เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 6 ตอนที่ 22-25
ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...
ตอนที่ 22 แววตาแห่งแรงกดดันที่รายล้อม
ลานบ้านเล็กๆ เงียบลงในทันใด พ่อบ้านเฉียนทงเคาะประตูของลานบ้านที่เปิดอยู่เบาๆ หลังจากซ่านอิงอนุญาตแล้วเขาจึงเดินเข้ามาและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ท่านโหว คนของสถานศึกษามารายงานว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว”
หลังจากพูดจบก็ยืนค้อมตัวอยู่ข้างหลังอวิ๋นเยี่ยและไม่ขยับเขยื้อนอีก
ก่อนมาได้ตกลงกันไว้แล้ว่า ถ้าทางสถานศึกษาเตรียมพร้อมแล้ว เหล่าเฉียนจะมารายงานว่ายังไม่พร้อม ถ้ายังไม่พร้อมจะรายงานว่าเตรียมพร้อมแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่ว่าอวิ๋นเยี่ยจะคิดทำการอะไร เขาก็ยังสามารถเหลือทางหนีทีไล่ได้อย่างดี เมื่อได้ยินเหล่าเฉียนรายงานดังนี้แล้วอวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่าจะต้องมีสิ่งผิดปกติกับสถานศึกษาเป็นแน่ บอกได้เลยว่าตาเฒ่ากงซูมู่จะต้องมีกลไกที่มีพิษสงมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัวอย่างแน่นอน และเตรียมที่จะจับซ่านอิงมาเป็นหนูทดลอง
“แต่ไหนแต่ไรมาข้าทำอะไรล้วนแล้วแต่ตัดรากถอนโคน เจ้าวางใจเถอะ ไม่มีใครคิดว่าข้าทำอะไรที่ไม่ควรทำ คนที่เห็นหน้าข้าล้วนตายไปหมดแล้ว” นอกจากจะเป็นพวกที่อายุน้อยเสียหน่อย ซ่านอิงเป็นคนที่จับจุดจิตใจคนได้อย่างแม่นยำ เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยลังเลก็รู้ว่าเขากังวลเกี่ยวกับเรื่องของตนจะถูกเปิดเผยและทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา ดังนั้นจึงเอ่ยปากอธิบาย
“ข้าเพียงแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าถึงข้องเกี่ยวกับบุคคลคนนั้นได้ พวกเจ้าน่าจะเป็นคนที่อยู่กันคนละโลก” ไม่ว่าจะคิดอย่างไรอวิ๋นเยี่ยก็นึกไม่ออกถึงความเป็นมาเป็นไปได้เลย
“มีอยู่วันหนึ่งข้าไปจับหมูที่นอกหมู่บ้าน มีหญิงคนหนึ่งที่แบกเด็กคนหนึ่งวิ่งหนีมา ชายร่างใหญ่สองคนไล่ตามหลังนางมา หลังจากตามนางทันก็ฉีกเสื้อผ้าของหญิงคนนั้น เดิมไม่ใช่ธุระกงการอะไรของข้า การฆ่าข่มขืนและการปล้นเป็นพฤติกรรมทั่วไปของพวกโจร เป็นโจรถ้าไม่ทำเรื่องไม่ดีหรือจะให้ทำเรื่องดี พวกเขาก็ข่มขืนคนของพวกเขาไป ข้าก็ไล่ต้อนหมูของข้าไป พวกเราน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง…
ใครจะรู้ว่าเมื่อพวกเขาเห็นข้าเข้ามากลับไม่ข่มขืนแล้ว ยกดาบขึ้นคิดจะจัดการข้าทิ้ง ซึ่งนี่เป็นความผิดของพวกเขา ข้าจึงไม่มีทางเลือกนอกจากจะจับพวกเขาขายให้สถานที่คุมขังของทางการเสีย ที่นั่นรับคนทุกประเภท ขอเพียงแค่แข็งแรงและแข็งแกร่ง เจ้าหน้าที่มักจะรู้สึกว่าแรงงานขุดถ่านหินไม่เพียงพอ ทั้งยังเสียชีวิตเร็วอีก เหล่านักโทษส่งมาเท่าไหร่ก็ไม่พอ ข้าบอกว่าผู้ชายสองคนนี้เป็นโจรที่แข็งแกร่ง เจ้าหน้าที่ไม่แม้แต่จะถามก็ให้รางวัลข้าเป็นจำนวนสองก้วน ซึ่งคุ้มค่ากว่าการขายหมูเสียอีกและยังบอกกับข้าว่า ต่อลงไปหากมีโจรที่แข็งแกร่งเช่นพวกเขาให้ส่งมาที่นี่ ไม่แบ่งแยกประเภทและชนชั้น ค้าขายอย่างเป็นธรรม”
ซ่านอิงพูดอย่างราบเรียบ อวิ๋นเยี่ยและพ่อบ้านเฉียนฟังจนเสียวสันหลัง เหมืองถ่านหินเป็นธุรกิจของอวิ๋นเยี่ยและจั่งซุน ตระกูลอวิ๋นถือครองส่วนแบ่งสองส่วนจากสิบ จั่งซุนเพียงคนยึดครองถึงแปดส่วนของทั้งหมด โดยปกติแล้วในแต่ละเดือนตระกูลอวิ๋นจะทำเพียงรอรับเงิน แต่ไม่เคยสนใจว่าเงินจะมาจากไหนและได้มาอย่างไร ได้ฟังเรื่องน่าหวาดกลัวที่ซ่านอิงเล่าแล้วก็ดูเหมือนว่าขอเพียงแค่มีคนส่งเข้าไป เจ้าหน้าที่ก็ไม่สนใจว่าจะมีที่มาที่ไปอย่างไร จะเป็นคนดีหรือคนเลว
อวิ๋นเยี่ยจ้องหน้าเฉียนทง ตระกูลอวิ๋นกลายเป็นผีดูดเลือดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เพื่อเงินเพียงไม่เท่าไหร่ แต่ต้องเอาชื่อเสียงเข้าไปเสี่ยงด้วยมันช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย คาดว่าเจ้าซ่านอิงคนนี้อาจจะพอรู้ว่าเป็นธุรกิจของตระกูลอวิ๋น จึงจงใจพูดให้ฟังดูน่ารังเกียจ
“เจ้าหน้าที่พวกนั้นทำอะไรเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย เจ้ายังไม่ได้พูดเรื่องของเจ้าเลย” หากตระกูลอวิ๋นทำอะไรผิดพลาดยังแก้ไขได้และต้องแก้ไขด้วย แต่จะไม่อนุญาตให้ผู้อื่นมาหาเรื่องจับผิดได้เด็ดขาด นี่คือกฎ
“บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าชายทั้งสองคนถูกข้าขายให้กับสถานที่คุมขังก่อนจะขายข้าก็จำเป้นต้องถามทุกอย่างให้ชัดเจนได้ยินว่าพวกเขาเผาเมืองฉางอัน แน่นอนว่าข้าย่อมต้องดีใจดังนั้นจึงถามพวกเขาว่าแท้จริงแล้วใครทำกันแน่ สุดท้ายก็ถูกข้าถามออกมาจนได้ ผู้นำก็คือเจ้าของร้านขายปลาที่ตลาดสดร้านนั้น คิดไม่ถึงว่าโจวต้าฝูอ้วนๆ คนนั้นจะเป็นคนดีเพียงนี้ ดังนั้นข้าจึงเผลอบอกเขาเกี่ยวกับครอบครัวของตนเองโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาลองใจข้าตั้งหลายครั้งและท้ายที่สุดก็เห็นว่าข้ามีฝีมือพอตัวจึงชวนให้ข้าเข้าร่วมทำการใหญ่ เรื่องก็เป็นเช่นนี้”
ซ่านอิงบอกว่าไม่ต้องให้ใครตามเก็บกวาด เช่นนั้นก็แปลว่าไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้อย่างแน่นนอน สำหรับเจ้าหน้าที่พิเศษของหน่วยข่าวกรองที่เสียชีวิตไปหลายคนนั้น ในเมื่อตายแล้วก็ปล่อยไป พวกที่ทำภารกิจพิเศษจะมีคนดีสักกี่คนกัน แม้หากเป็นหงเฉิงเสียชีวิตอย่างมากที่สุดอวิ๋นเยี่ยก็ไปที่บ้านของเขาเพื่อไว้ทุกข์ให้ ให้ความช่วยเหลือแก่เด็กกำพร้าและหญิงหม้ายมากเสียหน่อยก็เท่านั้นเอง
ประเด็นสำคัญเลยอยู่ที่ซ่านอิงคนนี้ อวิ๋นเยี่ยอยากดึงเขากลับไปยังตระกูลอวิ๋นเป็นอย่างมาก ยังเด็กและไร้เดียงสา เป็นวรยุทธ์แข็งแกร่ง ทั้งยังเติบโตมาในหมู่โจร พวกปีศาจมารร้ายในยุทธภพคาดว่าคงหนีสายตาเขาไม่พ้น เป็นยอดอัจฉริยะบุคคลที่ควรค่าแก่การได้มาเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่เจ้าหนุ่มคนนี้มักจะเพ่งเล็งต้ายาอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าเศร้าไปหน่อย อวิ๋นเยี่ยไม่ได้วางแผนที่จะยกน้องสาวให้แต่งงานกับพวกที่เอาชีวิตไปเสี่ยง หากให้มาเป็นผู้ช่วยนั้นยังพอพิจารณาได้ แต่ให้เป็นน้องเขยคงไม่ไหว
“เขาวงกตของสถานศึกษาเปลี่ยนแปลงร้อยแปด ข้าเกรงว่าเจ้าจะได้รับบาดเจ็บ วันนี้ฟ้ามืดแล้ว ข้าว่าพรุ่งนี้กลางวันเราค่อยพิสูจน์กัน เจ้าชอบฆ่าหมูเช่นนั้นก็อยู่ในร้านฆ่าหมูของเจ้า ไม่มีใครมาหาเจ้าแน่ หลังจากที่ล้มเหลวในการฝ่าเขาวงกตในวันพรุ่งนี้ เจ้าจงไปเข้าเรียนในสถานศึกษา ภายหน้าหาตำแหน่งขุนนางเสีย แล้วหาภรรยาเพื่อสืบทอดวงตระกูลจะดีกว่า อย่าเอาแต่ระเหเร่ร่อนอีกเลย”
“เจ้ามั่นใจว่าข้าจะต้องล้มเหลวในการฝ่าเขาวงกตอย่างแน่นอนถึงเพียงนี้เชียว” ซ่านอิงรับไม่ได้และถามอย่างเสียงแข็ง
“เจ้าลองถามพ่อบ้านของข้าว่าเขามีความมั่นใจในการฝ่าเขาวงกตของเจ้าหรือไม่” เฉียนทงส่ายศีรษะทันทีราวกับลูกคลื่นเพื่อแสดงว่าเขาไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าหากข้าจะแต่งงานก็จะแต่งกับต้ายา ท่านพี่เมีย ขอให้ท่านเตรียมสินสอดทองหมั้นเอาไว้เถอะ มีจดหมายอยู่หลายฉบับที่อาจารย์ข้าได้มอบให้กับฉินซูเป่า เฉิงจือเจี๋ย และหลี่ซื่อจี เจ้าค่อนข้างคุ้นเคย เช่นนั้นข้าก็ไม่ไปแล้ว เจ้าช่วยข้านำไปส่งให้พวกเขาก็พอ”
ซ่านอิงหยิบจดหมายสามฉบับออกมาจากอกเสื้อของเขาแล้วส่งให้อวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยรับจดหมายมาแล้วดูตราประทับ ด้านบนกลับเขียนไว้ประโยคหนึ่งว่า ‘เจ้ารู้ว่าข้าคือใคร’ ตอนนี้ในบรรดาสามคนมีเพียงฉินฉยงเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในฉางอัน อีกสองท่านที่เหลือนั้นนำทัพอยู่ในกองทัพ หากต้องการให้กลับมาอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน ทว่ามีความสัมพันธ์กันก็ดี ปัญหาเกี่ยวกับฐานะของชายคนนี้เป็นปัญหายุ่งยาก ปล่อยให้พวกเขาสามคนไปปวดเศียรกันบ้าง ตนเองรั้งตัวคนคนนี้ไว้ก็พอแล้ว
“ทั้งสามท่านนั้นล้วนแล้แต่เป็นผู้อาวุโสของเจ้า จะเรียกท่านลุงท่านอาสักคำจะตายหรืออย่างไร” ฟังออกว่าเด็กคนนี้ยังคงมีความแค้นอยู่ในใจ
คราวนี้ซ่านอิงไม่โต้แย้งอวิ๋นเยี่ย ก้มหน้านิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ข้าไปขอลองทดสอบที่สถานศึกษาดูสักหน่อย” เมื่อพูดจบก็ย่อตัวเหยียบระเบียงไม้กระโดดขึ้นไปบนหลังคา หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
…
เมื่อกลับถึงบ้านสิ่งแรกที่อวิ๋นเยี่ยทำก็คือเรียกต้ายามาพบและสั่งให้นางคืนนี้นอนกับซินเยวี่ย ตนเองจะนอนห้องด้านนอกซึ่งต้องเฝ้าให้ดี หากถูกเจ้าหมาป่าอย่างซ่านอิงฉกตัวไป ตนเองไม่ต้องนั่งร้องไห้จนตายหรือ
เมื่อออกคำสั่งฆ่าต่อทหารยามแล้วขอเพียงแค่มีคนกล้าที่จะเข้ามาในลานหลังบ้าน ก็สามารถใช้ปืนผาหน้าไม้ทักทายได้โดยไม่ต้องปรานี
นั่งเบิกตากว้างไม่หลับทั้งคืน ที่บ้านก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นสักอย่าง ตอนนี้ก็ใกล้ฟ้าสางแล้ว อวิ๋นเยี่ยบิดขี้เกียจและมองเข้าไปในห้องเห็นซินเยวี่ยและต้ายายังหลับอยู่จึงค่อยวางใจ นวดๆ ใบหน้าตนเองขณะที่ผลักประตูเตรียมจะออกไป ก็ได้ยินเสียงของต้ายาดังขึ้น “พี่ชาย ท่านอย่าทำร้ายคนขายหมูได้หรือไม่ เขาไม่มีเจตนาร้าย”
“เจ้าไปนอนของเจ้าต่อ เรื่องภายนอกเจ้าไม่ต้องยุ่ง เจ้าเพียงแค่เติบโตขึ้นอย่างมีความสุขก็พอแล้ว” หรือว่าแม่หนูนี่ก็เริ่มรู้สึกดีๆ ต่อซ่านอิง อวิ๋นเยี่ยบ่นงึมงำจนแปรงฟันอาบน้ำเสร็จ แล้วนำอาหารหนึ่งห่อไปวางไว้บนหลังวั่งไฉและนั่งรถม้าลากไปที่สถานศึกษา บรรดาทหารผ่านศึกก็ขี่ม้าคอยคุ้มกันอยู่โดยรอบ
เมื่อถึงประตูสถานศึกษา เหล่ากงซูก็ดวงตาแดงก่ำ ตื่นตาตื่นใจอย่างที่สุด พูดกับอวิ๋นเยี่ยจากระยะไกล “คนที่เจ้าบอกว่าจะมาฝ่าเขาวงกตล่ะอยู่ที่ไหน เมื่อคืนนี้ข้าได้ออกแบบกลไกเพิ่มมาสองอย่าง ไม่รู้ว่าคนที่เจ้าหามาจะฝ่าด่านและรอดปลอดภัยออกไปได้พ้นวันนี้หรือไม่ แม้ว่ามันจะไม่ใช่กลไกที่โหดร้ายอะไรถึงชีวิต แต่ถ้าอยากจะออกมาอย่างไร้บาดแผลเลยละก็ ข้าบอกได้เลยว่าฝันเฟื่อง”
“หลังการทดสอบแล้วจึงจะรู้กัน จะมาพูดตอนนี้มันเร็วเกินไปหน่อยนะ” ซ่านอิงกระโดดจากต้นไซเปรสที่ปลูกอยู่หน้าประตูของสถานศึกษา สวมชุดเข้ารูปและรวบผมหางม้าไว้ด้านหลัง ซึ่งก็ดูดีมีความองอาจดั่งชาวยุทธ์
อวิ๋นเยี่ยหยิบห่อผ้าลงจากไหล่เตรียมจะส่งให้ซ่านอิงเพื่อให้เขากินให้อิ่มก่อนที่จะไปฝ่าเขาวงกต หลี่ไท่ยื่นมือออกมาจากด้านข้างและหยิบห่อผ้าไปอย่างไม่เกรงใจ วางลงบนพื้นและเปิดออกแล้วนำซาลาเปาหนึ่งลูกส่งเข้าปากตนเอง ในมือก็คว้าไว้อีกสองสามลูก ส่งเสียงพูดอื้ออึงอยู่ในลำคอพร้อมทั้งส่งซาลาเปาในมือส่งให้เหล่ากงซู
ซ่านอิงจ้องมองหลี่ไท่อย่างเคียดแค้น และถามอวิ๋นเยี่ยว่า “หมอนี่พูดอะไร”
“เขาบอกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องให้ของกินอะไรแก่เจ้ามากมายนัก เพราะเจ้าใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งเค่อก็ต้องหนีออกมาแล้ว จะให้กินอะไรมากมายทำไม” อวิ๋นเยี่ยแปลแทนหลี่ไท่
“ข้าต่อยเขาได้หรือไม่”
“หากเจ้าเป็นนักเรียนของสถานศึกษาแล้ว และแจ้งเอาไว้ก่อนที่เจ้าจะลงมือทำร้ายเขา ขอเพียงแค่เข้าเรียนวิชาศิลปะการต่อสู้ มันก็สมเหตุสมผล”
ซ่านอิงกินข้าวเร็วมาก ซาลาเปาสิบกว่าลูกถูกส่งลงท้องอย่างรวดเร็ว เปิดกระบอกน้ำไม้ไผ่แล้วดื่มชาสมุนไพรหมดกระบอกแล้วจึงเช็ดคาง เดินตรงไปยังประตูเมื่อเดินไปได้ครึ่งทางก็หันกลับมาและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เมื่อวานนี้ตกหลุมพรางเจ้า เสียเวลาไปเปล่าๆ ตลอดทั้งคืน จนทำให้เจ้าได้แก้ไขกลไกอย่างสมบูรณ์ เพียงแต่เห็นแก่ที่ให้อาหารเช้าข้า ข้ายกโทษให้เจ้าแล้ว”
ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาคาบเรียนเช้า พวกชอบสอดรู้สอดเห็นก็แห่กรูกันออกมาจนหมด บ้างก็คาบซาลาเปาบ้างก็คาบหมั่นโถว ในมือถือชามโจ๊กไว้ ตะเกียบยังเสียบซาลาเปาหรือไม่ก็หมั่นโถวไว้อีกสองลูก รอดูละครลิงด้วยความตื่นเต้นเร้าใจ
เป็นจริงดังคาด ในเวลาอันสั้นก็ซ่านอิงโผล่ศีรษะออกมาจากประตูตรงข้าม มองออกมาด้านนอก รู้สึกเขินอายเล็กน้อย เหล่านักเรียนของสถานศึกษาก็โห่ร้องอื้ออึง ภายใต้แววตาแห่งแรงกดดันที่รายล้อม ซ่านอิงที่สองเท้ายืนอย่างมั่นคงก็กลับไปที่หน้าประตูเตรียมที่จะเข้าประตูอีกครั้ง แต่กลับก้าวพลาดเพราะเสียงหัวเราะโห่ร้องของเหล่านักเรียนจนเกือบจะล้มลง แต่ก็ด้วยความปราดเปรียวของเขา ใช้มือเดียวยันพื้นและลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ทำให้นักเรียนในสถานศึกษาหัวเราะจนหงายท้อง ซึ่งพวกเขามีนิสัยเสียที่ชอบดูผู้มาใหม่ทำเรื่องน่าอับอายในเขาวงกต
ครั้งนี้ค่อนข้างนาน เสียงตึงตังๆ ก็ดังออกมาจากเขาวงกต “เด็กคนนี้ไปแตะกลไกหน้าไม้เข้า เจ้าไม่ต้องกังวล มันไม่มีหัวลูกศร หากโดนเข้าอย่างมากที่สุดก็เจ็บตัว เลอะผงปูนขาวเล็กน้อย จริงสิ เสี่ยวไท่ ข้าให้เจ้าปรับแรงยิงของรถยิงหน้าไม้เป็นระดับสาม เจ้าปรับหรือยัง”
“โอ้ ศิษย์ฟังผิดไปจึงปรับเป็นระดับสี่ คราวหน้าจะไม่ทำผิดซ้ำอีก ขออาจารย์อภัยให้ด้วย” หลี่ไท่ยังคงมีท่าทีที่ชวนให้ต่อยจริงๆ อวิ๋นเยี่ยได้แต่ภาวนาว่าทักษะของซ่านอิงจะดีพอ คำภาวนายังไม่ทันได้คิดเลยก็ได้ยินเสียงดังอย่างกึกก้องจากในทางเดินราวกับว่ามีบางอย่างกำลังกลิ้งอยู่ เห็นเพียงซ่านอิงออกจากประตูและวิ่งหนีไปไกลในพริบตา ตื่นตกใจเหมือนสุนัขที่ไว้ทุกข์ จากนั้นก็มีก้อนหินยักษ์ที่เต็มไปด้วยหนามแหลมนับไม่ถ้วนกลิ้งออกจากประตูตามมา อวิ๋นเยี่ยยืนดูจนหน้าซีดเผือด
“ไม่เป็นไร นี่เป็นลูกบอลไม้กลวง เพียงแค่เคลือบปูนซีเมนต์หนึ่งชั้นเท่านั้นเอง ไม่ทำให้ใครตายหรอก” เหล่ากงซูเหล่มองซ่านอิงที่ลงไปนอนหมอบอยู่บนพื้นและพูดอย่างช้าๆ ว่า “ถ้าเป็นก้อนหินจริง เขาคงถูกบดเป็นเนื้อสับตั้งนานแล้ว”
เมื่อซ่านอิงที่นอนอยู่บนพื้นได้ยินดังนี้ก็รู้สึกอับอายขายหน้าจนพูดอะไรไม่ออก พวกนักเรียนน่าด่าเหล่านั้น ปากพลางเคี้ยวหมั่นโถวพลางรายล้อมกันเข้ามาวิพากวิจารณ์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับซ่านอิงตั้งแต่หัวจรดเท้า ทั้งยังมีคนเสนอให้ความคิดเขา แต่โดยมากแล้วยังคงรอคอยดูเรื่องตลกของเขา
ซ่านอิงอายจะแทบจะแทรกแผ่นดิน ในใจตะโกนอย่างบ้าคลั่งว่า “เจ้าพวกสารเลว รอให้ข้าได้เข้าเรียนในสถานศึกษาก่อน จะจัดการพวกเจ้าทีละคนให้ครบทุกคนเลย”
ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...
ตอนที่ 23 เพิ่มอีกหนึ่งจะเป็นอะไรไป
ทุกวันของชีวิตจะเริ่มต้นในตอนเช้าตรู่
แดนกวนจงในเดือนหกขณะที่ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า
คลื่นลมอันแสนอ่อนล้ากำลังซัดสาดไปทั่วพื้น ระฆังโบราณของสถานศึกษาอันนั้นก็ยังคงดังขึ้นตามกฎเหมือนดั่งเคย แม้ว่าจะก่อตั้งเป็นเวลาไม่นานนัก สถานศึกษาอวี้ซันกลับมีกลิ่นอายของความเรียบง่ายแบบโบราณและห่างไกลจากทางโลกอยู่หลายส่วน
มันจะไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ อันเพราะเนื่องจากการเข้าร่วมของใครบางคน การนั่งนานๆ ในฤดูร้อนเดิมก็เป็นงานที่น่าเบื่อมาก ม้านั่งจะเปียกโชกหลังจากทุกครั้งที่เลิกชั้นเรียน ดังนั้นจึงต้องมีคนคนหนึ่งทำหน้าที่เช็ดล้างด้วยน้ำเปล่าวันละรอบทุกวัน แต่เดิมนั้นมีนักเรียนเข้าเวรทำความสะอาด แต่หลังจากที่ซ่านอิงมาแล้วการทำความสะอาดเช็ดถูโต๊ะและเก้าอี้ที่ของนักเรียนปีหนึ่งได้กลายเป็นหน้าที่หลักของเขาไป
เมื่อวานนี้เป็นเพราะเขาไม่ทันระวังไปกระแทกเข้ากับข้อศอกของหลี่โอ้วขณะที่ตักอาหารจนทำให้ชามข้าวต้มหกใส่ศีรษะของหลี่อั้น แม้ว่าจะไม่ได้เจตนาแต่เขาก็ยังถูกลงโทษให้ทำความสะอาดเช็ดถูทั้งห้องเรียนเป็นเวลาสามวัน
ส่วนเรื่องเมื่อครั้งก่อน เป็นขณะที่เขากำลังหาบน้ำ ตะขอบนคานหาบจู่ๆ ก็หลุดจากถังน้ำและสะบัดกระเด็นออกไปติดอยู่ที่บั้นท้ายของเมิ่งปู้ถงซึ่งก็ดูเหมือนว่าค่อนข้างจะอาการหนักอยู่ เมิ่งปู้ถงต้องนอนคว่ำอยู่บนเตียงถึงสองวันก่อนจึงลุกขึ้นได้ หลังจากนั้นมาทุกครั้งพี่พบซ่านอิงเขาจะเอามือกุมบั้นท้ายและอยู่ให้ห่างๆ เขาเข้าไว้
สำหรับเคราะห์กรรมที่หลี่ไท่ได้รับในระหว่างคาบเรียนศิลปะการต่อสู้นั้นมากพอที่จะทำให้ผู้พูดรู้สึกเศร้าและผู้ฟังน้ำตาตก เดิมทีนั้นได้รวบรวมเหล่ายอดฝีมือจำนวนมากเตรียมที่จะเบ่งบารมีให้เด็กนักเรียนใหม่ได้เปิดหูเปิดตา ใครจะรู้ผ่านไปเพียงสิบห้านาทีเท่านั้น เหล่ายอดฝีมือก็ลงไปนอนกองอยู่กับพื้นเป็นกองสูง และผู้ที่อยู่ล่างที่สุดก็คือหลี่ไท่
หลังจากบีบผ้าเช็ดพื้นจนแห้งแล้วจึงพาดตากไว้บนเชือกที่มุมห้อง ซ่านอิงยืดตัวตรงขขึ้น หิ้วถังไม้ขึ้นและเทน้ำสกปรกลงในบ่อแล้วเตรียมจะไปล้างถังไม้ในแม่น้ำที่อยู่หน้าประตูซึ่งนี่ก็เป็นกฎเช่นกัน
อันที่จริงเขาเป็นคนชอบทำงาน บางครั้งวันหนึ่งหากเขาไม่ได้ทำอะไรเลยเขาจะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ในห้องเรียนเขาเป็นเด็กที่อายุมากที่สุด กลุ่มเด็กชายอายุสิบเอ็ดสิบสองปีที่กำลังจะโต รู้สึกนับถือเขาเป็นอย่างมากเพราะซ่านอิงมีความสามารถปกป้องพวกเขาได้ ไม่เพียงแต่เอาชนะนักเรียนระดับชั้นที่สูงกว่าซึ่งชอบวางอำนาจจนหนีหัวซุกหัวซุน แต่ยังแย่งงานไปทำให้อีก คนประเภทนี้หากไม่ยกให้เป็นลูกพี่แล้วจะให้ใครเป็นกัน
ดังนั้นในกระเป๋านักเรียนของซ่านอิงจึงไม่เคยขาดขนมหวานนานาชนิด ซึ่งนี่เป็นของที่เหล่านักเรียนชั้นปีที่ต่ำกว่ากลับบ้านและตั้งใจนำมาฝากเขาโดยเฉพาะ แต่ละคนทำตัวเหมือนขโมยเพราะสถานศึกษาไม่อนุญาตให้นักเรียนนำอาหารมาจากบ้าน บ่อยครั้งที่จะถูกริบเอาไป ซึ่งผู้ที่คุมควบดูแลตามกฎข้อนี้ก็คือเหล่าคุณชายจอมเสเพลซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่ชั้นปีสูงกว่า โดยมักจะไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น สำหรับอาหารที่ถูกค้นพบจะหายไปไหนนั้นสถานศึกษาไม่เคยถามถึง
ไม่มีใครกล้าที่จะค้นกระเป๋านักเรียนของซ่านอิง หลังจากคราวที่แล้วคนที่ค้นเจอขนมถูกประตูหนีบมือก็ไม่มีใครกล้าค้นกระเป๋านักเรียนของเขาอีกเลย ดังนั้นทั้งสถานศึกษาจึงมีเพียงเขาคนเดียวที่สามารถนำอาหารจากบ้านมายังสถานศึกษาได้ ดังนั้นบรรดาน้องๆ ทั้งหลายจึงพากันขอร้องเขา แม้ว่าจะต้องแบ่งไปครึ่งหนึ่งก็ตาม แต่ซ่านอิงก็มองว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว พ่อของพ่อของพ่อของเขาเป็นหัวหน้าโจรที่นั่งรอคอยการแบ่งส่วน แล้วตนเองจะเป็นข้อยกเว้นได้อย่างไร
หลังจากที่หลี่ไท่เสียเปรียบครั้งใหญ่ก็เรียนรู้ที่จะทำตัวให้เรียบร้อยขึ้น ตั้งใจเชิญให้ซ่านอิงเข้าลองฝ่าเขาวงกตโดยเฉพาะเพื่อเป็นการขอโทษที่ตนเองหัวเราะเยาะซ่านอิง ซึ่งจะเชิญทุกๆ เจ็ดวัน หลังจากการเชิญแต่ละครั้งเขาจะมอบยารักษาแผลขวดใหญ่ให้อีกด้วย ทั้งยังไปขอให้เมิ่งปู้ถงไปช่วยทายาให้โดยเฉพาะ นี่เป็นยาน้ำที่อาจารย์ซุนปรุงขึ้นเป็นพิเศษ หากต้องการกระจายฤทธิ์ยาจะต้องถูอย่างแรง ซึ่งเมิ่งปู้ถงก็ออกแรงอย่างเต็มที่ บางครั้งยังกัดฟันออกแรงถูอีกด้วย แม้จะรู้ว่าสองคนนี้ไม่มีเจตนาดีแต่ซ่านอิงก็ยังเต็มใจที่จะรับคำเชิญ
เรื่องทั้งหมดนี้ก็อยู่ในสายตาของอวิ๋นเยี่ย แต่เขาก็ไม่ได้เข้าไปห้าม ซ่านอิงจะต้องปรับตัวเรื่องการใช้ชีวิตร่วมกัน มุมมองการใช้ชีวิต ประสบการณ์ และการวิเคราะห์ถูกผิดของเด็กคนนี้มีการเบี่ยงเบนอย่างรุนแรง ซึ่งก็คงยากที่จะแก้ไขให้ถูกต้อง มีเพียงกาลเวลาเท่านั้นที่บางทีอาจจะค่อยๆ รักษาบาดแผลที่เขาเคยประสบมาได้
ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยไม่มีเวลามาวิเคราะห์เรื่องการอบรมสั่งสอนซ่านอิง เขามีบุคคลสำคัญมากคนหนึ่งที่จะต้องรอต้อนรับ ยอดคนท่านหนึ่งที่สามสิบเอ็ดครอบครัวในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นร่วมกันลงนามแนะนำ ได้ยินว่าเป็นยอดอัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยากที่ไม่ขาดตกบกพร่องใดๆ เลยทั้งในด้านความรู้และคุณธรรม
ตอนนี้แต่ละครอบครัวในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นล้วนแล้วแต่เป็นพวกสายตาสูงส่ง หากพบคนนอกหมู่บ้านพวกเขาก็ขี้เกียจที่จะทักทาย แต่กลับมีบุคคลท่านนี้ที่ได้รับความนิยมชมชอบจากพวกเขาทุกคน ทั้งยังไปหาคนที่บ้านเพื่อขอให้พาไปพบท่านย่าเป็นกรณีพิเศษอีกด้วย ต้องบอกว่าได้รับเกียรติไม่น้อย
อย่างไรเสียก็ต้องไว้หน้าแต่ละครอบครัวในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นบ้าง หากไม่ต้องการที่จะให้ตระกูลอวิ๋นถูกมองว่าดูถูกพวกเขา ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยจำเป็นต้องพบคนคนนี้ ทั้งยังห้ามเสียมารยาทด้วย เพื่อเข้าเรียนในสถานศึกษา บ้างก็มีผู้ที่คุกเข่าเป็นเวลานานอยู่ด้านหน้าประตู บ้างก็วางอำนาจบาตรใหญ่ บ้างก็ดูถูกเหยียดหยาม สำหรับผู้ที่อาศัยสัมพันธภาพของคนที่รู้จักกันโดยผ่านเหล่าครอบครัวในหมู่บ้านอย่างเป็นทางการก็มีท่านนี้แหละเป็นคนแรกที่ทำ
ชายหนุ่มผู้สุภาพเรียบร้อย ชุดผ้าป่านสีน้ำเงินที่ถูกซักจนซีด ชายแขนเสื้อเริ่มเป็นขุยขนแล้ว สวมรองเท้าฟาง ถึงแม้ว่าจะดูเรียบง่าย แต่ลายปักบนรองเท้าฟางนั้นกลับดูดีกว่าคนอื่นๆ เกล้าผมขึ้นไปอย่างพิถีพิถัน และใช้ผ้าป่านเส้นหนึ่งผูกไว้ ดูท่าทางแล้วเหมือนจะถูกฉีกออกจากเสื้อผ้า หากตอนนี้อวิ๋นเยี่ยถกเสื้อของเขาขึ้นมา คงจะได้เห็นเนื้อผ้าส่วนใดส่วนหนึ่งขาดหายไปเป็นชิ้นใหญ่แน่นอน
แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของอวิ๋นเยี่ยมากที่สุดคือดวงตาคู่นั้นที่กลิ้งกลอกไปมาอยู่ในเบ้าตา ซึ่งไม่ค่อยจะหยุดนิ่งอยู่ที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งนี้ไม่ใช่คนที่จะไว้เนื้อเชื่อใจได้ ถ้วยน้ำของอวิ๋นเยี่ยถูกเจ้าหนุ่มคนนี้รินเพิ่มให้ถึงแปดครั้งแล้ว ซึ่งที่จริงแล้วเพียงแค่จิบเพียงคำเดียวเขาก็จะรินเพิ่มหนึ่งครั้ง
ในช่วงเวลานั้นอวิ๋นเยี่ยไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากพูดแต่เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหนดี กระดาษคำตอบที่สถานศึกษาใช้ในการทดสอบนักศึกษาใหม่จนถึงตอนนี้ก็ยังคงว่างเปล่า ซึ่งก็หมายความว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ทำอะไรไม่เป็นเลย ทำไมเพียงแค่คำปฏิเสธนั้นจะเอ่ยออกจากปากได้ยากถึงเพียงนี้
ที่ด้านล่างสุดของกระดาษคำตอบเขียนไว้เพียงสุภาษิตบทหนึ่งว่า ‘โลกไม่มีวันหยุดนิ่ง คนเราควรรู้จักปรับตัวไปตามกาลเวลา ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่จะพัฒนาตนเอง!’
“เจ้ารู้ความหมายของประโยคนี้หรือไม่” หลังจากครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วอวิ๋นเยี่ยจึงเอ่ยปากถาม
“ผู้เยาว์พอจะรู้อยู่บ้าง ความหมายก็คือ เมื่อสวรรค์ได้ลิขิตไว้แล้ว พวกเราควรคิดว่านี่คือการผายลม แน่นอนว่าควรปิดจมูกและปากของเรา ทนกลั้นหายใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วมันจะผ่านพ้นไป อาจารย์คิดว่าคำตอบของผู้เยาว์นั้นเป็นเช่นไร” ชายหนุ่มมองอวิ๋นเยี่ยอย่างตั้งตารอคอย
อวิ๋นเยี่ยนั้นสีหน้าค่อนข้างบึ้งตึง แล้วมองไปที่บรรทัดนั้นที่พอจะเขียนได้ตามหลักเกณฑ์การเขียนอักษรพู่กัน แล้วมองไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มผู้ตั้งตารอคอย พยายามฝืนระงับอารมณ์และถามอีกครั้งว่า “เจ้าเคยเรียนหนังสือมาก่อนหรือไม่ ท่านใดคืออาจารย์ ข้าอยากพบคนคนนี้”
“ผู้เยาว์ไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน ประโยคนี้ผู้เยาว์ได้ยินมาจากปากของคุณชายตระกูลจาง ฟังดูแล้วมีพลังน่าเกรงขามมากจึงได้จดจำไว้ ไม่เข้าใจถึงความหมายที่แท้จริง จึงไปถามคุณชายตระกูลจาง คุณชายก็ได้อธิบายให้ผู้เยาว์ฟังดังนี้ ผู้เยาว์จึงจดจำขึ้นใจและไม่กล้าลืม” พูดพลางหันไปประสานมือโค้งคำนับทางประตูราวกับกำลังขอบคุณเจ้าขยะตระกูลจาง
“เจ้าไม่ใช่ลูกหลานของผู้มีชาติตระกูลอย่างนั้นหรือ” อวิ๋นเยี่ยถามเขาอีกครั้ง ลูกหลานผู้มีชาติตระกูลของต้าถังไม่ควรจะถูกคนทำให้เหลวแหลกได้ถึงเพียงนี้ มีเหตุผลเพียงข้อเดียวที่ทำให้ตระกูลจางกล้าดูถูกผู้มีความรู้ถึงเพียงนี้นั่นก็คือชายหนุ่มคนนี้อยู่ในสถานะชนชั้นต่ำ
คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะหยิบเอกสารทะเบียนราษฎร์ออกมาจากอกเสื้อด้วยสีหน้าอันแดงก่ำและพูดเสียงดังว่า “ผู้เยาว์เป็นลูกหลานผู้มีตระกูลตั้งแต่เดือนที่แล้ว แม่ของข้าก็เช่นกัน เป็นตั้งแต่เดือนที่แล้ว นี่เป็นเอกสารที่ทางที่ว่าการฉางอันมอบให้”
อวิ๋นเยี่ยจับข้อสงสัยได้จากคำพูดของเขาแต่ไม่พูดอะไรแล้วรับเอกสารมา เปิดออกอ่านเป็นไปตามที่คาดไว้ นี่เป็นเอกสารประกาศเลิกฐานะทาสซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อเดือนที่แล้ว ทว่าข้อความบนเอกสารนั้นทำให้อวิ๋นเยี่ยต้องตกตะลึง
เพื่อให้ได้มาซึ่งสถานะของหญิงชราที่ขาเน่าและมีเงินเพียงแปดร้อยเหวิน ชายหนุ่มชวีจั๋วได้ทำงานในตระกูลจางพ่อค้าข้าวมานานกว่าสิบปี ไม่รู้ว่าทำไมตอนนั้นชวีจั๋วจึงต้องเซ็นสัญญาเช่นนี้ แต่เมื่ออ่านจากสัญญาเขาที่อายุแปดขวบในตอนนั้นควรจะเป็นลูกหลานของผู้มีตระกูลแต่ไม่ใช่ทาส
ชาติกำเนิดของเขานั้นควรค่าแก่การเห็นอกเห็นใจ แต่ความรู้ของเขายังห่างไกลจากมาตรฐานการรับเข้าเรียนของสถานศึกษามากนัก หากใจอ่อนชั่วขณะแล้วยอมรับเขาไว้มันจะไม่ยุติธรรมอย่างที่สุดสำหรับนักเรียนคนอื่นๆ ที่สอบเข้าเรียน
“ชวีจั๋ว ความรู้ของเจ้ายังห่างไกลเกินไป สถานศึกษาไม่สามารถรับเจ้าเข้าเรียนได้ อีกทั้งเจ้าก็ยังพลาดเวลาสอบไปแล้ว ดังนั้นเจ้ากลับไปเสียเถอะ ไปปรับพื้นฐานความรู้ของเจ้าแล้วค่อยมาใหม่อีกครั้ง”
อวิ๋นเยี่ยค่อนข้างทนดูท่าทีที่ผิดหวังของชวีจั๋วไม่ได้ จึงตั้งใจก้มหน้าลง เคราะห์กรรมที่เขาเผชิญและความเข้มแข็งของเขาได้ทำให้อวิ๋นเยี่ยมีความรู้สึกที่ดีสำหรับเขาพอสมควร
เขาไม่ได้ยินเสียงถอนหายใจของความผิดหวังและไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ มีเพียงเสียงแสดงความดีใจ อวิ๋นเยี่ยประหลาดใจจนเงยหน้าขึ้นและพบว่าชวีจั๋วกำลังหัวเราะอย่างมีความสุข ไม่เศร้าโศก เพียงแต่กำลังดีใจและหัวเราะอย่างใสซื่อ
บางทีอาจเป็นเพราะเห็นสีหน้าอวิ๋นเยี่ยที่แปลกประหลาดใจ ชวีจั๋วพูดเสียงดังว่า “อาจารย์ สถานศึกษาอวี้ซันเป็นสถานศึกษาที่ดีที่สุดในต้าถังและเป็นสถานศึกษาหลวงด้วย ท่านบอกว่าข้าถูกปฏิเสธเพราะไม่มีความรู้เพียงพอใช่หรือไม่”
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ เนื่องจากความรู้ของเจ้ายังไม่ผ่านเกณฑ์ ไม่ใช่ด้วยเหตุผลอื่นใด” อวิ๋นเยี่ยก็เข้าใจทันทีว่าว่าทำไมเขาถึงหัวเราะอย่างมีความสุข จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“ข้าไม่กลัวว่าอาจารย์จะหัวเราะเยาะ ข้ารู้จักหนังสือไม่กี่ตัว ตัวอักษรที่เขียนได้ก็ลอกมาจากบนป้ายหิน ข้ารู้ดีว่าความรู้ไม่เพียงพอ ดังนั้นผู้เยาว์จึงไม่ได้มาสมัครเป็นนักเรียน ข้าอยากทำงานเบ็ดเตล็ดในสถานศึกษา อาจารย์เห็นเป็นอย่างไร”
คำพูดนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยแทบอยากกระอักเลือด ตนเองตกหลุมพลางของเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเข้าให้แล้ว แทนตัวเองว่าผู้เยาว์ทุกประโยคทำให้อวิ๋นเยี่ยเชื่อสนิทใจว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ต้องการมาสมัครเป็นนักเรียน ใครจะรู้ว่าเขาเพียงแค่ต้องการทำงานเบ็ดเตล็ด ไม่ผ่านเกณฑ์การเป็นนักเรียน หรือจะบอกว่าจะทำงานเบ็ดเตล็ดทั่วไปก็ไม่ผ่านเกณฑ์
เมื่อปฏิเสธคนไปครั้งหนึ่งแล้ว หากจะปฏิเสธครั้งที่สองก็ไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหนุ่มคนนี้ได้นำชั้นเชิงด้านประสบการณ์การหางานในยุคปัจจุบันออกมาใช้ อวิ๋นเยี่ยอยากจะเห็นว่าปีศาจน้อยประเภทนี้จะเดินอยู่ในสถานศึกษาไปได้ไกลถึงขั้นไหนกันแน่
อย่างไรเสียในสถานศึกษาตอนนี้ก็เต็มไปด้วยปีศาจมารร้าย เมื่อครู่ก็มีคนหนึ่งที่เพิ่งจะหิ้วถังน้ำผ่านไป ใต้น้ำตกก็มีคนหนึ่งชอบเล่นเหล็ก ในหอเก็บอักษรก็มีคนที่เก็บตัวในห้องสมุดที่ไม่ยอมออกไปไหนยกเว้นทานอาหาร เข้านอน และเข้าเรียน ในสถานที่ประเภทนี้มักจะมีพวกสองโง่คนที่พยายามพิสูจน์ฝีมือกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ฟากซุนซือเหมี่ยวเองก็มีอยู่คนหนึ่งที่มักจะชอบโยนเหล็กและทองแดง หรือแม้แต่ก้อนเงินที่ยืมจากอวี้ฉือเพื่อโยนลงไปในกรดซัลฟิวริกเพื่อดูว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่
เมิ่งปู้ถงมองดูท้องฟ้าตลอดทั้งวัน จินตนาการว่าสักวันหนึ่งเขาจะบินได้ มองหวงสู่ที่ไปทั่วทุกหนทุกแห่งเพื่อค้นหาไผ่ทองของสุสานโบราณ หลีสือที่นั่งอยู่ในห้องเก็บโครงกระดูกไดโนเสาร์ที่คิดถึงอดีตและอนาคตของหิน จ้าวเอี๋ยนหลิงที่เอาแต่ตวงน้ำตลอดทั้งวัน ตระกูลกงซูที่ใช้ท่อนฟืนมาสร้างพระราชวังเล็กๆ
สำหรับคนบ้าที่กระโดดหน้าผาด้วยร่มชูชีพ ได้แทงเข็มไว้บนร่างกายตนเอง ฝึกแสดงการบรรยายกับต้นไม้ไม่หยุดหย่อน สำหรับสถานศึกษาแล้วตอนนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ชวีจั๋วก้มตัวลงและหดคอเหมือนคนรับใช้ทั่วไป แต่ดวงตาของเขากลับจ้องมองชั้นวางหนังสืออย่างหิวกระหาย อวิ๋นเยี่ยจึงยิ้มเล็กน้อย ปีศาจมารร้ายก็มีจำนวนไม่น้อยแล้ว เพิ่มอีกหนึ่งจะเป็นอะไรไป
ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...
ตอนที่ 24 สายลมทางใต้ค่อยๆ เริ่มพัดผ่าน
โบราณว่าไว้หากพ้นช่วงเจ็ดสิบสามและแปดสิบสี่ได้ ยมบาลจะไม่เรียกตัวไปพบ หลี่กังได้ผ่านพ้นช่วงอายุเจ็ดสิบสามปีที่ยากจะผ่านไปได้แล้ว พรุ่งนี้เตรียมที่จะฉลองวันเกิดครั้งใหญ่ แต่เนื่องจากไม่ใช่วันเกิดฉลองครบรอบแปดสิบปี เขาจึงเตรียมจะเชิญญาติสนิทมิตรสหายมาดื่มกินกันเท่านั้นเอง ลูกชายและลูกสะใภ้ต่างก็ออกตรวจราชการอยู่ต่างเมือง ข้างกายมีเพียงภรรยาและหลานชายที่เป็นญาติห่างๆ รู้สึกว้าเหว่เป็นอย่างมาก
บางครั้งอวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกผิดมาก มักคิดว่าตนกักขังชายชราอายุเจ็ดสิบกว่าปีไว้ในสถานศึกษาจนไม่ได้อยู่กับลูกอย่างพร้อมหน้า ซึ่งเป็นการกระทำที่โหดร้ายมากอย่างหนึ่ง อยากจะขอให้เขาหยุดพักสักช่วงหนึ่ง อย่างน้อยก็กลับบ้านเยี่ยมเยียนกันบ้าง ใครจะคิดว่าเมื่อหลี่กังได้ยินกลับหัวเราะอย่างมีความสุขและบอกว่าเขาลำบากตรากตรำมาชั่วชีวิตแต่ก็ไม่มีผลงานอะไร กว่าจะมีโอกาสฝากชื่อไว้ให้ชนรุ่นหลังรู้จักนับพันปีไม่ใช่เรื่องง่าย หากเพราะความรู้สึกส่วนตัวที่มีต่อลูกๆ แล้วต้องพลาดโอกาสไปนั่นจึงจะเป็นเรื่องน่าเสียดายที่สุดแห่งยุคเลย
อวิ๋นเยี่ยเป็นคนที่ความคิดหยาบกระด้าง ในเมื่อเหลาหลี่เองยังไม่ใส่ใจ แน่นอนว่าเขาจึงยิ่งไม่สนใจ ในยุคปัจจุบันได้เห็นคนชราต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเป็นปกติ เหลาหลี่มีภรรยาและหลานชายอยู่เป็นเพื่อนนับว่าดีมากแล้ว หลานชายเขาไม่ใช่คนที่ว่องไวปราดเปรียวอะไร ภรรยาหลานก็เป็นลูกสาวของครอบครัวเล็กๆ ทั้งคู่รู้เพียงแต่ว่าต้องดูแลเหลาหลี่สองสามีภรรยาให้ดี ชั่วชีวิตนี้พวกเขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการใช้ชีวิตแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามทำอย่างเต็มที่ซึ่งเหลาหลี่ก็พอใจเป็นอย่างมาก เพียงแต่ในตอนต้นเดือนของแต่ละเดือนเหลาหลี่จะนั่งเพียงลำพังอยู่ในเรือนเล็กอย่างอ้างว้าง ไม่ยอมพบใครและยังอารมณ์เสียง่ายด้วย ทั้งหลานชายและหลานสะใภ้ก็จะอยู่ห่างๆ ไม่กล้าที่จะเข้าไปยุ่มย่ามกับเขา
หลังจากนำเค้กเข้าเตาอบ อวิ๋นเยี่ยก็แบกจอบเดินไปที่สวน ก่อนที่เขาจะเดินทางไปที่ทุ่งหญ้านั้น เขาฝังไหเหล้าหมักไว้ใต้ต้นเหมย คิดอยากจะพัฒนาตนเองให้ดูเหมือนผู้มีความรู้กับเขาบ้าง ก็ไม่รู้ว่าทำได้มากน้อยสักเท่าไหร่ จึงขุดขึ้นมาดู พรุ่งนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของเหลาหลี่ อย่างไรก็คงต้องมีของขวัญมอบให้เสียหน่อย จะได้ไม่ถูกพวกเขาหัวเราะเยาะเอา
ผีหลอกกลางวัน ขุดอยู่เป็นนานก็ไม่เจอไหเหล้า ขุดหลุมขนาดใหญ่เพียงนี้แล้วก็ยังไม่เจออีก “ใครขโมยเหล้าข้าไป?”
เมื่อเห็นโหวเยี๋ยร้องโวยวายอยู่ในสวนดอกไม้ เหล่าคนรับใช้และสาวใช้ต่างก็สั่นเทาไม่หยุดหย่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ของหายไปในบ้านตระกูลอวิ๋น ซินเยวี่ยพยุงท่านย่าเดินออกมาจากในห้อง เห็นอวิ๋นเยี่ยที่กำลังเกรี้ยวกราดอย่างมากคว้าคอเสื้อคนรับใช้ถามความซึ่งดูไม่เหมาะสมเอาเสียจริงๆ
“เยี่ยเอ๋อร์ มีอะไรหายไป ถึงขั้นที่จะเสียอารมณ์มากมายเพียงนี้หรือ ในเมื่อมันหายไป ก็ช่างเถอะ ย่าชดใช้ให้เจ้าเอง” แม่เฒ่าปลอบโยนอวิ๋นเยี่ยด้วยรอยยิ้ม ทั้งยังโอ๋เขาเหมือนเด็กเล็กด้วย ซินเยวี่ยที่อยู่ด้านข้างหัวเราะจนจะท้องแข็งอยู่แล้ว
“เมื่อปีที่แล้วก่อนที่ข้าจะจากไปได้ฝังไหเหล้าไว้ใต้ต้นไม้นี้ แต่ตอนนี้มันหายไปแล้ว ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ข้าเตรียมไว้เป็นของวันเกิดของอาจารย์หลี่” อวิ๋นเยี่ยไม่ยอมเลิกรา หากวันนี้ไม่ถามให้รู้ความสาบานได้เลยว่าจะไม่ยอมรามือ
“โธ่เอ๋ย หลานรัก เช่นนั้นเจ้าก็ถามผิดคนแล้ว มันไม่เกี่ยวกับคนรับใช้ เจ้าควรมาถามย่าจึงจะถูก เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าสวนดอกไม้แตกต่างไปจากตอนที่เจ้าจากไปหรือ ต้นเหมยที่เจ้ากำลังขุดอยู่นั้นเป็นต้นที่เพิ่งปลูกใหม่เมื่อต้นฤดูใบไม้ผลิ ที่นั่นจะมีไหเหล้าฝังอยู่ได้อย่างไรกัน”
เมื่อมองไปรอบๆ ก็ดูเหมือนว่ามันแตกต่างไปจากเมื่อก่อนจริงๆ มีต้นไม้ดอกไม้เพิ่มขึ้นมากมาย เพียงแค่ต้นเหมยก็เพิ่มมาหลายต้น เมื่อก่อนดูเหมือนว่าทั่วทั้งสวนจะมีเพียงแค่หนึ่งต้น ทั้งตำแหน่งก็เปลี่ยนไป คราวนี้แย่แล้ว เว้นแต่ว่าขุดให้ทั่วทั้งสวนนี้ ไม่เช่นนั้นคงหาไม่พบแน่
ช่างเถอะ ไม่หาแล้ว ต้นไม้ดอกไม้เหล่านี้เป็นพันธุ์แปลกประหลาดที่หายากที่ท่านย่าตั้งใจหามาเป็นพิเศษ หากขุดทั้งหมดมันก็ค่อนข้างจะได้ไม่คุ้มเสีย หาของขวัญชิ้นใหม่แทนก็แล้วกัน คิดๆ ดู เหล้าองุ่นหมักก็ไม่เลว กองคาราวานของตระกูลเฉิงคบค้ากับซีอวี้มานานปี จะหาของดีๆ ชั้นเลิศสักชิ้นสองชิ้นไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร
อารมณ์เสียจนเกือบจะลืมเค้กในเตาเลย คิดว่าน่าจะอบได้เวลาที่พอเหมาะแล้ว
จึงได้หยิบเค้กที่อบเสร็จแล้วออกมา ไม่เลว ยังใช้ได้ อบไปทั้งหมดสองชิ้นใหญ่และสามชิ้นเล็ก ตัดส่วนที่อบแล้วไหม้ด้านนอกออก ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียดายของ น้องสาวแต่ละคนต่างก็อ้าปากรอเป็นเวลานานแล้ว พวกนางล้วนแล้วแต่ชอบกินบริเวณด้านนอกที่ไหม้ จากนั้นนำเค้กก้อนเล็กๆ วางบนเค้กก้อนใหญ่ ๆ ระหว่างกลางทั้งสองก้อนปาดน้ำผึ้งไว้บางๆ ก็จะติดหนึบอยู่ด้านบนของเค้กชิ้นใหญ่ เค้กสามชั้นก้อนใหญ่ก็พร้อมแล้ว แยมผลไม้ยังไม่ควรทาในตอนนี้ ไม่เช่นนั้นมันจะไม่สดใหม่ รอให้ถึงวันพรุ่งนี้ที่จะมอบให้ก่อนจึงค่อยทา แล้วนำไปอบในเตาอีกครั้ง รสชาติจะต้องถูกอกถูกใจของผู้ที่ชิมแน่นอน
ใช้ผ้าขาวบางที่ชุบน้ำหมาดๆ ปิดเค้กเอาไว้และเตือนบรรดาน้องสาวจอมตะกละทั้งหลายไม่ให้ขโมยกิน จากนั้นก็เตรียมจะพ่วงรถม้าไว้ที่วั่งไฉ ตั้งใจไปตระกูลเฉิงเพื่อปล้นทรัพย์เสียหน่อย วั่งไฉเริ่มอ้วนขึ้นมากจนอ้วนกลมไปทั้งตัว ไม่รู้ว่าวันหนึ่งๆ กินอาหารมากแค่ไหน ม้าตัวผู้ของคนอื่นต่างก็ถึงฤดูผสมพันธุ์แล้ว มีเพียงมันตัวเดียวที่ยังคงเที่ยวกินอย่างเอ้อระเหยลอยชาย หรือเป็นเพราะมันแตกจากฝูงม้าเร็วเกินไปจึงทำให้สูญเสียสมรรถนะด้านนี้ไป จึงก้มตัวลงมองที่อวัยวะสืบพันธุ์ของวั่งไฉ ก็ไม่เป็นปัญหาอะไรนี่ ก็เจริญเติบโตสมบูรณ์ตามวัย นอกจากที่อ้วนเกินไปแล้วก็ไม่มีปัญหาใดๆ เมื่อวานยังเห็นมันเดินก้มหน้าดมของสิ่งนั้นไปทั่วตลาดอย่างหน้าไม่อาย แล้วทำไมจึงไม่สนใจม้าเพศเมีย เพื่อเรื่องทายาทของมัน อวิ๋นเยี่ยตั้งใจขังวั่งไฉไว้กับม้าเพศเมียหลายๆ ตัว ตามที่คนเลี้ยงม้ามารายงาน ม้าเพศเมียนั้นเดินเข้าหา แต่วั่งไฉกลับไม่สนใจเลย ทั้งยังถูกม้าเพศเมียเหล่านั้นกินอาหารค่ำของมันจนหมดด้วย
โรคอ้วนจะทำให้สูญเสียความต้องการในการผสมพันธุ์หรือ นี่มันร้ายแรงมาก วั่งไฉจำเป็นต้องลดน้ำหนักแล้วก็ต้องทำโดยด่วนด้วย ต่อลงไปเมื่อออกไปข้างนอกต้องให้มันลากรถ ห้ามปล่อยให้มันทำอะไรตามอำเภอใจอีก
ทว่าหลังจากพ่วงรถม้าเสร็จแล้ว วั่งไฉก็เอาหัวมุดดันที่หน้าอกอวิ๋นเยี่ยด้วยท่าทีที่น่าสงสารราวกับเด็กที่ถูกรังแก แล้วมาฟ้องผู้ใหญ่ ขาดก็เพียงแค่ร้องไห้แล้ว สุดจะทนกับท่าทางเช่นนี้ของมันจริงๆ หลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็ทำไม่ลงจนยอมปลดตัวรถออกมา เพียงแค่ปลดตัวรถออกมาก็กลับมานิสัยเสียเหมือนเดิม กัดเสื้ออวิ๋นเยี่ยเพื่อชวนออกไปข้างนอก…
จึงขี่ม้าอีกตัวหนึ่งแทนแล้วทิ้งวั่งไฉไว้ด้านหลัง มุ่งหน้าตรงไปยังตระกูลเฉิง
ตอนนี้ตระกูลเฉิงก็ไม่ชอบอาศัยอยู่ในเมืองฉางอันแล้ว ในตอนนี้เกือบทุกตระกูลใหญ่เริ่มไม่ชอบอาศัยอยู่ในเมือง ขอเพียงแค่ไม่ต้องเข้าประชุม ปกติจะพักอยู่นอกเมือง กฎระเบียบในเมืองยิ่งไม่เป็นที่นิยมอีกต่อไป
การจะเข้าบ้านตระกูลเฉิงแต่ไหนแต่ไรมาไม่จำเป็นต้องรายงาน คนเฝ้าประตูก็จะโค้งคำนับและเรียกคุณชาย เหมือนกับที่เรียกเฉิงฉู่มั่วไม่มีผิดเพี้ยน ล้วนแล้วแต่สนิทชิดเชื้อกันแล้วจึงนำม้าที่อวิ๋นเยี่ยขี่มาเข้าไปในคอกม้า และเชิญองครักษ์เข้าไปดื่มชาด้านใน สำหรับวั่งไฉนั้นมันเป็น ‘ท่านชาย’ ในตระกูลอวิ๋น ตระกูลเฉิง ตระกูลหนิว ทั้งสามตระกูลนี้มันสามารถเดินเข้านอกออกในตามสบาย เดินอย่างคุ้นเคยกับเส้นทางไปหาหญิงที่มักจะให้ขนมมันกินแล้ว
มีสถานที่หลายๆ แห่งที่วั่งไฉสามารถไปได้ แต่อวิ๋นเยี่ยนั้นกลับไม่สะดวกเอาเสียมากๆ เช่น ที่พักของจิ่วอีซึ่งไม่ได้พบกันมานานแล้ว ตอนนี้หญิงสาวที่ระหกระเหินในวันเก่าก่อนซึ่งตอนนี้ได้แต่งงานเข้ามาในตระกูลใหญ่แล้ว แม้นางจะเป็นเพียงอนุภรรยาแต่ก็เป็นคนที่มีระดับ ตามกฎตำแหน่งในตระกูลเฉิง นางอยู่ในฐานะฮูหยินขั้นเก้าแล้ว ท้องของนางเองก็เป็นใจด้วยเป็นอย่างมาก นางได้ให้กำเนิดลูกสาวคนแรกให้แก่เฉิงฉู่มั่วนานแล้ว ซึ่งนี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ถ้าหากให้กำเนิดลูกชายและเมื่อองค์หญิงอภิเษกเข้ามาในตระกูล ด้วยนิสัยขององค์หญิงชิงเหอหลี่จิ้ง นางคงได้ไปเกิดใหม่ตั้งนานแล้ว
ลูกสาวเพิ่งจะอายุได้เพียงหนึ่งขวบ ซึ่งกำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่บนท้องของเฉิงฉู่มั่ว ขยับขึ้นลงตามท้องของเฉิงฉู่มั่ว ราวกับกำลังไกวเปล จิ่วอีนั่งอยู่ข้างๆ คอยใช้พัดโบกลมให้กับสองพ่อและลูก พลางไล่แมลงวันไปด้วย แววตาเอ่อล้นไปด้วยความสุข
วั่งไฉเดินเตาะแตะเข้ามา ซึ่งนี่คือลางบอกเหตุว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังจะมา จิ่วอีจัดเสื้อผ้าที่สวมอยู่ให้เรียบร้อย จากนั้นก็ลุกขึ้นเตรียมตัวต้อนรับอวิ๋นเยี่ย อนุภรรยาของบ้านอื่นนั้นจะไม่รับแขก ประการแรกคือไม่มีฐานะเช่นนั้น และอีกประการคือจะถูกผู้อื่นมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม
กฎเกณฑ์ของคนทั่วไปไม่มีอยู่ระหว่างอวิ๋นเยี่ยและเฉิงฉู่มั่ว เฉิงฉู่มั่วสามารถให้เสี่ยวยาขี่คอกระโดดโลดเต้นได้ในบ้านตระกูลอวิ๋น ทั้งสองสามารถเล่นบนกระดานหมากรุกตลอดทั้งวันกับท่านย่า ซินเยวี่ยนั่งทานอาหารที่โต๊ะโดยไม่ยึดติดธรรมเนียมใดๆ พี่น้องร่วมอุทรยังไม่ทำเช่นนี้เลย
บางทีอาจเป็นเพราะน้ำนมบนร่างสาวน้อยตัวเล็กๆ นั้นมีกลิ่นหอม วั่งไฉจึงแลบลิ้นเลียก้นของสาวน้อยตัวเล็กๆ ที่ไม่ได้สวมอะไรไว้ คิดว่ารสชาติคงไม่ดีนัก จึงสะบัดลิ้นและจามหนึ่งทีจนน้ำลายกระเด็นเต็มหน้าเฉิงฉู่มั่ว
“ฝนตกหรือ” เฉิงฉู่มั่วตกใจตื่นขึ้นมองดูรอบๆ อย่างงุนงง เห็นหัวใหญ่ๆ ของวั่งไฉอยู่เบื้องหน้าก็ผลักหัวใหญ่นั้นออกไปด้วยความหงุดหงิด “ไสหัวไปไกลๆ เพิ่งจะหลับไป เจ้าก็เข้ามาก่อความวุ่นวาย”
อุ้มลูกสาวแล้วลุกขึ้นมาก็เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินผ่านประตูโค้งเข้ามา จึงหัวเราะขึ้นในทันใด ระยะนี้สองพี่น้องแทบไม่ได้เจอหน้ากันเลย เฉิงฉู่มั่วถูกฮ่องเต้แต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าหน่วยเวรพระราชฐานฝ่ายใน ปฏิบัติงานอยู่ในวังตลอดทั้งวัน แน่นอนว่าจึงไม่มีเวลาไปที่เขาอวี้ซันมากนัก ตอนนี้เมื่อได้พบกันจึงมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง
“ข้าได้ยินยามเฝ้าบ้านบอกว่าเจ้าได้หยุดพักในวันนี้ เป็นอย่างไรบ้าง งานหน่วยลาดตระเวนพอไหวหรือไม่”
“ยังจะมีแบ่งดีกับไม่ดีอีกหรือ พวกหน่วยเวรพระราชฐานฝ่ายในล้วนแล้วแต่เป็นลูกหลานขุนนางที่สร้างความชอบ เวลาเข้าเวรก็จะคุยโว เมื่อออกเวรก็ไปเที่ยวหอคณิกากินดื่มและเล่นการพนันกัน แม้ว่าจะมีบางอย่างผิดปกติภายในระยะหนึ่งกิโลเมตร เรื่องก็มาไม่ถึงพวกเราที่จะไปจัดการได้ คนของหน่วยข่าวกรองก็จะยื่นมือเข้ามาและจัดการเอง ข้าเป็นพวกที่ใส่เสื้อเกราะหนากว่าคนอื่นแล้วยืนอยู่ด้านนอกประตูตำหนักเป็นท่อนไม้ แม้ว่าจะต้องสวมชุดเกราะที่เปล่งประกายไปทั้งตัว แต่ว่าของก็คุ้มราคาจริงๆ ข้าจะลองใส่ให้เจ้าดู” พูดพลางส่งลูกสาวให้กับจิ่วอี เตรียมจะสวมเสื้อเกราะโอ้อวดให้อวิ๋นเยี่ยดูสักหน่อย
“พอแล้ว นิสัยเก็บอะไรไว้ไม่อยู่เช่นเจ้า ใช่ว่าไม่เคยเห็น จะโอ้อวดทำอะไรของเจ้า เจ้าช่วยหาเหล้าองุ่นหมักที่ดีที่สุดมาให้ข้าที ข้าจะนำมันกลับไปด้วย พรุ่งนี้เป็นวันเกิดอาจารย์หลี่ ข้าตั้งใจมาเอาเหล้าโดยเฉพาะ”
“ฮ่าๆ เจ้าเองก็น่าจะรู้ โดยปกติแล้วเหล้าที่ดีที่สุดมักจะต้องตกถึงท้องก่อนเสมอ แต่ว่าในห้องคลังของท่านพ่อน่าจะยังมีเหล้าชั้นเยี่ยมอยู่สองถัง หากท่านพ่อกลับมาแล้วรู้ว่าข้าดื่มมันคงต้องถลกหนังข้าแน่ แต่ถ้าหากเป็นเจ้าเอาไปเขาจะต้องไม่ว่าอะไรแน่ ไม่รู้ว่าระหว่างเราสองคนใครเป็นลูกในไส้ของเขา ได้ยินว่าอวี้ฉือจอมโง่ตั้งใจลาพักโดยเฉพาะเพื่อเตรียมตัวไปเขาอวี้ซันสักครั้ง โดยบอกว่าจะไปหาหนังเสือมาผืนหนึ่งเพื่อมอบให้อาจารย์หลี่ เรื่องนี้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงแล้ว ไม่รู้ว่ามันจะประสบความสำเร็จหรือไม่ เสือนั้นจะมีเพียงในพื้นที่ล่าสัตว์ของราชนิกูลเท่านั้น ไม่รู้ว่าเขาจะไปจับเสือมาถลกหนังได้อย่างไร”
ข้อมูลข่าวสารระหว่างเหล่าคุณชายจอมเสเพลนั้นรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ อวิ๋นเยี่ยเองก็เพิ่งจะรู้ในตอนเช้า ใครจะคิดว่าเฉิงฉู่มั่วรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว
“เขาไปกับต้วนเหมิ่ง อุทยานหลวงนั้นคนทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้ พวกเขาทั้งสองคงจะมีวิธีอยู่ เพียงแค่จับเสือหนึ่งตัวเท่านั้น ไม่มีอะไรมากมาย” ทั้งสองคนพูดคุยกันและปล่อยให้วั่งไฉยืนอย่างเดียวดายอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นว่ามันรอมานานแล้วแต่ก็ไม่มีใครให้ขนมมันกินเลย จึงเอาหัวดันจิ่วอีด้วยความรำคาญเร่งนางให้รีบๆ หน่อย จิ่วอียิ้มแล้วพาวั่งไฉไปที่สวนหลังบ้าน ทุกๆ ครั้งวั่งไฉจะนำความสุขที่หายากมาฝากนาง ท่าทางที่ดูซื่อบื้อของวั่งไฉขณะกินขนมนั้นน่าขันมาก
“เตรียมคนที่บ้านให้มากขึ้นอีกหน่อย หลายวันนี้เตรียมตัวเดินทางไปทางใต้ จะให้ดีก็ขอให้เป็นคนทางใต้ ว่ายน้ำเป็น ข้าเตรียมจะก่อตั้งการค้าให้พวกเราสองสามตระกูลอีกแห่งทางตอนใต้ การหารายได้จากเมืองฉางอันมันช้าเกินไปจริงๆ”
สถานศึกษาเพียงแค่รับนักเรียนเพิ่มมาเพียงสามสี่ร้อยคนเท่านั้น เห็นทีว่าอาคารเรียนจะไม่เพียงพอ ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ความต้องการของเหล่าอาจารย์ก็เพิ่มมากขึ้น จ้าวเอี๋ยนหลิงต้องการหอดูดาว หลิวเซี่ยนเรียกรองว่าต้องมีสนามฝึกยุทธ์ที่ดีที่สุด ห้องฝึกยุทธ์ที่ปูพื้นไม้ตอนนี้มีขนาดเล็กเกินไปแล้ว ซึ่งจะส่งผลต่อประสิทธิภาพของการฝึกซ้อมของนักเรียน ซุนซือเหมี่ยวกำลังเตรียมสร้างโรงพยาบาลตามจินตนาการของเขา เทียบยอดยุทธ์ได้ถูกแจกออกไปหมดแล้ว พวกที่อยากจะประลองพิสูจน์ความสามารถจากทั่วทุกทิศไม่นานนักก็จะมาถึงยังสถานศึกษา ซึ่งทั้งหมดนี้สถานศึกษาจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่าย
รู้ว่านี่เป็นความคิดแผลงๆ ของพวกหลี่กัง ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงกลัวว่าอวิ๋นเยี่ยจะมีเงินเป็นกอบเป็นกำอยู่ในมือของเขานัก ขอเพียงแค่สถานศึกษาเก็บสะสมเงินได้จำนวนหนึ่ง เขาจะต้องหาทางใช้เงินเหล่านั้นออกไปให้หมดให้ได้เพราะอยากที่จะควบคุมให้อวิ๋นเยี่ยตั้งใจอยู่กับการหารายได้ จะได้ลดโอกาสในการโต้แย้งระหว่างอวิ๋นเยี่ยกับเหล่าขุนนางเก่าแก่ในราชสำนักให้น้อยลง ซึ่งเหตุการณ์ช่วงก่อนคงทำให้พวกเขาตกใจกลัวเป็นอย่างมาก
ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...
ตอนที่ 25 อายุยืนยาวกว่าต้นสนพันปีแห่...
หลี่กังที่สวมชุดยาวสีน้ำตาลที่ปักอักษร ‘โซ่ว’ สวมรัดเกล้าทรงสูงซึ่งกำลังนั่งบนเก้าอี้ไท่ซือช่างดูสง่าน่าเกรงขาม หากแบ่งกันตามอายุแล้วในสถานศึกษาเขาสูงวัยที่สุด หากพูดถึงคุณสมบัติและความรู้ยกให้เขาเป็นพี่ใหญ่ก็สมควรแล้ว ในเมื่อวันนี้ไม่มีคนนอก ตาเฒ่าจึงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ ขี้เกียจแม้แต่จะขยับกาย นั่งดูเหล่านักเรียนกำลังยุ่งวุ่นวายอย่างภาคภูมิใจ มีอายุมาจนถึงป่านนี้ก็นับว่าอยู่มานานพอจนมีคุณสมบัติและประสบการณ์ชีวิตที่มากพอ
ในสถานศึกษามีความเคยชินที่ประหลาดอย่างมากอยู่อย่างหนึ่งก็คือการพยายามอย่าใช้คนรับใช้ให้มากที่สุด ในบ้านของอาจารย์หลายๆ คนอย่างมากที่สุดก็จะมีคนรับใช้ที่ภักดีเพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น ซึ่งมีหน้าที่ทำความสะอาดลานบ้าน หาบน้ำและงานหนักอื่นๆ ในสถานศึกษาปลูกต้นไม้น้อยมาก โดยมากจะเป็นผักสวนครัวหรือธัญพืช ซึ่งเจ้าของบ้านลงมือปลูกเอง การปลูกมันฝรั่งมีแนวโน้มการแพร่กระจายมากขึ้นในช่วงสองปีที่ผ่านมา เหล่าอาจารย์ไปที่บ้านตระกูลอวิ๋นเพื่อขอมันฝรั่งสักหนึ่งถึงสองลูกเพื่อนำไปปลูกในสวน จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของในการบ่งบอกฐานะไปเสียแล้ว
มันฝรั่งที่ราชนิกูลปลูกเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วมีน้ำหนักหน้าตกใจถึงห้าพันจิน[1]ต่อพื้นที่หนึ่งหมู่[2] ถือได้ว่าได้ทำให้ชื่อที่ว่าเป็นสมบัติมงคลเป็นความจริงขึ้นมาจนได้ ข่าวลือหลายๆ อย่างเกี่ยวกับอวิ๋นเยี่ยในราชสำนักก็ถูกกลบหายเข้ากลีบเมฆทันที ต่างก็พากันปิดปากสนิท ไม่ว่าอวิ๋นเยี่ยจะเป็นคนเลวร้ายหรือไม่แต่ด้วยความสำเร็จเรื่องมันฝรั่งนี้ก็เพียงพอที่จะให้ตระกูลอวิ๋นอยู่เสพสุขความมั่งคั่งได้กว่าร้อยปี ตั้งแต่ในวังตลอดไปจนถึงชาวบ้านทั่วไปไม่มีข้อถกเถียงกันเกี่ยวกับฐานันดรศักดิ์ของตระกูลอวิ๋นเลยแม้แต่น้อย คิดว่าเป็นสิ่งสมควรแล้วที่จะได้รับ แม้แต่คำวิพากวิจารณ์ที่มีต่อราชวงศ์อย่างรุนแรงก็ยังมีพูดกันต่อๆ มาด้วย ตอนนี้ไม่ว่าอวิ๋นเยี่ยพบใครก็ยิ้มทักทาย แสดงท่าทางว่าขอเพียงมีข้าอยู่ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
อย่างไรเสียระหว่างการยกย่องและชมเพื่อให้หลงระเริงจนพลาดพลั้งก็ยังมีข้อแตกต่างกันอยู่ หลี่ซื่อหมินเคยกล่าวไว้ว่าเขาจะไม่พิจารณาเรื่องฐานันดรศักดิ์ของตระกูลอวิ๋นภายในสิบปีนี้ ซึ่งนี่เป็นผลมาจากการที่จั่งซุนเชื่อมโยงเรื่องเข้าหากันอยู่เบื้องหลัง อวิ๋นเยี่ยซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก คนเราควรรู้จักพอ หากละโมภเกินไปหรือหยิ่งผยองเกินควรมักจะไม่ลงเอยด้วยดี ตำแหน่งโหวเจวี๋ยเหมาะกับอวิ๋นเยี่ยที่อายุสิบแปดปีเป็นอย่างมาก หากมีตำแหน่งสูงสุดตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วจะให้ราชนิกูลแต่งตั้งอะไรคุณอีก คงได้แต่นั่งรอนอนรอไปวันๆ จนตายเท่านั้นเอง
แขนของเฉิงฉู่เลี่ยงถูใบข้าวโพดในกระถางดอกไม้เพียงเล็กน้อย ใบหน้าของหลี่กังนั้นก็กระตุกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนกลับมาเป็นใบหน้าที่เมตตาโอบอ้อมอารี ใจดีเป็นที่สุดอีกครั้ง เมื่อฉินซวงเทชาสมุนไพรลงในกระถางดอกไม้อย่างไม่ใส่ใจ เหลาหลี่ก็หน้าบึ้งถมึงตึง คว้าฉินซวงไว้และตำหนิเขาเป็นเวลาสิบห้านาทีเต็มๆ นอกจากนี้ยังให้เขายืนเฝ้าอยู่ข้างต้นข้าวโพดให้ดี หากใครที่กล้าแตะต้องข้าวโพดอีก เขาจะจับฝังดินทำเป็นปุ๋ยให้ข้าวโพดเลย
เมื่อปีที่แล้วเห็นข้าวโพดที่ตระกูลอวิ๋น ก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นมาก ไม่เคยเห็นพันธุ์พืชชนิดนี้มาก่อน ข้าวโพดฝักหนึ่งแขวนอยู่ใต้ชายคาบ้านของแม่เฒ่าตระกูลอวิ๋น สีเหลืองอร่ามทั้งยังใช้ผ้าขาวบางปิดเอาไว้ ไม่ว่าใครก็ห้ามแตะต้อง ใครกล้าแตะจะตีให้ขาหักเลย แม้แต่เสี่ยวยาจอมซนที่สุดก็ยังไม่กล้า
จึงวนเวียนวุ่นวายไม่ยอมเลิกราจนได้เมล็ดข้าวโพดมาสิบเมล็ด เริ่มปลูกในกระถางดอกไม้ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ การรดน้ำใส่ปุ๋ยด้วยตนเองทั้งสิ้น เมล็ดพันธุ์ของตระกูลอวิ๋นก็ยอดเยี่ยมดี ต้นกล้าข้าวโพดสิบต้นงอกขึ้นมาจากดิน เพื่อข้าวโพดสิบต้นนี้ยังได้ยกกระถางให้สูงขึ้นอีกเป็นกรณีพิเศษ นอกจากภรรยาเขาจะสามารถรดน้ำได้เมื่อเขาไม่อยู่แล้ว หากใครแตะต้องถึงแก่ความตาย เพราะหลานชายไปจุ้นจ้านจึงถูกเตะไปหลายครั้ง
“เหลาหลี่ นั่นก็แค่พืชพันธุ์ไม่กี่ต้นเองไม่ใช่หรือ เด็กๆ แตะต้องมันโดยไม่ได้ตั้งใจ ว่ากล่าวกันเพียงไม่กี่คำก็พอแล้ว ถึงขั้นจะต้องโกรธจัดในวันมงคลอย่างนี้หรือ” ฉินฉยงเห็นลูกชายของเขายืนตากแดดใต้ดวงอาทิตย์ที่ร้อนมาก รู้สึกน่าสงสารจึงขึ้นมาขอร้อง
“เจ้าจะไปรู้อะไร” ตอนนี้เหลาหลี่วางอำนาจมาก ผู้ปกครองนักเรียนคนหนึ่งจะสามารถไปพูดเล่นกับเขาได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน “เครื่องลายคราม ภาพวาดอักษร เครื่องเคลือบและเครื่องหยกที่บ้านหากถูกเด็กๆ ทำเสียหาย แน่นอนว่าข้ายังคงหัวเราะและยิ้มรับได้ ถือเสียว่าเป็นการฟาดเคราะห์ไป ใครจะไปถือสาหาความเอากับเด็กๆ แต่พันธุ์พืชเหล่านี้นั้นไม่เหมือนกัน นี่เป็นพืชพันธุ์ใหม่ที่ได้ยินมาว่าภายหน้าจะมีผลผลิตถึงสิบตั้น[3] เพาะเลี้ยงมากขึ้นอีกหนึ่งต้นภายหน้าก็จะได้มีเมล็ดมากขึ้นด้วย เหล่าชาวบ้านก็จะกินอิ่มปากอิ่มท้องกันเร็วขึ้น เจ้าหาว่าที่ข้าโกรธนั้นผิดหรือ”
ดวงตาของฉินฉยงแทบจะถลนออกจากเบ้า “เหลาหลี่ นี่เป็นเรื่องจริงหรือ” เขาอยากยืนยันให้แน่ใจมากยิ่งขึ้น
“นี่เป็นสมบัติมงคล ข้านั้นเกลียดมากที่สุดก็คือคำพล่ามกล่าวที่ว่านั่นนี่เป็นสมบัติมงคล แต่มันฝรั่งและข้าวโพด หากบอกว่าทั้งสองอย่างนี้เป็นสมบัติมงคล ข้ายกสองมือและสองเท้ายืนยันเห็นด้วย รอให้ข้าวโพดโตเต็มที่ก่อนและหลังจากที่ข้าได้ประเมินผลผลิตแล้ว จะกล่าวยกย่องเป็นสมบัติมงคลด้วยตนเอง ของที่ดีเช่นนี้หากไม่ได้รับการส่งเสริมให้แพร่หลายไปทั่วหล้า นั่นคือความผิดของทางราชสำนัก”
ฉินฉยงเดินมาที่ด้านหน้ากระถางดอกไม้และมองดูข้าวโพดอย่างละเอียด แตะใบข้าวโพดใหญ่ๆ อย่างเบามือ แล้วจึงลูบศีรษะฉินซวง “เจ้าดูให้ดีนะ ห้ามไม่ให้ใครแตะต้องพันธุ์พืชเหล่านี้ ชีวิตคนทั้งบ้านรวมกันก็ยังไม่มีคุณค่ามากพอเท่ากับพืชนี้”
ฉินซวงได้ยินบิดาพูดดังนี้แล้วก็รีบยืนตัวตรงทันที ฝางอี๋อ้ายเพิ่งจะวิ่งเข้ามา ซึ่งห่างจากข้าวโพดหนึ่งจั้งก็ถูกฉินซวงเตะกระเด็นไปด้านข้าง หลี่กังที่ดูอยู่ก็พอใจเป็นอย่างมากและค่อยรู้สึกวางใจไปสนทนาสัพเพเหระกับสหายเก่าอย่างสบายอกสบายใจ
ตอนนี้ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว โต๊ะอาหารของงานเลี้ยงที่จัดขึ้นใต้เพิงไม้เลื้อยก็ถูกจัดไว้เรียบร้อยแล้วเหลือก็แต่รอให้แขกมาร่วมงาน คนรับใช้ที่ยืมตัวมาจากตระกูลอวิ๋นนั้นคล่องแคล่วว่องไว รู้จักจัดโต๊ะงานเลี้ยงไว้บนพรมหนาๆ เพื่อไม่ให้แขกรู้สึกอึดอัดหากต้องนั่งเป็นเวลานานในวันที่อากาศร้อนเช่นนี้
ฝางมาถึงแล้ว ตู้หรูฮุ่ยก็มาแล้ว เว่ยเจิงก็มาพร้อมกับไหเหล้าที่ตนเองหมักเองหนึ่งไห ถังเจี่ยนและหลี่ต้าเลี่ยงมาด้วยกันโดยรถม้าคันหนึ่งที่นั่งได้สองคน พลางชื่นชมทัศนียภาพพลางนั่งอย่างสบายอกสบายใจมาตลอดทาง เพียงแต่ของขวัญค่อนข้างแย่ไปเสียหน่อย ท้ออายุยืนที่ทำจากแป้งหมี่หนึ่งตะกร้าและคุ้กกี้วอลนัทอีกหนึ่งตะกร้าซึ่งเป็นน้ำใจทั้งหมดของพวกเขา
“ท่านอาจารย์หลี่อาศัยอยู่ในดินแดนเทพนิยายแห่งนี้ ที่พักอยู่ในอาคารสูง ตื่นขึ้นก็พบกับภูเขาที่มีชื่อเสียง ยามว่างก็เลี้ยงดูลูกหลาน ช่างทำให้ข้ารู้สึกอิจฉาจริงๆ” ตู้หรูฮุ่ยและหลี่กังสนิทสนมกันเป็นการส่วนตัวเป็นอย่างมาก เพียงแต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสุขภาพไม่ค่อยสู้ดี จึงเริ่มมีความคิดที่อยากจะออกจากราชการกลับบ้านเกิดบ้างแล้ว
“เค่อหมิง เจ้าอายุยังน้อย พูดอะไรท้อใจเช่นนี้ ถ้าข้าจำไม่ผิดเจ้าเพิ่งจะอายุเพียงสี่สิบเอ็ดปีกระมัง ซึ่งกำลังอยู่ในวัยที่สุขภาพร่างกายแข็งแรง เจ้ากรมกรมยุทธการ ซึ่งเป็นช่วงเวลาอันเหมาะสมเป็นอย่างมาก เหตุใดจึงมีใจคิดที่จะออกจากราชการเพื่อเก็บตัว หากสุขภาพร่างการไม่สู้ดีก็มาพักอยู่ที่สถานศึกษาสักสองสามเดือน ให้เหล่าซุนและอวิ๋นเยี่ยได้รักษาปัญหาด้านสุขภาพร่างกายของเจ้า ความเจริญรุ่งเรืองของต้าถังเรากำลังจะเริ่มเปิดฉากขึ้นแล้ว ฝ่าบาทจะขาดบุคคลากรอย่างเจ้าได้อย่างไร เจ้าดูไม่ใกล้ฝั่งอย่างข้าสิยังคงสามารถกินได้นอนหลับ เตรียมเก็บหอมรอมริบตั้งใจจะใช้ชีวิตไปอีกหลายๆ ปีเพื่อรอดูความเจริญรุ่งเรืองของต้าถัง เจ้าจะมาหมดอาลัยเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
หลี่กังยังคงชื่นชมความสามารถในการตัดบทสนทนาของตู้หรูฮุ่ยเป็นอย่างมาก
“ผู้น้อยมีปากมีเสียงกับอวิ๋นโหวเพราะเรื่องงานของกรมโยธา หวังว่าอาจารย์หลี่จะช่วยเป็นสื่อกลางให้ด้วย” ในตอนนั้นที่ตู้หรูฮุ่ยดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากรมโยธาธิการ เคยมีความคิดที่อยากจะประชันความสามารถกับอวิ๋นเยี่ยให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลยจริงๆ ต่อมาหากไม่เป็นเพราะฮองเฮาออกหน้าคงจะต้องลงเอยเลวร้ายกว่านี้มากนัก ดังนั้นเมื่อคราวนี้มีเรื่องขอความช่วยเหลือจึงลดตัวไม่ค่อยลง แต่สภาพร่างกายนั้นแย่มากแล้วไม่สามารถรอได้อีกต่อไป การที่ฝางเสวียนหลิงพาเขามาคราวนี้ก็มีวัตถุประสงค์จะผูกมิตรกับสถานศึกษา
“ข้าเองก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่งใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี เสวียนหลิง เค่อหมิง พวกเจ้าเป็นเสนาบดีย่อมต้องวางตัวให้เหมาะสม อวิ๋นเยี่ยเจ้าเด็กบ้านั่นกลับไม่รู้จักคิด เป็นคนโง่ที่เจ็บตัวซ้ำซากไม่รู้จักจำ เค่อหมิง เจ้ามาได้ตลอดเวลา ข้าจะจัดการให้เอง ข้าจะแย้งเขาเอง”
เรื่องที่ต้องนั่งตามล้างตามเช็ดให้อวิ๋นเยี่ยเหลาหลี่นั้นทำมานับครั้งไม่ถ้วน ในเมื่อตอนนี้ตู้หรูฮุ่ยต้องการที่จะคืนดีนี่ถือเป็นโอกาสที่ดีซึ่งไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยให้หลุดมือไป อวิ๋นเยี่ยจอมก่อความหายนะ หากลดศัตรูลงได้สักคนก็ควรทำ เค่อหมิงเองก็ไม่ใช่คนเลวอะไร ไม่ควรที่จะผูกใจเจ็บ
รุ่นเหนียงและอวิ๋นเยี่ยเข็ญกล่องขนาดใหญ่มากเดินเข้ามา ระหว่างทางนั้นกลิ่นหอมหวานของเค้กโชยกลิ่นมาตลอดทาง จนเป็นที่สะดุดตา ใครจะคิดว่าเค้กที่เพิ่งทำเมื่อวานนี้จะถูกวั่งไฉแอบกินไปชิ้นใหญ่ ขณะที่อวิ๋นเยี่ยจับได้นั้นชั้นล่างที่ใหญ่ที่สุดนั้นโดนกินไปครึ่งหนึ่งแล้ว หลังจากไล่ตีวั่งไฉอยู่ในสวนอยู่เป็นเวลานานเขาก็รู้สึกว่าเหมือนวั่งไฉถูกใส่ร้าย วั่งไฉปกตินั้นเชื่องมาก หากไม่มีใครนำมาให้กินจะไม่ถือวิสาสะกินเองอย่างเด็ดขาด ซึ่งนี่เป็นนิสัยที่ดีจนมาถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่เคยทำเหลวไหลมาก่อนเลย
จึงอุ้มเสี่ยวยาขึ้นมาแล้วดมที่ปากนางก็ได้กลิ่นหอมหวานที่แรงมาก เสี่ยวหนานก็เช่นเดียวกัน เสี่ยวซีและเสียวเป่ยก็เป็นเช่นนี้ พบหัวโจกของผู้กระทำผิดแล้ว น้องสาวทั้งสี่คนถูกจับนอนคว่ำบนตักและตีก้นดังเพี๊ยะๆ ชักจะกำเริบเสิบสานแล้ว ตนเองขโมยกินยังพอว่า แต่นี่ยังนำเนยบนเค้กไปป้ายที่ปากของวั่งไฉด้วย การใส่ร้ายผู้อื่นนั่นเป็นนิสัยที่แย่มาก
หลังจากตีพวกนางเสร็จแล้วก็ทิ้งไว้ในสวนเพื่อให้สำนึกผิด นำเค้กด้านบนที่ไม่โดนกินให้ท่านย่า อาหญิง ป้าสะใภ้และบรรดาพี่สาวไปทาน เล่นไพ่นกกระจอกมาตลอดบ่ายก็น่าจะหิวบ้างแล้ว เค้กชั้นที่สองมอบให้กับซินเยวี่ยทั้งหมด นางชอบกินเค้กเป็นอย่างมากและยังมีเสี่ยวชิวอีกคนที่ไม่มีความกังวลว่าจะกินไม่หมดอีกคน
ส่วนชั้นล่างขุดอวิ๋นเยี่ยกินหนึ่งคำก็พลางป้อนวั่งไฉหนึ่งคำ น่าสงสารต้องโดนตีแทนคนอื่น การอ้าปากถกเถียงคนอื่นไม่ได้นั้นถือเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ
เดี๋ยวจะลงมือทำใหม่อีกรอบหนึ่ง คราวนี้จะทำเค้กแยมผลไม้สามชั้นที่ใหญ่กว่าเดิม คิดไม่ถึงว่าตระกูลเฉิงจะมีครีมเปรี้ยว นี่ถือเป็นของดี บวกกับน้ำตาลบนเค้ก ลูกท้ออายุมั่นขวัญยืนขนาดใหญ่ก็ใช้ของสิ่งนี้ จึงตะโกนเรียกคนนวดแป้งที่อยู่บนถนนมาคนหนึ่ง แล้วแต่งครีมเปรี้ยวด้วยสีธรรมชาติเป็นสีต่างๆ ใส่ลงในผ้ากระสอบหนาๆ ที่สะอาดแล้วตัดมุมตรงปลายเป็นรูเล็กๆ ตรงมุมก็สามารถบีบออกมาเป็นดอกไม้สีต่างๆ ได้มากมา เพียงแต่ครีมเปรี้ยวนั้นไม่ค่อยฟูนัก แต่ไม่เป็นไรภายใต้คำแนะนำของอวิ๋นเยี่ย ดอกไม้ที่สวยงามหลายๆ ดอกก็ปรากฏอยู่บนหน้าเค้ก ดอกท้ออายุมั่นขวัญยืนขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านบนสุดนั้นเป็นที่สะดุดตามาก สีสันโดดเด่น ล้วนแล้วแต่เป็นพืชพันธุ์ที่ให้สารสีที่ได้มาจากคนนวดแป้งทั้งนั้น ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ที่ทานเข้าไป
ให้เงินสิบเหวินกับคนนวดแป้ง เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมรับ เพียงแค่ขอร้องอวิ๋นเยี่ยอย่างถวายชีวิตว่าขอให้เขาได้ทำเช่นนี้อีกในภายหน้า เป็นคนที่ฉลาด นี่คืองานฝีมือของเขาหากจะให้ปฏิเสธก็กระไรอยู่จริงๆ
แววตาของน้องสาวทั้งสี่คนนั้นเป็นประกายอีกแล้ว เกิดความคิดอยากจะกระโจนเข้าไปกินอีกครั้ง คราวที่แล้วบอกว่าเค้กก้อนนั้นทุกคนจะกินเพียงเล็กน้อย ใครจะรู้ว่ากินแล้วมันหยุดไม่อยู่จริงๆ เค้กก้อนกลมๆ ที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้เห็นได้ชัดว่าต้องอร่อยกว่าเค้กก้อนที่แล้วอย่างแน่นอน จะไม่ให้กินได้อย่างไรกัน
ได้ยินมาว่านี่เป็นของขวัญวันเกิดของท่านปู่หลี่ แม่หนูตัวน้อยเหล่านี้จึงตัดสินใจว่าจะต้องไปที่บ้านของท่านปู่หลี่เพื่อเยี่ยมท่านย่าหลี่ ทั้งแต่ละคนก็ยังเตรียมของขวัญชิ้นเล็กๆ อีกด้วย รบเร้าให้พ่อบ้านส่งพวกนางไปบ้านของหลี่กังโดยที่ไม่ทานแม้แต่อาหารกลางวัน สมแล้วที่ว่าแสดงเป้าหมายที่แท้จริงอย่างออกนอกหน้า
เมื่อเข้ามาในลานบ้านของหลี่กัง รุ่นเหนียงก็เห็นฉินซวงที่ยืนเหงื่อไหลไคลย้อยคอยเฝ้าอยู่ข้างๆ ข้าวโพด ทิ้งพี่ชายให้อยู่ลำพังอย่างไม่แยแส แล้ววิ่งไปที่ลานหลังบ้านเพื่อขอชากาใหญ่มาและมอบให้ฉินซวง ทำให้อวิ๋นเยี่ยผู้ที่มีอาการคอแห้งกระหายน้ำจ้องมองฉินซวงด้วยแววตาอันดุร้าย
เค้กนั้นวางอยู่บนโต๊ะใต้เผิงไม้ หนูน้อยทั้งสี่จูงมือฮูหยินของหลี่กังและญาติฝ่ายหญิงคนอื่นๆ ที่มาอวยพรวันเกิดอีกด้วย หนูน้อยทั้งสี่ได้เตรียมทั้งช้อนส้อมและจานใส่เค้กไว้เรียบร้อยแล้ว รบเร้าให้หลี่ฮูหยินรีบเตรียมให้ท่านปู่หลี่เป่าเทียน พวกนางจะได้กินเค้กเสียที
หลี่กังหัวเราะอย่างเบิกบานใจและสั่งให้คนรับใช้นำกล่องไม้ที่ใส่เค้กออก เมื่อยกกล่องไม้ขึ้นมากลิ่นหอมหวานของเค้กก็ตลบอบอวลไปทั่วทั้งลานบ้านทันที ลูกท้ออายุมั่นขวัญยืนที่เหมือนจริง ดอกไม้ที่ดูมีชีวิตชีวาดั่งดอกไม้มีชีวิตและยังมีคำว่า “อายุยืนยาวกว่าต้นสนพันปีแห่งเขาหนานซัน” ที่เขียนจากแยมผลไม้อีกด้วย
นี่คือความหวังอันสูงสุดของอวิ๋นเยี่ยที่มีต่อหลี่กัง เขาหวังจริงๆ ว่าชายชราท่านนี้จะมีชีวิตที่ยืนยาว
หลี่กังหัวเราะอ้าปากกว้าง ตาหยีเป็นก้านไม้ขีดแล้ว หลี่สือรีบตวัดพู่กันวาดลงบนกระดาษ เพียงแค่ตวัดพู่กันไม่กี่ครั้งภาพของหลี่กังที่หัวเราะจนแทบหงายท้องก็โลดแล่นอยู่บนกระดาษแผ่นนั้น
“นี่ช่างเรียกว่ายิ่งอยู่ยิ่งมีความหมายจริงๆ” หลี่กังพูดจบ ก็ทำตามคำแนะนำของอวิ๋นเยี่ยโป่งแก้มและเป่าเทียนสีน้ำเงินแท่งนั้นให้ดับไป แล้วจึงหยิบมีดยาวขึ้นมาแล้วตัดมีดแรกลงไปท่ามกลางสายตาของทุกคนที่รู้สึกเสียดาย
——
[1] จิน หน่วยชั่งตวงของจีน ซึ่งหนึ่งจินเท่ากับห้าร้อยกรัมหรือครึ่งกิโลกรัม
[2] หมู่ หน่วยวัดพื้นที่ของจีน ซึ่งหนึ่งหมู่มีพื้นที่ประมาณ หกร้อยหกสิบหกตารางเมตร
[3] ตั้น หน่วยช่างน้ำหนักของจีน โดยหนึ่งตั้นหนักประมาณ หกสิบกิโลกรัม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น