เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 6 ตอนที่ 17-18

ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...

 

ตอนที่ 17 โชคลาภวาสนาที่ไม่มีที่สิ้นสุด

 

หลังจากที่อวิ๋นเยี่ยได้รับข่าวการหายไปของรถยิงหน้าไม้ ก็ผละออกจากฮ่องเต้และวิ่งกลับบ้านไปลำพังเพื่อจัดการประชุมด้านความปลอดภัยของตระกูล ท่านย่า อาหญิง พี่สาว น้องสาว ภรรยาและวั่งไฉห้ามไม่ให้ออกจากบ้านในช่วงเวลานี้นี่คือคำสั่งจนกว่าทางการจะหาของสิ่งนั้นพบแล้วจึงค่อยว่ากันใหม่ นอกจากนี้ที่บ้านไม่อนุญาตให้กินอาหารที่ปรุงจากภายนอก จะต้องปรุงด้วยตัวเองเท่านั้น เลี้ยงสุนัขเพิ่มขึ้นอีกสองตัวเพื่อใช้ทดสอบพิษ


 


 


“เสี่ยวเยี่ย เจ้าอย่าเพิ่งตื่นตระหนก หากเจ้าตื่นตระหนกทุกคนในบ้านจะอยู่ในความสับสนวุ่นวาย นอกจากนี้ตอนนี้เจ้าควรอยู่กับฮ่องเต้มากกว่าแทนที่จะวิ่งกลับบ้าน การทำเช่นนี้จะทำให้ฮ่องเต้มีทัศนคติไม่ดีต่อเจ้า” ท่านย่ายืนอยู่ข้างๆ เช็ดเหงื่อให้อวิ๋นเยี่ยพลางเกลี้ยกล่อมเขา


 


 


“ข้าไม่สนใจหรอก ขอเพียงแค่ครอบครัวปลอดภัย ข้าไม่สนว่าจะเป็นฮ่องเต้หรือไม่ ก็เพราะเขาเป็นคนต้องการที่จะกำจัดพวกเขาทิ้งทั้งตระกูล ตอนนี้จึงได้ถูกลอบสังหารแล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย จำเอาไว้อย่าออกไปข้างนอกและห้ามปีนกำแพง เสี่ยวยากำลังว่าเจ้าอยู่ หากยังกล้าปีนเขาจำลองและกางร่มกระโดดลงมาอีก ข้าจะตีเจ้าให้ก้นลายเลย ไม่รู้จักเรียนรู้เรื่องดีๆ เสียบ้าง”


 


 


อวิ๋นเยี่ยจิตใจว้าวุ่นสับสน รถยิงหน้าไม้เชียวนะ อาณุภาพของของสิ่งนี้ในสมัยถังไม่ได้ด้อยไปกว่าขีปนาวุธในยุคปัจจุบันเลย ด้วยรูปร่างเล็กๆ เช่นตนเองเพียงแค่ดอกเดียวก็สามารถยิงทะลุได้สามถึงสี่คนในคราวเดียว เหล่าทหารผ่านศึกต้องโยกย้ายกลับมาดูแลที่บ้าน ไม่ใช่ปล่อยให้ไปเดินเล่นอยู่ในป่าตลอดไป บ้านสิจึงจะเป็นแก่นแท้


 


 


หากโต้วเยี่ยนซันจับเสี่ยวยาเป็นตัวประกัน ไม่ต้องพูดอะไรอวิ๋นเยี่ยก็จะยอมแพ้อย่างแน่นอน จะให้เขาทำอะไรเขาก็จะทำโดยไม่ต้องต่อรองราคา โชคดีที่โต้วเยี่ยนซันไม่พบข้อบกพร่องอันร้ายแรงถึงชีวิตข้อนี้ของอวิ๋นเยี่ย หากรู้เข้าละก็คาดว่าคงทำเช่นนี้ไปนานแล้ว เป็นครั้งแรกที่อวิ๋นเยี่ยคิดว่าเรื่องพิธีรีตองเป็นเรื่องที่ดี อย่างน้องผู้หญิงในบ้านก็จะไม่ออกไปตลาดเพื่อจ่ายตลาดตามใจชอบ


 


 


ซินเย่ว์พยุงอวิ๋นเยี่ยด้วยความเป็นห่วงอย่างสุดซึ้ง เดิมนั้นเช้านี้ก็มีเรื่องชวนให้ท้อแท้เพราะรอบเดือนของนางมาแล้ว นางโมโหมากจนแทบอยากจะจุดไฟเผาบ้านทิ้งเสีย ตอนนี้มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นที่บ้าน เรื่องการตั้งครรภ์นั้นลืมไปจากสมองตั้งนานแล้ว


 


 


“ในช่วงนี้ข้าจะดูแลพวกน้องๆ ให้ดีเอง ไม่อนุญาตให้พวกนางออกไปข้างนอก วั่งไฉเองก็ไม่อนุญาตให้ออกไปข้างนอกด้วย แล้วข้าจะแจ้งให้เหล่าชาวบ้านช่วยกันค้นหารถยิงหน้าไม้ อย่างไรเสียรถยิงหน้าไม้ก็คันใหญ่มากน่าจะพอมีร่องรอยอะไรบ้าง”


 


 


เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองสามารถอยู่ห่างเอาไว้ แต่เมื่อมันมาถึงตัวแล้ว ก็แต่ต้องฝืนก้มหน้าเผชิญหน้ากับมัน โต้วเยี่ยนซันรากเหง้าแห่งความชั่วร้ายคนนี้ต้องรีบกำจัดทิ้งโดยเร็วที่สุด ถ้าไม่กำจัดเขาคงหลับไม่เป็นสุข


 


 


จัดการเรื่องที่บ้านเรียบร้อยแล้วโดยสั่งโยกย้ายทหารผ่านศึกกลับมาที่นี่บ้านอวิ๋นเยี่ยจึงค่อยรู้สึกโล่งใจ ผู้ก่อการร้ายนั้นเป็นสิ่งที่ยากที่สุดที่จะกำจัดทิ้งไป หากไม่เชื่อก็ลองดูสหรัฐอเมริกาในยุคปัจจุบันก็จะรู้ได้ว่าสงครามต่อต้านการก่อการร้ายที่ต่อเนื่องนานถึงแปดปีกว่าที่จะสามารถกำจัดหัวหน้าตัวการร้ายได้


 


 


อวิ๋นเยี่ยเฝ้าอยู่ใต้เรือนเล็กของหลี่ซื่อหมินตลอดทั้งคืน ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะขี้เกียจ หากมีอะไรผิดพลาด ผลที่ตามมามันจะน่ากลัวเป็นอย่างมาก ภายในระยะสามร้อยเมตรได้ถูกอวิ๋นเยี่ยและเหล่าองครักษ์ตรวจสอบอย่างละเอียดประหนึ่งซี่ฟันของหวี แม้แต่บนพื้นดินอวิ๋นเยี่ยก็สั่งว่าต้องใช้หอกแทงดูหนึ่งรอบด้วย เพราะเกรงว่าจะมีกรณีการขุดอุโมงค์เกิดขึ้น


 


 


หลี่ซื่อหมินไม่สนใจ ทั้งยังมีอารมณ์เชยชมพระสนมอีก เสียงร้องที่ชวนให้หงุดหงิดอวิ๋นเยี่ยที่ยืนอยู่ด้านล่างก็ยังได้ยินรางๆ แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ความตึงเครียดของเหล่าองครักษ์ก็ลดลงอย่างมาก ทุกอย่างจึงกลายเป็นระเบียบมากขึ้น ดวงตาของอู๋เสอนั้นมีประกายในยามค่ำคืน สีเขียวเงาวับที่เหมือนกับหมาป่า ตอนนี้ถ้ามีใครวิ่งเข้ามาในเรือนเล็กอย่างบุ่มบ่ามเกรงว่าจะถูกเขาฉีกเป็นชิ้นๆ


 


 


หงเฉิงสีหน้าอมทุกข์ ตลอดทั้งวันเสื้อผ้าของเขายังไม่แห้งเลย เมื่อนกฮูกร้องเสียงดังขึ้นครั้งหนึ่งเขาก็จะคว้าดาบลุกขึ้นมา ช่างเป็นคืนที่ยาวนานอะไรเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยหวังเพียงว่าฮ่องเต่จะเสด็จกลับวังในวันพรุ่งนี้ เพียงแค่ส่งท่านกลับวังอย่างปลอดภัยก็คือเรื่องมหามงคลแล้ว


 


 


“อวิ๋นโหว พี่ชายผิดต่อเจ้า สถานการณ์ที่เจ้าสร้างไว้อย่างเรียบร้อยดีงามกลับถูกข้าทำจนเละเทะไม่เป็นท่า ทั้งยังหลงเหลือเนื้อร้ายเอาไว้ด้วย หลังจากเรื่องนี้จบลงข้าคงไม่มีหน้าที่จะอยู่ที่หน่วยข่าวกรองต่อแล้ว เจ้าพอจะสามารถจัดการหาที่ดีๆ ให้พี่ชายสักแห่งไหม”


 


 


เจ้างี่เง่านี่ คำพูดครึ่งแรกยังเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดอยู่แต่ครึ่งหลังกลายเป็นพวกหน้าหนาที่แสวงหาผลประโยชน์ ไม่เสียทีที่อยู่ในหน่วยข่าวกรองมาหนังหน้าจึงได้หนานัก อยากจะตอบปฏิเสธในคราวเดียว แต่จู่ๆ ก็นึกถึงผู้หญิงที่โชคร้ายคนนั้น ยังไงก็ต้องหาคนที่เป็นที่พึ่งพิงได้ให้นางสักคน การไปที่แดนหลิ่งหนานอันแสนไกล ตนเองก็ไม่มีคนในเลยสักคนอาศัยเพียงเฝิงอั้งใครจะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าหากเฝิงอั้นก็รำคาญนางล่ะ หาที่ที่ไม่มีใครรู้แล้วจัดการนางเสียแล้วก็บอกว่าไม่คุ้นชินกับสถานที่จากนั้นก็รายงานว่าล้มป่วยเสียชีวิต ไม่มีใครสามารถจับเขาได้ ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยไม่อยากที่จะเชื่อพวกที่เรียกว่าวีรบุรุษอีกแล้ว หากนางตั้งครรภ์จริงๆ ลูกชายข้าไม่เป็นอันว่าต้องประสบเคราะห์กรรมไปด้วยหรือ


 


 


 “เรื่องในคราวนี้หากพูดให้ชัดเจนก็คือเจ้าทำงานผิดพลาด ฝ่าบาทไม่สั่งประหารเจ้าก็ถือว่าเห็นแก่มิตรภาพในวันวานมากแล้ว รถยิงหน้าไม้เชียวนะ ในเมืองหลวงเก็บซ่อนของที่เป็นเภทภัยเช่นนี้แต่เจ้ากลับไม่รู้อะไรเลย ทั้งยังสุขกายสบายใจ เจ้าได้แต่ต้องรีบทูลขอให้ฝ่าบาททรงส่งเจ้าไปยังแดนไกลจึงจะมีทางรอด มิฉะนั้นเหล่าขุนนางในราชสำนักจะต้องจับเจ้ากินทั้งเป็นเป็นแน่”


 


 


หงเฉิงพูดอย่างขมขื่นว่า “ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่มานานแล้ว มักจะมีข้อผิดพลาดเสมอ งานหน่วยข่าวกรองไม่ใช่งานที่มนุษย์ทำ แม้ว่าคราวนี้จะหลบหนีได้ แล้วครั้งต่อไปล่ะ สวรรค์ไม่ให้ชีวิตสุนัขๆ ของข้าอยู่อย่างเป็นสุข เช่นนั้นไม่สู้ให้กองทัพมาตัดศีรษะข้าให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยยังจะดีเสียกว่า”


 


 


“เหล่าหง เจ้าอยากจะลองสร้างผลงานอีกสักครั้งไหม เพื่อให้ฝ่าบาททรงเปลี่ยนมุมมองต่อเจ้าใหม่ อวิ๋นเยี่ยเหล่มองหงเฉิงแวบหนึ่งก่อนที่จะพูด


 


 


หงเฉิงรีบคว้ามืออวิ๋นเยี่ยและพูดว่า “ช่างเป็นพี่น้องที่ดีของข้าจริงๆ เจ้าเป็นคนฉลาด ต่อให้พี่ชายอย่างข้ามีแปดศีรษะก็ไม่สามารถไล่ตามแม้แต่นิ้วเท้าของเจ้าไม่ทัน เจ้าบอกพี่ชายทีว่าต้องไปที่ไหนจึงจะมีโอกาส บนทุ่งหญ้าไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเรา หากข้าไปก็จะถูกมองเป็นตัวประหลาด ทำอะไรไม่ได้เลย”


 


 


“ทางเหนือไม่ได้ หรือทางใต้ก็ไม่ได้ล่ะ สมองขี้เลื่อย”


 


 


“ไม่ได้หรอก ฝ่าบาทจะไม่ทรงอนุญาตให้ข้าไปล่วงเกินตระกูลเฝิงแน่ นอกจากนี้ที่นั่นเป็นดินแดนของพวกเขา ไม่แน่ว่าหากพี่ชายไปแล้วอาจจะไม่สามารถกลับมาได้”


 


 


“ไปอย่างถูกต้องเปิดเผย องค์หญิงโซ่วหยางไปที่ดินแดนนั้นเพื่อที่จะเข้ายึดอำนาจราชการไม่ใช่หรือ เจ้าเองก็เป็นคนของราชวงศ์เช่นกัน ติดตามไปมีอะไรไม่ถูกต้อง หากจัดการเรื่องราวได้ด้วยดี ไม่เพียงแต่จะได้เลื่อนตำแหน่ง ยังจะได้ร่ำรวยอีกด้วยและสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการสร้างกิจการไว้ให้รุ่นลูกรุ่นหลานของเจ้า  หากเจ้าไม่ใช่เหล่าหงมีหรือข้าจะบอกเรื่องนี้ โอกาสที่ดีเช่นนี้ถ้าหากข้าไม่ใช่ลูกชายคนเดียวของตระกูลละก็ ข้าจะเป็นคนแรกเลยที่ไป”


 


 


หงเฉิงเบิกตากว้างจ้องมองอวิ๋นเยี่ยตาไม่กะพริบราวกับว่าไม่รู้จักเขา ในที่สุดก็พูดอย่างอึดอัดว่า “น้องชายเจ้าอย่าล้อเล่นกับพี่ชายเลย ดินแดนเหลียวยากจนข้นแค้นจนแทบไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ ยังจะมีโอกาสได้ร่ำรวยและเลื่อนตำแหน่งที่ไหนกัน”


 


 


“รู้ไหมว่าเพราะอะไรแต่ไหนแต่ไรมาข้าจึงรวยกว่าผู้คนรอบข้างค่อนข้างง่าย เจ้ารู้สาเหตุหรือไม่”


 


 


หงเฉิงกลืนน้ำลายด้วยความอึกอัก ส่ายศีรษะ พูดตามตรงว่าเขาศิโรราบอย่างหมอบราบคาบแก้วในความสามารถในการทำเงินของอวิ๋นเยี่ย เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปี ตระกูลอวิ๋นก็กลายเป็นมหาเศรษฐีที่นับหัวได้ในมหานครฉางอัน แม้ว่าเขาเองจะมีส่วนร่วมอยู่บ้างแต่กลับเป็นความเต็มใจ เมื่อพูดถึงการทำสงครามเขาอาจจะไม่ยอมรับ แต่หากพูดถึงเรื่องการทำเงินหากอวิ๋นเยี่ยบอกว่าก้อนหินที่เขานั่งอยู่นั้นเป็นทองคำเขาก็เชื่อ


 


 


อวิ๋นเยี่ยกล่าวต่อว่า “ข้าไม่ได้ฉลาดอย่างที่พวกเจ้าคิด แต่เป็นเพราะหลายปีมานี้ได้เดินทางติดตามอาจารย์ไปหลายๆ แห่ง เรียนรู้มามาก คนดินแดนเหลียวโง่เหมือนหมู ทั้งๆ ที่นั่งอยู่บนกองเงินกองทองแท้ๆ แต่กลับยังหิวโหย เจ้ารู้หรือไม่ว่าในอ่าวฝั่งตรงข้ามที่ไม่ใหญ่มากนักอ่าวนั้นมีพืชชนิดหนึ่งที่จะสุกปีละสามครั้ง เจ้ารู้ไหมว่ามีพืชจำพวกเครื่องเทศอยู่ทั่วทั้งภูเขาแถบนั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นั่นมีเกาะหนึ่งที่เต็มไปด้วยแร่มรกต เจ้ารู้หรือไม่ว่างาช้างที่นั่นมีค่าเท่ากับดาบเหล็กหนึ่งด้าม เงินเพียงแค่อู่เหวินก็แลกเครื่องเทศห้าสิบกิโลกรัมได้”


 


 


 “ห้าสิบกิโลกรัม “ลูกตาของหงเฉิงแทบจะหลุดออกจากเบ้า เรื่องราคาเครื่องเทศในฉางอันนั้นเขาก็พอรู้อยู่บ้าง เมื่อนึกถึงว่าภาพที่ตัวเองนำถ้วยกระเบื้องเคลือบหนึ่งใบแลกกับเครื่องเทศห้าสิบกิโลกรัมจากชาวพื้นเมืองที่สวมเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ แล้ว จากนั้นนึกถึงตนเองนำดาบหนึ่งเล่มไปแลกกับงาช้างที่ยาวเกือบหนึ่งเมตร ก็นั่งตาโตน้ำลายไหล


 


 


อวิ๋นเยี่ยแอบหลบไปอย่างเงียบๆ ความโลภของมนุษย์เราจะเอาชนะความยากลำบากทุกอย่างได้ หลังจากรู้ความลับนี้แล้ว แม้จะเป็นภูเขาสูงหงเฉิงก็จะเหยียบมันให้ป่นเป็นผงแป้งเลย


 


 


“การค้านี้นับรวมส่วนของข้าด้วย!” เสียงที่สดใสดังขึ้นมา เมื่ออวิ๋นเยี่ยเหลียวหลังมองกลับเป็นหลี่เฉิงเฉียน หลายวันนี้เขาไม่ใช่ว่าต้องไปยงโจวหรือ ทำไมถึงกลับมาแล้วล่ะ


 


 


เมื่อเห็นหลี่เฉิงเฉียนเข้ามา ถึงแม้ว่าหงเฉิงจะร้อนรนกระวนกระวายเป็นอย่างมาก แต่ก็จำต้องจากไป ยังไม่มีพื้นที่พอสำหรับเขาในการร่วมฟังอวิ๋นเยี่ยสนทนากับรัชทายาท


 


 


“ทำไมเจ้าถึงกลับมาเร็วถึงเพียงนี้ จัดการเรื่องปัญหาผู้ประสบภัยที่นั่นเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือ” อวิ๋นเยี่ยเห็นคราบฝุ่นดินเต็มตัวหลี่เฉิงเฉียนก็รู้ว่าเขารีบเดินทางตลอดคืนจึงได้กลับมาในตอนนี้ หลายวันก่อนยงโจวเกือบจะเกิดการจลาจล สาเหตุนั้นเกิดจากเมื่อเริ่มเข้าฤดูใบไม้ผลิที่นั่นก็ไม่มีฝนแม้แต่หยดเดียว ผืนนาแห้งจนแตกระแหง ไม่มีทางที่จะมีชีวิตรอดได้เลย ชายคนหนึ่งเรียกตนเองว่าผู้เบิกเนตรสวรรค์รวบรวมผู้ลี้ภัยบุกโจมตีทางการแล้วเปิดยุ้งฉางแบ่งข้าวกันเอง นายอำเภอถึงสองท้องที่ถูกเขาฆ่าตาย ยังจะปล่อยไปได้อย่างไร ฮ่องเต้สั่งให้ผู้ว่าการยงโจวปราบกบฏ ให้รัชทายาทนำเสบียงอาหารไปแจกจ่ายชาวบ้านเพื่อเป็นการปลอบขวัญ เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนเจ้าหมอนี่ก็ทำภารกิจเสร็จและกลับมาแล้วหรือ เร็วเกินไปหน่อยไหม


 


 


“มีอะไรยากกัน เมื่อข้าไปถึงที่นั่น ผู้ว่าการได้จับตัวผู้เบิกเนตรสวรรค์ได้แล้ว ชาวบ้านที่ก่อความวุ่นวายก็ยอมอยู่ในค่ายใหญ่รอการลงโทษอย่างเชื่อฟัง เจ้าคงคิดไม่ถึงกระมังว่าผู้เบิกเนตรสวรรค์นั้นเป็นผู้หญิง อายุสามสิบกว่า รูปร่างอัปลักษณ์ ไม่รู้จักหนังสือสักตัว ไม่มีวรยุทธ แต่มีพละกำลังมากมาย ผู้ชายหนึ่งถึงสองคนไม่สามารถเข้าใกล้นางได้ ถูกทหารล้อมกรอบไว้สิบกว่าคน ใช้หอกแทงขัดถึงเจ็ดแปดเล่มจึงจับนางไว้ได้และนายอำเภอก็ไม่ตาย เพียงแค่ถูกนางจับไปใช้แรงงาน ตอนที่ผู้ว่าการพบพวกเขาก็ไม่หลงเหลือความเป็นคนแล้ว ล้วนแล้วแต่เป็นผู้หิวโหยจึงไปแย่งเสบียงอาหาร ข้ากราบทูลต่อเสด็จพ่อไปแล้วเสด็จพ่อตรัสว่าแล้วแต่ข้าจะจัดการ ข้าไม่ชอบฆ่าคนจึงปล่อยตัวคนอื่นไปหมด ทั้งยังให้เสบียงอาหารอีกด้วย ส่งเจ้าหน้าที่ไปช่วยซ่อมเขื่อนและปลดเจ้าหน้าที่ไปหลายคน เพียงแค่นี้เรื่องก็สงบลงแล้ว ตอนที่ข้ากลับมาชาวบ้านนับหมื่นต่างมารอส่งข้า คิดดูแล้วไม่น่าจะก่อกบฏกันอีก ส่วนเบิกเนตรสวรรค์ถูกข้านำตัวกลับเมืองหลวงและรอให้เสด็จพ่อทรงมีคำสั่ง”


 


 


“เป็นเช่นนี้ก็ดี ก็ดีแล้ว ประชากรของต้าถังนั้นเดิมทีก็น้อยอยู่แล้ว หากไม่ฆ่าได้ก็ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนทัพ การปลอบขวัญเป็นนโยบายที่ดีที่สุด ประชาชนชาวต้าถังนั้นเป็นคนที่ดีที่สุดในใต้หล้า ทำงานหนัก สู้งานจริง ขอเพียงแค่มีกิน ใครเขาอยากจะทำเรื่องที่ต้องโทษถึงประหารกัน เจ้าลองกระตุ้นให้ชาวบ้านก่อกบฏในพื้นที่ใกล้หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นดูสิ ไม่ต้องให้ทางการลงมือ ประชาชนจะจับเขาเองและส่งไปยังที่ว่าการเพื่อรับรางวัลอย่างมีความสุข ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ของต้าถังก็คือการทำให้ผู้คนร่ำรวยขึ้น เมื่อทุกคนร่ำรวยแล้วฝ่าบาทอยากจะจัดการใครก็ค่อยจัดการคนนั้น โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องที่จะตามมาภายหลัง”


 


 


“นั่นน่ะสิ ดังนั้นข้าจึงพบว่าข้ายากจนมาก เสด็จพ่อเองก็ยากจนมาก หากเจ้ามีโอกาสร่ำรวยเจ้าต้องห้ามลืมข้าเป็นอันขาด เมื่อข้าร่ำรวยแล้วก็สามารถช่วยเสด็จพ่อแบ่งเบาได้บ้าง ชาวบ้านก็จะได้ทนทุกข์น้อยลงเช่นกัน จะว่าไปแล้วเจ้าก็ยังเป็นห่วงพี่สาวข้านี่นะ” 

 

 


ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...

 

ตอนที่ 18 ชายหนุ่ม

 

ท้ายที่สุดหลี่เฉิงเฉียนก็เหนื่อยล้าและผล็อยหลับไปบนเก้าอี้ อวิ๋นเยี่ยถอดเสื้อคลุมของเขาออกมาแล้วคลุมให้เขา แล้วเอาผ้าคลุมของหงเฉิงมาคลุมตัวเอง ราตรีบนภูเขานั้นหนาวเหน็บน้ำค้างแรง คงไม่ดีถ้าหากป่วยไป วัยรุ่นอายุสิบห้าปีเป็นคิดคำนวณประหนึ่งผู้สูงวัยห้าสิบปี ไม่รู้จริงๆ ว่าความร่ำรวยมั่งคั่งนี้เป็นเรื่องดีหรือไม่ดีสำหรับเขากันแน่ พ่อและลูกกันไม่เรียกพ่อกับลูกแต่เรียกเป็นฮ่องเต้กับขุนนาง หากอยากได้อำนาจก็ต้องก้าวไปตามเส้นทางที่เคยถูกกำหนดไว้เช่นเดียวกับลาแก่ที่ถูกปิดตาและลากโม่ คิดว่าตนเองกำลังก้าวไปข้างหน้า แต่ใครจะรู้ว่ากำลังหมุนเป็นวงกลมอยู่


 


 


หลิ่งหนานเป็นดินแดนที่เสมือนเนื้อก้อนโต หลี่อันหลานกินไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยก็กินไม่ได้ แม้ว่าจะดึงรัชทายาทเข้ามามีส่วนร่วมก็กินไม่ได้ ผลประโยชน์มากเกินไป โชคดีที่มีเหล่าขุนนางที่สร้างความดีความชอบที่ปากสูงอยู่ไม่น้อย หากดึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยสักจำนวนหนึ่ง ด้วยการที่มีพวกเขาคอยปกปิดไว้ เรื่องที่จะปกป้องหลี่อันหลานไม่ให้เกิดเรื่องน่าจะยังพอทำได้ แน่นอนว่าสำนักศึกษาก็ต้องเข้ามามีส่วนร่วมด้วย นี่เป็นแหล่งเงินทุนหลักที่มาในอนาคต ต้องตัดจางเลี่ยงทิ้ง คนคนนี้นอกจากจะทำการใหญ่ไม่ได้ทั้งยังจะทำให้งานเสียอีก การเข้าร่วมผู้ถือหุ้นที่แข็งแกร่งเกินไปไม่ใช่เรื่องดี ทหารผ่านศึกของหลี่เซี่ยวกงก็ไม่จำเป็นต้องส่งคืนแล้ว นิสัยเสียของอวิ๋นเยี่ยที่ยืมของของใครแล้วมีหรือจะส่งคืน


 


 


ในตอนนั้นเมื่อเหลาหลี่ให้ยืมคนก็ไม่มีเหตุผลที่จะเอากลับไป แม่เฒ่าตระกูลหลี่มาเยี่ยมท่านย่าที่บ้านเมื่อหลายปีก่อน ปิดประตูห้องนั่งคุยกันอยู่เป็นนาน ไม่รู้ว่าได้ผลประโยชน์จากตระกูลอวิ๋นไปเท่าไร ตอนจากไปก็ยิ้มตาหยี ทั้งยังหยิกแก้มซินเย่ว์อีก บอกว่าฮูหยินใหม่ช่างงดงามนัก หยิกนิดหน่อยแก้มก็แทบย้วย


 


 


ยายเฒ่าปากเสีย แม้กระทั่งภรรยาข้าก็ยังแอบแต๊ะอั๋ง


 


 


อย่างไรก็ตามทะเบียนครัวเรือนตอนนี้มีรายชื่อเพิ่มมากว่าร้อยชื่อ เราเองก็เป็นแค่เจวี๋ยโหว ทำจนที่บ้านมีคนรับใช้สี่ห้าร้อยคนมันจะดูเกินไปหน่อยหรือไม่


 


 


“อยากจะเข้ามาก็เข้ามา ข้าไม่กัดหรอก ยักแย่ยักยันอะไรอยู่ได้” หงเฉิงยังไม่ได้ไปพักผ่อน มองดูอวิ๋นเยี่ยกำลังคิดเรื่องต่างๆ ก็เดินวนเวียนอยู่รอบๆ อวิ๋นเยี่ย คิดอยากจะเข้ามาหาอยู่หลายครั้งแต่ก็ฝืนไม่เข้ามา ช่างดูน่าสงสาร


 


 


“อวิ๋นโหวกำลังวางแผนการที่จะสร้างผลกำไรให้กับพวกเรา จะให้กล้ารบกวนได้อย่างไร หากเกิดความคิดดีๆ หายไป ก็ทำให้ทุกคนพลอยเสียผลประโยชน์ไปด้วย” หงเฉิงยิ้มแหยๆ แล้วเดินเข้ามา ผู้ชายคนนี้ไม่โง่รู้ว่าการค้าครั้งนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนมากมาย เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะสามารถทำได้ด้วยตระกูลเดียวเพียงลำพัง มีความเกี่ยวพันกันมากมาย


 


 


“คิดดีแล้วใช่ไหม รู้ว่าครั้งนี้เจ้าจะได้เชิดหน้าชูตาครั้งใหญ่ ไม่เพียงแต่เป็นตัวแทนของราชวงศ์ แต่ยังมีมหาเศรษฐีจำนวนมากคอยเป็นกำลังหนุนอยู่เบื้องหลัง ดีกว่าตำแหน่งไก่กาของเจ้าในหน่วยข่าวกรองมากมายเลยกระมัง” ต่างก็เป็นคนที่เข้าใจง่าย อวิ๋นเยี่ยจึงเปิดอกพูดอย่างชัดเจน


 


 


“ข้าเหล่าหง แม้แต่คิดยังไม่เคยคิดว่าในสถานที่ที่ป่าเถื่อนเช่นนั้นจะมีเรื่องดีๆ เช่นนี้ได้ ขอขอบคุณอวิ๋นโหวเป็นการล่วงหน้า” คนอย่างหงเฉิงปกติไม่ขอบคุณผู้อื่น นั่นก็คือแต่ไหนแต่ไรมาเป็นจำพวกไม่ยอมลงทุนลงแรงแม้แต่น้อยแต่จะแสวงหาผลประโยชน์ จะไม่เป็นหนี้บุญคุณของใครเด็ดขาด เพื่อที่ภายหน้าหากจะต้องลงมือจัดการในใจจะได้ไม่มีพันธะผูกพัน


 


 


“เหล่าหงเจ้าติดค้างหนี้น้ำใจข้าครั้งหนึ่ง หนี้น้ำใจนี้ข้าต้องการให้เจ้าคืนให้โซ่วหยาง ข้าเป็นหนี้นางมากมาย ข้าต้องการให้เจ้าไม่ว่าอย่างไรก็ตามต้องคุ้มครองนางให้ปลอดภัย ให้นางใช้ชีวิตบั้นปลายที่เหลืออย่างมีความสุข แน่นอน หากมีเจ้าพวกตาบอดคนไหนคิดหาเศษหาเลยกับนาง ช่วยข้ากำจัดมันด้วยและถือว่าข้าเป็นหนี้เจ้า”


 


 


เป็นไปไม่ได้ที่หงเฉิงจะไม่รู้ถึงความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงระหว่างอวิ๋นเยี่ยกับองค์หญิงโซ่วหยาง ขอเพียงแค่ไม่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของราชวงศ์ ถ้าต้องฆ่าคนสักหนึ่งหรือสองคนเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร


 


 


ขอบฟ้าเริ่มปรากฏแสงขาวๆ เสียงไก่ขันดังขึ้นแต่ไกล สำหรับอวิ๋นเยี่ยแล้ว วันที่เจ็บปวดที่สุดก็มาถึงในที่สุดหลังจากอาหารเช้า หลี่ซื่อหมินกำลังเตรียมตัวกลับวัง หยางเฟยและอินเฟยกลับไม่ได้กลับไปด้วย จำเป็นต้องอาศัยอยู่จนกว่าช่างฝีมือจะเปลี่ยนน้ำในสระไท่เยี่ยออกทั้งหมดก่อนจึงจะกลับไป สำหรับข้อนี้อวิ๋นเยี่ยมีความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับหลี่ซื่อหมิน เขาไม่กลัวอันตรายและจะไม่ให้อันตรายพุ่งเป้าไปที่ภรรยาและลูกๆ ของเขา เขาจะบุกน้ำลุยไฟเพียงคนเดียว เป็นคนคนหนึ่งที่มีความรับผิดชอบมาก


 


 


อวิ๋นเยี่ยปลุกเฉิงเฉียนให้ตื่นขึ้นแล้วพรมน้ำเย็นลงบนตัวเขาเล็กน้อย ทั้งยังไม่ยอมช่วยปัดฝุ่นบนตัวเขาด้วย สร้างเป็นภาพลักษณ์ลูกชายที่ดีที่รีบเดินทางไกลมาเพื่อปกป้องบิดา หงเฉิงรู้สึกอิจฉาหลี่เฉิงเฉียนที่มีคนคอยให้ความช่วยเหลือ ตนเองนอนตากน้ำค้างจนเปียกแฉะไปทั้งตัวก็ไม่มีใครสงสาร


 


 


“ไม่ต้องพรมน้ำให้รัชทายาทแล้ว ความทุกข์ยากของลูกข้าเรารู้ดี สร้างรายละเอียดในการเล่นละครได้ถึงจุดนี้ก็มีแต่เจ้าอวิ๋นเยี่ยถึงจะทำเรื่องเช่นนี้ได้ รัชทายาท เจ้าไม่ควรเรียนรู้เรื่องพวกนี้จากเขา การประพฤติตนเป็นพวกจอมปลอมนั้นถือว่าไม่ซื่อสัตย์ “


 


 


ไม่รู้ว่าหลี่ซื่อหมินปรากฎตัวอยู่บนระเบียงตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วก้มมองลงมาด้านล่าง ไม่เหลือภาพลักษณ์ของฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อยนิด


 


 


 “เจ้าหนุ่ม จัดเตรียมการเดินทางของเราเสร็จแล้วใช่หรือไม่ จะให้ดีก็จงตั้งใจทำเสียหน่อย มิฉะนั้นถ้าหากเราเกิดเรื่องร้าย เจ้าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร” หลี่ซื่อหมินพูดอย่างเรียบง่าย ไม่เห็นเรื่องการลอบสังหารเป็นเรื่องใหญ่อะไร ตัวเขาเองก็คลานเอาชีวิตรอดออกมาจากกองศพ เมื่อพบเจอเหตุการณ์ดังกล่าวมามาก ตัวเขาจึงมีความมั่นใจในตัวเองที่แข็งแกร่งมาก ประสาอะไรกับการที่เขาได้เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว หากยังเกิดเรื่องอีก ต้องเสียชีวิตไปก็สมน้ำหน้าแล้ว


 


 


“กระหม่อมจัดรถม้าไว้สามคันหนึ่ง ตกแต่งหรูหราหนึ่งคันและตกแต่งธรรมดาสองคัน จำนวนองครักษ์เท่ากัน ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับว่ามือสังหารจะโจมตีรถม้าคันไหนแล้ว” อวิ๋นเยี่ยพูดกับหลี่ซื่อหมิน


 


 


“เจ้าจะให้เรานั่งคันไหน” หลี่ซื่อหมินลูบเคราแล้วมองอวิ๋นเยี่ยด้วยอาการดูหมิ่น ไม่ว่าจะนั่งคันไหนก็มีอันตรายทั้งสิ้น ให้เด็กหนุ่มทำงานก็มักจะทำอะไรเหลวไหลเสมอ หากทำตามที่เขาบอกรมีหวังคงต้องถูกมือสังหารหัวเราะเยาะตาย


 


 


“ฝ่าบาทไม่ต้องประทับที่รถม้าคันไหนทั้งสิ้น รอให้กระหม่อมจับมือสังหารได้แล้ว พระองค์จึงค่อยเสด็จกลับ ขบวนคุ้มกันที่จะใช้หลอกล่อมือสังหารจะออกเดินทางในอีกหนึ่งชั่วยาม หากไม่มีอันตรายใดๆ ขบวนก็จะกลับไปถึงวัง หากมีอันตราย คราวนี้แม้มือสังหารจะติดปีกก็บินหนีไม่พ้น”


 


 


หลี่ซื่อหมินพยักหน้า การทำเช่นนี้สิจึงค่อยดูสมเหตุผลหน่อย ฮ่องเต้ไม่ได้มีไว้เพื่อเป็นเหยื่อล่อศัตรู


 


 


ทันใดนั้นทหารประจำตระกูลอวิ๋นก็วิ่งเข้ามาหาอวิ๋นเยี่ยและกระซิบอยู่สองสามประโยค อวิ๋นเยี่ยจึงสั่งการเพียงไม่กี่คำ ทหารคนนั้นจึงรับคำสั่งแล้วจากไป อวิ๋นเยี่ยเงยหน้าขึ้นและพูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “ฝ่าบาท บางทีอาจจะไม่ต้องยุ่งยากถึงเพียงนั้นแล้วก็ได้ มีชาวบ้านพบรถม้าที่บรรทุกรถยิงหน้าไม้แล้ว กระหม่อมได้สั่งล้อมตลาดเอาไว้แล้ว แม้จะไม่รู้ว่าเจ้าโจรขโมยซ่อนตัวอยู่ที่ร้านไหนก็ตาม แต่เชื่อว่าภายใต้การค้นหาของแม่ทัพหงเฉิงต้องไม่มีทางเล็ดรอดออกไปได้อย่างแน่นอน”


 


 


หลี่ซื่อหมินก็ไม่แปลกใจ เพียงแค่โบกมือให้อวิ๋นเยี่ยและหงเฉิงไปจัดการ แล้วจึงเรียกรัชทายาทขึ้นมาพบ ตั้งใจจะถามเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ของการไปบรรเทาทุกข์โดยลำพังในครั้งนี้ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งก็ถือเป็นการทดสอบไปในตัว


 


 


โต้วเยี่ยนซันเก็บซ่อนตัวอยู่ในที่ปลอดภัยมาโดยตลอด ที่ร้านค้ามีโจวต้าฝูคอยดูแลก็เพียงพอแล้ว นี่คืองานที่ต้องเสี่ยงแลกด้วยชีวิต โจวต้าฝูไม่เพียงแต่ไม่กลัว แต่กลับรู้สึกตื่นเต้นมาก เมื่อเขาคิดว่าประเดี๋ยวจะมีฮ่องเต้ต้องตายด้วยน้ำมือตนเองก็ตื่นเต้นจนมือเท้าสั่นเทาไปทั้งร่าง นั่งอยู่ในห้องใต้หลังคา เปรียบเทียบมุมของรถยิงหน้าไม้อีกครั้ง หัวสิ่วหกดอกที่ใช้ทะลวงกำแพงเมืองหากยิงออกไปในระยะใกล้เช่นนี้ แม้เป็นเทพเซียนก็หนีไม่รอดแน่


 


 


เขาลูบศีรษะของเด็กหนุ่มผู้ที่กำลังควบคุมรถยิงหน้าไม้อยู่อีกด้านหนึ่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนว่า “หยาจื่อ เจ้าฮ่องเต้เลวคนนี้ทำให้พ่อของเจ้าต้องตายและแม่ของเจ้าก็ฆ่าตัวตายเพราะเรื่องนี้ ฮ่องเต้ชั่วคนนี้ติดหนี้เลือดพวกเรา วันนี้จะได้จัดการให้จบสิ้นไปเสียที วิญญาณของพ่อและแม่เจ้าบนสวรรค์จะต้องยินดีอย่างแน่นอน อีกสักครู่ไม่ต้องกลัว อาจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเอง พวกเราจะฆ่าฮ่องเต้ชั่วด้วยกัน จะจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์”


 


 


ชายหนุ่มที่ถือค้อนไม้ขนาดใหญ่อยู่ในมือ ดูเหมือนจะสงบนิ่งกว่าโจวต้าฝูเสียอีก พูดกับโจวต้าฝูว่า “ท่านอาโจว ประเดี๋ยวเมื่อใช้ค้อนใหญ่อันนี้ทุบลงไป ลูกดอกก็จะพุ่งออกมาใช่ไหม”


 


 


“ถูกต้อง เพียงแค่ทุบลงไป ฮ่องเต้ชั่วก็จะตายแน่นอน พ่อและแม่ของเจ้า… “


 


 


โจวต้าฝูยังไม่ทันพูดจบ ชายหนุ่มก็พูดต่อว่า “ข้าเคยเจอท่านพ่อไม่กี่ครั้ง ท่านแม่วันหนึ่งๆ ก็เอาแต่ร้องไห้ ทำอะไรไม่เป็น พอท่านพ่อตายท่านแม่ก็ผูกคอตาย ก็แค่คนไม่เอาไหนสองคน การฆ่าฮ่องเต้ก็เป็นการทำในฐานะลูกชายของพวกเขา หลังจากเรื่องนี้เสร็จแล้ว ท่านอาโจวก็ไม่ต้องมาหาข้าอีก ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าท่านด้วย ข้าเพียงแค่ไม่อยากให้ท่านแม่มารังควานข้าในความฝันอีก ข้ายังต้องการแต่งงานมีลูกและใช้ชีวิตที่ดีต่อไป หากต้องมีความฝันแบบนี้ไปตลอดมันไม่ดีเลย เรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ก็เพียงแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว”


 


 


โจวต้าฝูมองแววตาที่เย็นชาของชายหนุ่มแล้วก็รู้สึกเสียวสันหลังโดยไม่รู้ตัว หากทั้งสองหลบหนีออกไปได้ โจวต้าฝูไม่สงสัยเลยว่าชายหนุ่มที่เหมือนหมาป่าตัวนี้จะต้องฆ่าตนเองอย่างแน่นอน เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้วก็ถอยหลังสองก้าว ไปยืนอยู่หลังรถยิงหน้าไม้ของตนเองและไม่พูดอะไรอีกเลย


 


 


เมฆหมอกบางๆ ระหว่างช่องเขาค่อยๆ ลดต่ำลงมาปกคลุมตลาดจนทำให้เห็นเงาผู้คนอย่างเลือนราง ตลาดเริ่มคึกคักวุ่นวายขึ้น แต่ไหนแต่ไรมาตลาดของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นเริ่มทำการค้าขายกันตั้งแต่เช้า เหล่าพ่อค้าที่ขยันขันแข็งก็เริ่มเปิดประตูเพื่อทำการค้า


 


 


ชายหนุ่มที่ดุดันเหมือนเสือดาวจู่ๆ ก็พูดกับโจวต้าฝูว่า “พวกเราถูกพบแล้ว มีคนมาจำนวนมากด้วย” โจวต้าฝูตื่นตระหนกและเปิดผ้าม่านที่ทำด้วยผ้าป่านเพื่อมองดูภายนอกซึ่งก็แดดร่มลมสงบไม่มีอะไรผิดปกติกับตลาด จึงอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองชายหนุ่มคนนั้น


 


 


ชายหนุ่มเพียงแค่ทุบค้อนลงไปที่แท่นยิงลูกดอกที่ใช้ทะลวงกำแพงก็เกิดเสียง ฟิ้ว พุ่งออกไปยังกลุ่มคนที่อยู่กลางตลาด ซึ่งมีสองคนหนีไม่พ้น จึงถูกลูกดอกทะลวงกำแพงปักล้มลงกับพื้น ส่วนอีกดอกหนึ่งปักทะลุด้านหลังของอีกคนหนึ่งพร้อมกับเสียง ฟุบ ล้มลงบนถนนหินและขนตรงด้านปลายก็รับแรงกระแทกทำให้ฉีกออกจากกันเป็นชิ้นๆ ลอยไปทั่วท้องฟ้า


 


 


มีคนมากมายวิ่งออกจากร้านค้าแต่ละร้าน แห่กรูมุ่งหน้าไปที่ร้านขายปลาของโจวต้าฝู ฉวยโอกาสตอนที่โจวต้าฝูกำลังงงงวย ชายหนุ่มก็ใช้ค้อนทุบไปที่แท่นยิงของรถยิงหน้าไม้ของโจวต้าฝูทันที ลูกดอกทะลวงกำแพงสามดอกก็พุ่งออกมา ท่ามกลางฝูงชนที่แน่นขนัด ภายในเวลาชั่วพริบตาก็ปรากฏคราบเลือดเป็นทางสามเส้น เมื่อมองไปยังศพที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นแล้ว ชายหนุ่มก็แสยะยิ้ม เมื่อยกมือขึ้น ค้อนขนาดใหญ่ก็ฟาดลงบนศีรษะของโจวต้าฝู เพียงพริบตาศีรษะของโจวต้าฝูก็แหลกเละ ร่างทั้งร่างหน่วงหนักเหมือนกระสอบล้มตึงลงบนพื้น ดวงตาข้างหนึ่งถูกแรงอัดจนกระเด็นตกบนพื้นดิน แต่ยังคงแฝงไว้ด้วยแววตาแห่งความสับสน


 


 


ชายหนุ่มหยิบค้อนขึ้นมาอีกครั้งและทุบใส่ใบหน้าของโจวต้าฝูจนไม่สามารถแยกแยะได้อีก จากนั้นถอดเสื้อบนตัวที่เปื้อนเลือดแล้วคลุมลงบนศีรษะของโจวต้าฝู เขาเพียงแค่กระโดดเบาๆ ก็คว้าแปที่อยู่บนสุดของห้องใต้หลังคาได้ เมื่อออกแรงที่เอวก็ตีลังกาห้อยศีรษะลงเท้าชี้ฟ้า เคลื่อนตัวขึ้นไปบนหลังคา แกนกลางของหลังคาช่วยป้องกันเขาได้เป็นอย่างดี แล้วเคลื่อนตัวราวกับงูออกไปจากร้านขายปลาของบ้านโจว ฉวยโอกาสในขณะที่มือเกาทัณฑ์ที่เป็นหน่วยลาดตระเวนบนหลังคาฝั่งตรงข้ามกำลังโจมตีคนชุดดำที่เหลืออยู่ในร้านขายปลา เขากระโดดข้ามจากหลังคาหนึ่งไปยังอีกหลังคาหนึ่งอย่างง่ายดาย จนมาถึงร้านขายเนื้อเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมทางเดินตลาด


 


 


เขากระโดดจากลานบ้านลงมาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย แล้วคว้าเอามีดฆ่าหมูจากหิ้งแล้วแทงเข้าไปตรงหัวใจหมูอ้วนที่ถูกผูกไว้ตัวหนึ่ง มีเลือดหลายหยดกระเด็นใส่เสื้อสีน้ำเงิน จึงคลายเชือกที่ผูกติดกับปากหมูไว้อย่างพอใจ ปล่อยให้หมูได้เปล่งเสียงร้องครวญเป็นครั้งสุดท้าย


 


 


หมูกำลังร้องคร่ำครวญ แต่ชายหนุ่มกำลังร้องไห้สะอื้นอยู่ ปากก็บ่นพึมพำว่า “ท่านแม่ ลูกได้แก้แค้นให้ท่านแล้ว ชีวิตคนเจ็ดแปดคนน่าเพียงพอที่จะทำให้ท่านพอใจแล้วกระมัง ต่อจากนี้ไปลูกจะตั้งใจทำกิจการร้านหมูนี้เป็นอย่างดี ไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้ว”


 


 


ประตูด้านนอกมีเสียงพังประตูดังขึ้น ชายหนุ่มเดินก้าวโตเพื่อไปเปิดประตู ก็เห็นชายเจ็ดแปดคนยืนอยู่ด้านนอกประตู แต่ละคนถือมีดดาบและโล่แนวขวางอยู่ในมือ ธนูถูกง้างรอไว้ ขอเพียงแค่เขามีท่าทีผิดปกติก็จะโจมตีทันที

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)