เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 6 ตอนที่ 13-15

ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...

 

ตอนที่ 13 แผนการในการป้องกัน

 

ถึงเอาชนะเจ้าไม่ได้ แล้วยังเอาชนะลูกชายเจ้าไม่ได้อีกงั้นหรือ ในที่สุดเสียงร้องโอดครวญของหลี่ไท่ก็ได้ปลอบโยนหัวใจที่บาดเจ็บของอวิ๋นเยี่ยให้สงบลงได้


 


 


หลังจากสงครามผ่านไปความสงบสุขจะเกิดขึ้นเสมอ อวิ๋นเยี่ยช่วยหลี่ไท่เกล้าผมที่ยุ่งเหยิงของเขาอย่างระมัดระวัง นำมงกุฎทองคำที่กระเด็นไปด้านข้างสวมใส่ที่ศีรษะให้เขาดังเดิม จากนั้นใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดรอยดำบนหน้าให้หมดไปและจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย จึงค่อยหายใจออกมาด้วยความโล่งอก


 


 


“เสี่ยวเยี่ย เจ้ากลัวว่าพ่อของข้าจะพบว่าเจ้าต่อยข้า จึงได้ช่วยข้าจัดเสื้อผ้าล่ะสิ” หลี่ไท่แต่ไหนแต่ไรมาเป็นเด็กฉลาดคนหนึ่ง


 


 


“เสี่ยวเยี่ยเจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถูกเจ้าต่อยแล้วยังไม่ค่อยรู้สึกโกรธสักเท่าไร” ใบหน้าเล็กๆ ที่ขาวสะอาดของหลี่ไท่ปรากฏรอยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์ขึ้น


 


 


“ไม่รู้ แต่ข้ามีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี ไม่แน่ว่าพ่อของเจ้าอาจจะต่อยข้าก็ได้ ข้ารู้สึกได้ เมื่อก่อนตอนเขาตีข้าก็เหมือนแมวไล่จับหนูอย่างนี้เหมือนกัน” อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกหงุดหงิดมาก นึกไม่ออกจริงๆ ว่าตนเองทำอะไรผิดไปจึงต้องถูกตีด้วย


 


 


“เดี๋ยวเจ้าจะได้รู้ ข้ารับประกัน การลงมือของเจ้าครั้งนี้นั้นไม่เบาเลย ดังนั้นข้าจึงใจกว้างให้อภัยเจ้าเรื่องที่เจ้าต่อยข้า อย่างไรเสียเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายที่จะย่ำแย่กว่าข้า ข้าก็มีคุณสมบัติพอที่จะให้อภัย”


 


 


ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่นั้น หลี่ซื่อหมินเดินหน้าดำทมิฬออกมาจากประตู ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถแก้ค่ายกลประตูของสำนักศึกษาได้ แม้ว่าเขาจะเดินช้ามากแต่เขาก็ยังคงล้มเหลวในการเผชิญหน้ากับแรงเฉื่อยทางกายภาพที่แข็งแกร่ง


 


 


“เสด็จพ่อ เหตุใดเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ต้องให้ท่านทรงลงมือเองด้วย ให้ลูกจัดการก็พอแล้ว พระราชกรณียกิจของท่านมากมายอยู่ทุกวัน หากมาเสียเวลาอยู่กับของสิ่งนี้มันจะไม่เป็นผลดีต่อไพร่ฟ้า ให้ลูกลงมือเองก็พอ เพียงกลภาพลวงตาเล็กน้อยเท่านั้น หากมองออกก็จะจัดการได้”


 


 


อวิ๋นเยี่ยประหลาดใจมาก เขาไม่เคยสอนศิลปะการสนทนาเช่นนี้ให้หลี่ไท่มาก่อน เด็กคนนี้ไม่มีอาจารย์แต่กลับเรียนรู้ด้วยตนเอง ฝึกฝนมาไม่น้อยนะ


 


 


แน่นอนว่าหลี่ซื่อหมินมีสีหน้าเบิกบานเป็นอย่างมาก จึงตบด้านหลังศีรษะลูกชายเบาๆ เพื่อเป็นการให้กำลังใจมุ่งมั่นกล้าหาญในการศึกษา พยายามฝึกเพื่อวันที่จะอยู่เหนืออวิ๋นเยี่ยให้ได้โดยเร็วที่สุด จากนั้นจึงค่อยสบประมาทเขา


 


 


น่าแปลกมาก ขอเพียงแค่พ่อตบหลังศีรษะลูกชายเบาๆ เพื่อแสดงความใกล้ชิด เด็กโง่ก็จะอ้าปากกว้างหัวเราะเหมือนคนโง่ไร้เดียงสา ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวไหนก็ล้วนแล้วแต่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวยากไร้จนถึงตระกูลของชนชั้นสูงก็ไม่แตกต่างกัน


 


 


หลี่ไท่ผู้ที่ได้รับแรงกระตุ้นทางจิตใจก็วิ่งนำหน้าเข้าไปในค่ายกลก่อนเพื่อน หลี่ซื่อหมินเดินตามอยู่ข้างหลังด้วยความตื่นเต้นสนุกสนาน อู๋เสอก็ก้าวเข้าสู่ประตูใหญ่อีกครั้ง ได้แต่ถอนหายใจแล้วอวิ๋นเยี่ยก็เดินเข้าประตูข้างไป


 


 


หลี่ไท่มองข้ามค่ายกลทั้งหมดและสาวก้าวเดินไปข้างหน้า เห็นได้ชัดว่าเบื้องหน้าไม่มีทางให้เดินแล้ว แต่เมื่อข้ามกำแพงที่แตกหักด้านหลังกลับมีทางเดินปรากฏออกมาอีก เห็นชัดๆ ว่าทุ่งดอกไม้เต็มไปด้วยหนามแหลม แต่หลี่ไท่กลับไม่หวาดกลัวต่อหนามที่ทิ่มแทงเข้าบนร่างกายราวกับว่าไม่มีอะไรเลย หลี่ซื่อหมินสัมผัสกับปลายแหลมของหนามอย่างระมัดระวัง แต่กลับพบว่าหนามแหลมนั้นอ่อนนุ่มและไม่มีภัยคุกคามเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่ามีบึงน้ำอยู่ตรงหน้า แต่เขากลับเหยียบบนผิวน้ำและลุยน้ำข้ามไป ทั้งยังอธิบายให้พ่อฟังถึงตำแหน่งของตอไม้ใต้น้ำนี้ว่าเป็นการเรียงตัวแบบดาวเหนือเจ็ดดวง ขอให้ระวังด้วยอย่าไปเหยียบถูกที่ว่างเข้า คราวก่อนแม่ทัพหลี่จิ้งก็ได้ก้าวพลาดตกลงไปในบึงน้ำนี้


 


 


นี่เป็นสิ่งที่ตาเฒ่ากงซูมู่ปรับปรุงเพิ่มเติมในภายหลัง ถ้าหากทำไว้เช่นนี้ตั้งแต่แรกอวิ๋นเยี่ยเองก็ไม่สามารถข้ามไปได้ ถ้าเขาทำสิ่งนี้ในตอนแรก หลี่จิ้งอวดอ้างว่าตัวเองเป็นนักการทหารที่เก่งกาจ หนีมาพักร้อนที่สำนักศึกษา ตอนที่ก้าวมาถึงตำแหน่งนี้เขาลืมว่าดาวอัลไคด์หนึ่งในดาวทั้งเจ็ดเป็นดาวที่อับแสง ด้วยเหตุนี้เขาจึงตกลงไปในบึงน้ำสกปรกนี้ ท่าทางดูไม่จืดเลยแต่กลับตะโกนเสียงดังว่าสะใจยิ่งนัก


 


 


ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเมื่อได้ยินว่าหลี่จิ้งโชคร้าย หลี่ซื่อหมินจึงยิ่งหัวเราะอย่างมีความสุขมากขึ้น ในไม่ช้าก็มาถึงด้านหน้าของกำแพงเงา หลี่ไท่เคลื่อนย้ายตัวเลขเรียงตามลำดับหนึ่งสองสามสี่ห้าหกเจ็ดอย่างคล่องแคล่ว ทันใดนั้นกำแพงเงาก็เปิดออกทันที เขาก็ผลักพ่อของเขาออกไปด้านข้าง ส่วนตนเองก็ย่อตัวลง เงาสีขาวกลุ่มหนึ่งส่งเสียงดังพุ่งตรงมาที่ด้านหน้าของอู๋เสอ อู๋เสอเองก็ไม่ตื่นตระหนก รีบยกมือตั้งฉากเหมือนดาบฟาดลงไปที่กลุ่มเงาสีขาวนั้น


 


 


เสียง ฟุบ ดังขึ้น เงาสีขาวแตกกระจาย ผงแป้งสีขาวกระจัดกระจายลอยฟ่องไปทั่วอากาศ อู๋เสอยืนป้องกันหลี่ซื่อหมิน เมื่อสะบัดแขนเสื้อของเขาก็เกิดลมแรงจนผงสีขาวถูกพัดหายไป ก้าวขึ้นมาข้างหน้าด้วยท่าทีราวกับเสือรอตะครุบเหยื่อ ไม่หลงเหลือท่าทีขันทีจอมเจ้าเล่ห์เลยแม้แต่น้อย ท่าทางองอาจสง่าผ่าเผย ท่วงท่าของยอดฝีมือปรากฏออกมาอย่างชัดแจ้ง


 


 


หลี่ซื่อหมินกระแอมทีหนึ่งแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยที่กำลังเดินเข้ามาว่า “นี่คือสิ่งที่เจ้าจัดเตรียมไว้หรือ อยากดูเรื่องน่าขำของเราหรือ” จากนั้นก็จับผงแป้งสีขาวที่ติดอยู่บนร่างกายดูพบว่ามันเป็นแป้งหมี่ หลี่ซื่อหมินคลายสีหน้าลงพลางถามอวิ๋นเยี่ย


 


 


 


 


 


“ต่อให้กระหม่อมมีหนึ่งพันหัวก็ไม่กล้าหยอกล้อฝ่าบาทเช่นนี้ สำหรับเรื่องนี้นั้น พระองค์ทรงตรัสถามโอรสของท่านจะดีกว่า” อวิ๋นเยี่ยทรยศหลี่ไท่อย่างไม่ลังเล สีหน้าของหลี่ไท่เริ่มบึ้งตึง ก้มหน้าเงียบไม่พูดอะไร


 


 


อวิ๋นเยี่ยกล่าวต่อไปว่า “เสี่ยวไท่ไม่ต้องการให้แม่ทัพหลี่ทำลายค่ายกลได้ง่ายเกินไป ดังนั้นเขาจึงเพิ่มถุงแป้งหมี่เข้าไป เตรียมที่จะทำให้แม่ทัพหลี่ต้องเสียหน้ากันสักหน่อย” หลี่ไท่มองอวิ๋นเยี่ยด้วยความตกใจ ตนเองมีความคิดที่จะจัดการกับหลี่จิ้งตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เห็นได้ชัดว่าตนเองลำพองใจอยู่ชั่วขณะหนึ่งจนลืมไปว่ามีกลไกอันนี้อยู่


 


 


หลี่ซื่อหมินก็มีความสุขขึ้นมาทันทีและตบไหล่ของหลี่ไท่แล้วพูดว่า “เด็กดี มีไหวพริบดีมาก แม้เป็นแค่แป้งหมี่อย่างไรเสียก็ถือเป็นเสบียง มันน่าเสียดายที่จะต้องใช้อย่างสิ้นเปลือง คราวหน้าเปลี่ยนเป็นหินปูน” เมื่อพูดจบก็สลับสับเปลี่ยนรหัสผ่านเล่นอย่างมีความสุขมาก อู๋เสอก็ปัดแป้งหมี่ที่เลอะอยู่บนกายออกและกลับไปยืนอยู่ข้างหลังหลี่ซื่อหมินโดยไม่พูดอะไรราวกับว่ายอดฝีมือแห่งยุคคนเมื่อครู่นั้นไม่ใช่เขาก็ไม่ปาน


 


 


อวิ๋นเยี่ยส่งแววตาให้หลี่ไท่ราวโดยสื่อว่าเจ้าเป็นหนี้น้ำใจข้าอีกครั้งแล้วนะ จากนั้นก็เริ่มจับตาดูอู๋เสอเตรียมที่จะดูยอดฝีมือแห่งยุคที่แท้จริง ซึ่งก็จ้องมองจนอู๋เสอรู้สึกอึดอัด


 


 


รอจนหลี่ซื่อหมินเล่นสนุกจนพอ ทั้งสี่คนก็ออกมาจากกำแพงลับจนมาถึงสวนของสำนักศึกษา อวิ๋นเยี่ยมองกำแพงลับที่ค่อยๆ ปิดตัวลงอย่างช้าๆ และถามหลี่ซื่อหมินพลางขบคิดว่า “ฝ่าบาทยังทรงจำตัวเลขที่เมื่อครู่ทรงจัดเรียงได้หรือไม่”


 


 


“เราก็เรียงไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้สนใจจำ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” หลี่ซื่อหมินถามด้วยความสงสัย


 


 


“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรพ่ะย่ะค่ะ เพียงแค่ประตูใหญ่ของสำนักศึกษาจะไม่สามารถเปิดได้อีกต่อไป เว้นแต่เสี่ยวไท่จะสามารถถอดรหัสตัวเลขที่เมื่อครู่ฝ่าบาททรงตั้งโดยไม่ได้ใส่ใจได้สำเร็จ หรือเสี่ยวไท่จะยอมจ่ายเงินเพื่อรื้อกำแพงลับทั้งหมดทิ้งและสร้างขึ้นใหม่ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ฝ่าบาททรงพอพระทัยก็พอแล้ว ทั้งหมดนี้ให้เสี่ยวไท่เป็นคนจัดการ”


 


 


หลี่ซื่อหมินลูบๆ จมูกของเขารู้สึกไม่ดีเล็กน้อยที่ทำให้ลูกชายตนต้องเสียเงินและเสียเวลาขบคิดอีก ดูท่าแล้วสำนักศึกษาจะไม่ยอมควักเงินแม้แต่แดงเดียว ไม่ได้ยินหรือว่าอวิ๋นเยี่ยเรียกเสี่ยวไท่ทุกคำอย่างร่าเริง


 


 


ต้นเอล์มในสวนดอกไม้นั้นเริ่มเขียวชอุ่มหมดแล้ว เพียงแต่ยังแลดูเตี้ยไปเสียหน่อย ปลูกแนวคันนาเหมือนกำแพงเตี้ยๆ ยืนบนที่สูงหลี่ซื่อหมินชี้ไปที่แบบแปลนแปลกๆ ที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของกำแพงต้นไม้และถามอวิ๋นเยี่ยว่า “กำแพงต้นไม้เหล่านี้ก็มีกลไกด้วยหรือ”


 


 


“ใช่พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ในอีกหลายปีข้างหน้าเมื่อกำแพงต้นไม้เติบโตสูงได้ประมาณสามเมตรก็จะกลายเป็นเขาวงกตอีกแห่ง สำนักศึกษาจะปลูกเถาวัลย์พิษที่มีหนามไว้ในกำแพงต้นไม้ ทั้งยังจะเลี้ยงตัวต่อสายพันธุ์ที่ค่อนข้างตัวใหญ่ ไม่ทราบฝ่าบาททรงเห็นเป็นเช่นไร”


 


 


อวิ๋นเยี่ยสอบถามความเห็นฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง แต่กลับพบว่าฮ่องเต้มองเขาด้วยแววตาอย่างหนึ่งที่ดูแปลกประหลาด แม้อู๋เสอเองก็มองอย่างประหลาดมาก


 


 


“ฝ่าบาท กระหม่อมพบว่าอู๋เสอขันทีฝ่ายนั้นวรยุทธ์สูงส่งมาก เมื่อรอจนกำแพงต้นไม้โตขึ้นแล้วจึงขอให้เขาทดสอบพลังของเขาวงกตดู ถ้าหากง่ายเกินไป กระหม่อมได้ยินว่ามีมดแดงขนาดใหญ่อยู่สายพันธุ์หนึ่งที่สามารถพ่นน้ำกรดได้โดยเฉพาะอยู่ในดินแดนแถบซีอวี้ซึ่งพวกมันชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน กระหม่อมกำลังเตรียมจะนำมาบางส่วนเพื่อเพาะเลี้ยงในลานชีววิทยาหลังจากที่ฝึกฝนจนใช้ได้แล้วจะปล่อยพวกมันไว้บนกำแพงต้นไม้ ท่านทรงเห็นควรหรือไม่”


 


 


อู๋เสอสั่นเทาไปทั้งร่างและมองฮ่องเต้ด้วยแววตาอันอ้อนวอนด้วยความกลัวว่าฮ่องเต้จะนึกสนุกเพียงชั่วครู่และรับคำขอที่ไม่สมเหตุผลของอวิ๋นเยี่ยเข้า หลี่ไท่นั้นกระโดดโลดเต้นด้วยความตื่นเต้น ขาดก็เพียงแต่ปรบมือด้วยความดีใจเท่านั้น


 


 


หลี่ซื่อหมินตบท้ายทอยอวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่อย่างแรงคนละทีแล้วกล่าวว่า “ไร้สาระ อู๋เสอเป็นองครักษ์ที่ซื่อสัตย์ที่สุดของราชวงศ์ จะให้เขามาทดสอบฝ่าค่ายกลที่ถึงแก่ชีวิตเหล่านี้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร สำนักศึกษาเป็นแหล่งถ่ายทอดวิชาความรู้ ทำไมถึงจึงมีค่ายกลที่โหดเ**้ยมเช่นนี้ “


 


 


อู๋เสอซาบซึ้งจนน้ำตาแทบจะไหลออกมาอยู่แล้ว รู้สึกปลาบปลื้มและภาคภูมิใจในการตัดสินใจอันชาญฉลาดของฮ่องเต้อย่างสุดซึ้ง อวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่กลับผิดหวังเป็นอย่างมาก การที่ไม่ได้เห็นฉากอู๋เสอพิชิตด่านฝูงผึ้งและฝูงมดช่างทำให้รู้สึกน่าเศร้าใจเป็นอย่างมาก


 


 


“ฝ่าบาท เรื่องนี้ง่ายมาก วัตถุประสงค์ของการทำเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันสถาบันการวิจัยที่สำคัญหลายๆ แห่งของราชวงศ์เรา กลวิธีใหม่และความรู้ใหม่ของสำนักศึกษาได้เพิ่มพูนไม่มีที่สิ้นสุด กังหันน้ำของเสี่ยวไท่เองก็มาถึงจุดสำคัญแล้วเช่นกัน เมื่อการทดสอบประสบความสำเร็จ ประสิทธิภาพในการถลุงเหล็กและสร้างชุดเกราะของต้าถังเราก็จะเพิ่มขึ้นถึงสิบกว่ายี่สิบเท่า ความสามารถในการสร้างเกราะจะเพิ่มขึ้นเป็นสิบหรือยี่สิบครั้ง กระหม่อมไม่ต้องการให้สิ่งเหล่านี้ตกอยู่ในมือคนนอกหรือนำออกไปใช้ในประเทศ ถ้าหากใครต้องการขโมยไป ไม่ว่ามาเท่าไรกระหม่อมก็จจะฆ่าเท่านั้น จะไม่มืออ่อนแม้แต่นิดเดียวอย่างเด็ดขาด”


 


 


หลี่ซื่อหมินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ในเมื่อเจ้ามีความคิดเช่นนี้ เช่นนั้นก็จงทำไปเถอะ ถึงตอนนั้นจะมีคนมาทดสอบความน่าเชื่อถือของกลไกเหล่านี้ให้เจ้าแน่ เจ้าก็เลิกพุ่งเป้าหมายมาที่อู๋เสอได้แล้วเขาก็เพียงแค่ไม่เคารพต่อเจ้า คิดวางแผนหาเรื่องกับขันทีอย่างเขาไปทุกเรื่อง ไม่รู้สึกว่ามันน่ารังเกียจหรือ”


 


 


เรื่องนี้หลี่ซื่อหมินต้องหาโอกาสคุยกับอวิ๋นเยี่ยให้ละเอียดอย่างแน่นอน ตอนนี้ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะพูดคุยอวิ๋นเยี่ยเองก็ปิดปากไม่พูดถึงการวางแผนกลไกลับเหล่านี้แล้ว ปล่อยให้หลี่ซื่อหมินเดินเยี่ยมชมสำนักศึกษาตามใจชอบ


 


 


ดวงอาทิตย์อยู่ทางทิศตะวันตกแล้ว กงซูมู่ที่ขี้เกียจจนต้องให้ออกคำสั่งวันนี้กลับยอมบรรยายคาบเรียน ทั้งยังสอนถึงทักษะที่แท้จริงเรื่องตัวต่อหลู่ปันสิบหกชิ้น นี่เป็นวิธีการที่คิดค้นขึ้นมาซึ่งเป็นวิชาเฉพาะด้านประจำตระกูลของเขา ทำไมจึงยอมที่จะนำออกมาโอ้อวด


 


 


นักเรียนทั้งที่เป็นเด็กและผู้ใหญ่ยี่สิบกว่าคนต่างทำกันจนเหงื่อไหลไคลย้อย จากหกชิ้นจนถึงสิบหกชิ้น ความยากเพิ่มขึ้นโดยตลอด เด็กนักเรียนเหล่านี้ช่างวาสนาดี เพียงแต่เมื่อเห็นฉากกั้นขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังห้องเรียน อวิ๋นเยี่ยก็รู้ทันทีว่าทำไมวันนี้ตาเฒ่าถึงใจกว้างและขยันขันแข็ง หยางเฟยและอินเฟยนั่งอยู่หลังฉากกั้น พวกนางเองก็ทำจนเหงื่อไหลไคลย้อยเช่นกัน นางกำนัลข้างกายคอยใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้เจ้านายตนเป็นระยะๆ และขันทีทั้งสองกำลังโบกพัดอย่างสุดแรง


 


 


ตาเฒ่ากำลังพร่ำสอนจนน้ำลายกระเด็นอย่างน้ำไหลไฟดับ “นี่เป็นทฤษฎีที่น่าอัศจรรย์ซึ่งตระกูลกงซูค้นพบโดยบังเอิญและสืบทอดกันมาหลายพันปี เป็นผลผลิตของบรรพบุรุษของข้าที่ได้ศึกษาค้นคว้ากลวิธีต่างๆ  ของกลไกหลายๆ ประเภทแล้วจึงได้มา แม้แต่อวิ๋นโหวเองยังชมไม่ขาดปาก แต่ที่ยิ่งน่าขันกว่าก็คือเขาได้ทำตัวต่อไม้ขึ้นชุดหนึ่ง ผลก็คือเหลนชายของข้าที่อายุเพิ่งครบหนึ่งขวบนั่งทับลงไปก็สามารถปลดล็อกได้ทันที หากจะพูดถึงว่าเป็นสายตรงของแท้อย่างไรก็ต้องถือของตระกูลกงซูข้าเป็นหลัก”


 


 


พูดอย่างนี้ช่างไร้ยางอาย ตนเองหมกมุ่นอยู่กับการปลดล็อกเป็นเวลานานสุดท้ายก็หาทางแก้อะไรไม่ได้ แค่บังเอิญถูกเหลนชายนั่งทับจนปลดล็อกโดยไม่ตั้งใจ ยังมีหน้ากล้านำมาอวดอ้างอีก อวิ๋นเยี่ยได้มุมมองใหม่เกี่ยวกับระดับความไร้ยางอายของตาเฒ่าคนนี้แล้ว


 


 


หลี่ซื่อหมินมาสำนักศึกษาอย่างลับๆ แม้แต่สนมทั้งสองก็ไม่รู้ เมื่อเห็นภรรยาตนเองเล่นอยู่อย่างสนุกสนานเขาก็คันไม้คันมือ ไล่อวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่ออกไป แล้วเข้าไปในห้องเรียนพร้อมกับอู๋เสอ


 


 


“ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะกล้ามาเอาอกเอาใจภรรยาตัวเองในห้องเรียน!” อวิ๋นเยี่ยเดินออกจากที่นั่นพร้อมด้วยคำสาปแช่งที่ไม่รู้จบ จะว่าไปแล้วเขาอยากจะพุ่งเข้าเพื่อเปิดโปงคำโกหกของกงซูมู่จริงๆ เพื่อให้ความจริงกระจ่างต่อใต้หล้าคืนความเป็นธรรมให้ตนเอง ตอนนี้กลับถูกหลี่ซื่อหมินไล่ออกไป ถูกใส่ร้ายแต่ฟ้องร้องใครไม่ได้ ข้อกล่าวหาที่ว่าตนเองไร้ความสามารถนั้นถูกตราหน้าไปแล้วอย่างแน่นอน 

 

 


ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...

 

ตอนที่ 14 เรื่องการตั้งครรภ์

 

นกกระจอกป่าส่งเสียงร้องจิ๊บๆ อยู่นอกหน้าต่างไม่ยอมหยุดจนปลุกให้หลี่ซื่อหมินตื่นขึ้นจากการหลับลึก เมื่อลืมตาขึ้น เขาก็เห็นหลังคาที่เป็นหิมะขาวโพลนซึ่งมันแปลกตามาก นั่งนึกอยู่เป็นเวลานานกว่าจะจำได้ว่า เมื่อคืนนี้ตนเองนอนอยู่บนตั่งในเรือนเล็กของหยางเฟยที่งดงามชวนให้หลงใหลคลั่งไคล้


 


ฟ้าเริ่มสางส่องแสงผ่านม่านสีขาวดุจหิมะ ต้นไม้เขียวนอกหน้าต่างเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ สายลมที่ขี้เล่นก็พัดม่านพลิ้วไหวไม่ยอมหยุด หลี่ซื่อหมินนวดๆ เอวที่เมื่อยล้าและมองหยางเฟยที่ยังคงหลับสนิทอยู่ด้านข้างก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะแหะๆ ความบ้าคลั่งเมื่อคืนทำให้เขาพึงพอใจมาก นานเพียงไหนแล้วที่เขาไม่ได้ทำอะไรมุทะลุดั่งวัยรุ่นเช่นนี้


 


หยางเฟยถึงกับดูดนิ้วมือแล้วหลับไป ตนเองที่ร่วมเรียงเคียงหมอนกับนางมาเป็นเวลาหลายปี นี่กลับเป็นครั้งแรกที่พบว่านางนอนหลับเหมือนเด็กทารก ผ้าห่มถูกเตะไปด้านข้างเผยให้เห็นถึงรูปร่างที่อรชรอ้อนแอ้นที่ชวนให้เขาบ้าคลั่งตั้งหลายครั้ง อยากจะกอดหยางเฟยไว้ในอ้อมแขนแล้วโอบกอดตามอำเภอใจอีกครั้งจริงๆ แต่ด้านนอกมีเสียงเคลื่อนไหวดังขึ้น จึงห่มผ้าให้หยางเฟย เพราะเขาไม่ต้องการให้คนอื่นเห็น แม้ว่าอู๋เสอที่เป็นขันทีก็ตามที


 


เพียงแค่กระแอมเล็กน้อยก็มีนางกำนัลวิ่งเข้ามาเป็นพรวนคุกเข่าบนพื้นพร้อมที่จะรับใช้ แต่ไม่มีน้ำซุปหอมกรุ่นเหมือนปกติ ขณะที่กำลังจะถามด้านหลังก็มีร่างที่อบอุ่นและนุ่มนวลโอบกอดเขาไว้จากด้านหลัง


 


“เจ้าตื่นแล้วหรือ เราเห็นเจ้าหลับสนิทจึงไม่อยากปลุกเจ้า ตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะต้องฝึกยุทธ์ทุกวัน หากเจ้ายังง่วงนอนอยู่นอนพักอีกสักครู่ก็ได้ ที่นี่ไม่ใช่วังประเพณีเหล่านั้นละทิ้งมันออกไปก็ได้”


 


“พวกนางไม่รู้ว่าจะรับใช้ท่านอย่างไร ให้ข้าเป็นคนทำเถอะ ที่นี่มีแต่ของแปลกๆ ใหม่ๆ พวกนางใช้ไม่เป็น” หยางเฟยนั้นได้สวมเสื้อบางๆ แล้วตัวหนึ่ง ลุกขึ้นอย่างอ้อนแอ้น ดึงตัวฮ่องเต้ที่ทั้งร่างสวมเพียงกางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียวไปยังห้องน้ำ


 


ช่วงเวลาในการอาบน้ำนั้นค่อนข้างนานไปเสียหน่อย หลี่ซื่อหมินซึ่งออกมาจากห้องน้ำอุ้มหยางเฟยที่ร่างเปลือยเปล่าไปไว้ที่เตียง หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังแล้วเปิดประตูออกมาด้วยสติที่สดชื่นแจ่มใส


 


บนร่างของอู๋เสอนั้นเปียกแฉะไปหมด น้ำค้างยามเช้าบนภูเขาก็เย็นและชื้น เมื่อมองแวบแรกก็รู้ว่าเขาอยู่เฝ้ายามข้างล่างตลอดทั้งคืน หลี่ซื่อหมินนั้นชอบคนรักษากฎโดยเฉพาะคนที่อยู่รอบตัวเขาต่างก็รู้ว่าจะให้ดีนั้นอย่าได้ท้าทายกฎของฮ่องเต้ จนถึงตอนนี้ผู้ที่ท้าทายกฎของฮ่องเต้แล้วยังมีชีวิตที่ดีอยู่บนโลกนี้อีกทั้งยังมีชีวิตได้อย่างสมใจหมายก็มีอวิ๋นเยี่ยเพียงคนเดียว


 


ถ้าเป็นข้าราชบริพารคนอื่นๆ เมื่อถึงเวลานี้จะต้องรอคอยอยู่ชั้นล่างแล้วรอคำสั่งของฮ่องเต้แล้ว แต่ทว่าจนป่านนี้ก็ยังไม่เห็นอวิ๋นเยี่ยแม้แต่เงา ดูเหมือนว่างานของเขาจะสำคัญกว่างานของฮ่องเต้เสียอีก


 


รับกระบี่ยาวที่อู๋เสอส่งมาให้ ดึงกระบี่ออกมากำลังเตรียมจะเริ่มฝึกกระบี่ยามเช้า เสียงฝีเท้าก็ดังก้องเข้ามา อู๋เสอเงยหน้าขึ้นมองยามบนภูเขาแต่ไม่พบสัญญาณเตือน แต่เขาก็ยังออกมายังริมถนนเพื่อจะดูให้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น


 


เสียงนกหวีดที่แหลมดังขึ้นทั้งยังมีการท่องเลขอะไรแปลกๆ “หนึ่งสองหนึ่ง หนึ่งสองหนึ่ง หนึ่งสองสามสี่!” จากนั้นก็มีกลุ่มคนจำนวนมากตอบขึ้นพร้อมกัน “หนึ่งสองสามสี่” นี่มันเป็นรหัสประหลาดอะไร อู๋เสอยิ่งรู้สึกประหลาดใจ


 


แถวฝึกซ้อมที่ยาวเหยียดได้วนอ้อมมาจากเชิงเขา ที่แท้เป็นนักเรียนของสำนักศึกษา พวกเขากำลังฝึกซ้อมในตอนเช้า หลิวเซี่ยนเปลือยท่อนบนและวิ่งนำหน้าแถว ผิวสีแทนของเขาดูราวกับว่ากำลังเปล่งประกายแวววับ


 


หลี่ไท่และหลี่เค่อเองก็เปลือยท่อนบนเช่นเดียวกัน สองพี่น้องลากน้องชายที่เปลือยท่อนบนวิ่งไปด้วยกันกับเขา กลุ่มคนที่ตามมาข้างหลังก็เปลือยท่อนบนเช่นกันต่างก็วิ่งกันจนเหงื่อไหลเต็มแผ่นหลัง


 


หลี่ซื่อหมินถือกระบี่ยืนอยู่ในรั้วมองดูแถวฝึกนี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นและพึงพอใจกับการกระทำของลูกชายพอควร โดยเฉพาะพี่ชายสองคนรู้จักพาน้องเล็กวิ่ง ทำหน้าที่พี่ชายได้อย่างสมบูรณ์แบบ หลี่ซื่อหมินโหดร้ายกับพี่น้องของเขามาก แต่เขาไม่ต้องการให้ลูกชายของเขาเลียนแบบตัวเองอย่างแน่นอน พี่น้องรักใคร่กลมเกลียวเป็นภาพในฝันของเขา ตอนนี้เขาได้เห็นมันด้วยตาตนเองย่อมต้องดีใจมากกว่าปกติ


 


เมื่อเห็นฮ่องเต้ทรงยืนอยู่ริมถนน หลิวเซี่ยนมีหรือที่ยังจะกล้าวิ่งต่อไปอีก จึงออกคำสั่งทั้งแถวฝึกก็หยุดลง ตนเองรีบวิ่งไปที่เบื้องหน้าหลี่ซื่อหมินคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อแสดงการคำนับฮ่องเต้ แต่เขาไม่พูดอะไรเพราะรู้ว่าฮ่องเต้ไม่ต้องการเปิดเผยฐานะตนเอง แต่เขาไม่กล้าเสียมารยาท


 


“ดีมาก มีใจคิดตอบแทนประเทศเพื่อสานต่อเจตนาบรรพบุรุษ สำนักศึกษาปฏิบัติได้คงเส้นคงวา ดีมาก พวกเจ้าทำต่อไปเถอะ” หลี่ซื่อหมินเพียงแค่สะบัดมือหลิวเซี่ยนก็เตรียมพร้อมที่จะกลับเข้าแถวเพื่อวิ่งต่อ ใครจะรู้ว่าหลี่อั้นและหลี่โย่วที่วิ่งหอบเหนื่อยหายใจแทบไม่ทันจะวิ่งออกจากแถวคุกเข่าบนพื้นแล้วตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ


 


ความอารมณ์ดีของหลี่ซื่อหมินนั้นถูกทำลายมลายสิ้นในทันที ฟังหลี่โย่วที่หายใจกระหืดกระหอบร้องเรียนเรื่องที่อวิ๋นเยี่ยไร้มารยาทต่อพวกเขาอย่างไรบ้าง หลี่อั้นก็สบถสาบานเล่าเรื่องร้องเรียนว่าอวิ๋นเยี่ยได้ผ่าหน้าอกเปลี่ยนหัวใจของหลี่โย่วอย่างไรบ้าง บอกว่าเปลี่ยนหัวใจแกะให้เขา ช่างสมกับคำกล่าวที่ว่าผู้เล่านั้นเจ็บปวด ผู้ฟังน้ำตารินจริงๆ สีหน้าของหลี่ซื่อหมินยิ่งหมองคล้ำลงทุกที อวิ๋นเยี่ยทำอะไรลงไป แน่นอนว่าเขารู้ เพราะเป็นสิ่งที่เขาเห็นด้วย ตอนนี้เขาเพียงแค่เกลียดตัวเองว่าเป็นคนฉลาดมาชั่วชีวิต เหตุใดจึงมีลูกขยะไม่เอาไหนเช่นสองคนนี้


 


หลี่เค่อ หลี่ไท่ ขออนุญาตจากหลิวเซี่ยนแล้วจึงก้าวออกมา หลี่เค่อก็ตบหน้าหลี่อั้นหนึ่งฉาดและสั่งสอนเบาๆ ว่า “หุบปาก หากกล้าพูดอีกคำ ข้าจะต่อยเจ้าให้ตาย” หลี่อั้นนั้นกลัวพี่ชายผู้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก จึงเงียบปากอย่างเชื่อฟัง หลี่โย่วยังเตรียมที่จะพูดต่อจึงถูกหลี่ไท่เตะเข้าที่ก้น หลี่โย่วเห็นสีหน้าหลี่ไท่น่ากลัวจึงยอมเงียบปากอย่างเชื่อฟังเช่นกัน


 


“เสด็จพ่อ เป็นเพราะลูกละเลยการสั่งสอนน้องปล่อยให้เขาพูดคำพูดที่ไร้สาระเช่นนี้ ขอเสด็จพ่อทรงลงพระอาญาด้วย” หลี่เค่อคุกเข่าบนพื้นเพื่อรับผิดแทนน้องชายของเขา หลี่ไท่แต่ไหนแต่ไรไม่ชอบหลี่โย่วแต่เมื่อเห็นหลี่เค่อเป็นเช่นนี้ตนเองจึงจำต้องรับผิดด้วยเช่นกัน


 


“อวิ๋นเยี่ยทำได้ดีมาก ทำไมเขาเปลี่ยนหัวใจของพวกเจ้าสองคนด้วยก้อนหิน ถ้าหากเขาทำได้ เราจะประทานรางวัลให้เขาหนักๆ เลย หลี่โย่ว หลี่อั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่อวิ๋นเยี่ยทำเราล้วนแล้วแต่อนุญาตแล้วทั้งสิ้น ขอเพียงแค่สมเหตุสมผลในอบรมสั่งสอนพวกเจ้า เราอนุญาตให้เขาทำได้ทุกอย่าง อย่าว่าแต่จะเปลี่ยนหัวใจเลย แม้ว่าเขาจะเปลี่ยนศีรษะเราก็อนุญาต”


 


ฮ่องเต้กำลังพิโรธ แต่กลับมีชายคนหนึ่งในแถวล้มลงกับพื้นดังตึง หลี่เผิงเฉิง! หลิวเซี่ยนประหลาดใจมาก แม้ว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้จะบอบบางแต่ร่างกายของเขาแข็งแรงประดุจวัวตัวหนึ่ง วันนี้วิ่งเพียงแค่สี่ลี้ไม่ควรจะเป็นเหตุให้เป็นลมล้มลง


 


หลี่ซื่อหมินมองดูนักเรียนด้วยความกังวลคิดว่าเขาวิ่งมากเกินไปจนหมดแรงแล้วสลบไป คนเหล่านี้ตอนนี้ล้วนแล้วแต่เป็นลูกศิษย์ของเขา ต้องใช้งานในภายหน้าหากปล่อยให้เป็นอะไรไปย่อมไม่ดี


 


หลี่ไท่มองดูหลี่เผิงเฉิงที่น้ำลายฟูมปากจึงหลุดส่งเสียงหัวเราะออกมา จึงถูกหลี่ซื่อหมินจ้องมองอย่างดุดัน หลี่ไท่รีบกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “เสด็จพ่อ ไม่ทราบว่ายังทรงจำได้ไหมว่าเมื่อวานมีผู้ชายคนหนึ่งในสำนักศึกษาเตะลูกบอลให้ท่าน “


 


หลี่ซื่อหมินก็หัวเราะขึ้นและชี้ไปที่หลี่เผิงเฉิงแล้วพูดว่า “ก็คือเจ้าหนุ่มคนนี้”


 


หลี่ไท่อ้าปากหัวเราะพลางพยักหน้า มีความกล้าที่จะยกนิ้วกลางให้กับเสด็จพ่อ แต่ไม่มีความกล้าที่จะยอมรับความจริง ต่อไปมีประเด็นที่จะใช้เป็นเรื่องหยอกล้อหลี่เผิงเฉิงแล้ว


 


หลี่ซื่อหมินสะบัดมือแล้วเดินจากไปด้วยเสียงหัวเราะอันดัง ไม่มองหลี่โย่วและหลี่อั้นที่คุกเข่าบนพื้นแม้แต่หางตาอีกเลย


 


ตอนนี้ซินเย่ว์ต้องการให้อวิ๋นเยี่ยวิเคราะห์ว่าท้องของนางเริ่มใหญ่ขึ้นทุกวันหรือไม่ เหตุผลก็คือท่านย่า อาหญิงและป้าสะใภ้ทุกวันที่เจอนางไม่ใช่มองหน้านาง แต่เป็นท้องของนาง เมื่อวันก่อนประจำเดือนควรจะมาแล้วแต่นางก็ไม่เห็นร่องรอยใดๆ ซึ่งทำให้นางรู้สึกดีใจเกินกว่าที่คาดไว้คิดว่าในที่สุดตนเองก็ตั้งครรภ์ ยืนอยู่หน้ากระจกทองเหลืองมองซ้ายเหลือบขวา อยากจะให้ท้องโตขึ้นมาทันทีเสียให้ได้ในตอนนี้


 


ตระกูลอวิ๋นมีทายาทเพียงคนเดียว ซึ่งในตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงไม่มีอีกแล้ว ดังนั้นนางจึงมีแรงกดดันเป็นอย่างมากโดยไม่สนใจความเป็นจริงที่ว่านางเพิ่งจะแต่งงานมาได้เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น แต่คิดว่านางเป็นยอดวีรสตรีของตระกูลอวิ๋นไปแล้ว แต่ทว่ามันก็ใช่ เพราะถ้าหากนางตั้งครรภ์ สถานะของนางในตระกูลอวิ๋นก็จะมั่นคงเหนือคนอื่นๆ ทั้งหมด ไท่ซั่งหวงตัวจริงหากจะกลิ้งไปมาอยู่ในบ้านคาดว่าก็คงจะไม่มีใครกล้าซุบซิบนินทา


 


“ท่านพี่ ทำไมท้องจึงไม่โตขึ้นเร็วๆ ข้าจะอดใจรอไม่ไหวอยู่แล้ว” เมื่อพูดจบยังเอามือลูบไปมาอีกเล็กน้อยราวกับว่าการทำเช่นนี้จะทำให้ท้องใหญ่ขึ้นได้


 


“จะร้อนใจไปไย พวกเรายังอายุน้อยกันอยู่ ทั้งยังเพิ่งแต่งงานกันเพียงแค่เดือนเดียว คราวนี้ก็ไม่แน่ว่าจะใช่ ด้วยนิสัยลิงทโมนของเจ้าถ้ามีลูกก็คงจะตกใจจนวิ่งหนี รีบนำกางเกงชั้นในที่เปลี่ยนอาบน้ำมาให้ข้าเร็วๆ ฝ่าบาทยังทรงรออยู่บนเขานะ”


 


เมื่อพูดถึงเรื่องเหล่านี้ ซินเย่ว์ก็จะลืมเรื่องเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของนางไป สามีของนางต้องมีความสามารถเพียงใดถึงทำให้ฮ่องเต้ทรงรอได้ ในบรรดาสะใภ้ที่อายุน้อยถัดลงมาอีกรุ่น นางนับได้ว่าเป็นคนที่มีเกียรติมากที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะไปงานเลี้ยงรับรองของบุตรีตระกูลไหนก็เป็นบุคคลสำคัญเสมอ คนนี้ขอให้ช่วยพูดกับคนที่บ้านด้วยว่าจะขอส่งน้องชายของนางไปเรียนที่สำนักศึกษาได้ไหม คนนั้นชื่นชมสีผิวของนางจากนั้นก็พูดอ้อมค้อมว่าต้องการน้ำหอมดอกกล้วยไม้ที่เพิ่งออกใหม่สักขวด อีกคนหนึ่งยกอาหารออกมาขอให้ฮูหยินของตระกูลอาหารซึ่งเลื่องชื่อที่สุดแห่งฉางอันอย่างนางได้ลองชิมว่าจะสามารถนำไปขายได้หรือไม่


 


หรือแม้แต่แม่เฒ่าที่ไม่ได้ออกไปข้างนอกเหล่านั้นก็มักจะเรียกนางเข้าไปนั่งในห้องโถงชั้นในและสอนวิธีการต่างๆ ที่จะทำให้ตั้งครรภ์ได้เร็วกับนาง เมื่อคืนนี้อวิ๋นเยี่ยก็ต้องตกใจหยุดไปเพราะท่าทางแปลกๆ ของนางที่ สามารถโค้งเอวแข็งๆ ให้งอได้มากถึงเพียงนั้น อวิ๋นเยี่ยเองยังเป็นห่วงเอวของนางจึงรีบพลิกตัวนางขึ้น ซึ่งก็ถึงกับได้ยินเสียงกระดูกขัดกันเลย สุดท้ายนางก็ยังคงเหมือนเดิมทั้งยังบอกว่าการทำเช่นนี้จะมีโอกาสที่จะตั้งครรภ์มากกว่าปกติมาก


 


ผู้หญิงคนนี้ไม่ไหวแล้ว อยากมีลูกจนบ้าไปแล้ว


 


นำอาหารตระกูลอวิ๋นมาเต็มตะกร้า มิฉะนั้นจะหาข้ออ้างบอกหลี่ซื่อหมินเรื่องที่มาช้าไม่ได้ รีบควบม้าห้อตะบึงมาตลอดทาง เมื่อมองดูดวงอาทิตย์ก็ใกล้จะเวลาเที่ยงแล้ว


 


ไม่ได้ขี่ม้ามาเป็นเวลานานแค่ไหนกันแล้วนะจึงได้ปวดหลังมากมายเพียงนี้ อีกทั้งแน่นอนว่ายังมีคุณงามความชอบที่ได้มาจากท่าทางแปลกๆ เมื่อคืนที่ผ่านมาด้วย เดินนวดเอวขึ้นไปที่เรือนเล็ก หลี่ซื่อหมินยกกาน้ำชาดื่มชาตั้งแต่เช้า ทั้งยังทุบๆ เอวเป็นระยะๆ อีก ตาเฒ่ามากกาม เพียงแค่ดูก็รู้ว่าเมื่อคืนต้องทำเรื่องไม่ดีแน่


 


ขณะที่กำลังงจะก้าวเข้าไป อู๋เสอที่เหมือนร่างวิญญาณก็ปรากฏต่อหน้า ยื่นมือมาคว้าตะกร้าอาหารไปแล้วนำอาหารวางเรียงบนโต๊ะทีละอย่าง ทั้งยังใช้เข็มเงินทดสอบทีละจาน สุดท้ายอาหารแต่ละอย่างก็ต้องฉีกชิ้นหนึ่งขึ้นมาชิมด้วยตนเอง จากนั้นจึงเตรียมที่จะถวายให้ฮ่องเต้เสวย โดยบอกว่าเช้านี้ฮ่องเต้ไม่เห็นอวิ๋นเยี่ยมาพบจึงพูดว่าจะต้องมีของอร่อยให้ทาน ดังนั้นตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้จึงดื่มเพียงซุปลูกบัวเพียงถ้วยเดียว


 


หลี่ซื่อหมินนั่งลงแล้วหยิบซาลาเปาขึ้นมากัดหนึ่งคำและพยักหน้าดูเหมือนจะพอใจมาก อวิ๋นเยี่ยจึงหยิบไข่ต้มออกจากตะกร้าแล้วขอเข็มเงินจากอู๋เสอแล้วกินไข่ขาวจนหมด จากนั้นใช่เข็มเงินปักลงไปในไข่แดงแล้วดึงออกมา เข็มเงินทั้งแท่งกลายเป็นสีเทาขุ่นมัว อู๋เสอมองดูฮ่องเต้ที่เพิ่งกินไข่ไก่ไปหนึ่งฟอง แววตาเปลี่ยนไปจนน่าหวาดกลัวอย่างที่สุด มือสั่นเทาชี้ไปที่อวิ๋นเยี่ยแต่กลับเห็นเขากลืนไข่แดงที่ทำให้เข็มเงินกลายเป็นสีดำลงไปทั้งลูก ทั้งยังกะพริบตาปริบๆ ใส่เขาอีก


 


“เจ้าเลิกกลั่นแกล้งอู๋เสอเสียทีได้หรือไม่” หลี่ซื่อหมินที่หูฟังตามองรับรู้ทุกสิ่งพูดกับอวิ๋นเยี่ยด้วยน้ำเสียงที่โกรธเคือง 

 

 


ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...

 

ตอนที่ 15 ความปีติยินดีของจ้าวเหยียนหลิง

 

หลี่ซื่อหมินกินอย่างไม่คิดอะไรมากทั้งไม่สนใจเกี่ยวกับเข็มเงินที่เปลี่ยนเป็นสีดำเลยแม้แต่น้อย จากนั้นก็ยกกล่องที่ใส่ต้นกุ้ยช่ายที่ผัดเกรียมขึ้นมากินจนไม่มีเหลือ อู๋เสอผู้น่าสงสารที่กำลังเหงื่อไหลดั่งสายฝน ยืนพิงอยู่ที่ราวระเบียง ร่างกายไร้เรี่ยวแรง เมื่อครู่เขาราวกับว่าเพิ่งจะไปเที่ยวนรกมาหนึ่งรอบ


 


มองดูหลี่ซื่อหมินเคี้ยวอาหารด้วยความวิตกกังวล กว่าครึ่งค่อนวันอู๋เสอจึงยืนตัวตรงได้ เขาแทบอยากจะบีบคออวิ๋นเยี่ยให้ตายทั้งเป็น


 


“จะสอนอะไรให้เจ้าอย่างหนึ่ง อู๋เสอ เข็มเงินนั้นสามารถทดสอบพิษที่มีปริมาณที่น้อยมากได้ ซึ่งนั่นก็คือสารหนูเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หรือกล่าวอีกอย่างคือสารพิษทั้งหมดที่มีกำมะถันผสมอยู่ เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ว่ากำมะถันคืออะไร เจ้าเพียงแค่ต้องรู้ว่าสารหนูที่สำนักศึกษาผลิตขึ้นมาเข็มเงินไม่สามารถพิสูจน์ได้ เจ้าลองไปหาเห็ดพิษมาพิสูจน์ดูก็จะรู้ว่าการตรวจพิษด้วยเข็มเงินเป็นเรื่องน่าขันเพียงไร พระวรกายของฝ่าบาทเกี่ยวพันถึงชะตาของประเทศ พวกเจ้ากลับใช้วิธีการง่ายๆ ที่ไม่บังเกิดผลเช่นนี้มาปกป้องฝ่าบาทหรือ เจ้าเองก็ลองหาไข่ไก่มาจำนวนหนึ่งแล้วดูว่าไข่แดงทั้งหมดสามารถทำให้เข็มเงินเป็นสีดำได้หรือไม่ ถ้าหาก… “


 


“ถ้าหากเขาพูดผิด จะต้องมาสอนที่สำนักศึกษาใช่หรือไม่ ด้านหนึ่งก็เรียนรู้วิธีทดสอบยาพิษกับซุนซือเหมี่ยว จากนั้นถือโอกาสให้สอนนักเรียนที่โง่เขลาเบาปัญญาเหล่านั้นของเจ้าให้เป็นยอดฝีมือใช่ไหม” หลี่ซื่อหมินแคะฟัน เหล่มองอวิ๋นเยี่ยด้วยอาการดูถูก เพียงแค่เอ่ยปากก็เปิดโปงความคิดอันชั่วร้ายของเขาแล้ว


 


อวิ๋นเยี่ยอ้าปากค้างแต่พูดอะไรไม่ออกเลย ตนเองแอบวางแผนเรื่องอู๋เสออยู่หลายวัน ไม่ใช่ง่ายเลยที่กำลังจะเห็นผลแล้ว แต่กลับถูกหลี่ซื่อหมินเปิดโปง ความทุ่มเทที่ลงทุนลงแรงไปต้องสูญเปล่าจะให้เขาไม่เสียอกเสียใจได้อย่างไรไหว


 


“เจ้าหนุ่มอย่างเจ้าเวลาพบเจอของดีเข้า ก็พยายามที่จะได้มาครอง หยกจันทร์เสี้ยวของถังเจี่ยนคงตกอยู่ในมือเจ้าแล้วกระมัง ได้ยินมาว่าหยกขาวหลิงหลงคู่ของตระกูลเฉิงก็อยู่ในมือเจ้าแล้วกระมัง เจ้าไม่ใช่คนที่รักเงินทองดั่งชีวิต แต่ก็มีนิสัยที่ไม่ดีในการซ่อนสมบัติล้ำค่าหลังจากที่รวบรวมได้


 


กับผู้ที่มีความสามารถอันแท้จริงก็เป็นเช่นเดียวกัน ไม่รู้ว่าเจ้าใช้วิธีการใดกับตระกูลกงซู อย่างไรก็ตามตำแหน่งขุนนางขั้นที่หกของราชสำนักถูกเขามองเป็นสิ่งไร้ค่า สวี่จิ้งจงเองก็เป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง หากไม่ได้มีปัญหาเรื่องของศีลธรรมเป็นเหตุ มีหรือเราจะอนุญาตให้เจ้าพาเขาไปทนทรมานที่ทุ่งหญ้าอย่างนั้นหรือ หลังจากที่กลับมานิสัยก็เปลี่ยนไปมาก ไม่ว่าทำกิจอันใดก็ละเอียดละออไม่มีข้อผิดพลาด โจรปล้นสุสานคนนั้นเจ้าก็สามารถบีบเค้นความสามารถของเขาออกมาจนหมดสิ้น เจ้าหนุ่ม เราอดพูดไม่ได้คำหนึ่งว่า เจ้าเยี่ยมมาก! ตอนนี้ก็พุ่งกรงเล็บปีศาจมายังอู๋เสอ หลายวันนี้เข้าเฝ้าดูอย่างเย็นชาก็เพื่อดูว่าเจ้าจะเล่นลูกไม้แบบไหน ในที่สุดวันนี้หางสุนัขจิ้งจอกของเจ้าก็เปิดเผยออกมาแล้ว”


 


เมื่อพูดคำพูดที่ยืดยาวจนจบก็เอามือกุมท้องหัวเราะลั่น ขอเพียงแค่อวิ๋นเยี่ยเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพลี่ยงพล้ำ เขาก็จะรู้สึกยินดีปรีดา


 


อู๋เสอก็หัวเราะดังตามไปด้วย รอยยับยู่ยี่บนใบหน้าก็ดูเหมือนจะปรากฏขึ้นให้เห็นเสมือนหนึ่งดอกเบญจมาศแรกแย้ม เมื่อพูดจบก็คุกเข่าถวายคำนับพูดด้วยความวิงวอนอย่างที่สุดว่า “กระหม่อมชำระร่างกายเข้าวังตั้งแต่อายุแปดขวบ ถวายการรับใช้ฮ่องเต้ทั้งสามรัชสมัยแห่งราชวงศ์สุย หากไม่เป็นเพราะฝ่าบาททรงมีวิสัยทัศน์เก็บกระหม่อมมาจากสถานที่ที่ไม่มีใครมอง ร่างกายที่ไม่สมประกอบของกระหม่อมก็เสมือนหนึ่งเป็นดินโคลนที่ถูกผู้คนเหยียบย่ำ แม้ว่ากระหม่อมจะมีฝีมือติดตัว แต่ก็สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อฝ่าบาทจนกว่าชีวิตจะหาไม่ แม้ต้องตายกี่ครั้งก็ไม่มีวันเสียใจ


 


หลายวันก่อนเห็นอวิ๋นโหวไม่รังเกียจกระหม่อมคิดว่าผู้ที่มีความรู้ในใต้หล้านี้ล้วนแล้วแต่ดูแคลนร่างกายที่ไม่สมประกอบของกระหม่อม ในตอนนี้ความตั้งใจของอวิ๋นโหวถูกฝ่าบาททรงมองทะลุปรุโปร่ง ขออย่าได้รู้สึกเสียหน้าเลย อวิ๋นโหว ท่านรู้หรือไม่ว่าในใจข้าเย่อหยิ่งเพียงใด ตัวข้าที่เป็นขันทีคนหนึ่งสามารถดึงดูดให้ผู้ที่ฉลาดหลักแหลมที่นับจำนวนได้ในใต้หล้าให้ความสนใจที่จะดึงตัวได้ นับเป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่ของข้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าได้เป็นอาจารย์ในสำนักศึกษาที่ดีที่สุด ซึ่งทำให้บรรพบุรุษของข้าที่นอนอยู่ใต้ดินล้วนแล้วแต่รู้สึกภาคภูมิใจ อวิ๋นโหวหากถึงช่วงเวลาที่ข้าร่างกายเหนื่อยล้าไม่สามารถทำอะไรได้อีก ข้าจะขอกราบทูลลาฝ่าบาทเพื่อใช้ชีวิตในบั้นปลาย ในเวลานั้นสำนักศึกษาอวี้ซันจะยังคงมีที่สำหรับขันทีเฒ่าอย่างข้าอยู่อีกหรือไม่”


 


อวิ๋นเยี่ยก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว กุมสองมือของอู๋เสอที่มือขวากำลังกำหมัดประกบอยู่ใต้มือซ้ายแล้วพูดกับเขาว่า “ขอเพียงแค่ฝ่าบาททรงอนุญาตและเจ้าเต็มใจมา ข้าจะเหลือห้องทำงานไว้ให้เจ้าหนึ่งห้อง ประตูใหญ่แห่งสำนักศึกษาจะเปิดรอเจ้าอยู่เสมอ”


 


“ฮึ รุกฆาตเราหรือ มาสำนักศึกษาคราวนี้ช่างขาดทุนยิ่งนัก คนรับใช้ที่ใช้งานอยู่ดีๆ คนหนึ่งจู่ๆ หัวใจก็โบยบินไปเสียเช่นนี้แล้ว เอาเถอะ อู๋เสอ เจ้าอยู่ข้างกายเราอีกสามปี แล้วเราจะอนุญาตให้เจ้าออกจากวังไปสอนหนังสือที่สำนักศึกษา เพื่อเชิดชูวงศ์ตระกูลทำให้ความปรารถนาของบรรพชนเจ้าได้เป็นจริง”


 


อู๋เสอหมอบลงบนพื้นทันทีและโขกศีรษะไม่ยอมหยุดด้วยเสียงอ้ำอึ้งในลำคอพูดอะไรไม่ออก ส่วนอวิ๋นเยี่ยนั้นตกอยู่ในแววตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นของหลี่ซื่อหมินจนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ความรู้สึกที่อยากจะต่อยหน้ายิ่งทียิ่งรุนแรงขึ้น


 


ไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไรนักที่จะไปล่องเรือบนแม่น้ำตงหยางกับหลี่ซื่อหมิน เขาชอบเป็นฝ่ายลงมือกระทำ ดังนั้นเขาจึงคิดที่จะพายเรือด้วยตัวเอง หลังจากหมุนวนเป็นวงกลมอยู่เจ็ดแปดครั้งอยู่ในแม่น้ำ เขาก็ถูกใจแพไม้ไผ่ของผู้อื่นเข้า โดยบอกว่าอวิ๋นเยี่ยเตรียมของเล่นอะไรที่ไม่ได้เรื่องให้ ในแม่น้ำตลอดทั้งสายมีเพียงแค่พวกเขาที่นั่งเรือ ส่วนคนอื่นๆ นั้นพายแพไม้ไผ่ ตนเองนั้นต้องนั่งเรือโทรมๆ ที่ไม่เป็นไปตามที่ใจต้องการ ทำให้เสียบรรยากาศเป็นอย่างมาก


 


หลี่เค่อพายแพไม้ไผ่ให้มารดานั่ง น้องชายกำลังเล่นอย่างสนุกสนาน อินเฟยและหลี่โย่วช่วยกันพายแพไม้ไผ่ สองแม่ลูกช่วยกันพายแพไม้ไผ่ไปอย่างรวดเร็ว หลี่โย่วยังตะโกนเรียกหลี่เค่อให้แข่งขันเพื่อวัดผลแพ้ชนะ ซึ่งไม่เหลือร่องรอยท่าทีของคุณชายชนชั้นสูงเลยแม้แต่น้อย


 


คนขี้เกียจที่สุดต้องยกให้หลี่ไท่ ถือร่มกระดาษน้ำมันนั่งเอนกายอยู่บนเก้าอี้และถือหนังสือไว้เล่มหนึ่ง ก็รู้ว่าเขาไม่ได้อ่านแต่กำลังแสร้งทำเมือ่อยู่ต่อหน้าพ่อของเขา นอนหลับจนน้ำลายไหลยืดออกมา เพิกเฉยต่อความเหนื่อยยากของหวงสู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังของแพ


 


ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหลี่ไท่จึงชอบที่จะออกคำสั่งต่อหวงสู่ อวิ๋นเยี่ยเรียกหวงสู่มาหาเตรียมที่จะเปลี่ยนแพ อู๋เสอเพียงแค่กระโดดพุ่งตัวจากเรือก็ไปยืนอยู่บนแพไม้ไผ่แล้ว พูดกับหวงสู่เพียงคำเดียว “ไสหัวไป!” หวงสู่ผู้เชื่อฟังก็กระโดดลงไปในน้ำทันทีและลอยไปตามกระแสน้ำ


 


อวิ๋นเยี่ยคว้าตัวหลี่ไท่ที่นอนหลับสะลึมสะลือขึ้นมาจากเก้าอี้ ประจบประแจงหลี่ซื่อหมินอย่างเต็มที่โดยเชิญให้เขาเอนกายลง จากนั้นแบ่งไม้พายให้หลี่ไท่หนึ่งด้ามและตนเองหนึ่งโดยไม่ต้องให้ออกคำสั่ง ทำตามคำสั่งของหลี่ซื่อหมินให้พายเรือทวนน้ำไล่ตามหลี่เค่อและหลี่โย่วที่พายห่างออกไปไกลมากแล้ว


 


พายแพไม้ไผ่จนมือเท้าอ่อนแรงในที่สุดก็ตามพวกเขาทัน แต่หลี่ซื่อหมินกลับเปลี่ยนใจและไม่อยากเล่นสนุกพร้อมกับภรรยาและลูกของเขา เตรียมจะไปพูดคุยกันตามประสาสองนายบ่าวกับหลี่จิ้งที่นั่งดื่มน้ำชาอยู่ใต้ต้นหวยซู่


 


ชายชราแต่ละคนถือกาน้ำชาอยู่ในมือ ยกขึ้นดื่มอย่างออกรสชาติอย่างมีความสุข เพียงแค่ยื่นมือออกไปอู๋เสอก็หยิบกาน้ำชาจากกล่องผ้าที่แบกอยู่บนหลังส่งให้หลี่ซื่อหมิน พวกหลี่กังก็ลุกขึ้นตั้งแต่ที่เห็นจากระยะไกล ทำการคารวะต้อนรับการมาเยือนของหลี่ซื่อหมิน


 


“ท่านอาจารย์หลี่ ไม่ได้กันนาน เห็นท่านสุขภาพแข็งแรงสติแจ่มใสเหมือนดั่งเคย เราก็รู้สึกดีใจนัก” หลี่ซื่อหมินหัวเราะฮ่าๆ พูดเรื่องไร้สาระ


 


“หายากยิ่งที่ฝ่าบาทจะทรงหาเวลาว่างสักเล็กน้อยเสด็จออกมาตรวจราชการที่เขาอวี้ซัน ถือเป็นวาสนาของพวกกระหม่อมและนักเรียนอีกหลายพันคนในสำนักศึกษาแห่งนี้ ไม่สามารถทำให้ฝ่าบาททรงเสด็จมาทรงพักผ่อนอย่างเบิกบานพระทัยได้อย่างเต็มที่ถือเป็นความผิดของกระหม่อม”


 


ไม่รู้ว่าจ้าวเหยียนหลิงโผล่ออกมาจากไหนนำเก้าอี้ไม้ไผ่สานวางไว้ในที่ร่มแล้วเชิญให้หลี่ซื่อหมินไปประทับ จากนั้นเขาก็หยิบอุปกรณ์ต้มชาอันแสนรักของเขาออกมาจากกล่องไม้เล็กๆ ใช้เม็ดสนที่ตากจนแห้งจุดไฟที่เตาเล็กๆ ขึ้น เตรียมที่จะถวายให้ฮ่องเต้ได้ลิ้มลองรสชาติการต้มชาที่ถนัดของเขา ในตอนนี้เขาจะมีงานอดิเรกเช่นนี้ ความคิดที่จะรับราชการนั้นจางหายไปนานแล้ว เพียงแต่ทักษะการต้มชาของตนเองถูกมองข้ามก็รู้สึกขมขื่นอยู่ในใจมาโดยตลอด


 


ตอนนี้ในสำนักศึกษานั้นการชงชาใสได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ไม่ต้องใส่อะไรเลย เพียงแค่ได้เห็นใบชาลอยขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในถ้วยกระเบื้องเคลือบก็มีความสุขแล้ว มีบางคนที่ชอบนึกสนุกทำอะไรแผลงๆ ก็จะนำใบชาสดใหม่ที่ตนเองชอบมากที่สุดที่เพิ่งซื้อมาไปคั่วด้วยมือเปล่า แม้ว่ามือจะถูกลวกจนเหมือนเท้าหมูก็ยังคงไม่ตายใจที่จะเลิกทำ


 


เมื่อคราวนี้ฮ่องเต้เสด็จมาเอง จ้าวเหยียนหลิงก็ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยโอกาสให้ผ่านไป คราวที่แล้วฮองเฮาทรงโปรดปรานมาก สามีภรรยาเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีเหตุผลว่าฮ่องเต้จะไม่ชอบมัน นอกจากนี้ตนเองยังได้ปรับปรุงวิธีการดื่มชาแล้วด้วย ท่ามกลางความสง่างามที่แท้จริงเผยให้เห็นถึงสภาพความจริง


 


หลังจากอวิ๋นเยี่ยได้ชิมเมื่อคราวที่แล้วได้ให้ความเห็นว่าเป็นเหมือนน้ำล้างหม้อ คนพื้นบ้านเช่นนี้มีหรือจะสัมผัสได้ถึงเสน่ห์ของแดนเสฉวน ไอน้ำเป็นละอองปกคลุมเสมือนปุยเมฆบนเขาอูซัน ตาปลาลอยพลิกไปมาทำให้ไอใสๆ ลอยขึ้นมา ฟองอากาศในน้ำเดือดราวกับคลื่นในแม่น้ำฉางเจียงกระทบฝั่งให้บรรยากาศดั่งท้องทะเลที่งดงามประณีต และที่หายากยิ่งไปกว่านั้นคือตนเองได้ใช้ไฟอ่อนคอยย่างแผ่นใบชาที่ตากแห้งรอให้เริ่มเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดงอ่อน แล้วใช้โม่หินบดให้ละเอียดให้เหมือนผงเปลือกสน ลอยทับซ้อนกันจากนั้นค่อยปรุงให้เข้ากันด้วยฝีมืออันสุดยอดให้ฟองอากาศกระจายตัวไล่ๆ กันไม่ทับซ้อนกันอยู่ในถ้วยชาสีเขียวเข้มอ่อนช้อยราวกับรำไทเก๊ก แต่ขาดตาปลาไปสองดวงซึ่งตนเองก็ได้พยายามอย่างดีที่สุดที่จะใช้น้ำมันหมูแทนและโรยด้วยเกลือละเอียดอีกทั้งหัวหอมและขิงด้วย ล้วนแล้วแต่เป็นรสชาติที่ไม่อร่อยเอาเสียเลย รสชาติแห่งแดนเสฉวนนั้นมีเพียงส้มกิกเปลือกส้มเข้มที่มีผิวละเอียดโรยไว้ด้านบนราวกับตะวันทอแสงในยามเช้า ฮองเฮาทรงชมไม่ขาดปากนั่นก็คือผู้ที่เข้าถึงจริงๆ อวิ๋นเยี่ยจอมเจ้าเล่ห์เพทุบาย หัวโจกของสามเภทภัยแห่งฉางอัน จะมีคุณสมบัติพอจะวิพากษ์วิจารณ์คุณภาพของชาของข้าได้อย่างไรกัน


 


 จอนผมและหนวดของจ้าวเหยียนหลิงพลิ้วไหวอยู่บริเวณช่วงอก ท่าทีเคร่งขรึม วิธีการอันเคร่งครัด การชงชาเพียงหม้อเดียวก็ถูกเขาแสดงออกมาอย่างละเมียดละไมไร้ที่กล่าว หลังจากอู๋เสอแลบลิ้นออกมาหลังการทดสอบยาพิษ จึงถวายชาถ้วยแรกให้ฮ่องเต้ด้วยความนอบน้อม จากนั้นจึงค่อยแจกจ่ายให้กับทุกคน แม้แต่หลี่ไท่ก็ยังมีหนึ่งถ้วย มีเพียงอวิ๋นเยี่ยคนเดียวที่ถูกข้ามไป คนหยาบคายประเภทนี้ไม่คู่ควรที่จะให้ดื่ม


 


อู๋เสอรู้สึกเศร้าโศกแทนเจ้านายของตน หลี่ไท่สีหน้าอมทุกข์อยากจะส่งถ้วยชาให้อวิ๋นเยี่ย หลี่กังสรุปออกมาอย่างเสียงดังว่าเป็นชาที่ดีแต่ก็ไม่ได้ดื่มมันลงไป หยวนจางกัดฟันดื่มลงไปทั้งหมดในอึดใจเดียว และยกนิ้วหัวแม่มือให้ อาจารย์อวี้ซันนั้นชอบจริงๆ เขาสูดดมกลิ่นชาแล้วจิบไปหนึ่งคำและยิ้มแย้มหน้าบาน หลังจากหลีสือดื่มแล้วเขาก็ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว แต่อาการสำลักขึ้นมาเล็กน้อยได้ทรยศเขาเพราะบอกให้รู้ว่ากระเพาะเขานั้นผิดปกติ


 


หลี่ซื่อหมินจิบเล็กน้อยและส่งเสียง “จุๆ” ชื่นชมเขาและถึงกับถามจ้าวเหยียนหลิงว่าจะให้เขาต้มให้อีกหนึ่งกาได้หรือไม่ เพราะเขายังกระหายอยากลิ้มลองรสชาตินี้อีก การแสดงของพ่อตนทำให้หลี่ไท่รู้สึกเสียใจภายหลังกับการกระทำที่น่ารังเกียจของตนที่เมื่อครู่แอบเทน้ำชาใส่แขนเสื้อของเขา


 


เมื่อเหล่มองสีหน้าหลี่ซื่อหมินที่กำลังรอคอยอย่างใจจดจ่อ อวิ๋นเยี่ยก็นึกถึงความรู้สึกที่มีความสุขหลังจากที่จั่งซุนได้ดื่มชา ราวกับนึกขึ้นได้ว่าตัวเขาเองในยุคปัจจุบันที่ไปเป็นแขกในบ้านของชาวปศุสัตว์ ชาเนยถือเป็นของดีที่เอาไว้ใช้สำหรับการต้อนรับแขก แต่ว่าพวกเขาต่างก็เป็นชนกลุ่มน้อยนะ


 


เมื่อมาคิดย้อนกับไปถึงชาติกำเนิดที่แปลกประหลาดของตระกูลหลี่และตระกูลจั่งซุนก็รู้ได้ทันทีว่าพวกชนเผ่าที่กินเนื้อวัวและเนื้อแกะเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ชอบกินชาที่มีกลิ่นคาวและมัน ไม่แน่ว่ามันอาจได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากยีนในร่างกายของหลี่ซื่อหมินและจั่งซุนก็เป็นได้


 


จ้าวเหยียนหลิงเดินผ่านหน้าอวิ๋นเยี่ยไปอย่างหยิ่งยโส ทั้งยังส่งเสียงหึๆ เบาๆ ด้วย นี่เป็นท่าทีที่เขาแสดงออกหลังจากที่เขาถูกอวิ๋นเยี่ยเหยียดหยามอย่างที่สุด…


 


หลี่ซื่อหมินได้กินน้ำมันหมูเข้าไปเต็มกระเพาะทำให้สุขกายสบายใจ ทั้งยังมีเสียงพิณโบราณของอาจารย์หยวนจางบรรเลงขับกล่อม ช่างเป็นสิ่งที่งดงามสุดจะบรรยาย หลี่กังฮัมบทกวีโบราณ “ลั่วเสินฟู่” หลีสือจรดพู่กันเขียนอักษร “ขุยเซี่ยจูเสียนถู” หลี่ซื่อหมินลุกขึ้นมารำกระบี่ อวิ๋นเยี่ยรีบหนีเตลิดเปิดเปิง


 


ยังไม่ทันที่จะดื่มสุรา ทุกคนต่างก็พากันเมามาย ต่างคนต่างเดินกอดคอกันกลับที่พัก ขณะหลี่ซื่อหมินนั้นนั่งเรือก็ยังมีเพลงพิณบรรเลงส่งตลอดการเดินทาง…


 


เงาของเรือผ่านพ้นมุมของภูเขา หลี่ก็อาเจียนยกใหญ่ หยวนจางโกรธมาก อวี้ซันดึงหูอวิ๋นเยี่ยส่งเสียงคำรามราวฟ้าผ่า ฝ่ามือของหลีสือกำแล้วปล่อยเปลี่ยนไปมาไม่หยุด มีเพียงจ้าวเหยียนหลิงเท่านั้นที่ยังคงอยู่ท่ามกลางความดื่มด่ำกับจินตนาการอันไร้ขอบเขตไม่รับรู้ต่อเรื่องราวในโลกภายนอก


 


“เจ้าหนุ่ม เรื่องประจบประแจงที่น่ารังเกียจเช่นนี้ยังถึงกับกล้าให้พวกเขาไปทำ ไม่กลัวฟ้าผ่ากลางศีรษะอย่างนั้นหรือ เมื่อครู่ข้าพยายามฝืนที่จะบรรเลงพิณ ถึงตอนนี้ยังเจ็บปวดอยู่ในใจไม่จางหาย ศักดิ์ศรีของข้ายังเหลืออยู่อีกหรือ”


 


“ฝ่าบาทอยากเป็นคณบดี พวกเรานอกจากจะไม่ควรลงมือจากผลประโยชน์แล้วทั้งยังต้องเริ่มลงมือจากความรู้สึกด้วย ทำให้เขามีความรู้สึกที่ดีต่อสำนักศึกษา นี่จึงจะเป็นหลักการความเจริญที่ยั่งยืนของสำนักศึกษาไปตลอดกาล ความรู้สึกของมนุษย์เรานั้นแปลกมาก เมื่อมีของสิ่งนี้แล้วเรื่องถูกหรือผิดจะกลายเป็นเรื่องรองลงมาทันที อาจารย์ทุกท่าน เพื่อผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ของสำนักศึกษา จะประพฤติตนเป็นคนต่ำช้าไปบ้างก็ไม่น่าจะเป็นอะไรมากมายกระมัง”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)