เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 6 ตอนที่ 28-32

ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...

 

ตอนที่ 28 เสียงาน

 

ตระกูลอวิ๋นเก็บกวาดลานบ้านกันด้วยความยินดีแต่เช้า ป้าหญิงใหญ่ควบคุมดูแลทั้งนอกทั้งในคนเดียว แม้แต่มุมซ่อนเร้นที่ปกติไม่ได้สนใจก็ยังไม่ยอมปล่อยผ่าน เสียงสั่งการเหล่าสาวใช้ดังมากราวกับเสียงแผดจากปิศาจ เหล่าสาวใช้สุดแสนจะรำคาญ ให้ถูหน้าต่างก็ถูแล้วยังต้องบ่นหาอะไรกันอีก วุ่นวายอยู่กับซินเย่ว์มาแล้วทั้งคืน ทั้งเมื่อยแขนเมื่อยขาเมื่อยเอวไม่ยอมให้นอนหลับได้ยาวหน่อย


 


 


ซินเย่ว์ตื่นแต่เช้าตรู่ไม่รู้ไปยุ่งอะไรวิ่งเข้าวิ่งออกสามสี่รอบ มีครั้งหนึ่งที่ดันอวิ๋นเยี่ยเข้าไปด้านในเตียงยังนึกว่านางมีอารมณ์ ดีอกดีใจเตรียมจัดการนางให้เสร็จในคราวเดียวจะไม่เปิดโอกาสให้นางหายใจหายคอได้


 


 


ที่ไหนได้นางไม่ได้มีอารมณ์นั้นเลย พอดันอวิ๋นเยี่ยเข้าไปด้านในเตียงหยิบของใต้ที่นอนออกมาอย่างหนึ่งแล้วก็วิ่งออกไปอีก อวิ๋นเยี่ยมองน้องชายที่ตั้งท่าเก้ออยู่แล้วถอนหายใจนอนต่อไม่สำเร็จแล้ว


 


 


ล้างหน้าขาดคนปรนนิบัติหวีผมก็ขาดคนปรนนิบัติคับแค้นใจนัก หาสายอะไรสายหนึ่งได้ก็รวบผมลวกๆเป็นหางม้าอยู่ด้านหลังแกว่งไปแกว่งมา ไม่มีใครดูแลแล้ววันนี้ก็ปล่อยตัวไปเลยปล่อยให้ขายหน้าไปวันหนึ่ง


 


 


วันนี้ไม่ใช่เขยใหม่จะมาหรือ?…เจ้าหนูน้อยตระกูลเผยคนนี้ เมื่อไม่กี่วันก่อนมีจดหมายจากบิดาเขยใหม่เขียนมาด้วยลายมือตัวเอง บิดาเขยใหม่เวลานี้เป็นอี้โจวเปี๋ยเจี้ย ใช้เวลาเพียงสองปีเลื่อนตำแหน่งก้าวกระโดดจากนายอำเภอเป็นขุนนางหมายเลขสองของอี้โจวซึ่งเป็นเมืองสำคัญหนึ่งในสี่ทั่วหล้า ไม่พูดไม่ได้ว่าเป็นเส้นทางที่สดใสของชีวิตขุนนาง


 


 


เป็นขุนนางใหญ่แล้วย่อมต้องวางแผนอนาคตให้บุตรชาย เขามีบุตรชายสามคน นอกจากคนเล็กที่มีอายุเพียงแปดขวบยังห่างไกลบิดามารดาไม่ได้ ที่เหลือสองคนย่อมต้องต้องการความก้าวหน้า ตระกูลอื่นจะเข้าสถานศึกษาอวี้ซันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่บุตรชายคนตระกูลเกี่ยวดองกันใช้เพียงแค่คำพูดก็ได้แล้ว บิดาเขยใหม่ก็ผยองพอตัว นอกจากบุตรชายตัวเองสองคนแล้วยังถือโอกาสส่งบุตรชายเจ้าเมืองมาด้วย บอกว่าอยากเป็นลูกศิษย์ให้อวิ๋นโหวชี้แนะ


 


 


ในจดหมายยังพูดถึงเรื่องที่ตระกูลอวิ๋นซื้อไม้หายากหนานมู่ทองเป็นจำนวนมาก ท่านเจ้าเมืองได้ช่วยลงแรงให้ไม่น้อย เวลานี้ไม้จำนวนนั้นได้ล่องลงมาแล้วอีกไม่นานก็จะถึงเมืองฉางอัน


 


 


จดหมายตอบของอวิ๋นเยี่ยเพิ่งส่งไปเดือนเดียว เมื่อวานนี้ก็ได้ข่าวจากคนตระกูลเผยที่ล่วงหน้ามาว่าคุณชายเขาจะมาถึงอวี้ซันวันนี้ ดูแล้วด้านโน้นคงรอจดหมายตอบอยู่ พอได้รับจดหมายก็ออกเดินทางทันที หากไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถมาถึงรวดเร็วเช่นนี้ได้


 


 


ชื่อน้องเขยคือเผยอวี้หรือเหยียนโซ่ว น้องชายเขาชื่อเผยยางหรือเหยียนซี คนหนึ่งสิบเจ็ดคนหนึ่งสิบห้าทั้งสองคนต่างเป็นเยาวชนชั้นดีมีสกุลรุนชาติ อวิ๋นเยี่ยไม่ขัดข้องที่หานักเรียนดีให้สถานศึกษาเพิ่มอีกสองคน เพียงแต่ลูกชายของเจ้าเมืองอี้โจวชื่อลิ่งหูเต๋อเชาทำให้อวิ๋นเยี่ยมีกังวล เวลานี้พอเห็นแซ่ที่ซ้อนคำเขาจะปวดเศียรยิ่งนัก ไม่ใช่เพราะสาเหตุอะไร แต่คนที่มีแซ่ซ้อนคำสร้างความยุ่งยากให้เขามามากมาย ไม่มีคนไหนเลยที่น่าคบ ตั้งแต่ฮองเฮาจนถึงพี่ชายฮองเฮา ไม่มีคนไหนคบได้ พอเผ่าพันธุ์นี้มีการผสมข้ามสายพันธุ์สายเลือดจะปั่นป่วนบังเกิดปิศาจร้าย ไม่ได้ใสซื่อหลอกได้ง่ายเหมือนฮั่นหรือหูสายเลือดบริสุทธิ์ ต่างมีสมองว่องไวปราดเปรียวราวกับลิงมาเกิด


 


 


โหวเหยียที่น่าสงสารนั่งดื่มน้ำชาในห้องโถงใหญ่ แม้แต่อาหารเช้าก็ไม่มีใครสนใจ ดื่มน้ำชาไปแล้วสามถ้วยยิ่งดื่มยิ่งหิว ท่านย่าเข้ามารอบหนึ่งเรียกหลานรักเพียงคำเดียวแล้วก็ออกไปน่าจะไม่ทันดูหน้าหลานให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นได้เห็นอวิ๋นเยี่ยผูกผมหางม้าคงต้องร้องโวยวายกันแล้ว


 


 


หาใครช่วยไม่ได้เลยต้องช่วยตัวเองหาของกิน เข้าครัวเจอเนื้อหมูเพิ่งตุ๋นสุกชิ้นใหญ่ยังมีควันกรุ่นอยู่ พอเปิดฝาหม้อออกเห็นเนื้อหั่นเป็นชิ้นเท่าฝ่ามือหนาขนาดนิ้วหนึ่ง เดิมตั้งใจจะคีบขึ้นมาชิ้นเดียวแต่อารามคับแค้นใจเลยคีบไปสองชิ้น พอออกประตูไปคนครัวที่เพิ่งเจอก็หายไปด้วยทำให้มีไฟฟืนมากขึ้นเลยกลับเข้าครัวคีบเพิ่มอีกชิ้นให้สบายใจ


 


 


อวิ๋นเยี่ยประเมินความหิวตัวเองมากเกินไป ชาร้อนหนึ่งกาหมูตุ๋นสามชิ้นใหญ่หมั่นโถวอีกครึ่งซึ้ง กินอิ่มจนตาถลนทั้งเรอทั้งสะอึกไม่จบไม่สิ้นต้องออกไปยืดเส้นสายให้สบายพุงหน่อย แต่ยังเช้าตรู่ประตูใหญ่ไม่ได้เปิด เจ้าวั่งไฉมองลอดช่องประตูหลายรอบรออยู่อย่างกระวนกระวาย นี่มันเรื่องอะไรกันแค่มีเขยใหม่มาก็ทิ้งเจ้าบ้านไม่มีใครเหลียวแล?


 


 


พอเปิดประตูข้างเจ้าวั่งไฉก็ดันกันออกไปข้างนอกได้ แสงแดดนอกบ้านน่าสบายมากทำให้ผิวหนังร้อนผะผ่าว เดินได้สองก้าวก็ชักกระหายน้ำวั่งไฉก็หมดอารมณ์เดินเล่น ทั้งคู่เดินคอตกตามทางทันใดนั้นก็พบร้านเล็กของซ่านอิง เกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมาเดินไปด้านหลังยื่นมือคลำที่ขอบประตูพบกุญแจอยู่ที่นั่น


 


 


เปิดประตูลานบ้านตักน้ำบ่อที่เย็นเฉียบให้วั่งไฉถังหนึ่งให้มันดื่มให้พอใจ ตัวเองใช้ผ้าเปียกเช็ดหน้าแล้วเอนตัวนอนบนคานไม้ใหญ่นั้น ช่างเย็นสบายน่าชื่นใจนัก


 


 


เมื่อคืนใช้ร่างกายเปลืองจนตอนนี้นอนลงก็อยากหลับ บอกวั่งไฉให้จำไว้อีกครึ่งชั่วยามให้ปลุกด้วย วั่งไฉยืนตาหยีร้องฮี้ถือว่าตอบตกลงแล้ว


 


 


ในที่สุดก็ได้หลับสบายสักงีบหนึ่ง เรือนเล็กของซ่านอิงดีมาก ไม่เพียงแต่ห่างผู้คนยังมีต้นไม้ใหญ่เป็นร่มเงาเป็นสถานที่น่าหลับสบายจริงๆ


 


 


พอตื่นขึ้นมาอารมณ์สดใสดีมากแต่ได้กลิ่นคาวรุนแรงเข้าจมูกรู้สึกมีอะไรอยู่ด้านหลัง ลุกขึ้นมาดูเห็นหมูอ้วนตัวเปล่าเปลือยโดนแขวนอยู่ ซ่านอิงนั่งยองๆกำลังจัดการไส้พุงหมูไม่มีเสียงดังแม้เพียงนิดเดียว เป็นไปได้อย่างไร อวิ๋นเยี่ยข้องใจยิ่งนักต่อให้หลับเป็นตายแค่ไหนก็ต้องได้ยินเสียงหมูร้องตอนโดนเชือดแน่นอน


 


 


“ทำไมเจ้าเชือดหมูได้เงียบเชียบนักเล่า”


 


 


“ท่านเป็นแขกกำลังหลับสบายในบ้านข้าไม่อยากรบกวนให้ท่านต้องตื่น ก่อนเชือดก็เลยมัดปากหมูไว้ถึงแม้ทำให้ปล่อยเลือดลำบากแต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร” ซ่านอิงพูดตามสบายโดยไม่ได้หันศีรษะมา


 


 


“ตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้วทำไมเจ้าไม่ไปเข้าเรียน นี่ไม่ดีหรอกพื้นฐานเจ้าถือว่าแย่มาก ทำเช่นนี้จะเรียนตามเพื่อนไม่ทันยิ่งถ่างยิ่งกว้าง เจ้าจะยิ่งขาดความสนใจในการเรียน สุดท้ายแล้วไม่สามารถเรียนอะไรสำเร็จกลายเป็นคนโง่เง่าไป”


 


 


ซ่านอิงลุกพึ่บขึ้นมา มองหน้าอวิ๋นเยี่ยแล้วก็ลงไปนั่งยองๆจัดการไส้พุงหมูต่อ เขาคิดว่าจะไม่สนใจเขาอีกแล้ว ตัวเองเป็นครูบาอาจารย์ปล่อยปละละเลยนักเรียนหลบมานอนหลับสบาย เกียจคร้านจนน่าละอายยังมีหน้ามาอบรมสั่งสอน เขารู้สึกว่าอวิ๋นเยี่ยเหมาะที่จะเป็นโจรมากว่าตัวเองเสียอีก


 


 


“นี่ก็เลยเที่ยงนานแล้วเป็นเวลาพักผ่อนของข้า ข้าเคยรับปากอาหลิวปลายซอยช่วยเชือดหมูให้เขาไว้ใช้ในงานแต่งงานลูกชายตัวเอง เป็นคนต้องรักษาสัตย์รับปากแล้วต้องทำ”


 


 


“โอยเลยเที่ยงแล้ว ไอ้หนูทำไมไม่ปลุกข้า บ้านข้ามีแขกวันนี้เสียงานแน่ๆแล้ว”


 


 


“ข้าถามวั่งไฉแล้วมันสั่นหัวไม่ยอมให้ข้าเข้าใกล้ คิดว่าท่านไม่ยอมให้ใครมารบกวนเวลาหลับของท่าน จึงได้เป็นเช่นนี้” ซ่านอิงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เขาย่อมไม่บอกอวิ๋นเยี่ยว่าบ้านอวิ๋นตามหาเขาจนแทบจะบ้ากันหมด


 


 


อวิ๋นเยี่ยยิ้มจ๋อยๆตบที่วั่งไฉ จะฝึกให้มันรู้ภาษาคนคงต้องใช้เวลาอีกหลายร้อยปี ขยี้หน้าแล้วโดดลงมาจากไม้คานเปิดประตูลานบ้านจะเดินออกไป ได้ยินซ่านอิงพูดว่า “ท่านมัดผมหางม้าเช่นนี้ดูดีมาก พรุ่งนี้ข้าทำเช่นนี้ในสถานศึกษาจะได้หรือไม่”


 


 


“ไม่ได้ สถานศึกษามีกฎระเบียบของสถานศึกษาเจ้าต้องปฏิบัติตาม ข้าเป็นอาจารย์ไม่ต้องทำเหมือนกัน”


 


 


“ท่านไม่กลัวว่าจะเป็นตัวอย่างที่เลวให้นักเรียนเห็นหรือ”


 


 


“ปกติข้าไม่ได้ทำเช่นนี้แต่วันนี้ขาดคนปรนนิบัติ ตั้งใจจะออกมาให้ขายหน้าคนอื่น” พูดจบก็ออกไปทันที


 


 


ซ่านอิงปิดประตูแล้วจัดการไส้พุงหมูต่อแต่ทำช้าลงทันใดพูดกับตัวเองว่า “รู้อยู่ว่าข้าเป็นโจรยังกล้ามาหลับสบายอยู่ในบ้านข้า…อวิ๋นเยี่ย จิตใจท่านเช่นนี้ข้าจะต้องเป็นน้องเขยท่านให้ได้”


 


 


ยังไม่ทันถึงบ้านก็เจอคนรับใช้รายทางหลายคนร้องโวยวายกันว่าเจอตัวโหวเหยียแล้ว หากยังหาไม่เจออีกท่านย่าจะเผาบ้านทิ้ง คุณนายน้อยก็ร้อนรนจนแทบบ้าไม่ได้ห่วงแขกเหรื่อที่บ้านกันเลย


 


 


พออวิ๋นเยี่ยก้าวเท้าเข้าบ้าน บ้านอวิ๋นที่ชุลมุนวุ่นวายก็สงบลงทันที บ่าวไพร่ที่เปิดฝาบ่อน้ำค้นหาอยู่ก็แกล้งทำเป็นกำลังตักน้ำ สาวใช้ที่ก้มหาในสระน้ำก็ทำเป็นให้อาหารปลาคาร์ป พวกป้าน้าอาเปิดหน้าต่างมองอวิ๋นเยี่ยแวบหนึ่ง เช็ดน้ำตาแล้วอีกไม่ถึงนาทีเสียงกระทบกันของตัวไพ่นกกระจอกก็ดังแว่วออกมา


 


 


พอซินเย่ว์เห็นอวิ๋นเยี่ยก็กัดฟันบิดเนื้ออ่อนที่สีข้างเต็มแรงบิดร่วมสองรอบ


 


 


“พอแล้วหยุดๆ ถ้าบิดอีกคืนนี้ข้าจะไม่กลับมาอีก”


 


 


“เขยใหม่เข้าบ้านชั่วยามกว่าแล้วเจ้าบ้านหายไปหากันไม่พบ ในบ้านยุ่งเหยิงกันหมด ท่านย่าคุยกับเขยใหม่ไม่มีรอยยิ้มกันเลย อี้เหนียงก็หลบไปร้องไห้ในห้อง พวกป้าน้าอาหยุดเล่นไพ่นกกระจอกกันหมด ค้นหาทั่วบ้านทุกกระเบียดนิ้วก็ไม่พบแม้แต่เงา คนครัวบอกว่ากินหมั่นโถวแล้วก็ไม่เห็นอีก วั่งไฉก็หายไปถึงรู้ว่าออกไปข้างนอก ท่านมัวแต่ไปทำอะไรอยู่”


 


 


ซินเย่ว์บ่นอุบอิบเป็นกระบุงจนอวิ๋นเยี่ยแสนจะรำคาญ ลากนางเข้าไปในห้องเดินพลางพูดพลางว่า “ถ้าอยากฟังเรื่องโกหกให้ไปฟังที่ห้องรับแขกจะได้ไม่ต้องพูดหลายรอบ คราวหน้าหากยังกล้าเห็นข้าเป็นแค่เงาอีกข้าจะหนีขึ้นเขาไปเป็นคนป่า”


 


 


ซินเย่ว์เพิ่งสังเกตเห็นอวิ๋นเยี่ยเปลี่ยนทรงผมใหม่ รีบลากเขาเข้าห้องจัดการผมเผ้าให้เรียบร้อยสวมที่ครอบผมทองม่วงแล้วจึงอนุญาตให้เขาออกไปรับแขก


 


 


เสียงท่านย่าในห้องรับแขกเห็นชัดว่ากลับคืนสภาพปกติ เริ่มมีการคุยเล่นกับเผยอวี้ไต่ถามเรื่องไร้สาระที่ถามแล้วถามอีกหลายรอบ


 


 


“เหยียนโซ่วขอโทษด้วยข้าออกไปขี่ม้าแต่เช้า เห็นผีเสื้อกำลังออกจากปลอกดักแด้ เกิดความสนใจอยากดูว่าผีเสื้อกลายมาจากหนอนได้อย่างไร ไม่นึกว่าใช้เวลาไปหลายชั่วยามอย่าได้ถือสากัน”


 


 


อวิ๋นเยี่ยหัวเราะฮ่าๆก้าวเข้าประตูทำความเคารพท่านย่าแล้วพูดกับเผยอวี้ที่กำลังทนทุกข์ทรมานอยู่


 


 


ไม่ทันที่เผยอวี้ปริปากท่านย่าก็พูดว่า “ดีแล้ว เจ้าหนุ่มน้อยอยู่กับยายเฒ่ามาแล้วทั้งเช้าคงรำคาญแย่ พวกเจ้าพี่เมียน้องเขยคุยกันตามสบาย ข้าชักเพลียแล้วขอตัวไปงีบสักประเดี๋ยวอายุมากเกินไม่ไหวแล้ว” ท่านย่าบ่นพึมพำแล้วก็ให้สาวใช้พยุงไปพักผ่อนด้านหลัง


 


 


“คุณชายคนนี้คงเป็นคุณชายลิ่งหูสง่าผ่าเผยแท้ๆ บิดาเป็นขุนนางผู้ใหญ่ในพื้นที่ ครั้งก่อนที่เขาเข้าเมืองหลวงรับตำแหน่งพวกเราเคยพบปะกัน ไม่รู้ว่าสบายดีหรืออย่างไร”


 


 


ลิ่งหูเต๋อเชาได้ยินอวิ๋นเยี่ยทักถึงบิดาตัวเองจึงรีบลุกขึ้นยืนขอบคุณอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “ท่านพ่อคุยตลอดเวลาว่าแข็งแรงราวช้างสาร เป็นขุนนางใกล้ชิดราษฎรต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่ง ดังนั้นเวลานี้ยังคงกินได้ดีหลับได้สนิทไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ พูดถึงอวิ๋นโหวบ่อยๆแต่ละครั้งล้วนชื่นชมไม่หยุดปากว่าอวิ๋นโหวเป็นคนหนุ่มอันดับหนึ่งของต้าถัง สั่งกำชับให้ข้ามาครั้งนี้จะต้องขอรับผลดีจากอวิ๋นโหวทั้งเช้าเย็น”


 


 


“ไม่ต้องพูดเรื่องขอรับผลดีอะไรหรอก ว่าแต่พวกเจ้าเข้าสถานศึกษาแล้วจะต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับความยากลำบาก คิดว่าพวกเจ้าคงพอรู้ถึงกฎกติการะเบียบวินัยของสถานศึกษา ทุกอย่างจะต้องลงมือด้วยตัวเองยืมใช้แรงงานภายนอกไม่ได้เด็ดขาดไม่เช่นนั้นจะต้องถูกลงโทษรุนแรง พวกเจ้ารู้กันหรือไม่” 

 

 


ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...

 

ตอนที่ 29 เงินจากหยาดเหงื่อเลือดเนื้อ

 

อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าข่าวที่พวกเขาต้องการรู้มากที่สุดนั้นคืออะไรจึงไม่ได้ปิดบังซ่อนเร้น บอกตรงๆไปเลยว่าพวกเขาสามารถเข้าสถานศึกษาได้ แต่หลังจากเข้าไปแล้วอย่าได้หวังว่าจะได้สิทธิพิเศษอะไรจากเขา วันหยุดปกติสามารถกลับมาพักอาศัยที่บ้านอวิ๋นได้ แต่หากอยู่ในสถานศึกษาจะทำผิดกฎระเบียบไม่ได้แม้แต่ข้อเดียว หากทำผิดแล้วไม่เพียงแต่ไม่ได้รับประโยชน์จากการลดโทษกลับจะต้องถูกลงโทษรุนแรงมากขึ้น


 


 


อี้เหนียงเป็นสาวรู้จักที่ถูกที่ควรทั้งเฉลียวฉลาดรู้ว่าละเมิดอำนาจบารมีพี่ชายไม่ได้ ไม่กล้าออกมาพบแขกอย่างเปิดเผยเพียงแค่โผล่ครึ่งรองเท้าปักลายที่ประตู กวัดแกว่งลูกบอลไหมพรมด้านบนไม่หยุดแสดงความไม่พอใจของตัวเองด้วยวิธีการนี้ ให้รู้ว่าเวลาที่แขกนั่งในห้องรับแขกนานเกินไปแล้ว ต้องการให้การสนทนาจบลงโดยเร็ว


 


 


“ดีแล้ว ข้าต้องการพูดเพียงเท่านี้ เหยียนโซ่ว เหยียนซีและลิ่งหู พวกเจ้าเพิ่งจะมาถึงยังไม่ได้ท่องเที่ยวอวี้ซัน ข้าให้เวลาพวกเจ้าพักผ่อนสามวัน หลังจากสามวันแล้วก็ตามข้าไปเข้าเรียนที่สถานศึกษา ระหว่างนั้นกลับบ้านไม่ได้”


 


 


อวิ๋นเยี่ยมือไพล่หลังเดินออกมาจากห้องรับแขกภายใต้การส่งด้วยความเคารพของคนทั้งสาม พูดโดยไม่ได้มองอีกว่า สามวันนี้ไม่ต้องฝึกพิธีรีตองอะไรให้ร่วมเที่ยวกับพวกเขาให้สนุก กลับได้เสียงหัวเราะกิ๊กออกมามองดูเห็นเป็นรุ่นเหนียง คิดอยู่แล้วอี้เหนียงหรือจะกล้าหาญชาญชัยอะไรเช่นนี้ จึงเข้าไปลากหูรุ่นเหนียงเดินไปหลังบ้าน


 


 


มีอาหญิงคอยต้อนรับแขกอยู่ ฐานะพวกเขาไม่จำเป็นที่อวิ๋นเยี่ยต้องอยู่รับรอง หากยังนั่งอยู่จะยิ่งทำให้พวกเขาอึดอัดมากกว่า


 


 


ระหว่างนี้พ่อบ้านเฉียนไม่อยู่บ้าน ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ได้ข่าวจากซ่านอิงเรื่องตระกูลอวิ๋นทำเหมืองแล้วปรากฏโรงงานหยาดเหงื่อเลือดเนื้อ นี่เป็นสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยยอมรับไม่ได้ พ่อบ้านเฉียนโดนหักเงินเดือนไปสามเดือนได้พาคนของตระกูลอวิ๋นไปตรวจสอบทรัพย์สินตระกูลอวิ๋นให้ละเอียดด้วยความแค้นเคือง อวิ๋นเยี่ยอยากรู้นักว่าเรื่องราวหนักหนาสาหัสไปถึงไหน


 


 


จนเวลาบ่ายพ่อบ้านเฉียนกลับมายืนรายงานสภาพการณ์ที่ตัวเองใช้เวลาห้าวันตรวจสอบมาได้ ดูจากสภาพความเคร่งเครียดและความอิดโรยของเขา อวิ๋นเยี่ยรู้ได้เลยว่าสถานการณ์ไม่ดีแน่


 


 


“โหวเหยีย บ่าวใช้เวลาห้าวันตรวจสอบทรัพย์สินของเราอย่างละเอียดแล้วพบปัญหามากมาย มีหลายอย่างที่บ่าวทนดูไม่ได้แต่พูดแล้วไม่มีใครฟัง งานทำเหมืองพวกเราไม่ได้มีหุ้นมากเท่าไร คนดูแลมีคนหนึ่งที่ท่าทางเป็นอันธพาลชั่วร้ายมาก พอบ่าวไปถึงก็จะลากบ่าวไปฉางอันดื่มสุราไม่ไปก็ไม่ได้ ดังนั้นบ่าวก็เลยวางอุบายให้คนของเราเฝ้าอยู่ ตัวเองตามพวกเขาไปเพื่อที่จะได้ล่อให้พวกเขาออกไป คนของเราจะได้ตรวจสอบได้สะดวก


 


 


คนของเราเป็นคนในถิ่นเราเอง ล้วนเชื่อถือได้ พวกเขาควักเงินเลี้ยงสุราพวกหัวหน้ากลุ่มย่อยในเหมือง ตามธรรมเนียมวงการงานหลวงล้วนปิดบนไม่ปิดล่าง ได้ยินพวกเขาพูดว่าเหมืองถ่านหินมีคนตายทุกเดือน ครั้งหนักสุดตอนเหมืองถล่มตายไปสิบกว่าคน ชาวบ้านที่ทำเหมืองแต่เก่าก่อนถูกเปลี่ยนไปหมดแล้วกลายเป็นพวกนักโทษในเรือนจำ ทั้งยังมีคนที่ไม่รู้มาจากไหนทำงานอยู่ พวกนั้นไม่รู้เรื่องอะไรได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาขุดถ่านหินไปเรื่อยๆ เมื่อก่อนนี้พวกเราใช้ไม้ใหญ่ค้ำถ้ำให้แข็งแรงแล้วจึงยินยอมให้ขุดได้ ตามที่ท่านเคยสั่งไว้ว่าห้ามขุดลึกเกินสิบจั้ง แต่เวลานี้พวกเขาไม่ใช้ไม้ค้ำยันก็กล้าขุดลึกถึงสามสิบกว่าจั้ง


 


 


ท่านเคยบอกว่าถ้าขุดลึกลงไปมากจะมีก๊าสพิษสะสม เวลานี้พวกนี้กล้าขุดลึกถึงสี่ห้าสิบจั้ง ถ่านหินขายได้ดีในเมืองฉางอัน ดังนั้นพวกเขาต่างใจทมิฬเข็นให้คนไปตายกัน


 


 


ยังมีเหมืองปูนอีก ของพวกเราไม่มีปัญหาไม่ว่าอากาศร้อนเท่าไหนก็ไม่มีใครกล้าถอดหน้ากากออก พวกทำงานต่างชินกับการใส่หน้ากาก ตอนหลังท่านทำปากหมูให้พวกเขา พวกคนงานต่างเชื่อฟังสวมทั้งๆที่น่าเกลียดมากเพราะรู้ว่าโหวเหยียเป็นห่วงพวกเขา ดังนั้นคนดูแลจึงจัดเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากต้องคอยจับจ้องดูอยู่ตลอดเวลา


 


 


โหวเหยีย เหมืองหลวงดูไม่ได้เลยปูนทิ้งหล่นเต็มพื้น พอลมพัดฝุ่นก็คละคลุ้งไปหมดเห็นแค่เงาลางๆ คนงานในเหมืองทั้งปากทั้งจมูกมีแต่ปูน บ่าวไปบอกผู้ดูแลเหมืองหลวงเรื่องนี้ กลับถูกเยาะเย้ยว่าคนทำไร่ไถนามีใครที่ไม่ต้องกินฝุ่นกันมากๆแต่ทุกคนก็ยังแข็งแรงกันหมด ทั้งยังหาว่าตระกูลอวิ๋นมีเงินมากเอามาเผาเล่น คนงานใส่หน้ากากแล้วหายใจไม่ออกทั้งทำงานน้อยลงมากมาย”


 


 


“ไอ้เลว!” อวิ๋นเยี่ยทนฟังต่อไม่ไหว โรคฝุ่นหินจับปอดน่ากลัวไม่น้อยกว่าวัณโรค คนหนุ่มแน่นแข็งแรงมากๆพอเป็นแล้วแค่ก้าวเดินยังลำบาก คนดีๆกลับกลายเป็นคนพิกลพิการ


 


 


“แล้วพวกเหมืองถ่านหินเฟิงวอกับช่างเหล็กของเจากั๋วฟางเป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาทำตามวิธีการที่ข้าบอกหรือไม่” อวิ๋นเยี่ยเวลานี้ทำได้แค่ตรวจสอบจากคนของตัวเอง ในเมื่อตัวเองเป็นคนปลดปล่อยสัตว์ร้ายอุตสาหกรรมตัวนี้ออกมาก็ต้องควบคุมมันให้ได้ หากควบคุมไม่ได้ก็สู้ยกเลิกไม่เอาเลยจะดีกว่า


 


 


“ทำไมจึงไม่พูด ข้าถามว่าเจากั๋วฟางเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


“ไม่ดีเลย ช่างเหล็กก็ยังเหมือนเดิม ชุดป้องกันที่ให้ไปก็ไม่ได้ใช้ต่างเก็บไว้ในบ้านใช้เป็นเสื้อใหม่ บางคนแก้ให้เล็กลงให้เด็กสวมแถมบอกว่าเนื้อผ้าชนิดนี้คงทนน่าใช้ พวกเหมืองเล็กอื่นๆก็เหมือนกัน


 


 


อวิ๋นเยี่ยกุมขมับพูดไม่ออก เข้าใจได้เลยว่าทำไมชุดทำงานของโลกยุคใหม่ถึงได้ดูน่าเกลียดนัก ที่ดูไม่น่าเกลียดก็ต้องปักหรือพิมพ์ตราสัญลักษณ์ต่างๆที่ดูน่าเกลียด ที่แท้เพราะสาเหตุนี้เอง


 


 


“มะรืนนี้ให้เรียกพวกดูแลงานตามเหมืองตามโรงงานต่างๆกลับมาให้หมด ข้าจะจัดประชุมพวกเขาปล่อยต่อไปเช่นนี้ไม่ได้ ถึงแม้ตระกูลอวิ๋นจะต้องจบเห่อย่างถาวรก็ต้องหาสัญญาเหมืองกับโรงงานที่ทำร่วมกับราชสำนักออกมา ตระกูลอวิ๋นไม่ต้องการอีกแล้ว ไม่กล้าต้องการอีก พวกเราเป็นคนที่สะอาดบริสุทธิ์ไม่ใช่อสูรร้ายที่ดื่มเลือดกินเนื้อ ต่อให้มีเงินมากเท่าไหนพวกเราก็ไม่ต้องการอีก”


 


 


“ลูกเยี่ยเอ๋ย เงินหยาดเหงื่อเลือดเนื้อที่เราไม่ต้องการนั้นเรื่องเล็ก ไม่เอาก็ไม่เอา แต่การทำเช่นนี้จะทำให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงลำบากใจหรือไม่” ท่านย่าไม่รู้ฟังอยู่ข้างนอกนานเท่าไรแล้ว พอได้ยินการตัดสินใจของอวิ๋นเยี่ยจึงตั้งคำถามว่าที่เขาทำเช่นนี้จะเหมาะสมหรือไม่


 


 


“ท่านย่า คงคิดอะไรมากไม่ได้แล้ว เงินของพวกเราต้องเป็นเงินที่สะอาดบริสุทธิ์จะเปรอะเปื้อนกลิ่นคาวเลือดไม่ได้แม้เพียงนิดเดียว หากเรื่องค้ากำไรจากหยาดเหงื่อเลือดเนื้อแพร่ออกไป ชื่อเสียงตระกูลอวิ๋นที่สะสมมาหลายปีต้องหมดสิ้นแน่ พรุ่งนี้หลานจะเข้าวังสักครั้งเพื่อคุยกับฮองเฮาเหนียงเหนียงให้เรียบร้อย หากไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้หลานจะยกหุ้นทั้งหมดให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงทันที ต่อไปตระกูลเราจะไม่แตะต้องธุรกิจเหล่านี้อีก


 


 


มะรืนนี้ข้าจะเรียกคนดูแลงานทั้งหมด ตั้งเรื่องเหล่านี้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรไม่ให้ใครละเมิดได้ หากใครละเมิดเบาสุดถูกไล่ออกจากตระกูล ที่หนักข้าจะลงทัณฑ์โดยใช้กฎของตระกูล เหล่าน้องสาวทั้งหลายต้องร่วมด้วยพรุ่งนี้ เงินหยาดเหงื่อเลือดเนื้อนอกจากตระกูลอวิ๋นไม่แตะแล้ว ต่อไปพวกนางแต่งงานออกไปก็แตะไม่ได้ หากมีใครแตะข้าจะตัดขาดออกจากตระกูลทันทีไม่มีการปรานีเด็ดขาด”


 


 


ท่านย่ารู้ว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังโกรธแค้น ไม่นึกว่าอวิ๋นเยี่ยจะโกรธมากขนาดนี้ เขารักน้องสาวทุกคนเข้ากระดูก การที่ใช้คำพูดเช่นนี้แสดงว่าเขาโกรธแค้นการกระทำของราชสำนักมากเพียงใด


 


 


เมื่อหัวหน้าตระกูลตัดสินใจแล้วแม้แต่ท่านย่าผู้อาวุโสก็คัดค้านไม่ได้ ต่อให้ตัดสินผิดท่านย่าก็ยังต้องยืนอยู่ข้างอวิ๋นเยี่ยอย่างมั่นคง คืนนี้จะต้องเรียกผู้หญิงในตระกูลออกมาทำความเข้าใจให้ดีว่านี่คือเส้นตายของหลานชายจะละเมิดไม่ได้


 


 


เดิมทีอวิ๋นเยี่ยเคยทำงานโรงงานหยาดเหงื่อเลือดเนื้อ ได้แค่มองมือเพื่อนถูกเครื่องจักรบดจนเละโดยไม่สามารถช่วยเหลือได้ มาตรการความปลอดภัยของโรงงานแทบจะไม่มีเลยทั้งยังต้องทำงานวันละสิบชั่วโมงขึ้นไปทุกวัน พอเกิดเรื่องแล้วเถ้าแก่ใจดำพูดเพียงคำว่า”ผิดกฎ”ก็สามารถปลดเปลื้องความรับผิดชอบได้ทุกอย่าง มองดูคนเจ็บที่ร้องโหยหวนถูกหามไปแต่ก็ไม่มีใครสนใจ อวิ๋นเยี่ยยื่นใบลาออกให้เถ้าแก่ทันที ครั้งนั้นคนงานโรงงานสี่ร้อยกว่าคนลาออกไปครึ่งหนึ่ง


 


 


เรื่องราวในอดีตปรากฏออกมาอย่างมีชีวิตชีวาตรงหน้า ข้านั้นคือรากหญ้า เป็นมาโดยตลอด แต่ก่อนเคยถูกย่ำยี ปัจจุบันก็ยังคงใช่ แต่ก่อนนั้นเพียงแค่เจ็บปวดที่ร่างกาย ปัจจุบันความเจ็บปวดไม่เพียงแค่ร่างกาย มนุษย์นั้นยังคงต้องการให้ทรมานจิตวิญญาณตัวเองบ้าง การทรมานจิตวิญญาณตัวเองจึงทำให้ปลดปล่อยพลังที่แข็งแกร่งกว่าออกมาได้


 


 


ต้องดำรงความเป็นมนุษย์ที่เคร่งครัด นี่คือกฎเกณฑ์ที่อวิ๋นเยี่ยตั้งให้ตัวเองในต้าถัง แม้แต่ชีวิตยังได้เริ่มต้นใหม่แล้วยังจะมีเรื่องอะไรที่เริ่มต้นใหม่ไม่ได้อีก? ชาติก่อนอ่อนแอไร้ความสามารถ อวิ๋นเยี่ยจะไม่ยินยอมให้สืบต่อมาถึงชาตินี้อีก คล้ายดังโยนปลาที่เกยตื้นบนชายหาดให้กลับคืนสู่ทะเลโยนได้เท่าไรก็เท่านั้น เรื่องทารุณกรรมชีวิตมนุษย์นั้นหากหยุดยั้งได้ก็ขอได้หยุดยั้งไว้


 


 


อวิ๋นเยี่ยเตร็ดเตร่อยู่ในสวนหลังบ้านนานมาก ไม่ใช่ไม่คิดจะนอนแต่ได้นอนกลางวันไปมากเกินพอทำให้หลับไม่ลง เรื่องของความเจ็บปวดมีแค่เดี๋ยวเดียวก็พอได้ หากเจ็บปวดตลอดเวลาจะเป็นคนที่เหมือนเหลือบวัวควายไม่ได้พบจุดจบที่ดี


 


 


ซินเย่ว์พาสาวใช้เดินมาสองคนคนหนึ่งยกถาดไม้ บนถาดมีกับแกล้มสามสี่อย่างกับสุราหนึ่งกา การมีภรรยาเป็นเรื่องแสนประเสริฐนัก เมื่อครู่ตัวเองยังร้อนรนจนแกะเกาโน่นนี่ เวลานี้ก็มีคนส่งของกินมาให้


 


 


มีเต้าหู้หนึ่งจานผักหนึ่งจานปลาเล็กทอดหนึ่งจานกับเนื้อวัวอีกหนึ่งจาน อวิ๋นเยี่ยพอใจมากถูมือแล้วก็นั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะหิน ซินเย่ว์ดันเขาขึ้นมาใหม่ปูเบาะบนม้าหินแล้วค่อยอนุญาตให้เขานั่ง แขวนตะเกียงไว้ในศาลาแล้วไล่สาวใช้กลับไป ในศาลาก็เหลือเพียงสองสามีภรรยาในทันที


 


 


“ท่านพี่อย่าได้แค้นเคือง ราชสำนักไม่มีเรื่องสะอาดอยู่แล้ว พวกเราก็อยู่ตามประสาพวกเรา ถือว่าไม่รู้ไม่เห็น ท่านจะไปหวังอะไรให้พวกโง่เง่าทำเรื่องที่ถูกใจท่าน พวกเราไม่ใช่ตระกูลยากไร้เงินอะไรก็จะรับหมด คืนนี้ท่านย่าได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พวกเรารู้แล้ว น้องๆทั้งหมดต่างตกใจยิ่งนัก แต่ละคนต่างสาบานว่าจะไม่ทำเรื่องไร้ศีลธรรมดูแลแค่เรื่องในบ้านก็พอเรื่องภายนอกจะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย”


 


 


พูดพลางรินสุราให้อวิ๋นเยี่ยพลาง เห็นอวิ๋นเยี่ยดื่มแล้วก็รินเพิ่มอีกแล้วพูดว่า “ท่านดื่มไปกินไป ฟังข้าพูดเรื่องสัพเพเหระคลายเครียด วันๆวุ่นอยู่แต่เรื่องงานต่างๆจนไม่ได้ดูแลบ้านกัน สามีเป็นของข้าทำไมต้องโดนเรื่องร้ายๆกวนใจทั้งวัน


 


 


“ท่านเป็นคนมีวาสนาเกิดมามีชะตาชีวิตเป็นคุณชาย ข้าฟังท่านอาเล่าว่าท่านเกิดในช่วงเวลาที่ตระกูลเดือดร้อนมากที่สุด ท่านแม่เพื่อแย่งชีวิตให้ท่าน พอคลอดแล้วก็อุ้มท่านพุ่งออกนอกประตู ท่านแม่เสียชีวิตแต่ท่านถูกเทพอาวุโสนำตัวไป มีชีวิตสุขสบายยิ่งกว่าลูกเศรษฐีไม่เคยลำบากแม้เพียงวันเดียว นี่หมายความว่าแม้แต่สวรรค์ก็ยังไม่อยากให้ท่านต้องทนทุกข์ ลองคิดดูทั้งท่านแม่ท่านพ่อท่านปู่ ไม่ใช่ต่างยอมพลีชีพเพื่อให้ท่านอยู่ได้สบายขึ้นหรือ ดังนั้น ท่านจงอยู่อย่างสุขสบายในบ้านไม่ต้องไปคิดเรื่องเหลวไหลต่างๆ รอข้าคอยปรนนิบัติให้ท่านสุขสบายก็ดีแล้ว”


 


 


ได้ยินคำพูดปลอบประโลมของซินเย่ว์ อวิ๋นเยี่ยไม่รู้จะตอบอย่างไร อยู่ในสภาพอีหลักอีเหลื่อ ได้แต่ลากซินเย่ว์ซุกไว้ที่อก ซินเย่ว์สะดุ้งทุบไหล่อวิ๋นเยี่ยสองทีแล้วจึงหัวเราะคิกๆฟุบแน่นิ่งอยู่ในอก


 


 


อุณหภูมิร่างของหนุ่มสาวสูงมากทั้งยังเป็นช่วงฤดูร้อน ร่างทั้งคู่อิงแอบเพียงครู่เดียวก็เหงื่อท่วมตัว เสื้อในแนบหน้าอกของซินเย่ว์คลายออกมาครึ่งหนึ่งโผล่ครึ่งหน้าอกออกมา กาสุราถูกทั้งคู่ดื่มหมดอย่างรวดเร็ว ซินเย่ว์ดื่มเพียงนิดเดียวก็ออกอาการโอบคออวิ๋นเยี่ยให้ดมกลิ่นน้ำหอมใหม่ที่เพิ่งใช้ทาตัว… 

 

 


ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...

 

ตอนที่ 30 อวิ๋นเยี่ยฟ้องคดี

 

 


ทางเดินสู่ตำหนักกันลู่ที่คนสามกำลังมุ่งหน้าไป รัชทายาทหลี่เฉินเฉียนใส่กุญแจมือเล็กที่ประณีตนำทางข้างหน้าด้วยท่าทางลิงโลดเล็กน้อย อวิ๋นเยี่ยใส่อีกกุญแจมือชุดหนึ่งเดินกลางในมือหอบเอกสารราชการม้วนหนึ่ง เหอผั้นจื่อใส่กุญแจมือจริงเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่หลังสุด


 


ยังเป็นช่วงเช้าเพิ่งเสร็จสิ้นราชสำนักเช้า เป็นช่วงเวลาที่คนพลุกพล่านมากที่สุดในพระราชวัง ทางเดินมีคนเดินไปมามากมายทั้งขุนนางและนางกำนัลต่างๆ พอเห็นคนทั้งสามเดินมาต่างค้อมตัวทำความเคารพด้วยความรู้สึกตกใจระคนประหลาดใจในสายตาที่ต่างปิดบังกันไม่มิด


 


กลุ่มรัชทายาททั้งสามคนไม่ได้สนใจใคร คงเดินอย่างปกติธรรมดาจนใกล้จะถึงตำหนักกันลู่แล้ว เหอเส้าเกาะร่องอิฐไม่ยอมเดินขึ้นหน้าไปอีกทั้งพูดอย่างเศร้าสร้อยว่า “เจ้านายทั้งสองท่านทำเช่นนี้เหมือนเอาชีวิตข้าไป พวกท่านคนหนึ่งเป็นรัชทายาทอีกคนเป็นโหวเหยีย มีข้าคนเดียวที่เป็นเพียงขุนเล็กๆทั้งยังเป็นพ่อค้า หากฮ่องเต้กริ้วขึ้นมาตัดศีรษะข้าชนิดไม่ต้องรอปรึกษาใคร เจ้านายท่านโปรดมีเมตตาปล่อยให้ข้าไปเถอะ”


 


รัชทายาทหยุดเดินแล้วหันกลับมาถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าคิดว่าวิธีนี้ใช้ได้ผลหรือ พวกเราทั้งสามคนไม่โดนเสด็จพ่อลงโทษหรือ ต่อให้เสด็จพ่อไม่เอาเรื่อง นิสัยเสด็จแม่เจ้าก็คงรู้ ไม่ว่าผลเป็นอย่างไรคงหนีไม่พ้นต้องโดนตีแน่ คิดให้ดีๆนะ”


 


อวิ๋นเยี่ยยังไม่ทันพูด คำพูดของรัชทายาทกลับให้กำลังใจเจ้าเหออย่างมาก “องค์รัชทายาทท่านว่าพวกเราทั้งสามอย่างมากก็แค่โดนตีหรือ ไม่โดนตัดศีรษะแน่หรือ”


 


“ตัดศีรษะอะไร เรื่องนี้ต้องรีบจัดการเร่งด่วนหากไม่เช่นนั้นเรื่องจะบานปลายจนควบคุมไม่ได้อีก นี่เพิ่งจะได้ลิ้มรสหอมหวาน อาศัยที่เพิ่งจะเริ่มต้องรีบใช้ไม้แข็งขยี้ทิ้ง ตอนนี้เป็นแค่ขั้นได้เลียเลือดหากรอจนขั้นได้ดื่มเลือด ต่อให้ฮ่องเต้ตัดศีรษะอีกเท่าไรก็ไม่สามารถดึงกลับมาได้ นี่เป็นสันดานของนายทุนต้องการกินคนเป็นอาหาร”


 


อวิ๋นเยี่ยพูดกับทั้งคู่ด้วยความรำคาญใจ ตอนก่อนมาหลี่เฉินเฉียนได้พูดแล้วว่าแค่เหมืองถ่านหินกับเหมืองปูนไม่กี่แห่ง เขาเดินเพียงรอบเดียวก็จัดการให้เรื่องทั้งหมดสลายหายไปได้ ไม่น่าต้องหนักหนาขนาดฟ้องคดีถึงฮ่องเต้


 


แต่ถูกอวิ๋นเยี่ยหัวเราะเยาะว่าพวกนั้นล้วนแต่เป็นข้ารับใช้ราชสำนักกระทำเนื่องจากรักษาผลประโยชน์ให้เจ้านาย ต้องการลดต้นทุนให้เจ้านายมากๆเพื่อจะได้กำไรอย่างงดงาม หากยืนอยู่ข้างนายทุนย่อมมีแต่ได้รับรางวัลไม่ใช่ถูกลงโทษ ท่านซึ่งเป็นบุตรชายของนายทุนจะใช้เหตุผลหรือข้ออ้างอะไรในการลงโทษพวกเขาได้ ไม่กลัวว่าจะทำให้คนขาดศรัทธาหรือ


 


“หากผู้ถูกขูดรีดเป็นเชลยต่างเผ่า องค์รัชทายาท เรื่องเช่นนี้ข้ามีแต่จะตบรางวัลให้เหล่าคนดูแล จะไม่ก้าวก่าย แต่เวลานี้พวกเขากำลังทำทารุณราษฎรของเราเองจึงเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ราษฎรเป็นรากฐาน หากพวกเราต้องการเสวยสุขอย่างมั่นคงยาวนานก็ต้องทำดีต่อพวกเขา ให้พวกเขามีเนื้อกินมีเสื้อผ้าใส่ เช่นนี้แล้วพวกเขาก็จะค้ำจุนให้พวกเรามั่งคั่งอย่างหน้าไม่อายต่อไปได้ยาวนานตลอดไป ต่อให้ท่านมีภรรยาแปดร้อยคน อย่างมากก็ว่าท่านบ้าตัณหาไม่ถึงขนาดถือดาบถือทวนมากำจัดท่าน ไม่แน่ว่าเวลาท่านเตรียมการไปรังแกเผ่าพันธุ์อื่นพวกเขายังยอมพลีช่วยเหลือท่าน ราษฎรต้าถังเป็นราษฎรที่ดีที่สุดในโลก หากไม่ทำดีต่อพวกเขานับได้ว่าสมองไม่สมประกอบ”


 


“นี่เป็นเรื่องจริง เสด็จพ่อเคยบอกข้าว่าราษฎรเป็นน้ำราชวงศ์เป็นเรือ น้ำทำให้เรือลอยได้แต่ก็ทำให้เรือล่มได้ ทั้งยังไม่ให้ข้ามองข้ามความเจ็บป่วยของราษฎร จะต้องวางผลประโยชน์ของพวกเขาเป็นอันดับแรก เช่นนี้แล้วแผ่นดินของตระกูลหลี่ก็จะมั่นคง เยี่ยจื่อ การโดนตีครั้งนี้ข้าขอร่วมโดนกับพวกเจ้าด้วย”


 


มาตรฐานการพูดของหลี่เฉินเฉียนยกระดับสูงขึ้นมามาก เอะอะก็จะยกตำราโบราณอ้างอิงใช้คำพูดพระบิดามาเพิ่มความน่าเชื่อถือ เรื่องนี้ทำได้อย่างช่ำชองจนขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักต่างชื่นชมฉลาดความปราดเปรื่องของรัชทายาทว่ามีความสง่าผ่าเผยของยุวกษัตริย์ปกครองประเทศในอนาคต ล้วนมาจากการอบรมบ่มเพาะของฮ่องเต้


 


สำหรับอวิ๋นเยี่ยแล้วคำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นแค่ลมปากไม่มีเนื้อหาที่แท้จริงอยู่เลย แต่ในสายตาของเหล่าขุนนาง นี่คือผู้สืบทอดฮ่องเต้ที่ดีที่สุด หลายปีนี้ไม่มีข้อเสียอะไรเลยแม้แต่นิด จริงใจต่อผู้คน กล้าหาญสู้ศัตรู ตัดสินปัญหาเฉียบขาด ใจกว้างต่อขุนนาง เป็นโคลนนิ่งของฮ่องเต้แท้ๆไม่ใช่จอมหลอกลวงเช่นสุยหยางตี้ฮ่องเต้ราชวงค์ก่อนจะสามารถเทียบเคียงได้


 


“ท่านก็เลือกใช้คำพูดที่น่าฟังแล้วกัน ท่านอย่าได้นึกว่าเรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับท่าน ฮองเฮาเหนียงเหนียงเพิ่งประสูติน้องหญิงคนใหม่ให้ท่าน ยังไม่เคยเห็นแต่ได้ยินว่าน่ารักมากเพียงแต่ร่างกายอ่อนแอไปหน่อย รอให้โตกว่านี้อีกนิดข้าจะนำองค์หญิงไปเข้าสถานศึกษาให้นักพรตซุนปรับสภาพร่างกายตั้งแต่เล็ก จะได้เติบใหญ่ด้วยร่างกายที่แข็งแรง


 


ฮ่องเต้ตั้งชื่อนางว่าซื่อจื่อไม่ใช่เพราะต้องการให้นางเติบใหญ่แข็งแรงหรือ บรรยากาศในพระราชวังไม่ดีนักหากต้องการเติบใหญ่แข็งแรงต้องให้สถานศึกษาจัดการ เหนียงเหนียงเป็นห่วงองค์หญิงเล็กจนไม่มีเวลาดูแลเรื่องจิปาถะอื่นอีก หากท่านซึ่งเป็นโอรสไม่รับขึ้นมาแล้วใครจะรับ”


 


“เยี่ยจื่อไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องมากมายที่ไม่ควรพูดเจ้ากล้าพูดแต่ข้าไม่กล้าฟัง ขอแค่ไม่โดนตัดศีรษะหากแค่โดนตีนั้นเรื่องเล็กข้าขอร่วมด้วยกับเจ้า” เหอเส้าเข้าใจแล้วในที่สุดว่าอวิ๋นเยี่ยไม่ได้ต้องการให้เรื่องนี้ขึ้นถึงราชสำนัก แต่ย่องมาหาฮ่องเต้เพื่อขอนโยบาย ในเมื่อผู้ต้องหาใหญ่คือฮ่องเต้ผู้ต้องหารองคือฮองเฮาต่อด้วยรัชทายาท ตัวเองเป็นผู้ต้องหาปลายสุดกลายเป็นยิ่งใหญ่ขึ้นมาทันทีสามารถโดนคดีพร้อมกับฮ่องเต้ได้ ถือว่าฮวงซุ้ยบรรพบุรุษศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก


 


ฮ่องเต้กำลังดื่มน้ำโจ๊กในตำหนักกันลู่ ตำรับโจ๊กใบบัวของซุนซือเหมี่ยวเขายังใช้อยู่ไม่เคยขาด ดูเหมือนได้ผลยิ่งนัก โรคปวดศีรษะหายไปเป็นเวลานานแล้วพุงที่ใหญ่โตก็ลดลงไปมากมายทำให้เขามีความสุขมาก พอได้ยินขันทีว่ารัชทายาท หนันเถียนโหวกับเจิ้งเซี่ยนจื่อมาเข้าเฝ้า ฮ่องเต้ยังคงดื่มโจ๊กอยู่เพียงแต่ยกมือโบกให้พวกเขาเข้ามาได้ รู้ว่าหากอวิ๋นเยี่ยไม่มีเรื่องราวต่อให้ตีตายก็ยังไม่ยอมมาพบคนในวัง วันนี้ประหลาดมากที่พาตัวเองมาเข้าปากเสือด้วยเหตุผลอะไรหรือ เขายังไม่เคยเห็นอาการแปลกประหลาดเช่นนี้ของเหล่าขันที


 


การพันธนาการของทั้งสามคนทำให้ฮ่องเต้ตกใจ ตั้งแต่เข้ามาทั้งสามคนก็หมอบอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้นมา แสดงท่าทางรับผิดอย่างเดียว รัชทายาทกับอวิ๋นเยี่ยยังพอได้ แต่ใบหน้าเหอเส้าแนบติดพื้นตัวสั่นงันงกทั้งร่าง ท่าทางต้องทำผิดอะไรอย่างแน่นอน


 


“พวกเจ้าทั้งสามคนทำอะไรผิดถึงได้ใส่กุญแจมือตัวเอง พูดออกมาข้าจะได้ส่งให้กองอาญาสอบสวน”


 


“ลูกมีฐานะรัชทายาทแต่เห็นเรื่องร้ายไม่รายงานถือเป็นการบกพร่องต่อหน้าที่ ขอเสด็จพ่อทรงลงโทษ”


 


การกระทำของหลี่เฉิงเฉียนนั้นตัวเองรู้เห็นทุกฝีก้าว ระหว่างนี้ยิ่งขยันขันแข็ง เรื่องการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติก็จัดการถูกต้องไม่เคยได้ยินว่ามีข้อบกพร่อง การเห็นเรื่องร้ายไม่รายงาน ฮึ่มๆ จะต้องเป็นเรื่องร้ายที่พ่อค้าอ้วนชั่วคนนี้ทำแน่นอน อวิ๋นเยี่ยไม่ถึงขนาดทำชั่วร้ายด้วย รัชทายาทคงเห็นแก่หน้าอวิ๋นเยี่ยเลยไม่สะดวกใจที่จะจัดการ อวิ๋นเยี่ยมักชอบแกล้งทำตรงกันข้าม ตัวเองเปิดฝาครอบอยากขออภัยโทษเป็นเช่นนี้แน่ แต่ว่าเจ้าคนนี้ข้าหาเรื่องเอาผิดเจ้าไม่ได้สักที วันนี้มาเสนอตัวเองจะได้ถือโอกาสจัดการด้วยเลย


 


คิดดังนี้แล้วฮ่องเต้ก็ดีใจจนยิ้มเห็นฟัน เขาไม่เชื่อว่าอวิ๋นเยี่ยจะทำผิดหลักการอะไร อย่างมากก็แค่ละเลยไปบ้างเท่านั้น เวลานี้ขอรับผิดเองคงได้คิดทางแก้ไว้แล้ว เจ้าคนนี้มักมีทางแก้ที่ดีเสมอมาแต่ครั้งนี้ขอให้ได้ตีไว้ก่อน


 


คิดแล้วก็รีบสั่งการอย่างชื่นอกชื่นใจ “คนมา ลากตัวอวิ๋นเยี่ยกับเหอเส้าออกไปตีสามสิบที รัชทายาทกลับวังสำนึกผิดห้ามไปไหนสามวันแล้วติดตามดูผลต่อไป”


 


รัชทายาทงงงวย อวิ๋นเยี่ยงงด้วย เหอเส้าก็ไม่เข้าใจ ฮ่องเต้ไม่ถามต้นสายปลายเหตุมาถึงก็สั่งตีเลยเห็นได้ว่าฮ่องเต้คิดแค่อยากตีเท่านั้น


 


“การลงโทษของฝ่าบาทกระหม่อมย่อมต้องรับ หากแต่กระหม่อมเป็นเพียงผู้ร่วมกระทำผิด การปล่อยให้ผู้กระทำผิดต้นเหตุลอยนวลไม่เป็นการลงโทษแค่ปลายเหตุหรือ”


 


“ยังมีผู้กระทำผิดต้นเหตุอีกหรือ รีบๆบอกมาเราจะได้จัดการทีเดียวพร้อมกันให้เจ้าโดนไม้ได้อย่างพออกพอใจ”


 


อวิ๋นเยี่ยรีบถวายหนังสือ ขันทีรับแล้วกางออกที่โต๊ะฮ่องเต้ เพียงแค่เห็นหัวข้อหนังสือฮ่องเต้ก็ตกตะลึงคิดในใจว่าแย่แล้ว พออ่านใจความอธิบายรายละเอียดแต่ละข้อก็รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาทันที


 


ฮองเฮาที่อยู่หลังม่านเพิ่งให้นมเสี่ยวซื่อจื่อเสร็จ ได้ยินขันทีรายงานแล้วรู้สึกว่าต้องมีอะไรสนุกแน่จึงอุ้มธิดามาด้านหน้า เห็นสามคนคุกเข่าที่พื้นส่วนฮ่องเต้หน้านิ่วคิ้วขมวดไม่พูดไม่จา จึงถามว่า “ฝ่าบาทขมวดคิ้วด้วยเหตุใด พวกเขาสามคนมีเรื่องใหญ่โตอะไรที่ทำให้ท่านกังวล แค่ลงโทษเล็กน้อยก็พอแล้ว ไม่ต้องไปเปลืองความคิดมากนัก”


 


ฮองเฮากับฮ่องเต้มีความคิดเดียวกัน ไม่เชื่อว่าจะมีเรื่องอะไรใหญ่โตเกิดขึ้น


 


“ฮองเฮา เจ้ามาก็ดีแล้ว สามผู้ต้องหาที่คุกเข่าอยู่กับอีกสองผู้ต้องหาที่ยังไม่มา เรากำลังหนักใจเรื่องนี้อยู่” ฮองเฮาฟังดูคล้ายเป็นเรื่องงานราชสำนักจึงไม่ได้เปิดปากแต่เตรียมถอยกลับเข้าด้านหลัง นางไม่เคยออกความเห็นเกี่ยวกับงานราชสำนัก


 


“ฮองเฮาหยุดก่อน เจ้าไม่อยากฟังดูว่าใครร่วมทำผิดกับวายร้ายสามคนนี้หรือ” ฮ่องเต้หันไปถามฮองเฮา


 


“หม่อมฉันเป็นหัวหน้าฝ่ายใน เรื่องราชสำนักไม่สมควรรู้มากยิ่งไม่สมควรก้าวก่าย” แม้พูดได้น่าฟัง แต่ก็ชะลอฝีเท้าลง เงี่ยหูเตรียมฟังดูว่าใครกันแน่ที่กล้าดีทำให้รัชทายาทต้องเป็นผู้กระทำผิดร่วม


 


“ฮึ่มๆ ตามหนังสือที่อวิ๋นเยี่ยทูนขึ้นมา ผู้กระทำผิดต้นเหตุคือเรา ฮองเฮาเจ้าเป็นผู้กระทำผิดรอง เจ้าลองฟังดู กระหม่อมเคยรับรู้ว่า หากเบื้องบนขาดจริยธรรม เบื้องล่างย่อมทำตาม ปัจจุบันบนเขาเหมยซัน เสียงปิศาจร้องระงม ใต้พื้นดินเก้าชั้น วิญญาณร้ายไม่สลาย ห่างนรกเพียงไม่กี่เชียะ ปูนนั้นมีพิษ กระจายคละคลุ้ง ไม่เกินสองปี หนุ่มฉกรรจ์กลายอ่อนแรง พิษร้ายโลกมนุษย์ มียิ่งกว่านี้อีกหรือ


 


หนังสือทูนนั้นมีประมาณนี้ยังต้องรอสอบถามข้อเท็จจริง แต่การที่เบื้องล่างฟ้องเบื้องบนย่อมต้องรับโทษทัณฑ์ก่อน คนมา ลากทั้งสามคนไปตีสามสิบทีแล้วค่อยว่ากันต่อ”


 


แม้แต่คิ้วของฮองเฮายังลุกชันมองหน้าคนทั้งสามอย่างแค้นเคือง บอกขันทีว่า “ลากลงไปตีให้หนัก”


 


หลี่เฉิงเฉียนอยากพูดจริงๆว่าตัวเองไม่เกี่ยวข้อง แต่คำพูดถึงแค่ริมฝีปากแล้วก็คืนกลับไป เข้าใจดีว่าโดนตีครั้งนี้เป็นการโดนแทนพระมารดา อวิ๋นเยี่ยทำหน้าขมจนเหมือนอมบอระเพ็ด ฮ่องเต้อยากเล่นงานตัวเองมาก ครั้งก่อนก็เคยข่มขู่แล้วแต่ไม่นึกว่าจะกลายเป็นจริงครั้งนี้ ตัวเองส่งหนังสือทูนให้ฮ่องเต้โดยตรงไม่ได้ผ่านทั้งสามขั้นตอน เท่ากับได้คำนึงถึงหน้าตาของราชวงศ์แล้ว การที่ตัวเองกับเหอเส้ารับผิดหมายความว่าได้เตรียมรับผลที่จะเกิดขึ้นแล้ว คือต้องการราชโองการให้ตัวเองออกหน้าจัดการปรับปรุงเหมืองถ่านหินให้มันดำเนินการต่อได้อย่างมีแบบแผน แม้แต่แพะรับบาปก็ยังเตรียมไว้แล้ว เรียกว่าวางแผนไว้อย่างรอบคอบมากแล้ว ใครจะรู้ว่าก็ยังหนีไม่พ้นต้องโดนตีจนได้


 


เหอเส้ากลับแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ นี่เป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่ของตระกูลเหอทีเดียว กลับบ้านจะได้คุยโม้คุยโตให้ลูกเมียทั้งเมียหลวงเมียน้อยทั้งหลายว่าตัวเองกับรัชทายาทและโหวเหยียต่างโดนฮ่องเต้สั่งตีด้วยกัน เหตุเพราะทำหนังสือทูนกล่าวหาฮ่องเต้กับฮองเฮา ใครกันที่ใจกล้าอาจหาญได้ขนาดนี้นอกจากตระกูลเหอก็ไม่มีอีกแล้ว แน่นอนว่า ตระกูลอวิ๋นย่อมจะโดนเขาลบทิ้งไปอย่างหน้าด้านๆ เฝ้ารอการโดนตีด้วยความยินดีปรีดา


 


ฮองเฮาเห็นทั้งสามคนถูกขันทีลากออกไปแล้วก็เตรียมขออภัยโทษ นางรู้ว่าอวิ๋นเยี่ยหากไม่มีหลักฐานย่อมไม่พูดแน่ เมื่อเขาว่ามีเรื่องนี้ก็ต้องมีแน่นอน


 


“เจ้าอุ้มท้องมาสิบเดือนเพิ่งคลอดลูกเสร็จ จะเอาความคิดที่ไหนไปดูแลเรื่องราวมากมาย หากมีโทษก็อยู่ที่เราเองไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเลย อวิ๋นเยี่ยจัดการเรื่องนี้ได้ดีมากส่งหนังสือทูนให้เราโดยตรง ให้พวกเรามีโอกาสหายใจหายคอบ้าง ทั้งตัวเองยังยอมตกเป็นแพะรับบาปถือว่าหายาก ฮองเฮา นับได้ว่าการสอนสั่งของเจ้านั้นได้ผลดียิ่งนัก” 

 

 


ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...

 

ตอนที่ 31 อนาคตของเด็ก

 

การแบ่งชั้นวรรณะของต้าถังเคร่งครัดชัดเจนจนน่าสะพรึงกลัว ต่างโดนตีด้วยกันแต่หลี่เฉิงเฉียนนอนคว่ำอยู่บนเตียงนิ่ม พนักงานตีใจดียังปูเบาะไว้บนสะโพกอีกชั้นหนึ่งเป็นหนังเสือโคร่งหนาราวนิ้วหนึ่ง ไม้ตียาวเชียะกว่ายังหุ้มด้วยผ้าต่วน เวลาตีบนหนังเสือมีเสียงดังผึบๆตีจนหลี่เฉิงเฉียนแทบจะนอนหลับคาเตียง มิน่าที่เจ้านี่ไม่ได้หวาดหวั่นเรื่องถูกตีเลยแม้แต่นิด อวิ๋นเยี่ยนอนคว่ำบนเตียงเสื้อคลุมถูกถอดออก ไม้ตียาวสองเชียะหุ้มด้วยผ้าต่วนเหมือนกันแต่ไม่ได้หนาเท่าของหลี่เฉิงเฉียนอย่างเห็นได้ชัด บนสะโพกไม่ได้ปูอะไรให้ ตีลงไปทีเดียวอวิ๋นเยี่ยร้องอึ๊บเหมือนสะโพกไม่ใช่ของตัวเองอีกต่อไป ความเจ็บร้อนแผ่กระจายไปราวกับตาข่ายใยแมงมุม พนักงานตียังบอกว่า “อวิ๋นโหวอดทนหน่อย ไม้แรกๆจะเจ็บหน่อย ไม้หลังๆจะชาหมดไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว”


 


อวิ๋นเยี่ยอยากด่าให้เจ็บแสบ ไม่น่าไปยุ่งอะไรกับพวกคนงานเหมืองคนโรงงานเหล็กเลย เพราะกินอิ่มมากไปถึงได้เที่ยวไปวุ่นเรื่องชาวบ้าน เวลานี้ไม้ตีที่สะโพกตัวเองแต่ละไม้เพิ่งจะรู้ว่าอะไรที่เรียกว่าเจ็บจนเข้ากระดูก


 


ที่เริ่มมีก่อนคือเหงื่อ ตามด้วยน้ำมูก ต่อด้วยน้ำตา ราวกับปัสสาวะก็เริ่มมาด้วย ช่างน่าขายหน้านัก ตลอดกระบวนการตีความจริงคือกระบวนการต่อสู้ของอวิ๋นเยี่ยกับกระเพาะปัสสาวะ ความเจ็บปวดกลายเป็นรอง การป้องกันไม่ให้ขายหน้าจึงเป็นเรื่องใหญ่อันดับหนึ่ง


 


หลี่เฉิงเฉียนอยู่ข้างๆกัดฟันสูดลมเย็นเกร็งกล้ามเนื้อใบหน้าจนถึงไม้ที่ยี่สิบค่อยผ่อนคลายลง ใบหน้าอวิ๋นเยี่ยดูไม่ได้เลย ทั้งน้ำมูกน้ำตาไหลยาวเป็นทาง เขาสาบานว่าไม่ใช่เพราะทนเจ็บไม่ได้แต่เป็นปฏิกิริยาตอบรับทางธรรมชาติ เป็นทางเลือกของเส้นประสาทเอง


 


“โหวเหยียท่านต้องลุกขึ้นมาขยับเนื้อขยับตัวให้เลือดที่คั่งอยู่กระจายออกไปก็จะดีขึ้น ข้าน้อยลงมือเบารับรองว่าไม่มีผลกระทบกับการเดินของท่าน” พนักงานลงทัณฑ์เร่งให้อวิ๋นเยี่ยลุกขึ้น


 


“จะลุกไหวได้อย่างไร สะโพกข้าแตกเป็นริ้วหมดแล้วยังจะให้ขยับ ขยับอะไรกัน โอย สะโพกข้า!” อวิ๋นเยี่ยร้องโวยวายไม่เป็นภาษาพยายามคลานขึ้นมา พนักงานลงทัณฑ์พูดมีเหตุผล แต่มีเหตุผลแค่ไหนอวิ๋นเยี่ยยังคงด่าแหลก พอคลานลุกขึ้นมาแล้วเดินตุปัดตุเป๋ไปข้างนอก หลี่เฉิงเฉียนถามว่า “เยี่ยจื่อ เดินแถวนี้ก็พอแล้ว ยังจะไปไหนอีก”


 


“ข้าจะไปส้วม ห้ามข้าได้หรือ” อวิ๋นเยี่ยพูดโดยไม่หันกลับ รีบไปหาส้วม ปัสสาวะด้วยความลำบากจนเสร็จ ก็ได้ยินเสียงร้องราวหมูถูกเชือด ทำเอาอวิ๋นเยี่ยแทบจะฉี่ราดกางเกง


 


จนความเจ็บปวดบรรเทาลง ค่อยๆกระย่องกระแย่งกลับไปที่โดนตี พบว่าเหล่าเหอที่น่าสงสารนอนคว่ำหน้าบนม้าไม้ยาวดูเหมือนใกล้สิ้นลมปากกัดไม้ท่อนหนึ่ง สะโพกใหญ่โตเปลือยเปล่าอวดแสงแดด ไม้ที่ตีเป็นกระบองสุ่ยหว่า พนักงานตีสองคนตีกันสุดแรง ฮองเฮาเหนียงเหนียงบอกตีให้หนัก ขอแค่เหลือชีวิตไว้ก็ไม่มีปัญหา


 


อวิ๋นเยี่ยถลึงตามองพนักงานตีทั้งสองคน ก้มลงด้วยความลำบากตรวจชีพจรที่คอเหล่าเหอ ยังดี เต้นได้แรงอยู่ ไม่มีอันตรายถึงชีวิต


 


พนักงานตีทั้งสองโดนอวิ๋นเยี่ยจ้องจนนึกปอด แต่รู้สึกได้ว่าเป็นคำสั่งฮองเฮาไม่ต้องกลัวอวิ๋นเยี่ยจึงยืดหน้าอกขึ้น เหล่าเหอเริ่มมีสติกลับมาร้องไห้เสียงลั่น


 


อวิ๋นเยี่ยได้ยินเสียงเขาร้องไห้ค่อยวางใจ เหล่าเหอครั้งนี้ถูกตัวเองลากมาโดนด้วยทำให้ถูกตีโดยไม่สมควร ตัวเองจึงน่าโดนเพราะไม่ได้พิจารณาให้รอบคอบก็ปล่อยสิ่งที่ไม่เหมาะกับยุคสมัยออกมา ถือว่าการโดนตีครั้งเป็นการชดเชยให้บรรดาวิญญาณที่ตายอย่างน่าอนาถ


 


พอเหล่าเหอร้องไห้อวิ๋นเยี่ยก็อดไม่ได้น้ำตาร่วงด้วย สังคมที่เลวร้ายนี้เป็นสังคมที่ไม่ได้ให้คนดีอยู่รอดอย่างเหมาะสม ทุกครั้งที่ตัวเองนึกอยากทำความดีบ้างก็ต้องเจอเรื่องเลวร้ายตลอด มาฉางอันแต่ละครั้งเจอเรื่องร้ายทุกครั้ง ครั้งหน้าต่อให้มีเกี้ยวแปดคนหามมาเชิญก็จะไม่ก้าวเท้าเข้าฉางอันแม้เพียงก้าวเดียว


 


หลี่เฉิงเฉียนถูกฮ่องเต้เรียกตัวไปแล้ว ลานที่ว่างอยู่เหลือแค่คนโชคร้ายที่กำลังร่ำไห้อยู่สองคน สะโพกเหล่าเหอโดนตีจนเนื้อแตกยับเยิน อวิ๋นเยี่ยถอดกางเกงเขาออกมา หากเลือดแห้งกรังติดกางเกงต้องแกะออกตอนรักษาแผลจะสาหัสกว่า ก่อนมาได้เตรียมการไว้มียาผงขาวที่ซุนซือเหมี่ยวปรุงไว้ สรรพคุณไม่ได้ดีเหมือนของเดิม เหล่าซุนว่าขาดเถียนชีที่เป็นตัวยาสำคัญ เขาเตรียมเดินทางไกลไปหนานเจาจะไปค้นหาที่เหวินซันตามที่เอวิ๋นเยี่ยบอกไว้ หากหาได้แล้วก็จะได้เตรียมเพาะพันธุ์เพิ่ม


 


เหล่าเหออ้วนมากอวิ๋นเยี่ยใช้แรงมหาศาลกว่าจะลากเขาขึ้นไปบนแคร่ได้ เบาะโดนเก็บไปแล้ว โรยใส่ยาผงบนสะโพกเหล่าเหอแล้วตั้งใจให้เหล่าเหอโรยใส่สะโพกตัวเองบ้างแต่ก็ใช้ไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว สะโพกเจ้านี้ใหญ่กว่าใครๆ ปริมาณยาที่ซุนซือเหมี่ยวให้มาเป็นขนาดใช้ได้สามคน


 


เหล่าเหอหลับอยู่บนแคร่ไม้ไผ่เพราะสูญเสียพลังไปมากเกิน พอความเจ็บที่สะโพกบรรเทาลงก็หลับเป็นตายไปเลย นอกประตูมีแท่นหินใหญ่เดิมทีใช้เป็นที่วางเสา เวลานี้ไม่รู้เสาไปไหนกันหมดเหลือเพียงแค่แท่นหิน เดินเกาะกำแพงจนมาถึงแล้วก็นอนคว่ำหน้าดูน่าสบายดี


 


ระหว่างที่สะลึมสะลือก็ราวกับมีคนมาคลายกางเกงตัวเอง ท่าจะไม่ได้การกำลังจะอ้าปากด่า หันไปพบว่าเป็นหลี่อันหลาน ไม่ได้พบกันสองเดือนกว่านางมีความเปลี่ยนแปลงไปมาก ทรงผมเปลี่ยนเป็นแบบหญิงเต็มวัยสวมชุดผ้าทอดำ ทำให้ใบหน้ายิ่งขาวเนียนมากขึ้น นางคลายกางเกงของอวิ๋นเยี่ยโดยไม่มีความเคอะเขินแม้แต่นิด พอเห็นเป็นนางแล้วอวิ๋นเยี่ยก็นอนคว่ำกลับไปอีก


 


นิ้วมือนางเย็นเฉียบยาผงก็โรยเกลี่ยได้ละเอียด เมื่อครู่เห็นเพียงแวบเดียวอวิ๋นเยี่ยก็รู้เลยว่านางมีครรภ์ จากทรวงอกที่ตั้งชันขึ้นผิวพรรณที่เปล่งปลั่งขึ้น ก็ดูออกแล้วว่านี่คือสิ่งที่ซุนซือเหมี่ยวมอบให้เขา


 


รอจนนางทายาเสร็จกำลังเป่าลมเย็นให้ส่วนที่ซึมออกมาแห้งสนิท เวลานี้เอง อวิ๋นเยี่ยถามนางกะทันหัน “เจ้าจะจัดการเด็กอย่างไร” เป็นคำถามที่ห้วนสั้นมาก


 


“นี่เป็นลูกของข้า ข้าย่อมจะต้องให้คลอดออกมา พอข้าแก่ชราจะได้มีคนไว้ทุกข์ให้ข้าได้ ข้าไม่ยอมเป็นวิญญาณร่อนเร่พเนจรหรอก อวิ๋นโหวถามเรื่องลูกข้าทำไมหรือ”


 


หลี่อันหลานไม่ได้รู้สึกไยดี หันมองเขาด้วยอาการประหลาดใจ ราวกับว่าเด็กคนนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับอวิ๋นเยี่ยเลย


 


“เด็กตระกูลอวิ๋นจะถูกกดขี่ไม่ได้เรื่องนี้เจ้าต้องเข้าใจ ข้าจะไม่ยอมให้เขาถูกกดขี่ นี่เป็นลูกชายคนโตของข้า หากเจ้ากล้าทำให้เขากลายเป็นหุ่นเชิดหรือเป็นตัวประกัน ข้าจะฉีกเจ้าออกเป็นชิ้นๆ”


 


เรื่องอื่นยังพอจะพูดได้ แต่พอเกี่ยวข้องกับลูกอวิ๋นเยี่ยไม่ยอมถอยแม้เพียงก้าวเดียว จ้องหน้าหลี่อันหลานรอคำตอบจากนาง


 


“นี่ก็เป็นลูกของข้าเป็นลูกคนโตของข้าเหมือนกัน ข้าย่อมจะต้องฟูมฟักให้เขามีปัญญาไม่ว่าเป็นหญิงเป็นชายก็ต้องเป็นเจ้าในผืนดินแปดร้อยลี้นั้น ข้าเป็นคนชะตาชีวิตขมขื่นชาตินี้ขอมีชายคนเดียวลูกคนเดียว อวิ๋นเยี่ย หากเจ้ากล้าแย่งชิงเขาจากอกข้า ข้าจะยอมสู้ตายกับเจ้า”


 


หลี่อันหลานลูบท้องเบาๆด้วยอาการแสนนุ่มนวลแต่ใช้คำพูดที่เด็ดขาด ไม่ให้คนดูถูกความตั้งใจที่แน่วแน่ของนาง


 


อวิ๋นเยี่ยผงกศีรษะไม่ได้พูดต่อ เวรกรรมที่ผู้ใหญ่สร้างไว้ไม่มีเหตุผลที่จะทำให้เด็กต้องมารับเคราะห์ด้วย ขอเพียงให้เขาเติบโตแข็งแรง อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ใส่ใจว่าเขาจะแซ่อวิ๋นหรือแซ่หลี่


 


เห็นอวิ๋นเยี่ยยอมรับ ความกังวลของหลี่อันหลานที่มีมาตลอดสองเดือนเริ่มวางลงได้ อาศัยฝีมือระดับเทวดาของอวิ๋นเยี่ย นางไม่สงสัยเลยว่าอวิ๋นเยี่ยจะแย่งชิงลูกจากข้างกายนางไปได้ เมื่อเห็นว่ามีการรับปากแล้วนางหมดความกังวล ใบหน้าเริ่มมีรอยยิ้มผุดขึ้นมา


 


“นี่ฮูหยินเจ้าคงจะคลอดลูกไม่ได้ใช่ไหม นานป่านนี้ยังไม่เห็นมีข่าวคราวอะไรเลย ตระกูลอวิ๋นของเจ้ามีเจ้าคนเดียว หากแต่งงานกับแม่ไก่ที่ไข่ไม่ได้ท่านย่าเจ้าคงต้องโกรธจนไปกระโดดน้ำแน่


 


พูดจบยังตั้งใจวิ่งมาหน้าอวิ๋นเยี่ยแอ่นพุงที่แบนอยู่ให้ดู


 


“ลูกข้าเป็นคนวาสนาดี นอกจากได้สืบทอดที่พระราชทานแปดร้อยลี้ของแม่แล้ว ยังได้สืบทอดสมบัติมากมายที่พ่อผู้ไร้หัวใจของเขาสร้างสมมาด้วยความลำบากลำบนมาทั้งชีวิต ฮ่าๆ นึกถึงนี่แล้วความแค้นของข้าทั้งหมดก็หายไปหมดสิ้นแล้ว”


 


“อาศัยไอคิวของเจ้ามีที่พระราชทานแปดร้อยลี้ได้พักอาศัยก็ถือว่าดีมากแล้ว หลิ่งหนานเป็นพื้นที่แบบไหนเจ้ารู้ไหม อิทธิพลของเฝิงอั้งแม้แต่บิดาเจ้ายังไม่กล้าดูแคลน เขาซั่งหยางซันเวลานี้ยังมีกองทหารหกพันคนประจำการคอยเฝ้าระวังทั้งกลางวันกลางคืนไม่กล้าผ่อนคลายแม้แต่น้อย เจ้ามีอะไรหรือ อย่างมากก็พกแค่กระพรวนรถม้าหนึ่งคันทหารสิบกว่าคน ยังจะมาที่แปดร้อยลี้อีก เรื่องกองทัพของชาติใช่สิ่งที่สตรีเช่นเจ้าจะมาทำเล่นได้หรือ”


 


อาการเหิมเกริมของหลี่อันหลานเมื่อครู่นี้หายไปเลยทันที หยิบพัดออกมาพัดที่สะโพกอวิ๋นเยี่ย นางเข้าใจดีว่าหากปราศจากความช่วยเหลือของอวิ๋นเยี่ย การไปอยู่ไกลถึงหลิ่งหนานได้เกินสองปีต้องนับว่าเก่งเกินคน


 


“เจ้าวางใจเถอะข้าจัดการให้แล้ว ต่อให้ไม่ได้ห่วงเจ้าเลยข้าก็ยังต้องคิดถึงความปลอดภัยของลูกข้า ฮึ่ม เฝิงอั้ง หากเจ้ายอมทำตามที่รับปากไว้ดีๆทุกคนจะต่างอยู่ดีกันหมด หากมีความคิดที่ไม่สมควรข้าจะทำให้เจ้าเดือดร้อนไม่ว่าเป็นหรือตาย แม้หลิ่งหนานอยู่ไกลนึกหรือว่าข้าจะไม่มีปัญญาจัดการเจ้าได้”


 


ก่อนนี้หลี่อันหลานชอบที่จะฟังอวิ๋นเยี่ยคุยอวดอยู่แล้ว เวลานี้อวิ๋นเยี่ยก็เริ่มออกอาการเช่นนั้นอีก เป็นสิ่งที่หลี่อันหลานหลงใหลได้ปลื้ม หากครั้งนั้นอวิ๋นเยี่ยมีอาการเช่นนี้ออกมาบ้างหลี่อันหลานก็คงไม่ทอดทิ้งอวิ๋นเยี่ยไปหาคนอื่น


 


“เจ้าฟังไว้ข้าจัดการให้หงเฉิงเป็นหัวหน้าทหารเจ้า เวลานี้เขาทำการผิดพลาดถูกฮ่องเต้ลดยศถอดศักดิ์ ถึงแม้ดวงตกแต่ยังคงเป็นทหารคนสนิทของฮ่องเต้ ฝีมือการรบดีมากมีทหารเก่าชำนาญการรบสามพันให้เขานำทัพ คิดว่าความปลอดภัยของเจ้าก็ไม่มีปัญหา จำไว้ว่าอย่าได้ไปแหย่เฝิงอั้ง ด้านตะวันตกของหลิ่งหนานเป็นพื้นที่เฝิงอั้งอย่าได้ล่วงล้ำแม้แต่นิด เขาเป็นพันธมิตรกับเจ้าได้เท่านั้นให้เป็นศัตรูไม่ได้เด็ดขาด เมื่อไรที่เป็นศัตรูเจ้าทุกสิ่งในหลิ่งหนานของเจ้าจะถึงจุดจบ


 


เจ้าขยายไปทางใต้สุดได้ ด้านนั้นใกล้ทะเลทั้งมีแม่น้ำ เป็นเส้นเลือดการขยายตัวของเจ้า หากเป็นไปได้เจ้าจะต้องควบคุมเส้นทางเหมยหลิ่งกู่เต้า เป็นภารกิจแรกที่จะต้องให้ไปมาสะดวก ข้าเตรียมวัสดุไม้ต่างๆไว้ที่หันโกวพอที่จะให้เจ้าต่อเรือใหญ่ได้สิบกว่าลำ ทหารเก่าสามพันคนนั้นล้วนชำนาญทางน้ำ คนคุมเรือก็หาไว้ให้แล้ว ข้ายังเตรียมคนต่อเรือไว้ให้เจ้าอีก มือไม้คนที่ไปครั้งก่อนน้อยเกินไป พ่อลูกตระกูลเฉาที่กงซูมู่แนะนำยังไปไม่ถึง พวกเขาจึงเป็นผู้ชำนาญการต่อเรือ


 


จำไว้ว่าอย่าได้เอาแต่ใจเป็นอันขาดจงทำดีต่อคนพวกนี้มากๆ อย่างน้อยอย่าได้แสดงออกทางที่เป็นราชวงศ์ ต่อไปแม้จะดวงตกก็ยังมีพวกเขาอยู่ ความสำเร็จในการถอยหนีจะเพิ่มขึ้นมามาก ก่อนเจ้าไปข้ายังจะมีข้อกำหนดมอบให้ หากเจ้าไม่ใช้อารมณ์ข้ารับรองว่าภายในสิบปีเจ้าจะกลายเป็นคนที่มีกำลังกล้าแข็งที่สุดในหลิ่งหนาน” หลี่อันหลานฟังอวิ๋นเยี่ยอยู่อย่างแน่นิ่งจนจบ อยู่ดีๆก็งับก้นของอวิ๋นเยี่ยอย่างแรง 

 

 


ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...

 

ตอนที่ 32 มังกรถนัดด้านทำลาย

 

ก้นถูกนางงับจนเจ็บปวดมากนักจากที่นางกัดสุดแรงเกิดโดยไม่มีสาเหตุ ไม่ง่ายเลยกว่าจะผลักศีรษะนางออกไปได้ ก้นของอวิ๋นเยี่ยเริ่มมีเลือดซึมออกมา หลี่อันหลานเช็ดรอยเลือดให้เขาอย่างเยือกเย็นทายาผงราวกับชื่นชมด้วย บนก้นจะต้องมีรอยกัดอยู่ คืนนี้กลับไปจะอธิบายอย่างไรดี นางต้องตั้งใจแกล้งทำแน่นอน


 


บิดานางเพิ่งสั่งให้ตีจนเนื้อสะโพกเละเทะแถมนางก็ยังเข้ามาประทับตราลงไปอีก คนของตระกูลหลี่หาดีไม่ได้เลยสักคน หลี่เฉิงเฉียนก็หายไปเลยแล้วตัวเองกับเหล่าเหอจะกลับบ้านได้อย่างไรในสภาพนี้ถูกทิ้งไว้ที่นี่ไม่ได้สนใจกันเลย รอบบริเวณเงียบจนน่ากลัวแม้แต่จักจั่นก็ยังหยุดร้อง


 


“เวลานี้ข้ากลัวพวกเจ้าตระกูลหลี่มากจริงๆ ตัดสินใจว่ากลับไปครั้งนี้แล้วต่อไปจะไม่ออกจากเขาอวี้ซันอีก ไม่ว่าเรื่องดีไม่ว่าเรื่องร้ายแค่เพียงให้เกี่ยวข้องกับตระกูลหลี่แม้เพียงนิดเดียวก็จะพลิกแปรเปลี่ยนไปทันที ทำไมต้องเป็นข้าเป็นตลอดกาล อุตส่าห์ใจดีวางแผนคิดแผนให้เจ้าก็ยังใจร้ายกัดข้าได้ลง ไม่ต้องพูดถึงที่วันนี้โดนตีโดยไม่สมควร เจ้าห่างข้าไปไกลหน่อยชีวิตข้าคงสบายขึ้น ยิ่งห่างพ่อแม่เจ้าไปไกลได้ข้าคงมีอายุยืนร้อยปี”


 


หลี่อันหลานราวกับนึกเสียใจก้มศีรษะบอกอวิ๋นเยี่ยว่า “แผนการเลิศล้ำของเจ้าคงทำเพื่อลูกของเจ้ากระมัง ทั้งหมดนี้คงเป็นการเตรียมการให้เขาจึงได้รีบเตรียมการแต่แรกเริ่มนี้ การบุกเบิกแต่ละเรื่องต้องใช้เวลาสิบกว่าปีกว่าจะเห็นผล ข้าคือคนที่ช่วยลูกเจ้าฟันฝ่าขวากหนามเป็นตัวเลือกในการเตรียมฐานรากที่ดีที่สุดกระมัง”


 


อวิ๋นเยี่ยลุกขึ้นยืนแล้วดึงกางเกงขึ้นมาด้วยการช่วยเหลือของหลี่อันหลาน เดินไปได้สองก้าวเห็นในลานไม่มีใครอยู่เลยจึงพูดว่า “ข้าเป็นพ่อของเขาเจ้าเป็นแม่ของเขา ต่อให้ความสัมพันธ์พวกเรามีแต่เรื่องเกี่ยวพันทางพันธะอื่น คนเป็นแม่กรุยทางให้ลูกตัวเองจะไม่เหมาะสมตรงไหน ต้าถังต้องการบุกเบิกทางทิศใต้ ผืนดินทิศเหนือผ่านการบุกเบิกมาแล้วหลายพันปีเวลานี้แทบจะไม่มีอะไรเหลือแล้ว ต้องวางสายตามองไปทางด้านใต้แล้วจัดการให้ดีๆจึงจะถูกต้อง ผืนดินที่นั่นอุดมสมบูรณ์ทรัพยากรหลากหลายแม่น้ำลำคลองสายใหญ่ตัดทแยงไปมาอากาศอบอุ่น เป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่สวรรค์ประทานให้ต้าถัง เชื่อข้าสิหากจัดการดูแลผืนดินนั้นให้ดีๆจะทำประโยชน์ให้ลูกหลานได้ต่อไปนับหมื่นปีอย่างไม่มีปัญหา


 


เก็บงำความคิดเล็กคิดน้อยของเจ้า เจ้าเป็นลูกหลานตระกูลหลี่ เรื่องเหล่านี้ถือเป็นหน้าที่ของเจ้าและเป็นภารกิจของเจ้า เจ้านึกว่าข้าทำเช่นนี้เพื่อลูกของเราหรือ เจ้าดูถูกอวิ๋นเยี่ยมากเกินไปแล้ว ข้าเป็นหลานเทียนโหวของต้าถังถึงแม้เงินปีน้อยจนทำให้ข้าโมโห แต่ยังรู้สำนึกคำพูดที่ว่ากินเงินฮ่องเต้แบ่งเบาความกังวลฮ่องเต้ ปัจจุบันต้าถังขยายพื้นที่ไปทางตะวันตกกับทางเหนือไม่หยุด รากฐานมาจากระบบแบ่งปันที่นา พอทั่วหล้ามีสันติประชากรก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ที่นามีจำกัด เมื่อเป็นเช่นนี้บุญคุณที่ช่วยแย่งชิงแผ่นดินให้ต้าถังภายใต้ระบบแบ่งปันที่นาก็จะล่มสลาย ฮ่องเต้มองการณ์ไกลเห็นเภทภัยในภายหน้าจึงได้มีเรื่องยกทัพพิชิตทุ่งหญ้า ครั้งนี้ที่ข้าติดต่อราชวงศ์ขุนนางเศรษฐีก็เพื่อขอให้พวกเขาอย่าจับจ้องแต่ที่ดินทางเหนือ ฮ่องเต้พยายามลดบรรดาศักดิ์ขุนนางเหตุผลเนื่องจากขุนนางเศรษฐียึดครองที่นามากเกินไป หากเป็นเช่นนี้ต่อไปการควบรวมที่ดินจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกร้อยปีเภทภัยของราชสำนักจะปรากฏทั้งยังเป็นเภทภัยที่แก้ไขไม่ได้ เจ้าคิดเพียงจับจ้องสายตาอยู่ในที่ดินยากไร้แปดร้อยลี้นั้น ไม่เคยพิจารณาถึงราชวงศ์ทั้งหมดโดยรวมหรือ”


 


แววตาของอวิ๋นเยี่ยเย็นเฉียบเป็นน้ำแข็ง หลี่อันหลานก้มหน้าอย่างละอายใจทันใดนั้นแหงนหน้าขึ้นมาอีก ดวงตามีแต่แววเศร้าสร้อยไร้หนทาง อวิ๋นเยี่ยอยากยิ้มแต่ใบหน้าเกร็งจนยิ้มไม่ออก


 


ไม่รู้ผ่านไปอีกนานเท่าไรจักจั่นนอกกำแพงเริ่มส่งเสียงร้องอีก อวิ๋นเยี่ยนั่งลงอย่างอ่อนแรงแต่กลับกระโดดขึ้นมาใหม่ บาดแผลที่สะโพกราวกับสาหัสมากขึ้น เมื่อครู่นี้หากผิดพลาดขึ้นมาจะถึงขนาดโดนล้างตระกูล ผ่านจุดนั้นไปแล้ว จึงรู้สึกอ่อนเพลียอย่างหมดสิ้นพลัง


 


“เจ้ารู้แล้วหรือ” หลี่อันหลานถามอวิ๋นเยี่ย


 


“ขณะที่เจ้ากัดข้าก็รู้แล้วรวมทั้งจักจั่นก็ยังไม่ร้อง หากข้ายังเดาไม่ออกก็สมควรตายแล้ว ฮ่องเต้ไม่เคยปล่อยวางเรื่องความระแวงข้า ไม่ว่าข้าทำอะไรใจที่เยือกแข็งเย็นชาของฮ่องเต้ไม่เคยหลอมละลายลงมาเลยแม้แต่น้อย


 


“เจ้ายังจะช่วยข้าไหม” หลี่อันหลานยิ้มขมขื่นต่อหน้าอวิ๋นเยี่ย


 


“แผนการจะไม่เปลี่ยนเพียงแต่พวกเราจะไม่ได้รับประโยชน์ได้มากนัก ท่าทางฮ่องเต้คงจะเข้าร่วมด้วยพอเข้าร่วมแล้วเรี่องราวจะยุ่งยากขึ้นนับสิบเท่าอนาคตจะมีแต่ความไม่แน่นอน มังกรถนัดด้านการทำลายมากกว่าด้านการสร้างสรรค์”


 


หลี่อันหลานกอดอวิ๋นเยี่ยไว้ในอกเบาๆ นางไม่ได้สูงเท่าอวิ๋นเยี่ยจึงยืนเขย่งเท้าจูบที่ริมฝีปากอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดในโลกฉลาดเฉลียวที่สุดมีเมตตาที่สุดทั้งยังกล้าหาญมากที่สุดอีกด้วย ร่างกายข้านี้เป็นของเจ้าคนอื่นล้วนไม่คู่ควร หากเจ้าต้องการข้าจะให้”


 


เสียงนางสั่นระริกจับมืออวิ๋นเยี่ยวางไว้ที่หน้าอกให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกถึงความแรงของหัวใจที่เต้น รออยู่สักครู่ก็จากไปอย่างเร่งรีบด้วยน้ำตา ฮ่องเต้คงจะเรียกถามนาง บางคำพูดขณะที่ฮ่องเต้อยู่นอกกำแพงคงไม่ได้ฟังชัดเจน


 


อวิ๋นเยี่ยเดินเข้าไปในเรือนปลุกเหอเส้าที่หลับสนิทอยู่ แบกเขาไว้บนบ่าเดินออกไปข้างนอกด้วยความยากลำบาก เหอเส้าพยายามฝืนทนความเจ็บปวดด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียดพูดขึ้นมาว่า “เยี่ยจื่อ เมื่อครู่นี้ข้าเห็นองค์หญิงจูบสะโพกเจ้า” คนสัปดนย่อมคิดสัปดนเสมอ พอพูดถึงเรื่องนี้เขาก็ลืมความเจ็บปวดได้ทันที จมอยู่ในทะเลแห่งความคิดฟุ้งซ่านโดยถอนตัวเองขึ้นมาไม่ได้ องค์หญิงจูบสะโพก เรื่องที่รุนแรงเช่นนี้มีเพียงตัวเองที่รู้ แค่คิดก็ทำให้คนเส้นเลือดปูดโปน


 


อวิ๋นเยี่ยไม่สามารถบอกเหล่าเหอว่านั่นเป็นการเตือนอวิ๋นเยี่ยโดยหลี่อันหลานตั้งใจกัด ถ้าบอกเช่นนั้นเหล่าเหอที่ขี้ขลาดคงตกใจตาย คิดแล้วเรื่องหลี่อันหลานตั้งครรภ์สมควรบอกเหล่าเหอให้เขารู้ว่าเงินลงทุนมหาศาลที่หลิ่งหนานของตัวเองนั้นมีเหตุผลไม่ใช่โยนทิ้งน้ำไปเฉยๆ


 


“เยี่ยจื่อ เชื่อว่าเด็กในครรภ์องค์หญิงก็คงเป็นฝีมือเจ้าแน่ ข้าว่าแล้วทำไมจึงคิดทุ่มเงินมหาศาลไปหลิ่งหนานที่แสนห่างไกล หากต้องการกำไรพวกเราก็แค่สร้างบ้านเพิ่มขึ้นอีกหลายๆหลังก็พอแล้ว ไม่เห็นต้องเปลืองทั้งแรงกายแรงใจ ไกลไม่ว่ายังควบคุมไม่ได้อีก ตอนนี้เข้าใจแล้วที่แท้ต้องการปูทางให้คุณชายใหญ่ ในเมื่อมีต้นทุนใหญ่แล้วมีคุณชายใหญ่อยู่ที่นั่นข้าก็จะส่งคนรองไปที่นั่น ทีหลังคุณชายใหญ่เติบโตแล้วจะได้มีลูกมือคอยช่วยเหลือดีไหม”


 


อวิ๋นเยี่ยมองเหล่าเหออย่างตกใจ เจ้านี่รู้ได้อย่างไรว่าหลี่อันหลานมีครรภ์ แค่จูบสะโพกมีครรภ์ไม่ได้อยู่แล้ว เหอเส้าชำเลืองอวิ๋นเยี่ยแล้วหัวเราะหึๆพูดว่า “มองอะไร เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าทำอะไรมาก่อน เป็นคนดูแลการอบรมโรงงานวันทั้งวันคอยดูรูปร่างผู้หญิงว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง การตั้งครรภ์เป็นเรื่องใหญ่ไม่ต้องใช้ความคิดมากเพราะฝึกฝนมานานแล้ว องค์หญิงมีครรภ์อย่างน้อยสองเดือนแล้วเป็นชายแปดส่วน ตระกูลอวิ๋นเจ้ามีผู้สืบทอดแล้วจนได้ จะต้องให้พี่ชายใช้ฝีมือเปลี่ยนเด็กออกมาดีไหมถ้าอยู่กับองค์หญิงเดี๋ยวทำให้พันธุ์ดีๆของเจ้าเสียของ”


 


“ไม่ต้องหรอก ให้เขาอยู่กับองค์หญิงดีแล้วไม่เช่นนั้นผู้หญิงตัวคนเดียวเดี๋ยวคลุ้มคลั่งทำเสียเรื่อง” อวิ๋นเยี่ยแบกเหล่าเหอเดินไปเรื่อยๆ เขาคิดเพียงจะต้องออกจากพระราชวังให้ได้


 


ประตูเหลืองปรากฏให้เห็นแล้ว มีขันทีบอกอวิ๋นเยี่ยว่า “ฮ่องเต้เรียกอวิ๋นโหวเข้าเฝ้า” พูดจบก็มีขันทีสี่คนใช้เปลหามคนทั้งสองไปที่ตำหนักกันลู่ เหล่าเหอถูกวางอยู่ที่ระเบียงนอกประตูตำหนัก อวิ๋นเยี่ยถูกพยุงเดินกระเผลกๆไปพบฮ่องเต้ เขามีความรู้สึกเหมือนกำลังถูกนำขึ้นไปวางบนกระทะร้อน เรื่องหลี่อันหลานตบตาฮ่องเต้ได้หรือไม่ได้กันแน่


 


ในตำหนักมีเพียงฮ่องเต้ฮองเฮากับรัชทายาท เหล่าขันทีกับนางกำนัลต่างหายตัวไปหมด พูดอะไรไม่ออกแล้ว โดนจับมาในสภาพนี้แล้วยังจะต้องอธิบายอะไรอีก อยู่นิ่งๆรอฟังว่าพวกเขาจะว่าอะไรดีกว่า


 


“อวิ๋นเยี่ย โซ่วหยางมีครรภ์แล้ว เจ้าบอกเรามาใครเป็นคนทำ เด็กในครรภ์โซ่วหยางเป็นพันธุ์ของใคร ลิงดำหลิ่งหนานคงยังไม่เข้าตาโซ่วหยาง” ฮ่องเต้ยิ้ม แต่เป็นการยิ้มอย่างอึมครึม อุณหภูมิในตำหนักราวกับลดลงไปหลายส่วน


 


“ข้าน้อยเกรงว่า เกรงว่าจะเป็นของข้าน้อย” อวิ๋นเยี่ยฟุบอยู่ที่พื้นตอบด้วยเสียงทุ้มลึก


 


“อืม นับว่ากล้ารับไม่เถียงไม่บ่ายเบี่ยง นับได้ว่าเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง เพียงแต่เจ้าเอาเกียรติยศราชวงศ์ไว้อยู่ที่ไหน” เห็นอวิ๋นเยี่ยยอมรับ เสียงของฮ่องเต้ดังขึ้นมาทันที


 


เกียรติยศ? อวิ๋นเยี่ยพึมพำในใจ พวกเจ้าตระกูลหลี่เคยมีของสิ่งนี้หรือ ตั้งแต่เจ้ากำจัดพี่ชายน้องชายบังคับบิดาเข้าวังหลัง ทั้งรวมเอาพี่สะใภ้น้องสะใภ้ไว้ในกลุ่มสนมของตัวเอง คำนี้น่ากลัวโดนตัดขาดออกจากเจ้าตระกูลหลี่ไปแล้ว ยังจะมีหน้ามาถามข้าอีก


 


“ข้าน้อยรู้ว่าโทษสมควรตาย ขอให้ฝ่าบาทลงโทษทัณฑ์” ไม่มีอะไรจะพูด ฮ่องเต้ต้องการบังคับให้ตัวเองรับผิด เพื่อจะได้กำหลักประกันในมือ หากไม่แล้วความเคลื่อนไหวที่ใหญ่ยิ่งในหลิ่งหนานจะทำให้เขาไม่วางใจ


 


“ข่มขืนองค์หญิง เจ้าเหิมเกริมมาก” ฮองเฮาก็ร่วมข่มขู่อยู่ข้างๆ


 


สำหรับฮองเฮาแล้วอวิ๋นเยี่ยยากที่จะเกรงกลัว ได้ยินนางพูดจากลับกลอกไม่ได้สนใจความจริงแล้ว หลุดปากแก้ตัวว่า “เหนียงเหนียง คำพูดนี้ พูดกลับตรงข้ามก็คงได้”


 


หลี่เฉิงเฉียนกลั้นยิ้มจนสีหน้าแดงก่ำอยากหัวเราะแต่ไม่กล้า เสด็จพ่อเสด็จแม่ไม่ได้คิดจะจัดการอะไรอวิ๋นเยี่ย วันนี้เสด็จพ่อถือโอกาสตีอวิ๋นเยี่ยอย่างหนักเสด็จแม่ยังว่าตีหนักเกินไป ละเมิดเกียรติยศราชวงศ์ตีแค่เหอเส้าคนเดียวก็พอแล้ว แค่อบรมรัชทายาทกับอวิ๋นเยี่ยก็พอไม่จำเป็นต้องตีอวิ๋นเยี่ยด้วย จะทำให้กระทบกระเทือนจิตใจเขาเกินไป


 


ใบหน้าฮ่องเต้กลายเป็นสีม่วงขึ้นมาทันทีฮองเฮาก็พูดไม่ออก เรื่องราวที่เกิดขึ้นพวกเขารู้ดีอยู่แล้ว หากอวิ๋นเยี่ยกล้าข่มขืนองค์หญิงจริงๆ ต่อให้เขาเป็นขุนนางสำคัญกว่านี้ ฮ่องเต้ก็สั่งตัดศีรษะได้โดยไม่ได้ไม่ต้องลังเล คนตระกูลอวิ๋นก็อย่าหวังรอดแม้เพียงคนเดียว


 


“เราไม่สนใจ เจ้าทำลายร่างกายอันหลานก็ต้องแต่งงานกับนาง ตอนนี้เจ้าไปหย่าภรรยาหลวงแล้วแต่งอันหลานเข้าบ้าน ว่าไปแล้วเจ้าตระกูลอวิ๋นสืบทอดมาเพียงคนเดียว เวลานี้มีทายาทแล้วนับว่าเป็นเรื่องมงคล ว่าอย่างไร”


 


น่าดูถูกฮ่องเต้จริงๆ บอกจุดสำคัญมาเลยก็หมดเรื่อง ก็แค่คิดอยากให้ราชวงศ์ได้หุ้นมากขึ้นในหลิ่งหนาน ไม่เห็นต้องบังคับขนาดนี้ หากข้ารับปากแต่งหลี่อันหลานเข้าบ้าน เจ้าสิจะไม่มีบทบาทอะไรอีก แต่ช่วยไม่ได้ เจ้าเป็นฮ่องเต้ ยังต้องยอมเล่นด้วยกับเขาต่อ ใจอวิ๋นเยี่ยรู้ถึงผลลัพธ์อยู่แล้ว แต่ต้องแสดงความเป็นคนดีมีศีลธรรมออกมา


 


“ฝ่าบาทตัดศีรษะข้าน้อยยังจะดีกว่า เรื่องหย่าภรรยาหลวงทำไม่ได้” พอพูดออกมาแล้ว ทั้งฮ่องเต้ทั้งฮองเฮาความจริงต่างโล่งอก เรื่องงานแต่งงานหลี่อันหลานพวกเขาไม่ได้ใส่ใจหรอก ที่พวกเขาเป็นห่วงก็คือความมั่นคงของหลิ่งหนานให้อยู่ได้ยาวนาน ควรรู้ว่า แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ยังไม่มีปัญญารวบรวมขุนนางเศรษฐีทั้งหลายทั่วฉางอันออกเงินส่งผู้เก่งกาจสุดยอดของตัวเองไปถิ่นทุรกันดารเช่นนั้น


 


คงมีเพียงอวิ๋นเยี่ยที่ใช้ผลประโยชน์เป็นตัวเชื่อมให้ทุกคนผนึกกำลังขึ้นมา จะต้องทำเช่นนี้จึงจะทำให้หลิ่งหนานอ๋องเฝิงอั้งคนนี้รู้สึกว่าโดนคุกคามข่มขู่ จึงสามารถทำให้หลิ่งหนานเป็นแผ่นดินแท้จริงของต้าถังในแผนที่

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)