เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 6 ตอนที่ 1-3
ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...
ตอนที่ 1 ของรักของหวง
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ชีวิตยังคงต้องก้าวไปข้างหน้า ตอนนี้เรื่องเพลิงไหม้ในเมืองฉางอันไม่ได้เป็นหัวข้อสนทนาหลักของชาวบ้านอีกต่อไป ชนเผ่าทูเจวี๋ยถูกทำลายสิ้น ทูตของแคว้นต่างๆ ต่างก็ทยอยมายังเมืองฉางอันไม่ขาดสาย เพียงแต่กลิ่นคาวเลือดนั้นยังคงคละคลุ้งตลบอบอวลอยู่ทั่วเมืองฉางอัน เมื่อออกจากบ้านก็จะเห็นชาวเผ่าหูทำตัวลับๆ ล่อๆ เหลียวซ้ายแลขวา ประตูตรอกซิ่งฮว่าฟางยังไม่เปิดก็มีชาวเผ่าหูวิ่งออกมาจากสถานที่รับรองตั้งแต่เช้าแล้วเพื่อศึกษาสัตว์ปี้สยาที่ทรงพลังดุดันที่อยู่หน้าประตูตรอกคู่นั้น เจ้าหน้าที่คนใหม่ที่มารับตำแหน่งรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก สัตว์ป่าตัวใหญ่ที่มีปีกแต่ไม่มีชื่อคู่นี้เป็นของรักของหวงของเขา ในแต่ละวันจะให้คนในตรอกที่เป็นชนชั้นล่างใช้น้ำล้างให้สะอาด แม้แต่คราบดินโคลนในร่องฟันก็ห้ามให้เหลือเด็ดขาด อาจารย์น้อยที่วาดภาพนี้ต้องทุ่มเทไปไม่น้อย สัตว์ดุร้ายแล้วเพิ่มปีกเข้าไปช่างดูน่ากริ่งเกรงดีแท้ สิงโตในตรอกไท่ผิงฟางก็เป็นแค่เนื้อในปากของสัตว์ดุร้ายคู่นี้ ให้ชาวเผ่าหูมาศึกษาช่างเสียเปล่าจริงๆ ไม่ได้ ขาดทุนย่อยยับ หันหลังกลับไปสั่งให้ชนชั้นล่างเหล่านั้นที่กำลังหัวเราะคิกคักหาผ้าขาดๆ สักผืนมาคลุมเอาไว้ สำหรับเสียงโอดครวญเสียดายของชาวเผ่าหูใครจะไปสนใจกัน
ฝ่าบาทเป็นโอรสสวรรค์ พวกเราเป็นประชาชนของโอรสสวรรค์ สำหรับชาวเผ่าหูเป็นพวกต่างถิ่นนอกคอก ไม่นับถือบรรพบุรุษของตนเอง แต่เชื่อในเทพเจ้าและวิญญาณประหลาดๆ ได้ยินว่ามีการนำคนมาเป็นเครื่องบูชาอีกด้วย มีใครบ้างที่บรรพบุรุษกินลูกหลานตนเอง แม้แต่เสือร้ายยังไม่กินลูกของตัวเอง หญิงชาวเผ่าหูที่มีดวงตาสีเขียวเพียงแค่มองก็ดูดี อกใหญ่เอวคอด ขอเพียงซื้อนางกลับบ้านและให้อาบน้ำหลายๆ ครั้งอาจจะกำจัดกลิ่นสาปกายออกไปได้ สำหรับชายชาวเผ่าหูที่มีดวงตาสีเทา อยู่ห่างกันห้าร้อยเมตรก็ยังได้กลิ่นสาบเลย ทั้งยังพร่ำบ่นคิดที่จะซื้อบ้านในตรอกซิ่งฮว่าฟางอีก ช่างเป็นเคราะห์กรรมจริงๆ ถ้าบ้านดีๆ เหล่านั้นถูกชาวเผ่าหูถือครองไปทั้งหมด เจ้าหน้าที่ดูแลตรอกคงต้องไปกระโดดน้ำ
บ้านหลังเล็กก่อด้วยอิฐแดง แต่ละบ้านเมื่อเข้าไปก็จะเห็นต้นไม้ใหญ่ที่เป็นส่วนยอดของต้นถูกตัดและขนมาจากภูเขาซึ่งเป็นราคาที่สูงมาก ปลูกอยู่รอบๆ ลานบ้านเมื่อถึงปีหน้ามันจะกลายเป็นต้นไม้เขียวชอุ่มอีกครั้ง นอกจากนี้ยังมีพันธุ์พืชต่างๆ นานาที่ได้มาจากอุทยานหลวง เมื่อปลูกลงไปเจ้าหน้าที่ดูแลตรอกก็สั่งให้ชนชั้นล่างคอยเฝ้าดูแลทั้งวันทั้งคืนเพราะกลัวว่าจะมีคนไม่ดีมาแอบขุดกลับบ้าน
โหวเหยียตระกูลอวิ๋นเป็นคนใจกว้าง ได้เพิ่มค่าจ้างให้กับชนชั้นล่างมากถึงสามเท่าเต็มๆ ตอนนี้ในตรอกซิ่งฮว่าฟางนอกเหนือจากสถานที่ก่อสร้างแล้ว พื้นดินทั่วทุกหัวระแหงสะอาดเหมือนสุนัขเลียชามข้าวเลย อิฐแดงต้องปูอยู่บนพื้น รอยต่อระหว่างก้อนอิฐไม่มีแม้แต่เศษสกปรกติดเลย เมื่อเดินบนถนนสายนี้แล้วแม้อยากถ่มน้ำลายก็ทำไม่ลง เหล่าชนชั้นล่างแขวนกระบองสั้นไว้ที่เอว หากมีคนถ่มน้ำลายมั่วซั่วก็จะเดินเข้าไปทุบโดยไม่พูดอะไรทั้งสิ้น นี่เป็นกฎใหม่ของตรอกซิ่งฮว่าฟาง อาจารย์น้อยเคยบอกแล้ว มันเรียกว่าอะไรนะ สาธารณสุขชุมชน ทุกคนมีความรับผิดชอบร่วมกัน เอาเป็นว่ามีความหมายประมาณนี้ ขอเพียงแค่เห็นคนที่ทำตัวน่าขยะแขยงที่อยู่รอบตัวๆ ก็จับตัวแล้วตีด้วยพลองเป็นอันใช้ได้
คูน้ำที่มีกลิ่นเหม็นในสมัยนี้เรียกว่า จินสุ่ยเหอ ไม่อนุญาตให้เทปัสสาวะลงในแม่น้ำอีกต่อไป รุ่งเช้าของทุกวันจะมีรถม้าสี่ล้อมารับสิ่งปฏิกูลเหล่านี้ไป เมื่อสั่นกระดิ่ง ทุกบ้านจะต้องนำกระโถนออกมาแล้วเทปัสสาวะและอุจจาระใส่ถังไม้ขนาดใหญ่ที่มีฝาปิดแล้วลากออกนอกเมืองไป ว่ากันว่าสิ่งปฏิกูลเหล่านี้จะกลายเป็นของดีเมื่อนำไปใช้ในพื้นที่เพาะปลูก พระเถระบางรูปยังกล่าวว่า นี่เป็นหลักการของวัฏจักรที่วนเวียนไม่รู้จบของโลก พืชพันธุ์เองก็มีวัฏจักรเช่นกัน
ดังนั้นเพียงเวลาชั่วข้ามคืน จินสุ่ยเหอก็แทบจะใสสะอาดจนเห็นก้นลำธารเลย ซึ่งก้นแม่น้ำก็มีทุกอย่างแม้แต่โครงกระดูกของคนตาย จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร อาจารย์น้อยผู้มีความสามารถเหล่านั้นได้สั่งปิดทางเข้าของแม่น้ำและบอกชาวบ้านทั้งสองฝั่งน้ำว่า ทุกบ้านจะต้องขุดดินตะกอนหน้าบ้านของตัวเองขึ้นมาส่วนหนึ่งแล้วนำไปกองไว้บนฝั่งแม่น้ำ ชาวฉางอันเป็นผู้ที่ไม่ยอมเห็นบ้านอื่นทำได้ดีกว่าบ้านตนเองมากที่สุด น้ำในแม่น้ำนี้ภายหน้าพวกเขาจะต้องใช้ดื่ม ถ้าหากมีโครงกระดูกคนตายที่ไม่ได้ถูกขุดขึ้นมาล่ะ คนที่จะโชคร้ายก็คือพวกเขาเอง จะให้ดื่มซุปโครงกระดูกตลอดชีวิตหรือ
จึงได้รวบรวมสมัครพรรคพวกช่วยกันจัดการหน้าบ้านตนเอง ถ้าบ้านเจ้าขุดลึกสามฉื่อ บ้านข้าจะขุดสี่ฉื่อ บางคนมุทะลุบ้าเลือดขุดถึงหกฉื่อจนเกือบจะขุดน้ำบาดาลออกมาอยู่แล้ว สุดท้ายจึ้งต้องกำหนดมาตรฐานขึ้นซึ่งก็คือสี่ฉื่อ สำหรับผู้ที่ออกแรงช่วยนั้นสามารถสร้างโต๊ะเล็กๆ สำหรับเอาไว้ใช้ซักผ้า ซาวข้าว ล้างผัก ซึ่งบ้านเจ้าก็จะมีโอกาสได้ก่อน อาจารย์น้อยได้กำหนดขนาดเอาไว้ให้แล้วว่าเป็นโต๊ะหินสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดหนึ่งเมตรครึ่งทั้งยังให้แกะสลักลายแต่กลัวว่าหากลื่นเกินไปอาจทำให้ได้รับบาดเจ็บ วัสดุหินจะถูกส่งไปที่บ้านเจ้าซึ่งจะต้องหาคนมาจัดตั้งเอง เจ้าหน้าที่ทางอำเภอไม่ได้ดูแล
ริมแม่น้ำจะปลูกต้นหลิ่วเอาไว้ ต้นไม้ประเภทนี้มีอายุยืนเพียงปักลงดินก็ใช้ได้ เมื่อนึกถึงภาพบรรยากาศที่ว่าเมื่อต้นหลิ่วเติบโตขึ้นคนในบ้านนั่งรับลมเย็นใต้ต้นหลิ่ว ช่างชวนให้ผู้คนหลงใหล ชาวบ้านผู้ยากจนที่อาศัยอยู่ริมสองฝั่งคูน้ำเหม็นเน่าก็พบว่า บ้านที่ผุพังของตนเองมีค่าขึ้นมาแล้ว นึกถึงตอนที่ซื้อบ้านหลังนี้ด้วยราคาหนึ่งก้วน แต่ตอนนี้เพียงแค่ที่ดินก็มีมูลค่าห้าก้วนแล้ว นี่เป็นเรื่องมงคลที่หล่นลงมาจากท้องฟ้า ในที่สุดก็ได้ทิ้งมรดกไว้ให้ลูกหลานได้ทำกิน ชายชราที่หลังโก่งสองมือไพล่หลังเมื่อว่างๆ จึงเดินผ่อนคลายอยู่ริมน้ำ เมื่อพบสิ่งปฏิกูลก็เก็บมันขึ้นมาและวางไว้ที่ที่ของสกปรกควรอยู่ ทั้งยังเรียกเจ้าของบ้านที่มีสิ่งปฏิกูลอยู่หน้าประตูบ้านออกมาด่ายกใหญ่ บ้านเจ้านี่เป็นผียากไร้มาแต่กำเนิดจริงๆ อย่าทำให้ชาวบ้านในละแวกนี้ต้องมาเดือดร้อนไปกับด้วย หากโยนสิ่งปฏิกูลระเกะระกะอีกจำนำสิ่งปฏิกูลของทั้งตรอกนี้มาเทไว้ที่หน้าบ้านของเจ้า เจ้าของบ้านที่ถูกด่าหน้าแดงก่ำไปถึงใบหูแต่ก็จะยากที่จะโต้เถียงได้
ตั้งแต่นั้นมาผู้คนบนสองฝั่งน้ำก็ดูเหมือนจะตั้งเงื่อนไขด้านสุขอนามัยอย่างหนึ่งขึ้นมาโดยปริยาย เตาในบ้านเจ้าอาจจะไม่เช็ดก็ได้แต่ต้องทำความสะอาดหน้าบ้านให้เรียบร้อย แม้ฮูหยินที่บ้านเสียชีวิตไปแต่เรื่องนี้ก็ขาดไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเพื่อนบ้านก็จะจัดการเจ้าถึงตายเช่นกัน
ตกดึกจึงมายกก้อนหินที่ใช้ปิดกั้นบริเวณปากแม่น้ำออก น้ำใสไหลเวียนเข้ามาใหม่อีกครั้ง หลังจากที่กระแสน้ำไหลผ่านชำระล้างไปหนึ่งคืน ยามรุ่งสางน้ำใสเป็นประกายในแม่น้ำก็ไหลหน้าบ้าน ปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน ชายชรานั่งบนโต๊ะหินสองมือรองน้ำขึ้นมาดื่มหนึ่งคำก็ตะโกนเสียงดังว่าดื่มได้ ไม่มีกลิ่นเหม็นเน่าน่าขยะแขยงของอุจจาระและปัสสาวะอีกต่อไป ดื่มน้ำสกปรกมาชั่วชีวิต ไม่คิดว่าการจะดื่มน้ำสะอาดแท้จริงแล้วมันง่ายเพียงนี้เอง ตนเองเพียงแค่ออกแรงช่วยและปลูกต้นไม้สองสามต้น ก็ทำให้ตัวเองรู้สึกได้ถึงความสุขที่ได้เป็นคนเป็นครั้งแรก
แม่น้ำทั้งสี่สายในเมืองฉางอัน แม่น้ำในพื้นที่ก่อสร้างของตรอกซิ่งฮว่าฟางเพิ่งจะแก้ไขปัญหาไปได้เพียงสายเดียวและทำความสะอาดได้เพียงแค่ปากแม่น้ำเท่านั้น ใช้หินไปจำนวนหนึ่งแต่ก็ทำได้เพียงแค่นี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการประเมินงบประมาณด้านวิศวกรรมขนาดใหญ่ของตรอกซิ่งฮว่าฟางแล้วเทียบไม่ได้กับตั๊กแตนตัวหนึ่ง ชั่วเวลาหนึ่งในอำเภอฉางอันที่เหล่าชาวบ้านมีความรู้สึกพลุ่งพล่าน สถานที่ก่อสร้างก็ถูกร้องขอให้ทำความสะอาดแม่น้ำทั้งสามสายที่เหลือด้วย
หลี่ต้าเลี่ยงเจ้ากรมแรงงานกำกับดูแลการก่อสร้างซ่อมแซมสะพาน เรือและแม่น้ำทุกสายทั่วราชอาณาจักร เมื่อเห็นสถานการณ์นี้เข้า ทำงานอย่างรวดเร็วเฉียบขาดและโดยไม่ชักช้า เป้าหมายที่ตั้งไว้คือค่าใช้จ่ายในการซื้อหินหนึ่งพันก้วน แรงงานชาวบ้านสองพันคนได้ถูกสั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปจัดการ ภาพแบบแปลนให้ดัดแปลงแก้ไขจากสถานที่ก่อสร้างของตรอกซิ่งฮว่าฟาง หากวาดเสือจากรูปแมวยังทำไม่ได้ หลี่ต้าเลี่ยงก็ไม่รังเกียจที่จะทำการถ่ายเลือดครั้งใหญ่ตั้งแต่ผู้ที่อยู่เบื้องบนจนถึงเบื้องล่าง ฝ่าบาทและชาวบ้านต่างก็ผิดหวังกับกรมแรงงานอย่างที่สุดมานานแล้ว ตอนนี้ไม่ว่าเขาจะทำการปรับปรุงครั้งใหญ่อย่างไรทางการจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่
ในฐานะที่เป็นสถานที่ใจกลางสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ ตรอกซิ่งฮว่าฟางจึงเป็นจุดสนใจท่ามกลางจุดสนใจอื่นๆ อย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่ประตูตรอกที่ปิดตลอดทั้งวัน ทั้งยังมีชนชั้นล่างที่ดูโหดเ**้ยมอำมหิตอีกทำให้ชาวเมืองฉางอันต้องชะงักฝีเท้าไว้ อยากจะเข้าไปน่ะหรือ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย
ทางการกลับได้เข้าไป เพียงแต่คนที่ออกมาก็ดูราวกับไร้วิญญาณ ปากเอาแต่พูดชื่นชมไม่หยุด พูดตามตรงว่าสถานที่แห่งนี้มีอยู่แต่บนสรวงสวรรค์เท่านั้น บนโลกมนุษย์เราได้ยินเพียงไม่กี่ครั้ง เมื่อพูดจบก็ส่ายศีรษะแสดงท่าทีว่าน่าอาลัยอาวรณ์แล้วก็จากไป ราวกับว่าได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจ
เจ้าหน้าที่ที่มีความรู้กว้างขวางทุกคนล้วนมีลักษณะเช่นนี้ จึงทำให้ชาวบ้านเมืองฉางอันมีความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นว่าแท้จริงแล้วตรอกซิ่งฮว่าฟางนั้นเป็นสถานที่เช่นไรกันแน่ พวกเขาหารู้ไม่ว่าเมื่อเจ้าหน้าที่ขึ้นรถม้าแล้วคลำๆ กล่องไม้ใบเล็กๆ อันประณีตในอกเสื้อ เพียงแค่พูดไม่กี่คำก็ได้ของขวัญชิ้นใหญ่ เรื่องพายเรือตามน้ำนี่ทำแล้วช่างคุ้มค่าจริงๆ เพียงแต่ตนเองควรจะซื้อบ้านที่ตรอกซิ่งฮว่าฟางไว้สักหลัง เพื่อเก็บไว้รากฐานให้กับลูกหลานดีหรือไม่
หลี่เค่อใช้โอกาสในการก่อสร้างซ่อมแซมครั้งใหญ่บอกกับฮองเฮาว่า ตอนนี้สระไท่เยี่ยก็ถือเป็นบ่อน้ำเสียขนาดใหญ่ ถึงแม้ว่าตอนนี้จินสุ่ยเหอจะมีน้ำสะอาดไหลเข้ามาแต่เมื่อเทียบกับน้ำใสภายนอกแล้ว น้ำที่ออกสีเขียวของสระไท่ฉือทำให้เขาดูแล้วขยะแขยง หากฮองเฮาต้องการเปลี่ยนน้ำเสียทิ้ง ผู้ที่เป็นลูกอย่างพวกเขาก็ควรแสดงความกตัญญูอย่างเต็มที่ แน่นอนว่าพี่หลี่เฉิงเฉียนและหลี่ไท่ก็ต้องร่วมด้วย ขอเงินเพียงสามพันก้วนก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ พวกเขาสามพี่น้องสามารถรับหน้าที่นี้ได้
เพียงแต่มีปัญหาอยู่เรื่องหนึ่ง ขณะที่เปลี่ยนถ่ายน้ำเสีย เหล่าเชื้อพระวงศ์ที่พำนักอยู่ในวังจำเป็นต้องไปพำนักที่นอกวังชั่วคราว เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกรบกวน เช่น พระหยางเฟยเฟยเสด็จแม่ของเขาที่อาศัยอยู่ใกล้สระไท่เยี่ยเป็นอย่างมาก จำเป็นต้องย้ายไปพำนักอยู่นอกวังชั่วคราวอย่างแน่นอน เช่น เขาอวี้ซันซึ่งที่นั่นเขามีบ้านอยู่หลังหนึ่งสามารถให้ยืมได้
จั่งซุนเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกและนำไปเล่าให้หลี่ซื่อหมินฟัง หลังจากได้ฟังหลี่ซื่อหมินก็หัวเราะจนแทบจะหายใจไม่ออก ลูกชายอายุสิบสี่ปีเริ่มรู้จักแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัวแล้ว แต่ผลประโยชน์นี้เป็นสิ่งที่เขาชอบจะได้ยินและได้เห็น ขอเพียงแค่กล่าวอ้างก่อนว่าเพื่อความกตัญญูผลประโยชน์เช่นนี้ก็จะถือเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง
เขาจึงได้เล่าเรื่องนี้ให้กับพระหยางเฟยเฟยฟัง ใครจะรู้ว่าพระหยางเฟยเฟยที่ปกติใบหน้ามีแต่รอยยิ้มเสมอมาจะร้องไห้เสียงหลงต่อหน้าเขา
“อ้ายเฟย[1]เจ้ารู้ไหมว่าเค่อเอ๋อร์เพื่อหาโอกาสให้เจ้าได้ออกนอกวังพักผ่อน ทุ่มเทลงไปมากน้อยเพียงไร ได้ยินชิงเชวี่ยบอกว่าตอนนี้เขาเป็นหนี้อวิ๋นเยี่ยอยู่สองก้วน ซึ่งเงินสองก้วนนี้ไม่ธรรมดาเลย เค่อเอ๋อร์จำเป็นจะต้องพยายามทำทุกอย่างอย่างสุดความสามารถเพื่อแลกเงินมาแต่ละสตางค์ เค่อเอ๋อร์ช่วยอวิ๋นเยี่ยซ่อมแซมตรอกซิ่งฮว่าฟาง ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างทั้งหมดรวมแล้วเกินหนึ่งหมื่นก้วน กำไรที่ประเมินไว้จะได้มากกว่าหนึ่งแสนก้วน เช่นนี้แล้วอวิ๋นเยี่ยก็ยังคงไม่พอใจอย่างมาก ยอมให้เขาหักล้างหนี้เพียงห้าร้อยเหวิน ในส่วนที่เหลือเขาจะต้องสอบเอาชนะชิงเชวี่ยในด้านการศึกษาให้ได้จนได้เป็นนักเรียนตัวอย่างอันดับหนึ่งของสำนักศึกษา จึงจะได้รับการคืนเงินเข้าบัญชีเป็นจำนวนหนึ่งก้วน ในด้านการศึกษาชิงเชวี่ยนั้นเรียนดีเพียงใดเจ้าก็รู้ อยากจะเอาชนะเขามันยาก ยากมากจริงๆ”
เมื่อพูดจบก็หัวเราะเสียงดังอย่างภูมิใจเป็นที่สุด ลูกชายสองคนของเขาครองตำแหน่งอันดับหนึ่งและสองของสำนักศึกษาเป็นเวลานานโดยไม่มีใครทำอะไรได้ ได้ยินชิงเชวี่ยบอกว่าอวิ๋นเยี่ยเริ่มค่อนข้างโกรธแล้ว คราวนี้เขาเรียกนักเรียนคนอื่นๆ ในสำนักศึกษามาเพื่อประกาศให้รู้ว่าชิงเชวี่ยและหลี่เค่อเป็นเป้าหมายที่ต้องเอาชนะให้ได้ ขอเพียงเอาชนะพวกเขาได้จะได้รางวัลเท่าตัว ทั้งยังจะแถมเรือนเล็กหลังเดี่ยวในตรอกซิ่งฮว่าฟางให้อีกหนึ่งหลัง ตอนนี้นักเรียนในสำนักศึกษาบ้ากันไปแล้ว เข้านอนตอนตีหนึ่งตื่นตีห้าจนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา บนศีรษะคาดผ้าหนึ่งเส้น เรียนอย่างหนักทั้งกลางวันและกลางคืนก็เพื่อล้มหลี่ไท่ให้ได้ จนทำให้หลี่ไท่เริ่มกังวลเป็นอย่างมาก
สามารถทำให้อวิ๋นเยี่ยต้องยอมศิโรราบได้เป็นความสุขอย่างที่สุดของหลี่ซื่อหมินในตอนนี้ ความรู้สึกที่ต้องกัดฟันกรอดๆ แต่กลับจนหนทางทำอะไรเขาไม่ได้ไม่มีมานานหลายปีแล้ว ตอนนี้เขารู้สึกถึงมันอีกครั้งจากเรื่องของลูกชายเขาช่างเป็นเรื่องที่น่าสนุกจริงๆ
“เด็กอวิ๋นเยี่ยคนนี้ก็ทำเกินไปหน่อย กล้าตั้งเงื่อนไขต่อลูกข้าถึงเพียงนี้ หม่อมฉันต้องไปสำนักศึกษาเพื่อทวงความยุติธรรมให้ลูกของหม่อมฉัน!” พระหยางเฟยเฟยตอนนี้ไม่สามารถนั่งนิ่งๆ ได้อีกแล้ว เมื่อคิดถึงว่าหลี่เค่อต้องเนื้อตัวสกปรกเต็มไปด้วยฝุ่นทำงานวุ่นวายอยู่ที่สถานที่ก่อสร้าง ร่างกายที่บอบบางต้องทนทุกข์ทรมานก็เพื่อให้มารดาได้มีเวลาพักผ่อนที่แสนสบาย ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดดั่งมีดกรีด
“แต่เรากลับคิดว่าแนวทางของอวิ๋นเยี่ยนั้นถูกต้อง อ้ายเฟย เจ้าก็เป็นคนที่เล่าเรียนเขียนอ่านมาก่อนก็ควรรู้หลักการที่ว่าคนเราเอาตัวรอดได้เพราะเพียรพยายามและจะตายบนเส้นทางที่เป็นสุขจนเกินควร ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยบีบคั้นกดดันชิงเชวี่ยและเค่อเอ๋อร์อย่างสุดชีวิต ช่างเป็นวิถีแห่งครูที่แท้จริง เมื่อพวกเขาจบการศึกษาจากสำนักศึกษา ใต้หล้านี้ยังจะไม่มีที่ที่ให้พวกเขาเดินอย่างองอาจอีกหรือ ลูกชายข้าหลี่ซื่อหมิน ก็ต้องเป็นมังกร ภายหน้ารับภาระหน้าที่ดูแลแผ่นดินนี้จะต้องทำให้โลกได้สีสันขึ้นอย่างแน่นอน”
——
[1] อ้ายเฟย เป็นคำเรียก สนม โดยไม่ระบุชื่อหรือแซ่ แปลว่า สนมผู้เป็นที่รัก
ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...
ตอนที่ 2 บุคคลสำคัญมาเยือน
เมืองฉางอันในปีนี้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น เวลาในการทำการค้าในตัวเมืองถูกจำกัดช่วงเวลาซึ่งสามารถทำการค้าได้เพียงสามยามเท่านั้น ร้านแผงลอยบนถนนจูเชวี่ยจะถูกเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนของเมืองจับคนและยึดสินค้าส่งเข้าห้องขัง จะซื้อน้ำส้มสายชูสักขวดต้องเดินทางกว่าครึ่งเมืองฉางอัน ทำให้เด็กๆ ที่รอกินเกี๊ยวอยู่ที่บ้านรู้สึกเลวร้ายเพียงใด
คนในแดนกวนจงไม่ชอบทำการค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งมักดูหมิ่นพ่อค้า ร่ำรวยในผลกำไรแต่กลับถูกเหยียดหยามว่าไม่มีบรรพบุรุษ แต่เหอเซ่าไม่สนใจเพราะบรรพบุรุษของเขาเป็นขอทาน แน่นอนว่าเขาจึงไม่สนใจว่าจะถูกเหยียดหยามหรือไม่ ในห้องโถงบ้านเขาแขวนอักษรคำสอนบรรพชนเอาไว้ว่า “แผ่นฟ้ายิ่งใหญ่ ผืนดินกว้างใหญ่ กินข้าวเรื่องใหญ่ที่สุด” เพื่อเรื่องปากท้องแล้วแม้อยู่ในฐานันดรศักดิ์เจวี๋ยเว่ยกลับไม่สนใจคำครหาใดๆ พยายามจะทำการให้เจริญรุ่งเรืองให้จงได้
ในตรอกของแต่ละเมืองเขาได้ซื้อที่ดินผืนเล็กๆ เอาไว้ เตรียมที่จะเปิดร้านขายของชำตั้งแต่เข็มเย็บผ้าจนถึงผักสดไม่มีอะไรที่ไม่มี แม้ว่าที่บ้านเจ้าต้องการม้าที่ใหม่ที่สุดที่สามารถลากรถม้าไปทั่วทุกพื้นที่ได้ ร้านขายของชำแห่งนี้ก็จัดหาให้ได้
ตรอกทั้งสิ้นหนึ่งร้อยแปดแห่งเขาสร้างร้านค้ารวมทั้งสิ้นแปดสิบร้าน นี่ถือเป็นการค้าขายอันดับหนึ่งในเมืองฉางอันเลยก็ว่าได้ เพียงแต่ว่ามีผู้ถือหุ้นมากเกินไปเสียหน่อย หลี่เฉิงเฉียนก็ทุ่มลงมาสองร้อยก้วน ต้องการส่วนแบ่งครึ่งหนึ่ง ความเป็นจริงพิสูจน์ให้เห็นว่าการตัดสินใจของเขาเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดเสมอมา เงินสองร้อยก้วนก็กลับคืนสู่มือเขาในเดือนที่สาม ร้านขายของชำแห่งนี้ที่เรียกว่าเผียนอี๋ฟาง ทำให้เขาต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ ไม่ใช่เพราะเรื่องเงินสองร้อยก้วน แต่เป็นเพราะร้านขายของชำมีเงินจำนวนมากไหลเข้ามาทั้งยังเข้ามาอย่างต่อเนื่องอยู่เสมออีกด้วย
ณ ที่แห่งนี้ไม่มีใครเสียเปรียบ หลี่เฉิงเฉียนได้ส่งขันทีมาตรวจสอบกระบวนการทั้งหมดของร้านขายของชำตั้งแต่ต้นจนจบโดยเฉพาะอีกด้วย ชาวเกษตรกรมอบผักสดแล้วยังมีไก่ เป็ด ห่าน ไข่และหมู รวมถึงปลาดุกปากกว้างที่ไม่ค่อยมีก้างอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งล้วนแล้วแต่มีหนังสือสัญญาทั้งสิ้น เกษตรกรจะมาสรุปบัญชีกับร้านค้าเดือนละครั้ง ราคายุติธรรมและไม่มีเรื่องการดูหมิ่นเกษตรกรเกิดขึ้น ซึ่งก็สอดคล้องกับกฎของพ่อค้าและเกษตรกรก็ยอมรับด้วย
รถม้าส่งสินค้าไปยังร้านค้าทุกแห่งในเมืองฉางอันอย่างไม่ขาดสาย จากนั้นร้านค้าก็จะขายสินค้าให้กับชาวบ้านในตรอกอีกทอดหนึ่งด้วยราคาสินค้าตลาดมือสองเพียงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ พวกเขาไม่ต้องเดินทางไกลไปซื้อ ชาวบ้านในตรอกเองก็ได้ผลพลอยได้ไปด้วย
ขันทียืนดูร้านขายของชำที่ว่างเปล่าแต่ถูกเติมเต็มไปด้วยสินค้าในช่วงครึ่งวันเช้าตาปริบๆ กระบวนการร้านในขั้นตอนนี้ร้านขายของชำไม่ต้องเสียเงินเลยแม้แต่เหวินเดียว ช่างฝีมือเหล่านั้นแย่งกันส่งมอบสินค้าให้กับร้านและบางคนยังมอบของขวัญให้อีกด้วย
ในวันสุดท้ายของสิ้นเดือน ในห้องโถงใหญ่ของร้านขายของชำที่สร้างขึ้นใหม่บนตลาดน้ำในตรอกซิ่งฮว่าฟางมีฝูงชนจำนวนมาก เจ้าหน้าที่บัญชีสิบสองคนนั่งเรียงแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่งโดยแบ่งกันตามประเภทของสินค้า จ่ายเงินให้กับผู้ที่นำสินค้ามาส่ง รถบรรทุกเงินถูกขนส่งเข้ามาทีละคันๆ สีเหลืองทองเงาวิบวับก็ถูกกองอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ถุงผ้าป่านใบใหม่เมื่อใส่เงินจนเต็มแล้วจะจ่ายตามตั๋วเงิน ทำงานวุ่นวายกันอย่างคึกคัก
ผู้จัดเก็บภาษีของเขตนั่งอยู่ข้างๆ “ภาษีสิบห้าจ่ายหนึ่ง” ทุกคนที่ได้รับค่าสินค้าแล้วต้องมาบริเวณจัดเก็บภาษีเพื่อชำระค่าภาษี ผู้จัดเก็บภาษีไม่กล้าเก็บมากเกินไป องครักษ์ที่รัชทายาทส่งมาในมือกำดาบไว้และยืนอยู่ด้านข้าง
พวกพ่อค้าไม่เคยชอบที่จะจ่ายภาษีเหมือนเช่นในตอนนี้เลย ค่าภาษีสิบห้าจ่ายหนึ่งนั้นง่ายมาก ข้าขายม้านั่งไม้ได้เงินสามก้วน ต้องจ่ายภาษีสองร้อยเหวิน ซึ่งพร้อมจ่ายแล้ว แต่ที่บ้านขายพรมได้อีกสองก้วนต้องจ่ายภาษีพร้อมกันเลยไหม
สีหน้าของผู้เก็บภาษีเริ่มยิ่งดำมากขึ้นเพราะเงินในตะกร้าไม้ไผ่ที่อยู่ข้างๆ พวกเขาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายผู้เก็บภาษีก็แทบจะร้องไห้ออกมา หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะให้ผู้จัดเก็บภาษีทั้งต้าถังอยู่ต่อได้อย่างไร
มีชายชราสองคนยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน คนหนึ่งใบหน้าดำเหมือนชาวนาและอีกคนใบหน้าผอมบางลูบเคราใต้คางของเขาเป็นครั้งคราวราวกับเป็นอาจารย์สอนหนังสือท่านหนึ่ง
“พี่เสวียนเฉิง หากให้จ่ายภาษีด้วยเงินเหรียญทองแดงเช่นนี้ต่อไป ไม่มีคนจำพวกที่ต้องเช่า คนธรรมดา พวกพื้นๆ หรือพวกที่ต้องคอยอบรมสั่งสอน การจะเกิดสภาพความเจริญรุ่งเรืองอันยิ่งใหญ่ในต้าถังเราเหมือนเมื่อสมัยฮั่นเหวินจิ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร น่าเสียดายที่เกิดขึ้นที่เผียนอี๋ฟางเพียงแห่งเดียว หากมีหลายๆ ที่คงจะดีไม่น้อย”
“พี่เสวียนหลิง เรื่องที่ข้าให้ความสำคัญไม่ใช่จำนวนภาษีที่จ่าย แต่เป็นสีหน้าของผู้จัดเก็บภาษี ชาวบ้านจ่ายภาษีอย่างตรงไปตรงมา พวกเขาเพียงแค่ฃออกใบรับรองการชำระภาษีก็เสร็จสิ้นแล้ว การเก็บภาษีราบรื่นถึงเพียงนี้พวกเขาควรจะดีใจจึงจะถูก เหตุใดจึงมีสีหน้าราวกับบิดามารดาตายจากเช่นนี้ ข้าอยากจะค้นหาสาเหตุให้ชัดแจ้งและจะได้ข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงว่าเหตุใดภาษีการค้าของต้าถังจึงได้ไม่เพียงพออย่างรุนแรง”
เหอเซ่าน้อมกายคารวะและยิ้มพลางพูดว่า “เรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ หากเป็นใครก็ย่อมต้องอยากได้สักเล็กน้อย ตอนนี้ในที่เผียนอี๋ฟาง ชาวบ้านจ่ายภาษีอย่างถูกต้องชัดเจน พวกเขาอยากจะเล่นตุกติกอะไรบ้างก็ทำไม่ได้ ไม่ร้องสิจึงเป็นเรื่องแปลก”
เว่ยเจิงเกลียดท่าทีที่เห็นแก่ผลประโยชน์ของเหอเซ่าเป็นอย่างมาก สะบัดแขนเสื้อ ส่งเสียง ฮึ แต่ไม่พูดอะไร ฝางเสวียนหลิงกลับยิ้มแล้วตอบว่า “เมื่อเห็นเบาะแสแล้ว คิดว่าวิธีการดั่งสายฟ้าฟาดของพี่เสวียนเฉิงคาดว่าคงต้องทำให้พวกเขาลืมไม่ลงไปชั่วชีวิตแน่”
ขันทีจำคนทั้งคู่ได้แต่ไม่กล้าเปิดเผยฐานะ จึงได้แต่เข้าไปคารวะ เว่ยเจิงถามว่า “หลายวันที่ผ่านมานี้เจ้าได้ติดตามดูกระบวนการมาโดยตลอด พบสิ่งผิดปกติบ้างหรือไม่”
“เรียนเว่ยซื่อจง หลายวันนี้ข้าน้อยได้เฝ้าดูทุกขั้นตอนซึ่งล้วนแล้วแต่มีตั๋วให้ตรวจสอบ ไม่พบอะไรที่ผิดปกติ เพียงแต่มันแปลกตรงที่ว่า นายอำเภอเหอเพียงแค่ซื้อร้านค้าไว้และส่วนใหญ่ก็ยังเป็นการเช่าด้วย ด้านในร้านค้าก็ว่างเปล่าล้วนแล้วแต่เป็นพวกพ่อค้ารายเล็กๆ เหล่านี้ที่นำสินค้าเข้ามาเอง เจ้าของร้านของเผียนอี๋ฟางก็ยังเลือกแล้วเลือกอีก หากเป็นของเกรดรองลงมาเพียงเล็กน้อยก็ไม่รับ ข้าน้อยจึงรู้สึกแปลกใจ พวกเขาไม่มีสินค้าอะไรเลยทั้งยังไม่ได้จ่ายเงินแม้แต่เหวินเดียว กลับร่ำรวยได้ถึงเพียงนี้ทำให้ทุกคนต่างได้ผลดีกันถ้วนหน้า นี่มันเป็นเพราะเหตุใดกัน”
ฝางเสวียนหลิงหันกลับมามองที่เหอเซ่าเพื่อรอคำอธิบายของเขา เหอเซ่าหัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า ”กลวิธีเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร เมื่อพูดต่อหน้าทั้งสองท่านช่างเป็นการดูถูกบรรพชนจริงๆ ทุกท่านได้โปรดให้โอกาสข้าน้อยได้รักษาหน้าเอาไว้ด้วยเถอะ”
ในเมื่อคนเขาไม่อยากพูด พวกเขาก็ไม่สามารถบีบบังคับได้ เผียนอี๋ฟางของเหอเซ่าไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเลยแม้แต่น้อย แต่พ่อค้าร้านเล็กๆ และเกษตรกรเหล่านั้นสมัครใจมาเก็บเงินทุกๆ สิ้นเดือน ทางการก็ไม่สามารถบังคับให้พวกเขาทำการซื้อขายในลักษณะมอบของแล้วจ่ายเงินได้เสียด้วยกระมัง
นี่คือหลักการของซุปเปอร์มาร์เก็ต อวิ๋นเยี่ยเคยพูดให้อวิ๋นเยี่ยฟังว่าเขาเองก็รู้เพียงงูๆ ปลาๆ รู้จักแต่เพียงการสร้างสถานที่ขายของอยู่บ้างโดยการให้คนอื่นเข้ามาขายของ นี่เป็นส่วนเสริมอย่างหนึ่งของการค้าเชิงพาณิชย์ของฉางอันที่ขาดหายไปในตอนนี้
ด้วยความเจ้าเล่ห์ของเหอเซ่าทางด้านการค้าที่แอบแฝงอยู่ หากไม่สอบถามเรื่องหลักการตลาดซุปเปอร์มาเก็ตให้เข้าใจชัดเจนจะไม่ยอมรามืออย่างแน่นอน
หมวกของโอรสสวรรค์ถูกหลี่ซื่อหมินนำมาสวมไว้บนศีรษะของเขาอย่างมั่นคง ใต้หล้าล้วนแล้วแต่เป็นลูกหลานของเขา หลังจากเซ่นไหว้ฟ้าดินแล้วการขัดต่อมติสวรรค์ ราชาแดนเถื่อนคนที่สิบเอ็ดแห่งหลิ่งหนานมีเจตนาร้ายจึงถูกตัดศีรษะเสียบประจาน เพื่อให้พวกต่างเผ่าที่เอาแต่วางท่าทีจะหาเงินรางวัลก้อนโตซึ่งในใจยังคิดว่าตนยังโชคดีอยู่เหล่านั้นรู้สึกหวาดเกรงอย่างที่สุด
ในช่วงต้นเดือนห้าของปีรัชศกเจินกวนที่สี่ มีบุคคลสำคัญท่านหนึ่งมาเยือนฉางอัน บนถนนทั่วเมืองฉางอันถูกล้างด้วยน้ำสะอาด ใช้ดินแดงทำถนน แม้กระทั่งสถานที่ก่อสร้างของตรอกซิ่งฮว่าฟางที่หลายวันนี้ก็เข้าสู่ช่วงสุดท้ายของการก่อสร้างแล้วยังหยุดงานหนึ่งวัน นี่เป็นการออกเดินทางอย่างเป็นทางการของโอรสสวรรค์ซึ่งไม่ได้ทำเช่นนี้มานานหลายปีแล้ว ฮ่องเต้มักพูดเสมอว่าการพลีชีพสละทรัพย์ทำไปก็เพื่อเขาแต่เพียงผู้เดียว ไม่ใช่สิ่งที่ฮ่องเต้ที่ดีสมควรทำแต่ตอนนี้กลับดำเนินการอย่างเปิดเผย ทั้งยังมีคำสั่งให้กลางคืนสามารถจัดงานครึกครื้นรื่นเริงได้ ประกาศห้ามออกจากเคหะสถานช่วงค่ำคืนให้ยืดเวลาออกไปอีกสองชั่วยาม ทำให้ชาวบ้านเมืองฉางอันอดวิพากวิจารณ์ไม่ได้ ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
โชคดีที่ไม่ได้หลงงมงายเป็นเวลานานนัก ในวังก็มีข่าวประกาศออกมาว่าผู้บัญชาการแห่งเกาโจว ฐานันดรศักดิ์ซั่งจู้กั๋วและอู่กั๋วกงเฝิงอั้งเข้าเมืองหลวงเพื่อเข้าเฝ้าฝ่าบาท ฝางเสวียนหลิงนำขุนนางหนึ่งร้อยคนไปรอต้อนรับเฝิงอั้งที่นอกเมืองสามสิบลี้ จากนั้นฮ่องเต้จะเดินเท้าออกจากวัง รอต้อนรับหลานชายของเสี่ยนฮูหยินแม่ทัพใหญ่ผู้สร้างคุณูปการที่โดดเด่นท่านหนึ่งที่ทำเพื่อประชาชนซึ่งได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์
อวิ๋นเยี่ยคิดว่าตระกูลของเฝิงอั้งได้รับการด้วยประเพณีเช่นนี้ไม่ถือว่าเกินเลย ในสมัยปลายราชวงศ์สุย แม่ทัพใหญ่ผู้องอาจกล้าหาญท่านนี้ได้ควบคุมพื้นที่ไว้สองพันลี้ซึ่งมากกว่าจ้าวถัวในสมัยราชวงศ์ฮั่นเสียอีก บางคนเกลี้ยกล่อมให้เขาถือโอกาสที่ตระกูลหลี่แห่งต้าถังยังยืนหยัดไม่นิ่งเลียนแบบจ้าวถัวตั้งตนเป็นอ๋องของประชา แต่กลับถูกแม่ทัพใหญ่ท่านนี้ที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมปฏิเสธอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ตระกูลข้าตั้งรกรากอยู่ที่หนานเย่ว์เป็นเวลาห้าชั่วอายุคนแล้ว ในฐานะที่เป็นแม่ทัพใหญ่ประจำชายแดนแห่งหลิ่งหนาน มีแต่ข้าที่มีแซ่ ลูกหลานและทรัพย์สินเงินทองข้ามีหมดแล้ว ผู้ที่มีชีวิตร่ำรวยเช่นข้านั้นมีไม่มาก ข้ามักเป็นกังวลเสมอว่าจะต้องทำเช่นไรจึงจะไม่ผิดต่อบรรพชนผู้สร้างความดีความชอบไว้ จะกล้าตั้งตนเป็นอ๋องได้อย่างไร!”
ปีแรกแห่งรัชศกเจินกวน เฝิงอั้งเคยปฏิเสธที่จะมาเมืองหลวงไปแล้วครั้งหนึ่ง พูดอย่างหงุดหงิดว่าเขารู้สึกรังเกียจกับสิ่งที่หลี่ซื่อหมินทำลงไปเป็นอย่างมาก หลี่ซื่อหมินที่อับอายและโกรธมากเตรียมที่จะส่งทหารราบแห่งเจียงหลิ่งไปบุกโจมตี แต่ถูกเว่ยเจิงห้ามปรามไว้
ความเป็นจริงได้พิสูจน์แล้วว่าเว่ยเจิงนั้นถูกต้อง เฝิงอั้งไม่ได้ก่อกบฏในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะลงมือ เหตุใดจะต้องรอให้แผ่นดินสงบสุขแล้วค่อยก่อกบฏ เพื่อให้หลี่ซื่อหมินที่เป็นคนขี้ระแวงยอมวางใจ ลูกชายคนโตของเขาเฝิงจื้อไต้จึงถูกส่งเข้ารับราชการรับใช้ฮ่องเต้ ตอนนี้อยู่ในสำนักศึกษา
เจ้าหนุ่มคนนี้หลังจากพบโกศจุฬาลัมพาซึ่งเป็นยาดีในการรักษาโรคเพื่อป้องกันโรคมาลาเรียได้ ได้รับเงินรางวัลสองก้วน ก็ป่าวประกาศคุยโม้โอ้อวดในสำนักศึกษา ทั้งยังขอให้อาจารย์หลี่กังช่วยเขียนคำสรรเสริญสี่ฮูหยินบรรพชนของเขาให้แก่เขาและขอให้ซุนซือเหมี่ยวตรวจร่างกายของบิดาเขาอีกด้วย สองท่านแรกคิดราคาเพียงครึ่งเดียวอย่างมีสติ มีเพียงอวิ๋นเยี่ยผู้ที่ถูกเชิญมาเป็นพ่อครัวปรุงอาหารเก็บเขาหนึ่งก้วนอย่างไม่ปราณี
แม่เฒ่าได้ยินชื่อเสียงของเฝิงอั้งมานานแล้ว ไม่ใช่เพราะผลงานทางการศึกของเขา แต่เป็นเพราะเขามีลูกชายสามสิบคน ตอนนี้นางอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำจึงเอาแต่จ้องมองที่ท้องของซินเย่ว์ เมื่อเห็นซินเย่ว์ยังเดินได้อย่างคล่องแคล่ว กริยาคล่องแคล่วปราดเปรียวก็ทอดถอนใจ ทำไมจึงยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
หากปลูกหัวไชเท้าแล้วก็ต้องรอให้ถึงเวลาจึงจะเก็บเกี่ยวได้ ท่านย่านั้นรออุ้มหลานจนร้อนใจแล้ว ซินเย่ว์ได้รับอิทธิพลจากอวิ๋นเยี่ยจนคุ้นเคยกับเรื่องเช่นนี้แล้ว รวมทั้งนางเองก็มีสุขภาพแข็งแรง ท่านหมอซุนก็บอกว่าเรื่องการจะมีบุตรนั้นก็อยู่ที่ช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง ไม่ต้องร้อนใจไป ดังนั้นจึงเริ่มปล่อยวาง รับอำนาจเด็ดขาดในการดูแลเรือนหลังของตระกูลอวิ๋นอย่างสุดกำลัง ปล่อยให้ท่านย่าโศกเศร้าอยู่คนเดียว
รายการอาหารที่เฝิงอั้งสั่งนั้นจัดเตรียมได้ยาก จื้อไต้บอกว่ารสชาติที่บิดาเขาชอบนั้นง่ายมาก เขากินได้ทุกอย่าง ไม่ว่าอะไรก็กล้ากิน ค่อนข้างจะมีบุคลิกของชาวหลิ่งหนานรุ่นหลังอยู่บ้าง
ปูนั้นขาดไม่ได้ เพียงแต่วิธีการกินในตอนนี้นั้นทำให้ไม่กล้าแนะนำให้จริงๆ อาหารจานหนึ่งที่มีน้ำตาลเหนียวหนืดถูกยกเข้ามา จั่งซุนชงยังถามอย่างภูมิใจว่าไม่เคยกินสิ่งนี้หรือ เมื่อเห็นสายตาที่เยาะเย้ยของอวิ๋นเยี่ย จึงได้แต่เก็บอาการโอ้อวดอย่างหน้าแตก
หากได้กินสักมื้อแล้วจะไม่มีวันลืมมันเลย ไม่มีอะไร ก็เพียงแค่กินน้ำตาลเท่านั้นเอง รสชาติความสดของปูไม่ได้ลิ้มรสเลยแม้แต่น้อย เหมือนกินแต่เพียงน้ำตาลอย่างเดียว
ปูนึ่งกินพร้อมขิงและเหล้าก็ดีมากมายแล้ว ภายใต้คำร้องขออย่างดึงดันของจื้อไต้ว่าหมูสามชั้นตุ๋นซอสแดงห้ามขาด ลูกชิ้นปลาห้ามขาด ซี่โครงหมูหวานห้ามขาด ไก่ย่างยากจกอย่างน้อยก็ต้องทำสองตัว ท่านพ่อเป็นคนกินเก่ง แต่ละมื้อจะกินข้าวหกกิโลกรัม
เรื่องอื่นยังพอคุยกันได้ แต่เรื่องอาหารหนึ่งมื้อกินข้าวหกกิโลกรัมที่ฟังดูเกินจริงนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยหงุดหงิดมาก เหล่มองจื้อไต้ให้เขาพูดให้ชัดเจน กระเพาะอาหารของพ่อเจ้าใหญ่เพียงไหน จะเอาหกกิโลกรัมหรือ หนึ่งกิโลกรัมก็เพียงพอให้พ่อเจ้ากินแล้ว เกลียดคำคุณศัพท์ที่พวกเขาชอบใช้ที่สุดเลย อย่าว่าแต่ไม่ถูกต้องและบางครั้งทำให้เกิดความกำกวมอีก
ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข...
ตอนที่ 3 งานเลี้ยงของเฝิงอั้ง
หลี่ซื่อหมินกับเฝิงอั้งสองนายบ่าวเข้ากันได้ดีมาก ทั้งสองเดินจูงมือกันตั้งแต่นอกวังจนกลับมาถึงตำหนักไท่จี๋ การสนทนาระหว่างนายบ่าวได้ดำเนินตั้งแต่บ่ายต่อเนื่องจนถึงพลบค่ำ ซึ่งเหตุการณ์นี้ถือว่าหาได้ยากมากสำหรับหลี่ซื่อหมินผู้ซึ่งจัดการทุกเรื่องอย่างมีระเบียบแบบแผน
หลังจากสิ้นสุดการสนทนาก็มีพระราชโองการลงมาสามฉบับ ราชโองการแรกนั้นได้ให้เฝิงอั้งได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากอู๋กั๋วเซี่ยนกงเป็นเย่ว์กั๋วจวิ้นกง ดูแลแปดร้อยครัวเรือนพร้อมทั้งจัดเก็บภาษี ให้สิทธิในการเข้ารับราชการสองรุ่น ราชโองการที่สองคือมีพระบรมราชานุญาตให้ดำเนินการกวาดล้างชาวเผ่าเหลียวที่กระจัดกระจายได้แล้วทำให้เกิดการปกครองที่เป็นระเบียบ ราชโองการที่สามคือองค์หญิงหลี่อันหลานได้รับแต่งตั้งเป็นองค์หญิงโซ่วหยาง เนื่องจากได้มีการกำหนดการอภิเษกกับเหลียวอ๋องเหมิงฉาอยู่ก่อน ต่อมาเหมิงฉาคิดลอบทำร้าย การอภิเษกยังคงมีผลอยู่ นางจะต้องไปยังดินแดนแห่งเหลียวเพื่อปลอบขวัญประชาชน จากนั้นจึงค่อยคัดเลือกท่านอ๋องแห่งเหลียวจากทายาทที่ใกล้ชิดยกให้เป็นท่านอ๋องแห่งเหลียวเพื่อจัดการดูแลชาวเผ่านอกด่านให้มีกรอบระเบียบและทำให้พวกเขายอมศิโรราบ
เมื่ออวิ๋นเยี่ยได้ยินพระราชโองการก็ใจหายวูบไปไม่น้อย หลี่ซื่อหมินจอมโหด สังหารกษัตริย์เขาและยึดดินเขา ตอนนี้ยังต้องการปลอบใจประชาชนของเขา จึงใช้ผลประโยชน์อันน้อยนิดที่เหลืออยู่ของหลี่อันหลานให้เกิดประโยชน์ที่สุด
นั่งเอนศีรษะพิงเสาของตำหนักจิ่นเต๋อโดยไม่พูดอะไรสักคำ พ่อลูกคู่นี้คนหนึ่งเพื่อประเทศชาติใจแข็งดั่งเหล็ก อีกคนหนึ่งด้วยความปรารถนาในอำนาจ แปรเปลี่ยนไปตามเหตุการณ์ ราวกับว่าตอนจบเช่นนี้เป็นการลงเอยที่น่าปีติยินดี ทุกฝ่ายต่างได้ในสิ่งที่ต้องการ ไม่ผิดต่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ได้รับความเสมอภาคที่สมบูรณ์แบบ หลี่ซื่อหมินได้พบบุคคลที่เหมาะสมที่สุดที่จะปลอบขวัญชาวเผ่าเหลียว หลี่อันหลานได้อำนาจอย่างที่นางหวังเอาไว้ พรมแดนทางใต้แปดร้อยลี้ซึ่งมากพอที่จะให้นางได้คึกคักกระโดดโลดเต้นจนพอใจไปชั่วชีวิต
ปูได้ถูกนึ่งเสร็จแล้ว เหล่าพ่อครัวได้เลือกตัวอวบอ้วนมาเต็มตะกร้า อวิ๋นเยี่ยตั้งใจดองขิงในน้ำส้มสายชูด้วยตนเองแล้วเทใส่ชามกระเบื้องเคลือบ จากนั้นรบกวนให้หลานหลิงส่งไปให้หลี่อันหลาน หลานหลิงที่อายุแปดขวบกินจนคราบน้ำมันไหลเยิ้มเต็มปาก กัดก้ามปูเสียงดังกร๊อบแกร๊บ ถือตะกร้าเดินไปแต่กลับบ่นว่าอวิ๋นเยี่ยนั้นตระหนี่ที่ให้ปูนางกินแค่สองตัว ปูนี้เป็นสัตว์ที่มีธาตุเย็นสูง หลานหลิงนั้นเป็นสาวน้อยที่ปอดและหัวใจค่อนข้างอ่อนแอ จะให้กินเยอะๆ ได้อย่างไร
หลังจากได้รับคำสัญญาว่าจะได้ไก่ย่างยาจกหนึ่งตัวแล้ว จึงยอมที่จะไปเรือนเล็กของหลี่อันหลานด้วยความไปเต็มใจอย่างที่สุด มองหลานหลิงที่เดินไกลออกไป อวิ๋นเยี่ยก็โกรธจัดไล่พ่อครัวทั้งหมดที่อยู่ในครัวออกไป ตนเองถือมีดสับซี่โครงหมูอย่างบ้าคลั่ง ซี่โครงหมูของหมูทั้งตัวถูกเขาสับจนเละไม่เป็นชิ้นดี หายใจหอบเหนื่อยแล้วโยนมีดทำครัวไว้ข้างๆ เอามือกุมท้องนั่งหอบ
“ในเมื่อเจ้าชอบนาง ตอนแรกก็ควรจะหาทางขอนางมา เจ้ารู้ไหม ข้าและฝ่าบาทต่างก็รอให้เข้ามาสู่ขอ เจ้านอกจากจะไม่มาแล้วยังจะหลบไปให้ไกลด้วย ในเมื่อเจ้าไม่ชอบ เช่นนั้นฝ่าบาทจะยกนางให้ใครเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย ตอนนี้จะมาระบายอารมณ์อันไร้ค่าเช่นนี้ไปทำไมกัน”
แม้ไม่หันกลับไปก็รู้ว่าเป็นจั่งซุน จึงเบี่ยงหน้ากลับมาและพูดว่า “เด็กผู้หญิงคนหนึ่งถูกส่งไปยังดินแดนแห่งความป่าเถื่อน ไม่รู้ว่านางจะมีชีวิตรอดได้หรือไม่ ทั้งยังต้องแบกรับภาระการปลอบขวัญชาวเผ่าเหลียวอีก นางจะเอาชนะได้อย่างนั้นหรือ”
“เพียงแค่ดูก็รู้แล้วว่าเจ้าเป็นพวกไม่รักความก้าวหน้า นี่เป็นหน้าที่ที่ยอดเยี่ยม ราชาแห่งแปดร้อยลี้เชียวนะ ในสมัยโบราณการแต่งตั้งเจ้าแคว้นก็เป็นเช่นนี้ มีคนมากมายเท่าไรที่โขกศีรษะจนแตกก็ยังไม่ได้ทำหน้าที่นี้ มีเพียงเจ้าที่เป็นคนแรกเท่าที่อยากจะไปดินแดนแห่งความป่าเถื่อน เมื่อสมัยที่บรรพบุรุษเราบุกเบิกดินแดนมีที่ใดกันบ้างที่ไม่ใช่แดนแห่งความป่าเถื่อน ไม่ใช่ว่าต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อหรอกหรือจึงจะมีแผ่นดินที่งดงามในวันนี้ อันหลานเป็นองค์หญิงแห่งราชวงศ์ ชะตากำหนดไว้แล้วว่าให้นางต้องร่างแหลกสลายเพื่อราชวงศ์ถัง อย่าคิดว่าเด็กๆ ในวังควรแล้วที่จะได้เสพสุขกับความมั่งคั่งมั่งมี ภายหน้าพวกเขาเองก็ต้องจ่ายค่าชดเชยออกไปเช่นกัน เจ้ามองอันหลานผิดไป เกรงว่าตอนนี้นางคงหัวเราะเสียงดังอย่างภาคภูมิใจมากกว่าที่จะร้องไห้ ตอนนี้ปูของเจ้าส่งไปให้นางก็พอเหมาะพอดีจะได้นำมาแกล้มเหล้า”
คำพูดที่ยาวไม่ขาดสายทำให้อวิ๋นเยี่ยถึงกับเป็นใบ้ไร้คำพูด ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ตอนนี้หลี่อันหลานกำลังฉลองอยู่แต่ไม่ได้ร้องไห้ คนในราชวงศ์ล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์ประหลาดรวมถึงจั่งซุนด้วย พวกเขามองเหตุการณ์แต่ไม่ได้มองมิตรภาพ ดูผลลัพธ์ที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมา ศัตรูที่สามารถสังหารได้ในดาบเดียวก็จะไม่ลงสองดาบอย่างแน่นอน เมื่ออยู่ต่อหน้าอำนาจแล้ว ไม่ว่าเรื่องอื่นใดก็สามารถละทิ้งได้ หรือบางทีอาจจะเป็นตนเองที่คิดผิดไป หลี่ซื่อหมินไม่ลงโทษหลี่อันหลาน แต่กำลังชดเชยให้นางกัน ขอเพียงมีเฝิงอั้งอยู่ การเดินทางไปหลิ่งหนานของหลี่อันหลานจะไม่เกิดปัญหาแม้แต่น้อย เมื่อหลี่อันหลานเข้าพักกับชาวเผ่าเหลียว เฝิงอั้งจะต้องทำให้ชาวเผ่าเหลียวยอมศิโรราบอย่างหมอบราบคาบแก้วแน่นอน ทำให้พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะผายลม
“ว่าอย่างไร ปลงตกแล้วหรือ หากในใจยังปล่อยวางไม่ได้ก็ช่วยหาหนทางให้นางได้ร่ำรวยมากขึ้นหน่อย เพื่อที่นางจะได้ไม่ต้องไปทนทุกข์ที่นั่น เจ้าเคยคิดหาวิธีสร้างผลงานให้นางสักสามปี แต่ลูกสาวข้ายังไม่แต่งงานก็ต้องเป็นหม้ายเสียแล้ว คิดแล้วก็ช่างน่าสงสารนัก ในฐานะที่เป็นสหายเก่า หากไม่ใช่เจ้าทุ่มเทช่วยแล้วยังจะเป็นใครได้อีก”
อวิ๋นเยี่ยหันขวับกลับมาทันทีแล้วเหล่มองฮองเฮาซึ่งรู้สึกน่าแปลกใจมาก คำพูดที่ฟังดูอบอุ่นเช่นนี้ราวกับว่าอวิ๋นเยี่ยและหลี่อันหลานเคยมีความสัมพันธ์ต่อกันซึ่งไม่เหมือนกับวิธีการจัดการปัญหาของฮองเฮาเลย
“อวิ๋นเยี่ย ตอนนี้การสนทนาระหว่างสองนายบ่าวของฝ่าบาทกับเย่ว์กั๋วกงกำลังจะจบลงแล้ว เจ้าปรุงอาหารเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ในเมื่อรับเงินหนึ่งก้วนของจื้อไต้แล้วก็สมควรจะทำงานให้เรียบร้อยจึงจะถูก เพื่ออาหารหนึ่งมื้อของเจ้าแล้วจื้อไต้ถึงกับนำจุดยืนของตระกูลเฝิงในแดนหลิ่งหนานออกมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินสองก้วน เพื่อขอให้เจ้าทำอาหารสักหนึ่งมื้อจะไม่ได้เชียวหรือ นอกจากนี้ผู้ที่ทานอาหารนี้ก็คือฮ่องเต้และเย่ว์กั๋วกง ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้เจ้าเสียฐานะเสียหน่อย”
จั่งซุนมองอวิ๋นเยี่ยด้วยดวงตาที่ไร้เดียงสาคู่นั้นราวกับว่านางไม่ได้พูดคำพูดเหล่านี้มาก่อน การจะให้ฮองเฮาพูดคำเหล่านั้นโดยเฉพาะจั่งซุนด้วยแล้วมันง่ายเสียที่ไหนกัน ต้องขอบคุณสินะ ฮ่องเต้และกั๋วกงถกงานราชการกันอย่างเป็นทางการ ฮองเฮาที่ท้องโตจึงไม่สะดวกที่จะปรากฏตัว ไม่กล้านำปูให้คนมีครรภ์กิน แต่ดูเหมือนเนื้อมันๆ ชามใหญ่นี้จะถูกปากนางมาก เพราะนึ่งจนสุกได้ที่และเนื้อนุ่ม รสชาติอร่อยสุดจะกล่าว คราวก่อนก็เพิ่งพบว่านางชอบหมูสามชั้นพะโล้ราดผักบางทีอาจเป็นเพราะการตั้งครรภ์จึงทำให้เจริญอาหาร เพราะนำมาห่อแป้งซาลาเปารูปใบบัวทานไปหลายชิ้น
หากฮองเฮาบอกกับพ่อครัวหลวงว่าต้องการก้อนน้ำมันหมูคงจะต้องทำให้พ่อครัวตกใจตายเป็นแน่ ผู้เดียวที่สามารถให้ความสะดวกได้คืออวิ๋นเยี่ย ภายใต้แววตาที่ให้กำลังใจของจั่งซุน อวิ๋นเยี่ยหยิบชามหมูสามชั้นพะโล้ราดผักชามใหญ่ออกจากลังถึงมาหนึ่งชามและอีกจานหนึ่งเป็นรากบัวไส้ข้าวเหนียวจากนั้นนำใส่ไว้ในกล่องอาหารแล้วใส่แป้งซาลาเปารูปใบบัวเข้าไปอีกจำนวนมาก จึงยอมหยุดมือ นางกำนัลคนสนิทของจั่งซุนถือกล่องอาหารไว้ในมือด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึกแล้วพยุงจั่งซุนเดินออกไปอย่างอุ้ยอ้าย
เรื่องราวของงานเลี้ยงหงเหมินเอี้ยนทำให้จื้อไต้ประหวั่นพรั่นพรึง เขาไม่เสียดายเลยที่จะแลกเปลี่ยนสูตรลับของบรรพชนเพื่อแลกกับอาหารที่ปลอดภัยมื้อหนึ่งให้บิดาของเขา ในความเห็นของเขานี่เป็นวิธีที่คุ้มค่ามากนอกจากนี้ยังหาข้ออ้างที่ทำให้อวิ๋นเยี่ยปฏิเสธไม่ได้อีกเรื่องหนึ่งนั่นก็คือเงินรางวัลของสำนักศึกษา การใช้เงินสองก้วนนั้น อวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่าเขาถูกหลอกใช้ แต่ก็ไม่ได้โกรธอะไร เพราะทุกอย่างทำตามกฎกติกาของอวิ๋นเยี่ย
ผู้คนอายุสามสิบกว่าแล้วก็ยังคงมาสมัครเรียนในสำนักศึกษา ในตอนนั้นก็รู้สึกประหลาดใจมาก มารับการศึกษา ช่างเป็นการกระทำอันสูงส่ง ดังที่นักปราชญ์กล่าวไว้ “เช้าได้ฟังคำจนเข้าใจ แม้ต้องตายยามตกเย็นก็คุ้มค่าแล้ว” ใครจะรู้ว่าเขามาเพราะมีเป้าหมายแอบแฝง ยืนลูบหนวดมาขอเข้าเรียนพร้อมกันกับกลุ่มนักเรียนวัยเยาว์โดยไม่ได้รู้สึกเขินอายแม้แต่น้อย มาพักที่สำนักศึกษาเพียงครั้งเดียวก็นานเป็นเวลาสามเดือน จิตใจที่ใฝ่เรียนรู้ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนหนุ่มสาว ติดตามซุนซือเหมี่ยวขึ้นเขาเพื่อไปเก็บยา ทั้งยังตั้งใจอย่างยิ่ง แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยวางท่าทีลูกหลานคนมีฐานะเลยและค้นพบโดยบังเอิญว่าโกฐจุฬาลัมพาสามารถรักษาไข้มาลาเรียได้ ทำให้ซุนซือเหมี่ยวตกใจนึกว่าเป็นเทวดา ในการประชุมสำนักศึกษาได้พยายามช่วยให้จื้อไต้ได้รับเงินรางวัลสองก้วนอย่างเต็มที่ สำหรับที่ว่าจื้อไต้จะนำเงินสองก้วนนี้ไปทำอะไรนั้น เหล่าซุนก็ไม่ได้สนใจอยากจะถาม ในสายตาเขาไม่มีอะไรสำคัญไปกว่ายาดีที่สามารถรักษาโรคมาลาเรียได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกแล้ว
หลังจากได้รับคำสัญญาจากอวิ๋นเยี่ย จื้อไต้ก็ไปร้องขอพระบรมราชานุญาตต่อฝ่าบาทอีกครั้งโดยกล่าวว่าอาหารที่จะเลี้ยงต้อนรับบิดาของเขาขอให้อวิ๋นเยี่ยเป็นผู้ปรุง เพื่อให้บิดาของเขารู้สึกได้ถึงความกตัญญูกตเวทีของเขา
ความกตัญญูคือหลักธรรมอันยิ่งใหญ่ หลี่ซื่อหมินไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธจึงหัวเราะฮ่าๆ และรับปาก เพียงแต่เรียกอวิ๋นเยี่ยมาที่ตำหนักหลังเพื่อต่อว่าดุด่าสั่งสอนยกใหญ่ ทั้งยังบอกว่าเขาไม่มีสมอง ทำไมปล่อยให้ใครๆ ก็สามารถจับเขามาหลอกใช้ประโยชน์ได้ หากต่อไปยังกล้าตัดสินใจโดยไม่คิดเอาเองอีกจะตีขาให้หัก
เกลียดการพูดคุยกับหลี่ซื่อหมินเป็นที่สุด ก่อนหน้านี้ยังเคยมีความคิดที่จะอธิบายเหตุผลกับเขา คิดว่าจะค่อยๆ เปลี่ยนความคิดที่ตายด้านของหลี่ซื่อหมินเพื่อสร้างเป็นประโยชน์ต่อผู้คนทั่วหล้า ไม่ทำให้ต้าถังเดินผิดลู่ทาง ใครจะรู้ว่าตอนนี้เกือบจะถูกเขาหลอมรวมเข้าด้วยกันอยู่แล้ว ตลอดวันพยายามที่จะสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับตระกูล ทั้งยังทำโดยไม่ได้รู้สึกผิดต่อสิ่งที่ทำหรือเสียใจเลย
คำพูดลอยๆ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ หากพูดหนึ่งพันครั้งมันจะดีกว่าด้วยการลงมือทำเรื่องอะไรสักเรื่องด้วยตนเอง ระบบของต้าถังในสายตาของหลี่ซื่อหมินนายบ่าวนั้นเป็นสิ่งที่ดีงามพร้อมไร้ที่ติ ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงมากนัก เขาถึงกับเริ่มข้อกำหนดที่เรียกว่า “แบบอย่างจักรพรรดิ” ซึ่งเร็วกว่าในบันทึกประวัติศาสตร์นานหลายปี เขาต้องการมองหาแบบอย่างของการเป็นจักรพรรดิสักหนึ่งชุดผ่านประสบการณ์ของตนเองและจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล อวิ๋นเยี่ยเรียกโดยรวมว่าระบบ ISO9000 ซึ่งการหลงในตัวเองได้ถึงเพียงนี้นั้นกล่าวได้ว่าแต่โบราณมาไม่เคยมีมาก่อนและต่อไปก็คงไม่มี
การเป็นฮ่องเต้จำเป็นจะต้องก้าวให้ทันกับเวลาไม่ใช่ยึดมั่นในกฎไม่ยอมเปลี่ยน สิ่งต่างๆ นั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ระบบของราชสำนักเองก็เช่นกัน หากฮ่องเต้ในยุคต่อๆ มาต่างก็เหมือนเขาทุกอย่าง อวิ๋นเยี่ยสามารถสรุปให้เลยได้ว่าราชวงศ์ถังจะเจริญได้ไม่นาน
ภาชนะที่ใช้ใส่ผักล้วนเป็นเครื่องเงินทั้งหมด เมื่อเจิดจรัสถึงขีดสุดกลับจะให้ความรู้สึกที่มืดมนเล็กน้อย เมื่อเห็นพวกพ่อครัวตกแต่งจานข้าวด้วยวัตถุดิบต่างๆ ก็มีความรู้สึกว่าได้ย้อนเวลากลับไปในอนาคต เหล่าพ่อครัวยังได้ทำอาหารจานหนึ่ง แต่อาหารจานนั้นอวิ๋นเยี่ยยังทำไม่เป็น ที่เรียกว่า “ห่านน้อยรมควันในกระเพาะแพะ” อะไรนั่น นี่เป็นอาหารที่ฮ่องเต้ใช้ต้อนรับแขกคนสำคัญที่ขาดไม่ได้อย่างหนึ่ง
แกะถูกย่างจนเป็นสีเหลืองอร่าม มีน้ำมันไหลหยดลงมาอยู่ตลอดเวลา โรยพริกไทยหลายๆ กำมือก็ไม่รู้ว่าจะยังกินได้หรือไม่ พริกไทยที่โรยจนหนาได้ห่อหุ้มเนื้อแกะไว้จนมองไม่เห็นเนื้อ กลิ่นเผ็ดร้อนทำให้ผู้ที่สูดกลิ่นหายใจลำบาก ซึ่งอวิ๋นเยี่ยไม่ใส่ใจในเรื่องนี้เพราะนี่เป็นคำสั่งที่ฮองเฮาทรงกำชับไว้เป็นพิเศษ
เฝิงอั้งที่อยู่ในวัยห้าสิบกว่านั่งอยู่ที่นั่นเสมือนภูเขา รูปลักษณ์ใบหน้าสีดำคล้ำที่สืบทอดกันมาของชาวหลิงหนานส่องประกายแสงสีแดง หัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุขกับหลี่ซื่อหมินเป็นครั้งคราว ด้านข้างมีฝางเสวียนหลิงนั่งเป็นเพื่อน จื้อไต้เองก็ยิ้มเบิกบาน บรรยากาศสนิทชิดเชื้อ นายบ่าวเข้ากันได้อย่างดี
อวิ๋นเยี่ยเดินเข้ามาด้านหลังตามมาด้วยนางกำนัลแถวยาวเหยียด แต่ละคนถือถาดเงินขนาดใหญ่เดินเข้ามาไม่ขาดตอน หลี่ซื่อหมินเป็นคนใจกว้าง ในเมื่ออวิ๋นเยี่ยชอบจุ้นจ้านเรื่องชาวบ้าน เช่นนั้นก็ทำงานเช่นเดียวกับขันทีด้วยเสียแล้วกันเพื่อที่จะให้เขาติดหนี้น้ำใจอย่างเต็มที่ ภาพบรรยากาศสถานการณ์เช่นนี้จะทำให้เฝิงอั้งจดจำไปตลอดชีวิต อย่างไรเสียผู้ที่ได้รับผลประโยชน์คือหลี่อันหลาน แต่ผู้ที่ติดหนี้น้ำใจนี้คืออวิ๋นเยี่ย ดีกว่าการเจตนาสร้างบุญคุณมากมายนัก
ทันทีที่อวิ๋นเยี่ยซึ่งหน้าบูดบึ้งเดินเข้ามา ฝางเสวียนหลิงก็หัวเราะฮ่าๆ “วันนี้ได้พึ่งใบบุญของเย่ว์กง ในที่สุด สวียนหลิงก็สามารถได้ลิ้มรสรสชาติอาหารที่ดีที่สุดในใต้หล้า น้ำใจของหลานชายที่เพื่อให้บิดาได้ทานอาหารเลิศรสจึงพยายามทุ่มเทสุดกำลังเพื่อให้ได้เงินรางวัลของสำนักศึกษา หายากยิ่งนัก เย่ว์กงช่างมีวาสนายิ่งนัก”
ฮ่องเต้ตรัสก่อนที่เฝิงอั้งจะเอ่ยวาจาว่าเด็กคนนี้เก่งเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษ ซึ่งก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่ง อาหารเลิศรสที่เขาปรุงเราเองก็ได้กินไม่กี่ครั้ง หากไม่ใช่เพราะจื้อไต้บีบจนเขาจนมุม ไร้แรงต่อต้านก็ไม่แน่ว่าเฝิงชิงจะได้กินอาหารมื้อนี้”
เฝิงอั้งรีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วและพูดกับอวิ๋นเยี่ย “เจ้าลูกไม่เอาไหนทำเรื่องไร้สาระ ขออวิ๋นโหวอย่าได้ถือโทษ หากจะตำหนิก็ตำหนิตาเฒ่าที่ตะกละเช่นข้าเถิด หนี้น้ำใจนี้ขอให้เฝิงอั้งได้มีโอกาสชดเชยในวันหน้า”
อวิ๋นเยี่ยถวายการคำนับหลี่ซื่อหมินแล้วจึงพูดกับเฝิงอั้งว่า “บุตรชายของท่านเฝิงจื้อไต้ ได้ศึกษาอย่างหนักและทำการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ ดังนั้นเขาจึงได้รับรางวัลจากสำนักศึกษาในภาคการศึกษานี้ สำนักศึกษาเคยมีประกาศไว้ เงินสองก้วนนี้สามารถขอให้อาจารย์ท่านหนึ่งทำภารกิจให้หนึ่งอย่าง อวิ๋นเยี่ยเองก็เป็นอาจารย์ท่านหนึ่งจึงต้องรักษาและปฏิบัติตามกฎเป็นธรรมดา ขอเย่ว์กงอย่าได้กล่าวถึงหนี้น้ำใจอะไรเลย รังแต่จะทำให้ข้าน้อยวางตัวลำบาก หากเกิดความโลภขึ้นเมื่อใดแล้วตามไปขอความช่วยเหลือ หวังว่าท่านจะไม่รังเกียจว่าวุ่นวายจึงจะถูก”
หลี่ซื่อหมินรู้สึกพึงพอใจอย่างมากกับคำพูดประโยคนี้ของอวิ๋นเยี่ย จึงหัวเราะเสียงดัง ฝางเสวียนหลิงก็หัวเราะเสียงดังตาม มีเพียงเสียงหัวเราะของเฝิงอั้งที่ดังกึกก้องที่สุดราวกับจะดังทะลุหลังคา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น