ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 599-600
ตอนที่ 599 พี่สาวผู้งามล้ำเลิศ
ตู๋กูเจวี๋ยยังไม่ทันได้มองให้ชัดเจน ซูเยาก็ทุบลงมาบนหลังของเขาครั้งหนึ่ง
“ชือหลงชือหลีที่ไหนกัน นี่คือพี่สาวของข้า”
ตู๋กูเจวี๋ยถูกเขาทุบปั้กจนได้สติขึ้นมา ดวงตาที่งุนงงครู่นั้นเปลี่ยนเป็นแจ่มใสขึ้นไม่น้อย
เขาได้แต่จดจ้องไปยังใบหน้าที่หันมาเพียงครึ่งหนึ่งบนเตียง
ทันทีที่มองเห็นชัดเจน ตู๋กูเจวี๋ยก็ต้องสูดลมหายใจเข้าไปอย่างเหน็บหนาว
เขาได้เฝ้ามองน้องเล็กของตนเองเติบโตมาโดยตลอด ตั้งแต่เขาเล็กจนโตก็ไม่เคยได้เห็นสตรีใดที่งดงามเกินน้องเล็กมาก่อนเลย
แต่ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหน้านี้ เพียงแค่ได้มองดูเสี้ยวหน้า ก็รู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายถูกควักหัวใจออกไปจนว่างเปล่า
ความงามของนาง ไม่เหมือนกับน้องเล็ก
สตรีที่อยู่บนเตียงผู้นี้เย้ายวนไปจนถึงในกระดูก นางเพียงแค่เหลือบตามองท่านแวบหนึ่ง ก็สามารถทำให้คนอยากจะคว้าเอาทุกสิ่งที่ดีที่สุดในโลกหล้ามาประคองใส่สองมือส่งให้นางแล้ว
ชนิดที่เรียกว่าอยากจะคุกเข่าลงไป…..อยู่บนพื้น!
คนอย่างตู๋กูเจวี๋ยที่วันๆถูกความงามของน้องเล็กล้างสมองอยู่เสมอ ยังอดที่จะมีปฏิกริยาขึ้นมาไม่ได้ แสดงให้เห็นว่าแรงดึงดูดของสตรีผู้นี้มีอยู่มากมายเพียงใด
เห็นเขาจ้องเอาแทบเป็นแทบตาย ซูเยาก็รีบมาบดบังสายตาของเขาเอาไว้ “อย่าได้มองมั่วซั่ว พี่สาวไม่ชอบคนต่างเผ่า”
ไอ้หนุ่มนี่ โดนพิษจนเกือบจะตายอยู่แล้ว แต่กลับมองดูพี่สาวของเขาจนน้ำลายจะหกแล้ว
ช่างกล้าดียิ่งนัก!
แต่ก็ควรอยู่ ความงามของพี่สาวนั้นไร้ที่เปรียบ คนทั่วไปไม่อาจต้านทาน
จากนั้น ซูเยาค่อยหันไปมองสตรีที่อยู่บนฟูกอ่อน คลี่ยิ้มออกมาครั้งหนึ่ง “อาเจ้ วันนี้ท่านตื่นเร็วจริง”
สตรีผู้นั้นเหลือบตาดูเขาแวบหนึ่ง ก็หันไปมองดูตู๋กูเจวี๋ยที่ถูกเขาแบกเอาไว้บนหลังอย่างลวกๆอีกครั้ง
จากนั้นก็ค่อยๆลุกขึ้นมานั่งอย่างช้าๆ เส้นผมของนางงดงามดุจบัวแดงที่มีประกายสีทองแตะแต้มอย่างจางๆ
พอนางลุกขึ้นมา เส้นผมก็ขยับพลิ้วราวเริงระบำ
หากจะบอกว่านางยั่วยวนวิญญาณผู้คน แต่ว่าดวงตาทั้งสองข้างกลับใสกระจ่างอย่างยิ่ง ราวขุนเขาเขียวขจีและท้องทะเลหลังพายุฝนพัดผ่าน ทำให้คนอดที่จะหลงใหลไม่ได้
“นำอาหารกลับมาแล้วหรือ?” นิ้วมือที่ละเอียดนวลขยับอยู่ตรงริมใบหูทัดเส้นผมที่พลิ้วอยู่เอาไว้หลังใบหู
คนงดงามก็แล้วไปเถอะ แต่ว่ากระทั่งน้ำเสียงก็ยังไพเราะไปจนถึงกระดูก
สายตาของตู๋กูเจวี๋ยถูกบดบังไปแล้ว แต่ว่าแค่ได้ยินน้ำเสียงเขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายกำลังจะละลาย
ผู้คนต่างบอกว่า จิ้งจอกรู้จักยั่วยวนผู้คนอย่างที่สุด เขาก็พึ่งจะรู้ว่าซูเยาเป็นจิ้งจอกตัวหนึ่ง ในระหว่างทางที่มานี้เอง
ซูเยาเคยเป็นถึงกุ้ยเฟยของจีเฉวียน ตอนนั้นเขาได้ชื่อว่าเป็นโฉมงามอันดับสองแห่งต้าโจว งดงามจนสะกดผู้คนทั้งมวล
แต่ว่าประเด็นสำคัญที่มันน่าเจ็บใจก็คือเขาเป็นจิ้งจอกตัวผู้ตัวหนึ่ง!
พอได้รู้ว่าเขาเป็นปีศาจจิ้งจอก ตู๋กูเจวี๋ยก็รู้สึกว่าที่ตอนนั้นเขาได้ตำแหน่งเป็นโฉมงามอันดับสองแห่งต้าโจวก็นับว่าเป็นเรื่องธรรมดา
แต่กลับคิดไม่ถึงว่า ที่บ้านของเขายังมีพี่สาวที่งดงามล้ำเลิศอีกคนหนึ่ง
เนื่องเพราะน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วช่างไพเราะเหลือเกิน เขาเพลิดเพลินจนแทบจะหลงลืมไปแล้วว่าพี่สาวจิ้งจอกกำลังพูดถึงอะไรอยู่
ซูเยาส่ายศีรษะไปมาในทันที “อาเจ้ เจ้าของเล่นชิ้นนี้ไม่น่ากินหรอก….พึ่งจะโดนพิษมา พิษยังค้างคาอยู่เลย หากท่านกินเข้าไปแล้วเกิดเลือดออกเจ็ดทวาร นั่นจะไม่คุ้มเอา”
พี่สาวจิ้งจอกหัวเราะออกมาคำหนึ่ง น้ำเสียงเย็นชาอย่างยิ่ง
“เช่นนั้นก็ควักเอาหัวใจออกมา แช่เอาไว้ในสระน้ำใสสักสี่สิบเก้าวัน แล้วถลกหนังออกมา ทำเป็นพัดหนังมนุษย์ให้กับข้า”
ถึงแม้ว่าเรื่องที่พูดออกมาจะโหดเ**้ยม แต่ว่าน้ำเสียงของนางกลับน่าฟังดูเทพธิดา
“อ้อ หน้าตาก็นับว่าโดดเด่นอยู่บ้าง เนื้อและกระดูกเอามาบดละเอียด ทำเป็นปุ๋ยเอาไว้ราดรดบุปผาวิญญาณก็แล้วกัน”
ตู๋กูเจวี๋ยฟังอยู่ครึ่งค่อยวัน ถึงได้ฟังออกว่านางคิดจะเขมือบเขา?
ซูเยาถึงกลับหลั่งเหงื่อเย็นๆออกมาท่วมศีรษะ รอยยิ้มบนใบหน้าก็รักษาเอาไว้ไม่อยู่แล้ว
เขายังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้ยินพี่สาวจิ้งจอกเอ่ยว่า “เจ้าฉวยโอกาสนำบุปผาวิญญาณออกไป แต่จับหนุ่มน้อยที่งดงามกลับมาผู้หนึ่ง ถือว่าเจ้าทำความดีชดใช้ความผิด ครั้งนี้ ข้าจะไม่ลงโทษเจ้าก็แล้วกัน”
ว่าแล้ว พี่สาวจิ้งจอกก็ผุดลุกขึ้นยืน นางสวมใส่รองเท้าแก้วสีแดงคู่หนึ่ง รองเท้าสูงอย่างยิ่ง
เรือนร่างที่เดิมทีก็สูงโปร่งพออยู่บนรองเท้าก็ยิ่งดูสูงขึ้น ดูไปแล้วความสูงแทบจะไม่ต่างจากซูเยา
รูปร่างของนางดีอย่างยิ่ง อกเอวล้วนมีครบ ไม่ใช่หญิงงามที่แห้งแกรนมีแต่กระดูก ตลอดทั่วทั้งร่างให้ความรู้สึกว่ามีผิวพรรณชุ่มฉ่ำนุ่มเด้งที่สวยงาม
ดวงหน้าที่เย้ายวนหัวใจผู้คนนั้น ก็มีเนื้ออวบอิ่มเช่นกัน
เพียงแต่ว่างดงามมาก งดงามน่าดูอย่างที่สุด!
นางเดิมมาหาซูเยาทีละก้าว ปลายนิ้วก็ลูบลงไปบนใบหน้าของตู๋กูเจวี๋ยเบาๆ ใช้เล็บสีแดงเลือดนั่นข่วนลงไปบนใบหน้าของเขารอยหนึ่ง
“อืม ผิวพรรณไม่เลว หากเอามาทำเป็นพัดต้องสวยงามมากแน่ๆ”
ตู๋กูเจวี๋ยถูกนางลูบไล้ไปครั้งหนึ่งก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว
เขาอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านขึ้นมา ได้แต่ฝืนประคองลมหายใจเอ่ยว่า “ที่นี่หิมะไม่ละลาย คงไม่จำเป็นจะต้องใช้พัดกระมั้ง….”
หากว่าเขาไม่ได้ถูกพิษ ตอนนี้จะต้องลุกขึ้นมายกเหตุผลทั้งหลายมาเกลี้ยกล่อมนางอย่างแน่นอนว่า การใช้หนังมนุษย์ทำเป็นพัดนั้นเป็นเรื่องที่แย่เพียงไร
มิว่าอย่างไรจะต้องทำให้นางล้มเลิกความคิดที่น่ากลัวเช่นนั้นให้จงได้
“หุบปากเสียเถอะ” ซูเยาที่อยู่ด้านข้างอดจะคว้าปากของเขาเอาไว้ไม่ได้
ตนไม่ควรจะพาเขาเข้ามาทางประตูใหญ่เลย ใครจะไปรู้ว่าจะต้องมาเจอพี่สาวตื่นจากนอนกลางวันที่ตำหนักหลักเข้าโดยบังเอิญ
หรือบางทีอาจจะไม่ใช่เรื่อง ‘บังเอิญ’ ไม่แน่ว่าอาจจะมารออยู่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว
พี่สาวผู้นี้ งามพิลาสโดดเด่นในใต้หล้า ทำให้ผู้คนล้วนหลงใหล
แต่ว่าอารมณ์กลับไม่ดีนัก ทั้งยังชิงชังเผ่ามนุษย์มากเป็นพิเศษ
ตอนที่เขานำบุปผาวิญญาณออกไป ล้วนต้องหลบๆซ่อนๆ ตอนนี้ยังพาเผ่ามนุษย์เข้ามา หากไม่ระมัดระวังมีหวังต้องถูกนางฉีกออกเป็นแปดชิ้นอย่างแน่นอน
ตู๋กูเจวี๋ยยังถูกเขาแขวนเอาไว้บนบ่า แต่ก็ยังไม่วายรวบรวมกำลังพึมพำออกมาว่า “เจ้าจะเอาศีรษะของข้าไปก็ได้ แต่ว่าอย่าได้สั่งให้ข้าหุบปาก”
ซูเยา “……”
พอได้ยินแล้ว พี่สาวจิ้งจอกก็หัวเราะออกมา “น่าสนุกดี”
นางหรี่ตาลง ใช้ปลายนิ้วปิดปากของตู๋กูเจวี๋ย ออกแรงในมือเบาๆ ก็บีบปากเขาจนกลายเป็นปากจู๋
“ลิ้นนี้ช่างมีชีวิตชีวานัก หากเอาไปฝังไว้ในกระถางดอกไม้ ยามว่างไม่มีอะไรทำจะได้ดูมันกระดุกกระดิก”
ตู๋กูเจวี๋ย “ ! ! !”
เอาจริงนะ เขาอยู่มายี่สิบปีแล้ว ยังไม่เคยเจอสตรีที่ดุร้ายเช่นนี้มาก่อนเลย
อ้อ ยกเว้นน้องเล็กคนหนึ่ง
นางจิ้งจอกผู้นี้ทำไมถึงได้ไม่เหมือนกับในเรื่องเล่าเลยสักนิด?
ตัดลิ้นออกมาแล้วยังจะนำไปปลูก? ปลูกแล้วยังจะดูมันกระดุกกระดิก?
นี่มันคือจินตนาการผีสางอันใด?
ที่จริงเขาไม่มีกระใจจะครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้อีกแล้ว เขาเอาแต่มองดูพี่สาวจิ้งจอกอย่างตกตะลึง พอยิ่งมองต่อไป ก็เกือบจะพุ่งเข้าไปครอบครองแล้ว
เขารีบปิดตาลง ในสมองคิดถึงแต่ภาพของชือหลี
ต่อให้นางมีรูปโฉมงดงามก็ไร้ประโยชน์ หัวใจของเขามีเจ้าของแต่แรกแล้ว นอกจากชือหลีแล้ว เขาก็ไม่มีทางจะมองดูสตรีคนใดในโลกนี้อีกแล้ว
อ้อ แม้แต่นางจิ้งจอกก็ไม่ได้!
ยั่วเขาไม่สำเร็จหรอก
พอเห็นเขาปิดตาเอาไว้ พี่สาวจิ้งจอกก็หัวเราะเสียงเย็นชาออกมาเบาๆ พอนางคลายมือ ก็ปาดมือลงไปบนเสื้อผ้าของซูเยาอย่างรังเกียจสองครั้ง จนนิ้วมือที่สัมผัสโดนตู๋กูเจวี๋ยถูกเช็ดจนสะอาดสะอ้าน
จากนั้นค่อยเอ่ยเสียงเย็นชาต่อไปว่า “ข้ามีความอดทนจำกัด เสี่ยวเยา ทางที่ดีเจ้าจงรีบทำเรื่องนี้ให้เสร็จโดยเร็ว”
ว่าแล้ว นางก็เสริมขึ้นอีกประโยคหนึ่ง “มิเช่นนั้นต้องโดนดีแน่”
แต่ไหนแต่ไรซูเยาก็มีนิสัยเย่อหยิ่งมาโดยตลอด ทั้งยังลำพองอย่างยิ่ง แต่ว่าตอนนี้พออยู่ต่อหน้านาง กลับทำเหมือนหนูกลัวแมวอย่างไรอย่างนั้น ยืนตัวตรงดุจพู่กัน เชื่อฟังและระมัดระวังไม่คล้ายเป็นจิ้งจอกเลย
สีหน้าของเขาย่ำแย่ “อาเจ้ เขาเป็นพี่ชายของนางในดวงใจข้า พอจะปล่อยไปได้หรือไม่?”
ตอนที่ 600 พี่สาวแท้ๆแน่นอน
“นางในดวงใจ ก็คือฮ่องเต้หญิงแห่งแผ่นดินโบราณนางนั้น?” ดวงตาของพี่สาวจิ้งจอกหรี่ลงจนเหลือเพียงเส้นเดียว
ดวงตาเรียวยาวที่กลายเป็นเส้นตรงนั้น เกิดประกายความสนอกสนใจขึ้นมาอย่างชัดเจน
ซูเยาเห็นแล้วก็อดที่จะร่างสะท้านไม่ได้
“ถูกแล้ว เป็นนาง” ใบหน้าของเขานับว่าด้านพอ
พี่สาวจิ้งจอกพ่นเสียงเย็นชาออกมา “เจ้ากลับลงมือได้รวดเร็วดี นางใจดวงใจยังไม่ทันได้พามา กลับจับพี่ชายของนางมาก่อน”
นางพูดพลางก็เหลือบตาไปมองตู๋กูเจวี๋ยไปพลางๆ
ครั้งนี้ แสงในแววตาเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก
“หุบเขาหมื่นปีศาจของข้า แต่ไหนแต่ไรก็คือพื้นที่หวงห้ามสำหรับพวกมนุษย์ ต่อให้เป็นพี่ชายของนางในดวงใจเจ้าก็ไม่ได้ เสี่ยวเยา เจ้าสมควรรู้กฏระเบียบของข้าดี”
“แต่ว่าอาเจ้ …. เขา….”
“ไม่มีแต่ว่า” พี่สาวจิ้งจอกทำตาโต “เห็นแก่ที่เจ้าเป็นน้องชายของข้า จงรีบโยนคนผู้นี้ออกไปจากหุบเขาปีศาจ ข้าจะปล่อยเขาไปสักครั้ง”
“อาเจ้ ในร่างของเขามีพิษ หากว่าให้ลงเขาไป มีหวังตายสถานเดียว”
ซูเยายืดตัวขึ้นตั้งตรง นับตั้งแต่ที่ได้ความทรงจำชาติก่อนกลับมา เขาก็เชื่อฟังคำพูดของพี่สาวมาโดยตลอด แต่ว่าหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอาหลัน เขาก็มีจุดยืนของตนเองเช่นกัน
พอได้ยินแล้ว พี่สาวจิ้งจอกก็คลี่ยิ้มเย็นชายิ่งกว่าเดิม “หากเขารั้งอยู่ที่นี่ จะตายอนาถกว่าเดิม เร็วกว่าเดิม”
สีหน้าของซูเยาเปลี่ยนไปในทันที เขาสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นค่อยกล่าวว่า “อาเจ้ ไม่ใช่เพราะว่าท่านเกลียดชังพวกมนุษย์ แล้วทุกคนจะต้องเกลียดชังพวกมนุษย์ตามท่านไปด้วย ….ผู้คนในใต้หล้า มิใช่ว่าจะเลวร้ายไปเสียหมด
“หากข้าบอกว่าเลว นั่นก็แปลว่าเลว” พี่สาวจิ้งจอกไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อย
ยามนี้ในสายตาของนาง ตู๋กูเจวี๋ยเป็นดั่งพิษร้ายชนิดหนึ่ง
ยามปกติแล้วซูเยามีฝีปากคมคาย เพียงแต่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพี่สาว จึงไม่กล้าหักหน้านาง
เพราะถึงแม้ว่าเผ่าจิ้งจอกสายตระกูลซูของเขาจะมีอิสระสามารถทำสิ่งใดตามอำเภอใจ แต่ว่าต่างก็รู้จักให้ความเกรงใจต่อผู้ที่มาก่อน เหมือนกับในเผ่ามนุษย์ที่เคารพในอาวุโสในครอบครัว
ยิ่งไปกว่านั้น พี่สาวผู้นี้ก็อายุมากกว่าเขาไม่น้อยกว่าบรรพชนทั้งสิบแปดรุ่นรวมกันเลย
เขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็เห็นตู๋กูเจวี๋ยพยายามดิ้นรนจากความตาย “พี่สาว คำพูดนี้ของท่านออกจะไม่ถูกอยู่บ้าง….เพราะอย่างน้อยๆข้าก็เป็นคนดีผู้หนึ่ง….”
เขารู้สึกได้เลยว่าซูเยานั้นพึ่งพาไม่ได้ เขากลัวตนเองจะตาย
เขากลัวว่าหากตนเองตายไปแล้ว ชือหลีก็จะไม่มีผู้ใดช่วยเหลือ กลัวว่าหากตนเองตาย น้องเล็กและคนในครอบครัวต่างก็ต้องเสียใจ
เกิดเป็นคน ต้องรู้จักความรับผิดชอบและห่วงใยคนรอบข้าง ดังนั้นจึงไม่อาจตายได้
“เจ้าเรียกใครเป็นพี่สาว?” พี่สาวจิ้งจอกเดิมทีเพียงแค่รังเกียจเขา แต่ว่าตอนนี้เริ่มโกรธเคืองขึ้นมาแล้ว “ข้ากับเจ้าไม่ได้อยู่เผ่าเดียวกัน อย่าได้เอาคำว่าพี่สาวมาใช้ทำให้ข้าต้องอับอาย”
ตู๋กูเจวี๋ย “…….”
สรุปแล้ว พวกจิ้งจอกนี่ให้ความสำคัญกับอะไรประหลาดๆใช่ไหม?
“หากจะพูดถึงเผ่าพันธุ์ ….ข้าอย่างมากก็เป็นมนุษย์เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น” ประเด็นหลังของตู๋กูเจวี๋ยยังคงอยู่ที่การหาทางรอด
“ท่านเป็นผู้ที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่ง คิดว่าคงจะเคยได้ยินชื่อของเผ่ามังกรทมิฬมาบ้างกระมัง ….. ช่างบังเอิญจริงๆ ผู้น้อยสืบทอดสายเลือดของเผ่ามังกรทมิฬ พูดไปแล้วก็ไม่ใช่คนจริงๆ”
ซูเยาตกตะลึงไปแล้ว ไม่ใช่เพราะความแปลกใจในฐานะของเขา เพียงแต่ตกตะลึงว่ามีคนกล้าเอ่ยออกมาตรงๆว่า ‘ตนเองไม่ใช่คน’ ได้อย่างชัดเจนถึงเพียงนี้
ดูเอาเถอะ หน้าหนาถึงขนาดที่สามารถพูดได้โดยหน้าไม่แดง หนังตาไม่กระตุก
“เผ่ามังกรทมิฬ….” พี่สาวจิ้งจอกได้ยินแล้วก็ยื่นกรงเล็บเข้าใส่ในทันที
นางคว้าหมับเข้าที่หัวไหล่ของเขา ชนิดที่เรียกเลือดจากเนื้อ กรีดข่วนเป็นรอยสามเส้น
นางนำปลายเล็บที่เปื้อนเลือดของตู๋กูเจวี๋ยมารองใต้จมูกสูดดมเข้าไปเล็กน้อย
หัวคิ้วของนางขมวดมุ่น ถึงแม้ว่าจะมีสายเลือดมนุษย์เพียงครึ่งเดียว แต่ว่าความน่ารังเกียจนั้นก็ยังทำให้คนอยากจะอาเจียนออกมาอยู่ดี
เลือดอีกครึ่งหนึ่ง แฝงเอาไว้ด้วยพลังที่แข็งแกร่ง เข้มข้นและมืดมิด
ไอ้เด็กน้อยนี่มิได้โป้ปดนาง
นางสูดดมอย่างละเอียด กลิ่นคาวเลือดกรุ่นอยุ่ในจมูก
ซูเยาที่อยู่ด้านข้าง ได้แต่ลังเลขึ้นมา
ในกายของตู๋กูเจวี๋ยมีพิษร้าย หากสูดดมเลือดของเขาเข้าไปเช่นนี้ ทั้งยังมีเลือดของเขาเปรอะเปื้อนจนเต็มมือ จะไม่ทำให้เกิดปัญหาจริงๆหรือ?
ขณะที่มัวแต่ลังเลอยู่นั้น ก็เห็นพี่สาวของตนเองใบหน้าเปลี่ยนสี เอ่ยโพล่งออกมาสองคำ “พิษนี้มัน….”
พอเอ่ยออกมา ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ๆนางก็โอนเอนไปทางด้านหลังล้มหงายลงไป
เส้นผมสีแดงที่ยาวสลวยสยายกระจายอยู่เต็มพื้น นางหมดสิ้นสติลงไปบนพื้น โดยไม่รู้เรื่องใดๆอีกทั้งสิ้น
ซูเยาเห็นสถานการณ์เปลี่ยนไป ก็รีบพาตู๋กูเจวี๋ยออกจากตำหนักหลัก ไปซ่อนตัวอยู่ในตำหนักหลังหนึ่ง
ตู๋กูเจวี๋ยหันกลับไปมองดูพี่สาวจิ้งจอกที่นอนสลบอยู่บนพื้น ก็หันกลับมามองดูซูเยาที่กำลังพาเขาวิ่งหนีอย่างรวดเร็วราวกับเหาะได้ ก็ถามอย่างสงสัยว่า “ใช่พี่สาวแท้ๆหรือ?”
ซูเยา “พี่สาวแท้ๆ แท้เสียยิ่งกว่าแท้”
“ไม่ไปประคองสักหน่อยหรือ?”
ซูเยา “ไม่ถึงตายหรอก”
ตู๋กูเจวี๋ย “….”
บางทีอาจเป็นเพราะในบ้านของเขาทุกคนต่างคอยรายล้อมอยู่รอบๆตัวน้อยเล็ก ยามปกตินางมักถูกพวกเขาทนุถนอมเอาไว้บนฝ่ามือ แค่ผมร่วงลงไปเส้นหนึ่งก็แตกตื่นกันขึ้นมาแล้ว หากว่าเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันกับพี่สาวจิ้งจอกเมื่อครู่ มีหวังคนทั้งบ้านคงวิตกกังวลแทบหัวใจวายตายไปแล้ว
ดังนั้นพอได้เห็นภาพแปลกๆเช่นนี้ เขาจึงรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง
“จะไม่เป็นไรจริงๆนะหรือ?” ในใจของตู๋กูเจวี๋ยยังคงมีจิตสำนึกดีอยู่บางๆ ที่พี่สาวจิ้งจอกไม่ชมชอบเขา เขาก็เข้าใจได้
ตนเองพึ่งมาถึงก็แพร่พิษจนทำให้คนเขาสลบไป หากว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นมา ในใจของเขาคงรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง
เพราว่านางรูปโฉมงดงามยิ่งนัก
คนที่มีรูปโฉมงดงามเช่นเดียวกับน้องเล็ก จะกลายเป็นคนชั่วร้ายได้อย่างไร
“พี่สาวแข็งแกร่งกว่าที่เจ้าคิดเอาไว้ร้อยเท่าพันทวี เจ้าห่วงใยตนเองก่อนดีกว่า” พูดพลาง ซูเยาก็พาเขาเข้าไปในตำหนักเล็กๆแห่งหนึ่ง
แม้จะบอกว่าเป็นตำหนัก แต่กลับเหมือนเรือนในสวนมากกว่า
ตำหนักของหย่งเฉิงอ๋อง ตู๋กูเจวี๋ยย่อมเคยได้ไปเยี่ยมชมมาก่อน นับว่ามีส่วนที่เหมือนกันอยู่
ดูไปแล้วที่นี่คล้ายคลึงกับที่นั่นมากนัก
ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวที่มีก็คือ ที่นี่มีหิมะตกอยู่ตลอด หนาวเย็นอยู่เสมอ
“เจ้าพักผ่อนอยู่ที่นี่ รอคอยอาหลันมา นางจะต้องมีหนทางสลายพิษได้เป็นแน่” ซูเยาหาที่พักให้คนปลอดถัยแล้ว ก็ออกไปด้านนอก เด็ดบุปผาวิญญาณกลับมา
ประดับเอาไว้จนเต็มห้อง
บนยอดของหุบเขาหมื่นปีศาจ มีหิมะตกตลอดทั้งปี บุปผาวิญญาณพวกนี้ เติบโตได้ในสภาพอากาศเช่นนี้เท่านั้น
ในใจของเขาคาดหวังให้ตู๋กูซิงหลันมาถึงเร็วๆ หากว่าพี่สาวตื่นขึ้นมา เกรงว่าคงจะต้องบุกมาเข่นฆ่าถึงที่นี่เป็นแน่
ถึงตอนนั้น เขาอาจปกป้องตู๋กูเจวี๋ยไม่สำเร็จ
คนผู้นี้เป็นพี่ชายของนาง หากเขาไม่อาจปกป้องได้ อาหลันจะต้องเสียใจอย่างยิ่งแน่นอน
อาหลัยเศร้าเสียใจ ตำแหน่งของเขาในใจของนางเดิมก็ร่อแร่อยู่แล้ว เกรงว่ามีหวังต้องสูญสลายไปแน่
ซูเยานั่งลงบนก้อนหินที่ปากประตู ถอนใจอย่างยืดยาว
……………..
เมืองว่านฮวาเฉิงล่มสลายเสียแล้ว
เพราะเมื่อเกาะลอยฟ้าของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนพังทลาย ผู้คนต่างก็จิตใจเคว้งคว้างหวาดผวา
หลังจากคืนนั้น ยังมีสายฟ้าฟาดลงมาอีกหลายครั้ง ทำเอาเกาะลอยฟ้าต่างๆเหนือเมืองว่านฮวาเฉิงพังทลายลงจนหมดสิ้น
ก้อนหินมากมายถล่มลงมา ทุบทำลายพื้นที่เมืองไปกว่าครึ่ง
เพียงแค่คืนเดียว ต้องสูญเสียชีวิตไปมากมาย
ใครเลยจะไปคิดว่า เมื่อตอนยามหัวค่ำทุกคนยังร่วมกันจุดโคมไฟอย่างมีความสุขสนุกสนาน แต่พอครึ่งคืนหลังโลกก็พลิกกลับ ผู้คนต่างดับอนาถ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น