เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 6 ตอนที่ 34-36

ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...

 

ตอนที่ 34 บัตรผ่านทางร่ำรวย

 

ฮองเฮาไล่อวิ๋นเยี่ยออกจากวังสองรอบก็ยังไม่สำเร็จ เขาตั้งใจแล้ว่าจะอยู่รักษาแผลจนหายค่อยกลับไม่เช่นนั้นจะอธิบายรอยฟันบนสะโพกไม่ได้ ซินเย่ว์อาจไม่โวยวายเพราะสภาพแวดล้อมต้าถังเป็นเช่นนี้อยู่แล้วแต่อวิ๋นเยี่ยเองกลับกลัวถูกจับได้ หากเป็นยุคหลังซินเย่ว์คงไล่เขาออกจากบ้านให้เขาเปิดสะโพกออกไปหากินเอง


 


 


ระหว่างนี้ฮ่องเต้ระดมคนมามากมายทั้งหลี่จิ้ง จ่างซุนอู๋จี้ ฝางเสวียนหลิง ตู้หรูฮุ่ย ยังมีจางเลี่ยง เฝิงอั้ง กระทั่งมีพวกลับๆล่อหลายคนใช้ผ้าดำคลุมหน้าโผล่แค่ลูกตาสองข้างเร้นลับจนทำให้คนกลัว อวิ๋นเยี่ยยืนดูอยู่ข้างๆไม่ให้พูด ฮ่องเต้สั่งเขาว่าให้พกไปแค่หูห้ามพกปากไปด้วย


 


 


เทียบกับแผนการหยาบๆของอวิ๋นเยี่ยแล้ว กลุ่มคนใหญ่โตในราชสำนักใช้คำพูดเพียงไม่กี่คำก็วางแผนการเหนือเมฆได้เพราะเหล่าขุนนางต่างยินดีเข้าหุ้นด้วยควักเงินเท่าไรก็ได้หุ้นตามส่วนนั้น ทำให้แผนการเอากำไรจากกลุ่มขุนนางต้องยกเลิกไป


 


 


แผนการส่วนตัวกลายเป็นนโยบายราชสำนัก ความกระหายของฮ่องเต้แสดงออกอย่างชัดแจ้ง การบุกเบิกหลิ่งหนานเร็วกว่าประวัติศาสตร์นับร้อยปี อวิ๋นเยี่ยแอบชอบใจเพราะตัวเองไม่ได้สนใจที่ดินเลยแม้แต่นิด ที่มีประโยชน์คือปากอ่าวท่าเรือเล็กๆ ขอเพียงให้ท่าเรือเล็กๆนี้คงอยู่เงินทองก็จะไหลมาเทมาไม่หยุดหย่อน สำหรับนาข้าวที่สามารถปลูกได้สามรอบนั้นต้องรอให้เหล่าขุนนางที่ดูแลด้านเกษตรไปออกแรงกัน


 


 


“เหนียงเหนียงท่านดูกระโปรงที่ท่านใส่นี่มีขอบเฟอร์ด้วยแต่ด้ายทองด้านบนหายไปไม่น้อย ดอกโบตั๋นเกสรหายหมดแล้วผีเสื้อหายไปไหน มีดอกไม้แต่ขาดผีเสื้อถือว่าเป็นกระโปรงที่ใช้ไม่ได้”


 


 


ฮองเฮาอุ้มซื่อจื่อไว้ด้านหน้าพูดภาษาต่างดาวกันกระหนุงกระหนิง แม่ลูกคนหนึ่งพูดคนหนึ่งตอบต่างชื่นอกชื่นใจ หลี่เฉิงเฉียนกับอวิ๋นเยี่ยตามอยู่ข้างหลัง รัชทายาทไม่ได้พูดเพียงแต่ตั้งอกตั้งใจเด็ดดอกไม้ในสวนให้มารดาเตรียมไว้ปักแจกันตั้งโชว์ อวิ๋นเยี่ยพูดไม่หยุดปากวิพากษ์วิจารณ์เสื้อผ้าฮองเฮาเพื่อแหย่ให้อารมณ์รักสวยรักงามของฮองเฮาฟื้นคืนมา ใครจะรู้ว่าฮองเฮาไม่ได้แยแสเลยคงแหย่ลูกสาวเล่นอย่างสบายใจ


 


 


“เหนียงเหนียงปิ่นปักผมพลอยบนศีรษะท่านช่างไม่สมกับระดับมารดาแห่งชาติที่สูงส่งเลย ขนาดแค่เมล็ดข้าวตกพื้นก็หาไม่เจอแล้ว ท่านไปบอกฝ่าบาทว่าให้เจ้านี่หาพลอยสีน้ำเงินขนาดกำปั้นที่หลิ่งหนานให้ท่านจึงจะเชิดชูเกียรติสมฐานะของท่าน เสื้อผ้าท่านประดับพลอยสีน้ำเงินจะงามมากที่สุดเลย”


 


 


คงทนไม่ไหวกับการบ่นของอวิ๋นเยี่ย ฮองเฮาเชิดปากพูดว่า “เจ้าบ้านนอก โบตั๋นไม่มีกลิ่นหอมผีเสื้อไม่ตอม เจ้านึกว่าข้านุ่งผ้าที่มีผีเสื้อตอมดอกโบตั๋นแล้วจะเข้าท่าหรือ อีกอย่างหนึ่งให้ข้าไปบอกฝ่าบาทให้เจ้าหาพลอยสีน้ำเงินขนาดเท่ากำปั้นแล้วข้าจะไว้บนศีรษะได้หรือ เจ้านี่ให้ช่องแค่นิดเดียวเจ้าก็ทำให้เป็นโพรงใหญ่ได้ ถ้าให้เจ้าหาพลอยก้อนใหญ่ให้ข้าเจ้าคงขุดเอาพลอยสีน้ำเงินที่หลิ่งหนานจนหมดเกลี้ยงแล้วลูกหลานจะเหลืออะไรกันอีก”


 


 


พวกลูกหลานเหลืออะไรอวิ๋นเยี่ยไม่สนใจ แต่ชาติก่อนเคยเห็นพลอยสีน้ำเงินศรีลังกาในศูนย์การค้าชั้นสูงสักครั้งสองครั้ง เม็ดเล็กๆยังขายแพงมหาศาล เพชรยังไม่เป็นที่นิยมเวลานี้ที่ใช้มากที่สุดก็คือติดในเครื่องมือที่ใช้ตัดพลอยต่างๆ พลอยสีต่างๆเป็นที่นิยมกันมากโดยเฉพาะพลอยสีน้ำเงินนิยมสูงสุด ซินเย่ว์จ่ายเงินไปมากมายซื้อมาเม็ดหนึ่งโดนท่านย่าชี้หน้าว่าใช้เงินถล่มทลาย หากไม่ได้พลอยสักสองสามเม็ดที่พอประชันกับดวงใจแห่งทะเล อวิ๋นเยี่ยแม้นอนตายก็ตาไม่หลับ


 


 


“ข้าน้อยแค่นำเรือเล็กสองสามลำไปหาพลอยจะเอาพลอยทั้งหมดกลับมาได้อย่างไร  พูดไปแล้วเครื่องเทศที่นั่นมีทั่วไปทั้งป่าเขาต่างแห้งเ**่ยวอับเฉาโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์ เครื่องเทศต้าถังเรากลับมีน้อยเหลือทนทั้งอาหารต่างๆหากขาดสิ่งเหล่านั้นก็จะเก็บไว้ได้ไม่นาน เวลานี้ทั้งโลกฝนฟ้ามาต้องตามฤดูแม้แต่ตั๊กแตนก็ยังไม่มี ผงตั๊กแตนที่สะสมไว้เมื่อสองปีก่อนโดนทหารชายแดนกินเกลี้ยงแล้วโวยวายว่าอยากได้อีกว่าขาดสิ่งนี้แล้วข้าวไม่หอม ข้าคิดอยากเลี้ยงตั๊กแตนแค่บอกฝ่าบาทก็โดนด่าแทบแย่ หากไม่ใช่เพราะแผลยังไม่หายดีคงได้โดนตีอีก


 


 


ฮองเฮานึกถึงครั้งที่นางกินตั๊กแตนแล้วคลื่นไส้จึงตบหน้าอกแล้วค้อนอวิ๋นเยี่ยไปหนึ่งขวับ “ภัยตั๊กแตนครั้งก่อนทั้งหลวงทั้งราษฎร์ต่างประสบเคราะห์กรรมทั้งมีที่เสียชีวิตเพราะตั๊กแตน มีแต่เจ้าตระกูลอวิ๋นหาเงินได้จากภัยแผ่นดิน รีบๆเลิกคิดเรื่องเลี้ยงตั๊กแตนไปเลยแค่คิดก็ยังสยอง ถ้าว่างนักก็เลี้ยงวัวเลี้ยงแพะหรือหมูก็ยังดี”


 


 


“เหนียงเหนียงเอ๋ยวัวแพะหมูเลี้ยงมากขาดเครื่องเทศท่านจะให้คนกินได้ลงหรือ วันก่อนรายการเนื้อแพะในวัง ต้องใช้เครื่องเทศถึงสองชั่ง ไม่กี่วันก่อนเสนาบดีต้าถังอยากรับรองแขกแต่ซื้อเครื่องเทศไม่ได้ ข้าน้อยช่วยไปห้าชั่งถึงทำให้แขกเหรื่อพอใจได้ เงินค่าเครื่องเทศล้วนถูกพวกหูจื่อเอากำไรไปท่านไม่เจ็บปวดหรือ”


 


 


อวิ๋นเยี่ยพูดจบยังดุนหลังหลี่เฉิงเฉียนให้เขาช่วยพูดสนับสนุนด้วย ใครจะชอบคนที่กินข้าวฟรีๆถึงคราวใช้ได้ก็ต้องใช้ให้คุ้ม


 


 


“เสด็จแม่ เยี่ยจื่อพูดมีเหตุผล พวกเรากับเขาร่วมกันหาเครื่องเทศมาขายจะเป็นไรมี เสด็จพ่อแต่ละปีต้องให้เครื่องเทศเหล่าขุนนางเป็นรางวัลมากมาย เงินเหล่านี้ล้วนถูกเอากำไรโดยพวกหูจื่อช่างไม่สมควรเลย” หลี่เฉิงเฉียนรีบเปิดปากสนับสนุนเต็มที่ เงินที่อวิ๋นเยี่ยได้กำไรมาย่อมมีส่วนที่เขาได้ด้วยจะมัวแต่ทำเฉยก็ไม่น่าดู เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับปัญหาชาติบ้านเมืองย่อมต้องออกแรงช่วย


 


 


“แค่เรือเครื่องเทศสองสามลำเป็นเรื่องเล็กไม่ต้องรอให้เสด็จพ่อเจ้าเปิดปากหรอกเสด็จแม่สามารถจัดการได้ แต่บอกก่อนว่าจะยอมให้ครั้งนี้ครั้งเดียวครั้งหน้าไม่ได้ ทำแต่เรื่องที่ไม่ได้ช่วยชาติบ้านเมืองอะไรเลยรู้แต่จะค้ากำไรเท่านั้น”


 


 


ฮองเฮาถือว่ารับปากแล้วแต่ยังไม่วางใจนักคิดจะกำชับอีกสักคำสองคำแต่พอหันไปก็ไม่เจอใครแล้ว ทั้งคู่วิ่งตรงไปวังตงกงราวกับบินได้ ท่าทางคงรีบไปเตรียมการ


 


 


“เอ ไม่รู้ที่รับปากให้พวกเขาไปทำจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่” ฮองเฮาเพิ่งขมวดคิ้วลูกสาวในอกก็ร้องไห้ลั่น ทำให้ความคิดนางต้องไปอยู่ที่ลูกสาวอีก ส่วนเรื่องที่รัชทายาทกับอวิ๋นเยี่ยไปร่วมมือทำอะไรกันถูกลืมจนหมดเกลี้ยง


 


 


สองคนออกจากพระราชวังแล้วก็รีบขึ้นรถม้าเร่งไปบ้านหลี่เซี่ยวกง ตกลงกันแล้วว่าวันนี้จะเปิดประชุมหุ้นส่วน เหล่าราชวงศ์ขุนนางต่างชุมนุมกันรอฟังข่าวอวิ๋นเยี่ยกับรัชทายาท การที่จะได้ร่ำรวยหรือไม่ก็ต้องดูเที่ยวนี้แล้ว


 


 


ที่ดินหลิ่งหนานไม่มีใครใส่ใจ ต่อให้ได้แล้วก็ไม่ได้มีผลผลิตอะไร ที่สนใจนั้นคือพลอยใหญ่กับเครื่องเทศตามที่อวิ๋นเยี่ยบอก ห้องโถงใหญ่เงียบกริบทุกคนต่างกลั้นหายใจรอคอยข่าวดีอย่างกระวนกระวาย


 


 


รถม้ามาถึงจวนอ๋องที่ประตูใหญ่เปิดอยู่แล้ว รถม้าควบไปถึงโถงหน้าหลี่เฉิงเฉียนจึงพยุงอวิ๋นเยี่ยลงรถม้า การวิ่งอย่างเร่งรีบเมื่อครู่นี้ทำให้บาดแผลปริออกเลือดซึมออกมาติดกางเกงเป็นแถบราวกับผู้หญิง


 


 


ทุกคนต่างยืนที่หน้าประตูรอทั้งคู่พูด พอหลี่เฉิงเฉียนผงกศีรษะอย่างเต็มตื้นทุกคนต่างยิ้มออกได้ทันที หลี่เซี่ยวกงกำหมัดทุบที่ฝ่ามือเสียงดังตุ๊บแล้วเดินกลับโถงใหญ่ แผนที่ยักษ์แขวนอยู่ที่ผนัง ตามที่แบ่งพวกไว้แต่ก่อน หลี่จิ้ง หลี่เซี่ยวกง เว่ยฉือกง ฉินฉยง หลี่ต้าเลี่ยง ทั้งห้าคนต่างล้อมวงเข้ามา นิ้วที่ชี้บนแผนที่ขยายไปเรื่อยๆคอยหนุนเจ้าบ้านที่มีกองทหารเดินหน้าออกไป ตลอดกระบวนการคล้ายการก่อกบฏ เพื่อเงินทองแล้วพวกเขาปลดปล่อยความสนใจออกมาอย่างสูงสุดยอด


 


 


อวิ๋นเยี่ยนอนคว่ำบนโซฟาเตี้ยหลังห้องพยายามจะปิดสะโพกไว้ แต่ภายใต้สายตาหมู่คนที่จับจ้อง หมอที่น่าถองกลับเปิดผ้าออกหมดทั้งยังพูดว่า “แผลโหวเหยียโดนไม้หวดห้ามปิดไว้เด็ดขาดต้องโดนแสงมากๆจึงจะดี”


 


 


ห้าเฒ่าลามกดูแผลอย่างละเอียดลออ ฉินฉยงว่า “ไม่เป็นไรมากแผลเล็กน้อยสองสามวันก็หาย แต่ทำไมมีรอยฟันกัดใครกัดหรือทำไมรุนแรงนัก”


 


 


ฉินฉยงค่อนข้างซื่อ เข้าใจว่าอวิ๋นเยี่ยโดนทารุณกรรมอย่างไร้มนุษยธรรมจึงแค้นเคืองแทนเขา หลี่จิ้งน่าคลื่นไส้นักราวกับว่าภรรยาเขาทำประจำจึงชำนาญมากแค่ชำเลืองทีเดียวก็พูดว่า “นี่มันหนี้ความรักเป็นรอยฟันผู้หญิง” พูดจบยังตบที่ศีรษะอวิ๋นเยี่ย “ไม่รู้จักหัดสิ่งที่ดีมั่ง” หลี่เซี่ยวกงหัวเราะฮ่าๆ “ตระกูลอวิ๋นทายาทน้อยจัด เจ้าชู้มากหน่อยถือเป็นเรื่องปกติ ผู้อาวุโสตระกูลเขารอหลานเหลนจนเหงือกแห้งกันแล้ว ท่านย่าตระกูลอวิ๋นมองดูหลานข้าอย่างอิจฉาตาร้อนนานแล้ว ฮ่าๆๆ”


 


 


“เจ้าหนู เหล่าหลี่พูดถูกแล้วต้องแต่งมาหลายคนหน่อย อาศัยภรรยาแค่คนเดียวจะมีทายาทสักกี่คนได้ ผู้ชายเหนื่อยยากลำบากกายใจอยู่ข้างนอกไม่ใช่เพราะอยากเหลืออะไรให้ลูกหลานสบายหรือ ถ้าไม่มีทายาทแล้วยังจะต้องไปเหนื่อยทำไมสู้ล่าถอยกลับไปดีกว่า”


 


 


พวกหนิวเจี้ยนหู่กับเฉิงฉู่มั่วที่อยู่ข้างหลังไม่กล้าพูดมากได้แค่แอบฉีกยิ้มอยู่ หนิวเจี้ยนหู่พอนึกถึงที่โดนแกล้งจากอวิ๋นเยี่ยและเฉิงฉู่มั่วพอมาเห็นอาการละเทะของก้นอวิ๋นเยี่ยแล้วรู้สึกชื่นอกชื่นใจมาก


 


 


“พูดมาเจ้าหนู อาศัยความกระล่อนของเจ้าครั้งนี้ยังโดนตีจนเละได้จะต้องมีสาเหตุ ลองเล่าสาเหตุให้พวกข้าได้รู้กันบ้าง” หลี่ต้าเลี่ยงเป็นคนละเอียดนึกออกถึงสาเหตุ


 


 


“เจ้าหนูเห็นเรื่องผิดกฎหมายไปฟ้องฝ่าบาท ไม่นึกว่าผู้ต้องหาใหญ่เ**้ยมโหดมากจึงฟ้องไม่สำเร็จแถมยังโดนตีอีก” อวิ๋นเยี่ยนึกถึงการถูกตีที่ไม่เป็นธรรมนี้เกิดไฟฟืนขึ้นมา ฮ่องเต้พอได้รับคำฟ้องแล้วในวันนั้นก็ส่งขุนนางฝ่ายในไปตรวจค้น กรรมกรในเหมืองถ่านหินถูกสั่งให้สลายไปโดยได้รับค่าชดเชย คนที่สมควรโดนกลับไม่โดน คนดูแลเหมืองถ่านหินสองคนได้เลื่อนตำแหน่ง คนดูแลโรงปูนถูกเปลี่ยนตัว คนดูแลใหม่ซื้อหน้ากากป้องกันฝุ่นจากตระกูลอวิ๋นทั้งเคี่ยวเข็ญให้เหล่าคนงานต้องสวมใส่ คนไม่ใส่จะถูกไล่กลับบ้าน เรื่องต่างๆได้คลี่คลายลง อวิ๋นเยี่ยโดนไม้ตีแล้วถือว่าเป็นการสั่งสอนที่ทำงานไม่รอบคอบ


 


 


“เจ้าหนู เจ้าฟ้องใครหรือ เวลานี้เจ้าเป็นใหญ่เป็นโตในฉางอันใครจะกล้าตอแยเจ้า” หลี่จิ้งประหลาดใจมาก อวิ๋นเยี่ยไม่ทำเรื่องไม่ได้รับประโยชน์อยู่แล้วจะบุ่มบ่ามเช่นนี้ได้อย่างไร ที่แปลกสุดคือฟ้องไม่ชนะด้วย


 


 


หลี่เฉิงเฉียนยิ้มแห้งๆว่า “เหอเส้า เยี่ยจื่อ ข้า พวกเราสามคนเป็นผู้ต้องหาร่วมผู้ต้องหาหลักคือเสด็จพ่อข้ากับเสด็จแม่ข้า เนื่องจากขาดการดูแลคนในเหมืองถ่านหินส่วนโรงปูนก็มองข้ามชีวิตคนอื่น ขุนพลหลี่ท่านคิดว่าพวกเราสามคนจะฟ้องชนะไหมเล่า จึงได้โดนไม้กันทุกคน”


 


 


ขุนพลเฒ่าหลายคนต่างถอนใจยาว เรื่องเช่นนี้ปกติแล้วต้องเป็นระดับเว่ยเจิงถึงกล้าทำได้ เวลานี้กลับปรากฏอยู่ในตัวอวิ๋นเยี่ยจึงทำให้ทุกคนรู้สึกสุดแสนจะไม่เข้าใจเลย ทุกคนต่างมองอวิ๋นเยี่ยด้วยความงุนงง อยากฟังคำอธิบายจากเขา


 


 


“ท่านอาท่านลุงทั้งหลายไม่ต้องแปลกใจ ตัวข้านั้นปกติไม่สามารถทนดูราษฎรทุกข์ยากตลอดมา ดังนั้นพอเห็นมีการปิดบังเรื่องร้ายทำให้รู้สึกรับไม่ได้เลย เพียงแค่คิดอยากให้ตัวเองมีกำไรอย่างสบายใจ เพียงเท่านี้เอง”


 


 


“ดีมาก เพียงแค่คิดอยากให้ตัวเองมีกำไรอย่างสบายใจ” มีเสียงชื่นชมดังลั่นที่นอกประตู 

 

 


ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...

 

ตอนที่ 35 กระบองเพชฌฆาตที่ร้ายกาจ

 

เป็นเสียงของเฉิงเหย่าจิน อวิ๋นเยี่ยรู้ได้จากเสียงแผ่นเสื้อเกราะกระทบกัน เหล่าเฉิงยังไม่กลับบ้านคาดว่าพอไปกระทรวงกลาโหมคืนป้ายคำสั่งแล้วก็รีบมาที่จวนหลี่เซี่ยวกง


 


อวิ๋นเยี่ยตาร้อนผ่าวนิ่งเงียบพูดไม่ออก เหล่าเฉิงไม่ทันมองดูใครต่อใครก็คว้าผ้าปิดคลุมให้อวิ๋นเยี่ย หมอเพิ่งจะอ้าปากพูดก็โดนเฉิงเหย่าจินคว้าโยนออกไปข้างนอกพูดเสียงเครียดว่า “ข้าโดนกระบองทหารมาแล้วนับไม่ถ้วน ทุกวันยอมที่จะฉีกเนื้อพร้อมผ้าออกก็ไม่ยอมเปลือยเปล่าออกไว้ข้างนอก ไอ้หนูเดินไหวไหม ถ้ายังเดินไหวก็กลับไปพร้อมข้า”


 


อวิ๋นเยี่ยไม่พูดมาก วางเสื้อคลุมออกแล้วก็ยืนขึ้นมา เฉิงเหย่าจินเตะเฉินฉู่มั่วไปทีหนึ่งทั้งถลึงตาใส่หนิวเจี้ยนหู่ ทั้งคู่ต่างรีบพยุงอวิ๋นเยี่ยเดินไปข้างนอก


 


เฉิงเหย่าจินเดินไปสองก้าวก็หันกลับมาพูดว่า “ต่างเป็นขุนพลนำทัพนับหมื่นนับแสน ต่างเป็นลูกผู้ชายที่คลานขึ้นมาจากกองศพคนตาย ทำไมแต่ละคนจึงได้เอาเป็นเอาตายรังแกเด็กอายุสิบแปดที่กำพร้าพ่อ ธุรกิจหลิ่งหนานข้าตระกูลเฉิงไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย ข้าเหล่าเฉิงขอให้พวกท่านเงินทองไหลมาเทมา” พูดจบก็สาวเท้ายาวเดินออกไป ใบหน้าหลี่จิ้งแดงก่ำขึ้นมาทันที พวกหลี่เซี่ยวกงต่างก็ก้มหน้าหงอยๆไม่พูดไม่จา


 


จนมาถึงรถม้าเฉิงเหย่าจินเห็นอวิ๋นเยี่ยขึ้นรถม้าแล้วตัวเองก็ขึ้นม้าศึก อวิ๋นเยี่ยยกผ้าม่านเรียก “ลุงเฉิง” เหล่าเฉิงมองเขาแล้วพูดว่า “ไม่ต้องมากพิธี มีอะไรกลับบ้านค่อยพูด” กระตุกบังเ**ยนม้าม่วงแดงเดินนำอยู่ข้างหน้า


 


ไม่กี่ก้าวก็มาถึงบ้านตระกูลเฉิง เฉิงฮูหยินออกมาต้อนรับ เหล่าเฉิงหน้าเครียดไม่พูดไม่จาปล่อยให้สาวใช้ปลดเปลื้องชุดเกราะเสื้อผ้า เฉิงฮูหยินค้อมตัวยืนอยู่ข้างๆไม่กล้าพูดด้วย เฉิงฉู่มั่วรีบไปคุกเข่าอยู่ในลานแล้ว หนิวเจี้ยนหู่เห็นอาการแล้วก็คุกเข่าลงด้วย


 


เฉิงเหย่าจินที่สวมเสื้อสั้นยกกาชาดื่มไปจนหมดกาแล้วใช้มือตบโต๊ะพูดกับเฉิงฮูหยินว่า “ข้าไม่อยู่ปีกว่าได้ยินว่าทรัพย์สินที่บ้านงอกเงยอย่างรวดเร็วช่างเจริญพอกพูนกันดีจริง ฮูหยินปกครองบ้านได้ดีมากเลย”


 


เฉิงเหย่าจินปกติมีแต่สอนลูกเปิดเผยท้วงเมียลับตาคน ครั้งนี้แม้แต่อวิ๋นเยี่ยยังฟังออกถึงคารมเสียดสีอย่างชัดเจนทั้งยังเป็นภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากมาแต่เก่าก่อน เหล่าเฉิงครั้งนี้คงโกรธจริงๆแล้ว


 


“ตระกูลเฉิงมีคนฉลาดเฉลียวแค่ไหนทำอะไรมีฝีมือแค่ไหนข้าไม่รู้หรือ หากไม่มีตระกูลอวิ๋นคอยหนุนพวกเจ้าจะร่ำรวยได้หรือ แต่ก่อนแค่ร้านสุรายังทำดีไม่ได้ เวลานี้เอิกเกริกใหญ่โตเงินนับพันนับหมื่นไหลเข้าบ้านเหมือนน้ำไหลบ่า ยังคิดอยากวิ่งไปถือครองที่ดินหลิ่งหนานอีก พวกเจ้าไม่กลัวว่าจะมีสักวันที่ใจใหญ่มากขึ้นจนอยากยึดครองทั้งแผ่นดินหรือ


 


จดหมายที่พวกเจ้าส่งไปถึงทัพหน้าข้าเห็นแล้ว ยิ่งดูยิ่งน่ากลัวยิ่งดูยิ่งหนักใจแต่พูดอะไรไม่ออก อดทนรอจนฝ่าบาทเรียกข้ากลับมาเมืองหลวง ระยะสองพันลี้ข้าใช้เวลาแค่หกวันก็กลับมาถึงยังดีที่มาทันการณ์ ยี่ห้อร่ำรวยเหนือใครทั่วหล้าตระกูลเฉิงรับไม่ไหวตระกูลอวิ๋นเจ้าก็รับไม่ไหว ไอ้หนูเจ้าทำจนแทบไม่สามารถเดินได้ในเมืองหลวงสาเหตุเพราะเจ้าเฉลียวฉลาดจนเกินไป จำเอาไว้ไอ้หนูจำใส่ใจไว้ดีๆไม่มีใครอยากร่วมกับคนฉลาดสู้ยอมอยู่กับคนโง่ดีกว่า อีกทั้งไม่มีใครเชื่อคนฉลาดด้วย


 


ไอ้หนูเอ๋ย บางครั้งข้ารู้สึกอย่างจริงใจอยากให้เจ้าโง่ลงบ้าง แต่เจ้าก็หลุดพ้นออกจากวิกฤติมาได้โดยตลอดทั้งยังไม่ได้บาดเจ็บอะไรแม้แต่นิด ฮ่องเต้เริ่มวางกับดักเจ้าทั้งฮองเฮาที่รักเอ็นดูเจ้าตลอดมาก็เริ่มวางกับดักเจ้าด้วย พวกเขาเพียงแค่อยากรู้ว่าขีดสูงสุดของเจ้านั้นอยู่ที่ไหนกัน จนถึงวันนี้พวกเขายังหยั่งไม่ถึงขีดสูงสุดของเจ้า หลิ่งหนานที่ยากจนข้นแค้นตลอดมากลายเป็นแผ่นดินที่มีแต่ทองคำเต็มพื้นที่ในมือของเจ้า ทหารเก่าที่เก่งกาจสามพันคนเจ้าก็ยังเอาไปได้ลงคอ เจ้ารู้ไหมว่าทหารเก่าสามพันคนหมายถึงอะไร


 


มีทหารเก่าสามพันคนนี้ภายในเวลาปีเดียวเจ้าสามารถใช้พวกเขาเป็นแกนจัดตั้งกองทัพได้นับแสนคน พลังที่ยิ่งใหญ่นี้ใครจะไม่หวั่นไหว อีกทั้งตระกูลอวิ๋นเจ้าต้องการเงินได้เงินต้องการเสบียงได้เสบียง นี่มันเป็นโอกาสทองของการก่อกบฏที่สวรรค์ประทานให้ ฝ่าบาทกำเนิดจากหน่วยทหารมีหรือจะดูไม่ออก หลี่จิ้งมีสมญานามว่าเทพนักรบดูไม่ออกหรือ หลี่เซี่ยวกง หลี่ต้าเลี่ยง อวี้ฉือคนไหนไม่เข้าใจ แต่มีคนไหนเคยเตือนเจ้าสักคำไหม


 


แต่ละคนคิดแผนอะไรกันอยู่ ขุนนางบุ๋นที่เจนสนามมีมากมายเท่าไร ฝางเสวียนหลิง ตู้หรูฮุ่ย จ่างซุนอู๋จี้ ถังเจี่ยน ต่างเป็นจิ้งจอกเฒ่าที่เห็นการรบราฆ่าฟันกันมาไม่รู้เท่าไร พวกเขาต่างกำลังรอ ไอ้หนูพวกเขาต่างรอดูวันที่ความมักมากของเจ้าขยายตัวจนพองเต็มที่


 


พูดถึงนี่แล้วเหล่าเฉิงหัวเราะฮ่าๆขึ้นมา ลูบผมอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “เด็กดี เจ้าเป็นเด็กที่จิตใจดีงามอย่างแท้จริงทำให้พวกชั่วร้ายใจสกปรกผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นความต้องการที่จะให้ความมักมากขยายตัวจนพองจากเจ้าแม้เพียงนิดเดียว เด็กอายุสิบแปดที่เพิ่งเติบโตมองข้ามทรัพย์สินศฤงคารสิ่งลวงตานำเงินที่ได้ทั้งหมดมาสร้างสถานศึกษา ฮ่าๆ เจ้ารู้ไหมว่าขณะที่ข้ารู้ข่าวนี้ดีอกดีใจแค่ไหนจนดื่มสุราอยู่ตลอดทั้งคืน


 


โชคดีที่เจ้าไม่เคยปกปิดอะไรฮ่องเต้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนดำเนินการอย่างเปิดเผยทำให้พวกที่ต้องการเล่นงานเจ้าหาโอกาสไม่ได้เลย ที่เยี่ยมที่สุดคือเจ้าสามารถทำให้หงเฉิงกลายเป็นหัวหน้าของทหารเก่าเหล่านี้ เรื่องนี้ฝ่าบาทคงนึกไม่ถึง ไม่มีใครชอบหน่วยข่าวกรองไม่มีใครชอบ เจ้าก็ไม่ปิดบังบอกฝ่าบาทไปตรงๆว่าเจ้าต้องการร่ำรวย การสร้างสถานศึกษาเป็นการถือโอกาสเหลือทรัพย์สินไว้ให้ทายาทของตัวเอง


 


เจ้าหนู เด็กในครรภ์โซ่วหยางเกี่ยวข้องกับเจ้าจริงหรือ”


 


พูดออกมาแล้วมากมาย เหล่าเฉิงจึงหยุดหายใจแรงแล้วถามอวิ๋นเยี่ย เฉิงฮูหยินก็ได้สติรีบสั่งเตรียมให้เหล่าเฉิงอาบน้ำทั้งยังเตรียมข้าวปลาอาหารอีก เฉิงฉู่มั่วก็โล่งอกรีบพยุงหนิวเจี้ยนหู่ลุกขึ้นมา ทั้งคู่คอยเอาอกเอาใจยกเหล้าองุ่นให้เหล่าเฉิงทั้งยังคอยยักคิ้วหลิ่วตาให้อวิ๋นเยี่ยช่วยพูดจาอะไรที่ฟังดูดีให้อารมณ์เหล่าเฉิงดีขึ้น


 


หารู้ไม่ว่าอวิ๋นเยี่ยเองเวลานี้เหงื่อไหลโทรมตัวใจฝ่อไม่หยุด จริงๆแล้วตัวเองถูกคนทั้งหมดหลอกใช้ พวกเขาไม่ออกมาเป็นคู่อริขัดขวางแต่กลับเปิดทางสะดวกให้ ทั้งยกทั้งเชิดชูหลอกให้ตัวเองใช้ความสามารถสูงสุดเพื่อพวกเขา นี่คือกระบองเพชฌฆาตที่ร้ายกาจในตำนาน


 


คำเตือนแล้วเตือนเล่าของฮองเฮากับฮ่องเต้ แต่ตัวเองเชื่อประวัติศาสตร์มากเกินไปจนเข้าใจว่าเหล่าขุนนางขุนทหารที่โด่งดังนั้นล้วนเป็นคนดีใสซื่อ ลืมไปว่าพวกเขาต่างเป็นจิ้งจอกเฒ่าที่ผ่านฟ้าฝนพายุมานับครั้งไม่ถ้วน ตัวเองอ่อนหัดจนเกินไป หากตัวเองมีความมักมากเพียงนิดเดียวก็จะถูกคลื่นเหล่านี้ซัดให้ยกขึ้นจนสูงสุด ความรู้สึกบนยอดคลื่นวิเศษมากๆแต่ก็อันตรายมาก ในโลกนี้มีคนที่ยอมบอกความจริงเรื่องนี้ให้ตัวเองคงมีเพียงเหล่าเฉิงกับเหล่าหนิวสองคนเท่านั้น อย่างมากก็มีหลี่กังอีกคน ที่เหลือยังมองไม่เห็นถึงจุดนี้


 


เวลานี้คิดทวนแล้วเว่ยเจิงที่คอยหาเรื่องตัวเองก็อาจไม่ได้เกิดจากความประสงค์ร้าย การตรวจสอบอย่างเข้มงวดในพื้นที่ก่อสร้างตรอกซิ่งฮว่าฟาง การตรวจสอบทรัพย์สินหลายประเภทของตระกูลอวิ๋น ความจริงเป็นการปกป้องดูแล


 


ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นรุนแรงมาก คนดีกลายเป็นคนเ**้ยมโหดในพริบตา คนร้ายกลายเป็นคนดีที่มีใจเมตตาโดยฉับพลัน ทำให้สมองอวิ๋นเยี่ยชุลมุนวุ่นวายจนปั่นป่วน


 


“ดังคนในป่าหนาม นิ่งเสียไม่บาดเจ็บ ใจหากเว้นกิเลศ สุขจะเกิดนิรันดร์ กิเลศหากบังเกิด ย่อมรับความเจ็บปวด ทุกข์เกิดจากต้องการ หยุดเสียจักเป็นสุข” อวิ๋นเยี่ยท่องกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ นึกอยากไปเทียนสุ่ยภูเขาไม่จีสักเที่ยวหนึ่งไปพบไต้ซือถานอิ้น พื้นที่ที่คุ้นเคยและสิ่งแวดล้อมที่คุ้นเคยอาจทำให้ตัวเองได้รับความสุขสบายบ้าง


 


“ไอ้หนูถามเจ้าอยู่ ในครรภ์โซ่วหยางเป็นลูกเจ้าจริงหรือ” เสียงเฉิงเหย่าจินราวกับลอยมาจากฟากฟ้าปลดปล่อยอวิ๋นเยี่ยออกจากความสับสน มองเหล่าเฉิงอย่างงุนงงไม่รู้จะพูดอย่างไรดี


 


“หากโซ่วหยางมีครรภ์กับเจ้าจริง ไอ้หนู แล้วฝ่าบาทไม่ได้ลงโทษเจ้าเลยหรือ” เฉิงเหย่าจินถามอีก


 


อวิ๋นเยี่ยชี้ที่สะโพกตัวเอง บอกใบ้ว่าโดนไม้เพราะเรื่องนี้


 


“แค่นี้เอง?” เหล่าเฉิงลืมตาโพลงถามอวิ๋นเยี่ย


 


“แค่นี้เอง ข้าโดนไปยี่สิบไม้ ไม่ลดแม้แต่ไม้เดียวไม่ได้ตีเบาแม้แต่ทีเดียว โดนจริงๆจังๆ” คำพูดอวิ๋นเยี่ยทำให้ทั้งเฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่ต่างงุนงงแต่กลับทำให้เหล่าเฉิงหัวเราะลั่น


 


“ไอ้หนู ตอนนี้เจ้าอยากทำอะไรมากที่สุด”


 


“ให้ข้าจัดการบ้านแล้ว จะพาภรรยาไปพบไต้ซือถานอิ้น เรียนหลักธรรมสักพัก ดูว่าหลักธรรมจะสามารถกล่อมเกลาจิตใจที่แข็งดังเหล็กเพชรของข้าได้ไหม ถือโอกาสดูว่าพระพุทธจะสามารถทำให้ข้ามีลูกชายได้สักคนไหม”


 


อวิ๋นเยี่ยยิ้มบอกเฉิงเหย่าจินทั้งโค้งคำนับเฉิงเหย่าจินด้วยความเคารพ


 


“ไปเถอะ ไต้ซือถานอิ้นไม่ได้อยู่ภูเขาไม่จี เวลานี้อยู่ที่ซงซานวัดเส้าหลินเป็นผู้ดูแลวัด จดหมายฉบับก่อนของเขายังพูดถึงเจ้าอยากสนทนาธรรมกับเจ้า ข้าเองก็อยากรู้นักว่าเจ้าจะทำให้เขาเสียหรือเขาจะกล่อมเกลาเจ้าได้”


 


สำหรับการกระทำของอวิ๋นเยี่ยครั้งนี้เฉิงเหย่าจินเห็นด้วยอย่างยิ่ง พ้นจากทางโลกหลุดจากพันธะจึงจะเห็นสถานการณ์ได้ชัดเจน ไม่ต้องโดนอิทธิพลอื่นแทรกแซงจึงจะมีปัญญาที่ตื่นรู้อย่างแท้จริง


 


“ฉู่มั่ว เจี้ยนหู่ อยากไปวัดเส้าหลินหาประสบการณ์ไหม พวกเราต่างพาครอบครัวไปวัดเส้าหลินจะได้ไม่เหงา ข้าได้ยินว่าที่นั่นมีวิทยายุทธล้ำเลิศเจ็ดสิบสองชนิดอีกทั้งสามสิบหกคาถาวิเศษ ในวัดนั้นมีผู้เลิศล้ำซ่อนตัวอยู่นับไม่ถ้วน ผู้มีวิทยายุทธสูงสุดเป็นพระสงฆ์แก่กวาดพื้น หอไตรไม่ไปไม่ได้ มีคัมภีร์อี้จิง คัมภีร์ล้างไขกระดูก เป็นของวิเศษสุดใต้หล้า หากไม่ไปจะน่าเสียดายมาก”


 


เฉิงฉู่มั่วฟังจนตาลุก รีบจ้องมองบิดาอย่างน่าสงสารราวกับลูกสุนัข


 


“อยากไปก็ไปมองข้าทำไม เพียงแต่เจ้าหนู เจ้ารู้มาจากเรื่องบ้าบอคอแตกเหล่านั้น ข้าไปวัดเส้าหลินหลายครั้งแล้วไม่เห็นเคยได้ยินเลย หรือว่าพวกหัวโล้นเหล่านั้นโกหกข้า”


 


“ท่านลุงอยู่พักในฉางอันให้สบายพวกเราไปแค่สองสามเดือน ฤดูใบไม้ร่วงก็กลับมาแล้วค่อยมาปรนนิบัติท่าน หากวัดเส้าหลินมีของดีอะไรข้าจะนำกลับมาให้ท่านได้ยลแน่นอน”


 


“พักอะไรกัน เจ้าก่อเรื่องมากมายที่หลิ่งหนาน ข้าจะต้องมาช่วยเจ้าเก็บกวาด ถือโอกาสหาเงินกำไรบ้าง”


 


“แต่ท่านพ่อว่าตระกูลเฉิงไม่แตะธุรกิจหลิ่งหนานไม่ใช่หรือ” เฉิงฉู่มั่วรู้สึกบิดาไม่ได้ซื่อจริง เรื่องที่เพิ่งพูดก็จะกลับคืนคำ


 


“เจ้าเด็กโง่ ตระกูลเฉิงย่อมไม่แตะอยู่แล้วแต่มารดาเจ้าแตะได้ หากจำเป็นพวกเราก็แยกกัน เช่นนี้แล้วตระกูลเฉิงก็ไม่แตะแล้ว ตระกูลเผยแตะเอง” เหล่าเฉิงปลดปล่อยความหน้าไม่อายของตัวเองได้อย่างสุดยอด


 


เพียงแต่ไม่ทันสังเกตว่าข้างหลังมีเฉิงฮูหยินที่กำลังยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ 

 

 


ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...

 

ตอนที่ 36 ผลการทำกระทำผิด

 

“เสี่ยวอิงเอ๋ย อยากไปวัดเส้าหลินหาประสบการณ์ไหม ข้าได้ยินว่าที่นั่นมีวิทยายุทธล้ำเลิศเจ็ดสิบสองชนิดอีกทั้งสามสิบหกคาถาวิเศษ ในวัดนั้นมีผู้เลิศล้ำซ่อนตัวอยู่นับไม่ถ้วน ผู้มีวิทยายุทธสูงสุดเป็นพระสงฆ์แก่กวาดพื้น หอไตรไม่ไปไม่ได้ มีคัมภีร์อี้จิง คัมภีร์ล้างไขกระดูก เป็นของวิเศษสุดใต้หล้า หากไม่ไปจะน่าเสียดายมาก”


 


อวิ๋นเยี่ยพาวั่งไฉหนีออกจากบ้านแต่เช้าตรู่โดยไม่ได้ห่วงอาการบาดเจ็บ สถานศึกษาไปไม่ได้อาจารย์อวี้ซันยังกำลังรอถามเรื่องราวอยู่ คงมีเรือนของซ่านอิงปลอดภัยที่สุดถือโอกาสดูว่าจะเอาซ่านอิงไปเป็นองครักษ์ได้หรือไม่ รอยจารึกจากเขาโต้วเอี้ยนซันทำให้เขาขยาด


 


“วัดเส้าหลิน? จะไปทำอะไรที่นั่นมีแต่ฝูงหัวโล้นจะมีอะไรน่าดู คนพอเลยหกสิบเลือดลมแห้งเ**่ยวร่างกายแข็งทื่อแล้วจะมีวิทยายุทธสูงส่งได้อย่างไร คัมภีร์อี้จิง คัมภีร์ล้างไขกระดูกเป็นอะไรหรือไม่เคยได้ยิน อาจารย์ข้าวิทยายุทธเลิศล้ำสุดยอดเดี๋ยวนี้กลางคืนยังต้องลุกขึ้นมาหลายหน โกหกหลอกลวง”


 


ซ่านอิงเดี๋ยวนี้ชอบวั่งไฉมากกำลังแปรงขนให้วั่งไฉ พูดว่าวั่งไฉอ้วนกลมน่ารักมากแต่ขี่ไม่ได้เลยแค่เดินสองก้าวก็เขยกเห็นของชอบกินก็ไม่ไปไหน ม้าดีๆทำจนเสียม้าไปเลย


 


“หากท่านยังไม่ให้วั่งไฉลดความอ้วน เขาจะต้องอยู่ได้ไม่เกินสิบปี”


 


ซ่านอิงจับท้องอ้วนกลมของวั่งไฉเตือนอวิ๋นเยี่ยเช่นนี้


 


“วั่งไฉเป็นพี่น้องข้า ข้าไม่อยากให้เขาลำบาก อีกอย่างวั่งไฉเชื่อฟังมาก เดี๋ยวนี้ทุกวันข้าต้องพยายามให้เขาวิ่งได้สองสามลี้”


 


“เสร็จแล้วก็ไปเที่ยวซื้ออาหารทั่วเมืองให้เขากิน ม้ากินหญ้าอย่างมากก็เพิ่มพวกถั่ว ไม่ใช่ให้กินผลไม้หมั่นโถวสุรา ข้าเห็นมีการยัดเนื้อต้มสุกใส่ปากเขาอีก ท่านไม่กลัวเขากินจนไม่สบายหรือ”


 


อวิ๋นเยี่ยแต่ไหนแต่ไรเป็นห่วงสุขภาพวั่งไฉมาก ตั้งแต่วั่งไฉตามมาอยู่ด้วย ต่อให้อวิ๋นเยี่ยตัวเองไม่ได้กินก็ต้องดูแลวั่งไฉก่อน เวลานี้ความเสียหายต่างๆเริ่มปรากฏให้เห็นแล้วนั่นคือเขาเริ่มตะกละมากขึ้น กินอาหารดีๆจนชินจะให้กินแค่หญ้าแห้งเหมือนเอาเขาไปเชือด ก่อนหน้านี้จะให้เขาลดความอ้วน อวิ๋นเยี่ยเอาหญ้าสดอย่างดีที่สุดผึ่งแห้งป้อนเขา เจ้านี่ไม่ยอมกินเลย พอหิวก็วิ่งไปหน้าห้องอวิ๋นเยี่ยเอาหัวโขกประตู คาบเสื้อผ้าอวิ๋นเยี่ยให้เขาเปิดประตูเรือนจะได้ให้เขาออกไปซื้อของกินได้ แววตาที่น่าสงสารทำจนใจอวิ๋นเยี่ยที่เพิ่งแข็งขึ้นมาแหลกลาญไป


 


เวลานี้ซ่านอิงพูดขึ้นมาอีกทำให้อวิ๋นเยี่ยเกิดความระวังอีกครั้ง ม้าตัวอื่นแค่สามสี่ปีก็เริ่มเป็นสัด วั่งไฉยังรู้แค่ก้มหน้าก้มตาวิ่งหาของกินตามถนนหนทาง ช่วงฤดูใบไม้ผลิเข้าฤดูร้อนเป็นช่วงม้าเป็นสัดตั้งใจปล่อยเขาไว้ด้วยกันกับฝูงม้าตัวเมีย ที่ไหนได้ม้าตัวเมียโดนดีดหนีไปหมดตัวเองนอนหลับสบายอยู่บนสนามหญ้า


 


ม้าบ้านไหนนอนหลับกันม้าต้องยืนหลับถึงจะถูก เป็นสันดานม้าตั้งแต่โบราณกาลแต่เวลานี้สูญหายในตัววั่งไฉ ม้ามีอายุได้ถึงสามสิบปี อวิ๋นเยี่ยหวังจะให้วั่งไฉอยู่กับตัวเองตลอดชาติแต่ถ้าอยู่ไม่ถึงสิบปี อวิ๋นเยี่ยนึกแล้วอยากจะฆ่าคน


 


“แต่ว่าท่านโชคดีมาเจอข้า ให้ข้าดูแลวั่งไฉไม่ต้องถึงครึ่งปีข้าจะทำให้เขากลายเป็นม้าศึกที่ดีที่สุด ท่านดูหูของเขาดูจมูกของเขาดูหน้าอกดูขาหลัง ไม่ว่าดูที่ไหนเขาก็สมควรเป็นม้าที่ดีแต่เป็นเพราะท่านทำให้เขาเสีย”


 


“วั่งไฉเป็นม้าที่ดีข้ารู้อยู่ไม่ต้องให้เจ้ามาย้ำหรอก ขอพูดอีกครั้งว่าเขาเป็นพี่น้องข้าไม่ใช่ม้าศึก ข้าไม่อยากให้เขาทนทุกข์ เป็นทำไมม้าศึกขอแค่อายุยืนร้อยปีก็พอ ถ้าใครจะหาเรื่องให้เขาไปสนามรบข้าจะฆ่ามันทิ้ง”


 


พี่น้องสองคนตกลงกันไว้แล้วตั้งแต่ครั้งโน้นที่ฮวงหยวนว่าจะมีชีวิตที่อิสรเสรีกินดื่มอะไรก็ได้ อวิ๋นเยี่ยห่างไกลเป้าหมายนี้ไปทุกทีแล้วเขาจึงไม่อยากให้ความสุขของวั่งไฉถูกแย่งไปอีก


 


“เขาเป็นพี่น้องท่าน” ซ่านอิงลืมตาโตถามอวิ๋นเยี่ย


 


“สนิทกว่าพี่น้องจริงอีก”


 


“ท่านคิดจะปล่อยเขาตามใจตลอดชาติ?”


 


“แน่นอน ในฐานะพี่ชายถ้าเขามีเมียมีลูกชีวิตอนาคตข้าดูแลหมด ข้ามีกินจะแบ่งเขาครึ่งหนึ่งแล้วค่อยเอ้อระเหยแก่ตายยังสบายใจกว่า แต่ถ้าสามารถตายด้วยกันได้ก็จะดีที่สุด”


 


ซ่านอิงไม่มีทางเข้าใจว่าขณะที่อวิ๋นเยี่ยอยู่อย่างโดดเดี่ยวที่ฮวงหยวน อารมณ์ความรู้สึกที่หงอยเหงาไร้ญาติขาดมิตร หากไม่มีวั่งไฉ ไม่แน่ว่าเขาอาจไม่สามารถผ่านพ้นมาได้ เวลานี้ใครจะไปสนใจว่าเขาเป็นม้าหรือไม่


 


“ข้าตามท่านไปวัดเส้าหลินแต่ข้าเป็นคนดูแลวั่งไฉ ระหว่างทางไม่ให้ท่านมายุ่งเกี่ยวต่อให้เห็นเขาต้องลำบาก ท่านก็มายุ่งไม่ได้ ม้าก็คือม้าท่านจะเลี้ยงเขาเหมือนคนไม่ได้ อยากให้เขาอายุยืนร้อยปีก็ต้องฟังข้า”


 


อวิ๋นเยี่ยผงกศีรษะอย่างยากลำบากให้ซ่านอิง “ได้ ให้เขาตามข้าสองวัน พอจัดการบ้านเรียบร้อยพวกเราก็ออกเดินทาง ถึงเวลานั้นแล้วข้าจะมอบวั่งไฉให้เจ้าสั่งสอน”


 


วั่งไฉตามอวิ๋นเยี่ยกลับบ้านอย่างว่าง่าย ในบ้านสำหรับเขาเวลานี้คล้ายเป็นคุก ท่านย่าดีใจจนชีวิตแทบจะหาไม่ ยื่นป้ายเข้าวังขอเข้าเฝ้าฮองเฮาแต่เช้า ไม่แน่ว่าอาจจะถือโอกาสพบโซ่วหยาง ในสายตาของนางมีแต่เหลนไม่ได้สนใจเลยว่าแม่ของเหลนจะเป็นใคร ส่วนเรื่องที่อวิ๋นเยี่ยถูกลงโทษไม่ได้รับความเห็นใจจากนางแม้เพียงนิดเดียว ยังโดนวิจารณ์ด้วยซ้ำว่าสมควรแล้ว


 


รอยฟันบนสะโพกหนีไม่พ้นสายตาของซินเย่ว์ในที่สุด หากเป็นรอยจากพวกนักร้องสาวตามซ่องนางแม้แต่มองก็ยังไม่สนใจ แต่หลังจากรู้ว่าเป็นฝีมือองค์หญิงก็เริ่มมีการใช้วาจาเสียดสีเหน็บแนม จนสุดท้ายแล้วได้ยินว่าองค์หญิงมีครรภ์ก็ระเบิดออกมาอย่างรุนแรง


 


ไม่ได้เป็นแบบที่อวิ๋นเยี่ยคิดไว้ก่อนเลย ซินเย่ว์ไม่ได้ร้องไห้ไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว แต่ขี่อยู่บนตัวอวิ๋นเยี่ยทั้งหยิกทั้งทุบทั้งถองไม่เลือกที่นอกจากที่สะโพกไม่ได้โดน ทุกส่วนของร่างกายขึ้นเขียวจนไม่มีที่ว่าง หยิกพลางด่าพลางว่าองค์หญิงแพศยาคนนั้นสมควรถูกจับใส่ในเข่งใส่หมูเอาไปถ่วงน้ำให้ตายไป


 


ลูกสาวเสฉวนเวลาเรื่องไม่ได้ใหญ่โตร้องไห้จะเป็นจะตาย แต่พอเจอเรื่องใหญ่กลับไม่ร้องเลย มื้อเย็นกินข้าวไปสามชาม แววตาที่เ**้ยมโหดฉายแสงแวววับไปทั่ว อวิ๋นเยี่ยที่เป็นต้นเหตุก่อเรื่องแทบจะต้องเอาศีรษะซุกไว้ในจานข้าว คนรับใช้ทั้งหญิงชายเวลาเดินต้องหนีบขาด้วยใจเต้นระทึก แม้แต่วั่งไฉที่ติดนิสัยหาอวิ๋นเยี่ยหลังอาหารเย็นก็โดนนางเตะหายไป


 


หากเป็นผู้ชายต้าถังคนอื่นตอนนี้คงสบายไปแล้วแต่อวิ๋นเยี่ยต่างกัน เขาเติบโตภายใต้ธงแดงเป็นเด็กดีรุ่นใหม่ที่ได้รับการศึกษามานานปี ระบบสังคมสมัยโบราณไม่ได้แทรกซึมมาถึงเขา ผู้ชายบ้านอื่นสามารถมีเมียใหญ่เมียเล็กได้สามสี่คนกระทั่งนอนห่มผ้าผืนเดียวกันก็ยังไม่มีปัญหา แต่พอมาถึงเขาเรื่องเช่นนี้สามารถเป็นได้เพียงในจินตนาการ การที่ถูกภรรยาจับได้ในเรื่องที่หนักหนาสาหัสเช่นนี้แต่เพียงขี่หลังทุบไม่กี่ที ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าตัวเองได้เปรียบแล้วเหลือหลาย จะมากล้าต่อต้านได้อย่างไร


 


เท้ายังไม่ได้ล้างก็มุดเข้าผ้าห่มเงียบเชียบแกล้งตายคอยเงี่ยหูฟังว่าจะเกิดอะไรขึ้น ซินเย่ว์ยกอ่างน้ำเองเดินเข้ามา ลากอวิ๋นเยี่ยอย่างรุนแรง ยังไม่ทันทำอะไรก็โดนจับเท้ายัดเข้าไปในอ่างน้ำร้อนมาก รู้ว่านางแกล้งแต่อวิ๋นเยี่ยกัดฟันไม่โวย แน่จริงก็ลวกเท้าทั้งสองข้างให้เป็นเท้าหมูไปเลย


 


ตาโตของซินเยว์จ้องที่อวิ๋นเยี่ยใช้มือออกแรงเต็มที่ปากพูดว่า “โหวเหยียเหม็นที่ไม่ล้างเท้าไม่รู้ว่าองค์หญิงถูกใจตรงไหน หรือว่านางชอบที่เหม็นมากๆหน่อย ข้าเคยได้ยินว่าพวกทู่ฟานตลอดชาติอาบน้ำเพียงสองครั้ง ทำไมไม่แต่งไปที่ทู่ฟาน ผู้ชายที่นั่นจึงเหมาะสมกับนางสามารถเหม็นได้ตลอดชาติ”


 


การเปรียบเทียบนี้ก็โหดร้ายเกินไป เมืองฉางอันบางครั้งก็มีทูตทู่ฟานปรากฏคนสองคน เวลาลมพัดเหม็นไปไกลถึงสิบลี้ ได้ผลชะงัดกว่าเจ้าหน้าที่เวลาห้ามคนออกถนน พอคนทู่ฟานปรากฏตัวถนนหนทางก็ไม่มีผู้คน สุดท้ายแล้วโดนเจ้าหน้าที่ตระเวณส่งกลับหงหลูซื่อสั่งไม่ให้ออกนอกประตู


 


ล้างอยู่นานร่วมธูปหนึ่งดอกเท้าถูกแช่จนขาวซีด ซินเย่ว์คงรู้สึกว่าล้างต่ออีกไม่ไหวแล้ว ถ้าไม่หยุดเท้าคงพิการแน่ ตัวเองต้องมาดูแลคนขาเป๋ไม่คุ้มกันจึงได้ยอมปล่อยอวิ๋นเยี่ยไป


 


ปกติอวิ๋นเยี่ยนอนอยู่ด้านในของเตียง ผู้ชายต้าถังไม่นอนด้านนอกเพราะต้องโดนภรรยาก้าวข้ามไปมาไม่เป็นมงคล แต่คืนนี้ต่างกันซินเย่ว์เข็นอวิ๋นเยี่ยเหมือนเข็นกระสอบให้อยู่ด้านนอกตัวเองนอนอยู่ด้านใน


 


“ออกไป ผู้หญิงที่ไหนนอนด้านในช่างไม่มีมารยาทเลย”


 


“สามีเอ๋ย ไม่รู้ท่านนอนกับองค์หญิงแบบไหนพวกเราก็นอนเช่นนั้น ไม่แน่ว่านอนแบบนี้จะทำให้ข้ามีเด็กไวขึ้น ข้าถามคนดูแล้วธรรมเนียมราชวงศ์ตรงกันข้ามกับธรรมเนียมบ้านเรา ท่านนอนกับองค์หญิงนานป่านนี้ยังไม่รู้อีกหรือ”


 


คำพูดนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยตอบไม่ได้ หรือจะบอกซินเย่ว์ว่าตัวเองกับองค์หญิงเคยนอนด้วยกันครั้งเดียวทั้งยังอยู่ที่ตรอกสือโถว แต่ถ้าบอกไปยิ่งทำให้ซินเย่ว์กระทบกระเทือนถึงตายได้ พวกเขาพยายามกันแทบแย่มาแล้วสองสามเดือนยังสู้คนอื่นที่ทำครั้งเดียวไม่ได้แล้วจะทำให้นางอยู่ได้อย่างไร


 


ทันใดนั้นซินเย่ว์หันศีรษะมาใช้แววตาที่ใสแจ๋วจ้องอวิ๋นเยี่ยว่า “ท่านต่างกับคนอื่นเรื่องนี้บ้านอื่นทำกันอย่างเปิดเผยทำแล้วยังถือเป็นเรื่องถูกต้อง มีท่านคนเดียวที่ทำเหมือนทำผิดปล่อยให้ข้าใช้อารมณ์ เหมือนยอมถูกลงโทษที่กระทำผิดไปทำให้ข้ารู้สึกเสียใจ”


 


“ความหมายของเจ้าคือให้ข้าพรุ่งนี้ไปหาอีกคนหนึ่งแล้วกลับบ้านทุบตีเจ้าสักครั้ง เช่นนี้แล้วเจ้าก็ไม่เสียใจหรือ” รับไม่ได้เลยกับความคิดแสนประหลาดของซินเย่ว์


 


“ท่านนั่นแหละ คงจะส่งสายตาไปมากับองค์หญิง สาวใช้สวยๆมากมายในบ้านมีหลายคนเดินอวดโฉมแกว่งไกวอยู่หน้าท่านมานาน ไม่ใช่อยากเลื่อนชั้นเป็นภรรยาน้อยหรือ เจ้าไม่ใช่แกล้งโง่ทำเป็นไม่สนใจหรือ จดหมายจากทุ่งหญ้าข้าก็ได้อ่านแล้ว สาวทูเจวี๋ยสวยงามนอนอยู่ในกระโจมท่านตลอดฤดูหนาวก็ยังไม่โดนอะไร ข้าอ่านแล้วขำจนลุกยืนไม่ไหว หากไม่ใช่ข้ารู้ว่าร่างกายท่านไม่มีปัญหา ไม่เช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องตลกใหญ่ในฉางอันแล้ว ท่านทำเพราะข้าหรือ”


 


พูดจบยังดึงถุงหอมที่คออวิ๋นเยี่ยมาดม ยังคงเป็นถุงหอมเก่านั้นแต่ไม่มีกลิ่นหอมแล้ว ซินเย่ว์ดึงออกเล็กน้อยมีเส้นผมกระจุกหนึ่งโผล่ออกมา นำออกมาเทียบกับเส้นผมตัวเอง พยักหน้าอย่างพอใจแล้วจึงยัดกลับเข้าไป หยิบด้ายเข็มใต้หมอนเย็บคืนกลับอย่างดีแล้วจึงนอนลงราวกับโล่งใจได้


 


อวิ๋นเยี่ยดูจนน้ำตาซึม กอดนางไว้ในอกค่อยๆอธิบายเรื่องราวของเขากับองค์หญิงให้นางฟัง ร่างกายที่อ่อนช้อยของซินเย่ว์ค่อยๆกระด้างขึ้น ฟังจนสุดท้ายแล้วโกรธจนห้ามไม่อยู่ เปิดผ้าห่มบางออกลุกขึ้นมานั่งเปลือยเปล่า ด่าหลี่อันหลานอย่างรุนแรง หากหลี่อันหลานอยู่ที่นี่อวิ๋นเยี่ยเชื่อว่าจะต้องโดนซินเย่ว์ใช้ค้อนทุบแน่ หน้าอกซินเย่ว์กระเพื่อมอย่างรุนแรง ภาพงดงามจนอวิ๋นเยี่ยมึนงง ทันใดนั้นซินเย่ว์เปลี่ยนอารมณ์พูดว่า “หรือเราลองผงสวรรค์นั้นดูดีไหม”


 


ศีรษะอวิ๋นเยี่ยตกลงบนหมอนอย่างแรง ต่อด้วยเสียงกรนดังราวฟ้าร้อง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)