เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 6 ตอนที่ 20-21
ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...
ตอนที่ 20 เนื้อร้ายที่ไม่ยอมตาย
ความปลอดภัยของครอบครัวดูเหมือนยังเป็นปัญหาที่ยังไม่คลี่คลาย หลังจากเมื่อคิดทบทวนดีแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็ตัดสินใจที่จะทำใจกล้าก้าวออกไปนอกบ้านเพื่อเป็นการสำรวจเส้นทางให้ผู้หญิงและเด็กที่บ้าน ซึ่งนี่เป็นความรับผิดชอบของผู้ชายเพียงคนเดียวในครอบครัว ในใจคล้ายกับมีความรู้สึกโศกเศร้าเกิดขึ้น เหล่าทหารผ่านศึกแอบซ่อนอยู่ในมุมมืด ในมือถืออาวุธจำพวกธนูและหน้าไม้ทั้งหมด เตรียมพร้อมทุกเมื่อที่จะป้องกันอันตรายที่เกิดในความมืด
ท่านย่าคิดว่าอวิ๋นเยี่ยไปสำนักศึกษาเพื่อบรรยายบทเรียนเหมือนปกติ ป้าสะใภ้และอาหญิงก็ไม่ได้เอะใจเสี่ยวยาร้องโวยวายจะขอไปด้วย เสื้อเกราะอ่อนที่สวมไว้ภายใต้เสื้อผ้าเป็นอุปกรณ์ป้องกันชิ้นสุดท้ายที่อวิ๋นเยี่ยมี ยิ้มพลางกล่าวลาคนในบ้านที่ไม่รู้อะไรเลย เขาก้าวเดินออกจากบ้านด้วยความทรมาน
คนเดียวที่สัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจของอวิ๋นเยี่ยก็คือซินเย่ว์ รอยยิ้มของสามีที่สามารถทำได้ทุกอย่างในวันปกตินั้นไม่ดูฝืนเช่นนี้ ทั้งที่รู้ว่าสามีอาจจะไปแล้วไม่ได้กลับ แต่คำสั่งเสียของอวิ๋นเยี่ยยังคงวนเวียนอยู่ในหูของนาง “ดูแลท่านย่าให้ดี ที่รัก ถึงแม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับข้าก็ตามอย่าได้ลนลาน ทำในสิ่งที่เจ้าควรทำ ตอนนี้ยังเป็นช่วงวิกฤต ไม่มีเหตุผลที่ตระกูลอวิ๋นจะต้องคอยป้องกันพวกโจรตลอดไป คราวนี้ข้าจำเป็นต้องไป”
ตระกูลใหญ่ย่อมต้องมีศัตรูอยู่แล้ว แต่ไม่มีตระกูลไหนที่เอาชีวิตของหัวหน้าครอบครัวมาล้อเล่นดังเช่นตระกูลอวิ๋น ซึ่งปกติมีแต่จะส่งญาติสายรองของตระกูลไปสังเกตการณ์ก่อน สุดท้ายแล้วบุคคลสำคัญในตระกูลจึงค่อยปรากฏตัวขึ้น ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องปกติ
แต่ในตระกูลอวิ๋นนั้นทำไม่ได้ จะให้ท่านย่าหรือภรรยาไปสังเกตการณ์ดี อวิ๋นเยี่ยคิดว่าตนเองไปเองจะดีกว่า หากเกิดเรื่องกับตนเองจะได้จบง่ายกว่าการเกิดเรื่องกับพวกนาง เพียงแค่ดาบเดียวเอง เจ็บสักครู่ก็ผ่านไปแล้ว
วั่งไฉที่ไม่ได้โผล่หน้ามานานหลายวันไม่รู้ว่าจู่ๆ โผล่มาจากไหน ขูดกีบเท้าอย่างไม่เป็นสุข คนดูแลม้าเดินเข้าไปดึงเอาไว้ก็ถูกถีบออกมา สัตว์เดรัจฉานมีประสาทสัมผัสไวกว่ามนุษย์มาก มันเอาหน้าวางไว้ที่ไหล่ของอวิ๋นเยี่ยแล้วเดินออกไปด้วยกัน
ในตลาดมีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา พ่อค้าทุกคนประสานมือทักทายอวิ๋นเยี่ยด้วยรอยยิ้ม วั่งไฉไม่กินแม้กระทั่งเหล้าหมักที่ปกติชอบกิน เพียงแค่ดมแล้วก็หันหน้าหนีมองหาอะไรบางอย่างไปทั่ว
ในมือถือลูกเชอร์รี่สีแดงสดราวกับหินอาเกตพวงใหญ่ อวิ๋นเยี่ยตัดสินใจที่จะปล่อยวางดีกว่า เพื่อเดินเล่นไปทั่วตลาด เชอร์รี่ก็ไม่ได้ล้าง โยนใส่ปากตนเองหนึ่งลูกแล้วใส่ปากวั่งไฉหนึ่งกำมือ สองพี่น้องเคี้ยวเชอร์รี่แล้ว พ่นคายเม็ดเชอร์รี่ไปในอากาศ เชอร์รี่ห่วยแตกจริง เนื้อน้อยแต่เม็ดเยอะ ทั้งยังแข็งๆ อีก อวิ๋นเยี่ยนั้นกินเพียงเม็ดเดียวย่อมต้องพ่นได้ไกลเป็นธรรมดาและไม่กระเด็นไปโดนคนอื่น วั่งไฉนั้นไม่สนใจเลียนแบบอวิ๋นเยี่ยพ่นคายออกมา สัตว์เดรัจฉานนั้นไม่มีความสามารถเช่นมนุษย์เรา ปากกว้างๆ จึงพ่นน้ำลายออกมาด้วย ทั้งเนื้อเชอร์รี่และเม็ดกระจัดกระจายลอยไปทั่ว ทำให้ผู้คนในตลาดพากันวิ่งหลบเตลิดเปิดเปิง
จอมล้างผลาญก็ควรมีลักษณะเช่นนี้ ความชั่วร้ายแห่งฉางอันทั้งสามหากไม่ทำเรื่องเลวร้าย แล้วจะให้เป็นคนเลวได้อย่างไร ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนที่บ้าความยุติธรรมออกมากำจัดเภทภัยให้ชาวบ้านก็ได้ พวกทหารผ่านศึกบอกแล้วไม่ใช่หรือว่า นักฆ่าระดับสูงจะมีกฎระดับสูง ตนเองยิ่งทำเรื่องเลวร้ายไม่แน่ว่ามันอาจจะเป็นไปตามเงื่อนไขของการลงมือของพวกเขาก็เป็นได้ ในตลาดไม่มีหญิงสาวรูปร่างหน้าตาดี มิฉะนั้นจะแหย่เล่นเสียหน่อยจะได้สร้างบรรยากาศได้มากขึ้น
พูดตามจริงแล้ว การเป็นคุณชายจอมเสเพลเย้าแหย่หญิงสาวบนถนนเป็นความปรารถนาของอวิ๋นเยี่ยมาโดยตลอด แต่น่าเสียดายที่ยังไม่เจอผู้หญิงคนไหนที่สามารถทำให้ตนเองอยากแหย่เล่นได้เลย ผู้หญิงสวยของครอบครัวขนาดเล็กคือทรัพย์สมบัติ หากอยู่ในตระกูลใหญ่คือไข่ในหิน ใครจะปล่อยให้พวกนางออกจากบ้านกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหญิงโสด ถ้าผู้หญิงโสดเดินอยู่ตามท้องถนนหากไม่มีคนที่บ้านติดตาม ไม่ต้องให้ผีราคะอย่างอวิ๋นเยี่ยลงมือก็จะถูกคนของทางการจับตัวไป อย่างน้อยก็ต้องโดนโบยสิบห้าไม้ กฎหมายต้าถังกำหนดไว้เช่นนี้ จนถึงตอนนี้อวิ๋นเยี่ยก็ไม่ทราบสาเหตุ
ชายหนุ่มที่ขายเนื้อหมูเห็นว่าอวิ๋นเยี่ยเดินวนไปมาอยู่สามรอบ แต่ก็ไม่เห็นสาวน้อยที่สวมเสื้อลายดอกไม้ออกมาด้วย จึงก้มหน้ามองไส้หมูบนโต๊ะแล้วใช้เชือกฟางมัดไส้หมูเสร็จสรรพ เดินมาที่เบื้องหน้าอวิ๋นเยี่ย และยกไส้หมูขึ้นมาด้านหน้าอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “เจ้ากำลังมองหาไส้หมูอยู่ใช่หรือไม่ อยู่ที่นี่ไง ทำไมน้องสาวเจ้าไม่มา”
จึงเหลือบตามองไปที่ชายหนุ่มที่อย่างมากก็มีอายุเพียงสิบห้าปีเท่านั้น หมัดของอวิ๋นเยี่ยก็กระแทกเข้าที่จมูกของชายหนุ่มคนนี้ หน้าด้านสิ้นดี เจ้าขายไส้หมูอยู่ดีๆ ก็ดีแล้ว อุตส่าห์จะจำน้องสาวข้าได้ สมควรโดน
ศีรษะของชายหนุ่มนั้นเบี่ยงข้างออกไปเล็กน้อย หมัดของอวิ๋นเยี่ยจึงต่อยอากาศแล้ว เขาก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วดึงแขนของอวิ๋นเยี่ยพาดไว้บนไหล่ของตนและถามขึ้นอีกว่า “ถ้าหากต่อไปข้าให้ไส้หมูแก่เจ้า เจ้าจะยกน้องสาวเจ้าให้ข้าได้หรือไม่”
อวิ๋นเยี่ยแทบจะอาเจียนเป็นเลือด มือซ้ายกลับทำท่าไม่ให้แสดงท่าทางหุนหันพลันแล่น เขาอยากเห็นว่าชายหนุ่มผู้แปลกประหลาดคนนี้จะทำอะไรกันแน่ “เจ้าเป็นคนฆ่าหมู ข้าเป็นโหวเหยีย น้องสาวข้าเจ้าคู่ควรอย่างนั้นหรือ”
“แล้วจะทำไม พ่อของข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ แม่ข้าเป็นองค์หญิง เจ้าว่าข้าไม่คู่ควรกับน้องสาวเจ้าตรงไหน” ชายหนุ่มพูดเบาๆ ข้างหูอวิ๋นเยี่ยโดยไม่มีแสดงออกว่าล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย
“เหลวไหลไร้สาระ แม่ทัพในราชวงศ์ไม่มีคนที่ข้าไม่รู้จัก องค์หญิงหกคนที่อภิเษกออกไป ราชบุตรเขยข้าก็รู้จัก เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกเขาจะมีลูกเช่นเจ้า จะเหมาะสมที่จะไปเป็นโจรมากกว่า”
ทั้งสองคนยืนพัวพันกันอยู่เหมือนกับเพื่อนสนิทสองคนกำลังพูดคุยกัน ผู้คนที่สัญจรไปมาในตลาดจึงไม่มีใครสนใจ ชายหนุ่มมองไปรอบๆ โดยเฉพาะสถานที่ที่ทหารผ่านศึกซ่อนอยู่และพูดขึ้นอีกว่า “เจ้าพูดอีกก็ถูก บรรพบุรุษข้าเป็นโจร ปู่ก็ใช่ พ่อก็ใช่ เพียงแต่ต่อมาเขาต้องการที่จะเป็นแม่ทัพ ดังนั้นจึงเลิกเป็นโจร ข้าเองก็ไม่อยากเป็นโจร ดังนั้นจึงได้มาขายหมู ว่าอย่างไร ข้าให้สัญญาว่าจะดีกับน้องสาวเจ้า ชั่วชีวิตจะมีนางเพียงคนเดียว ถ้ามีผู้หญิงคนอื่นจะให้น้องสาวเจ้าฆ่านางเลย ว่าอย่างไร ลูกผู้ชายพูดอะไรตรงไปตรงมาหน่อย”
“ไปตายซะ” อวิ๋นเยี่ยแทบจะบ้าอยู่แล้ว ตั้งแต่เจ้าคนบ้าโผล่ออกมา เพียงแค่ไส้หมูก็จะมาขอแลกต้ายาไป ข้าจะจับเจ้าทำขันทีจะดูว่ายังจะคิดเรื่องเหลวไหลไร้สาระอีกหรือไม่ เมื่อคิดดังนี้แล้วก็ยกเท้าขึ้นเตะเข้าไปที่หว่างขาของชายหนุ่มคนนี้
ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะต้องมอง หัวเข่าสองข้างหนีบเข้ามาก็สามารถหยุดเท้าของอวิ๋นเยี่ยไว้ อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเพียงว่าเท้าของเขานั้นไร้ความรู้สึก เหมือนถูกคีมปากเสือหนีบเอาไว้ไม่สามารถขยับได้เลย วั่งไฉใช้หัวไปชนชายหนุ่ม เขาก็ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย วั่งไฉร้อนรนจนส่งเสียงร้องไม่หยุด
เหล่าทหารผ่านศึกรีบวิ่งออกจากที่ซ่อนโดยไม่มีอาวุธ เพราะเกรงว่าจะทำให้ชายหนุ่มหงุดหงิด ชายหนุ่มจึงปล่อยอวิ๋นเยี่ย แล้วปัดหัววั่งไฉไปอีกด้านด้วยแขนข้างเดียว เอาไส้หมูใส่ไว้ในมือของอวิ๋นเยี่ยและพูดว่า “นี่เป็นของขวัญก่อน พ่อและแม่ของตายไปนานแล้ว ไม่มีผู้อาวุโสไปสู่ขอ จึงได้แต่ต้องมาด้วยตัวเอง คืนนี้ข้าจะไปหาน้องสาวเจ้าเพื่อพูดคุยรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ จริงสิ ท่านพี่เมีย ข้าชื่อซ่านอิง มาจากหมู่บ้านเอ้อร์เสียนจวง”
หลังจากพูดจบเขาก็ขยับกายบิดซ้ายบิดขวา ฝ่าวงล้อมทหารผ่านศึกออกไปเหมือนงูที่เลื้อยหนี ขณะที่จากไปยังประสานมือพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ท่านสามารถวางกับดักให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะได้ให้ท่านพี่เมียได้เห็นฝีมือของน้อยเขยบ้าง”
อวิ๋นเยี่ยยืนนิ่งอยู่กลางถนนราวกับถูกฟ้าผ่า พูดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่ประโยคเดียว เจ้าหมอนี่ต้องเป็นฆาตกรที่ฆ่าคนอย่างโหดเ**้ยมแน่นอน แต่ทำไมเขาถึงไม่ฆ่าตน ด้วยวิธีการของเขาหากต้องการที่จะฆ่าตนก็เพียงแค่ชั่วพริบตาเอง หมู่บ้านเอ้อร์เสียนจวง? ทำไมสถานที่แห่งนี้จึงฟังคุ้นหูนัก
เขาห้ามไม่ให้ทหารผ่านศึกไล่ตามไปและสั่งให้ทุกคนกลับบ้านเตรียมพร้อมสำหรับการจู่โจมของชายคนนี้ในคืนนี้ คนประเภทนี้อวิ๋นเยี่ยเพิ่งพบเป็นครั้งแรกและเพิ่งจะประมือด้วยเป็นครั้งแรก ซีถงถือเป็นยอดฝีมือ แต่หากเทียบกับชายคนนี้ยังห่างชั้นกันไกลเหลือเกิน นี่เป็นตัวละครแบบเดียวกันกับคงค่งเอ๋อร์และจิงจิงเอ๋อร์ในเรื่องเล่าเลย ชายคนนี้บอกว่าคืนนี้เขาจะมา บางทีเขาอาจจะมาจริงๆ ก็เป็นได้
“เจ้าหนุ่ม คืนนี้ข้ากับต้ายาจะรอเจ้าอยู่ในเขาวงกตของสำนักศึกษา ขอเพียงเจ้าสามารถฝ่าเขาวงกตได้ ก็แล้วแต่เจ้าตัดสินใจ” จู่ๆ อวิ๋นเยี่ยก็ตะโกนเสียงดังขึ้นกลางอากาศ
เสียงแผ่วๆ ที่ดังสวนกลับมา “ได้ เยี่ยมมาก ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น พูดแล้วไม่กลับคำ หากข้าพ่ายแพ้ก็แล้วแต่เจ้าจะจัดการ”
“หึๆ” อวิ๋นเยี่ยหัวเราะขึ้น เจ้าหนุ่ม เจ้าฝีมือดีแล้วจะทำอะไรได้ อย่างไรก็ได้ดื่มน้ำล้างเท้าต่อหน้าข้าแน่ เขาวงกตอันนั้นหลายวันนี้ถูกหลี่ซื่อหมินที่ชอบวิธีการฆ่าคนที่แปลกประหลาดปรับเปลี่ยนจนเละเทะไม่เป็นชิ้นดี กงซูมู่เองยังชมไม่ขาดปาก
อวิ๋นเยี่ยยอมจ่ายเลยบอกได้ว่าเขาจะไปได้ไม่เกินสิบจั้ง ไม่เชื่อว่าเขาจะฝ่ามันออกมาได้ ไม่รู้ว่ารหัสผ่านของกำแพงเงานั้นหลี่ซื่อหมินลืมจริงๆ หรือว่าแกล้งลืมกันแน่ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ไม่มีใครรู้เลย ไม่ได้ เจ้าหมอนี่ดูประหลาดเกินไป ต้องไปหาอาจารย์ซุนเพื่อขอยามาเพิ่มในเขาวงกตเอาไว้น่าจะดีกว่า…
เมื่อกลับถึงบ้าน ทันทีที่ไปถึงห้องนอนของตนเองก็เห็นซินเย่ว์ร้องไห้คร่ำครวญกอดอวิ๋นเยี่ยไว้ไม่ยอมปล่อย ราวกับว่าถ้าปล่อยแล้วอวิ๋นเยี่ยจะหายไป เขาจึงปล่อยให้นางกอดไว้พลางลูบหลังปลอบนาง เขาเองก็รู้สึกว่าตนเองไปเที่ยวนรกมาหนึ่งรอบ ตอนนี้มาย้อนคิดจึงพบว่าการกระทำของตนเองนั้นประมาทเกินไปจริงๆ
ครั้นเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ซินเย่ว์ฟัง ปากอันจิ้มลิ้มน่ารักของซินเย่ว์นั้นเปิดค้างแล้วจ้องมองไปที่ไส้หมูที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วมองดูตัวเอง คิดถึงว่าต้ายาที่อายุน้อยๆ ก็แสดงให้เห็นถึงความอ่อนโยนและสติปัญญาอันเฉียบแหลม แม่หนูอายุสิบสามปีคนนี้มีเสน่ห์ดึงดูดถึงเพียงนี้เชียวหรือ ทำให้คนร้ายที่ฆ่าคนดั่งผักปลายอมวางมีดลงด้วยความเต็มใจ แล้วเดินเข้าไปในกับดักของสามีอย่างเต็มใจหรือ
อวิ๋นเยี่ยกลับกำลังนึกถึงชื่อสถานที่ของหมู่บ้านเอ้อร์เสียนจวง แล้วเผลอร้องเพลงสมัยฉินขึ้นมาเบาๆ โดยไม่รู้ตัว “น้องชายเห็นการเขียนของเจ้าแล้วจึงซุบซิบนินทา โดยบอกให้ย้ายเจ้าไปที่หมู่บ้านเอ้อร์เสียนจวง เจ้าบอกว่าหมู่บ้านเอ้อร์เสียนจวงไม่ควรอยู่นาน จะสร้างจวนให้พี่ชายได้อยู่อย่างเป็นสุข ในวันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนเจ็ดวันเกิดท่านแม่ พวกเราไปคำนับที่เบื้องหน้าหอตระกูลเจี่ย”
ซินเย่ว์ฟังทำนองเพลงประหลาดที่อวิ๋นเยี่ยร้องอย่างเคลิบเคลิ้ม แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยได้ยินสามีร้องเพลง เพราะเหตุใดวันนี้จึงมีอารมณ์สุนทรีย์มาร้องเพลงในเวลานี้ เสียงแปลกๆ ทำนองไม่น่าฟังแต่กลับแฝงไว้ด้วยความรู้สึกฮึกเหิม
เข้าใจหมดแล้ว ยังมีสถานที่ที่ไม่ควรมีอย่างหมู่บ้านเอ้อร์เสียนจวงอยู่จริงๆ เจ้าหนุ่มที่ชื่อซ่านอิงเป็นลูกชายของซ่านสยงซิ่นจริงๆ ด้วย พ่อของเขาถูกอวี้ฉือกงโจมตีจนพ่ายแพ้ในปีอู่เต๋อที่สี่และถูกฆ่าตายในที่สุด คนรับใช้ก็ถูกหนิวจิ้นต๋าจับฝังไว้ในหลุมหมื่นวิญญาณ ยกพลทหารม้ากวาดล้างเป็นเวลาสองวันจนเรียบเป็นหน้ากลอง เมื่อเหล่าเฉิงพูดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็รู้สึกสังเวชใจยิ่งนัก ตนเองและซ่านสยงซิ่นคบค้ากันไม่มีเรื่องขัดแย้ง แต่สุดท้ายต้องเห็นเขาโดนประหารต่อหน้าต่อตาโดยที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย นี่เป็นเรื่องที่เจ็บปวดใจที่สุดในชีวิตของเขา เหล่าหนิวเองก็นอนไม่หลับทั้งคืนเพราะเรื่องนี้ เพียงแต่บอกว่าเขายังเหลือรากเหง้าเส้นหนึ่งไว้ให้ซ่านสยงซิ่น คิดไม่ถึงว่ารากเส้นนี้วันนี้จะเติบโตขึ้นเป็นเถาวัลย์ป่าที่มีพิษร้าย ไม่แน่ว่าอาจจะถึงขั้นเอาชีวิตคนได้
เจ้าหนุ่มที่ตกลงมาจากท้องฟ้า หรือว่าเตรียมจะจัดแสดงการแก้แค้นที่สมบูรณ์แบบให้ดูสักตอน เรื่องนี้ต้องปกปิดต่อไป ในเมื่อเจ้าสารเลวคนนี้วันนี้ไม่ฆ่าตน นั่นหมายความว่าเขาไม่ได้เป็นศัตรูต่อตระกูลอวิ๋น สำหรับการลอบสังหารหลี่ซื่อหมิน อวิ๋นเยี่ยคิดมาตลอดว่าสมน้ำหน้าแล้ว หนี้เลือดหลายล้านชีวิตที่เกิดจากน้ำมือเขา ไม่มีอะไรน่าแปลกใจที่จะมีคนสักหนึ่งหรือสองคนต้องการฆ่าเขา
เรื่องนี้ต้องระวังให้ดี แม้ว่าตอนนั้นหลี่ซื่อหมินไม่ได้ฆ่าซ่านสยงซิ่นทั้งครอบครัวของ ตอนนี้ขอเพียงแค่เขาไม่รู้ว่าชายคนนี้ได้ลอบสังหารเขา บางทีเขาอาจจะยอมปล่อยซ่านอิงไป
เรื่องราวต้องเตรียมการไว้สองหน้า หากซ่านอิงเตรียมพร้อมที่จะทำการแก้แค้นครั้งยิ่งใหญ่ของเขาให้ได้ คืนนี้ควรจะเป็นคืนสุดท้ายของเขา ถ้าหากเรื่องราวยังสามารถแก้ไขได้ ก็ควรจะรีบจับโยนไปให้ตระกูลหนิวและตระกูลเฉิงจัดการ ตนเองไม่ขอเข้าไปข้องเกี่ยวด้วย
ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...
ตอนที่ 21 จิตสังหาร
เมื่อผลักประตูไม้สนที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลออก อวิ๋นเยี่ยก็พบว่าลานเล็กๆ นั้นสะอาดและเป็นระเบียบ ไม่มีกลิ่นคาวเลือดที่โดยปกติมักพบในบ้านของคนขายเนื้อเลย ดินโคลนเต็มไปด้วยความแบนราบและมีชั้นดินใหม่อยู่ใต้ชั้นไม้ พื้นดินโคลนถูกอัดแน่นเป็นพื้นที่เรียบ ใต้โครงไม้นั้นมีดินใหม่กองอยู่ชั้นหนึ่ง เป็นเพราะเด็กน้อยคนนั้นตักดินที่มีคราบเลือดออกไปแล้วจึงกลบดินใหม่อีกครั้ง ถังไม้ขนาดใหญ่ที่ใช้ต้มหมูได้ถูกแขวนคว่ำที่มุมกำแพง มีเชือกอีกเส้นหนึ่งผูกทแยงมุมไว้กับลานบ้านซึ่งสูงประมาณระดับหลอดลมของผู้ที่มาเยือนพอดี โดยที่เชือกนั้นเส้นเล็กมาก ทั้งยังส่องประกายสีทองระยิบระยับ
อวิ๋นเยี่ยยื่นมือไปลองจับเชือกดู เชือกก็ส่งเสียงปึ๋งๆ ทุ้มต่ำ ให้ตายสิ นี่มันเป็นค่ายกลในการตัดศีรษะคนชัดๆ ไม่เคยเห็นเชือกเช่นนี้มาก่อนและก็ไม่ใช่ลวดด้วย ถ้าหากใช่อวิ๋นเยี่ยก็จะขอหมายเลขโทรศัพท์มือถือของเขา
“เจ้ามีเชือกแบบนี้มากไหม พอจะมอบให้ข้าบางส่วนได้หรือไม่” อวิ๋นเยี่ยถามขึ้นกลางลานบ้านที่ว่างเปล่าไร้ผู้อาศัย
เขาไม่เชื่อว่าซ่านอิงจะอยู่ห่างจากเขามากนัก หากไม่จับตัวผู้ชายคนนี้ไว้ ทหารผ่านศึกจะไปพบซุนซือเหมี่ยวเพื่อขอเกสรดอกไม้ที่ทำให้คนคันไปทั้งตัวได้อย่างไรกัน คราวที่แล้วเห็นเหล่าซุนให้นักเรียนรวบรวมเอาไว้เป็นห่อใหญ่
ในที่สุดก็มีเสียงคนที่อยู่เหนือศีรษะตอบว่า “นี่คือลวดหนังงู งูที่ลำตัวยาวประมาณหกเมตร หนังบนตัวมันนั้นใช้ได้เพียงหนึ่งเมตรเท่านั้น ข้าเก็บสะสมมาเป็นเวลานานจึงกักเก็บไว้ได้ส่วนหนึ่ง ถ้าหากเจ้าชอบ ของส่วนที่เหลือนี้ข้ายกให้เจ้า”
อวิ๋นเยี่ยนั้นไม่มีคำว่าเกรงใจ เขาเริ่มปลดหัวเชือกทันที แต่ปมเชือกนั้นแปลกมาก มันไม่ใช่วิธีผูกปมเชือกที่คนแดนกวนจงใช้กันทั่วไป บางอันเป็นเงื่อนพิรอดกระตุกหางข้างเดียวที่พันกันคล้ายตัวเลขแปดตัวนั้นซับซ้อนมาก
ก่อนหน้านี้อวิ๋นเยี่ยเคยเรียนมา เมื่อดึงปลายเชือกด้านที่เป็นปม เชือกก็จะหลุดลงมา เขาค่อยๆ ม้วนพันเชือกเก็บขึ้นมา เชือกที่มีความยืดหยุ่นเหล่านี้ยาวสองถึงสามจั้ง[1] เมื่อขดไว้ในมือกลับดูน้อยมาก แต่น้ำหนักกลับไม่เบาเลย
ซ่านอิงกระโดดลงมาจากหลังคามองดูสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยทำทั้งหมดนี้ด้วยความสนใจ เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยเก็บเชือกเข้าอกเสื้อจึงได้พูดขึ้นว่า “เจ้าเป็นคนที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมา เจ้ารู้ไหม ข้าเฝ้าดูเจ้าอยู่เป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูดที่เจ้าพูดกับแม่ทัพแห่งหน่วยข่าวกรองเมื่อหลายวันก่อน ข้าประหลาดใจมาก เจ้ารู้สถานการณ์ที่นั่นได้อย่างไร เจ้าเคยไปมาหลายที่อย่างนั้นหรือ”
ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งเพียงไหน ธรรมชาติของเด็กก็ยังแสดงออกมาอย่างชัดเจน ความอยากรู้อยากเห็นเป็นข้อบกพร่องที่อันตรายที่สุดในช่วงอายุของเขาในตอนนี้ เพราะเขาเองก็มีนิสัยเช่นเดียวกันกับหลี่ไท่
อวิ๋นเยี่ยนั่งขี่ท่อนระเบียงไม้ที่อยู่ในลานบ้านเอนหลังพิงโครงเสาไว้ พลิกมือหยิบถั่วปากอ้าหนึ่งถุงใหญ่ออกมาจากหลังโครงเสาแล้วเปิดออกดู เมื่อเห็นไม่ขึ้นราจึงโยนเข้าปากหนึ่งชิ้นกินอย่างเอร็ดอร่อย
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะวางถั่วปากกว้างไว้ข้างหลังโครงเสานั่น” ซ่านอิงยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้น
เขามั่นใจว่าตั้งแต่ที่อวิ๋นเยี่ยก้าวเข้ามาเขาต้องไม่เห็นด้านหลังของโครงเสาไม้นั้นอย่างแน่นอน ร่างกายหดเกร็งไปทั้งร่างดุจเสือดาวที่กำลังจะล่าเหยื่อ
“สถานที่ที่สะดวกสบายที่สุดในลานบ้านของเจ้าก็คือระเบียงไม้ท่อนนี้ ซึ่งมันเหมาะกับการดูดาวอย่างลงตัว ข้าไม่นั่งตรงนี้แล้วจะให้ข้าไปนั่งที่ไหนกัน การเอาแต่นั่งชมดาวไปอย่างเลื่อนลอยไม่ใช่วิสัยของคนหนุ่มสาว อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะมีขนมขบเคี้ยวบ้าง ไม่เช่นนั้นก็ควรจะมีเหล้าสักกา แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการคาดเดา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือขณะที่เจ้าต้มถั่ว ไม่ควรใส่เครื่องเทศจำนวนมากถึงเพียงนั้น เพราะข้าได้กลิ่น”
ซ่านอิงเขกศีรษะตนเองอย่างแรงแล้วจึงค่อยคลายอาการตึงเครียดและถอนหายใจ
อวิ๋นเยี่ยเป็นกังวลมาก เขาได้ยินสิ่งที่ตนเองพูดกับหงเฉิงซึ่งก็พิสูจน์ได้ว่าในคืนนั้นเขาอยู่ไม่ไกลจากตน
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตเล็กๆ ของตนเองแต่ไหนแต่ไรมาอวิ๋นเยี่ยไม่เคยมองข้าม
ในคืนนั้นเหล่าองครักษ์ควรจะได้ค้นหาอย่างละเอียดแล้ว คิดไม่ถึงว่าเขาจะยังสามารถเข้าใกล้ตัวเองได้ เมื่อคิดถึงเมื่อครั้งที่เขาเคยสอนกลยุทธ์ให้กองกำลังพิเศษก่อนหน้านี้ ก็ทำให้เสียวสันหลังเหงื่อไหลเต็มแผ่นหลัง
“เจ้ายังคิดจะลอบสังหารฮ่องเต้อีกหรือ” อวิ๋นเยี่ยถามอย่างเปิดอก วัยรุ่นเป็นช่วงเวลาที่คนเราทำอะไรบุ่มบ่ามและเป็นคนขี้สงสัยมากที่สุด พวกเขาจะมองข้ามทุกอย่าง และสงสัยทุกอย่าง หรือไม่ก็จัดการให้จบไปเลยให้รู้แล้วรู้รอดไป
“ไม่สังหารแล้ว ข้าสาบานแล้วว่าจะลงมือเพียงครั้งเดียว ขันทีที่นั่งงีบหลับอยู่บนอาคารในคืนนั้นน่ากลัวมาก ข้าไม่แน่ใจว่าจะรอดชีวิตจากมือของเขาได้ บวกกับสิ่งที่เจ้าพูดนั้นน่าสนใจอย่างมาก ข้าฟังจนเคลิบเคลิ้ม ลืมเรื่องที่จะลงมือไปสนิทใจ”
ซ่านอิงเป็นคนตรงไปตรงมามาก เห็นได้ชัดว่าเขากำลังพยายามสร้างความรู้สึกที่ดีให้กับอวิ๋นเยี่ย
“คนงี่เง่าอย่างเจ้า เริ่มสนใจน้องสาวข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เพียงแค่คนฆ่าหมูที่ไม่มีอะไรเลย ถึงกับกล้าหมายปองคุณหนูตระกูลขุนนาง เจ้าไม่รู้สึกกระดากตนเองบ้างหรือ เจ้าสามารถดูแลนางได้หรือ ถึงตอนนั้นให้เจ้าฆ่าหมู แล้วให้น้องสาวข้ามานั่งกลับไส้หมูขายหรือ”
อวิ๋นเยี่ยถามพลางเคี้ยวถั่วปากอ้าและพยายามวางตัวให้อยู่ในสถานะเดียวกับเขาให้มากที่สุด
ซ่านอิงใบหน้าแดงก่ำเมื่อถูกคนอื่นถามถึงจุดที่เก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกที่สุดในใจ เป็นใครก็คงสีหน้าไม่ดีแน่
อึกๆ อักๆ พูดไม่ออกอยู่เป็นนานก็รีบวิ่งกลับเข้าไปที่ห้องและหยิบห่อผ้าใหญ่ๆ ห่อหนึ่งออกมาเปิดต่อหน้าอวิ๋นเยี่ย
ภายใต้แสงแดดยามอาทิตย์อัสดงได้สะท้อนประกายแวววับจับตา สีหน้าของชายหนุ่มผู้นี้แสดงออกถึงความลำพองใจ
อวิ๋นเยี่ยเหล่มองเพียงแวบเดียวก็ถอนหายใจ และกระโดดลงมาจากระเบียงไม้ แล้วหยิบแก้วสีเขียวขึ้นมาหนึ่งใบส่องใต้ดวงอาทิตย์เพื่อมองดู ด้านในเต็มไปด้วยฟองอากาศ ในห่อผ้าเต็มไปด้วยลูกปัดแก้วที่บูดเบี้ยวไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่ามีความมั่งคั่งอย่างมากในต้าถัง แต่ในสายตาของอวิ๋นเยี่ยแล้วสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงขยะกองหนึ่ง หากใครในยุคปัจจุบันยอมจ่ายเงินสิบหยวนเพื่อซื้อกองขยะเหล่านี้มา คงต้องถูกคนอื่นหัวเราะเยาะตายเลย
จึงโยนแก้วกลับลงไปในกองขยะ ทำให้เกิดเสียงดังเปรี๊ยะ และมันก็แตกออกเป็นสองส่วน ดวงตาของซ่านอิงจะแดงก่ำอยู่แล้ว ของสิ่งนี้เป็นของที่ดีที่สุดที่เขาควานหาอยู่เป็นนานจากปล้นกองคาราวานซีอวี้ ใครจะคิดว่าตอนนี้มันแตกออกเป็นสองส่วนแล้ว
“จะตาแดงก่ำไปไย กองขยะทั้งกองยังจะมีหน้าเอาออกมาโอ้อวดอีก ไม่อายหรืออย่างไร คิดจะใช้ขยะกองนี้มาสู่ขอน้องสาวข้าหรือ เจ้าอาจจะยอมขายหน้าผู้อื่น แต่ข้าไม่ รีบเก็บขึ้นมา เห็นแล้วสะอิดสะเอียน”
การแสดงออกที่ดูถูกเหยียดหยามของอวิ๋นเยี่ยนั้นน่ารังเกียจเป็นอย่างมาก ทำลายความหยิ่งในศักดิ์ศรีของชายหนุ่มจนแหลกสลายเป็นผุยผง
อวิ๋นเยี่ยเองก็ราวกับจะได้ยินเสียงหัวใจที่แหลกสลายของซ่านอิง
ซ่านอิงตะโกนใส่อวิ๋นเยี่ยด้วยเสียงที่เกรี้ยวกราด “หากเจ้าแน่จริงก็เอาเครื่องแก้วที่ล้ำค่ากว่านี้ออกมาให้ดูสิ แล้วข้าจะ…ยอมนับถือเจ้าเลย”
อย่างไรเสียก็ถือเป็นเด็กที่ฉลาด ประโยคที่ว่าจะให้เจ้าจัดการได้ตามสบายที่กำลังจะหลุดจากปากก็กลายเป็นสามคำที่ว่ายอมนับถือแทน
อวิ๋นเยี่ยรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก มองหน้าซ่านอิงตาไม่กะพริบและพูดว่า “เพียงแค่คำว่ายอมนับถือมันจะมีประโยชน์อะไร ไม่สู้สาบานให้รุนแรงกว่านี้หน่อยจะดีกว่า”
“เจ้าคิดว่าข้าโง่หรืออย่างไร บ้านเจ้าเป็นตระกูลที่ร่ำรวยขึ้นชื่อของเมืองฉางอัน บางทีอาจจะมีของที่ดีกว่าสิ่งเหล่านี้อีก ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอก ถ้าเจ้าแน่จริงก็นำมันออกมา แล้วข้าจะยอมนับถือเจ้า”
อวิ๋นเยี่ยหยิบกระจกที่มีขนาดหนึ่งตารางนิ้วออกมาจากอกเสื้อ แล้วโยนให้ซ่านอิง นี่เป็นแก้วไร้สีที่ดีที่สุดที่ตระกูลอวิ๋นได้ทำการวิจัยการกัดเซาะแผ่นฟอยล์สีเงินด้วยปรอทออกมา ในที่สุดก็ได้กระจกขนาดหนึ่งนิ้วที่สมบูรณ์ออกมาสามชิ้น จากนั้นจึงตัดเป็นกระจกกลมเล็กๆ จำนวนสามชิ้น ชิ้นหนึ่งให้ท่านย่า อีกชิ้นหนึ่งให้ซินเยวี่ยและอีกอันหนึ่งอวิ๋นเยี่ยเก็บไว้เอง เสี่ยวยาพยายามหลอกถึงแปดครั้งแต่อวิ๋นเยี่ยก็ไม่ให้ ตอนนี้เสี่ยวยายังคงโกรธอยู่
ซ่านอิงยื่นมือออกมาคว้ากระจกกลมไว้ เพียงแค่มองแวบเดียวก็หน้าซีดเหมือนไก่ต้ม เขาที่ปรากฏในกระจกคิ้วคมดั่งดาบ จมูกโด่งดั่งสันเขา รอยหนวดบางๆ อยู่เหนือริมฝีปากของเขา ขนตาก็เห็นได้อย่างชัดเจน ช่างเป็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง เพียงแต่สีหน้าไม่ค่อยดีนักเท่านั้นเอง
“ยังจะบอกอีกหรือว่าของที่เจ้านำออกมานั้นไม่ใช่ของห่วยๆ ถ้านำของเหล่านี้ไปให้ต้ายา ต้ายาคงจะหัวเราะท้องแข็งและร้องไห้จนหายใจไม่ออกแน่” อวิ๋นเยี่ยเริ่มโจมตีด้วยลิ้นอสรพิษ เตรียมที่จะระเบิดความหยิ่งในศักดิ์ศรีของชายหนุ่มผู้น่าสงสารให้แหลกสลายอย่างแท้จริง
ซ่านอิงสองมือถือกระจกกลมส่งคืนให้อวิ๋นเยี่ย ใครจะรู้อวิ๋นเยี่ยกลับเบ้ปากและพูดกับเขาว่า “อันนี้เจ้าเก็บเอาไว้เถอะ เมื่อครู่ขอเชือกของเจ้า ทั้งยังทำของห่วยๆ ของเจ้าแตกอีก ถือว่าข้าชดใช้ให้เจ้าก็แล้วกัน พรุ่งนี้จะให้คนรับใช้ที่บ้านทำอันใหญ่ขนาดฝ่ามือให้ข้าอีกอัน กระจกอันนี้มันดูเรียบๆ เกินกว่าจะให้ข้านำมันออกมาให้ผู้อื่นเห็น”
ซ่านอิงวางกระจกลงบนพื้น ยกขาขึ้นแล้วเตะท่อนไม้ที่มีขนาดเท่าขาคนซึ่งปักอยู่ในดินด้านข้างจนขาดเป็นสองท่อน แล้วถามอวิ๋นเยี่ยด้วยดวงตาอันแดงก่ำว่า “ด้วยวรยุทธ์ข้า เช่นนี้น่าจะคู่ควรกับต้ายาแล้วสินะ” นี่คือความหวังสุดท้ายของเขา
อวิ๋นเยี่ยมองท่อนไม้ที่หักเป็นสองท่อนแล้วพับขากางเกงของซ่านอิงขึ้นไป แล้วชี้ไปยังบริเวณที่บวมแดงและพูดว่า “วิชายังไม่ถึงขั้น น้องสาวข้าเป็นผู้หญิงนะ แน่นอนว่าต้องไม่หยาบกระด้างเหมือนเจ้า เอะอะอะไรนิดหน่อยก็เตะท่อนไม้ การฝึกวรยุทธ์และการเรียนรู้ต่างก็เป็นสิ่งที่ต้องผ่านการฝึกฝนและใช้ความเข้าใจ มีอะไรน่าโอ้อวด ต้ายาอ่านตำราและคัมภีร์ได้อย่างลึกซึ้งตั้งแต่นางยังเป็นเด็ก ศาสตร์การคำนวณก็เริ่มเข้าใจดีแล้ว จริงด้วย ข้ายังมีการบ้านของนางอีกสองข้อที่นางทำในวันนี้ หากเจ้าสามารถทำได้ ข้าสาบานว่าข้ารับปากเรื่องการแต่งงานของพวกเจ้า ยอดคนในวัยเยาว์ก็ใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ เจ้าดูสิ ข้าเป็นคนใจกว้างเพียงไหน สาบานด้วยความจริงจังเพียงใด ไม่เหมือนเจ้าที่พูดด้วยหน้าตาเฉยเพียงสามคำว่ายอมนับถือเพื่อพยายามจะหลอกข้า”
ซ่านอิงที่ตาแดงก่ำมาตั้งนานแล้วก็แย่งการบ้านไป เขายังคงมั่นใจในตัวเองอยู่มาก ติดตามฝึกวรยุทธ์กับคนแปลกหน้า ฝึกวิชาด้วยความลำบากมาสิบปี ก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะไม่คุ้นเคยกับการเรียนรู้ เขาไม่คิดว่าต้ายาจะมีความรู้มากมายเสียเท่าไหร่ เหตุผลเดียวที่ทำให้เขาหลงรักต้ายาก็คืออุปนิสัย และกริยาการพูดของต้ายานั้นคล้ายคลึงกับมารดาในความทรงจำของเขามาก สนิทสนมเป็นกันเองไม่ได้เสแสร้ง ในฐานะลูกหลานโจร หากพบผู้หญิงเช่นนี้ไม่รีบแต่งงานด้วยแล้วจะให้รอถึงเมื่อใดกัน
แต่เมื่ออ่านหัวข้อการบ้าน ใจเขาก็หล่นลงไปที่ตาตุ่ม เขาถึงกับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้างบนนั้นเขียนอะไรไว้บ้าง เขาเห็นเพียงวงกลมๆ ขีดแนวนอนและน้ำเต้า มีแม้แต่น้ำเต้าครึ่งลูก นี่มันคืออะไรกัน
“อย่าคิดว่าข้ากำลังปกปิดเจ้า สิ่งเหล่านี้คือความรู้ใหม่ๆ ที่ถ่ายทอดมาจากซีอวี้ ต้ายานั้นเชี่ยวชาญความรู้เหล่านี้มานานแล้ว ศาสตร์การคำนวณเหล่านี้เรียกว่าอสมการ เจ้าเคยได้ยินชื่อนี้หรือไม่ ต้องการให้ข้าอธิบายให้ละเอียดกว่านี้หรือไม่ เจ้าอยู่สถานศึกษาตลอดทั้งวัน ทั้งยังไม่ได้ขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้า ถ้าไปสถานศึกษาเพื่อเพิ่มพูนความรู้เสียหน่อยก็ไม่ถึงตาย วันนี้ฆ่าคนนี้ พรุ่งนี้ฆ่าคนนั้น แล้วเมื่อไหร่จะลืมตาอ้าปากได้กัน
บิดาเจ้าทำตามคุณธรรมที่ต้องการให้เป็นจริงได้ ชื่อเสียงก็โด่งดังไปตลอดกาล มารดาเจ้ายอมพลีชีพ แต่ก็ไม่ทนต่อการเหยียดหยาม เพื่อบิดาเจ้านางก็คือหญิงที่เข้มแข็งเช่นกัน พวกเขาได้เลือกใช้ชีวิตที่ยอดเยี่ยมมากเพียงใด จำเป็นต้องให้เจ้าร้องไห้ฟูมฟายทุกวัน แล้วบอกว่าจะต้องแก้แค้นให้พวกเขาด้วยหรือ มารดาเจ้าก่อนสิ้นลมบอกว่าจะต้องล้างแค้นให้ได้อย่างนั้นหรือ”
อวิ๋นเยี่ยกำลังเดิมพันว่าธรรมชาติของความรักที่แม่คนหนึ่งมีต่อลูกของตนเองอยู่ นางจะต้องไม่ปล่อยให้ลูกของตนเองไปเป็นศัตรูกับหลี่ซื่อหมินที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน สำเร็จหรือล้มเหลวล้วนแล้วแต่ไม่ใช่สิ่งดีสำหรับลูกของนาง
“เจ้ารู้หรือว่าบิดาข้าคือใคร แล้วก็รู้ด้วยว่ามารดาข้าคือใคร เจ้ารู้เรื่องของพวกเขาอย่างนั้นหรือ”
“หมู่บ้านเอ้อร์เสียนจวง นอกจากซ่านสยงซิ่นแล้วยังจะมีใครอีก องค์หญิง นอกจากบุตรีของหวังซื่อชงแล้วเจ้าคิดว่ายังจะมีใครอีก หากเจ้าไม่ใช่ลูกชายของซ่านสยงซิ่น เจ้าคิดว่าข้าจะเสี่ยงมาที่บ้านเจ้าเพื่อพูดเรื่องบ้าบอเหล่านี้หรือ ป่านนี้คงให้กองทัพโอบล้อมไว้นานแล้ว”
“ท่านแม่บอกข้าว่าให้แต่งงานมีครอบครัว และมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดีก่อนที่นางจะฆ่าตัวตาย” ซ่านอิงพูดด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก
ทันใดนั้นเขาก็เหยียดตรงขึ้น และจ้องมองอวิ๋นเยี่ย แล้วตะโกนว่า “ข้าไม่ยอม อาจารย์บอกว่าข้าเป็นอัจฉริยะในการฝึกยุทธ์ ใต้หล้าที่กว้างใหญ่นี้ไม่มีที่ไหนที่ข้าจะไปไม่ได้ ข้าอยากจะพนันกับเจ้า ข้าจะต้องฝ่าด่านกลไกของเจ้าจนไปพบต้ายาให้ได้อย่างแน่นอน ถ้าข้าแพ้ข้าจะฟังเจ้า ถ้าข้าชนะข้าก็ไม่ต้องการให้เจ้ายกต้ายาให้ข้า เจ้าเพียงแค่ต้องพูดต่อหน้าทุกคนว่าข้าเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดในโลก!”
ในที่สุดก็วางใจได้แล้วและมองไปที่ซ่านอิงด้วยความสงสารและกล่าวว่า “ตามที่เจ้าต้องการ!”
——
[1] จั้ง หน่วยวัดความยาวของจีน มีความยาวประมาณสามเมตร
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น