ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 597-603

 ตอนที่ 597 เจดีย์ซวีหลิง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เจ้าเด็กนี่ไม่ธรรมดา ผู้ฝึกฝนชั่วร้ายที่เขาสืบข่าวทั้งสามคนในก่อนหน้า ได้เสียชีวิตไปหมดแล้ว ลำดับเหตุการณ์และเวลาล้วนสอดคล้องกับที่มาสืบข่าว คิดว่าเขาคงเป็นคนลงมือเอง” ผู้อาวุโสชุดดำกล่าวอย่างราบเรียบ


“ดูอย่างไรเขาก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลาย คิดไม่ถึงว่าจะสังหารหลวงจีนกระดูกแห้งได้ ดูเหมือนว่ายังตั้งใจใช้เคล็ดวิชาเปลี่ยนแปลงรูปโฉม ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเก่อสามารถดูที่มาของเขาจากเคล็ดวิชาที่ฝึกฝนได้หรือไม่?” ชายวัยกลางคนชุดขาวได้ยิน ก็กล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ


“เจ้าเด็กนี้ทำการรอบคอบมาก ดูจากข้อมูลที่หอเรารวบรวมมาในก่อนหน้า จะต้องมาจากนิกายยอดบริสุทธิ์อย่างแน่นอน เจ้าให้คนจัดระเบียบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเขา และบันทึกลงในคัมภีร์เฉียบแหลม เผื่อใช้ตรวจสอบในอนาคต” ผู้อาวุโสชุดดำค่อยๆ กล่าวออกมา


“รับทราบ!” ชายวัยกลางคนชุดขาวรีบตกปากรับคำทันที


……


ไม่ต้องพูดถึงหอเป๋ยโต่วที่มีคนให้ความสนใจหลิ่วหมิง แม้แต่ในนิกายยอดบริสุทธิ์เอง เรื่องที่ปีศาจขวานโลหิต หมัวเฟิงซ่างเหริน และหลวงจีนกระดูกแห้ง ถูกขีดชื่อออกไปติดต่อกัน และถูกลบออกไปจากบัญชีความเป็นความตายอย่างเงียบๆ ก็ถูกค้นพบโดยศิษย์สายนอกบางคนที่ไปที่นี่ และปล่อยข่าวนี้ออกไปอย่างรวดเร็ว


ชั่วขณะนั้น ศิษย์ในนิกายยอดบริสุทธิ์ต่างก็ฮือฮาขึ้นมา และพากันวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความตกใจ


เพราะแม้ว่าผู้ที่มีรายชื่ออยู่ในสิบอันดับแรกของบัญชีความเป็นความตาย จะมีการฝึกฝนระดับของเหลวเช่นกัน แต่ว่าเคยสังหารศิษย์ระดับผลึกของนิกายยอดบริสุทธิ์มาก่อน มิเช่นนั้นคงไม่ถูกจัดอยู่ในอันดับที่สูงเช่นนี้


และตั้งแต่หลวงจีนกระดูกแห้งถูกบันทึกในบัญชีความเป็นความตายมาเป็นเวลากว่าสิบกว่าปี ก็เคยไม่มีใครเขย่าอันดับของเขา


แม้กระทั่งผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ในนิกายบางคนที่รู้เรื่องนี้ ก็สืบหาด้วยความสงสัยว่าเป็นศิษย์สายนอกคนใดที่ทำเรื่องนี้


แต่ว่าหอความเป็นความตายกลับปิดบังข้อมูลหลิ่วหมิงไว้เป็นอย่างแน่นหนา โดยไม่หลุดปากออกไปเลยแม้แต่น้อย ประกอบที่หลายปีมานี้ หลิ่วหมิงค่อยๆ จางหายไปจากสายตาของคนส่วนใหญ่ จึงไม่มีคนสงสัยเขา แต่กลับสงสัยกันว่าเป็นการกระทำของศิษย์สายในมากกว่า


ภายในถ้ำที่พัก หลิ่วหมิงไม่ได้สนใจข่าวลือที่เกิดขึ้นภายนอกเลยแม้แต่น้อย แต่กลับนั่งขัดสมาธิคิดไตร่ตรองเรื่องราวของตนเองอย่างเงียบๆ


ห้าปีมานี้ เขาอาศัยการทานโอสถผลึกเย็น จนยกระดับการฝึกฝนขึ้นมามาก และฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สามจนใกล้จะสมบูรณ์แบบแล้ว น่าเสียดายที่ไม่อาจเข้าถ้ำวายุสรรค์ได้ จึงไม่อาจฝึกฝนจนถึงระดับสมบูรณ์แบบได้อย่างแท้จริง


ขณะเดียวกัน เขาก็ใช้พลังจิตไปกับความเชี่ยวชาญอื่นๆ ไม่น้อย วิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่ง ดรรชนีกระบี่ และความเชี่ยวชาญอื่นๆ ก็ถูกยกระดับไปหนึ่งขั้น


และวิชาเงาสามส่วนก็ฝึกฝนขั้นที่สองจนสำเร็จแล้ว สามารถแบ่งเงาร่างขึ้นมาได้หนึ่งเงา ที่หลิ่วหมิงสังหารหลวงจีนกระดูกแห้งในก่อนหน้า เคล็ดวิชาเงาสามส่วนก็มีความดีความชอบไม่น้อย


ตอนนี้ถึงเวลาที่เขาจะท้าทายเจดีย์ซวีหลิงแล้ว


แม้จะดูเหมือนว่าใครก็สามารถท้าทายเจดีย์ซวีหลิงได้ แต่ความจริงแล้วทุกครั้งที่เข้าไปในเจดีย์ ต้องชำระแต้มคุณูปการจำนวนมากจนน่าตกใจ เพราะทุกครั้งที่เปิดเจดีย์แห่งนี้ ต้องสูญเสียทรัพยากรไปไม่น้อย


อย่ามองแค่ว่าตอนนี้หลิ่วหมิงมีแต้มคุณูปการหลายแสนแต้ม บนตัวยังแบกรับภาระหนี้อันน่าทึ่ง ประกอบกับหลังจากเข้าเป็นศิษย์สายในแล้ว ค่าใช้จ่ายอื่นๆ และถ้ำวายุสวรรค์ก็จำเป็นต้องสูญเสียแต้มคุณูปการเป็นจำนวนมาก ที่เขามีอยู่ในตอนนี้เป็นเหมือนรายได้ที่ไม่พอกับรายจ่าย


ผู้ฝึกฝนชั่วร้ายที่มีชื่อติดสิบอันดับแรกในบัญชีความเป็นความตาย เป็นโอกาสอันดีในการเพิ่มแต้มคุณูปการให้กับเขา มิเช่นนั้นพอเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว ต่อให้จะสังหารผู้ฝึกฝนชั่วร้ายเหล่านี้ ก็จะไม่ได้รับแต้มคุณูปการแม้แต่แต้มเดียว ทั้งยังกระตุ้นให้ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงในบรรดาผู้ฝึกฝนชั่วร้ายเกิดความโมโหขึ้นมาได้


เพราะบัญชีความเป็นความตายนี้ เดิมทีก็เป็นเรื่องที่นิกายยอดบริสุทธิ์กับผู้แข็งแกร่งชั่วร้ายรู้อยู่แก่ใจโดยไม่ต้องบอกกล่าว


หากนิกายยอดบริสุทธิ์ส่งศิษย์ระดับผลึกไปล่าตัวผู้ที่มีรายชื่อในบัญชีความเป็นความตาย กลุ่มอิทธิพลของผู้ฝึกฝนชั่วร้ายเหล่านี้จะต้องตอบโต้กลับมาเช่นกัน เช่นนี้แล้ว นิกายบริสุทธิ์เองก็จะรับไม่ไหวด้วย


เพราะผู้ฝึกฝนชั่วร้ายที่มีชื่อในบัญชีความเป็นความตาย ก็เป็นแค่ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวเท่านั้น สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ผู้ฝึกฝนชั่วร้ายทั้งหมดไม่อาจอดกลั้นได้


และสามผู้ฝึกฝนชั่วร้ายสูงสุดของแผ่นดินจงเทียน ก็เป็นสิ่งที่สี่ยอดนิกายใหญ่ไม่อยากจะหาเรื่อง


ในเมื่อหลิ่วหมิงคิดจะไปบุกเจดีย์ซวีหลิง เวลาในหลายวันต่อจากนี้ เขาก็ต้องเข้าออกหอที่เก็บข้อมูลของนิกายอยู่บ่อยๆ เพื่อหามูลมาเตรียมการไว้


“คิดไม่ถึงว่าจะมีข้อจำกัดนี้ด้วย……” ห้องลับภายในถ้ำที่พัก หลิ่วหมิงค่อยๆ นำจิตออกจากแผ่นหยก และแสดงสีหน้าครุ่นคิด


บนแผ่นหยกระบุอย่างชัดแจ้งว่า ชั้นจำกัดพิเศษที่วางไว้ในเจดีย์ซวีหลิงนั้น ไม่อาจใช้อสูรเลี้ยงกับหุ่นใดๆ ได้


ไม่มีแมงป่องกระดูกกับหัวบิน แม้แต่หุ่นสี่ทิศก็ใช้ไม่ได้ล่ะก็ พลังของหลิ่วหมิงก็จะถูกลดลงไปครึ่งหนึ่ง


แต่เจดีย์ซวีหลิงต้องการทดสอบพลังแท้จริงของผู้ที่บุกเข้าไป ย่อมมีกฎเช่นนี้เป็นธรรมดา


“เดี๋ยวก่อน! แม้บนแผ่นหยกจะระบุอย่างชัดแจ้งว่าไม่สามารถใช้อสูรเลี้ยงกับหุ่นได้ แต่นักรบยันต์ถือว่าเป็นยันต์ชนิดหนึ่ง คงไม่นับรวมอยู่ในนั้น” เมื่อคิดถึงจุดนี้หลิ่วหมิงก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา


แต่ก่อนเขาใช้นักรบยันต์ต่อสู้ไม่ค่อยมาก ส่วนมากจะใช้เป็นร่างเสมือนเพื่อดึงจุดสนใจของฝ่ายตรงข้ามหรือให้ความช่วยเหลือง่ายๆ เท่านั้น ไม่ได้ใช้มันเป็นกำลังหลักในการต่อสู้ และไม่ได้สำรวจการใช้งานของมันอย่างละเอียด


หลังจากหลิ่วหมิงคิดเช่นนี้แล้ว ก็หมกหมุ่นอยู่กับการตรวจสอบคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับยันต์นักรบทันที จากนั้นถึงเข้าใจยันต์ลึกลับในมือขึ้นมาเล็กน้อย ที่แท้มันก็เป็นยันต์นักรบยันต์พลังผ้าเหลืองที่มีชื่อเสียงในสมัยบรรพกาลนั่นเอง


แม้ว่านิกายยอดบริสุทธิ์จะเก็บคัมภีร์ไว้มากมาย แต่นักรบยันต์บรรพกาลชนิดนี้กลับมีบันทึกไว้ไม่มากนัก รู้แค่ว่ายันต์ที่ตกทอดมาอย่างสมบูรณ์นั้นมีไม่มาก และยังว่ากันว่ายันต์แต่ละผืนจะมีจุดมหัศจรรย์ของมัน ซึ่งแตกต่างจากนักรบยันต์ที่แต่ละนิกายสร้างขึ้นมาในปัจจุบันนี้มาก


หลังจากหลิ่วหมิงอ่านคัมภีร์จบแล้ว ก็แสดงสีหน้าครุ่นคิดออกมา จากนั้นก็รีบออกไปจากหอเก็บคัมภีร์


เมื่อเขากลับถึงห้องลับในถ้ำที่พัก และพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น ยันต์นักรบพลังผ้าเหลืองก็ปรากฏอยู่บนมือ จากนั้นก็เอามือแตะลงบนยันต์


พลังเวทบริสุทธิ์พุ่งเข้าไปในยันต์ จากนั้นนักรบยันต์ก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมา


ในขณะเดียวกัน พลังจิตของหลิ่วหมิงก็ถูกส่งเข้าไปในยันต์ด้วยเช่นกัน และทำการตรวจสอบความลี้ลับของมัน


……


หนึ่งเดือนต่อมา


เหนือทะเลสาบสีฟ้าขนาดหลายสิบหมู่ที่อยู่บริเวณเจดีย์ซวีหลิงของเทือกเขาหมื่นวิญญาณ พอแสงสีดำลำหนึ่งดับลง ก็เผยให้เห็นร่างของชายหนุ่มชุดเขียวที่เหยียบเมฆดำอยู่ ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง


ขณะนี้ เขาหรี่ตาทั้งคู่จ้องมองเจดีย์ยักษ์สีเทาสูงเสียดเมฆที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้


เจดีย์นี้สูงราวๆ สี่ห้าร้อยจั้ง ตั้งอยู่บนยอดเขาเขียวชอุ่ม ตัวเจดีย์ถูกหมอกสีเทาสลัวๆ ห่อหุ้มไว้ ด้านล่างเจดีย์มีค่ายกลสีเลือดขนาดหนึ่งหมู่กว่าๆ ปรากฏอยู่รำไร คงเป็นชั้นจำกัดบางอย่าง


ด้านหนึ่งของฐานเจดีย์มีคนยืนอยู่เป็นกลุ่มๆ ดูเหมือนจะมีทั้งหมดสิบกว่าคน


หลังจากหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งแล้ว หลิ่วหมิงก็กลายเป็นแสงสีดำพุ่งไปทางเจดีย์ซวีหลิงอีกครั้ง


ระยะทางสิบกว่าลี้สำหรับหลิ่วหมิงในตอนนี้แล้ว ใช้เวลาแค่พริบตาเดียวเท่านั้น ขณะที่เริ่มเข้าใกล้ยอดเขา แต่ละชั้นของเจดีย์ที่อยู่ตรงหน้าก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา


เจดีย์นี้เป็นสีเทาจางๆ แต่ละชั้นต่างก็สูงสี่ห้าจั้ง ด้านนอกของเจดีย์แต่ละชั้นมีอักขระที่ก่อตัวจากลวดลายสีต่างๆ ประทับอยู่ ทั้งยังมีจำนวนไม่เท่ากันด้วย


ตั้งแต่ชั้นสามสิบหกลงมา แต่ละชั้นต่างก็มีอักขระสีเขียวสามตัว ชั้นเจ็ดสิบสองลงมาก็เป็นอักขระสีม่วงหนึ่งตัว ชั้นเจ็ดสิบสองขึ้นไปต่างก็มีอักขระสีดำขนาดใหญ่แค่ตัวเดียว


ขณะนี้ อักขระสีเขียวบนชั้นที่สามสิบสามกับชั้นที่สามสิบห้าต่างก็เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด


และค่ายกลสีเลือดที่หลิ่วหมิงมองดูในก่อนหน้า ที่แท้ก็เป็นหยกสีเลือดที่วางอยู่รอบๆ เจดีย์อย่างแน่นหนา แสงทรงกลดสีแดงเปล่งประกายอยู่บนหยก ดูเหมือนว่าแต่ละก้อนจะแฝงไปด้วยพลังบางอย่าง


พอเขาการกวาดสายตามองออกไป ถึงค้นพบว่ากลุ่มคนที่อยู่นอกเจดีย์ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม หญิงสาวรูปร่างอ่อนช้อย ใบหน้างดงามที่อยู่ท่ามกลางหนึ่งในกลุ่มที่มีจำนวนคนมากหน่อย ก็คือหลงเหยียนเฟยนั่นเอง


ด้านหลังของนางมีศิษย์สายในหลายคนยืนอยู่ ดูเหมือนว่ากลิ่นไอจะเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว เสื้อผ้าบนตัวมีคำว่า ‘กระบี่สวรรค์’ ประทับอยู่


ศิษย์เหล่านี้มีท่าทีนอบน้อมกับหลงเหยียนเฟยมาก ดูเหมือนว่านางจะเป็นหัวหน้าด้วย


การติดต่อกับนางหลายครั้งในก่อนหน้า เขารู้เพียงแค่ว่านางฝึกฝนวิชาซ่อนเร้นบางอย่าง ทำให้เขาไม่อาจรับรู้ถึงระดับการฝึกฝนได้ ดูจากสถานการณ์ในวันนี้ นางคงมีระดับการฝึกฝนอย่างน้อยระดับผลึกแล้ว


หลิ่วหมิงเอามือลูบจมูก จากนั้นก็ร่อนลงพื้นที่ว่างด้านข้างคนเหล่านี้


นางค้นพบการเคลื่อนไหวของหลิ่วหมิงตั้งแต่แรกแล้ว หลิ่วหมิงยังไม่ทันเอ่ยปาก นางก็หันมากล่าวด้วยรอยยิ้มพราย


“ศิษย์น้องหลิ่ว ไม่เจอกันนานเลย วันนี้ได้เจอกันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกนะ?”


“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่หลง มิน่าข้าถึงรู้สึกคุ้นเคยตั้งแต่ไกล วันนี้ข้ามาบุกเจดีย์ซวีหลิง” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าสงบ


ได้ยินหลิ่วหมิงกล่าวเช่นนี้ หลงเหยียนเฟยก็เผยสีหน้าตกใจออกมา


ศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์ที่อยู่ด้านหลังนางก็รู้สึกตกใจเช่นกัน จากนั้นก็ฉายแววตาดูถูก ประจักษ์ชัดว่าพวกเขาคิดว่าการบุกเจดีย์ด้วยการฝึกฝนระดับของเหลวอย่างหลิ่วหมิง เป็นเรื่องที่หาเรื่องใส่ตัวเท่านั้น


“ศิษย์น้องหลิ่วน่าจะรู้ว่า ศิษย์สายนอกที่ต้องการบุกเจดีย์ซวีหลิงต้องชำระแต้มคุณูปการห้าหมื่นแต้ม นี่เป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลย” หลงเหยียนเฟยดวงตาเป็นประกาย หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งแล้ว ริมฝีปากสีแดงก็ค่อยๆ เอ่ยออกมา


“เรื่องนี้ข้าน้อยทราบดี แต่ได้ยินมาว่าหากผ่านชั้นที่สามสิบหกได้จะมีรางวัลให้ ซึ่งนอกจากจะคืนจำนวนแต้มคุณูปการให้แล้ว ยังมีรางวัลให้จำนวนไม่น้อยด้วย” ดูเหมือนหลิ่วหมิงจะพูดโดยไม่สนใจสายตาของศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์ แต่กลับพูดออกมาอย่างราบเรียบ


ขณะที่หลิ่วหมิงพูดถึงชั้นที่สามสิบหกนั้น สีหน้าของหลงเหยียนเฟยก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป และสีหน้าของศิษย์ที่อยู่ด้านหลังของนางก็ดูแปลกประหลาดเล็กน้อย


“ศิษย์น้องหลิ่วกล่าวได้ไม่มีผิด เมื่อผ่านชั้นสามสิบหกได้ ก็จะถูกรับเป็นศิษย์สายในโดยตรง และศิษย์สายในก็มีโอกาสหนึ่งครั้งในการบุกเจดีย์ซวีหลิงโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ด้วยเหตุนี้แต้มคุณูปการที่ไปจ่ายไปย่อมได้คืนกลับมา นอกจากนี้เพียงแค่ผ่านเจดีย์ชั้นที่สามสิบหก ห้าสิบสี่ เจ็ดสิบสอง เก้าสิบ และหนึ่งร้อยแปดได้ ก็จะมีรางวัลให้เป็นจำนวนมาก เพียงแต่ว่าหลายปีมานี้ ผู้ที่อาศัยการบุกเจดีย์ซวีหลิงเพื่อเป็นศิษย์สายในมีอยู่น้อยมาก” หลงเหยียนเฟยเผยแววตาประหลาดใจออกมา แต่ยังคงอธิบายอย่างช้าๆ


ตอนที่ 598 ดุจดังผ่ากระบอกไม้ไผ่

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ศิษย์พี่หลงคิดมากไปแล้ว ข้ามาบุกเจดีย์ซวีหลิงในครั้งนี้ ก็เพื่อจะลองดูก่อนเท่านั้น ไม่ได้หวังว่าจะทำสำเร็จในครั้งเดียว” หลิ่วหมิงรู้สึกใจเต้นขึ้นมา เขารู้ว่านางมีเจตนาดีกับเขา เขาจึงกล่าวออกมาอย่างไม่เห็นว่าจะเป็นเช่นนั้น


ในสายตาของนาง แม้ว่าหลิ่วหมิงจะเป็นศิษย์ยอดเยี่ยมในบรรดาศิษย์ระดับของเหลวด้วยกัน แต่เพราะมีระดับการฝึกฝนที่แตกต่างกันมาก ตอนนี้ก็คิดจะฝืนท้าทายเจดีย์ชั้นที่สามสิบหกแล้ว ออกจะไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำไปหน่อย


แน่นอนหากนางรู้ว่าหลิ่วหมิงเป็นผู้สังหารหลวงจีนกระดูกแห้งลึกลับผู้นั้น จนทำให้นิกายยอดบริสุทธิ์โกลาหลในช่วงนี้ล่ะก็ ย่อมเป็นคนละเรื่องกันแล้ว


ขณะนั้นเอง อักขระบนเจดีย์ชั้นที่สามสิบสี่ก็สว่างขึ้นมา


“ศิษย์น้องซาทงเทียนเข้าไปชั้นที่สามสิบสี่แล้ว”


“ซาเทียนสมกับเป็นผู้ฝึกกระบี่ ช่างมีพลังน่าตกใจจริงๆ” ศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์สองคนที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยความดีใจ


ทางด้านศิษย์หญิงสองสามคนของยอดเขาเลื่อนลอยได้ยินเช่นนี้ ก็เพียงแค่มองดูทีหนึ่ง จากนั้นก็มองไปยังอักขระที่เปล่งประกายอยู่บนชั้นที่สามสิบห้า


ประจักษ์ชัดว่ามีศิษย์อีกคนกำลังบุกชั้นนี้อยู่ และน่าจะเป็นศิษย์ยอดเขาเลื่อนลอยด้วย


แต่ว่าการที่ซาทงเทียนบุกเจดีย์นี้ กลับทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย


หลังจากเขามองดูอักขระที่เปล่งประกายบนเจดีย์ซวีหลิงแล้ว ก็กล่าวลากับหลงเหยียนเฟยก่อนเดินตรงเข้าไปในเจดีย์


หลงเหยียนเฟยจ้องมองตามหลังเขาไป แม้ว่าจะไม่ได้ต้านทานไว้ แต่กลับต้องส่ายหน้าเบาๆ


ศิษย์คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ก็ทำราวกับมองไม่เห็น


หน้าป้ายหินสีเทาบริเวณฐานเจดีย์


หลิ่วหมิงหยิบแผ่นป้ายศิษย์สายนอกออกจากเอวโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังจากโบกมันเบาๆ แล้ว แสงสีเขียวลำหนึ่งก็พุ่งออกมา และจมหายไปในป้ายหิน ทำให้แต้มคุณูปการบนป้ายหายไปห้าหมื่นแต้ม


ครู่ต่อมา มีเสียงดัง “แคร่ก!”


ค่ายกลสีเลือดใต้ฐานเจดีย์สว่างขึ้นมา แสงสีเลือดจำนวนมากม้วนตัวออกมาปกคลุมหลิ่วหมิงไว้ จากนั้นก็ม้วนตัวกลายเป็นแสงสีเลือดจมหายไปในเจดีย์อย่างไร้ร่องรอย


พอเห็นว่าหลิ่วหมิงใช้แต้มคุณูปการจำนวนมากอย่างไม่ลังเลเช่นนี้ ศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์กับยอดเขาเลื่อนลอยต่างก็มองมาด้วยความตกใจ


เพราะหากไม่อาจทะลวงชั้นที่สามสิบหกได้ ก็เท่ากับต้องเสียแต้มคุณูปการโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งแม้แต่ศิษย์สายในก็ยังต้องคิดชั่งน้ำหนักดูก่อน


และพวกเขาคิดว่าหลิ่วหมิงคงเสียแต้มคุณูปการโดยเปล่าประโยชน์แล้ว


ในขณะเดียวกัน ใจกลางเจดีย์ชั้นที่หนึ่ง


ไม่รู้ว่ากลุ่มแสงสีเลือดกระพริบมาจากที่ไหน พอมันดับลงก็เผยให้เห็นใบหน้าของหลิ่วหมิง


หลังจากเขาสงบจิตเล็กน้อยแล้ว ก็เริ่มตรวจสอบภายในเจดีย์อย่างละเอียด


สถานที่แห่งนี้ดูคล้ายกับวังมายานภาหยกเล็กน้อย บริเวณที่อยู่เป็นห้องโถงที่ค่อนข้างกว้างขวาง มีพื้นที่หนึ่งหมู่กว่าๆ ผนังรอบด้านมีอักขระสีดำประทับอยู่อย่างแน่นหนา


ห้องโถงทั้งหลังสูงจนมองไม่เห็นยอด  ทั้งยังสว่างราวกับเป็นเวลากลางวัน!


ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงหมาป่าหอนดังขึ้นมา!


มุมหนึ่งของห้องโถงที่อยู่ห่างออกไปร้อยกว่าจั้ง ภายใต้การเปล่งประกายของเงาสีดำ ทันใดนั้นหมาป่ายักษ์สีเทาตัวหนึ่ง ก็จ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าดุร้าย


แต่ผิวสีขาวเทาของมันหยาบกระด้างผิดปกติ ไม่มีขนเลยแม้แต่เส้นเดียว ที่แท้มันก็เป็นแค่หุ่นอสูรเท่านั้น


หลิ่วหมิงเลิกคิ้วเล็กน้อย ภายใต้การกวาดจิตมองออกไป ก็ค้นพบว่าหมาป่านี้มีพลังแค่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้นเท่านั้น


เขายกแขนปล่อยกำปั้นออกไปหนึ่งลูกโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง


“เพล้ง!” หลังจากมีเสียงดังเบาๆ ร่างของหมาป่ายักษ์ก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ครู่ต่อมาร่างของมันก็กลายเป็นจุดๆ ก่อนสลายไปเหมือนกับเงามายาในวังมายานภาหยก


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็แอบชื่นชมอยู่ในใจ


เจดีย์ซวีหลิงล้ำลึกมหัศจรรย์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ หุ่นที่สร้างขึ้นมาเหมือนกับของจริงไม่มีผิด ดูเหมือนว่าความลี้ลับมหัศจรรย์ของมันจะเหนือกว่าวังมายานภาหยกสามส่วน


ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดไตร่ตรองอยู่นั้น แสงสีเขียวก็ม้วนตัวขึ้นจากใต้เท้า และม้วนตัวเขาไว้ จากนั้นก็หายไปจากที่เดิมในพริบตา


ขณะที่หลิ่วหมิงลืมตาทั้งสองขึ้นมานั้น ก็มาปรากฏตัวในห้องโถงที่มีลักษณะคล้ายๆ กับชั้นหนึ่งแล้ว และห่างออกไปไกลๆ ก็มีหุ่นตั๊กแตนสองตัวที่มีพลังระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้นสองตัว


หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว และปล่อยกำปั้นออกไปสองลูกอย่างรุนแรง ทำให้หุ่นตั๊กแตนทั้งสองถูกโจมตีจนกลายเป็นจุดแสงภายในพริบตา


ด้วยระดับพลังของเขาในตอนนี้ ย่อมทะลุผ่านไปได้อย่างง่ายดาย และเมื่อผ่านด่านในแต่ละชั้นได้ เจดีย์ซวีหลิงก็จะส่งเขาไปชั้นต่อไปโดยตรง ขณะเดียวกัน อักขระที่อยู่ด้านนอกเจดีย์ก็จะเปล่งประกายออกมา


ชั้นที่สาม หลิ่วหมิงพบเจอกับหุ่นอสรพิษยักษ์สามตัวที่มีพลังระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้น ชั้นที่สี่เป็นหุ่นนักรบมนุษย์ที่มีพลังระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้นสี่ตัว ชั้นที่ห้าก็เป็นปีศาจระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้นจำนวนสี่ตัว แต่พลังของมันแข็งแกร่งกว่าหุ่นทั้งสี่ชั้นในก่อนหน้ามาก


ชั้นที่หกก็เป็นอสูรกิ้งก่าระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้นจำนวนสี่ตัว มันไม่เพียงแต่มีสติปัญญาเหมือนกับปีศาจอสูรที่แท้จริงเท่านั้น ทั้งยังแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก พลังของมันก็เหนือกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันมาก ดูเหมือนว่าจะสามารถเทียบกับระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้แล้ว


ตอนขึ้นไปถึงชั้นเจ็ด ก็กลายเป็นอสูรพยัคฆ์ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางตัวหนึ่ง


เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เมื่อจำนวนชั้นมากขึ้น ปีศาจอสูรกับหุ่นที่ปรากฏก็มีระดับการฝึกฝนสูงขึ้น


หลังผ่านไปได้ครึ่งชั่วยาม หลิ่วหมิงก็บุกขึ้นไปถึงชั้นสิบแปดแล้ว ภายในห้องโถงที่มีขนาดเหมือนกับในก่อนหน้าน้น มีปีศาจอสูรสิงโตเพลิงระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายจำนวนสี่ตัวกำลังล้อมรอบเขาอยู่


หลิ่วหมิงสังเกตดูปีศาจอสูรทั้งสี่ที่ดูราวกับเปลวเพลิงนี้ และขมวดคิ้วขึ้นมา


แม้อสูรจิตวิญญาณตรงหน้าจะมีการฝึกฝนแค่ระดับจิตวิญญาณขั้นปลาย แต่กลิ่นไอเปลวไฟที่แผ่ออกมานั้น ไม่ได้ด้อยไปกว่าระดับของเหลวขั้นต้นเลย ทั้งยังดูเหมือนว่าปีศาจอสูรทั้งสี่จะมีจิตเชื่อมโยงกันด้วย พลังที่แท้จริงคงจะพอที่จะเทียบกับระดับของเหลวขั้นกลางได้


ตามข้อมูลที่เขาสืบมา เจดีย์ซวีหลิงมีทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดชั้น ทุกๆ สิบแปดชั้นจะเป็นหนึ่งเขตแดน และทุกๆ หกชั้นในนั้นก็จะเป็นเขตแดนเล็กๆ ทุกๆ ชั้นสุดท้ายของเขตแดนใหญ่ล้วนเป็นปีศาจอสูรสี่ตัว แต่พลังทั้งหมดทั้งมวลก็ห่างจากระดับเดียวกันในชั้นก่อนหน้ามาก ความแข็งแกร่งรวมกันของทั้งสี่พอจะเทียบกับเขตแดนถัดไปได้


“ฮึ่ม!” มีเสียงคำรามด้วยความโมโหดังเข้ามาขัดขบวนความคิดของหลิ่วหมิง


เปลวไฟสีทองเปล่งประกายในดวงตาของสิงโตเพลิงทั้งสี่ ขณะเดียวกันมันก็กลายเป็นกลุ่มเปลวเพลิงพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกาย ลวดลายจิตวิญญาณสีดำบนแขนทั้งสองเปล่งประกาย จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวหายไปจากที่เดิม


“เพล้งๆ!” ดูเหมือนจะมีเสียงหลายเสียงดังขึ้นพร้อมกัน!


ขณะที่กลุ่มเปลวเพลิงสองกลุ่มกระโจนขึ้นกลางอากาศและเผยร่างออกมานั้น เปลวเพลิงสีทองอีกสองกลุ่มก็ถูกเงาร่างสีดำแฉลบผ่านไป จากนั้นมันก็ระเบิดออกมาเป็นจุดแสง


ครู่ต่อมา มีเงาดำกระพริบผ่านมุมหนึ่งของห้องโถง ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง


เขาที่ฝึกฝนวิชาเงาสามส่วนจนชำนาญ พริบตาเดียวก็สามารถสังหารสิงโตเพลิงระดับศิษย์จิตวิญญาณขึ้นปลายทั้งสองได้อย่างง่ายดาย พอมองดูกำปั้นสีแดงทั้งสองด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ดูเหมือนว่าจะมีบาดแผลเล็กน้อย


ขณะนั้นเอง สิงโตเพลิงอีกสองตัวก็คำรามออกมา มันกลายเป็นเปลวเพลิงสองกลุ่มและรวมตัวกันกลางอากาศ จากนั้นก็กลายเป็นลูกเปลวไฟขนาดจั้งกว่าๆ และพุ่งเข้ามาอย่างดุเดือด


หลิ่วหมิงเผยแววตาเฉียบขาดออกมา เขาหมุนตัวอย่างแปลกประหลาด พอตบฝ่ามือข้างหนึ่งผ่านอากาศ ก็มีเสียงมังกรพยัคฆ์ดังออกมา ฝ่ามือยักษ์สีเทาสลัวๆ สว่างวาบทันที


ทันใดนั้นมีเสียงดัง “ตู้ม!” ในห้องโถง จากนั้นก็ระเบิดตัวกลายเป็นสะเก็ดไฟ


ด้านนอกเจดีย์ซวีหลิง อักขระบนชั้นที่สิบแปดดับมืดลง และอักขระชั้นที่สิบเก้าก็สว่างขึ้นมา


เหยียนหลงเฟยเห็นเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าครุ่นคิด หลังจากหยุดชะงักเล็กน้อยแล้ว นางก็มองไปยังอักขระบนชั้นสามสิบห้าที่เปล่งประกายออกมา


ท่ามกลางห้องโถงบนชั้นที่สามสิบห้า


แสงกระบี่สีเขียวที่ยาวสิบกว่าจั้งกระพริบผ่านไป ทำให้เกิดรูบนหน้าอกของโครงกระดูกที่สูงสองจั้ง


แต่ทว่าก่อนที่โครงกระดูกนี้จะกลายเป็นจุดแสงแวววาว ขวานกระดูกบนมือก็กลายเป็นแสงสีขาวฟันลงบนแสงกระบี่


หลังจากแสงกระบี่เปล่งประกายอย่างบ้าคลั่งสองสามที มันก็ดูมืดลงไปเล็กน้อย หลังจากหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบแล้ว มันก็ดับแสงลงและกลายร่างเป็นชายหนุ่มชุดผ้าแพร ซึ่งก็คือซาทงเทียนนั่นเอง


ขณะนี้เขากำลังถือกระบี่ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็กำหินจิตวิญญาณระดับสูงไว้ สีหน้าของเขาซีดขาวเป็นอย่างมาก และกำลังหายใจหอบอยู่ เห็นได้ชัดว่าใกล้จะยืนหยัดไม่ไหวแล้ว


ตรงหน้าเขาไม่ไกล มีโครงกระดูกยักษ์อีกสองตัว ภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีเทาในมือ หอกกระดูกสีเทาสองเล่มที่ยาวจั้งกว่าๆ ก็ก่อตัวขึ้นมา พอโยนออกไป มันก็กลายเป็นแสงสีเทาสองลำพุ่งเข้าหาเขาด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบ


หอกกระดูกพร่ามัวกลางอากาศอยู่ครู่หนึ่ง ก็กลายเป็นเงาหอกหลายสิบเล่มที่ดูเหมือนกันไม่มีผิด และพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว


ซาทงเทียนหางตากระตุกเล็กน้อย พอกัดฟันทำท่าเคล็ดกระบี่ ร่างของเขาก็กลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งออกไป ทำให้เงาหอกหลายเล่มที่พุ่งมาแตกกระจาย พอหมุนวนหนึ่งรอบอย่างรวดเร็ว ก็พอจะหลบหลีกเงาหอกกระดูกที่เหลือไปได้ และพุ่งเข้าใส่โครงกระดูกอีกตัวหนึ่ง


“ฟิ้ว!” แสงสีเขียวกระพริบผ่านโครงกระดูกไป ทำให้โครงกระดูกที่สูงสามจั้งระเบิดตัวเป็นจุดแสง


แต่ภายใต้แรงสะเทือนของแรงระเบิด แสงสีเขียวก็กลายเป็นเงาร่างของคนอีกครั้ง


ซาทงเทียนยังไม่ทันตั้งหลักได้ โครงกระดูกอีกตัวก็พุ่งเข้ามาถึง มันหัวเราะแปลกๆ จากนั้นค้อนกระดูกในมือก็โจมตีใส่หลังของเขาอย่างรวดเร็ว


ซาทงเทียนแอบร้องอุทานด้วยความตกใจ คิดจะแสดงวิธีการหลบหลีก แต่พลังเวทในร่างกลับหยุดชะงัก จากนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดที่หลัง และกระเด็นออกไปในพริบตา


เขากัดฟันหยิบยันต์หลายผืนออกจากชุดผ้าแพรด้วยความเจ็บปวด และยิงเข้าใส่โครงกระดูก จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง และตะโกนคำว่า “ระเบิด!” ออกมา


“ตู้ม!”


โครงกระดูกยักษ์จมอยู่ท่ามกลางแสงไฟในพริบตา จากนั้นก็ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาอีก


ขณะนั้นเอง มีเสียงดัง “ฟิ้ว!” ซาทงเทียนรู้สึกเจ็บที่ไหล่ซ้าย ที่แท้เขาก็ถูกลูกธนูสีขาวเจาะทะลุไป


ห่างจากเขาไปไม่ไกล ไม่รู้ว่าโครงกระดูกยักษ์ตัวสุดท้ายถือธนูกระดูกยักษ์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ขณะนี้กำลังอยู่ในท่ายิงธนูอยู่


ซาทงเทียนหัวเราะอย่างขมขื่น จากนั้นดวงตาทั้งคู่ก็มืดลง แสงสีเขียวม้วนตัวขึ้นมาจากใต้เท้า


……


นอกเจดีย์ซวีหลิง


แสงสีเขียวม้วนตัวออกจากเจดีย์ชั้นที่สามสิบห้า พอแสงดับลงก็เผยให้เห็นร่างของซาทงเทียน จากนั้นก็ตกลงพื้นอย่างหนักหน่วง


“น่าชิงชังยิ่งนัก! อีกนิดเดียวเอง”


ซาทงเทียนมีสีหน้าซีดขาว ดูเหมือนว่าพลังเวทในร่างจะถูกใช้ไปจนหมด หลังจากพลิกตัวลุกขึ้นมาได้ ก็รีบหยิบขวดเล็กสีดำออกจากยันต์เก็บของออกมาใบหนึ่ง และเทโอสถสีทองออกมาทานหนึ่งเม็ด


ตอนที่ 599 อสูรสิงโตพยัคฆ์

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ชั้นสามสิบห้าเป็นปีศาจระดับของเหลวขั้นปลายสี่ตัว พลังที่แท้จริงเหนือกว่าระดับผลึกขั้นต้น ประกอบกับการที่ไม่สามารถนำอสูรเลี้ยงกับหุ่นอื่นๆ เข้าไปช่วยได้ และผู้ฝึกฝนสายกระบี่ก็ใช้พลังเวทค่อนข้างมาก เจ้าสามารถบุกไปถึงชั้นสามสิบห้าได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว” เหยียนหลงเฟยมองดูทีหนึ่งแล้วกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ


ซาทงเทียนหัวเราะอย่างขมขื่น แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา


ขณะนั้นเอง ศิษย์หญิงยอดเขาเลื่อนลอยที่อยู่บริเวณนั้นกลับส่งเสียงร้องออกมาด้วยความดีอกดีใจ เมื่อมองตามสายตาของพวกนางไป จะเห็นว่าอักขระอีกตัวบนเจดีย์ชั้นที่สามสิบห้าดับมืดลง จากนั้นอักขระบนชั้นที่สามสิบหกก็เปล่งแสงออกมา


“ศิษย์น้องเจียหลานบุกขึ้นไปถึงชั้นที่สามสิบหกแล้ว!” ศิษย์หญิงชุดสีขาวที่เป็นหัวหน้ากล่าวด้วยความปลาบปลื้ม


หลงเหยียนเฟยได้ยินก็มองไปยังชั้นสามสิบหกเช่นเดียวกัน


และใบหน้าซีดขาวของซาทงเทียนก็เผยสีหน้าตกใจออกมา ดวงตาของเขาเป็นประกาย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่


คนที่อยู่ในเจดีย์อีกคนก็คือเจียหลานนั่นเอง


ศิษย์สายในของยอดเขาอื่นๆ อีกสองสามคน ก็พากันกระซิบกระซาบอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่ากำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของเจียหลานอยู่


……


ขณะที่เจียหลานบุกไปถึงชั้นที่สามสิบหกนั้น หลิ่วหมิงก็บุกมาถึงชั้นที่ยี่สิบหกแล้ว


ตั้งแต่ชั้นนี้เป็นต้นไป หลิ่วหมิงรู้สึกว่าห้องโถงจะกว้างใหญ่กว่าเดิมไม่น้อย ดูเหมือนว่าจะมีพื้นที่บริเวณรอบๆ หลายลี้


และสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าในตอนนี้ก็คือหุ่นนักรบระดับของเหลวขั้นกลางจำนวนสองตัว ดูเหมือนว่าหุ่นทั้งสองจะรู้ใจกันมาก หนึ่งในนั้นถือกระบี่ยักษ์สีฟ้าที่ยาวสองสามจั้ง อีกตัวก็ถือโล่ยักษ์สีแดงขนาดจั้งกว่าๆ


แม้จะบอกว่าเป็นหุ่นระดับของเหลวขั้นกลาง แต่หลิ่วหมิงยังคงไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้น ภายใต้การสั่นสะท้านของกระบี่สีเทาในมือ ปราณกระบี่สีเทาจำนวนมากก็ม้วนตัวออกไป


แต่ทว่าพอหุ่นสองตัวนี้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ก็พอที่จะหลบการโจมตีจากวิชาขี่กระบี่ของหลิ่วหมิงได้ และพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงทันที


หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัด แววสังหารปรากฏในดวงตา และร่างของเขาก็พร่ามัวมาอยู่ตรงหน้าหุ่นตัวหนึ่ง


ดูเหมือนว่าหุ่นตัวนี้จะปราดเปรียวเป็นอย่างมาก และไม่ได้ทำการโจมตีใดๆ แต่กลับพุ่งถอยออกไป ส่วนหุ่นตัวที่ถือโล่ยักษ์สีแดงก็กระพริบมาอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงเปลี่ยนคาถาในทันที พอคว้ามือข้างหนึ่งไปข้างหน้า ฝ่ามือยักษ์สีดำข้างหนึ่งก็โจมตีออกไป


“ตู้ม!” หมอกดำพุ่งขึ้นฟ้า มีแสงทรงกลดสีแดงปะปนอยู่ในนั้น ซึ่งก็คือแสงสีแดงที่โล่ยักษ์ปล่อยออกมานั่นเอง


มีเพียงรอยเล็บจางๆ ปรากฏบนผิวโล่สีแดงสามเส้นเท่านั้น แต่ไม่มีวี่แววว่าจะเกิดความเสียหายร้ายแรงแต่อย่างใด


หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว หากใช้วิชาขี่กระบี่ในตอนนี้ล่ะก็ คงจะเอาชนะศัตรูได้อย่างง่ายดาย แต่พลังเวทก็จะสูญเสียไปไม่น้อย ตอนนี้เข้าใกล้ชั้นที่สามสิบแล้ว จะต้องลดการใช้พลังเวทหน่อย


เพราะหลังจากโจมตีหุ่นในห้องโถงจนพ่ายแพ้แล้ว ก็จะถูกส่งไปต่อสู้ยังชั้นถัดไปทันที


หลังจากหลิ่วหมิงกลอกลูกตาไปมาแล้วก็วางแผนไว้ในใจ จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัว


ครู่ต่อมา เขามาปรากฏตัวตรงหน้าหุ่นที่ถือกระบี่ยักษ์สีฟ้าอีกครั้ง


แต่พอหุ่นตัวนี้เห็นเช่นนี้กลับไม่คิดจะต่อสู้เลยแม้แต่น้อย มันหมุนตัวทันทีเพื่อคิดหลบหนี แต่เงาสีเทาก็พุ่งเข้ามาจากอีกด้านหนึ่ง


ขณะนั้นเอง ปราณกระบี่รูปเกลียวก็พุ่งออกจากมือหลิ่วหมิง มันคือเคล็ดดัชนีกระบี่ที่หลิ่วหมิงแอบก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่แรกแล้ว


“ตู้ม!”


ปราณกระบี่ไร้รูปสายหนึ่งกระพริบผ่านไป กระบี่ยักษ์เจาะทะลุหัวของหุ่นร่างมนุษย์ และขณะนี้มันหยุดชะงักอยู่ในท่าวิ่งหนีอยู่ จากนั้นก็ระเบิดออกมาเป็นจุดแสง


ขณะเดียวกัน หุ่นที่ถือโล่ยักษ์สีแดงก็เพิ่งเข้ามาถึง แต่กลับช้าไปก้าวหนึ่ง


หลังจากหลิ่วหมิงโจมตีสำเร็จแล้ว ร่างของเขาก็หายวับออกไปหลายจั้ง และหยิบโอสถจินหยวนจากแหวนย่อส่วนมาทานหนึ่งเม็ดอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นก็หยิบหินจิตวิญญาณระดับสูงออกมากำไว้ในมือหนึ่งก้อน เพื่อใช้ฟื้นฟูพลังเวท


ขณะที่หลิ่วหมิงคิดจะเยื้อเวลาให้ยาวออกไปนั้น หุ่นที่เดิมทีอาศัยการป้องกันเป็นหลักโดยไม่ค่อยลงมือโจมตี ก็กระโจนเข้าหาหลิ่วหมิงอย่างบ้าคลั่งด้วยความเร็วที่เร็วกว่าหน้านั้นหนึ่งเท่า


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เผยแววตาประหลาดใจออกมา


ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีทางเลี่ยง เขาจึงกระตุ้นเคล็ดวิชาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ทำให้ไอหมอกดำม้วนออกจากตัว ในระหว่างที่ร่างของเขาเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็วนั้น ก็ฟันโล่ยักษ์สีแดงที่พุ่งเขามาจนขาด จากนั้นก็ฟันลงบนคอของหุ่นตัวนี้อย่างรุนแรง


“ตู้ม!” หุ่นร่างมนุษย์ระเบิดตัวออกมาโดยไม่รอให้หลิ่วหมิงโจมตี


ภายใต้ความตกใจ หลิ่วหมิงรีบกระตุ้นไอดำอันพวยพุ่งให้คุ้มกันร่างไว้ และพุ่งถอยออกไปทันที


ขณะนั้นเอง เขาได้ยินเสียงดังอยู่ข้างหู แสงสีเขียวม้วนตัวตรงใต้เท้า และภาพตรงหน้าก็กลายเป็นสีดำ


เมื่อเขามองเห็นทุกอย่างชัดเจนอีกครั้ง ก็ค้นพบว่าตนเองมาปรากฏตัวที่ชั้นยี่สิบเจ็ดแล้ว


……


ผ่านไปราวๆ หนึ่งชั่วยาม การต่อสู้ท่ามกลางเจดีย์ซวีหลิงบนชั้นที่สามสิบหกก็กำลังดำเนินอย่างดุเดือด


ภายในห้องโถงแห่งนี้เต็มไปด้วยระลอกคลื่นสีฟ้าเป็นชั้นๆ ในระหว่างที่แสงสีฟ้าเปล่งประกาย เงาร่างหญิงสาวชุดสีฟ้าสิบกว่าเงา ก็กำลังหลบหลีกแสงสีแดงเจิดจ้าที่พุ่งเข้ามาอยู่


ทันใดนั้น คลื่นอัคคียักษ์ที่สูงสิบกว่าจั้ง ก็พุ่งมาทางด้านหลังของเงาร่างสีฟ้า ดูเหมือนจะปกคลุมเงาร่างทั้งหมดไว้ในนั้น


ขณะนี้ เงาร่างสีฟ้าก็รวมตัวกันเป็นชั้นๆ เผยให้เห็นเงาร่างอรชรสีฟ้าของหญิงนางหนึ่ง จากนั้นยันต์ผืนหนึ่งก็พุ่งออกจากแขนเสื้อของนาง และกลายเป็นเกราะป้องกันสีทองจางๆ คลุมนางไว้


ครู่ต่อมา คลื่นยักษ์สีแดงก็พวยพุ่งเข้ามาถึง!


“โครมคราม!”


เกราะป้องกันสีทองสั่นสะท้านเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็กลับมามั่นคงเช่นเดิม


คลื่นยักษ์ม้วนตัวไปด้านหลัง พอแสงดับลง ปีศาจอสูรครึ่งสิงโตครึ่งพยัคฆ์ก็มาปรากฏเหนือศีรษะของหญิงชุดฟ้า มันคำรามเสียงออกมา หลังจากมีแสงเปล่งประกายในแววตา มันก็อ้าปากพ่นสายฟ้าสีเงินฟันลงไป


หญิงสาวชุดฟ้ากระตุ้นพลังเวทใส่เกราะป้องกันสีทองด้วยความตกใจ


“เพล้ง!”


เกราะป้องกันสีทองยืนหยัดได้เพียงพริบตาเดียว ก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ภายใต้การทำท่ามือของหญิงชุดฟ้า ร่างของนางก็กลายเป็นแสงสีฟ้าพุ่งออกไปด้านหลัง


แต่ทว่าในขณะนั้นเอง พายุบ้าระห่ำสีแดงสามลูกที่สูงหลายจั้งได้ก่อตัวขึ้นกลางอากาศ พริบตาเดียวก็พัดมาด้านหลังของนาง และปิดทางหนีไว้……


ครู่ต่อมา สายรุ้งสีเขียวก็พุ่งออกจากเจดีย์ชั้นที่สามสิบหก และกระแทกใส่ต้นไม้ที่อยู่ห่างจากเจดีย์ไปไม่ไกล


“ตุ๊บ!”


หลังจากแสงสีเขียวดับลง หญิงสาวชุดฟ้าก็ค่อยๆ ร่วงลงจากต้นไม้ นางก็คือเจียหลานที่ถูกเจดีย์ซวีหลิงถีบออกมานั่นเอง


แต่ว่าใบหน้างดงามของนางไม่มีเลือดฝาดเลยแม้แต่น้อย ดวงตางดงามทั้งคู่ปิดสนิท กลิ่นไอบนตัวก็ดูอ่อนแรงเป็นอย่างมาก


“ศิษย์น้องเจียหลาน เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”


หญิงชุดขาวที่อยู่นอกเจดีย์รีบพุ่งออกจากกลุ่มคนมาอยู่ตรงหน้าเจียหลานทันที นางนำยันต์สีขาวมาขยี้แล้วนำมาแปะไว้บนหน้าอก จากนั้นแสงสีขาวอันนุ่มนวลก็ปรากฏออกมา


หลังจากเปล่งประกายไม่กี่ที ใบหน้าของเจียหลานถึงดูดีขึ้นเล็กน้อย


ขณะเดียวกัน ซาทงเทียนก็หายวับมาปรากฏตัวอยู่ด้านข้าง และส่งยันต์รักษาเข้าไปในร่างของนาง จากนั้นศิษย์ยอดเขาเลื่อนลอยคนอื่นๆ ก็ทยอยกันเข้ามา


“ขอบคุณศิษย์พี่อิน คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นปลายทั้งสี่ตัวบนเจดีย์ชั้นที่สามสิบหก แต่ละตัวจะมีพลังไม่ด้อยไปกว่าระดับผลึกเลย ทั้งยังมีคุณสมบัติสี่ประการ พอมันรับมือไม่ได้ก็ใช้วิชารวมร่างเป็นอสูรสิงโตพยัคฆ์ตัวหนึ่งที่มีพลังระดับแก่นเสมือน วิชาที่ข้ามีทำอะไรมันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย” ดูเหมือนว่าเจียหลานจะได้รับบาดเจ็บไม่มาก ภายใต้การประคองของหญิงชุดขาว หลังจากนางนั่งตัวตรงได้แล้ว ก็กล่าวด้วยสีหน้าเสียดายเล็กน้อย


“ศิษย์น้องเจียหลาน เจ้าเพิ่งทะลวงระดับผลึกมาได้ไม่นาน สามารถบุกไปถึงเจดีย์ชั้นที่สามสิบหกได้ ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ปีนั้นศิษย์พี่บุกไปถึงชั้นที่สามสิบสี่ก็ถูกส่งตัวออกมาแล้ว” หญิงชุดขาวพูดปลอบโยนเบาๆ ขณะเดียวกันก็หันไปมองซาทงเทียนทีหนึ่ง


“เอ๊ะ! ไม่รู้ว่าศิษย์ระดับของเหลวที่สามารถผ่านด่านชั้นที่สามสิบหกได้ เป็นคนประเภทใดกันแน่” เจียหลานถอนหายใจเบาๆ


หลังจากซาทงเทียนเห็นว่าเจียหลานไม่เป็นอะไรมากแล้ว ก็หันไปมองอักขระบนเจดีย์ชั้นสามสิบสี่ที่เปล่งประกายออกมา


“ศิษย์พี่หลง ไม่ทราบว่านอกจากข้ากับเจียหลานแล้ว ยังมีใครบุกเจดีย์อยู่หรือไม่ ทั้งยังบุกไปถึงชั้นที่สามสิบสี่ด้วย” ซาทงเทียนถามออกมาทันที


ขณะนี้ คนจำนวนไม่น้อยต่างก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีคนบุกเจดีย์อีกคนจริงๆ ทั้งยังเป็นแค่ศิษย์สายนอกที่มีการฝึกฝนระดับของเหลวเท่านั้น


“ศิษย์น้องหลิ่วมีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นปลาย คิดไม่ถึงว่าจะบุกถึงชั้นที่สามสิบสี่ได้ ช่างมีพลังยอดเยี่ยมจริงๆ สมกับเป็นอันดับหนึ่งในงานประลองใหญ่” หลงเหยียนเฟยเห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าตกใจออกมา


“อะไรนะ! ท่านพูดถึง…… หลิ่วหมิง?” ซาทงเทียนเบิกตากว้าง และสีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป


เจียหลานได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจขึ้นมา ดวงตางดงามรีบมองไปทางเจดีย์ยักษ์ทันที


นางเพิ่งบุกเจดีย์ซวีหลิงไป ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในนั้นนางยังจำได้ดี โดยเฉพาะตอนที่ไปถึงเจดีย์ชั้นที่สามสิบ จะเป็นชั้นที่ยากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับการที่ไม่มีเวลาในการฟื้นฟูพลังเวท ก็รู้สึกรับมือไม่ไหวเล็กน้อยแล้ว


หลิ่วหมิงยังอยู่แค่ระดับของเหลว คิดไม่ถึงว่าจะบุกถึงชั้นที่สามสิบสี่ได้!


ขณะที่ผู้คนกำลังกระซิบกระซาบคาดเดากันว่าผู้ที่บุกรุกเจดีย์เป็นใครนั้น ฉากที่ทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่หยุดก็ได้ปรากฏขึ้น!


อักขระบนเจดีย์ชั้นที่สามสิบสี่มืดลง และชั้นที่สามสิบห้ากลับเปล่งประกายออกมา……


บรรดาศิษย์ทั้งหลายพากันฮือฮาขึ้นมาทันที


ท่ามกลางห้องโถงบนเจดีย์ชั้นที่สามสิบห้า


หลิ่วหมิงกำลังกุมหินจิตวิญญาณระดับสูงก้อนหนึ่งไว้แน่น และยืนนิ่งฟื้นฟูพลังเวทอยู่กับที่ด้วยความระแวดระวัง


หุ่นยักษ์ทั้งสี่ตัวในเจดีย์ชั้นที่สามสิบสี่ในเมื่อครู่ มีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว เมื่อทั้งสี่รวมพลังกันก็พอที่จะเทียบกับระดับผลึกขั้นต้นได้


แม้จะบอกว่าพลังของหลิ่วหมิงในตอนนี้ สามารถรับมือกับหุ่นทั้งสี่ได้ไม่ยาก เพียงแค่ใช้ทรายทองคำร่วงกับมุกพลังวารีก็สามารถเอาชนะได้โดยง่ายแล้ว แต่ยังคงสูญเสียพลังเวทค่อนข้างมาก


เพื่อการฟื้นฟูพลังเวทให้ได้ไวที่สุด เขาถือโอกาสที่ยังไม่ถูกส่งตัวไปยังชั้นถัดไป หยิบโอสถจินหยวนจากหอยสังข์ย่อส่วนมาทานหนึ่งเม็ด ขณะเดียวกันก็ดูดซับปราณจิตวิญญาณจากหินจิตวิญญาณอย่างรวดเร็ว


ตอนที่ 600 ชั้นที่สามสิบห้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงเลิกคิ้วขึ้นมา ทันใดนั้นก็รับรู้ถึงแรงกดดันระดับของเหลวขั้นปลายสมบูรณ์แบบสี่สายพุ่งมาจากด้านหน้า


ครู่ต่อมา กลุ่มไอหมอกสีเทาสลัวๆ ก็มาปรากฏตรงหน้าห้องโถง ขณะที่ไอหมอกพวยพุ่งนั้น จะเห็นว่ามีเงาร่างสูงใหญ่สี่เงาพุ่งเข้ามา


พอหลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ก็มองเห็นอย่างชัดเจน ที่แท้เงาร่างสูงใหญ่ทั้งสี่ ก็เป็นโครงกระดูกมนุษย์สี่ตัว


โครงกระดูกแต่ละตัวล้วนสูงสองจั้งกว่าๆ กระดูกสีขาวโพลนขนาดใหญ่โผล่ออกมาด้านนอก แสงสีเขียวหมุนวนอยู่ในดวงตาทั้งคู่ ในระหว่างที่มันหายใจนั้น ก็มีไอหยินสีขาวเป็นเส้นๆ เข้าออกอยู่ไม่หยุด


ดูเหมือนโครงกระดูกทั้งสี่จะยืนเป็นรูปสี่เหลี่ยม ดูคล้ายๆ ค่ายกลรบแปลกประหลาดบางอย่าง


แต่หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ เพียงแค่โจมตีได้ตัวหนึ่งจะต้องทำให้พลังของพวกมันลดลงไปเป็นอย่างมาก


หลิ่วหมิงวางแผนในใจอย่างรวดเร็ว พอสะบัดข้อมือก็มีเสียงดังออกมา กระบี่เล็กสีเทาสลัวๆ หล่นลงในมือ เขาปล่อยพลังเวทเข้าไปในกระบี่เล็กโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง


ครู่ต่อมา กระบี่เล็กก็เปล่งแสงสีเทาทันที ลวดลายจิตวิญญาณเล็กละเอียดจำนวนมากปรากฏออกมาติดต่อกัน ชั้นกำจัดค่ายกลยี่สิบหกชั้นถูกกระตุ้นออกมาทั้งหมด


มือข้างหนึ่งสั่นสะท้านเบาๆ กระบี่เล็กหลุดออกจากมือทันที มันแผ่แสงทรงกลดสีเทากลางอากาศ และขยายตามแรงลมจนมีขนาดเจ็ดแปดจั้ง


หลิ่วหมิงหยุดทำท่ามือทันที จากนั้นก็ตะคอกออกมา “ไป!!”


เกิดเสียงดังกังวาน!


แสงกระบี่สั่นสะท้านกลางอากาศเบาๆ จากนั้นก็กลายเป็นแสงเย็นสะท้านพวยพุ่งไปยังโครงกระดูกตรงหน้า


เมื่อเผชิญหน้ากับแสงกระบี่ที่พุ่งเข้ามา ดวงตาทั้งแปดของโครงกระดูกยักษ์ทั้งสี่ ก็เปล่งแสงสีเขียวออกมา ขณะเดียวกันก็อ้าปากพ่นลูกแสงสีขาวดำออกมาหนึ่งกลุ่ม มันประสานกันไปมาจนกลายเป็นกลุ่มแสงขนาดจั้งกว่าๆ และพุ่งออกไปรับมือกับแสงกระบี่


“ฟู่!”


พอแสงกระบี่สัมผัสกับลูกแสง มันก็สั่นสะท้านและเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง ทั้งยังเชื่องช้าลงเป็นอย่างมาก


โครงกระดูกยักษ์ทั้งสี่ชี้ผ่านอากาศไปยังลูกแสงพร้อมกัน


“ตู้ม!” ลูกแสงระเบิดออกมาในพริบตา และม้วนเอาคลื่นไปปกคลุมแสงกระบี่ทั้งหมดไว้


“เต๊ง!”


กระบี่เล็กที่ยาวหลายจั้งร่วงลงจากด้านบน และดูราวกับว่าจะสูญเสียจิตวิญญาณไปจนหมดสิ้นแล้ว


สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปในทันที พอคว้ามือข้างหนึ่งออกไป กระบี่เล็กสีเทาก็ดีดตัวแล้วพุ่งกลับมาอีกครั้ง


ดูเหมือนว่าลูกแสงที่โครงกระดูกเหล่านี้พ่นออกมา จะมีผลในการควบคุมวิชาขี่กระบี่มาก เช่นนี้แล้ว วิชาขี่กระบี่ที่เขาไว้วางใจก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผลแล้ว และหากยืดเวลาในการต่อสู้นานออกไป จะทำให้สูญเสียพลังเวทเป็นอย่างมาก ซึ่งไม่เอื้ออำนวยต่อการผ่านด่านชั้นที่สามสิบหก


ขณะนั้นเอง ลูกแสงที่มีแสงสีขาวดำประสานกันไปมา กลับเปล่งประกายกลางอากาศ และพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงอีกครั้ง


หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกายเยือกเย็น เขาชี้มือข้างหนึ่งไปทางลูกแสงสีขาวดำ จากนั้นปราณกระบี่ไร้รูปก็พุ่งออกจากปลายนิ้ว


“เพล้ง!” มีเสียงระเบิดดังออกมา ลูกแสงสีขาวดำระเบิดตัวกลางอากาศ


พอเห็นฉากเช่นนี้ เขาต้องร้องอุทานเบาๆ อย่างอดไม่ได้ ดวงตาเผยแววยินดีออกมา


แม้ว่าวิชาขี่กระบี่จะทำอะไรเปลวไฟทองคำไม่ได้ แต่ดัชนีกระบี่กลับได้ผลยิ่งนัก


พอหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองมาถึงจุดนี้ ก็กระตุ้นเคล็ดวิชาในทันที ไอดำรอบตัวพวยพุ่ง พริบตาเดียวก็กลายเป็นเงาร่างอีกเงา เงาร่างทั้งสองพุ่งเข้าหาโครงกระดูกทั้งสี่พร้อมกัน หลังจากหมุนติ้วๆ แล้ว เงากำปั้นจำนวนมากก็ทุบเข้าใส่โครงกระดูกอย่างบ้าคลั่ง


แม้ว่าโครงกระดูกทั้งสี่จะมีรูปร่างขนาดใหญ่ แต่การเคลื่อนไหวกลับไม่เชื่องช้า ภายใต้การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ก็สามารถหลบการโจมตีของหลิ่วหมิงไปได้ทั้งหมด ขณะเดียวกันแสงสีเขียวก็หมุนวนในดวงตาของมัน จากนั้นก็พ่นลูกแสงสีขาวดำใส่หลิ่วหมิงอีกครั้ง


แต่ว่าเมื่อโครงกระดูกเหล่านี้ถูกท่าร่างแปลกประหลาดของหลิ่วหมิงโจมตีอยู่พักหนึ่ง การก่อตัวของมันก็ดูเหมือนจะวุ่นวายขึ้นมา ภายใต้สถานการณ์ที่ลูกแสงสีขาวดำเหล่านั้นไม่อาจรวมตัวกันได้ เห็นได้ชัดว่าพลังของมันลดลงไปเป็นอย่างมาก


ในระหว่างที่หลิ่วหมิงเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็ว ก็สามารถหลบหลีกลูกแสงสีขาวดำที่พุ่งเข้ามาได้ พริบตาเดียวก็มาปรากฏตัวอยู่ด้านข้างโครงกระดูกยักษ์ตัวหนึ่ง ปราณกระบี่ก่อตัวบนนิ้วข้างหนึ่ง จากนั้นปราณกระบี่รูปเกลียวก็พุ่งยิงออกไป


ฉากที่เขาคิดไม่ถึงได้ปรากฏขึ้นแล้ว โครงกระดูกอีกตัวกลับกระพริบออกมา และใช้โล่กระดูกมาต้านทานไว้ตรงหน้า


“ตู้ม!” โล่กระดูกระเบิดออกมาทันที!


โครงกระดูกสองตัวถูกพลังสะท้อนกลับจนกระเด็นออกไป และปราณกระบี่ก็ต้านทานจนสลายไปเช่นกัน


โครงกระดูกทั้งสี่ร่วมมือกันเป็นอย่างดี หากไม่สามารถทำลายตัวใดตัวหนึ่งได้ เกรงว่าจะรับมือได้ยากยิ่งขึ้น


หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญเช่นนี้ จากนั้นร่างของเขาพร้อมด้วยเงาหนึ่งเงาก็พุ่งไปยังมุมบอดที่โครงกระดูกทั้งสี่มองไม่เห็น เขารีบคว้าโอกาสกระตุ้นกระบี่เล็กในแขนเสื้อทันที กลิ่นไอกระบี่ประทุออกจากร่าง จากนั้นร่างของเขาก็กลายเป็นแสงกระบี่ที่ยาวหลายจั้งในพริบตา และพุ่งเข้าใส่โครงกระดูกยักษ์ตัวหนึ่ง


การโจมตีด้วยวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งในครั้งนี้ หลิ่วหมิงไม่คิดจะเก็บพลังไว้เลยแม้แต่น้อย หลังจากแสงสีเทากระพริบผ่านไป มันก็เจาะทะลุหัวกะโหลกขนาดใหญ่


“ตู้ม!” โครงกระดูกสีขาวตัวนั้นระเบิดออกมา ท่อนกระดูกแตกสลายกลายเป็นจุดแสง


หลังจากแสงสีเทาดำลงแล้ว ก็เผยให้เห็นร่างของหลิ่วหมิงที่ถือกระบี่สีเทาอยู่


หลังจากสังหารโครงกระดูกไปตัวหนึ่งแล้ว เขากลับไม่คิดจะใช้วิชาขี่กระบี่ที่ทำให้สูญเสียพลังเวทมากเช่นนี้อีก มิเช่นนั้นต่อให้จะสังหารโครงกระดูกที่เหลือได้ ก็คงไม่สามารถผ่านชั้นที่สามสิบหกไปได้


ดูเหมือนว่าโครงกระดูกสามตัวที่เหลือ จะรับรู้ได้ว่าสหายของพวกมันหายไป จึงระเบิดอารมณ์โมโหออกมาพร้อมกัน ภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีขาวดำบนตัว แรงกดดันที่เข้าใกล้ระดับผลึกก็แผ่ออกมา และพุ่งเข้าไปหาหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัด หลังจากร่างของเขาพร่ามัวแล้ว ก็พุ่งเข้าใส่หุ่นตัวหนึ่ง


ขณะนี้ โครงกระดูกทั้งสามก็ถือหอกกระดูกสีขาวไว้ และขว้างใส่หลิ่วหมิง


หอกกระดูกพร่ามัวกลางอากาศ จากนั้นก็แยกออกเป็นยี่สิบกว่าเล่ม และพุ่งมาตรงหน้าหลิ่วหมิง


พอหลิ่วหมิงบิดเอว ร่างของเขาก็พร่ามัวกลางอากาศ จากนั้นก็แยกร่างเป็นสองจนหลบหอกกระดูกจำนวนมากได้ พอเปลี่ยนท่ามือ ปราณกระบี่โปร่งแสงห้าสาย ก็พุ่งยิงออกไปรับมือกับหอกกระดูกทั้งห้า


เกิดเสียงดังก้องฟ้า!


พริบตาเดียว เงาร่างทั้งสองที่หลิ่วหมิงสร้างขึ้นมา ก็เจาะทะลุร่างของโครงกระดูกตัวหนึ่ง


ขณะนั้นเอง โครงกระดูกตัวนี้ก็หันไปจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยแววตาโหดเหี้ยม ดวงตาทั้งคู่กลายเป็นสีแดงก่ำ


“ตู้ม!” เกิดเสียงดังขึ้นภายในห้องโถง


โครงกระดูกระเบิดตัวออกมาเอง หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลง จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวอยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดจั้ง


ขณะนั้นเอง มีคลื่นสั่นสะเทือนตรงด้านหลัง จากนั้นโครงกระดูกอีกตัวก็ปรากฏออกมา ไม่รู้ว่าในมือถือค้อนกระดูกตั้งแต่เมื่อไหร่ และมันก็ทุบเข้ามาอย่างรุนแรง


หลิ่วหมิงบิดตัวกลางอากาศจนหลบค้อนกระดูกไปได้ และชี้นิ้วใส่หัวกระโหลกของโครงกระดูกโดยไม่หันหน้ากลับมา ปราณกระบี่รูปเกลียวพุ่งยิงออกไป


“โพล๊ะ!” ด้วยระยะห่างอันใกล้เช่นนี้ โครงกระดูกยักษ์ไม่อาจหลบเลี่ยงได้ หัวกะโหลกของมันระเบิดออกมาในทันที และร่างของมันก็กลายเป็นจุดแสง


ตั้งแต่โครงกระดูกทั้งสามโจมตีหลิ่วหมิง หนึ่งในนั้นมีตัวหนึ่งที่ระเบิดตัวเอง อีกตัวก็ถูกหลิ่วหมิงใช้ดัชนีกระบี่ยิงหัวกะโหลก ซึ่งใช้เวลาแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้น


ขณะนี้เหลือโครงกระดูกยักษ์ตัวสุดท้ายแล้ว และหลิ่วหมิงก็สูญเสียพลังเวทไปจำนวนหนึ่ง


พอเขาขมวดคิ้วสะบัดแขนเสื้อ ทรายทองคำร่วงก็ม้วนตัวออกมา จากนั้นก็นั่งลงพื้นและหยิบหินจิตวิญญาณระดับสูงออกมาฟื้นฟูพลังเวท


ดูเหมือนว่าโครงกระดูกตัวที่เหลือจะเกิดความบ้าคลั่งขึ้นมา มันคำรามด้วยเสียงแปลกประหลาด จากนั้นก็พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงอย่างบ้าคลั่ง


ครู่ต่อมา พอหลิ่วหมิงเปลี่ยนท่ามือ ค่ายกลทรายสีทองก็ปรากฏขึ้นรอบๆ โครงกระดูก และห่อหุ้มมันไว้ด้านในอย่างแน่นหนา จนไม่อาจขยับตัวได้เลยแม้แต่น้อย


ที่แท้เขาก็คิดจะใช้วิชาหนึ่งจิตสองพลัง ด้านหนึ่งกระตุ้นทรายทองคำร่วงให้ก่อตัวเป็นค่ายกลกักขัง เพื่อกักขังโครงกระดูกตัวสุดท้ายไว้ ด้านหนึ่งก็ช่วงชิงเวลามาทานโอสถกับใช้จิตวิญญาณฟื้นฟูพลังเวท


หลิ่วหมิงนำโอสถจินหยวนจากแหวนย่อส่วนมาทานหนึ่งเม็ด และใช้มือข้างหนึ่งกุมหินจิตวิญญาณเพื่อดูดซับพลังจิตวิญญาณอยู่ไม่หยุด


หลังผ่านการฝ่าด่านมาสามสิบกว่าชั้น เขาก็รู้ว่าในเจดีย์ซวีหลิงดูเหมือนจะมีชั้นจำกัดบางอย่าง พอค้นพบว่าผู้ฝ่าด่านหยุดอยู่ที่ชั้นใดชั้นหนึ่งเป็นเวลานาน อสูรมายาในชั้นนั้นก็จะบ้าระห่ำมากขึ้นกว่าเดิม และพลังของมันก็เพิ่มขึ้นจนระเบิดตัวเองทำร้ายศัตรูได้


ขณะที่เวลาค่อยๆ ผ่านไป เปลวเพลิงสีขาวดำในทรายทองคำร่วงก็โจมตีผนังทรายอยู่ไม่หยุด ทำให้เกิดแสงสีทองเปล่งประกายแวววาว และเริ่มไม่มั่นคงขึ้นมาเล็กน้อย


ทันใดนั้นมีเสียงดังขึ้นมา แสงสีขาวดำพุ่งออกจากทรายทองคำ หลังจากม้วนตัวออกไปแล้ว โครงกระดูกก็แผ่กลิ่นไอระดับผลึกออกมา ในมือถือขวานกระดูกขนาดใหญ่ เปลวไฟสีเขียวพวยพุ่งอยู่ในดวงตาทั้งคู่ จากนั้นก็พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงพร้อมเสียงคำราม


“นี่ก็พอประมาณแล้ว!”


หลิ่วหมิงยิ้มมุมปาก ร่างของเขาขยับแค่ทีเดียว ก็มาปรากฏตัวด้านหลังโครงกระดูกยักษ์อย่างน่าประหลาดใจ กระบี่จิตวิญญาณสีเทาในมือสั่นสะท้าน แสงสีเทาเย็นสะท้านม้วนตัวออกไป……


นอกเจดีย์ซวีหลิงในขณะนี้


“ใช้เวลานานขนาดนี้ ดูท่าศิษย์น้องหลิ่วคงติดค้างอยู่ที่ชั้นสามสิบห้าแล้ว” หลงเหยียนเฟยจ้องมองอักขระที่เปล่งประกายบนชั้นสามสิบห้าแล้วขมวดคิ้วกล่าวออกมา


“โครงกระดูกยักษ์บนชั้นที่สามสิบห้าร้ายกาจมาก ประกอบกับการที่จิตของพวกมันเชื่อมต่อกันได้ ทำให้รู้ใจกันเป็นอย่างดี ตอนนั้นข้าใช้วิชาขี่กระบี่ก็มีผลกับมันไม่มาก” ซาทงเทียนก็จ้องมองเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบห้าแล้วกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


ศิษย์สายในคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ ก็วิพากษ์วิจารณ์กันเบาๆ ประจักษ์ชัดว่าพวกเขาต่างก็คิดว่าหลิ่วหมิงไม่อาจผ่านด่านนี้ได้


ขณะนั้นเอง อักขระบนชั้นที่สามสิบห้าก็พร่ามัวและดับลง


ขณะที่ทุกคนคิดว่าหลิ่วหมิงพ่ายแพ้ และกำลังจะถูกส่งออกมานอกเจดีย์นั้น อักขระบนเจดีย์ชั้นที่สามสิบหกกลับสว่างขึ้นมา


ไม่ว่าจะเป็นหลงเหยียนเฟยหรือคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกอึ้งไปทันที


ซาทงเทียนกลับมีสีหน้าอึมครึมลง มือทั้งสองกำแขนเสื้อไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว


พอเจียหลานเห็นเช่นนี้ ดวงตาทั้งคู่กลับเผยแววที่แตกต่างออกไป


ตอนที่ 601 ต่อสู้กับอสูรสิงโตพยัคฆ์ (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ภายในห้องโถงบนเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหก


สถานที่แห่งนี้จัดรูปแบบได้คล้ายคลึงกับห้องโถงในก่อนหน้านั้น มีพื้นที่ขนาดร้อยหมู่ บนพื้นห้องโถงมีอักขระสีเขียวประทับอยู่ทุกๆ สองสามจั้ง ประจักษ์ชัดว่าเป็นชั้นจำกัดพิเศษบางอย่าง


“ฟู่!” เกิดเสียงดังขึ้นทำลายความเงียบภายในห้อง


คลื่นสั่นสะเทือนกลางอากาศกระเพื่อมออกไป แสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งม้วนตัวออกมา เผยให้เห็นชายหนุ่มชุดเขียวที่มือถือกระบี่เล็กสีเทาอยู่


เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง


สำหรับสภาพของชั้นที่สามสิบหกนี้ ก่อนการท้าสู้กับเจดีย์ซวีหลิง เขาเคยหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาจำนวนหนึ่งแล้ว และยังสอบถามคนอื่นๆ มาแล้วด้วย


แต่ศิษย์สายนอกในตอนนี้ ไม่มีใครรู้ว่ารูปร่างหน้าตาปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นปลายทั้งสี่มีเป็นอย่างไรด้วยซ้ำ แม้ว่าเยี่ยนหมิงจะเป็นผู้ที่มีความรอบรู้มาก ก็รู้แค่ว่าพลังของปีศาจอสูรแต่ละตัวในชั้นที่สามสิบหก ต่างก็พอจะเทียบกับระดับผลึกได้เท่านั้น นอกจากนี้แล้วก็ไม่รู้เรื่องอย่างอื่นอีก


ขณะนี้ มือซ้ายของหลิ่วหมิงจับมุกพลังวารีที่รวมตัวกันแล้ว และพริบตาที่กระบี่เล็กสีเทาปรากฏบนมือซ้าย มันก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ ไม่หยุด


ขณะที่เขาปล่อยพลังจิตอันแข็งแกร่งออกไปกวาดดูรอบด้านนั้น พลันมีแรงกดดันอันน่าตกใจตรงด้านหลัง เสาวารีสีฟ้ากับลูกเปลวไฟสีแดงพุ่งเข้ามาถึงพร้อมกัน


หลิ่วหมิงพุ่งขึ้นด้านบนโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ทำให้หลบเสาวารีกับลูกเปลวไฟไปได้


ครู่ต่อมา ได้เกิดฉากอันน่าประหลาดใจขึ้น!


เสาวารีกับลูกเปลวไฟดูราวกับมีชีวิต ขณะที่หลิ่วหมิงกระโดดขึ้นมานั้น มันก็หมุนวนแล้วพุ่งขึ้นไปหาหลิ่วหมิงทันที


“ฟัน!”


หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน กระบี่จิตวิญญาณในมือสั่นไหว แสงกระบี่ที่ยาวเจ็ดแปดจั้งม้วนตัวออกมา


“โครมคราม!”


เสาวารีสีฟ้ากับลูกไฟสีแดงถูกแสงกระบี่ฟันในทันที


หลิ่วหมิงหมุนตัวกลับมาและหรี่ตามองปีศาจอสูรสีฟ้าและสีแดงที่อยู่ไม่ไกล มันคือปีศาจอสูรพยัคฆ์คู่หนึ่งที่มีขนาดยาวสามจั้ง


หนึ่งในนั้นมีแสงสีฟ้าปกคลุมรอบตัว ดูเหมือนจะมีไอหมอกวารีห่อหุ้มร่างไว้ ทั้งยังแผ่ไอเย็นสะท้านออกมา และอีกตัวก็ถูกเปลวเพลิงอันคุโชนห่อหุ้มไว้ และพ่นเปลวเพลิงออกมาตลอดเวลา


“ชั้นสามสิบหกควรจะมีปีศาจอสูรสี่ตัว ถ้าอย่างนั้นอีกสองตัวที่เหลือ……”


ขณะที่หลิ่วหมิงแบ่งจิตส่วนหนึ่งตามหาปีศาจอสูรอีกสองตัวนั้น พลันมีเสียงคำรามดังขึ้นกลางอากาศตรงหน้า พายุบ้าระห่ำไร้รูปปรากฏออกมาในพริบตา จากนั้นก็กลายเป็นคมวายุจำนวนมากพุ่งมาหาเขา


หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว พอโบกมือขวา มุกพลังวารีก็เปล่งประกาย ม่านวารีสีฟ้าปรากฏบนพื้นผิว และต้านทานคมวายุทั้งหมดไว้


ในขณะเดียวกัน พายุบ้าระห่ำก็ม้วนตัวออกไปด้านข้าง และก่อตัวเป็นสิงโตยักษ์สีขาวขนาดใหญ่


“ฟิ้ว!” สายฟ้าสีทองขนาดเท่าปากถ้วยผ่าลงมากลางอากาศ


หลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อโดยไม่ต้องคิด แสงกระบี่สีเทาพุ่งขึ้นฟ้า พริบตาเดียวก็ฟันสายฟ้าสีเงินจนดับไป


แต่ขณะนั้นเอง พลันมีคลื่นจางๆ ก่อตัวตรงใต้เท้า พยัคฆ์สีแดงและฟ้าปรากฏออกมา ขณะเดียวกันก็อ้าปากพ่นเปลวเพลิงกับแท่งวารีออกมา


หลิ่วหมิงขยับตัวด้วยสีหน้าอึมครึม จากนั้นก็หายไปจากที่เดิม แต่กลับถูกแทนที่ด้วยเงาภูเขาสีเหลืองลูกเล็กๆ  ที่กดทับลงมา ขณะที่มันยังลงมาไม่ถึง ลูกเปลวไฟกับแท่งวารีก็ถูกสั่นสะเทือนจนแตกกระจุย


พยัคฆ์ทั้งสองรีบกระโดดหลบด้วยความตกใจ


ขณะนั้นเอง มีเสียงดัง “ฟิ้ว!”


หลิ่วหมิงปรากฏตัวกลางอากาศ และชกกำปั้นไปยังสายฟ้า


หลังจากพลังมหาศาลม้วนตัวผ่านไปอย่างบ้าคลั่ง ก็มีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นมา!


กลุ่มหมอกสีทองปรากฏตัวกลางอากาศที่ดูว่างเปล่า สายฟ้าสีทองจำนวนมากพวยพุ่งออกมาผ่าสายรุ้งสีเทาอย่างบ้าคลั่ง


สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปทันที พอทำท่ามือด้วยมือเดียว ก็มีเสียงดังเปรี๊ยะๆ ภายในร่าง จากนั้นร่างของเขาก็ขยายใหญ่หนึ่งจั้งกว่าๆ ในพริบตา มีไอดำพวยพุ่งอยู่บนพื้นผิว


มีเสียงมังกรร้องดังก้องขอบฟ้า!


มังกรหมอกดำที่ยาวสิบกว่าจั้งตัวหนึ่งพุ่งออกจากสายฟ้า และกระโจนเข้าหาเมฆอัสนี


เกิดเสียงฟ้าร้องดังขึ้นมา!


เมฆอัสนีสีทองเปล่งประกาย สายฟ้าขนาดใหญ่เส้นหนึ่งพุ่งยิงออกไป หลังจากกระพริบไม่กี่ที ก็มาปรากฏตัวข้างสิงโตยักษ์สีขาว และก่อตัวเป็นสิงโตยักษ์สีทองตัวหนึ่ง


คิดไม่ถึงว่าปีศาจอสูรบนเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหก จะเป็นสิงโตกับพยัคฆ์อย่างละคู่ที่มีคุณสมบัติสี่ประการ


“ฟู่!” มังกรหมอกดำกระโจนใส่เมฆอัสนีที่เหลือจนแตกกระจาย จากนั้นตัวมันเองก็สลายตัวไปด้วยเช่นกัน


หลังจากไอดำม้วนเข้าไปในร่างหลิ่วหมิง ร่างของเขาก็ปรากฏออกมา เพียงแต่ว่าบนตัวยังมีเศษสายฟ้าสีทองจำนวนหนึ่งดีดดิ้นอยู่ไม่หยุด ชุดคลุมสีเขียวบนตัวถูกโจมตีจนเกิดเป็นรูขนาดต่างๆ


หลิ่วหมิงก้มมองเสื้อผ้าของตนเองทีหนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองปีศาจอสูรทั้งสี่ด้วยแววตาที่เคร่งขรึมกว่าเดิม


เทียบกับโครงกระดูกยักษ์ทั้งสี่แล้ว อสูรวายุ สายฟ้า วารี และอัคคีทั้งสี่ตัวน่ากลัวกว่าสองสามเท่าขึ้นไป


หลังจากสิงโตยักษ์ตรงหน้าส่งเสียงคำรามออกมาแล้ว หลิ่วหมิงก็ถอนใจยาวออกมา พอสะบัดข้อมือ ปราณกระบี่สีเทาสิบกว่าสายก็ม้วนตัวเข้าปีศาจอสูรทั้งสี่อย่างบ้าคลั่ง……


ครึ่งชั่วยามต่อมา นอกเจดีย์ซวีหลิง เจียหลานจ้องมองอักขระที่เปล่งแสงบนชั้นที่สามสิบหกด้วยตาที่เป็นประกาย


“ศิษย์พี่ คนผู้นั้นมีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายจริงๆ หรือ?” เจียหลานหันไปถามหญิงชุดขาวที่อยู่ด้านข้าง


“ย่อมเป็นเช่นนั้นไม่มีผิด เดิมทีข้าคิดว่าคนผู้นี้จะเสียแรงเปล่าที่ไปบุกเจดีย์ คิดไม่ถึงว่าเวลาแค่ครึ่งวัน ก็ไปถึงชั้นที่สามสิบหกแล้ว ดูเหมือนว่าจะเร็วกว่าศิษย์น้องด้วย” หญิงชุดขาวตอบด้วยสีหน้าครุ่นคิด


ทางด้านซาทงเทียนกับหลงเหยียนเฟยก็ยังไม่จากไปไหน พวกเขาต่างก็จ้องมองเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


……


หลิ่วหมิงที่อยู่ในเจดีย์ย่อมไม่รู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายนอก ยิ่งไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้นไม่นาน เจียหลานก็เคยบุกถึงชั้นที่สามสิบหกด้วย


ภายใต้การช่วยเหลือของเคล็ดวิชาสามเงา เขาก็สร้างเงาร่างขึ้นมาสองเงา และอาศัยวิชาท่าร่างแปลกประหลาดประกอบกับกระบี่เล็กสีเทา และดัชนีกระบี่ในการต่อสู้กับปีศาจอสูรทั้งสี่


สถานการณ์ที่ไม่เหมือนกับการต่อสู้กับโครงกระดูกยักษ์ในก่อนหน้านั้นก็คือ ปีศาจอสูรทั้งสี่ต่างก็มีร่างที่มีคุณสมบัติต่างๆ พอเข้าใกล้มันในระยะเวลาจั้งกว่าๆ ก็จะได้รับผลกระทบจากปราณแกร่งคุ้มร่างที่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน


หลิ่วหมิงในตอนนี้ เสื้อผ้าถูกคมวายุตัดขาดจนไม่มีชิ้นดี บนหน้าก็มีรอยแผลจางๆ จำนวนหนึ่ง แขนทั้งสองก็มีรอยไหม้และรอยบาดเจ็บจากความเย็น


และเวลาในขณะนั้น ก็ห่างจากที่หลิ่วหมิงเข้าเจดีย์ซวีหลิงชั้นสามสิบหกเป็นเวลาครึ่งชั่วยามแล้ว


แม้ว่าเขาจะมีบาดแผลเต็มตัว แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ปีศาจอสูรทั้งสี่ถูกโจมตีด้วยรูปร่างแปลกประหลาดกับดัชนีกระบี่ของหลิ่วหมิง มันก็ได้รับบาดแผลเต็มตัวเช่นกัน กลิ่นไอก็อ่อนลงไปมาก ถ้ายืนหยัดอีกสักระยะหนึ่ง ก็มีโอกาสเป็นอย่างมากที่จะโจมตีพวกมันจนพ่ายแพ้ได้


พอหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองถึงจุดนี้ ก็หยิบหินจิตวิญญาณระดับสูงออกจากแหวนย่อส่วนมาก้อนหนึ่ง ขณะเดียวกัน ก็รับประทานโอสถจินหยวนไปหนึ่งเม็ด


สำหรับเขาในตอนนี้ หากสามารถฟื้นฟูพลังเวทได้จำนวนหนึ่ง โอกาสชนะก็จะมีมากขึ้นเล็กน้อย ดังนั้นย่อมไม่เสียดายโอสถที่มีมูลค่าหลายแสนอย่างแน่นอน


พอเขาเพิ่งจะทำทุกอย่างนี้เสร็จ คมวายุโปร่งแสงตามด้วยเปลวเพลิงจำนวนมาก ก็พุ่งเข้ามาอีกครั้ง


มันคือพยัคฆ์สองตัวที่คำรามอยู่ไม่ไกล


เนื่องจากปีศาจอสูรทั้งสี่ต่างก็ได้รับบาดเจ็บ มันจึงรวมตัวกัน ทำให้หลิ่วหมิงโจมตียากขึ้นกว่าเดิม


หลิ่วหมิงส่งเสียงคำรามในทันที เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงพื้นในฉับพลัน ไอดำพวยพุ่งออกจากตัว “ฟู่!” พอไอดำม้วนตัว ร่างของเขาก็หายไปจากที่เดิม ทำให้คมวายุกับเปลวเพลิงโจมตีกับความว่างเปล่า


ครู่ต่อมา มีเงาร่างสองเงาเปล่งประกายบนอากาศเหนือหัวพยัคฆ์สีฟ้า และเงากระบี่สีเทาจำนวนมากก็ม้วนตัวลงมา


พยัคฆ์ธาตุไฟส่งเสียงคำรามด้วยความโมโห ลวดลายจิตวิญญาณสีฟ้าบนตัวเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง ไอเย็นสะท้านก่อตัวขึ้นบนอากาศรอบๆ ตัว และก่อตัวเป็นม่านน้ำแข็งสีฟ้าแวววาว


เงากระบี่โจมตีลงบนนั้น ทันใดนั้นก็มีเสียงดังราวกับฝนตกกระทบรั้วไม้ไผ่ดังขึ้นมา หลังจากมีเสียงดัง “เพล้ง!” ม่านน้ำแข็งก็แตกสลายเป็นแสงสีฟ้า


แต่ขณะนั้นเอง เสาเพลิงขนาดเท่าปากถ้วยก็กวาดเข้ามาจากด้านข้าง และทำลายเงากระบี่จำนวนมากที่ร่วงลงมาจนสลายไป


มันคือสิ่งที่พยัคฆ์สีแดงที่อยู่บริเวณนั้น อ้าปากพ่นออกมา


พอสิงโตสายฟ้าสีทองอีกตัวก้มตัวลง เสียงสายฟ้าบนตัวก็ดังขึ้นมา สายฟ้าขนาดใหญ่จำนวนมากฟาดฟันไปกลางอากาศ


เงาร่างสองเงาบนอากาศบิดเอวแค่ทีเดียว ก็พร่ามัวหายไปท่ามกลางสายฟ้า


ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงกลายเป็นเงาร่างสองเงา และมาปรากฏตัวข้างพยัคฆ์สีแดง หลังจากตะคอกเสียงออกมา มือทั้งสองต่างก็กำมุกพลังวารีไว้ข้างละหนึ่งเม็ด มีเกล็ดสีแดงปรากฏบนกำปั้นที่ทุบออกไปอย่างรุนแรง


มีเสียงคำรามแหลมดังออกมา!


ปราณแกร่งคุ้มร่างของพยัคฆ์เพลิงแตกกระจายในทันที ร่างของมันกระเด็นออกไปราวกับลูกหนังกลมๆ


ขณะเดียวกัน มีเสียงดังขึ้นกลางอากาศ สิงโตยักษ์สีขาวปล่อยคมวายุออกมาสิบกว่าเส้น


หลิ่วหมิงได้แต่ละทิ้งความคิดที่จะตามโจมตีไป ร่างของเขาพุ่งถอยออกมาสิบกว่าจั้ง และค่อยๆ ร่อนลงพื้น


ขณะนั้นเอง ปีศาจอสูรทั้งสี่ที่อยู่ไกลๆ ก็กระโดดเข้ามาอีกครั้ง และแหงนหน้าแผดเสียงออกมาพร้อมกัน ลวดลายจิตวิญญาณสีต่างๆ ที่อยู่บนตัวเปล่งประกายไม่หยุด และยังมีไอปีศาจม้วนตัวออกมา จากนั้นก็ก่อตัวเป็นพายุบ้าระห่ำสีเทาม้วนเอาปีศาจอสูรทั้งหมดไว้ด้านใน และบดบังไว้อย่างมิดชิด


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หดรูม่านตาลง พอทำท่ามือด้วยมือเดียว พลังมหาศาลก็ม้วนตัวไปตรงหน้า พอมันสัมผัสกับพายุบ้าระห่ำ กลับถูกพลังไร้รูปบางอย่างดีดกระเด็นออกมา โดยที่ไม่สามารถเข้าไปด้านในได้เลยแม้แต่น้อย


หลิ่วหมิงยกแขนข้างหนึ่งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง คมวายุยักษ์ขนาดจั้งกว่าๆ ก่อตัวขึ้นตรงหน้าในพริบตา และหลังจากสั่นสะท้าน มันก็กลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งยิงออกไป


เกิดเรื่องประหลาดขึ้น!


คมวายุยักษ์โจมตีลงบนพายุบ้าระห่ำในพริบตา และจมหายไปในนั้นราวกับดินเลนที่จมในทะเลโดยไม่มีสุ้มเสียงใดๆ


หลิ่วหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก พอทำท่ามือด้วยมือเดียว ลูกเปลวไฟสิบกว่าลูกก็ปรากฏออกมาพร้อมกัน และพุ่งยิงออกไปตรงหน้า


เกิดฉากอันน่าประหลาดใจขึ้นเช่นกัน!


ลูกเปลวไฟสิบกว่าลูกที่โจมตีลงบนพายุบ้าระห่ำจมหายไปในนั้นเช่นกัน โดยที่ไม่มีแม้แต่คลื่นสั่นสะเทือนเลยแม้แต่น้อย


หลิ่วหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมทันที เขาถอนหายใจยาวออกมา พอสะบัดแขนเสื้อ มุกพลังวารีสองเม็ดก็ถูกโยนออกไป หลังจากหมุนตัวติ้วๆ กลางอากาศ มันก็รวมกันเป็นหนึ่ง และกลายเป็นภูเขาสีเหลืองที่สูงสิบกว่าจั้ง หลังจากพร่ามัวทีหนึ่งแล้ว ก็มาปรากฏตัวบนอากาศเหนือพายุบ้าระห่ำ และกดทับลงมาอย่างหนักหน่วง


ตอนที่ 602 ต่อสู้กับอสูรสิงโตพยัคฆ์ (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ขณะนั้นเอง ท่ามกลางพายุบ้าระห่ำ กลิ่นไอของปีศาจอสูรทั้งสี่ก็เพิ่มขึ้นมา


“ตู้ม!”


พายุบ้าระห่ำถูกเงาภูเขาเล็กๆ กดทับจนแตกกระจาย แต่กลับถูกไอหมอกสีเทาที่พวยพุ่งอยู่ด้านล่างต้านทานไว้


หลิ่วหมิงกัดปลายลิ้นพ่นลูกธนูโลหิตออกมาในทันที จากนั้นมันก็จมหายไปในเงาภูเขาลูกเล็กๆ


ลวดลายจิตวิญญาณบนพื้นผิวเงาภูเขาสีเหลืองเปล่งประกายในทันที และส่งเสียงดังโครมคราม หลังจากมันทิ้งน้ำหนักตัวลง ไอหมอกที่อยู่ด้านล่างก็ถูกกดดันจนต้องร่นถอยเป็นระยะๆ


ขณะนั้นเอง แสงเย็นสะท้านสีขาวก็พวยพุ่งออกจากไอหมอกที่อยู่ด้านล่าง พริบตาเดียวก็มีน้ำค้างแข็งเกาะตัวตรงส่วนร่างของเงาภูเขา


จากนั้นมีเสียงดังจนหูแทบจะหนวกดังมาจากด้านล่าง พอเกิดเสียงดัง “โพล๊ะ!” เงาภูเขาเล็กๆ ก็พังทลายลงมา


แรงกดดันจิตวิญญาณครึ่งหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า อสูรครึ่งพยัคฆ์ครึ่งสิงโตขนาดใหญ่กระโดดออกจากไอหมอกที่อยู่ด้านล่าง


หลิ่วหมิงพุ่งถอยออกไปด้วยความตกใจ พอโบกมือข้างหนึ่ง มุกพลังวารีที่กลับคืนสภาพเดิมก็กลับมาอยู่ในมือ และกระพริบหายไปอย่างไร้ร่องรอย


และเขาก็สังเกตดูปีศาจอสูรยักษ์ที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นมาใหม่อย่างละเอียด


อสูรตัวนี้สูงราวๆ สามสี่จั้ง ยาวห้าหกจั้ง มีลวดลายจิตวิญญาณสีแดง ขาว ฟ้า และทองปกคลุมอยู่เต็มตัว จะว่าใบหน้าของมันดูคล้ายสิงโตก็ไม่ใช่ กลางหัวของมันมีอักขระสีดำคำว่า “ราชา” ติดอยู่ ดูคล้ายกับชายหนุ่มเผ่าปีศาจที่เขาพบเจอในวังมายานภาหยก และแรงกดดันที่แผ่ออกจากตัวมัน ก็ดูร้ายกาจกว่าม้ายักษ์เขาเดี่ยวที่หลิ่วหมิงพบเจอในวังมายานภาหยกสองสามส่วน ดูเหมือนว่าพอที่จะเทียบกับระดับแก่นเสมือนได้แล้ว


มีปีศาจอสูรระดับแก่นเสมือนหนึ่งตัวประจำอยู่บนชั้นสามสิบหก มิน่าล่ะหลายปีมานี้ถึงมีศิษย์สายนอกผ่านด่านนี้ได้น้อยมาก


เพราะศิษย์สายนอกที่มาถึงที่นี่ จักต้องไม่ใช่ผู้ที่มีพลังเวทเต็มเปี่ยม ประกอบกับพลังของระดับของเหลวขั้นสมบูรณ์แบบแตกต่างกับระดับแก่นเสมือนมากเกินไป และข้อจำกัดต่างๆ ที่มีในเจดีย์ซวีหลิง ทำให้ไม่อาจใช้อสูรเลี้ยงคอยช่วยได้ ย่อมเป็นไปได้ยากที่จะบุกชั้นนี้ได้สำเร็จ


ภายใต้การกระตุ้นจิตของหลิ่วหมิง โล่เก้ากะโหลกก็พุ่งออกจากระหว่างคิ้ว พอมันหมุนตัวติ้วๆ แล้ว ก็ร่วงลงในมือของเขา


ขณะที่นำโล่เก้ากะโหลกออกมานั้น อสูรยักษ์ตรงหน้าก็คำรามออกมา ภายใต้การยกกรงเล็บอันแหลมคมทั้งสอง ร่างของมันก็ค่อยๆ พร่ามัวกลายเป็นเงาพุ่งเข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งดูคล้ายกับเคล็ดวิชาเงาสามส่วนของหลิ่วหมิงเล็กน้อย


มือข้างของหลิ่วหมิงเอาโล่มาตั้งขวางไว้ตรงหน้า ส่วนอีกข้างก็กระตุ้นท่ามือ มีไอดำพวยพุ่งตรงด้านหลัง จากนั้นก็กลายเป็นพยัคฆ์หมอกสีดำตัวหนึ่งที่ยาวสองจั้ง และพุ่งขึ้นไปพร้อมเสียงคำราม


“ฟู่!”


พอพยัคฆ์หมอกดำปรากฏตัว ก็ถูกกรงเล็บของอสูรยักษ์โจมตีจนแตกกระจาย และกลายเป็นหมอกดำก่อนสลายไป


หลิ่วหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา เขาโยนโล่กระดูกไปด้านหน้า มือทั้งสองทำท่ามืออย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็มีเสียงมังกรร้องดังออกมา มังกรหมอกดำสองตัวพุ่งออกจากร่างของเขา หลังจากประสานกันไปมาและหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบแล้ว ก็กลายเป็นมังกรหมอกยักษ์ที่มีขนาดใหญ่สิบกว่าจั้งตัวหนึ่ง


มังกรนี้ดูราวกับมีชีวิต ดวงตาทั้งคู่เปล่งแสงแวววาวอยู่ไม่หยุด ดูเหมือนกรงเล็บสีดำทั้งคู่จะมีอานุภาพน่าตกใจเป็นอย่างมาก


สิ่งนี้เป็นผลลัพธ์ที่หลิ่วหมิงฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สามสำเร็จ


แม้จะบอกว่าเขาไม่อาจเข้าไปฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สามจนสมบูรณ์แบบในถ้ำวายุสวรรค์ได้ แต่ช่วงระยะเวลาห้าปีมานี้ เขาก็ทำความเข้าใจเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สามมาได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว อานุภาพของมังกรหมอกก็เหนือชั้นกว่าก่อนหน้านั้นมาก


พอมังกรยักษ์ปรากฏตัว มันก็อ้าปากพ่นลำแสงสีดำขนาดเท่าปากถ้วยออกมา


ปีศาจอสูรสิงโตพยัคฆ์ดวงตาเป็นประกาย พอมันอ้าปากขนาดใหญ่ ก็พ่นเสาเพลิงสีแสงออกมาเช่นกัน


“ตู้ม!”


เปลวเพลิงอันคุโชนปะทะกับลำแสงสีดำจนดูยุ่งเหยิง แต่พริบตาเดียวลำแสงสีดำก็ถูกกดดันจนแตกสลายไป


หลิ่วหมิงถอนหายใจเบาๆ พอตะคอกเสียงต่ำออกมา ชุดคลุมสีเขียวบนตัวก็พองตัวขึ้น พลังเวททั่วร่างทะลักออกมาติดต่อกัน ภายใต้การพวยพุ่งอย่างรุนแรงของไอดำที่อยู่รอบตัว มันก็ค่อยๆ จมเข้าไปในร่างของมังกรดำ


ภายใต้การแยกเขี้ยวยิงฟันของมังกรยักษ์ ลำแสงสีดำที่มันพ่นออกมาก็มีขนาดใหญ่กว่าเดิมเล็กน้อย ทันใดนั้นแรงกดดันของเปลวเพลิงสีแดงก็หยุดชะงักลง และความเร็วในการพังทลายก็ลดช้าลง


ดูเหมือนว่าอสูรตัวนี้จะรับรู้ได้ถึงพลังของลำแสงสีดำที่เพิ่มขึ้นมา ดวงตาดุร้ายของมันเป็นประกาย ลวดลายจิตวิญญาณสีฟ้าบนตัวสว่างขึ้นมาทันที คลื่นอัคคีขนาดใหญ่สลายตัวกลางอากาศ และถูกแทนที่ด้วยไอเย็นสะท้านที่ปกคลุมเต็มฟ้า


หลิ่วหมิงรู้สึกถึงพลังของอากาศเย็นที่แฝงอยู่ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที ทันใดนั้นก็พุ่งถอยออกไปพร้อมกับโล่กระดูก


ลำแสงสีดำถูกไอเย็นสะท้านสีฟ้าม้วนตัวผ่านไป ทันใดนั้น มันก็กลายเป็นเสาน้ำแข็งแวววาวสีดำฟ้า แม้กระทั่งมังกรหมอกยักษ์ที่อยู่ด้านหลังก็ถูกเกาะจนกลายเป็นน้ำแข็ง และพื้นบริเวณนั้นก็มีน้ำค้างแข็งสีฟ้าปรากฏออกมา


เกิดเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น!


ปีศาจอสูรสิงโตพยัคฆ์อ้าปากพ่นสายฟ้าสีทองโจมตีก้อนน้ำแข็งตรงหน้าจนแตกกระจาย


พอหลิ่วหมิงที่เพิ่งถอยออกไปสิบกว่าจั้งเห็นเช่นนี้ จิตใจของเขาก็ดิ่งร่วงลงไป


เห็นได้อย่างชัดเจนว่าปีศาจอสูรตัวนี้ เกิดจากการรวมร่างของปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นปลายทั้งสี่ตัว ทั้งยังคงคุณสมบัติทั้งสี่ประการไว้ครบ เช่นนี้แล้วพลังของปีศาจอสูรตัวนี้จึงน่ากลัวเป็นอย่างมาก


ขณะที่หลิ่วหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปมานั้น พลันมีเสียงดังขึ้นตรงหน้า “ฟู่ๆ!” ร่างขนาดใหญ่ของอสูรสิงโตพยัคฆ์สั่นสะท้าน จากนั้นก็มีคมวายุโปร่งแสงร้อยกว่าสายพุ่งยิงเข้ามา


หลิ่วหมิงคว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง กระบี่เล็กสีเทาปรากฏออกมาทันที พอสะบัดข้อมือ แสงกระบี่สีเทาก็ม้วนตัวโจมตีคมวายุตรงหน้า


หลังจากมีเสียงดังแตกหักดังติดต่อกัน เงากระบี่กับคมวายุก็สลายไปพร้อมกัน


ดวงตาหลิ่วหมิงเปล่งแสงเย็นสะท้าน พลังเวทบนตัวพุ่งเข้าใส่กระบี่เล็กในมือ อึดใจเดียว ก็ฟันออกไปกลางอากาศสิบกว่าครั้ง


“ฟู่ๆ!” ปราณกระบี่ปรากฏออกมาเต็มฟ้า จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่ปีศาจอสูรยักษ์ตรงหน้า


ปีศาจอสูรสิงโตพยัคฆ์กระทืบเท้าทั้งสี่ทันที จากนั้นก็พุ่งผ่านแสงกระบี่ไป


หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลง พอสะบัดข้อมือ กระบี่เล็กสีเทาก็สั่นสะท้าน จากนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งพุ่งขึ้นฟ้า


อสูรยักษ์ส่งเสียงคำรามออกมา หลังจากร่างของมันพร่ามัว ก็พุ่งขึ้นสูงหลายจั้ง และหลบกระบินได้พอดี


หลิ่วหมิงตรงหน้ากลับเร็วกว่าหนึ่งก้าว ปราณกระบี่สามสายกระพริบเข้ามาถึง และโจมตีโดนร่างขนาดมหึมาของอสูรยักษ์ที่พุ่งขึ้นฟ้าทันที


“ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” เกิดเสียงดังติดต่อกันสามครั้ง!


ลำตัวของของมันถูกแทงทะลุจนเป็นรูเล็กๆ สามรู


ทันใดนั้น พออสูรตัวนี้ก็คำรามด้วยความโมโห บาดแผลบนตัวก็สมานกันอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นในปาก จากนั้นสายฟ้าสีทองขนาดเท่าแขนก็ถูกพ่นออกมา และแตกตัวเป็นสายฟ้าจำนวนมากก่อนพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง


พอหลิ่วหมิงกระตุ้นเคล็ดวิชาเงาสามส่วน ร่างของเขาก็พร่ามัว ภายใต้การเคลื่อนไหวไปมา ก็หลบสายฟ้าสีทองไปได้ ขณะเดียวกัน พอสะบัดข้อมือ แสงกระบี่อันครั่นคร้ามก็ปรากฏออกมา และพุ่งยิงใส่อสูรยักษ์อีกครั้ง……


ขณะเดียวกัน ศิษย์ที่รอดูอยู่นอกเจดีย์ซวีหลิงก็ค่อยๆ มีจำนวนมากขึ้น ตอนท้ายก็มีศิษย์สายในที่อยากจะท้าสู้กับเจดีย์ซวีหลิงมาปรากฏตัวด้วย พอพวกเขาได้ยินว่ามีศิษย์สายนอกผู้หนึ่งบุกถึงชั้นที่สามสิบหกแล้ว ก็พากันตั้งหลักดูด้วยความตกใจ


เวลาในขณะนี้อยู่ห่างจากตอนที่หลิ่วหมิงเขาเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหกเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามกว่าแล้ว หลงเหยียนเฟย เจียหลาน และคนอื่นๆ ต่างก็มีสีหน้าที่แตกต่างกันไป


……


ท่ามกลางเจดีย์ซวีหลิง เงาร่างพร่ามัวสองเงากระพริบไปมาอยู่ไม่หยุด บางครั้งก็มาปรากฏตรงมุมห้องโถง บางครั้งก็ไปปรากฏตรงใจกลางห้องโถง


หากมีคนอื่นๆ สังเกตดูอยู่ด้านหนึ่งของห้องโถงล่ะก็ จะรู้สึกแค่ว่าหลิ่วหมิงเคลื่อนย้ายไปมาในห้องโถงอย่างรวดเร็วเท่านั้น


แม้ว่าอสูรสิงโตพยัคฆ์จะมีรูปร่างขนาดใหญ่  แต่ภายใต้การใช้เคล็ดวิชาธาตุลมหลายชนิด มันก็กลายเป็นเงาร่างไล่ล่าหลิ่วหมิงอยู่ไม่หยุด


บริเวณที่ทั้งสองเคลื่อนตัวผ่าน มีเสียงระเบิดดังออกมา


หลิ่วหมิงต้องกระตุ้นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจนถึงขีดสุด ถึงพอที่จะต้านทานการโจมตีติดต่อกันของปีศาจอสูรตัวนี้ไว้ได้


ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป เมื่ออสูรยักษ์ฉีกทึ้งเงาร่างที่หลิ่วหมิงสร้างขึ้นมาแล้ว ร่างเดิมของหลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวด้านหลังของมันอย่างรวดเร็ว


“ไป!”


พอหลิ่วหมิงยกมือข้างหนึ่ง โล่กระดูกสีดำก็พุ่งออกไป หลังจากขยายใหญ่ตามแรงลมแล้ว ก็กลายเป็นกลุ่มไอดำห่อหุ้มอสูรยักษ์ไว้ในนั้น ขณะเดียวกัน เสียงพิลาปร่ำไห้ก็ดังขึ้นมา และเงาโล่เก้ากะโหลกก็กระพริบอยู่ท่ามกลางไอดำ


อสูรยักษ์ติดอยู่ในมุมมืด หมอกดำปกคลุมรอบตัว ดูเหมือนว่ามันจะรับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลเช่นกัน ทันใดนั้น ดวงตาทั้งคู่ของมันก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที กรงเล็บแวววาวคู่หนึ่งประสานกัน คมวายุโปร่งแสงหมุนวนรอบตัวอย่างรวดเร็ว และปั่นหมอกดำรอบตัวจนพวยพุ่งไม่หยุด จนมีแนวโน้มว่าไอดำจะถูกเปิดออกมา


ขณะนั้นเอง พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อ แสงสีทองเป็นจุดๆ ก็ปรากฏออกมา และกระพริบหายไปในกลุ่มไอดำ ขณะเดียวกัน เขาก็รีบหยิบโอสถจินหยวนมาทานอย่างรวดเร็ว จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวหายไปในนั้นอย่างไร้ร่องรอย


คิดไม่ถึงว่าเขาจะเข้าไปในที่อันตราย เพื่อกักขังตนเองกับอสูรไว้ และทำการตัดสินแพ้ชนะไปเลย


ขณะเดียวกัน หัวกะโหลกเก้าใบในไอหมอกก็อ้าปากพ่นไอดำออกมากกว่าเดิม


เห็นได้ชัดว่าปีศาจอสูรสิงโตพยัคฆ์ก็ค้นพบความผิดปกติของหัวกะโหลกเหล่านี้แล้ว พอร่างสั่นสะท้าน คมวายุทั้งหมดก็แตกกระจายในทันที และกลายเป็นพายุบ้าระห่ำม้วนตัวไปทั่วทิศ ทั้งยังมีสายฟ้าสีทองปะปนอยู่ในนั้นอย่างรำไร


แต่ว่าท่ามกลางไอดำ เงาหัวกะโหลกทั้งเก้ากลับขยายใหญ่ขึ้น จากนั้นก็พ่นไอดำออกมาต้านทานสายฟ้าสีทองไว้ ขณะเดียวกัน ทรายทองคำร่วงที่ปะปนอยู่ท่ามกลางไอดำ ก็ทำให้พายุบ้าระห่ำเหล่านี้หายไปอย่างไร้ร่องรอย


อสูรสิงโตพยัคฆ์เห็นเช่นนี้ ก็ส่งเสียงคำรามแปลกประหลาดออกมา เท้าทั้งคู่เหยียบไปด้านหลัง และกระโจนใส่หัวกะโหลกตัวหนึ่งท่ามกลางการห่อหุ้มของพายุบ้าระห่ำ แต่ยังไม่ทันกระโจนเข้ามาถึง คมวายุยักษ์จำนวนมากก็พุ่งออกจากตัวมัน!


“ฟู่!” “ฟู่!”


เงาหัวกะโหลกใบนี้อ้าปากขนาดใหญ่กลืนกินคมวายุที่พุ่งเข้ามาทั้งหมด จากนั้นก็มีเสียงดัง “เพล้ง!” และระเบิดตัวเองออกมา


อสูรสิงโตพยัคฆ์กระโจนเข้าใส่แค่ความว่างเปล่า


ขณะนั้นเอง “ฟู่!” ปราณกระบี่รูปเกลียวสายหนึ่งพุ่งออกจากไอดำตรงหน้า พริบตาเดียวก็เจาะทะลุร่างของอสูรยักษ์ไป


ตอนที่ 603 ต่อสู้กับอสูรสิงโตพยัคฆ์ (3)

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ฟู่!”


ปีศาจอสูรสิงโตพยัคฆ์ไม่ทันได้ป้องกัน จึงเกิดบาดแผลขนาดชุ่นกว่าๆ บนตัว ทั้งยังได้รับผลกระทบจากไอดำบริเวณนั้น ทำให้การฟื้นฟูของมันลดช้าลงมาก


อสูรยักษ์ส่ายหัวด้วยความโมโห ทันใดนั้นลูกเปลวไฟยักษ์จำนวนมากก็พุ่งใส่ปราณกระบี่


“ตู้ม!” หลังจากมีเสียงดังขึ้น ภายใต้เปลวเพลิงอันพวยพุ่ง ทำให้ไอดำบริเวณนั้นถูกม้วนหายไปจนหมดสิ้น แต่ที่นั่นกลับว่างเปล่าเป็นอย่างมาก ซึ่งหลิ่วหมิงได้ย้ายไปอยู่ตำแหน่งอื่นแล้ว


ขณะเดียวกัน เงาหัวกะโหลกที่ระเบิดตัวในตอนแรก ก็ก่อตัวขึ้นในอีกด้านหนึ่งของไอดำ


เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง แม้ว่าปีศาจอสูรสิงโตพยัคฆ์จะใช้คมวายุ ลูกเปลวไฟ แท่งน้ำแข็ง ลูกสายฟ้า แต่ยังคงไม่สามารถโจมตีเงาร่างของหัวกะโหลกได้เลยแม้แต่น้อย และบนตัวของมันก็มีรูสิบกว่ารู


แม้ว่าการโจมตีเหล่านี้จะไม่ได้สร้างความเสียหายอันใดให้อสูรยักษ์ถึงกับเสียชีวิต แต่กลับทำให้กลิ่นไอของมันลดลงไปไม่น้อย


ขณะที่หลิ่วหมิงเคลื่อนไหวราวกับปีศาจนั้น ก็หลบแท่งน้ำแข็งจำนวนมากไปได้ จากนั้นก็คิดที่จะควบแน่นปราณกระบี่รูปเกลียวบนปลายนิ้ว


แต่ขณะนั้นเองกลับมีเสียงคำรามดังจนหูแทบหนวก ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย!


กลิ่นไอของอสูรสิงโตพยัคฆ์ที่อยู่ท่ามกลางไอดำเพิ่มขึ้นในฉับพลัน ลวดลายจิตวิญญาณสี่สีบนตัวเลื้อยขยุกขยิก พริบตาเดียว ร่างก็ขยายใหญ่เกือบครึ่งหนึ่ง ขณะเดียวกัน มีลูกแสงสามกลุ่มกระพริบผ่านตรงด้านหลังหัวและคอ จากนั้นก็กลายเป็นหัวที่ดูคล้ายพยัคฆ์สามหัว ดวงตาแต่ละลูกดูโหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก


แต่ว่าหลังจากอสูรตัวนี้แปลงร่างแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะมีพลังในการมองทะลุไอดำได้ มันเขม้นตามองมายังบริเวณที่หลิ่วหมิงซ่อนตัว และร่างของมันก็แผ่กลิ่นไอโหดเหี้ยมออกมา


หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน แต่ก็ไม่ได้เสี่ยงทำการโจมตี ด้านหนึ่งถือกระบี่จ้องมองอสูรตัวนี้ไม่ขยับเขยื้อน ด้านหนึ่งก็ฟื้นฟูพลังเวทอย่างเงียบๆ


ชั้นสามสิบหกที่เคยมีเสียงดังอยู่ไม่หยุด กลับเงียบสงัดเป็นอย่างมาก


แสงแวววาวหมุนวนอยู่ในลูกตาทั้งแปด ทันใดนั้นมันก็อ้าปากพ่นลำแสงสีต่างๆ ออกมาพร้อมกันสี่ลำ บริเวณที่ลำแสงเคลื่อนตัวผ่าน เกิดเสียงดังหวึ่งๆ อยู่ไม่หยุด


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ไม่กล้าให้มันเลยเถิดไปกว่านี้แล้ว พอร่างของเขาพร่ามัวก็กลายเป็นเงาร่างสองเงาจนสามารถหลบลำแสงทั้งสี่ไปได้ ขณะเดียวกัน พอสะบัดข้อมือ เงากระบี่แน่นขนัดก็พุ่งยิงออกไป


อสูรสิงโตพยัคฆ์เพียงแค่สะบัดตัว ม่านแสงสีเขียวก็ปรากฏขึ้นมา พอเงากระบี่โจมตีลงบนนั้น ก็ต้องกระเด็นกลับไปด้วยเสียงอันดัง


หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัด ขณะที่กำลังจะโยนยันต์ในมือออกไปนั้น พลันมีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น


ลำแสงทั้งสี่ที่เขาหลบไปได้กลับรวมตัวกันด้านหลังของเขา และแทงทะลุออกจากไอดำจนเกิดเป็นทางเดินสายหนึ่ง


ลำตัวของสิงโตพยัคฆ์เปล่งประกายแสงสีเขียวด้วยความดีใจ จากนั้นก็กลายเป็นเงาร่างสีเขียวพุ่งยิงออกไป


หลิ่วหมิงกลับมีสีหน้าเคร่งขรึมในทันที เขากระตุ้นเคล็ดวิชาโดยไม่ต้องคิด จุดแสงสีทองปรากฏบนทางเดิน หลังจากหมุนติ้วๆ แล้ว ก็กลายเป็นกำแพงทรายทองคำปิดกั้นทางเดินนี้ไว้


อสูรสิงโตพยัคฆ์ไม่ทันได้ป้องกันจึงชนเข้าอย่างจัง แม้ว่ากำแพงจะถูกชนจนแตกกระจาย แต่ตัวมันเองก็ต้องหยุดชะงักลง


ขณะนั้นเอง มีเสียงร่ำไห้ท่ามกลางไอดำบนทางเดินทั้งสองด้าน เงาหัวกะโหลกพุ่งยิงออกไปพร้อมกัน พริบตาเดียวก็กัดขาทั้งสี่และจุดสำคัญของอสูรยักษ์ไว้ และดูดเอาพลังในร่างของมันอย่างบ้าคลั่ง


พอปีศาจอสูรสิงโตพยัคฆ์ส่งเสียงคำรามออกมา เปลวเพลิงร้อนแรงกับสายฟ้าสีทองก็พวยพุ่งอยู่บนตัว


เงาหัวกะโหลกทั้งเก้าถูกเผาจนเกิดเสียงดัง “ฟู่ๆ!” ขณะเดียวกันมันก็แตกกระจุยท่ามกลางสายฟ้าที่พัวพัน


แต่ในระหว่างเวลานี้ ทางเดินที่ถูกเปิดในก่อนหน้านั้นก็มีไอดำพวยพุ่ง จากนั้นก็ถูกปิดสนิทดังเดิม


โล่เก้ากะโหลกที่กลายเป็นต้นแบบอาวุธเวทแล้ว ความมหัศจรรย์ของมันไม่ใช่สิ่งที่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดโดยทั่วไปจะสามารถเปรียบเทียบได้


ขณะนั้นเอง เกิดเสียงแหลมดังขึ้นมา แสงกระบี่สีเทาที่ยาวสิบกว่าจั้งเปล่งประกาย จากนั้นก็พุ่งไปรัดพันอสูรยักษ์ไว้ ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ใช้วิชาที่สิ้นเปลืองพลังเวทมากที่สุดอย่างวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่ง!


พออสูรสิงโตพยัคฆ์เห็นทางออกถูกปิดไว้หมดแล้ว ดวงตาทั้งแปดก็แดงก่ำขึ้นมา หัวทั้งสี่คำรามออกมาพร้อมกัน ลวดลายจิตวิญญาณบนร่างพร่ามัวกลายเป็นค่ายกลแสงอันงดงาม ขณะเดียวกัน หัวเล็กๆ ทั้งสามที่อยู่บริเวณคอก็ขยายใหญ่จนมีขนาดพอๆ กับหัวเดิมของมันแล้ว กลิ่นไอที่แข็งแกร่งกว่าเดิมแผ่ออกจากลำตัวขนาดใหญ่ของมัน


……


ภายในถ้ำเร้นลับแห่งหนึ่งในเทือกเขาหมื่นวิญญาณที่อยู่ห่างจากเจดีย์ซวีหลิงไปหลายร้อยลี้ มีผู้อาวุโสผมสีดอกเลาสวมชุดคลุมสีเทากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่


ทันใดนั้น ผู้อาวุโสก็ค่อยๆ ขมวดคิ้ว และลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา เขาพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งหยิบแผ่นค่ายกลสีทองขนาดชุ่นกว่าๆ ออกมา มีภาพเหตุการณ์ภายในเจดีย์ซวีหลิงเกิดขึ้นในนั้นอยู่รำไร หลังจากพร่ามัวอีกครั้ง ภาพของปีศาจอสูรสิงโตพยัคฆ์ก็ปรากฏออกมา


ผู้อาวุโสกวาดสายตาดูอสูรยักษ์ที่ถูกแสงกระบี่สีเทาก่อกวนแค่ทีเดียว ก็เก็บแผ่นค่ายกลเข้าไปอย่างเงียบๆ จากนั้นก็นั่งเข้าฌานต่อ


……


บนยอดเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากเจดีย์ซวีหลิงไปไม่ไกล ชายหนุ่มชุดคลุมสีทองจ้องมองเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหกด้วยสีหน้าครุ่นคิด


เขาก็คือจินเทียนชื่อนั่นเอง


“น่าสนใจแล้ว นานแล้วที่ไม่มีศิษย์สายนอกฝ่าด่านเจดีย์ชั้นที่สามสิบหกได้ ดูท่าสายตาของข้าก็นับว่าไม่เลว”


จินเทียนชื่อหัวเราะเบาๆ และพูดพึมพำกับตัวเองสองสามประโยค จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีทองพุ่งไปยังทิศทางตรงกันข้าม


หนึ่งชั่วยามต่อมา


ณ มุมหนึ่งในห้องโถงบนเจดีย์ชั้นที่สามสิบหก ไอดำที่เคยพวยพุ่งได้หายไปจนหมดสิ้น โล่เก้ากะโหลกก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว และพื้นบริเวณนั้นก็เต็มไปด้วยรอยกรงเล็บและรอยกระบี่จำนวนมาก


หลิ่วหมิงที่ถือกระบี่เล็กสีเทากำลังยืนหอบหายใจด้วยสีหน้าซีดขาว แม้ว่ารอบตัวจะยังมีแสงสีทองเปล่งประกายไม่หยุด แต่กลับดูมืดลงเป็นอย่างมาก บริเวณหน้าอกก็มีรอยกรงเล็บอยู่สามรอย ผิวหนังและเนื้อแตกเป็นรอยจนมองเห็นกระดูกขาวอยู่รำไร แต่กลับไม่มีโลหิตไหลออกมาเลยแม้แต่น้อย


ห่างจากตรงหน้าไปไม่ไกล ปีศาจอสูรสิงโตพยัคฆ์ที่สูงหลายจั้ง ก็มีสภาพกระเซอะกระเซิงไม่น้อย


หัวเล็กๆ สามหัวที่เคยปรากฏออกมาได้หายไปแล้ว เหลือไว้เพียงหัวเดิมของมันเท่านั้น ขาหลังข้างหนึ่งมีเลือดซึมออกมา บนนั้นมีบาดแผลขนาดใหญ่ ดูเหมือนว่าขาข้างนี้จะถูกกรีดเป็นรอยทั้งหมด ค่ายกลแสงอันงดงามที่ปกคลุมรอบตัว ก็เปล่งประกายติดๆ ดับๆ ราวกับว่าสามารถพังทลายได้ตลอดเวลา


แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อสูรยักษ์ยังคงใช้ขาที่ได้รับบาดเจ็บค้ำยันตัวไว้ ดวงตาทั้งคู่จ้องมองหลิ่วหมิงไม่หยุด และแผ่กลิ่นไอกระหายเลือดอันดุร้ายออกมาอยู่รำไร


“ดูท่าเจ้ากับข้าคงจะมีพลังในโจมตีครั้งสุดท้ายแล้ว ดีมาก! ศึกนี้ก็ควรตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว” หลังจากหลิ่วหมิงหายใจเป็นปกติแล้ว ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบเป็นอย่างมาก


พอสะบัดแขนเสื้อ ทรายทองคำร่วงที่อยู่รอบตัว ก็พุ่งยิงออกไปราวกับสายฝนกระหน่ำ หลังจากมีเสียงตะคอกดังออกมา ไอดำบนตัวก็พวยพุ่งอีกครั้ง กระบี่เล็กในมือสั่นสะท้านในทันที จากนั้นก็พร่ามัวกลายเป็นแสงกระบี่สีเทาพุ่งใส่ปีศาจอสูรสิงโตพยัคฆ์


ปีศาจอสูรสิงโตพยัคฆ์คำรามอย่างโหดเหี้ยม ค่ายกลแสงรอบตัวควบแน่นในทันที พอเท้าหลังกระทืบลงพื้น พายุบ้าระห่ำจำนวนมากก็พุ่งออกไป


แสงสีทองที่โจมตีลงบนตัวอสูร ถูกค่ายกลแสงดีดกระเด็นออกไป


อสูรยักษ์ที่อยู่บนอากาศคว้ากรงเล็บข้างหนึ่งออกไปอย่างโหดเหี้ยม หลังจากเกิดเสียงดัง “ตู้ม!” แสงกระบี่สีเทาก็ถูกโจมตีจนแตกกระจาย แต่แสงบนตัวมันก็ดับลง และพุ่งออกไปด้านหลัง


ขณะนั้นเอง มีคลื่นสั่นสะเทือนท่ามกลางทรายทองคำร่วงที่กระเด็นออกไปรอบด้าน นักรบยันต์เกราะทองคำตัวหนึ่งปรากฏออกมา พอมันยกแขนทั้งสองขึ้น ก็กอดหัวของอสูรยักษ์ที่ไม่ทันระวังตัวไว้แน่น


“ฟู่!” ภายใต้การเคลื่อนไหวของเงาร่างสีเขียว หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวตรงหน้าอสูรยักษ์อย่างรวดเร็วราวกับปีศาจ พอยกแขนทั้งสองโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง มันก็ขยายใหญ่เท่าตัวท่ามกลางไอดำอันพวยพุ่ง ขณะเดียวกัน เกล็ดสีแดงหลายชั้นก็ปรากฏออกมา จากนั้นเงากำปั้นจำนวนนับไม่ถ้วน ก็โจมตีใส่หัวอสูรยักษ์ภายในอึดใจเดียว


เกิดเสียงดังราวกับสายฝนกระหน่ำดังติดต่อกันอยู่ครู่หนึ่ง พอมีเสียงดัง “โพล๊ะ!” หัวขนาดใหญ่ก็ถูกโจมตีจนระเบิด ส่วนร่างขนาดใหญ่ก็กลายเป็นจุดแสงก่อนสลายไป


“ฟู่!”


หลิ่วหมิงเองก็สูญสิ้นพลังเวทจนหมดสิ้น พอนั่งลงพื้นแล้วก็ไม่คิดจะลุกขึ้นมาอีกเลย


ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีพลังเวทคอยกระตุ้น ยันต์นักรบเกราะทองคำก็แตกกระจายออกมา และกลายเป็นยันต์เก่าๆ ก่อนร่วงลงมา


หลิ่วหมิงหายใจเข้าลึกๆ สองสามที จากนั้นก็หยิบโอสถจินหยวนออกจากแหวนย่อส่วนด้วยท่าทีอ่อนแรง ขณะเดียวกันก็นำยันต์สองสามผืนมาแปะไว้บนบาดแผล สุดท้ายก็ค่อยๆ หลับตาทั้งคู่เพื่อเข้าฌาน


…….


ขณะที่หลิ่วหมิงโจมตีปีศาจอสูรสิงโตพยัคฆ์สำเร็จนั้น อักขระสีเขียวนอกเจดีย์ชั้นที่สามสิบหกก็ดับมืดลง


ขณะเดียวกัน ไอหมอกสีเทาบนเจดีย์ซวีหลิงก็พวยพุ่งอย่างรุนแรง มีเสียงระฆังดังขึ้นทั่วเจดีย์ และค่อยๆ แผ่ขยายไปทั่วเทือกเขาหมื่นวิญญาณ


“คนผู้นี้…… คิดไม่ถึงว่าจะฝ่าด่านเจดีย์ชั้นที่สามสิบหกได้จริงๆ”


ด้านนอกเจดีย์ซวีหลิง ศิษย์ที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็จ้องมองด้วยความตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง


อักขระสีเขียวบนเจดีย์ชั้นที่สามสิบหกดับลงโดยสมบูรณ์ แม้ว่าอักขระสีม่วงบนเจดีย์ชั้นที่สามสิบเจ็ดจะยังไม่สว่างขึ้นมา และคนที่อยู่ในนั้นก็ไม่ได้ถูกส่งตัวออกมา แต่ผลลัพธ์ก็ปรากฏอย่างชัดเจนแล้ว


ซาทงเทียนมีสีหน้าดูไม่ได้เป็นอย่างมาก เดิมทีเขาคิดว่าเมื่อเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว พลังแท้จริงจะต้องเหนือกว่าคู่ต่อสู้ไม่น้อย แต่วันนี้ดูท่ายังห่างชั้นอีกมาก


ดวงตางดงามของเจียหลานก็เป็นประกายแวววาว มุมปากนางยกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ แต่ทั้งหมดนี้ก็หายไปอย่างรวดเร็ว


“คิดไม่ถึงว่าไม่เจอกันหลายปี พลังแท้จริงของศิษย์น้องหลิ่วจะมาถึงระดับนี้ได้……” หลังจากสีหน้าหลงเหยียนเฟยเปลี่ยนไปมาอยู่หลายครั้ง นางก็ยิ้มมุมปากเบาๆ แต่ดวงตาทั้งคู่กลับเต็มไปด้วยความประหลาดใจ


หลังจากศิษย์สายในคนอื่นๆ หายจากอาการประหลาดใจแล้ว ก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความตื่นเต้น บ้างก็นำอาวุธที่ใช้ส่งสารออกมา และแจ้งเรื่องที่มีศิษย์สายนอกฝ่าด่านชั้นที่สามสิบหกของเจดีย์ซวีหลิงได้ให้กับสหายต่างๆ


“เอาล่ะ! เรื่องราวที่นี่ก็ได้จบลงแล้ว พวกเราไปกันเถอะ!” หลงเหยียนเฟยกวาดสายตาดูศิษย์คนอื่นๆ ทีหนึ่ง และขมวดคิ้วกล่าวออกมา จากนั้นก็ปล่อยแสงกระบี่ออกมาค้ำร่างอรชรของนางไว้ และพุ่งออกไปโดยไม่หันหน้ากลับมาอีก


ศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์ที่เหลือเห็นเช่นนี้ ก็รีบปล่อยแสงกระบี่ออกมาและตามนางไป


ซาทงเทียนหันมามองเจียหลานที่ยังยืนอยู่ที่เดิมทีหนึ่ง หลังจากดวงตาของเขาเผยแววซับซ้อนออกมาแล้ว ก็ค่อยๆ ปล่อยกระบี่บินออกมา จากนั้นก็กลายเป็นแสงหลบหลีกสีเขียวพุ่งขึ้นฟ้า


………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)