เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 6 ตอนที่ 26-27

ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...

 

ตอนที่ 26 ความฟุ่มเฟือยและความมั่งคั่ง

 

ไหสุราของเฉิงเหย่าจินไม่เคยคำนึงถึงความประณีตสวยงาม เขาคลุกคลีตีโมงอยู่กับอารมณ์หยาบกร้านฮึกเหิมของท้องถิ่นตะวันตกวางไหสุราไม้โอ๊กดำเมื่อมลงบนโต๊ะ ดึงดูดสายตาของเหล่าแขกเหรื่อที่กำลังพยายามหาวิธีกำจัดขนมชิ้นยักษ์มาได้ทั้งหมด เสี่ยวยาคลานขึ้นไปบนโต๊ะตบไหสุราที่สูงกว่าตัวนางแล้วพูดกับหลี่กังว่า “ปู่หลี่ นี่เป็นของที่พี่ชายข้าปล้นมาจากบ้านลุงเฉิงเมื่อวานนี้ เขาหาสุราที่ฝังไว้ใต้ต้นไม้ไม่พบ ป่านนี้ยังกำลังโมโหโทโสอยู่ในบ้าน”


 


 


หลี่กังอุ้มเสี่ยวยาโถวลงมาจากบนโต๊ะด้วยความรักใคร่เอ็นดู ใช้นิ้วกดลงไปที่จมูกนางแล้วพูดว่า “ลุงเฉิงของเจ้าบำเพ็ญตนเป็นโจรมาค่อนชีวิตแย่งชิงแต่ของชาวบ้าน วันนี้มีคนแย่งชิงของเขาบ้าง นับว่ายากที่จะหาโอกาสเช่นนี้ได้ จะต้องดื่มสุรานี้ให้มากๆกันหน่อย”


 


 


แขกเหรื่อต่างหัวเราะกันครื้นเครง ฉินฉยงแตะหนวดเคราหัวเราะจนหอบตัวโยนพูดว่า “พี่น้องข้าคนนี้นิยมดื่มสุรามาทั้งชาติสุราที่ซุกซ่อนไว้จะต้องไม่ธรรมดา ไม่ดื่มไม่ได้แน่นอน”


 


 


อวิ๋นเยี่ยยิ้มปรบมือแก้เก้อ คนรับใช้บ้านอวิ๋นรูปร่างกำยำสี่คนยกน้ำแข็งก้อนใหญ่ออกมาวางไว้ใต้เพิงไม้ ความรู้สึกร้อนอบอ้าวหายไปในทันที คนหนึ่งหยิบสว่านเจาะไม้ออกมา เพียงครู่เดียวก็เจาะรูเล็กๆที่ไหสุราไม้โอ๊กได้รูหนึ่งแล้วเอาท่อนไม้ไผ่ที่มีกลไกยัดใส่ในรูที่เจาะ กระบวนการทั้งหมดดำเนินการอย่างสะดวกง่ายดาย


 


 


คนรับใช้ที่เหลืออีกสามคนหยิบค้อนเงินเล็กๆออกมาจากตะกร้า ค่อยๆเคาะน้ำแข็งก้อนเล็กๆออกจากก้อนใหญ่แล้วเคาะออกเป็นก้อนขนาดข้อนิ้วมือ สาวใช้บ้านอวิ๋นยกถาดไม้ใหญ่เดินออกมาบนถาดไม้ใหญ่วางถ้วยกระเบื้องขาวจนเต็มถาด พวกนางใส่น้ำแข็งหนึ่งก้อนลงไปในถ้วยกระเบื้องทุกใบ แล้วเรียงถ้วยกระเบื้องซ้อนกันเป็นชั้นๆลดหลั่นกันอย่างคล่องแคล่ว ถาดถ้วยสุราวางอยู่ชิดไหสุรา


 


 


เหล่าแขกเหรื่อต่างไม่เข้าใจความหมาย กำลังจะสอบถามก็เห็นคนรับใช้ร่างกำยำบิดกลไก สุราแดงเรื่อไหลรินออกจากปลายท่อไม้ไผ่โค้งงอจนเต็มถ้วยกระเบื้องบนสุด น้ำสุราไหลล้นถ้วยออกมาไหลลงไปตามขอบถ้วยลงไปในถ้วยสุราชั้นที่สอง กลิ่นหอมตลบอบอวลของสุราแดงเรื่อกลบกลิ่นหอมของขนมที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในลานเล็กนั้น


 


 


ข้างไหสุรากับก้อนน้ำแข็งใหญ่ปรากฏเจดีย์ประกอบจากถ้วยสุราสี่ชุด กลิ่นหอมที่มีส่วนผสมของผลไม้กระตุ้นต่อมรับรสของแขกเหรื่อ เหล่าสาวใช้และคนรับใช้ต่างค้อมตัวกลับไป


 


 


หลี่กังลุกขึ้นเป็นคนนำหยิบสุราถ้วยแรกจากเจดีย์ถ้วยสุรา ฝางเสวียนหลิง ตู้หรูฮุ่ย ฉินฉยง อวี้ฉือกงหลี่จิ้ง ต่างก็หยิบคนละถ้วยด้วยความกระตือรือร้น คงมีเพียงเว่ยเจิงที่ถอนใจยาวแต่สุดท้ายแล้วก็หยิบขึ้นมาถ้วยหนึ่ง หลีสือ หยวนจาง อวี้ซัน กงซู ต่างก็ร่วมหยิบไปด้วย


 


 


เห็นเหล่าผู้อาวุโสต่างหยิบสุรากันแล้วทุกคนที่เหลือต่างก็หยิบถ้วยสุราด้วยความระมัดระวัง ถือไว้ที่มือโดยไม่มีใครดื่มรอให้ผู้แทนแขกเหรื่อกล่าวคำอวยพร


 


 


ฝางเสวียนหลิงถือวิสาสะชูถ้วยสุราขึ้นสูงกล่าวกับแขกเหรื่อทั่วลานว่า “ท่านผู้เฒ่าหลี่อายุมั่นขวัญยืนมีบุญวาสนายิ่งนัก สุราถ้วยนี้แทนคำอวยพรจากทุกคนขอเชิญให้ทุกคนดื่ม!”


 


 


ทันใดนั้นเสียงอวยชัยให้พรดังขึ้นไม่ขาดสาย ใบหน้าหลี่กังแดงก่ำสีหน้าสดใสยิ่งนัก


 


 


หลังจากเจดีย์ถ้วยสุราหายไปจนประกอบขึ้นมาใหม่อีกรอบ เหล่าผู้รับใช้ก็ยกโต๊ะยาวคลุมด้วยผ้าลินินสะอาดสะอ้าน บนโต๊ะล้วนเป็นอาหารเลิศรสที่จัดทำขึ้นมาอย่างประณีตอีกทั้งผักผลไม้สดและเนยหลากชนิด


 


 


เสี่ยวยาซุกอยู่ในอกอวิ๋นเยี่ยตลอดเวลาแต่พอเห็นของกินก็ลืมพี่ชายทันที สรรหาของที่ตัวเองชอบกินบนโต๊ะอย่างคล่องแคล่ว ใช้ตะเกียบไม้ไผ่คีบจากในจานส่งให้หลี่กัง รอยยิ้มของหลี่กังมีมากยิ่งขึ้นอีก แต่ก็แอบห่วงตัวเองขณะที่มองดูทั้งไก่ทอดและซี่โครงหมูในจาน เพราะไม่รู้ว่าฟันฟางตัวเองยังแข็งแรงพอที่จะขบเคี้ยวของเหล่านี้ไหวหรือไม่


 


 


ขณะที่ทุกคนยังไม่รู้จะกินของเหล่านี้ได้อย่างไร รุ่นเหนียงก็ฉวยโอกาสใช้สองจานใหญ่ใส่อาหาร จานหนึ่งล้วนเป็นผักกับเต้าหู้ต่างๆอีกจานหนึ่งล้วนเป็นเนื้อสัตว์ ก่อนไปยังเพิ่มซี่โครงหมูชิ้นใหญ่อีกชิ้นหนึ่งแล้วจึงยกไปให้ฉินฉยง ส่งจานผักเต้าหู้ให้ฉินผู้อาวุโสจานเนื้อซี่โครงหมูให้ฉินน้อย อวิ๋นเยี่ยได้แต่ยิ้มแห้งๆ คิดว่าคงต้องกลับไปอบรมกันใหม่อีกสักรอบ


 


 


อวิ๋นเยี่ย ฝางเสวียนหลิง ตู้หรูฮุ่ย เว่ยเจิงทั้งสี่คนยืนเรียงกันถือจานหยิบอาหารที่ตัวเองชอบ ต่างคนต่างหยิบพลางคุยพลาง


 


 


“ฝางเซี่ยง กระเพาะเจ้าอ่อนแอ ย่อยอาหารจำพวกเนื้อไม่สู้ดีนัก คงต้องกินอาหารจำพวกเต้าหู้ผักจะดีกว่า


 


 


ตู้เซี่ยง ได้ข่าวว่าโรคปอดของเจ้ามักกำเริบในฤดูหนาวกับใบไม้ผลิ สู้ลางานสักระยะหนึ่งแล้วพักอยู่ที่เขาอวี้ซันให้หมอซุนรักษาให้ดีๆ โรคของฤดูหนาวเหมาะที่จะรักษาได้ดีที่สุดในฤดูร้อนไม่ควรปล่อยให้สูญเปล่า


 


 


เว่ยเซี่ยง อย่าได้ขมวดคิ้วเลยทรัพย์สินของตระกูลอวิ๋นมีที่มาชัดเจน การจัดเลี้ยงให้สมบูรณ์แบบหน่อยใช่ว่าจะทำไม่ได้ งานฉลองวันเกิดท่านผู้อาวุโสหลี่แม้จะฟุ่มเฟือยบ้างก็เป็นการตอบแทนผู้อาวุโสหลี่ที่เหนื่อยยากมาหลายปี อายุอานามสมควรที่จะพักผ่อนเลี้ยงหลานแต่กลับต้องถูกข้าผู้อ่อนอาวุโสรั้งไว้ให้เหน็ดเหนื่อยทั้งวัน ว่าไปแล้วข้าเป็นฝ่ายที่ทำผิดต่อผู้อาวุโสหลี่”


 


 


“อวิ๋นโหวพูดเช่นนี้ไม่ได้ ข้าไม่ใช่พวกเคียดแค้นคนรวยเพียงแต่รู้สึกกังวล งานเลี้ยงของอวิ๋นโหววันนี้มีความแปลกพิสดารเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่เคยพานพบมาก่อน เกรงว่าในสังคมที่มีแต่คนอยากเลียนแบบ ไม่รู้จักเลียนแบบความสามารถอันเอกอุของอวิ๋นโหวกลับเลียนแบบแต่ความฟุ้งเฟ้อของอวิ๋นโหว นี่ไม่ใช่บุญวาสนาของราษฎรทั่วหล้า เวลานี้สังคมฉางอันนิยมความฟุ้งเฟ้อมากขึ้นจำเป็นต้องระงับค่านิยมนี้ให้ลดลง ความประหยัดอดออมจึงเป็นรากฐานของการปฏิบัติตน”


 


 


เว่ยเจิงก็เป็นเช่นนี้เอง มักจะคิดในด้านที่เลวร้ายมากที่สุดโดยไม่คำนึงถึงส่วนที่ดีอีกด้านหนึ่ง เข้าใจว่าความฟุ่มเฟือยนั้นเป็นความผิดเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดอย่างที่สุด


 


 


“เว่ยเซี่ยง หากเจ้าคิดเช่นนี้แล้วจะเป็นความผิดพลาด หากทุกคนประหยัดอดออมกันหมดเช่นเจ้า พวกเราต้าถังจะไม่มีวันร่ำรวยขึ้นมาได้จะเป็นเหมือนบ่อน้ำที่ไร้ชีวิต หากต้องการร่ำรวยแล้วความขยันอดออมเป็นเพียงด้านเดียว รากฐานความร่ำรวยอยู่ที่การใช้จ่าย”


 


 


“โอ๊ะ อวิ๋นโหวมีข้อคิดเช่นไรหรือ” ทั้งสามคนต่างหยุดนิ่งมองอวิ๋นเยี่ยด้วยความงงงวย เพิ่งได้ยินคำพูดว่าความประหยัดอดออมนั้นผิดพลาดเป็นครั้งแรก หากเป็นคนอื่นแล้วคงต้องถูกเว่ยเจิงตบหน้าสั่งสอน แต่พอคำพูดนี้ออกจากปากอวิ๋นเยี่ยความหมายก็ย่อมแตกต่างออกไป


 


 


“มามามา อวิ๋นโหว ที่นั่นเย็นสบายหน่อย พวกเราสี่คนไปนั่งกินพร้อมคุยกันที่นั่นดีไหม” ฝางเสวียนหลิงชอบฟังคำวิจารณ์ที่แปลกพิสดารของอวิ๋นเยี่ย การคุยกันหลายครั้งของทั้งคู่ทำให้เขามีแนวคิดใหม่ วันนี้ก็ได้ฟังคำวิจารณ์แปลกใหม่อีกย่อมไม่ยอมปล่อยโอกาสทิ้งไป


 


 


อวิ๋นเยี่ยกวักมือเรียกสาวใช้วางจานอาหารของคนทั้งสี่ไว้ในถาดใหญ่ให้นางยกไป ทั้งสั่งให้นางยกสุรามาอีกหลายถ้วยแล้วจึงบอกเว่ยเจิงว่า “เว่ยเซี่ยงยังไม่รู้ว่าเคล็ดลับของความร่ำรวยอยู่ที่การไหล มีคำกล่าวว่าน้ำที่ไหลย่อมไม่เน่าเสีย ของที่เคลื่อนไหวจะคงทนก็คือเหตุผลนี้ การประหยัดอดออมเป็นความดีงามแต่ก็เป็นอุปสรรคขัดขวางความเจริญก้าวหน้าทางการค้า หากทุกคนพอใจแต่สิ่งที่ตัวมีอยู่ในวงแคบโดยไม่เหลียวแลภายนอก ทรัพย์สินย่อมจะไม่มีวันที่จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วคล้ายกับน้ำในอ่าง ไม่ว่าจะประหยัดอดออมอย่างไรก็ยังคงมีเพียงน้ำในอ่างเท่านั้นไม่เพิ่มไม่ลด”


 


 


“แต่โบราณมาทรัพย์สินย่อมมีจำนวนจำกัด หากเจ้าได้มากคนอื่นก็จะได้น้อย เงินทองที่ราชสำนักหล่อหลอมมาล้วนต้องมีจำนวนนับ ทำไมอวิ๋นโหวจึงว่าความร่ำรวยสามารถเพิ่มขึ้นได้โดยไม่มีการจำกัดจำนวนเล่า”


 


 


ตู้หรูฮุ่ยราวกับพบช่องโหว่ในคำพูดอวิ๋นเยี่ยจึงเอ่ยปากถาม


 


 


“ยกตัวอย่างจากงานเลี้ยงของวันนี้ อาหารทั้งเนื้อทั้งผักผลไม้ล้วนมาจากเกษตรกรเพาะปลูกเลี้ยงดูออกมา ดังนั้นจึงกลายเป็นสินค้า ผลงานของเกษตรกรย่อมต้องได้รับค่าตอบแทน ดังนั้นตระกูลอวิ๋นก็ต้องจ่ายเงินซื้อหมูเห็ดเป็ดไก่พืชผักผลไม้จากพวกเขา พอเกษตรกรได้เงินแล้วพบว่าตัวเองต้องการทำเสื้อผ้าให้เด็กๆ เขาก็จะใช้เงินไปซื้อผ้าจากคนขายผ้า เขาพอใจคนขายผ้าก็พอใจ เงินจำนวนเดิมสามารถทำเรื่องสำเร็จได้สามเรื่อง”


 


 


“ถูกต้อง เอามาซื้อเป็ดไก่เอามาซื้อผ้าคนขายผ้าย่อมต้องมีความต้องการ เงินเหล่านี้ก็จะหมุนต่อไปเรื่อยๆไม่หยุดเป็นเช่นนั้นจริง แต่เงินนั้นก็ยังคงเป็นเงินจำนวนนั้นไม่ได้เพิ่มขึ้น”


 


 


เว่ยเจิงเพิ่มเติมแต่ก็พบปัญหาขึ้นมาอีก


 


 


“เงินไม่ได้เพิ่มแต่ของเพิ่มขึ้น เหล่านี้จึงเป็นทรัพย์สิน สภาพการณ์ทั่วไปคือความอุตสาหะสร้างทรัพย์สิน ทั้งยังมีการผลิตสิ่งใหม่ๆ เว่ยเซี่ยงลองคิดดูหากทรัพย์สินไม่ได้เพิ่มเติม พวกเรายังคงใช้เงินทองของราชวงศ์ซางราชวงศ์โจวมาจนปัจจุบัน เจ้าลองนึกดูว่าต้าถังเราจะเป็นเช่นไร ดังนั้นจึงพูดได้ว่าอ่างน้ำที่เป็นทรัพย์สินนี้เติบโตตลอดเวลาไม่ใช่คงเดิมเรื่อยๆ ตระกูลอวิ๋นประดิษฐ์น้ำหอม ปูนซิเมนต์ ทั้งยังสิ่งของสัพเพเหระอื่นๆอีกทำให้สามารถเลี้ยงชีวิตคนจำนวนมากมาย ในเวลานี้เมืองฉางอันไม่ได้ยากจนลงเพราะมีของใหม่ๆเกิดขึ้นแต่กลับทำให้ร่ำรวยมากขึ้น นี่คือข้อพิสูจน์ให้เห็นกันชัดๆ


 


 


อีกไม่กี่วันบ้านเรือนตรอกซิ่งฮว่าฟางก็จะเริ่มเปิดประมูลขาย ถึงเวลานั้นแล้วจะต้องเชิญเว่ยเซี่ยง ฝางเซี่ยงกับตู้เซี่ยงมาร่วมชมด้วย มาดูให้เห็นกับตาว่าชาวบ้านต้าถังเรามีความมั่งคั่งจนน่ากลัวแค่ไหน มีพลังแฝงมากจนน่าหวาดหวั่นเพียงไร เวลาที่ราชสำนักเก็บทรัพย์สินมหาศาลกลับคืนมา เว่ยเซี่ยงคงจะได้รับรู้ว่าจริงหรือไม่ที่ราชสำนักจะต้องสูญเสียภาษีอากรเนื่องจากสาเหตุนี้”


 


 


ไม่รู้ว่าคนทั้งสามจะฟังเข้าใจหรือไม่ อาจจะยิ่งสับสนมากขึ้นไปอีก ทั้งสี่คนต่างไม่พูดไม่จากินกันอย่างเงียบเชียบแสดงถึงอากัปกริยาอันดีงามที่กินไม่คุยนอนไม่พูด


 


 


ทันใดนั้นมีเสียงอึกทึกดังขึ้นที่หน้าประตู อวิ๋นเยี่ยหันศีรษะไปมอง เห็นอวี้ฉือเป่าหลินกับต้วนเหมิ่งแบกเสือโคร่งลายพาดกลอนสีสันสดใสเดินเข้ามา ทั้งคู่วางเสือไว้บนพื้น คำนับหลี่กังด้วยความเคารพแล้วกล่าวอวยพรหลี่กังพร้อมกันให้สุขภาพแข็งแรงมีบุญวาสนาอายุยืนร้อยปี


 


 


หลี่กังเดินเข้ามาลูบขนสีสันสดใสของเสือโคร่งทั้งมองลูกศิษย์ทั้งสองที่เลือดอาบเต็มร่าง น้ำตาไหลพรากพยุงทั้งคู่ลุกขึ้นมาตรวจดูร่างกายแล้วไม่มีบาดแผลฉกรรจ์แล้วจึงเปิดปากพูดว่า “เป่าหลิน ต้วนเหมิ่ง พวกเจ้าต่างเป็นเด็กดีที่เคารพครูบาอาจารย์ มีลูกศิษย์ที่ดีเช่นพวกเจ้าถือเป็นบุญวาสนาของอาจารย์ เพียงแต่คราวหน้าอย่าได้กระทำเช่นนี้อีก อันตรายมากเกินไป แค่มีใจให้กันก็เพียงพอแล้วไม่จำเป็นต้องเอาตัวเข้าเสี่ยงไม่คุ้มกันเลย”


 


 


ทั้งคู่ก้มตัวรับคำสั่งสอน รับปากรับคำว่าต่อไปจะไม่กระทำเรื่องนอกลู่นอกทางเช่นนี้อีก


 


 


ใบหน้าดำมืดของอวี้ฉือเฒ่าดื่มจนแยกสีหน้าไม่ออก ได้แต่หัวเราะอ้าปากกว้างพูดเสียงดังว่า “แค่เสือโคร่งตัวเดียวไม่คณามือหรอก หากอาจารย์หลี่ชื่นชอบ รอให้ข้ามีเวลาว่างจะเข้าป่าด้วยตัวเองจับเสือมาให้ทั้งหมด เพื่อตอบแทนบุญคุณอันใหญ่หลวงของอาจารย์”


 


 


ขณะที่ตาเฒ่ากำลังคุยโม้อยู่ อวี้ฉือเป่าหลินกลับดึงชายเสื้ออวิ๋นเยี่ยให้ตามเขามาที่นอกประตู เห็นเจ้าหน้าที่สองคนยืนอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คนหนึ่งกำมือคารวะพูดว่า “ข้าเป็นหัวหน้าผู้ดูแลเขตล่าสัตว์ป่าเขาหนานซัน วันนี้มีอวี้ฉือเป่าหลินกับต้วนเหมิ่งนำกลุ่มคนร้าย หักหาญเข้าไปในป่า นอกจากทำร้ายผู้ดูแลจนบาดเจ็บหลายคนแล้ว ยังล่าเสือโคร่งหนึ่งตัวโดยพลการ ที่ข้าตามมาด้วยนี้ ก็เพื่อสอบถามท่านอวิ๋นโหวให้ชัดเจนว่าจะให้ข้านำผู้กระทำผิดไปได้หรือไม่”


 


 


อวิ๋นเยี่ยออกจะปวดเศียรเวียนเกล้าแต่พอเห็นอาการฟกช้ำดำเขียวบนใบหน้าของสองเจ้าหน้าที่แล้ว เห็นชัดว่าคงโดนทำร้ายกันมาไม่น้อย เพียงแต่ทำไมพวกเขาจึงต้องการหาข้า? ทั้งๆที่เจ้านายพวกเขาก็อยู่ร่วมงานเลี้ยงวันนี้ด้วย 

 

 


ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...

 

ตอนที่ 27 การคาดเดาของหลี่จิ้ง

 

เหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหัน ขณะที่อวิ๋นเยี่ยกำลังเตรียมปลอบโยนเจ้าหน้าที่สองคนที่แม้ถูกทารุณกรรมอย่างสาหัสแต่ก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขัน อวี้ฉือกงโผล่ศีรษะออกมาพร้อมเรอกลิ่นสุราคละคลุ้ง ที่มาด้วยกันยังมีบิดาของต้วนเหมิ่ง…แม่ทัพต้วน


 


 


ต้วนเหมิ่งเดินพลางร้องพลาง “เจ้าไม่ใช่ต้องการพบบิดาข้าหรือ ข้าตามมาแล้ว มีอะไรคุยกับบิดาข้าได้เลย”


 


 


ยังจะคุยอะไรอีก ขนาดอวิ๋นเยี่ยยืนอยู่ข้างๆยังรู้สึกหนาวเหน็บจนขนลุกตั้งชัน สองเจ้าหน้าที่ขาสั่นพั่บๆ ลิ้นพันกันจนพูดไม่เป็นภาษา ได้แค่อ้ำอึ้งยกมือยกไม้กันพัลวัน


 


 


“ว่าลูกชายข้าไร้มารยาทไม่รู้ขื่อแป พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าบิดาเขายังเป็นหนักกว่าเขาเยอะ” แม่ทัพต้วนคว้าคอเสื้อเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง เพียงยกมือขึ้นเจ้าหน้าที่คนนั้นก็กระเด็นไปอยู่บนต้นไม้ เกาะกิ่งไม้ไว้แน่นไม่ยอมลงมาอีก อีกคนก็ไม่ได้ดีกว่ากันโดนโยนไปบนต้นไม้อีกต้นเป็นฝีมืออวี้ฉือกง


 


 


แม่ทัพต้วนยังข่มขู่พวกเขาอีกว่า “วันมงคลยิ่งใหญ่กล้ามากวนใจ แค่ล่าเสือมาตัวเดียวเรียกว่าช่วยขจัดภัยร้ายให้ชาวบ้าน ถึงขนาดมาจับคนที่บ้านหรือ ถ้ากล้าลงมาจะตีให้ขาหัก”


 


 


แขกเหรื่อในลานยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นคงนั่งดื่มสุรากันต่อ หลี่จิ้งถือถ้วยสุราวนรอบข้าวโพด ใช้มือแตะไหมข้าวโพดสีม่วงที่ยื่นออกมานอกฝักแล้วหันศีรษะพูดกับฉินฉยงว่า “เจ้าได้ลองกินผลผลิตใหม่นี้แล้วยัง”


 


 


ฉินฉยงสั่นศีรษะว่า “ได้ยินเจ้านั่นบอกว่ามีเมล็ดพันธุ์เพียงห้าเมล็ดเพิ่งปลูกมาแล้วสองรอบ ผลผลิตยังมีไม่มาก หากจะกินผลผลิตใหม่ถึงอย่างไรก็ต้องรอปีหน้า ปีที่แล้วได้เก็บเกี่ยวผลมันฝรั่ง ข้าลองกินไปแล้วลูกหนึ่งรสชาติอร่อยดีมากได้ทั้งอิ่มท้องทั้งแทนผัก เก็บไว้ในห้องใต้ดินตลอดหน้าหนาวก็ยังดีๆอยู่ ปีนี้ปลูกลงดินไปครึ่งหมู่ถึงอย่างไรก็คงเก็บเกี่ยวได้สักสองพันชั่ง ปีหน้าก็จะปลูกได้มาก”


 


 


“ข้าได้ลองกินมันฝรั่งแล้วรสชาติดีจริงๆที่สำคัญคือกินอิ่มท้องได้ มีศึกสงครามสามารถใช้เป็นเสบียงอาหารขนส่งได้มากๆแม้ถูกฝนเปียกก็ไม่เป็นไรเก็บรักษาไว้ได้นาน อนาคตพวกเราจะไม่มีปัญหาเรื่องเสบียงกรังกองทัพ ข้าชักอยากจะรู้นักว่าพวกสวะเกาหลีกับถู่อวี้หุนจะกำเริบเสิบสานได้ถึงเมื่อไรกัน”


 


 


พูดถึงศึกสงครามแล้วฉินฉยงก็รู้สึกสลดใจ ถึงแม้ร่างกายเขาจะได้รับการถ่ายเลือดจากอวิ๋นเยี่ยแต่ก็เป็นเพียงการรักษาอาการ พอลมปราณร่างกายสูญสลายไปกำลังวังชาก็สูญสลายไปด้วย หมดสิทธิเข้าร่วมศึกสงครามอีกต่อไป ต่อนี้ไปคงทำได้เพียงดูแลบ้านช่องให้เหล่าพี่น้องในฉางอันเท่านั้น


 


 


หลี่จิ้งมองไปที่ฉินฉยงว่า “พี่ซู่เป่า ท่านยังไม่ได้ทำศึกมามากพอหรือ สังหารคนอื่นได้ย่อมถูกคนอื่นสังหารได้ ทั้งท่านทั้งข้าถือว่าเป็นพวกสังหารคนมานับไม่ถ้วน การที่มีชีวิตอยู่เสวยสุขมีลาภยศสรรเสริญได้จนถึงทุกวันนี้ นับว่าฟ้าเมตตาเป็นพิเศษแล้ว ลองคิดดูพี่น้องร่วมรบของพวกเราที่ยังมีชีวิตอยู่เหลือแค่กี่คนกัน ซ่านสยงซิ่นก็ตายในมือพวกเรา ได้ยินว่าลูกชายเขามาที่ฉางอันหรือ”


 


 


“ใช่ เวลานี้กำลังเรียนหนังสืออยู่ในสถานศึกษา ไม่นึกว่าเขาจะมีวาสนาได้เป็นลูกศิษย์ติ้งเยี่ยนผิง วิทยายุทธ์ล้ำเลิศระดับที่ไม่มีใครในรุ่นเดียวกันเสมอเหมือนได้ อวิ๋นเยี่ยบอกว่าคนนี้ใจคอเ**้ยมโหดทารุณไม่มีทัศนคติต่อความรู้สึกดีชั่ว ยึดถือคติโจรเป็นหลัก ถึงไม่ถึงว่าหลังจากเยี่ยนผิงถอนตัวแล้วกลับยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น”


 


 


ฉินฉยงไม่ได้บอกหลี่จิ้งว่าซ่านอิงเคยวางแผนลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ เรื่องนี้บอกเฉิงเหย่าจินกับอวิ๋นเยี่ยได้ แต่บอกหลี่จิ้งกับหลี่จีไม่ได้ เป็นเรื่องความเป็นความตายของคนสามตระกูล เขาจะไม่ระมัดระวังไม่ได้


 


 


“ติ้งเยี่ยนผิง? มิน่าเขาจึงได้มีวิทยายุทธ์สุดล้ำเลิศ ปิศาจเฒ่าคนนี้ยังมีชีวิตอยู่อีก? เวลานี้น่าจะใกล้เก้าสิบแล้ว แต่เอาเจ้าปิศาจน้อยคนนี้ไว้ในมือจอมพิสดารอวิ๋นเยี่ยแล้วต่อให้มีปีกคงไม่มีสิทธิ์บินหนีไปได้”


 


 


หลี่จิ้งรู้สึกสมน้ำหน้าอวิ๋นเยี่ยนัก เวลานี้เขาแทบจะคล้ายกับหลี่ซื่อหมิน อวิ๋นเยี่ยยิ่งเดือดร้อนเขาจะยิ่งดีใจ


 


 


“เสี่ยวเยี่ยพอจะรู้วิทยายุทธ์บ้างไหม ข้าเกรงว่าเขาอาจเพลี่ยงพล้ำได้” ฉินฉยงยังดูจะมีใจเป็นธรรมกว่าจึงออกจะเป็นห่วงอวิ๋นเยี่ย


 


 


“ถ้าวิทยายุทธ์ใช้ได้ผลแล้วพวกจอมยุทธ์แห่งแผ่นดินทั้งหลายอยู่ที่ไหนกัน? การแย่งชิงความยิ่งใหญ่คนที่ตายไวที่สุดก็คือพวกเขานั่นแหละ วิทยายุทธ์ของท่านก็ระดับสุดยอดแล้วทำไมตอนนี้ต้องป้วนเปี้ยนอยู่บนเตียงคนป่วย ในเมื่ออวิ๋นเยี่ยจัดการให้ซ่านอิงมาที่สถานศึกษาได้ ก็หมายความว่าเขากำชัยอยู่ในมือแล้ว ได้ประโยชน์มหาศาลจากฐานะศิษย์อาจารย์ นับแต่นี้ไปคนที่เจ้าต้องระแวงก็คือลูกชายของเฒ่าซ่านไม่ใช่อวิ๋นเยี่ยอีกต่อไป


 


 


ตั้งแต่กลับจากทุ่งหญ้ากำจัดตระกูลโต้วแล้ว เจ้าอวิ๋นเยี่ยก็พรางตัวซ่อนเร้นง่วนอยู่แต่เรื่องในสถานศึกษา ไม่ยอมสาวเท้าเข้าเมืองฉางอันแม้เพียงก้าวเดียว แค่เวลาสั้นๆ สถานศึกษาก็กลายเป็นสุดยอดสถานศึกษาของต้าถัง ทั้งกั๋วจื่อเจี้ยนและหงเหวินก่วนต่างยอมหมอบราบคาบแก้ว แค่ข้อสอบทดสอบจิตใจข้อเดียวก็แทบจะซื้อใจปราชญ์ทั่วประเทศได้ ไม่มีใครเลยที่จะปฏิเสธเกียรติยศการได้เข้าร่วมสถานศึกษา


 


 


ที่เยี่ยมที่สุดคือเขาสามารถชักจูงใจให้ฮ่องเต้รับเป็นหัวหน้าสถานศึกษา เวลานี้ได้มีพระราชโองการประกาศไปทั่วแผ่นดินทำให้สามารถถอนรากถอนโคนข้อกล่าวหาทั้งหมดของสถานศึกษาได้ ภายใต้การปกป้องคุ้มครองของฮ่องเต้ เขาสามารถถ่ายทอดทฤษฎีพิสดารที่แสนจะทุเรศทุรังของเขาแก่เหล่าลูกศิษย์ลูกหาโดยไม่ต้องมีข้อกังวลแม้แต่น้อย


 


 


พี่ซู่เป่า ท่านมองข้ามคนรุ่นหลังคนนี้มากเกินไปแล้ว สถานศึกษาเพิ่งเป็นปึกแผ่นเสียงเป่าเขาทางทิศใต้ก็เริ่มดังขึ้นแล้ว ลูกน้องเก่าของท่านกำลังโดนเขาเอาไปหรือไม่ ไม่ต้องมามองข้าเลยของข้าเองก็โดนเอาไปแล้ว น่ากลัวว่าทุกสิ่งของเหล่าขุนพลพวกเราต่างโดนเขารวบเอาไปหมดแล้ว ทหารเก่าแก่สามพันคนที่เคยผ่านศึกมานับร้อยนับพันสนามรบ ในถิ่นแคว้นแดนไกลถึงหลิ่งหนานที่มีแต่คนป่าคนเถื่อนจะมีพลังที่สามารถทำลายล้างประเทศได้ทีเดียว


 


 


ผู้นำก็คืออดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง ท่านคิดว่าพวกเขาจะหวั่นเกรงอะไรหรือ ไม่ต้องพูดถึงเหล่าแคว้นเล็กๆเลย น่ากลัวว่าแม้แต่เฝิงอั้งเวลานี้ก็คงกำลังตีอกชกหัวกินไม่ได้นอนไม่หลับ


 


 


ความสัมพันธ์ของอวิ๋นเยี่ยกับองค์หญิงโซ่วหยางดูมีเลศนัยคงมีอะไรกันแน่ น่าสงสารหมันอ๋องยังมัวแต่เฝ้าหมายปองโซ่วหยาง รนหาที่ตายแท้ๆนึกหรือว่าเมืองฉางอันไม่มีหนุ่มคู่ควรโซ่วหยาง? ไม่ใช่ไม่มีแต่ไม่มีใครกล้า


 


 


เขาว่ามีกำไรข้าเชื่อสนิทใจ ยึดทรัพย์ยึดแผ่นดินแล้วไม่กำไรมีที่ไหน ต่อให้เขาบอกว่าท้องฟ้าหลิ่งหนานมีทองตกลงมาข้าก็ยังเชื่อ เจ้าคอยดูไปไม่เกินสองปีนี้หลิ่งหนานจะปรากฏคนที่สามารถเป็นคู่แข่งกับเฝิงอั้งได้ คนนั้นคือองค์หญิงโซ่วหยาง แต่ถ้ารอนานกว่านี้แม้แต่เฝิงอั้งก็ยังต้องยอมแพ้ พลังเงินตรานั้นน่ากลัวมาก


 


 


ท่านรู้ไหมว่าพวกเราเป็นอะไร พวกเราต่างเป็นตัวประกันของเจ้าคนนี้ กองทหารสามพันกำลังพิชิตศึกจะต้องได้ทรัพย์สินกลับมามหาศาล เมื่อกลับมาแล้วจะต้องสำนึกบุญคุณเจ้าคนนี้มากมาย แน่นอนว่าพวกเราก็ย่อมได้รับผลประโยชน์ด้วย ไม่มีใครรู้สึกไม่พอใจเขาแน่นอน


 


 


ไม่เชื่อท่านก็ดูเครือญาติทหารเก่าที่ตายในหลิ่งหนานไม่มีใครบ่นว่าตำหนิเขา จากนั้นเขาก็ยังเฟ้นหาทหารใหม่จากลูกหลานทหารเก่าได้อีกรุ่นแล้วรุ่นเล่า ทุกรุ่นล้วนรับใช้เขาด้วยความจงรักภักดียิ่งนัก


 


 


ที่น่ากลัวที่สุดคือเจ้าคนนี้ไม่มีความมักใหญ่ใฝ่สูงคิดเพียงแค่สร้างสถานศึกษา จัดการภายในครอบครัวให้เรียบร้อยสามารถอยู่สุขสบายได้ตลอดชาติ ด้านหนึ่งมีสติปัญญาสูงส่งสุดยอดส่วนอีกด้านหนึ่งกลับมีใจปลาซิวปลาสร้อย แค่ขยับตัวซ้ายขวาก็ทำเรื่องที่คนอื่นต้องใช้เวลานับร้อยนับพันปีกว่าจะสำเร็จให้เสร็จสิ้นในไม่กี่ปี ท่านลองดูย้อนหลังความจริงเขาไม่ได้ออกแรงอะไรเลย คนเป็นของพวกเราเงินก็เป็นของพวกเรา การลงมือทำก็เป็นพวกเราแต่เขากลับได้รับผลประโยชน์มากที่สุด


 


 


พี่ชายข้า ท่านคงยังไม่รู้แน่ชัดว่าเขามีคู่ขาสาวอยู่ในทุ่งหญ้าเป็นหญิงทูเจวี๋ยที่สุดแสนโง่เง่า แต่หญิงทูเจวี๋ยคนนี้เวลานี้เป็นเจ้าของปศุสัตว์ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดเชิงเขาอินซัน นางทำอะไรไม่เป็นเลยทำได้แค่ตามเก็บข้าวของ วันนี้เก็บแพะแกะเผ่าน่าชีหลายสิบตัว พรุ่งนี้เก็บวัวเผ่ากงหนิวอีกหลายสิบตัว ถ้ามีใครไปตามทวงคืน นางจะร้องห่มร้องไห้แล้วไปร้องเรียนทหารต้าถังว่าถูกรังแก การซื้อขายยุทธปัจจัยต่างๆของทหารต้าถังถูกผูกขาดโดยร้านเทียนเหอที่ใหญ่ที่สุดในต้าถัง ตามที่ข้ารู้มาฮองเฮามีหุ้นอยู่เจ็ดส่วน ที่เหลือสามส่วนตระกูลอวิ๋นครองอยู่สองส่วนอีกหนึ่งส่วนเป็นของเหอผั้นจื่อ ท่านว่าทหารจะอยู่ข้างใครหรือ


 


 


ขณะที่ข้าจากไปได้แบ่งที่ให้นางร้อยลี้แต่เวลานี้มีไม่ต่ำกว่าสามร้อยลี้ ได้ยินว่าหญิงโง่เง่าคนนั้นเริ่มเก็บคนเลี้ยงปศุสัตว์แล้ว เห็นได้ว่านางมีสัตว์มากจนไม่สามารถดูแลกันเองได้


 


 


สถานศึกษากำลังเตรียมการค้นคว้าเรื่องหนึ่งเห็นว่าจะใช้ขนแกะมาทอผ้า หากทำได้สำเร็จพวกเลี้ยงปศุสัตว์จะไม่หลุดจากการปกครองของต้าถัง รุ่นต่อๆไปก็จะเลี้ยงปศุสัตว์ตัดขนแกะบนทุ่งหญ้า กลุ่มโจรชายแดนคงจะไม่ปรากฎในบันทึกประวัติศาสตร์อีกต่อไป


 


 


พี่ฉิน ที่ข้าพูดมามากเช่นนี้ เวลานี้ท่านคงจะพอเข้าใจได้ว่าระหว่างเขากับซ่านอิงคนไหนเป็นหมาป่าคนไหนเป็นแกะแล้วสินะ หากมีวันหนึ่งเขาโดดออกมาต่อสู้กับข้าอย่างเปิดเผยจริงจัง ข้าจะไม่พูดอะไรจะชักม้าหนีทันที เพราะหมายความว่าเขาเชื่อมั่นแล้วว่าเขาจะกำชัยแน่นอน”


 


 


คำพูดเหล่านี้ฉินเฒ่าฟังจนเหงื่อกาฬไหลท่วมตัว เขาเป็นขุนพลผู้กล้าเชี่ยวชาญการศึกสงครามตามแบบแผน แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับแผนการสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนปมที่เขาไม่สามารถรู้เท่าทันได้ เขานึกไม่ถึงว่าคนคนเดียวทำไมจึงสามารถกระทำเรื่องในเวลาเดียวกันได้มากมายนัก ตระกูลอวิ๋นเมื่อสองปีที่แล้วยังเป็นเพียงตระกูลเล็กๆที่ไม่มีความหมายอะไร อวิ๋นเยี่ยเองก็ยังถูกผู้อาวุโสเหล่านี้เรียกใช้ได้ตามสบาย เอะอะก็โดนมือโดนเท้าเป็นประจำแม้เวลานี้ก็ยังโดนได้ แต่ทำไมถึงได้รู้สึกใจฝ่อ? เจ้าจือเจี๋ย เจ้าไปเก็บตัวพิสดารอะไรมาแน่นะ?


 


 


พอหันศีรษะมองไปเห็นอวิ๋นเยี่ยอยู่นอกประตูยืนยิ้มกล่อมให้สองเจ้าหน้าที่ลงมาจากต้นไม้ รับรองว่าจะไม่ทำร้ายพวกเขาด้วยการยิ้มอย่างจริงใจใสซื่อ แต่จิตใจฉินเฒ่ากลับเย็นเฉียบ


 


 


“ท่านไม่ต้องห่วงว่าเขาจะเล่นงานพวกเรา เจ้านี่ถึงแม้จิตใจสกปรกแต่ก็เป็นคนมีศีลมีสัตย์ กล้าเสี่ยงภัยใหญ่หลวงละเมิดตระกูลเก่าแก่นับพันปีเพื่อหญิงนักร้องคนหนึ่ง ทำได้อย่างหมดจดงดงาม ถึงแม้จะโดนหางเลขเล็กน้อยแต่ก็เพราะความบกพร่องของคนหน่วยข่าวกรอง คนที่มีจิตใจแน่วแน่เช่นนี้ย่อมไม่มีในคนจิตใจชั่วร้าย คนมีศีลมีสัตย์แต่อุบายร้อยแปด ข้าไม่กล้านึกภาพเลยว่าอาจารย์ของเขาเป็นคนระดับไหนแน่”


 


 


อวิ๋นเยี่ยใช้ความพยายามจนสองเจ้าหน้าที่ยอมลงจากต้นไม้ ทั้งยังห่อเงินให้พวกเขาสองห่อทั้งรับปากที่จะไปชำระค่าปรับที่กองยานพาหนะหลังงานฉลองวันเกิด แล้วจึงให้คนขับรถม้าส่งสองเจ้าหน้าที่ที่ไม่รู้ว่าโชคดีหรือร้ายกันแน่


 


 


ครั้นเห็นฉินฉยงกับหลี่จิ้งยังคงยืนอยู่กลางแสงแดดกล้า อวิ๋นเยี่ยจึงกางร่มใหญ่คันหนึ่งเหนือศีรษะทั้งคู่แล้วบอกฉินฉยงว่า “ลุงฉิน สภาพร่างกายท่านยังทรุดโทรมมาก ยืนกลางแดดนานอาจเกิดป่วยหนักทำให้สูญเสียพลังลมปราณไปอีก” พูดแล้วยังให้คนยกน้ำชาร้อนให้ฉินฉยง พูดอีกว่า “น้ำองุ่นบ่มถึงแม้จะมีประโยชน์ต่อท่านแต่ใส่น้ำแข็งไม่ได้ ดื่มมากก็ไม่มีประโยชน์ เพิ่งกินข้าวอิ่มสู้ดื่มน้ำชาร้อนจะดีกว่า”


 


 


ฉินฉยงรับถ้วยน้ำชาจิบไปทีหนึ่งแล้วมองอวิ๋นเยี่ย นึกขำตัวเองว่าผู้เก่งกล้าในโลกนี้จากไปมากแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็เป็นเพียงคนอ่อนอาวุโสที่มีความกตัญญูคนหนึ่งเท่านั้น คำพูดของหลี่จิ้งเป็นเพียงการคาดเดา เรื่องจริงจะเป็นเช่นไรคงมีแต่สวรรค์ที่รู้ ประสบการณ์ตัวเองหลายสิบปีเชื่อว่าตาสองข้างยังไม่บอด พอจะแยกแยะดีชั่วได้อย่างชัดเจน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)