้อยๆ ราวกับดอกเหมยแดงอันน่ารังเกียจของหลานหลิงขยับแล้ว จากนั้นเรื่องที่อวิ๋นเยี่ยรับปากว่าจะให้ไก่นางหนึ่งตัวแลกกับการให้นางนำปูไม่มอบให้หลี่อันหลานก็ถูกเปิดโปงออกมาจนหมดเปลือก
สีหน้าหลี่ซื่อหมินดูแปลกๆ และถามว่าอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าหนุ่ม มีอะไรที่ข้ายังไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้บาง”
“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมพบกับองค์หญิง เมื่อตอนที่กระหม่อมได้เข้ามาศึกษาอยู่ในวังก็ได้รู้จักกับองค์หญิงโซ่วหยาง บัดนี้นางต้องจากไปไกลจึงส่งอาหารให้องค์หญิงได้เสวยก็เพื่อเป็นการเลี้ยงส่งองค์หญิง ที่หลิ่งหนานอากาศเป็นพิษ มีทั้งแมลงและสัตว์มีพิษมากมาย ก็เพียงแค่อยากจะสร้างความทรงจำสักเล็กน้อยเอาไว้ให้นาง เพื่อที่จะได้ไม่รู้สึกเหงาหงอยจนเกินไปเพราะอยู่ในเทือกเขาสูงแห่งแดนไกล
“คำพูดของอวิ๋นเยี่ยนั้นกล่าวผิดไปแล้ว หลิ่งหนานก็มีสถานที่ที่มีภูเขาสูงที่สวยงามน้ำทะเลที่ใสสะอาด คลื่นทะเลที่สูงเทียมฟ้า ภูผาที่เขียวขจี มีวัฒนธรรมที่เรียบง่ายและพืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ ถือเป็นดินแดนที่ล้ำค่าผืนหนึ่งเช่นกัน อวิ๋นโหววางใจได้ องค์หญิงโซ่วหยางจะต้องถึงดินแดนแห่งหลิ่งหนานอย่างปลอดภัยไร้กังวล ดินแดนแปดร้อยลี้ของหลิ่งหนานเองก็เริ่มภูมิปัญญาของผู้คนภายใต้การชี้แนะขององค์หญิงอย่างแน่นอน ใช้เวลาไม่นานนักที่นั่นก็จะเป็นดินแดนแห่งความสุขของราชวงศ์ถังเราอีกแห่งหนึ่ง” เฝิงอั้งพูดสรุปอย่างจริงจังตื่นเต้น จนแทบอยากจะควักหัวใจออกมาให้ทุกคนในตำหนักได้พิสูจน์กัน
นี่ไม่ใช่เป้าหมายที่ฉันต้องการ อวิ๋นเยี่ยได้แต่อึ้งตะลึงงัน เมื่อหันกลับไปมอง ก็เห็นที่คอของหลานหลิงนั้นแขวนหยกฉางเซิงของหลี่อันหลานเอาไว้
ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...
ตอนที่ 5 ผงสำราญ
อวิ๋นเยี่ยเดินอยู่บนทางเชื่อมระหว่างตำหนักภายในวังภายใต้แสงจันทร์มุ่งหน้าออกนอกวัง ด้านหลังมีขันทีตามมาส่งเขา ดวงจันทร์นั้นเต็มดวงไม่จำเป็นต้องจุดตะเกียงเพื่อส่องทางเลย เขาก้มศีรษะเพื่อซ่อนใบหน้าในความมืดซึ่งดูเหมือนว่าการทำเช่นนี้จะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ถูกหลอกใช้อีกครั้ง ถูกมองเหมือนคนโง่อีกครั้ง ทำให้เขารู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมาก
เมื่อครู่ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมในงานเลี้ยงต่อไปด้วยเหตุผลที่ว่ารู้สึกปวดท้อง จึงต้องรีบผละหนีภายใต้สายตาที่แปลกประหลาดใจของหลี่ซื่อหมิน คงไม่สามารถพูดได้ว่าฉันชอบเพียงร่างกายของลูกสาวของคุณ แต่ไม่ใช่วิญญาณของเธอ หากพูดประโยคนี้ออกไปคาดว่าคงต้องถูกแขวนบนธงตรงกำแพงเมืองเพื่อฉลองวันตรุษจีนเป็นแน่
หลี่อันหลานใช้ทรัพยากรที่มีในสองมือเพื่อไขว่คว้าหาผลประโยชน์เพื่ออนาคตของตนเองซึ่งก็ไม่ได้ถือเป็นความผิดที่เกินเลยอะไร เส้นทางของการวางแผนซ้อนกลก็เป็นเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยเองก็เป็นคนที่อยู่ในแวดวงนี้ ควรเข้าใจกฎของเกมดี คุณหลอกใช้ฉัน ฉันก็หลอกใช้คุณ หลอกใช้กันไปมาก็ไม่ต่างอะไรกับพวกไม่มีสมอง
หากอยากจะแข่งกันวางแผนซ้อนกล เขายิ่งชอบที่จะใช้ความรู้สึกเพื่อบรรลุเป้าหมาย หลี่กังเป็นเช่นนี้ ซุนซือเหมี่ยวเป็นเช่นนี้ หลี่เฉิงเฉียนเป็นเช่นนี้ หรือแม้กระทั่งหลี่ไท่และหลี่เค่อก็เป็นเช่นนี้ หากพูดถึงเรื่องวางแผนซ้อนกลกันเพียงอย่างเดียว ตนเองในตอนนี้นั้นก็ถูกจั่งซุนสองสามีภรรยาบีบคั้นจนกลายเป็นซากไปแล้ว
บางครั้งความรู้สึกก็เหมือนอาการตาบอดหรืออาจจะเป็นข้อผิดพลาด ตอนนี้ถูกหลี่อันหลานใช้ความรู้สึกผูกมัดตัวเองไว้กับรถศึกของนางก็ต้องบอกว่าสมน้ำหน้าแล้ว การถูกหลอกใช้ก็เหมือนถูกสวรรค์ลงโทษ จุดเริ่มต้นของตนเองนั้นก็ถือว่าไม่บริสุทธิ์ใจ ดังนั้นการได้ผลตอบแทนเช่นนี้ก็ไม่น่าแปลกใจ
ที่มุมกำแพงมีคนยืนอยู่หนึ่งคนซึ่งก็คือหลี่อันหลาน แสงจันทร์นวลผ่องสาดส่องบนใบหน้าของนาง แต่สีหน้านางกลับซีดเผือดจนน่ากลัว ไม่รู้ว่าขันทีหายไปไหนเสียแล้ว อวิ๋นเยี่ยพูดพร้อมกับยิ้มว่า “ราตรีอันยาวนานแต่กลับหลับไม่ลง ข้านึกว่ามีเพียงข้าคนเดียวที่นอนไม่หลับเท่านั้น ที่แท้องค์หญิงก็นอนไม่หลับเช่นกัน รอข้าอยู่ที่นี่เพื่อจะพูดอะไรกันแน่ อ๋อ ยังไม่ได้แสดงความยินดีที่เจ้าได้เป็นคนของท่านอ๋องแห่งแดนเหลียว เจ้าสามารถมั่นใจได้ เฝิงอั้งสัญญาว่าจะให้การสนับสนุนเจ้าอย่างเต็มที่ เมื่อเจ้าไปถึงที่นั่นจะมีทหารราบสามพันคนคอยฟังคำสั่งเจ้า
หลี่อันหลานเม้มปากแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบข้า คราวนี้ให้หลานหลิงทำให้เจ้าต้องจนมุม ในใจเจ้าคงต้องโกรธมาก คนที่ถือดีเช่นเจ้าจะให้ถูกผู้หญิงอ่อนแอปั่นหัวเล่นได้อย่างไร ตลอดเวลาที่ผ่านมามีแต่เจ้าคอยปั่นหัวคนอื่น เป็นความรู้สึกที่ไม่ดีเลยล่ะสิ”
ไม่ได้ตั้งใจจะพูดคุยอะไรกับหลี่อันหลานมากนัก ไม่ว่าจะพูดอะไรก็เป็นการทำร้ายตนเองทั้งนั้น นางมีเพียง ผิวหนังที่ไม่สามารถทำให้ตนเองปล่อยวางได้ ความรู้สึกผิดหวังนี้คนอื่นไม่สามารถเข้าใจได้
ขณะที่เตรียมจะเดินอ้อมนางไป หลี่อันหลานกลับก้าวกระเถิบมาด้านข้างหนึ่งก้าวและขวางอยู่ตรงหน้าเขา อวิ๋นเยี่ยก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวทันทีและนั่งขัดสมาธิบนพื้นเพื่อดูว่านางจะทำอะไรกันแน่
อากาศร้อนมาก แต่หลี่อันหลานกลับสวมเสื้อคลุม ยิ้มตาหยีและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เช่นนี้สิจึงจะถูก เป็นเด็กดีนั่งให้เรียบร้อย ข้าจะร่ายรำให้เจ้าดู ข้าร่ายรำได้ดีกว่าคนของเสด็จพ่อมากนัก ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เพราะปูหนึ่งตะกร้าที่เจ้าส่งมาวันนี้อร่อยจริงๆ นี่คืออาหารที่อร่อยที่สุดที่ข้าเคยกินมาในชีวิตของข้าเลย”
“ตอนนั้นเจ้าอยู่ด้านนอกของตำหนักด้านข้างหรือ”
“หลังผ้าม่านไม่ได้มีแค่หลานหลิงคนเดียวนะ” นางตอบอย่างสนุกสนานราวกับว่าทุกอย่างที่ผูกมัดนางไว้หายไปจนหมดสิ้น
เสื้อคลุมร่วงลงสู่พื้นนางสวมเพียงเสื้อบางๆ เท่านั้น ยอดดอกบัวแดงที่ทรวงอกนั้นเห็นได้อย่างชัดเจน เอวอันอรชรอ้อนแอ้น ยกปลายเท้าขึ้นได้สูงถึงติ่งหู ไม่มีเสียงกลอง ไม่มีเสียงมาราคัส มีเพียงสายลมยามค่ำคืนที่พัดมาจากอีกด้านหนึ่งของทางเชื่อมตำหนักไปยังอีกด้านหนึ่งเท่านั้น
นางเริ่มเต้นรำอย่างชาวเผ่าหู ชุดสีขาวบางปลิวพลิ้วไหว กระโปรงที่บานใหญ่ถูกลมพัดขึ้นมาราวกับผีเสื้อที่ดิ้นรนอยู่ท่ามกลางสายลมที่วุ่นวาย ปลายนิ้วเท้าหมุนวนอยู่บนพื้นหินหยาบ เพียงไม่กี่ครั้งก็มีเลือดสีแดงสดไหลออกมา หลงเหลือร่องรอยไว้ราวกับกลีบดอกเหมยแดงบนพื้นหิน
หลี่อันหลานดูเหมือนจะไม่รู้สึกอะไรเลย ปล่อยให้ร่างหมุนไปเรื่อยๆ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ไม่เคยลดน้อยลงไปเลยแม้แต่น้อย ลูกน้ำเต้าเล็กๆ อันหนึ่งลอยออกมาจากมือนาง
อวิ๋นเยี่ยยื่นมือออกไปรับไว้จึงจุกไม้ออกแล้วสูดดมกลับเป็นเหล้าหมักของจวนอวิ๋นของแท้ เขาแหงนหน้ายกดื่มหนึ่งอึกซึ่งก็กำลังต้องการเหล้ามาดื่มเพื่อดับความหลงใหลในใจจริงๆ การกระทำของหลี่อันหลานทำให้เขาหลงใหลอย่างที่สุด นางไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้
การเต้นรำอย่างชาวเผ่าหูนั้นสิ้นเปลืองพลังงานมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางเลือกส่วนที่ดุเดือดที่สุดมาร่ายรำจึงยิ่งสิ้นเปลืองพลังงาน ในที่สุดนางก็ร่ายรำจนเหนื่อย อวิ๋นเยี่ยกลับไม่ปรบมือ หลี่อันหลานหยิบน้ำเต้าใส่เหล้าใบเล็กจากมือของเขาที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งไปและดื่มอึกใหญ่ๆ
นั่งลงข้างๆ อวิ๋นเยี่ยส่งยิ้มหวานแล้วพูดว่า “ข้าร่ายรำได้สวยหรือไม่”
“มันสวยมาก นี่เป็นการร่ายรำที่สวยที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมา” อวิ๋นเยี่ยตอบอย่างจริงจัง
“ทำไมเจ้าจึงไม่แต่งงานกับข้าในเมื่อเจ้าชอบข้า เจ้าชอบข้าตั้งแต่แรก” เหล้าของตระกูลอวิ๋นไม่เหมาะที่จะให้ผู้หญิงดื่ม
“เพราะข้าพบว่าในใจเจ้ามีเสือที่ดุร้ายอยู่ บางทีวันหนึ่งอาจจะออกมาทำร้ายผู้คนโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลัวว่าเจ้าจะทำร้ายท่านย่าและพวกเสี่ยวยา ไม่ว่าเจ้าจะสำคัญเพียงไหนแต่ในใจข้าก็ยังไม่สามารถเทียบกับพวกเขาได้ ไม่มีใครสามารถแทนที่พวกเขาได้ เจ้าก็ไม่ได้”
อวิ๋นเยี่ยกล่าวประโยคนี้อย่างเด็ดเดี่ยว เพื่อความสุขในขณะนั้นแล้วต้องทำร้ายคนใกล้ชิดตนเองที่สุด มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะทำเรื่องเช่นนี้
“เจ้านี่ช่างเป็นคนโหดร้าย จะดีกับข้าบ้างไม่ได้เชียวหรือ ข้าอยู่ตัวคนเดียวตั้งแต่ยังเด็ก กลัวฟ้าร้อง ลมกรรโชก เสียงลมที่พัดผ่านยอดไม้เหมือนเสียงร้องของวิญญาณ ข้าได้แต่ซ่อนตัวในผ้าห่มและภาวนาไม่ให้ผีข้างนอกหาข้าพบ เมื่อฟ้าร้องข้าก็วิ่งพล่านไปมาอยู่ในบ้าน เพราะข้าไม่มีที่ไป บิดาข้าเลี้ยงรับรองแขกและท่านแม่ก็อยู่เป็นเพื่อน พวกเขาไม่มีเวลาดูแลข้า
ต่อมาข้าก็พยายามใจกล้ายืนอยู่นอกบ้าน ในเมื่อไม่มีใครรัก ก็สู้ให้ผีจับไปเลยเสียจะดีกว่า ข้าร้องไห้เสียงดังและเปิดประตู ด้านนอกลมแรงและฝนตกหนักทำให้เสื้อผ้าของข้าเปียกไปหมด เสียงฟ้าร้องที่ดังมากได้ดังขึ้นจากบนหลังคา ข้าตกใจจนหมดสติ คนรับใช้มาพบเข้าแล้วส่งกลับห้อง มีอาการไข้อยู่สามวันเต็มๆ
หลังจากตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ข้าไม่กลัวลมกรรโชกและฟ้าร้องอีกแล้ว เจ้าว่ามันดูน่าประหลาดหรือไม่ นับตั้งแต่นั้นมาข้ารู้ว่าข้าต้องต่อสู้ด้วยตัวเองเพราะไม่มีใครจะมอบสิ่งดีๆ ให้ข้าเปล่าๆ เจ้าเป็นคนแรกที่มอบสิ่งที่ดีให้แก่ข้า ข้าไม่อยากให้เจ้าเกลียดข้า”
นางกระซิบเล่าอยู่ข้างใบหูของอวิ๋นเยี่ย ไออุ่นๆ จากลมหายใจไหลผ่านเข้าหูของเขาเป็นระยะๆ รู้สึกคันมากจริงๆ ร่างกายที่อ่อนระทวยของนางเอนกายพิงอยู่ที่ตัวอวิ๋นเยี่ยทำให้เขาจิตใจว้าวุ่นสับสน
ฤทธิ์เหล้าเริ่มพลุ่งพล่าน ดวงตาเริ่มมีเส้นเลือดฝอยสีแดงขึ้น อวิ๋นเยี่ยกำลังพยายามระงับปรารถนาของเขาที่ถาโถมเช่นกระแสน้ำ แต่เสื้อผ้าก็หลุดเลื่อนลง ร่างกายที่เย็นยะเยือกของหลี่อันหลานก็ส่งเข้าสู่อ้อมแขนของเขา…
ดูเหมือนว่าแสงจันทร์เองก็ไม่อยากจะเห็นฉากนี้ด้วยเช่นกัน เขินอายจนต้องซ่อนตัวไปอยู่ในก้อนเมฆ หลงเหลือไว้แต่ความมืดมิด มีแต่เสียงลมหายใจหอบเหนื่อยดังต่อเนื่องอยู่ตรงบริเวณทางเชื่อม ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เสียงหอบเหนื่อยจึงหยุดลง อวิ๋นเยี่ยก็เริ่มได้สติคืนกลับมาเช่นกัน เขาไม่ได้ผลักหลี่อันหลานที่เอนกายพิงบนร่างของเขา เพียงแค่มองไปที่น้ำเต้าใส่เหล้าที่อยู่ด้านข้างและยิ้มอย่างขมขื่น
สิ่งที่ผู้ชายควรจะรับผิดชอบอย่างไรก็ควรต้องมี เขาลูบไล้ใบหน้าของหลี่อันหลานที่เต็มไปด้วยน้ำตา อวิ๋นเยี่ยถอนหายใจและพูดกับนางว่า “ทำไมเจ้าต้องทำเช่นนี้ เจ้ากำลังจะเดินทางไกลไปหลิ่งหนาน ถึงตอนนั้นหาคนที่เจ้าชอบแล้วใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันตลอดชีวิตไม่ดีกว่าหรือ ทำไมต้องทำลายความเย่อหยิ่งครั้งสุดท้ายของเจ้าด้วย “
“ข้าวางยาเจ้า เจ้าไม่โทษข้าหรือ”
“อย่างไรข้าก็เป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิงที่ชอบตินั่นโทษนี่ เรื่องเช่นนี้ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบ การวางเดิมพันของเจ้ามันใหญ่เกินไป ใช้ชั่วชีวิตของตนเองมาเดิมพันกับอนาคตที่คลุมเครือมันไม่คุ้มค่ากันเลย”
หลี่อันหลานสวมเสื้อผ้าและคลุมเสื้อคลุมอย่างมิดชิดอีกครั้ง ปาดน้ำตาและพูดว่า “แม้แต่ผู้ชายอย่างเจ้าข้ายังไม่ต้องการ ใต้หล้านี้ยังจะมีใครที่สามารถทำให้ข้าตกหลุมรักได้อีก ข้าต้องการควบคุมชนเผ่าเหลียวดังนั้นต้องมีลูก ในบรรดาพวกผู้ชายนั้นนอกจากเจ้าที่แตะต้องข้าแล้วไม่ทำให้รู้สึกอึดอัดใจ ส่วนคนอื่นนั้นเพียงแค่คิดก็จะอาเจียนแล้ว หมอหลวงบอกว่าหลายวันนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดข้าที่จะตั้งครรภ์ เรื่องเช่นนี้ข้าก็ต้องลองพยายามสักครั้ง หากสวรรค์ไม่มอบให้ข้าก็จะยอมรับมัน” เมื่อพูดจบก็เกาะกำแพงทางเชื่อมตำหนักค่อยๆ เดินจากไป
อวิ๋นเยี่ยลุกขึ้นและสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ขันทีคนนั้นก็กลับมาอีกครั้งราวกับเป็นผี ถือตะเกียงมาแล้วใช้ผ้าป่านเช็ดรอยเลือดจนสะอาดและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “โหวเหยียไม่ต้องกังวล เรื่องนี้จะไม่มีใครรู้แน่นอน ข้าน้อยนั้นได้รับมอบหมายให้เดินทางไปที่หลิ่งหนานพร้อมกับองค์หญิงด้วย”
เขาหยิบถุงเงินออกจากอกเสื้อแล้วโยนใส่อกเสื้อของขันทีทั้งหมดแล้วหันหลังเดินไปทางตำหนักตะวันออก คืนนี้เขาจะขอค้างคืนในตำหนักตะวันออกสักคืน
หลี่เฉิงเฉียนกำลังเอนกายนอนอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ดื่มเหล้าองุ่นหมักอยู่ ก้อนน้ำแข็งในชามเหล้ากระทบกับขอบชามช่างน่าฟังเสียนี่กระไร แทนที่จะบอกว่าเขากำลังดื่มเหล้าอยู่ควรบอกว่าเขากำลังเล่นอยู่จะดีกว่า อวิ๋นเยี่ยยื่นมือแย่งชามเหล้ามาแล้วดื่มเหล้าและน้ำแข็งที่อยู่ในชามจนหมดในอึดใจเดียว
ไอเย็นได้ไหลจากคอผ่านลงไปถึงกระเพาะ จิตใจที่กระสับกระส่ายจึงค่อยเริ่มสงบลงบ้าง หลี่เฉิงเฉียนมีบุคลิกเป็นเจ้าภาพเป็นอย่างมาก เขาหยิบน้ำแข็งอีกสองก้อนจากขวดแล้วรินเหล้าใส่ให้เขาเหมือนส่งสัญญาณให้เขาดื่มต่อไป
อวิ๋นเยี่ยดื่มติดต่อกันสามชามแล้วนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่งด้วยท่าทีเหม่อลอย ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว รวดเร็วเกินกว่าที่เขาจะได้คิดตรึกตรอง ตอนนี้ยังรู้สึกเหมือนยังอยู่ในฝันหวาน
หลี่เฉิงเฉียนก็ไม่ได้พูดอะไร นั่งไขว่ห้างกระดิกเท้าเล่นอย่างสบายอารมณ์ ยุงและแมลงยังไม่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์เป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดในการนั่งรับลม เหนือศีรษะมีดวงจันทร์และดวงดาว ข้างกายมีอาหารเลิศรสและเหล้าชั้นดี นอกจากขาดสาวงามแล้วอย่างอื่นก็มีครบถ้วน
“พูดอะไรบ้างเถอะเฉิงเฉียน เวลาที่ข้าจะมาค้างคืนอยู่ที่นี่คงมีไม่มากนัก ชายาองค์รัชทายาทของเจ้ากำลังจะมาแต่งเข้ามาแล้ว” ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยอยากจะได้ยินอะไรบางอย่าง
“เช่นนั้นก็พูดเรื่องที่เจ้าจู่ๆ ก็กลายเป็นพี่เขยข้าอย่างน่าประหลาดใจก็แล้วกัน” หลี่เฉิงเฉียนมองอวิ๋นเยี่ยอย่างประหลาดใจ
ประโยคนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยตกใจจนเกือบตกจากเก้าอี้ เรื่องเพิ่งจะเกิดขึ้น เขาจะรู้ได้อย่างไร จึงมองหลี่เฉิงเฉียนด้วยแววตาที่ประหลาดใจและรอให้เขาพูดต่อไป หากยอมรับความจริงเมื่อถูกคนอื่นพูดออกมาอย่างตรงประเด็นในประโยคเดียว เช่นนั้นก็ผิดต่อการฝึกฝนตนเองมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว
“เสแสร้ง เจ้าเสแสร้งต่อไป ข้าวสารเป็นข้าวสุกแล้วยังจะไม่ยอมรับอีก ข้าจะบอกเจ้าให้ ตั้งแต่ที่พี่สาวมาขอผงสำราญจากข้า ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้ากำลังจะโชคร้าย ยาที่รุนแรงประเภทนี้เจ้าคิดว่าพี่สาวข้าจะใช้กับคนอื่นหรือไม่ อีกอย่างเมื่อเจ้ามาที่นี่ก็อยู่ในสภาพวิญญาณล่องลอย ถ้าข้ายังไม่รู้ว่าเจ้ากลายเป็นพี่เขยข้า เช่นนั้นการเป็นรัชทายาทตำหนักตะวันออกข้าก็เสียเปล่าแล้ว”
อวิ๋นเยี่ยกระโดดขึ้นขี่หลี่เฉิงเฉียน จากนั้นเขาก็ต่อยตีเขาอย่างไม่มีสาเหตุ ไม่สามารถระบายอารมณ์ใส่หลี่อันหลานได้ แต่เมื่อระบายอารมณ์ใส่ผู้ชายคนนี้เขาไม่ต้องกังวลอะไร
“เลิกต่อยได้แล้ว หากยังลงมืออีกก็คือลอบสังหารเชื้อพระวงศ์แล้ว” หลี่เฉิงเฉียนพยายามที่จะกล่าวข่มขู่
กำปั้นที่อวิ๋นเยี่ยยกขึ้นสูงจึงลดลงอย่างช่วยไม่ได้ ไม่ใช่เพราะไม่สามารถต่อยหลี่เฉิงเฉียนได้อีก แต่เพราะจู่ๆ ก็พบว่ามันน่าเบื่อมาก จึงนอนเอนกายบนม้านั่งแล้วถามเขาอย่างอ่อนแรง “ข้าควรทำอย่างไรดี”
“ยังมีอะไรจะให้ทำอย่างไร พี่สาวข้าต้องการให้ลูกคนหนึ่งเพื่อที่ให้ได้รับมรดกสืบทอดจากนางในภายหน้า แม้ว่าจะรกร้างไปสักหน่อย แต่มันก็เป็นสมบัติที่ยิ่งใหญ่ เจ้ามอบลูกให้แก่นาง วันหน้าเด็กคนนี้ก็แซ่หลี่ เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น