เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 6 ตอนที่ 37-39

ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...

 

ตอนที่ 37 เสียงเรียกจากไป๋อวี้จิง

 

เกี่ยวกับเรื่องออกเดินทางท่องเที่ยว ซินเย่ว์ระเบิดอารมณ์รื่นเริงสุดขีดโดยเฉพาะพอได้ยินว่าจะไปขอลูกที่วัดเส้าหลินยิ่งดีใจเจียนบ้า เริ่มโดยการระดมผู้หญิงทั้งหมู่บ้านตัดเย็บจีวรพระสามร้อยชุดเป็นผ้าลินินชั้นดีเลิศมีทั้งสีเขียวสีเลือดหมู รองเท้าสานของพระก็สานไว้สามร้อยคู่น้ำมันตะเกียงสองร้อยชั่ง แม้อวิ๋นเยี่ยพยายามบอกว่าไม่ต้องเอาน้ำมันตะเกียงไปเพราะที่ลู่หยางก็มีขาย ขนของน้ำหนักขนาดนี้ไปไกลตั้งหลายร้อยลี้ได้ไม่คุ้มเสีย


 


 


ซินเย่ว์ก็ไม่สนใจ โดยเฉพาะพอเห็นท่านย่าหน้าตาชื่นบานกลับมาจากวังก็กัดฟันเพิ่มอีก100ก้วนแถมน้ำหอมอีกสิบขวด ไม่รู้ว่าพวกพระสงฆ์ใช้น้ำหอมจะประหลาดไหม อวิ๋นเยี่ยคิดจะพูดแต่พอเห็นซินเย่ว์ทำท่าน้ำตาจะร่วงก็เลยตัดใจไม่ยุ่งด้วยดีกว่า ปล่อยให้นางทำอะไรก็ได้ตามอารมณ์ของนางเอง


 


 


ท่านย่าถือถ้วยชายืนยิ้มที่ระเบียงบ้านดูซินเย่ว์วุ่นวายอยู่ กวักมือเรียกอวิ๋นเยี่ยแล้วย่าหลานทั้งคู่ก็กลับเข้าบ้าน ซินเย่ว์กัดฟันเช็ดน้ำตาเอากำไลหยกตัวเองรวมไว้ในรายการของขวัญด้วย


 


 


“เยี่ยเอ๋อร์ ย่าดูองค์หญิงโซ่วหยางท่าทางจะคลอดลูกเก่ง แค่สองเดือนกว่าก็พอดูออกได้แล้วว่าต้องเป็นผู้ชายแน่ๆผู้หญิงจะไม่โตไวขนาดนี้ ไม่ว่าอนาคตใช้แซ่อะไรขอให้เป็นพันธุ์ของตระกูลอวิ๋นก็ดีแล้ว เพียงแต่ฮ่องเต้ไม่ยอมให้นางอยู่ต่อ อีกไม่นานต้องไปหลิ่งหนานพร้อมกับคนชื่อเฝิงอั้งแล้ว เจ้าไปวัดเส้าหลินเวลานี้จะเหมาะสมหรือ”


 


 


“ทุกอย่างตระเตรียมไว้หมดแล้ว การพบกันในฉางอันมีแต่จะโดนวิพากษ์วิจารณ์ต้องพบกันระหว่างทางจึงจะดีกว่า เวลานี้สังคมแปรเปลี่ยนจิตใจคนไม่แน่นอน เลวหรือดี จริงหรือหลอกยากที่จะแยกแยะ ตระกูลเราถูกคลื่นลมหนุนไว้บนยอดคลื่นหาที่ลงไม่ได้ หากไม่มีเรื่องเด็กในครรภ์ของนางข้าจะไม่เลือกทางเสี่ยงเช่นนี้ อีกอย่างตระกูลอวิ๋นเราไม่ใช่พวกตระกูลใหญ่ จำนวนคนในตระกูลต้องถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ครั้งนี้ข้าประพฤตินอกลู่นอกทางขอให้ท่านย่าลงโทษด้วย”


 


 


“จะไปสำคัญอะไร ขอเพียงแค่มีเหลนต่อให้ต้องทอดทิ้งความมั่งคั่งสูงศักดิ์ที่เป็นอยู่ก็ไม่เห็นเป็นไร เพียงแต่ต้องทำให้ซินเย่ว์ลำบากใจ เจ้าต้องทำดีต่อนางอย่าให้เกิดแผลเป็นในใจนาง มีเพียงแต่ลูกของนางจึงเป็นทายาทสายตรงที่ถูกต้องแท้จริงของตระกูลอวิ๋น”


 


 


ท่านย่าที่ขอเพียงมีเหลนก็พอใจในทุกสิ่งราวกับอ่อนวัยลงไปหลายปี เดินไวราวกับเกิดลมโชย สั่งเสียอวิ๋นเยี่ยได้สองคำก็ไปปรึกษาท่านอาเตรียมคนรับใช้ให้โซ่วหยางไปหลิ่งหนาน คนรับใช้ของบ้านที่เป็นคนใต้ทั้งหลายคราวนี้จะให้ติดตามโซ่วหยางกลับหลิ่งหนาน ถือว่าเป็นสิ่งที่ตระกูลอวิ๋นชดเชยให้นางส่วนหนึ่ง


 


 


ท่านย่ายกกำไลของนางให้โซ่วหยางไป ทั้งเห็นที่พักของนางมีข้าวของเพียงน้อยนิดยังร้องห่มร้องไห้ แต่ไม่มีปัญญาเล่นงานฮองเฮาได้แต่สั่งให้คนรับใช้ที่ฉางอันซื้อข้าวของอย่างเร่งด่วน ต้องใส่ที่พักนางให้เต็มที่จึงจะพอใจ โดยเฉพาะยาบำรุงครรภ์ อีกทั้งส่งเหล่าจวนใช้ม้าเร็วไปหาซุนซือเหมี่ยวบรรทุกยามาทั้งคันรถจึงพอใจ ได้ยินสาวใช้ที่ปรนนิบัติท่านย่าบอกว่าองค์หญิงโซ่วหยางไม่ได้ปฏิเสธของแม้แต่หนึ่งอย่าง เก็บจนหมดเกลี้ยงทั้งยังคุกเข่าโขกศีรษะให้ท่านย่าขณะที่ปลอดผู้คน


 


 


เรื่องราวกลายเป็นใหญ่โตมาก อวิ๋นเยี่ยเองก็คาดไม่ถึงว่าผีเสื้อเช่นเขาขยับปีกเพียงสองที ลมที่เกิดขึ้นจะทำให้มีคลื่นยักษ์ปั่นป่วนไปถึงหลิ่งหนานที่อยู่ไกลกว่าหมื่นลี้ พวกประเทศเล็กๆทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ที่ยังอยู่ในยุคของสังคมทาสจะถูกคลื่นเหล่านี้ท่วมจนจมหายแม้แต่เศษก็ยังไม่มีเหลือ เฉิงเหย่าจินพูดไม่ผิดทหารเก่ายอดเยี่ยมสามพันคนอยู่ที่นั่นเป็นพลังที่ไม่มีใครสามารถเทียบเทียมได้


 


 


การกราบของหลี่อันหลานนั้นทำให้บังเกิดวิญญาณที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่นับไม่ถ้วน ตระกูลอวิ๋นเริ่มต้นแล้วกลุ่มขุนนางก็เริ่มต้นแล้วราชวงศ์ก็เริ่มต้นแล้ว เมืองฉางอันที่สงบสุขกำลังคุกรุ่นด้วยความร้อนแรงของความร่ำรวยที่เหมือนภูเขาไฟระเบิด ไม่ใช่แค่คำเสียดสีสองสามคำของเฉิงเหย่าจินสามารถดับได้ ธนูเหนี่ยวแล้วไม่ยิงไม่ได้ เวลานี้ใบหน้าเฝิงอั้งคงซีดขาวไม่ต่างจากซาลาเปา


 


 


อวิ๋นเยี่ยตบต้นแปะก๊วยเบาๆ ในสมองมีแต่ภาพการสังหารสุดสยดสยองยุคที่โจรทวีปยุโรปรุกรานทวีปอเมริกา เชื่อว่าเครื่องมือทำสงครามของต้าถังคงไม่ได้เมตตาปรานีมากกว่ากัน ระบบทุนกำเนิดจากการอาบเลือด นี่คือหลักการทั้งโลก ต้าถังย่อมไม่ได้รับการยกเว้น


 


 


“หากข้าไปไกลแล้วเจ้าเสียใจมากขนาดนี้ต่อให้ตายไปข้าก็ยินยอม” ซินเย่ว์ยืนพูดอยู่ข้างๆด้วยใบหน้าที่ออกอาการอิจฉาริษยา ในมือถือกาชาของอวิ๋นเยี่ย “ดูท่านมาพักใหญ่สีหน้าเปลี่ยนสลับไปมา เดี๋ยวดีใจเดี๋ยวเสียใจเดี๋ยวตบต้นกงซุนอย่างรุนแรง ระวังลูกแปะก๊วยจะตกใส่หัว”


 


 


“เจ้าว่าอะไร” อวิ๋นเยี่ยเพิ่งตื่นจากภวังค์ ไม่ได้ยินชัดว่านางพูดอะไร


 


 


ซินเย่ว์ยัดกาชาใส่มืออวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “หากคิดถึงจนทนไม่ไหวก็ไปแวะเยี่ยม ข้าเป็นภรรยาหลวงต้องใจกว้าง


 


 


พอในสิ่งที่สมควร คนที่จะต้องไปแต่งงานกับลิงดำ ต่อให้เจ้าเห็นนางเป็นของวิเศษ แต่ข้าได้ยินมาว่านางอยู่ในวังก็ไม่ได้มีคนชอบมากนัก”


 


 


อวิ๋นเยี่ยบีบจมูกซินเย่ว์พูดว่า “ไม่ต้องมาทำเป็นภรรยาใจงามนักหรอก หากข้าไปจริงเจ้าคงจุดไฟเผาบ้านแน่ เมื่อครู่นี้ข้ากำลังคิดเรื่องหลิ่งหนาน ถึงแม้ครั้งนี้จะได้ทรัพย์สินมากมายแต่น่ากลัวจะเกิดการฆ่ากันครั้งใหญ่”


 


 


“ป่าในหลิ่งหนานมีคนอยู่? ไม่ใช่บอกว่ามีแต่ลิงที่นั่งกินผลไม้บนต้นไม้หรือ” ซินเย่ว์จ้องอวิ๋นเยี่ยด้วยดวงตาที่ไม่เข้าใจ


 


 


อวิ๋นเยี่ยยิ้มแห้งๆ ลิงที่นั่งกินผลไม้บนต้นไม้ นี่คือสายตาที่ต้าถังมองแผ่นดินที่ล้าหลัง แม้แต่ซินเย่ว์ยังไม่ได้คิดว่าคนพื้นเมืองบนเกาะเป็นคน แล้วจะหวังให้เหล่านักฆ่าทั้งหลายมีความสามารถในการแยกแยะได้หรือ


 


 


ขณะที่อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเห็นอกเห็นใจคนพื้นเมืองเหล่านั้น แต่ไม่รู้ว่าในขั้วโลกเหนือที่ไกลโพ้น มีชีวิตที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งเพิ่งจะหมดลมหายใจสุดท้าย ห่อหุ้มด้วยหนังสัตว์ที่มีขนหนานุ่ม นอนอยู่บนชั้นหญ้ามอสสีเขียว ข้างตัวมีดอกไม้เล็กๆสีม่วงบานเต็มไปหมด น้ำทะเลสีดำซัดสาดชายฝั่งทะเลไกลๆ หมีขาวหลายตัวคำรามอยู่บนภูเขาน้ำแข็งที่ห่างออกไป


 


 


คนตายแล้วก็จะกลายเป็นซากศพไม่ว่าจะสูงศักดิ์หรือไม่ ซีถงนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งบนหญ้ามอสคิดจะใช้ดาบยาวในมือขุดหลุมให้เถียนเซียงจื่อ แต่ใครจะรู้ว่าแผ่นดินที่นี่สามารถขุดชั้นดินบางๆชั้นบนได้เพียงนิดเดียว พื้นดินส่วนล่างยังคงแข็งแกร่งราวกับแผ่นเหล็ก


 


 


เขานึกถึงที่อวิ๋นเยี่ยเคยบอกว่า ขณะที่พวกเจ้าเห็นแสงที่ยาวต่อเนื่องหลายร้อยลี้ในเวลากลางคืนก็ใกล้เป้าหมายมากแล้ว ส่วนที่เหลือจะต้องดูโชคของพวกเจ้า หากมีวาสนาพวกเจ้าจะได้เห็นโลกใหม่


 


 


แสงสีสวยงามที่ราวกับคลื่นมหาสมุทรทุกคนได้เห็นแล้ว งามจนทำให้คนใจฝ่อ นึกถึงที่เถียนเซียงจื่อหัวเราะจนคล้ายเสียสติแล้วซีถงก็นึกอยากร้องไห้ นี่เป็นแผ่นดินของภูตผีปิศาจ ได้เห็นเพียงแสงแดดที่มัวซัว ดวงอาทิตย์อยู่ในระดับเรี่ยพื้นตลอดเวลาไม่สูงขึ้นแต่ก็ไม่ต่ำลง ราวกับเวลาโพล้เพล้ตลอดกาล แต่ก็เหมือนเวลาเช้ามืดตลอดกาล


 


 


ขบวนร้อยกว่าคนเดินตามแนวแสงแดด มีคนตายไม่หยุด พวกหมียักษ์ชั่วร้ายมักจะเข้ามาก่อกวน หากไม่ระวังเพียงนิดเดียวก็จะโดนมันคาบไปหนึ่งคน แต่ก็มีคนเดินอยู่บนผิวน้ำแข็งที่ลื่นใสแล้วสูญหายไปกะทันหัน มีรอยแยกพอกับขนาดคนราวกับอ้าปากกินคนได้ลึกจนไม่เห็นก้น มีแต่เสียงก้องสะท้อนของเพื่อนในร่องน้ำแข็งไม่ยอมจางหายไป


 


 


คนยิ่งตายมากเถียนเซียงจื่อก็ยิ่งฮึกเหิม แผ่นดินเทพไม่ใช่ว่าคนเดินดินธรรมดาคนไหนก็ไปถึงได้ มีเพียงเขาที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่จึงสามารถเหยียบแผ่นดินนั้นได้อย่างจริงจัง


 


 


กลางคืนที่ไม่รู้จบได้สิ้นสุดแล้ว ที่มาแทนที่นั้นคือกลางวันที่ไม่มีวันสิ้นสุด เถียนเซียงจื่อจ้องมองพืชสีเขียวที่ถูกหุ้มอยู่ในหิมะน้ำแข็งสามารถคืนชีพกลับมาอย่างรวดเร็ว แผ่ขยายกิ่งก้านหาตำแหน่งแสงอาทิตย์ นี่เป็นเรื่องที่เทพจึงสามารถดลบันดาลได้ พวกเขาไม่พอใจที่จะเห็นแค่หิมะน้ำแข็งที่มีแต่สีขาว ดังนั้นจึงแช่พืชไว้ในน้ำแข็งรอจนหิมะละลายจึงคืนชีพกลับมาอีก


 


 


นี่คือคำอธิบายเกี่ยวกับพืชขั้วโลกเหนือของเถียนเซียงจื่อ ขณะที่เพื่อนคนหนึ่งถูกหมีขาวตบจนกระดูกซี่โครงหักขาดไปครึ่งหนึ่ง ได้แค่ร้องโหยหวนรอความตาย ระหว่างความเจ็บปวดได้กินดอกไม้สีเหลืองเหล่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าค่อยๆมีสติกลับคืนมาไม่ร้องโหยหวนอีก ราวกับลืมความเจ็บปวดไปแล้วสามารถนอนหลับให้สบายได้ การค้นพบนี้ยิ่งทำให้หาหมายเหตุในคำพูดของเถียนเซียงจื่อได้ ถึงแม้คนนั้นได้ตายไปในที่สุด


 


 


ดวงอาทิตย์ยังอยู่บนท้องฟ้าไม่มีการตกดิน ฟ้าดินราวกับเปลี่ยนเป็นกลางวันตลอดกาล เถียนเซียงจื่อนำพวกเขาเร่ร่อนอยู่ในฮวงหยวนโบราณครึ่งปีเต็มๆ ขณะที่เพื่อนสองคนสุดท้ายก็ล้มลงไปเถียนเซียงจื่อก็ล้มป่วยลง คนแก่ที่ในสายตาของซีถงคล้ายดังเทพนั้น หลังจากร้องตะโกนว่า“ไป๋อวี้จิง”สองครั้งแล้วก็จากเขาไป


 


 


พวกเราไม่ใช่คนมีวาสนาถึงแม้คลำเงาแดนฟ้าได้แล้วแต่ก็ยังเข้าประตูไปไม่ได้ ชีวิตมนุษย์ร้อยปีเสียแรงตักอยู่แต่เงาดวงเดือน ฟ้าเอ๋ย เจ้าช่างไม่ยุติธรรมเลย คนที่ไร้ยางอายเช่นอวิ๋นเยี่ยสามารถเข้าไปแดนฟ้าได้ก็ยังไม่ไป ทำไมคนที่ศรัทธายิ่งนักเช่นข้ากลับถูกขวางอยู่นอกประตู เสียงที่เจ็บปวดของเถียนเซียงจื่อยังสะท้อนอยู่ในฮวงหยวน พวกหมีขาวที่ชอบกินซากศพวิ่งเข้ามาอีกแล้ว วิ่งมาอย่างรวดเร็ว


 


 


ซีถงวนเวียนอยู่ระหว่างความฝันกับความจริงคนเดียว จนกระทั่งหมียักษ์ตัวนั้นยกเท้าหน้าฟาดลงมาที่เขา สัญชาตญาณนักรบทำให้เขาหลบได้เอง ดาบวิเศษที่ปักพื้นวาดผ่านคอหมีขาวทำให้หัวที่ใหญ่เบ้อเร่อกลิ้งหล่นลงมา ต้องรีบจากไปไม่เช่นนั้นจะมีหมีขาววิ่งเข้ามาอีกมาก เวลานี้เป็นกลางวันที่ไม่รู้จบทั้งยังมีหมาป่าอีก ซีถงที่ระหว่างนี้ฆ่าหมีไปแล้วนับไม่ถ้วนทั้งฆ่าหมาป่าไปแล้วนับไม่ถ้วนเหมือนกัน ฉุกคิดขึ้นได้ถึงสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยกำชับให้เขาทำเรื่องหนึ่งว่าให้เขานำหนังหมีขาวชั้นดีกลับไปสักสองสามผืน


 


 


แสยะปากร้องไห้แบบไร้เสียงพร้อมถลกหนังหมีขาวด้วยน้ำตา ไม่รู้ว่าหนังหมีขาวไร้หัวผืนนี้จะถูกรสนิยมอวิ๋นเยี่ยไหม เขานึกเสียใจที่ตัวเองไปขอสมุดโน้ตเหล่านั้นจากอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยบอกว่านี่เป็นสิ่งที่เกี่ยวกับความเป็นความตาย ทำไมตัวเองยังจะมาที่นี่อีก


 


 


พี่น้องร่วมเป็นร่วมตายฝังร่างที่ฮวงหยวนทีละคน อาจารย์ก็ตายแล้ว ปิศาจสีขาวเหล่านี้ไม่ยอมให้เหลือกระทั่งซากศพ แดนเทพเป็นอะไรกันแน่ ขณะที่ถลกหนังก็มาอีกสองตัว ซีถงยังคงฆ่าต่อ ครั้งนี้ไม่ได้ตัดหัวเพียงแต่ใช้หลาวแหลมแทงเข้าตาหมียักษ์จนสมองเละเป็นโจ๊ก รับปากแล้วต้องทำให้ได้แม้จะตายก็ต้องทำสิ่งที่เพื่อนกำชับให้สำเร็จ ซีถงเป็นคนรักษาคำมั่นสัญญา


 


 


ซีถงลากเลื่อนเดินหน้าอย่างยากลำบากที่ฮวงหยวน บนเลื่อนนั้นเป็นซากศพที่มีกลิ่นแล้วของเถียนเซียงจื่อ ทั้งมีหนังหมีสีขาวอีกสี่ห้าผืน เขารู้สึกถึงความอบอุ่นแล้ว ทำให้เขามีความรู้สึกว่าได้หนีรอดชีวิตออกมาได้แล้ว


 


 


ครั้งแรกที่เห็นป่า เขาตัดฟืนแห้งไว้กองหนึ่ง วางซากศพเถียนเซียงจื่อไว้บนกองฟืนแล้วจุดไฟ เปลวไฟกลืนกินร่างที่ผอมแห้งของเถียนเซียงจื่ออย่างรวดเร็ว มองดูกลุ่มควันหนาทึบที่ลอยขึ้นไป เขาตะโกนร้องเสียงดังว่า“ไป๋อวี๋จิง” อธิษฐานด้วยความจริงใจให้วิญญาณของอาจารย์ไปถึงแดนเทพที่เขาใฝ่ฝันมากที่สุด 

 

 


ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...

 

ตอนที่ 38 ไม่เป็นตัวของตัวเอง

 

วันนี้เป็นวันดี ดวงอาทิตย์ภายนอกขึ้นสูง วันเวลาที่ไม่มีศัตรูตามฆ่าสำหรับโต้วเอี้ยนซันนับว่าเป็นวันดี คลานขึ้นมาจากเตียงที่ทำง่ายๆ เขารู้สึกถึงเสียงกร๊อบแกร๊บที่บั้นเอว ตัวเองยังนับถือตัวเองที่สามารถเดินทางได้ห้าพันลี้ในเวลาครึ่งเดือน


 


 


โต้วซันยกน้ำล้างหน้ามาให้เขา ผิวน้ำสะท้อนภาพใบหน้าที่อ่อนล้าทรุดโทรม หนวดเคราเต็มใบหน้า ดูแก่ชราลงสิบปีเต็มๆ ผมเผ้ากระจายคลุมหลัง กรอบเหลืองเป็นกระเซิง ตรงข้ามกับร่างกายที่กำยำล่ำสันขึ้นมามาก บีบกล้ามแขนตัวเองรู้สึกแข็งปั๋ง หนุ่มน้อยผิวเนียนขาวแต่ก่อนหายไปชนิดไร้ร่องรอยอีก ขาทั้งสองข้างก็เริ่มมีอาการพัฒนาไปแบบทหารม้า หากยืนชิดเท้าแล้วยังมีช่องขนาดฝ่ามือระหว่างน่อง เวลาเดินคล้ายเป็ด


 


 


ตั้งแต่โดนหน่วยข่าวกรองตามติดที่หลั่งโจว เขาจำไม่ได้ว่าวิ่งเป็นระยะทางเท่าไรแล้ว ตายไปแล้วกี่คน ลูกหลานตระกูลโต้วที่กล้าหาญพุ่งไปหาหน่วยข่าวกรองติดๆกันอย่างต่อเนื่อง แล้วก็หายไปหมด เขาเพียงแค่วิ่งไม่คิดชีวิต จะต้องวิ่งให้เร็วกว่าพวกส่งสารจึงจะได้ ไม่ได้มีอุบายอะไรเลย ทั้งไม่มีแผนการที่ดี ได้แค่แข่งความเร็ว เนื่องจากไม่ว่าจะใช้วิธีอะไร พวกเขาไม่มีทางที่จะเชี่ยวชาญกว่าพวกนักสืบหน่วยข่าวกรอง


 


 


จนกระทั่งมุดเข้ามาในป่าลึก พวกติดตามที่แสนน่ารำคาญจึงค่อยๆหายไป ที่นี่เป็นพื้นที่หนานเซ่า คนถังไม่เข้ามา แผ่นดินของราชินีทั่นเกอเป็นพื้นที่ต้องห้ามของคนถังตลอดมา ตระกูลโต้วใช้ชีวิตคนสิบกว่าชีวิตจึงสามารถติดต่อให้ใช้เป็นทางรอดได้ ทั้งแพรต่วนและเสบียงอาหารมากมายแต่ละปีที่ให้ไปไม่ได้เสียเปล่า แผ่นดินของราชินีทั่นเกอกลายเป็นสถานที่ลี้ภัยสุดท้ายของตระกูลโต้ว


 


 


วันนี้จะไปพบราชินีอ้วนคนนี้ จะต้องรักษาบุคลิกภาพของคุณชายตระกูลเก่าแก่เอาไว้ โต้วซันคนดูแลบ้านเก่าแก่โกนหนวดเคราตัดขนจมูกเกล้าผมใส่ที่ครอบผมทอง เปลี่ยนรองเท้าบูทหนัง รองเท้าบูทหนังกวางใส่สบายมาก ใช้เวลาหนึ่งก้านธูป คุณชายที่หล่อเหลากลับมาปรากฏในโลกมนุษย์อีกครั้ง


 


 


เสียงร้องของหมูใต้เรือนไม้ไผ่เตือนให้โต้วเอี้ยนซันรู้ตัวว่าอยู่ที่ไหน ที่นี่ไม่ใช่ฉางอันที่หรูหรา ไม่ใช่บ้านสวนที่อบอุ่นสบาย แต่เป็นหนานเซ่าที่เลวร้ายหาใดปาน เมื่อคืนนี้ตัวเองนอนร่วมกับฝูงหมูในเรือนไม้ไผ่เดียวกัน แค่คิดก็คลื่นไส้ อากาศร้อนมาก กลิ่นเหม็นรุนแรงโชยขึ้นมาตามร่องไม้ไผ่ อบอวลอยู่ในบรรยากาศรอบๆ โต้วเอี้ยนซันพยายามระงับอาการคลื่นไส้ เตรียมไปงานเลี้ยงที่ราชินีจัดเตรียมให้เขา


 


 


เข้าไปในเรือนไม้ไผ่ใหญ่ของราชินี ความเจ็บปวดของโต้วเอี้ยนซันก็ยิ่งทวีคูณ เขายอมที่จะอยู่ด้วยกับฝูงหมู ยังดีกว่าอยู่เรือนไม้ไผ่เดียวกับราชินี ไม่ต้องอื่นไกล เนื่องจากใต้เรือนไม้ไผ่ของราชินียังเลี้ยงหมูมากกว่าอีก ทั้งอ้วนใหญ่แข็งแรงกว่า ดังนั้นกลิ่นเหม็นเขียวก็ยิ่งมีมากกว่า


 


 


หากเพียงแค่กลิ่นเหม็น สำหรับโต้วเอี้ยนซันที่ผ่านภยันตรายมาแล้วหลายวันยังพอทนได้ แต่สิ่งแวดล้อมในเรือนไม้ไผ่นี้ทำให้เขานึกอยากฆ่าตัวตาย ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยมีประสบการณ์ผ่านฉากวาบหวิวมาก่อน ไม่ว่าหอเอี้ยนไหลโหลวหรือหอชุนเฟิงเก๋อ เหล่าสาวน้อยเริงระบำเบาพลิ้วท่ามกลางเพลงหวานละมุน ภาพงามหยดย้อยภายใต้แพรบางทำให้คนหลงใหล เสียงรินสุราใส่จอกไม้ที่ฟังชัดเจน เสียงดนตรีแปรเปลี่ยนจังหวะแผ่วเบาประสานกับกลิ่นหอมของเครื่องสำอาง ทำให้ประสาทรับความรู้สึกไปถึงจุดสุดยอด


 


 


เขาหลับตา ผ่านไปเป็นเวลานานแล้วจึงลืมตาขึ้น สิ่งที่เพิ่งเห็นนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา เป็นฝันร้าย น่าเสียดายสิ่งที่เป็นความจริงนั้น คนหนุ่มร่างใหญ่ดำเมื่อมสี่ห้าคนกำลังแย่งกันประจบก้อนเนื้อยักษ์ที่นอนอยู่บนเตียงไม้ไผ่ หนุ่มที่ขาวกว่าแกว่งไกวพวงใหญ่ใต้เป้ากำลังปอกกล้วยให้ราชินี ตัวเองกัดส่วนที่ไม่ดีด้านปลายออก แล้วยัดส่วนที่เหลืออยู่เข้าไปในปากที่ใหญ่โต


 


 


โต้วเอี้ยนซันสาบานว่าตัวเองไม่ได้เห็นอาการขบเคี้ยวเลย กล้วยลูกนั้นก็ไหลเข้าไปเอง ออกเสียงครางทีเดียวแล้วใช้สองมืออ้วนใหญ่ผลักสองหัวยุ่งที่กำลังนัวเนียบนตัวนางออก แล้วลุกขึ้นมานั่ง เนื้อที่อ้วนฉุสั่นกระเพื่อมดังลูกคลื่น


 


 


นี่มันผู้หญิงยักษ์แท้ๆ นั่งอยู่บนเตียงยังดูสูงกว่าโต้วเอี้ยนซันที่ยืนอยู่ สองตาเล็กที่จมอยู่ในกองเนื้อพอเห็นโต้วเอี้ยนก็สว่างขึ้นมาทันที แววตาเช่นนี้โต้วเอี้ยนซันเห็นมาบ่อย ตัวเองก็เคยเป็นครั้งหนึ่งคราวที่เห็นหูจีที่แสนงาม จึงได้ออกอาการที่ชื่นชมมากเช่นนี้ แววตาที่ละโมบจนอยากกลืนกินเข้าไปในท้อง ไม่เคยมีมานานเท่าไหนแล้ว


 


 


มีผู้ชายที่มองตัวเองอย่างแค้นเคือง โต้วเอี้ยนซันเป็นคนประสาทไว เขาสามารถรับรู้ถึงความแค้นนิดๆที่อวิ๋นเยี่ยมีต่อเขา ย่อมรับรู้ถึงความริษยาชนิดไม่ได้ปิดบังของพวกผู้ชายที่กำลังชูน้องชายตัวเองอยู่


 


 


การไปเป็นแขกรับเลี้ยงบ้านอื่น ย่อมจะต้องเตรียมของขวัญ รับกล่องของขวัญไม้จันทน์หอมจากคนดูแลบ้านเก่าแก่ที่อยู่ด้านหลังแล้ว พยายามไม่มองหน้าอกใหญ่โตที่แกว่งไกวอยู่เบื้องหน้าค้อมตัวลงพูดว่า “ข้าน้อยมาจากฉางอันที่ห่างไกลมาขอบารมีคุ้มครองจากฝ่าบาท ได้รับพระคุณจากฝ่าบาทไม่สามารถตอบแทนฝ่าบาทได้ ได้เพียงถวายของขวัญเล็กน้อย เพื่อความสุขของฝ่าบาท”


 


 


ไม่รู้ว่าจะฟังเข้าใจหรือไม่ แต่ราชินีที่แข็งแกร่งดำเมื่อมคว้ามือโต้วเอี้ยนซันหัวเราะร่า ขยำอยู่นานจึงรับกล่องไม้ไป เปิดออกต่อหน้า พอเห็นไม่ใช่พวกหินที่มีแสงสีแวววาวก็ไม่สู้ชอบใจนัก


 


 


โดนมือคู่ที่เหนียวชื้นไม่รู้ไปจับอะไรมาลูบคลำอยู่นาน โต้วเอี้ยนซันขนลุกตั้งชันหนาวไปทั้งตัว ตั้งใจว่ากลับไปแล้วต้องใช้ทรายแห้งขัดมือให้ละเอียดถี่ถ้วน หากโดนคว้าอีกครั้ง มือคู่นี้โต้วเอี้ยนซันคงต้องยอมทิ้งไป


 


 


พยายามกดความรู้สึกคลื่นไส้ รีบอธิบายว่า “ฝ่าบาทอย่าดูถูกยากอเอี๊ยะสีดำเหล่านี้เป็นอันขาด หากท่านนำไปปิ้งไฟ ดมกลิ่นควันสีเขียวจากกอเอี๊ยะเหล่านี้ทุกวัน ท่านก็จะอายุยืนยาว เป็นสาวพันปี ทำให้ท่านมีความสุขไม่รู้จบ กอเอี๊ยะนี้มีชื่อที่สวยงาม พวกเราต่างเรียกมันว่าหญ้าไร้กังวล…”


 


 


ที่ว่าทำมากได้มาก นั้นคือสัจธรรม ไม่ว่าหนทางจะไกลเพียงไร ซีถงก็ค่อยๆไปได้ ต่อให้ลำบากอีกเท่าไร ไฟแค้นที่รอการชำระของโต้วเอี้ยนซันก็ไม่เคยดับ เป็นความแน่นอนของสิ่งเป็นไปเช่นฮองเฮาก็ไม่เคยหยุดฝึกฝนอวิ๋นเยี่ย


 


 


หลี่ไท่เป็นเด็กดี ได้รับหนังสือคณิตศาสตร์ที่แต่งใหม่จากอวิ๋นเยี่ย เห็นด้วยที่จะทำหน้าที่สอนแทนเขา เขาก้าวหน้าได้รวดเร็วมาก ทำหน้าที่นี้ได้อย่างสบาย แน่นอนว่า สิทธิ์ของอาจารย์ทุกเรื่องก็ไม่ยอมปล่อยให้หลุดไป ศัตรูเขามีอยู่มากมาย หมัดที่เขาโดนในการเรียนวิทยายุทธทำให้เขาไม่ลืมตลอดชีวิต ระยะเวลาตั้งแต่เกิดจนก่อนเข้าสถานศึกษาเขายังไม่เคยโดนเตะต่อยมาก่อน ใครจะรู้ได้ว่า สองปีที่ผ่านมาเขาได้รับการเตะต่อยชดเชยทั้งหมดอีกสองเท่า บางครั้งพอกลับวัง แม่นมเห็นรอยฟกช้ำทั้งตัวของเขาแล้วต้องกอดคอร้องไห้ ทั้งเตรียมที่จะฟ้องฮองเฮา แต่การฟ้องไม่ได้ผล หลี่ไท่เคยลองแล้ว ได้แต่ปลอบโยนแม่นมไม่ต้องเสียใจ รับรองว่าตัวเองจะต้องใช้คืนกลับไป จะไม่ให้โดนเปล่าแม้แต่หมัดเดียว


 


 


การอิจฉานักเรียนดี เป็นโรคสามัญประจำโรงเรียน อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ใส่ใจ หลี่ไท่เป็นคนรู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักหนักเอาเบาสู้ อย่างมากก็แค่โดนหมัดเท่านั้น จะมีอะไรมากมายนัก


 


 


หลี่กังเขียนจดหมายยาวมากฉบับหนึ่งให้อาจารย์เต้าซิ่น อวิ๋นเยี่ยใส่ในอกเสื้อยังรู้สึกได้ว่าหนามาก ลู่หยางวัดม้าขาวอวิ๋นเยี่ยพอรู้จัก รู้ถึงคำวิพากษ์วิจารณ์พิสดารเกี่ยวกับม้าขาวไม่ใช่ม้า เต้าซิ่นอาศัยอยู่ที่นั่น เซ็นนิ้วมือเดียวก็ไม่รู้ว่าเริ่มจากอาจารย์เทียนหลงหรือเต้าซิ่น จำไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยกังวลมากว่าพบเต้าซิ่นแล้ว ไม่ว่าตัวเองพูดอะไร เขาก็จะตอบโดยยื่นให้แค่นิ้วมือเดียว เช่นนั้นคงแย่แน่ เรื่องทุกเรื่องอาศัยการเดาใจ เรื่องกลยุทธ์ที่ทำให้คนงุนงงนับว่าสุดยอด หากเต้าซิ่นไม่รู้จักเซ็นนิ้วมือเดียว ตัวเองน่าจะเอามาลองใช้ดู


 


 


ไปลาที่กรมการปกครอง เจ้านายไม่อยู่ ทิ้งหนังสือไว้แล้วก็เตรียมกลับบ้าน รีบออกจากฉางอันดีที่สุด เดินตามถนนรู้สึกว่าขาดอะไรไป คิดใคร่ครวญแล้ว อวิ๋นเยี่ยเพิ่งนึกออก พวกลูกท่านหลานเธอที่มีเหยี่ยวมีสุนัขติดตัวเที่ยวก่อความวุ่นวาย เวลานี้พวกนี้กำลังเข้ารับการศึกษาจากหลิวเซี่ยนที่สถานศึกษาอวี้ซัน ถือว่าเป็นบุญของฉางอันอย่างหนึ่ง ท้องถนนปรากฏสาวๆลูกเศรษฐีนำสาวใช้บ่าวไพร่เดินเล่นมากขึ้นกว่าเดิมมาก ทั้งม่วงแดงเขียวเหลืองดึงดูดสายตาผู้คน น่าเสียดายที่ขาดพวกลูกท่านหลานเธอมาคอยตอแยด้วย


 


 


แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนต่างชื่นชม เช่นพวกสถานเริงรมย์บ่อนพนันขาดผู้อุดหนุนที่มีคุณภาพ กิจการย่ำแย่ลงไปมาก จนแม่เล้าทั้งหลายลำบากกัน เริ่มไล่ล่าแขกเหรื่อตามถนนตั้งแต่เที่ยงแล้ว


 


 


หากการไล่ล่าคนอื่นเป็นเรื่องสนุก การไล่ล่าตัวเองจะกลายเป็นเรื่องเศร้า สาวงามตามถนนต่างส่งสายตาดูถูกดูแคลน ทำให้อวิ๋นเยี่ยเสียหน้ามาก แม้แต่เหล่าจวงยังรู้สึกอาย หรือว่าโหวเหยียบ้านเราเป็นคนบ้ากามคนเดียวในถนนจูเชวี่ยหรือ


 


 


มีผ้าเช็ดหน้าหอมฉุนตกอยู่ที่อกเสื้ออวิ๋นเยี่ย แล้วส่งสายตาเย้ายวน บิดสะโพกเดินไป ทำให้พวกหนุ่มเสเพลแถวนั้นต่างเฮฮากัน อวิ๋นเยี่ยนึกอยากทิ้งผ้าเช็ดหน้าไป แต่พบว่าบนนั้นมีเขียนตัวหนังสือจนเต็ม


 


 


ไม่เคยคาดหวังเลยว่าหลี่อันหลานจะเป็นคนลุยเดี่ยว การช่วยหลี่อันหลานนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การร่วมมือกับอิทธิพลเบื้องหลังนางนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง พวกหญิงชั้นต่ำชั้นเลวเหล่านี้ ก็สามารถต่อรองกับตระกูลเยี่ยได้เชียวหรือ


 


 


อวิ๋นเยี่ยเก็บผ้าเช็ดหน้าไว้ มองดูหอเล็กข้างๆ แล้วก็จากไปโดยไม่หันกลับ


 


 


คนกลุ่มหนึ่ง หรือน่าจะพูดว่าผู้หญิงทั้งฝูง ยืนอยู่ในห้องมืดครึ้มชั้นสองมองอวิ๋นเยี่ยจากไป คนมีอายุพูดขึ้นว่า “อวิ๋นโหวเป็นคนหยิ่ง ดูถูกผู้หญิงชั้นต่ำอย่างพวกเรา การร่วมมือกับเขานั้นคงเป็นไปไม่ได้แล้ว”


 


 


“ข้าบอกแล้วว่า เขาเป็นคนหยิ่งยโส พวกเจ้าทำไม่สำเร็จหรอก เขาไม่ได้สนใจเรื่องสอดส่องในวังแม้แต่นิดเดียว พวกเจ้าก็ไม่ฟัง ทีนี้ เขาก็จะมาโกรธที่ตัวข้าอีก เดิมที เขาไม่พอใจกับการกระทำของข้ามาก คราวนี้คงยิ่งรังเกียจมากขึ้นอีก เขาทำอย่างไรต่อข้าไม่ได้มีปัญหา ขออย่าได้โกรธมาถึงลูกในท้องของข้า หากไม่ได้รับการดูแลจากเขาแล้ว อนาคตของลูกข้าน่าเป็นห่วงแน่นอน”


 


 


หลี่อันหลานนั่งอยู่บนเก้าอี้ ราวกับได้คาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนแล้ว ใบหน้าภายใต้หมวกคลุมศีรษะไม่แสดงความรู้สึกใดๆ


 


 


“เรื่องที่พวกเราคิดกันมาหลายปี สำหรับเขาแล้วง่ายดังพลิกฝ่ามือ หากเป็นไปได้ การขอข้าวกินภายใต้ปีกของเขาสำหรับคนต่ำต้อยอย่างพวกเรา เวลานี้กลับกลายเป็นร้ายไปแล้ว โซ่วหยางพูดถูก เด็กในท้องของเจ้าจึงเป็นจุดสำคัญ เขาเป็นเลือดเนื้อของโหวเหยีย โหวเหยียทำไม่รู้ไม่ชี้ไม่ได้ หากคิดหาเจ้านาย เขาจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”


 


 


ขันทีที่ยืนตัวโค้งงออยู่ในเงามืดใช้เสียงแหบแห้งค่อยๆพูด หยุดไปนิดหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “อวิ๋นโหวคงจะพอรู้อะไรแล้ว เพียงแต่เห็นแก่หน้าอันหลานจึงไม่ได้เปิดโปงเรื่องนี้ หากเขาคิดเล่นงานพวกเรา จะเป็นภัยร้ายยิ่งนัก ต่อไปให้หยุดการลองใจเขาทั้งหมด รอเวลาค่อยๆให้ความสัมพันธ์ทางสายเลือดซึมซับเข้าไปในจิตใจที่ฉลาดเฉลียวของเขา ให้เขามีความเมตตาสงสารพวกเราบ้าง จึงจะเป็นแผนการที่สมบูรณ์แบบ การหลบลี้ไปวัดเส้าหลินครั้งนี้น่าจะอยากให้ความคิดหลุดออกจากวังวนทั้งปวง เรื่องหลิ่งหนาน ยังต้องอาศัยความพยายามของพวกเราเอง”


 


 


หลี่อันหลานเชิดศีรษะขึ้นด้วยความทะนง มองดูคนที่ก่อนหน้านี้ทำให้ตัวเองหวาดกลัวแสนสาหัส เมื่ออยู่ภายใต้อิทธิบารมีผู้ชายของตัวเอง กลับดังเช่นสุนัขเร่ร่อนได้เจอราชสีห์ นอกจากยอมแล้ว ไม่มีทางอื่นให้เลือกได้อีก


 


 


ลูบคลำท้องที่เริ่มนูนขึ้นเล็กน้อยแล้ว จิตใจมีแต่ความเบิกบาน ป้ายไม้บนคอตัวเอง จึงเป็นยันต์คุ้มกันภัยให้ตัวเองกับเด็กอย่างดีที่สุด เมื่อมีมันแล้ว ผีสางเทวดาล้วนขยาด เกิดความอบอุ่นจากการที่ถูกคุ้มครองครั้งแรกในชีวิต 

 

 


ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...

 

ตอนที่ 39 ความรู้สึกของคนขึ้นครอง

 

ฉางอันยิ่งวันยิ่งเลอะเทอะพวกปิศาจมารร้ายต่างออกมาเริงระบำ เวลานี้อวิ๋นเยี่ยนับถือหลี่ซื่อหมินสุดซึ้งที่สามารถเล่นปา**่โยนบอลคนเดียวได้แปดลูก สมาคมชั่วร้ายตามบันทึกประวัติศาสตร์มีจริง บูเช็คเทียนอาศัยพวกนี้ที่มีทุกหนทุกแห่งทำให้สมคบกับหลี่จื้อ เขาเป้ยเป้ยซันของหลี่เฉินเฉียงก็ราวกับไม่ได้หลุดพ้นจากความเกี่ยวข้องกับคนพวกนี้ กลุ่มต่ำต้อยที่สุดสามารถทำเรื่องที่ศัตรูหลี่ซื่อหมินนับไม่ถ้วนล้วนใฝ่ฝันอยากทำสำเร็จ การผนึกกำลังกับพวกเขามีผลลัพธ์ยากที่จะคาดเดา ตระกูลอวิ๋นขอไม่แตะต้องด้วยพราะแตะต้องไม่ไหว


 


 


ม้าต่างวิ่งจากชายแดนเข้าตลาดเดินอยู่ในตลาดซีซื่อ เสียงร้องตะโกนยาวๆดังขึ้น สาวหูเดินรอบอวิ๋นเยี่ยเร่ขายสุราอีกทั้งพ่อค้าหูโชว์พรมสวยงามให้อวิ๋นเยี่ยดู นายทาสลากสาวหูที่ยังเด็กอยู่โชว์รูปร่างที่สวยงามราวกับโดนมนต์สะกดให้อยู่นิ่งยืนเฉยโดยไม่ไหวติงอยู่กับที่ พวกหนุ่มเสเพลต่างถือโอกาสใช้มือไม้แตะต้องบนตัวสาว สาวหูก็ลืมที่จะต่อต้านคงปล่อยให้ทำตามใจชอบ อวิ๋นเยี่ยยังเห็นนักเลงคนหนึ่งแย่งพรมออกจาพ่อค้าหูแล้ววิ่งหายไป พ่อค้าหูก็ยังอยู่เฉย


 


 


ครั้นแล้วเสียงร้องไห้ก็ดังระงมขึ้นมา เหล่าพ่อค้าหูต่างใช้ศีรษะโขกพื้นโขกจนแตกแล้วยังเอาเลือดทาหน้าดูน่าหวาดกลัวยิ่งนัก ประหลาดมากที่คนทำเช่นนี้มีแต่พ่อค้าหูผมดำ พวกพ่อค้าหูผมหลากสีต่างแสดงอาการชอบอกชอบใจทั้งยังยกมือยกไม้สั่งการด้วยจิตใจที่มีความสุขยิ่ง พ่อค้าหูที่นอนกลิ้งร้องไห้บนพื้นชนถูกเท้าม้า หากไม่ใช่เหล่าจวงหูไวตาไวลากเขาออกมาจากเท้าม้า ศีรษะเขาต้องกระแทกถูกโกลนม้าที่ใหญ่ขนาดหม้อดินของอวิ๋นเยี่ยแน่นอน ตลาดวุ่นวายกันหมด พวกมือตีปรากฏตัวออกมาเป็นฝูงต่างถือไม้กระบองตีดะทั้งซ้ายขวา ตีพลางร้องพลาง “พ่อแม่ตายไปแล้วหรือถึงร้องไห้โวยวายขนาดนี้ พวกสุนัขไม่รับประทานทำให้พวกข้าโดนด่าตั้งแต่เที่ยง พวกเวรแท้ๆ”


 


 


พ่อค้าหูโดนตีจนขยาดทำให้แต่ละคนเบียดเข้ามาทางอวิ๋นเยี่ย นับได้ว่ามีสายตาดีมากที่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นคนสูงศักดิ์พวกมือตีวายร้ายคงไม่กล้าเข้ามา ทั้งจัดการอย่างมีระเบียบโดยให้เด็กคนชราผู้หญิงเข้าใกล้อวิ๋นเยี่ย ส่วนพวกหนุ่มๆอยู่ด้านหลังคอยรับกระบอง


 


 


ทนดูไม่ไหวจริงๆโดยเฉพาะเห็นพวกมือตีเล่นงานแต่ที่สำคัญ กระบองขนาดเท่าแขนฟาดลงไปโดนสองทีอาจเสียชีวิตได้ จึงโบกมือให้เหล่าจวง เหล่าจวงขึ้นไปใช้เท้าเตะคนที่ตีรุนแรงที่สุดทีเดียวตีลังกาไป ตะโกนว่า “หยุดทุกคน โหวเหยียมีอะไรจะถาม”


 


 


มือตีคนนั้นตีจนเป็นนิสัย คลานขึ้นมาอ้าปากจะด่าแต่เห็นลายปักที่มุมเสื้อของเหล่าจวงรีบสงบทันทีแล้วยืนนิ่งอยู่ที่นั่น เหล่าจวงขึ้นไปตบหน้าคนนั้นว่า “ไอ้นี่ ดีที่ยังไม่ทันด่า ไม่เช่นนั้นจะเราะฟันให้ร่วงหมดปาก”


 


 


จนทุกคนต่างสงบแล้วอวิ๋นเยี่ยจึงพูดกับคนหูสูงอายุว่า “ทำไมหรือ แผ่นดินบ้านเมืองของพวกเจ้าถูกยึดครองไปแล้วหรือ”


 


 


คนหูแสดงสีหน้าเจ็บปวดลูบคลำหน้าอกทำความเคารพ “ท่านชายสูงส่งที่มีความเมตตา แผ่นดินบ้านเมืองพวกเรา เมกกะที่ดังสวรรค์ถูกคนเถื่อนทรยศตีแตกแล้ว บ้านเรือนเรือกสวนพวกเราถูกทำลายหมดสิ้นกลับไปไม่ได้อีกแล้ว อัลเลาะห์ โปรดช่วยชีวิตข้าทาสของท่านด้วย” พูดจบแล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น


 


 


“ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่นักหรอก มูฮัมหมัดไม่ได้เข่นฆ่าราษฎรแต่กลับคุ้มครองทรัพย์สินเรือกสวนของพวกเจ้า ที่ตายไปนั้นเป็นเพียงพวกทำหน้าที่นักบวชต่างๆทั้งยังพวกพ่อค้าที่ใหญ่ที่สุดกับขุนนาง หากพวกเจ้าไม่ใส่ใจกับวิหารไม่เค่อไป๋ที่ถูกทำลายมากนักก็จะไม่เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร” อวิ๋นเยี่ยยักไหล่ สิ่งที่เขาทำได้ก็มีเพียงเท่านี้ ปลอบโยนพวกคนน่าสงสารที่ทำการค้าอยู่ในต้าถัง


 


 


มองดูถนนหนทางในฉางอันที่เห็นคนเดินกันพลุกพล่านแล้วอวิ๋นเยี่ยมีความรู้สึกไม่เป็นจริงขึ้นมากะทันหัน คนป่ายุโรปเวลานี้ไม่มีคุณสมบัติกระทั่งโดนผู้ดูแลเมืองฉางอันทุบตี แม้แต่ชาวนาชาวไร่บ้านนอกที่เข้าเมืองหากมีปัญหากับพ่อค้าหูก็ไม่ต้องพูดเลย คนสุดท้ายที่ชนะนั้นคือชาวไร่ชาวนาไม่ใช่พ่อค้าหูที่มีเงินทองเต็มกระเป๋า ในยุคสมัยที่แม้แต่การรับของขวัญจากพ่อค้าหูยังถือว่าเป็นเรื่องน่าขายหน้านั้น อวิ๋นเยี่ยยืดหลังตรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว คงมีเพียงผู้ขึ้นครองจึงสามารถให้ความเห็นใจคนอ่อนแอได้ อารมณ์อวิ๋นเยี่ยดีมากเตรียมที่จะโปรดสัตว์สักครั้ง


 


 


เห็นอวิ๋นเยี่ยเตรียมลงม้าก็มีคนหูคุกเข่าที่พื้นทันทีใช้หลังตัวเองเป็นที่เหยียบแทนแท่นหิน หากเป็นคนถังอวิ๋นเยี่ยต้องปฏิเสธแน่นอนแต่เมื่อเป็นคนหูก็ช่างเถอะ


 


 


เหยียบหลังคนหูลงม้าแล้วฝูงคนก็แยกออก กลุ่มนายห้างได้ข่าวรีบรุดมาถึงล้วนเป็นคนคุ้นหน้าทั้งนั้น หัวหน้าก็คือเหล่าซูที่เคยไปเจรจาในบ้านตระกูลอวิ๋นคราวที่แล้ว ค้อมตัวทำความเคารพแต่ไกล “พวกลูกน้องก่อความวุ่นวายโดนโหวเหยียจับได้คาหนังคาเขา ช่วยไม่ได้ต้องยอมถูกตีถูกลงทัณฑ์ ขอให้โหวเหยียลงมือเบาหน่อย ฝ่ามือหลังมือล้วนเป็นเนื้อ คงให้แล่ไม่ไหว”


 


 


“ใครจะไปสนใจเรื่องภายในของเจ้า ข้าถามเจ้า พวกร้านที่มีป้ายยี่ห้อคงไม่ได้ทำให้ราชวงศ์เสียหายกระมัง” อวิ๋นเยี่ยยังจำเรื่องคราวก่อนที่เอาชื่อหลีซื่อหมินไปขาย “โหวเหยียขอให้วางใจไม่ว่าใครได้ป้ายยี่ห้อต่างเห็นว่าสำคัญมากกว่าชีวิต ป้ายยี่ห้อทองเหลืองนั้นข้านึกอยากนอนกอดไว้ด้วยซ้ำ ใครจะกล้าไปทำชุ่ยๆให้เสียหาย วัสดุที่ให้สร้างตำหนักว่านหมินในพระราชวัง พวกข้าล้วนแต่คัดเลือกแล้วคัดเลือกอีกตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีก หากอวิ๋นโหวเห็นมีการใช้ของเลวแทนของดีให้เล่นงานข้าได้ ตำหนักว่านหมินเป็นเรื่องใหญ่ที่เหล่าพ่อค้าคหบดีร่วมกับราชสำนักเป็นครั้งแรก หากใครกล้าทำผิดพลาดพวกข้าจะจับมันมากลืนกินตัวเป็นๆทีเดียว”


 


 


เหล่าซูมีรัศมีเฉิดฉายเต็มหน้า การค้าที่ขาดทุนครั้งนี้ทำจนจิตใจเบิกบานสมองปลอดโปร่ง หากมีธุรกิจเช่นนี้เพียงปีละรายคงมีอายุยืนถึงร้อยปียังไม่ยอมตายแน่นอน


 


 


“ข้าได้ยินว่ากรมโยธาธิการให้ป้ายยี่ห้อคนซื่อใจดีแก่พวกเจ้า ได้ยินว่าพวกเจ้าต่างเก็บซ่อนไว้ในบ้านไม่ให้ใครเห็น มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ เช่นนี้ไม่ดีแน่ เจ้าซ่อนไว้แล้วใครจะรู้ว่าเจ้าเป็นคนซื่อใจดี” อวิ๋นเยี่ยยิ้มหยอกเล่น


 


 


กลุ่มนายห้างได้ยินแล้วต่างหัวเราะงอหาย พ่อค้าทั้งนั้น ขออย่าได้มีเรื่องเกี่ยวพันกับผลประโยชน์แล้ว แต่ละคนต่างเป็นคนดีที่เข้ากับสถานการณ์ได้


 


 


พออารัมภบทจบอวิ๋นเยี่ยก็ว่า “พวกคนหูเหล่านี้ก่อกวนระเบียบตลาดทำให้วุ่นวายน่าแค้นเคืองนัก แต่ดูพวกเขาช่างน่าสงสารจึงได้ช่วยกันไว้ บ้านเดิมของคนพวกนี้ถูกทหารทรยศยึดไปทำให้บ้านแตกสาแหรกขาดจึงได้ร้องไห้คร่ำครวญ เหล่าซูช่วยหาที่ทางให้พวกเขาได้ร้องคร่ำครวญสักพัก อย่าได้ลงโทษเลยจะดีไหม”


 


 


เขาไม่ได้มีความสัมพันธ์เป็นนายลูกน้องโดยตรงกับพวกเหล่าซูย่อมใช้คำพูดแข็งกร้าวนักไม่ได้ แค่อาศัยยศถาบรรดาศักดิ์ที่สูงกว่าแล้วเข้าสอดแทรกโดยไม่สนใจกฎเกณฑ์ก็จะเป็นนิสัยปัญญาอ่อนเกินไป


 


 


“ในเมื่ออวิ๋นโหวออกปากแล้วย่อมต้องได้ วันนี้พวกหูถือว่าดวงดีที่ได้พบกับผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ไม่เช่นนั้นต้องโดนถลกหนังทิ้ง แต่ละคนไม่รู้ธรรมเนียมไร้มารยาท ตลาดใช่เป็นสถานที่มาร้องไห้คร่ำครวญกันหรือ ยังไม่รีบไปตลาดม้าอีกจะต้องให้ข้าเชิญหรือ”


 


 


หนุ่มล่ำสันออกท้วมคนหนึ่งมองดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดี พูดจายกหางให้เกียรติอวิ๋นเยี่ยอย่างเต็มที่แต่ใช้วาจาโหดร้ายตะคอกพวกหูอย่างรุนแรง ฝีมือการอยู่วงการงานหลวงลื่นไหลจนเห็นได้อย่างชัดเจน


 


 


จนพวกหูร้องห่มร้องไห้ไปตลาดม้าแล้ว คนหูที่มีอายุควักจานเงินที่มีลายละเอียดงดงามจากอกเสื้อยกชูขึ้นสูง มอบให้อวิ๋นเยี่ย นี่เป็นความเคารพสูงสุดของอิสลามหากไม่รับก็ไม่ถูกต้อง จึงยื่นมือรับมาบอกคนหูว่า “หากตระกูลเจ้าไม่ใช่พวกยศศักดิ์สูงก็ไม่มีปัญหามาก มูฮัมหมัดคงอยู่ไม่พ้นปีหน้ารอปีมะรืนค่อยกลับไปเถอะ ไม่แน่ว่าอาจจะไม่มีเรื่องมีราวอีก”


 


 


คนหูชราเดินจากไปอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เขาไม่เชื่อว่าอวิ๋นเยี่ยจะรู้เรื่องที่ไกลออกไปถึงหมื่นลี้ แต่ก็ไม่พบเหตุผลที่อวิ๋นเยี่ยโกหกพวกเขา ได้แต่ซ่อนเรื่องนี้ไว้ในใจ รอคอยการพิสูจน์


 


 


ปฏิเสธการเลี้ยงอาหารของพวกเหล่าซูแล้วโยนจานให้เหล่าจวง บอกว่ามอบให้เจ้าแล้วก็ขี่ม้ากลับบ้าน ในใจอิ่มเอิบไปด้วยความยินดีจากการที่ได้ทำความดี กลับถึงบ้านแล้วอวิ๋นเยี่ยเล่าให้ท่านย่ารู้ว่าหลี่อันหลานไม่ได้หัวเดียวกระเทียมลีบแต่มีกลุ่มคนช่วยเหลืออยู่ ใครจะรู้ท่านย่าบอกอวิ๋นเยี่ยอย่างไม่ได้ประหลาดใจเลยว่า “หลานรัก โซ่วหยางเล่าบางเรื่องให้ข้ารู้แล้วทั้งขอร้องไม่ให้ข้าบอกเจ้า บางครั้งนางไม่รู้จะทำอย่างไรดี นางรู้อยู่ว่าคนเหล่านี้น่ากลัวมาก ก่อนหน้านี้นางพบว่าคนพวกนั้นจะใช้เจ้า นางจึงสลัดเจ้าไปเพราะเกรงว่าเจ้าจะถูกคนพวกนั้นใช้ ดังนั้นเจ้าอย่าได้ไปโทษนางเลย มีแม่ที่ทั้งโง่ทั้งดื้อจนนางไม่มีวิธีแก้ไขอะไรได้เลย”


 


 


“โง่ เรื่องเช่นนี้มีเหตุผลอะไรที่จะอดทน หากมัวแต่อดทนพวกเขาก็จะได้คืบเอาศอก ครั้งนั้นหากนางบอกข้าก็จะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ น่ากลัวนางเองก็คงคิดอาศัยคนเหล่านั้นเพื่อแย่งชิงสิทธิอิสรเสรีของนางเอง ไม่เชื่อท่านลองวางตัวซินเย่ว์อยู่ในสิ่งแวดล้อมนั้นดู ซินเย่ว์จะเป็นคนแรกที่ขอความช่วยเหลือจากข้าโดยไม่ลังเล กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นตามสนอง เรื่องนี้ขอจบเพียงเท่านี้ ท่านย่า ท่านช่วยหาพวกคนดูแลเด็กทารกที่เชื่อถือได้ คนข้างตัวนางห้ามใกล้ชิดเด็ก ข้าจะหาคนหน่วยข่าวกรองที่เกษียณแล้วเป็นองครักษ์ติดตัวเด็ก หากใครกล้าคิดใช้ลูกข้าเป็นตัวหมาก ข้าจะทำให้เขาแม้ตายก็ยังไม่เป็นสุข”


 


 


อวิ๋นเยี่ยไม่ยินดีที่จะเสียแรงกายแรงใจในเรื่องโซ่วหยางอีก หลี่ซื่อหมินได้เริ่มต้นแล้ว ตัวเองอย่าไปยุ่งมากจะดีกว่า


 


 


“ถูกต้องแล้วที่เป็นเช่นนี้ ใครมาใช้เหลนข้าเล่นการบ้านการเมืองข้าจะไม่ยอมวางเฉยแน่นอน”


 


 


นึกถึงเหลนน่าสงสารที่ใกล้คลอดของตัวเอง แม้แต่ท่านย่าที่ปกติใจดีมีเมตตาก็ยังออกอาการกราดเกรี้ยวขึ้นมา


 


 


บ้านอวิ๋นมีเสียงอึกทึกครึกโครมตั้งแต่เช้าตรู่ ขบวนการออกเดินทางของเจ้าบ้านครั้งยิ่งใหญ่นี้หาได้ยาก ทั้งธงทิว หน่วยคุ้มกันพร้อมสรรพ สาวใช้บ่าวไพร่พร้อมสรรพ การเดินทางไกลย่อมต้องแสดงออกถึงบารมีของตระกูลอวิ๋น นี่เป็นขั้นตอนที่ซินเย่ว์ชื่นชอบมากที่สุด ปกติการแต่งกายเป็นฮูหยินตราตั้งชั้นสี่นั้นจะทำให้คนนินทา เวลานี้จะออกนอกบ้านแล้ว การแต่งโชว์เดินแกว่งไกวหน้าบ้านตัวเองเป็นเรื่องจำเป็นมาก


 


 


“รีบขึ้นรถเร็ว ตะวันขึ้นสูงโด่งแล้ว หากไม่เริ่มเดินทางอีกก็จะไปไม่ไหวแล้ว” อวิ๋นเยี่ยประคองซินเย่ว์ที่เดินเหมือนเต่าคลานไปที่รถม้า อากาศร้อนจัดสวมชุดฮูหยินตราตั้งที่หนาหนักเช่นนี้ไม่กลัวผดจะขึ้นหรือ


 


 


รถม้าขยับแล้ว ด้านหน้าเป็นหน่วยคุ้มครองสวมชุดเกราะกรุยทาง ตามด้วยขบวนรถม้ายาวเหยียด ชั่วยามที่แล้ว หน่วยสำรวจเส้นทางได้ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ไปสะพานป้าเฉียวสมทบกับขบวนของเฉิงกับหนิวอีกสองขบวน


 


 


อวิ๋นเยี่ยทำเป็นมองไม่เห็นแววตาที่น่าสงสารของวั่งไฉที่พยายามเข้าหาอวิ๋นเยี่ยให้ช่วยเหลือเขา ซ่านอิงขี่ม้าตัวใหญ่บนอานผูกบังเ**ยนของวั่งไฉ ปากวั่งไฉมีตะกร้อสานด้วยเชือกสวมอยู่นึกอยากร้องก็ยังร้องไม่สำเร็จ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะไปกินอาหารมากมายที่พวกพ่อค้ายื่นให้


 


 


ซ่านอิงสวมชุดเกราะอ่อนเต็มตัวทั้งมีคันธนูสะพายหลัง กระเป๋าอานม้ามีกล่องลูกธนูสองกล่องคาดดาบไว้ที่เอว ด้านข้างม้ายังแขวนทวนใหญ่ ปลายทวนมีแสงแวววับ ทำให้เหล่าทหารเก่าหันหลังมองไม่หยุดหย่อน


 


 


“โหวเหยีย ท่านเอาเจ้าหนูนี่มาไว้ที่บ้านเราด้วย ดีจัง พวกข้ากำลังขาดคนทะลวงฟันที่เก่งกาจ ตอนนี้มีพร้อมเลยทีเดียว พวกคนแก่กลับมาคราวนี้จะได้ดื่มสุรายามชรากัน”


 


 


“ยังไม่รู้เลย เจ้าหนูนี่นิสัยพยศเชื่องยากไม่รู้จะเอาอยู่ได้หรือไม่” อวิ๋นเยี่ยไม่มั่นใจนัก


 


 


“โหวเหยียวางใจได้ ขอแค่ใครมาถึงบ้านเราแล้วก็จะไม่ยอมวิ่งเพ่นพ่านไปไหนอีก พวกคนของข้าล้วนแต่พยศทั้งนั้น พอถึงบ้านแล้วก็ไม่มีความคิดจะวิ่งไปข้างนอกแม้แต่นิด เจ้าหนูนี่ก็ไม่ยกเว้นหรอก” เหล่าเจียงยกน้ำเต้าสุราขึ้นมาดื่มอึกใหญ่หรี่ตาด้วยความรื่นรมย์ พร้อมกับกลืนน้ำสุราที่เผ็ดร้อนลงท้องไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)