ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 597-598

 ตอนที่ 597 ฆ่าข้า อาศัยคนอย่างเจ้านะห...

 

เทพสงครามซือเป่ยสี่คำนี้ เป็นเหมือนกับมีดปลายแหลมที่แทงเข้าไปในใจของเขา 


 


 


บีบบังคับให้เขากลับไปคิดถึงภาพตอนที่ตนถูกคนผู้นั้นนำศีรษะกลับมาต่อลงบนบ่าใหม่อีกครั้ง 


 


 


บุรุษผู้นั้น……แข็งแกร่งจนหน้าหวาดกลัว 


 


 


“เป็นเขานั่นเอง….” ตู๋กูซิงหลันคลี่ยิ้มออกมาอย่างเ**้ยมเกรียม 


 


 


เดิมทีคิดว่าซือเป่ยเป็นเพียงแค่พวกที่บ้าพลังเท่านั้น ตอนนี้ดูท่าคงจะมีความดำมืดไม่น้อย 


 


 


พลังอำนาจของเขาดูท่าจะเกินกว่าที่ตู๋กูซิงหลันคาดคิดเอาไว้ 


 


 


สามารถรับตัวเยี่ยเฉินขึ้นไปบนแดนสวรรค์ได้ เขาย่อมต้องไม่ธรรมดา 


 


 


นางเหลือบตาไปดูสีหน้าของฟ่านอิงที่อยู่ไม่ห่างออกไป ก็สามารถคาดเดาได้เกือบหมดแล้ว 


 


 


ซือเป่ยผู้นี้จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับฟ่านอิงอย่างแน่นอน 


 


 


ศีรษะของฟ่านอิงเป็นเขานำกลับมาต่อใหม่กระนั้นหรือ? 


 


 


ที่เขาทำเรื่องอ้อมค้อมตั้งมากตั้งมายขึ้นมาเพราะคิดจะทำอะไรกันแน่? 


 


 


“พอต้าซือมิ่งตาย จิตวิญญาณกลับสู่สวรรค์ เทพสงครามก็เลยรู้ว่าเจ้าปรากฏตัวขึ้นในเมืองว่านฮวาเฉิง จึงสั่งให้ข้ามาเป็นพิเศษ……” 


 


 


พูดถึงตรงนี้ เยี่ยเฉินก็เงียบไปเล็กน้อย จากนั้นค่อยเอ่ยว่า “ฆ่าเจ้าเสีย” 


 


 


ที่จริงคำสั่งของซือเป่ย คือให้เขานำตัวตู๋กูซิงหลันกลับไปแดนสวรรค์ 


 


 


แต่เขาเองเลือกตัดสินใจจะฆ่าตู๋กูซิงหลัน 


 


 


พอเขาได้รับสามง่ามที่เทพสงครามซือเป่ยประทานมาให้ทั้งยังได้ฝึกฝนอยู่ในแดนสวรรค์เกือบครึ่งปี จึงลำพองว่าสามารถกำจัดตู๋กูซิงหลันลงได้ 


 


 


เขาคิดไม่ถึงเลยว่า นังเดรัจฉานน้อยผู้นี้จะได้รับศาสตราวุธที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าสามง่ามของเขาอีก ร่างกายของนางก็แข็งแกร่งขึ้นอีกมากเช่นกัน 


 


 


เขาไม่กล้าคิดเลยว่า ในโลกหล้านี้ นอกจากแดนสวรรค์แล้ว ยังจะมีที่ใดที่ทำให้สามารถยกระดับการฝึกฝนได้อย่างรวดเร็วกว่านี้อีก? 


 


 


หากเป็นก่อนที่จะถูกนังเดรัจฉานนี้โจมตี เขาไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด 


 


 


“ฆ่าข้า อาศัยเจ้าน่ะหรือ?” ตู๋กูซิงหลันหัวเราะเสียงเย็นชา “ขนาดซือเป่ยเองก็ยังฆ่าข้าไม่ได้ แล้วเจ้ามันเป็นตัวอะไรกัน!” 


 


 


ที่จริงแล้วมิใช่ว่านางดูถูกเยี่ยเฉิน แต่ว่าคนผู้นี้เป็นเหมือนโคลนเหลวที่ไม่ยอมติดกำแพงจริงๆ 


 


 


ไปอยู่ในแดนสวรรค์มาตั้งนาน กลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันชักจะสงสัยว่า เจ้านี่ใช่ดอกผลของบิดาคนงามจริงๆหรือไม่? 


 


 


ต่อให้รวมการดูถูกที่เยี่ยเฉินเคยเจอมาชั่วชีวิตเข้าด้วยกัน ก็ยังไม่มากเท่ากับที่ได้รับในวันนี้ เขาทนไม่ไหวอีกต่อไป กระอักเลือดออกมาในทันที 


 


 


พอกระอักเลือดออกมา สมองถึงได้ค่อยคิดตามคำพูดของตู๋กูซิงหลันเมื่อครู่ 


 


 


‘ซือเป่ยเองก็ยังฆ่าข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ’ 


 


 


นี่จะเป็นไปได้อย่างไร เทพสงครามที่สูงส่งดั่งซือเป่ย มีหรือจะไม่อาจสู้กับเดรัจฉานน้อยเช่นนี้ได้? 


 


 


ไม่สิ อย่างตู๋กูซิงหลันจะมีคุณค่าใดทำให้ซือเป่ยถึงกับต้องลงมือด้วยตนเอง? 


 


 


ครึ่งปีที่ผ่านมา เขาอาศัยอยู่ในแดนสวรรค์มาโดยตลอด ทั้งยังอยู่ข้างกายซือเป่ยแทบจะตลอดเวลา ซือเป่ยแข็งแกร่งถึงเพียงใด เขาย่อมรู้ดี 


 


 


เทพสงครามของแดนสวรรค์ เพียงแค่เสียงคำรามและกระทืบเท้า เกรงว่าแผ่นดินสะเทือนจนแตกร้าวแล้ว 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเป็นตัวอะไรกัน? 


 


 


ท้องฟ้าคืนนี้ แสงจันทร์สว่างจ้าจนมองเห็นได้ชัด 


 


 


ในดวงตาของตู๋กูซิงหลันถึงกับมีเส้นเลือดขึ้นมา 


 


 


นางเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะที่แววตาของเยี่ยเฉินมีแต่ความแตกตื่นอยู่ตลอด ในที่สุดนางก็เก็บกริชของตนเองกลับไป 


 


 


เยี่ยเฉินเข้าใจไปว่านางหวาดกลัวขึ้นมาบ้าง ในใจยังมีความโกรธเกรี้ยวที่ไม่อาจกล้ำกลืน จึงคิดจะเยาะเย้ยนาง 


 


 


แต่พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นตู๋กูซิงหลันเขวี้ยงยันต์สีแดงแผ่นหนึ่งลงมา คลุมลงบนศีรษะและใบหน้าของเขา 


 


 


เยี่ยเฉินยังไม่ทันจะได้ส่งเสียงร้องออกมา ยันต์สีแดงแผ่นนั้นก็ขยายตัวออก จนครอบคลุมไปทั่วทั้งร่างของเขา หลังจากนั้นร่างของเขาก็ถูกดูดเข้าไปอยู่ในแผ่นยันต์ 


 


 


ฟ่านอิงที่ยืนอยู่ข้างๆก็ยังอดที่จะอ้าปากค้างไม่ได้ 


 


 


ภาพที่เห็นนั้นดูแปลกประหลาดอย่างยิ่ง ราวกับว่าสาวน้อยนั่นกำลังจับปีศาจตัวเป็นๆ 


 


 


นางมีความสามารถถึงขั้นใดกันแน่? 


 


 


เขาเป็นเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนมาตั้งนานหลายปี ยังไม่เคยเห็นใครที่ทั้งแปลกประหลาดและแข็งแกร่งเท่านางมาก่อนเลย 


 


 


พอเยี่ยเฉินถูกจับตัวไปเรียบร้อย ทั่วทั้งเกาะก็เงียบสงบลงไม่น้อย 


 


 


ยันต์โลหิตขนาดเท่าคนร่างใหญ่ ก็หดลงมากลับเป็นยันต์สีแดงขนาดปกติดังเดิม 


 


 


พอวางลงในฝ่ามือของตู๋กูซิงหลัน ก็เห็นว่าบนยันต์สีแดงแผ่นนั้นมีลายมังกรสีครามอยู่ตัวหนึ่ง 


 


 


ลายมังกรนั้นยังขาดกรงเล็บไปสองข้าง 


 


 


ส่วนบนหน้าผากของตู๋กูซิงหลันก็มีเหงื่อเม็ดเล็กๆผุดขึ้นมามากมาย 


 


 


นางไม่เคยใช้คาถาผนึกเช่นนี้มานานแล้ว 


 


 


คาถาผนึกนี่ สามารถกักขังศัตรูเอาไว้ในยันต์คำสาปของนาง แต่ว่าคาถาชนิดนี้สิ้นเปลืองพลังงานมหาศาล หรือพูดอีกอย่างก็คือเป็นไม้ตายสำคัญของนาง และมีแต่ยามที่นางมีพลังแข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะสามารถใช้คาถาเช่นนี้ออกมาได้ 


 


 


ตอนที่อยู่ในโลกปัจจุบัน นางเคยใช้มันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น 


 


 


หลังจากนั้นพอมาถึงต้าโจว เนื่องเพราะพละกำลังไม่เพียงพอ แม้แต่ยันต์โลหิตก็ยังใช้ได้อย่างจำกัด ดังนั้นจึงไม่เคยใช้ยันต์สีแดงกับคาถาผนึกอีกเลย 


 


 


ที่วันนี้นำออกมาใช้กับเยี่ยเฉินก็เป็นเพราะว่าหากเก็บเยี่ยเฉินเอาไว้ ยังถือว่ามีประโยชน์กับนางอยู่ 


 


 


แต่การร่ายคาถาผนึกนี้ ต้องสิ้นเปลืองพลังในร่างของนางไปกว่าครึ่ง 


 


 


เมื่อกักขังเยี่ยเฉินเอาไว้ในยันต์ เพียงไม่กี่วัน จิตสำนึกของเขาก็จะสูญสิ้นไป กลายเป็นหุ่นเชิดให้กับนาง 


 


 


นี่เรียกว่าอะไรนะ ข่าววงในของศัตรูที่ร่วงลงมาจากท้องฟ้า จะไม่รับไว้ได้หรือ? 


 


 


ยังคงเป็นคำพูดนั้น รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง 


 


 


นางรู้เรื่องภายในแดนสวรรค์น้อยมาก แต่เมื่อมีเยี่ยเฉินอยู่ในมือ ก็ถือว่าได้แต้มต่อเพิ่มขึ้นมา 


 


 


เพียงแต่ว่าไม้ตายนี้สิ้นเปลืองพลังจำนวนมาก ใช้เวลาสะสมเนิ่นนาน ตู๋กูซิงหลันจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาฟื้นฟูอีกช่วงหนึ่ง 


 


 


พอกักขังเยี่ยเฉินเอาไว้ในยันต์โลหิตเรียบร้อยแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกครั้ง 


 


 


ดวงจันทร์กลมโตดุจจานใบหนึ่ง 


 


 


สายฟ้าหายไปตั้งนานแล้ว ทุกอย่างดูสงบนิ่งอย่างยิ่ง 


 


 


สีหน้าของตู๋กูซิงหลันก็สงบลงเช่นกัน เกาะลอยฟ้าทั้งเกาะแหลกเละไปหมดแล้ว เหลืออยู่เพียงต้นไห่ถางต้นใหญ่ที่สุดกับบริเวณโดยรอบเพียงยี่สิบเมตรเท่านั้น 


 


 


“เด็กน้อย เจ้า…” ฟ่านอิงรีบขยับเข้าไปใกล้ เขามีคำพูดมากมายอยากจะถามนาง 


 


 


เพียงแต่พอเอ่ยออกมา ก็พูดอะไรไม่ออกอีก 


 


 


“ท่านตา ข้ากับแดนสวรรค์มีแค้นไม่อาจอยู่ร่วมกัน” ตู๋กูซิงหลันเก็บยันต์โลหิตที่มีเยี่ยเฉินอยู่เรียบร้อย ก็หันมามองเขาแวบหนึ่ง 


 


 


เส้นไหมบนลำคอของเขากลายเป็นสีดำไปหมดแล้ว ดูแล้วน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง 


 


 


“ซือเป่ยคือคนที่ท่านเคยเอ่ยถึงผู้นั้น” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันสอบถามย้ำอีกครั้ง 


 


 


ฟ่านอิงชะงักไป คำพูดที่มาถึงริมฝีปากต้องเปลี่ยนไป “เขาแข็งแกร่งมาก ผู้ที่เป็นศัตรูกับเขายากที่จะเหลือรอดไปได้” 


 


 


“เขา ‘ช่วย’ ท่านตาเอาไว้ เพื่อจุดประสงค์ใด?” 


 


 


ฟ่านอิงปิดตาลง “ น่าจะเพื่อ ควบคุมดินแดนจิ่วโจวทั้งหมดกระมัง และยิ่งเพื่อให้คนทั้งหมดซึมซับความแค้นเช่นเดียวกันกับข้า” 


 


 


จุดนี้ตู๋กูซิงหลันยิ่งไม่เข้าใจแล้ว 


 


 


ซือเป่ยเป็นเทพสงครามของแดนสวรรค์ เขาต้องการจะควบคุมแผ่นดินเอาไว้ทำไม? 


 


 


ทั้งยังจะทำให้ทั้งหมดเกิดความแค้น? 


 


 


“แม้ว่าเขาจะเป็นเทพบนสวรรค์ …..แต่ว่าไอแค้นในร่าง ก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าข้า” ฟ่านอิงเอ่ยต่อไป “ผีกุ่ยหลัวซาในวังตันติ่งกง เจ้าก็เคยได้เห็นแล้ว …….” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันตกตะลึงไป “ความหมายของท่านก็คือ….เบื้องหลังของซ่งชิงอี ก็คือซือเป่ยเช่นกัน?” 


 


 


ก่อนหน้านี้ นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ซ่งชิงอีกลับซือเป่ยจะมีส่วนที่เกี่ยวข้องกัน 


 


 


ผีกุ่ยหลัวซาที่ปรากฏขึ้นในวังตันติ่งกงนั้น นางกับท่านเจ้าสำนักได้ช่วยกันสวดส่งวิญญาณไปแล้ว 


 


 


พอคิดไปถึงวิญญาณแค้นเหล่านั้น….. 


 


 


“เขาคิดจะทำอะไร?” ตู๋กูซิงหลันอดไม่ได้ที่จะถามออกมา 


 


 


ฟ่านอิงถอนหายใจ มองขึ้นไปบนดวงจันทร์กลมโตบนท้องฟ้าอีกครั้ง 

 

 

 


ตอนที่ 598 หุบเขาหมื่นปีศาจ

 

“ในโลกหล้านี้มีแต่จิตใจมนุษย์ที่ซับซ้อนที่สุดต่อให้เป็นเทพก็ยังรองมาจากมนุษย์ สิ่งที่เขาต้องการ…..” ฟ่านอิงหันเหสายตากลับมา มองไปที่ตู๋กูซิงหลัน “ก็คือรวบรวมความชั่วร้ายทั้งหมดในโลกหล้ามาใช้สอย” 


 


 


แววตาของตู๋กูซิงหลันมืดครึ้มลงไป ในสมองของนางปรากฏภาพของเหล่าผีกุ่ยหลัวซาและวิญญาณแค้นมากมายขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


ซือเป่ยเป็นเทพสงครามแดนสวรรค์ ต้องถือว่าเป็นที่สุดของฝ่ายธรรมะ แล้วเขาจะรวบรวมความชั่วร้ายทั้งหมดในใต้หล้าไปเพื่อทำอะไร? 


 


 


“ตลอดหลายปีมานี้ ทุกสิ่งที่ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนทำลงไปล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องชั่วช้าที่น่าหวาดผวา เป็นมนุษย์ที่จิตเป็นมาร สร้างความ เคียดแค้นชิงชังไปทุกหย่อมหญ้า แดนสวรรค์มองดูเหมือนจะสงบสุข แต่ที่จริงแล้วมีแต่คลื่นลมอยู่ตลอด” 


 


 


ยากนักที่ฟ่านอิงจะพูดอะไรยาวๆหลายประโยค 


 


 


ตู๋กูซิงหลันทางหนึ่งรับฟังอย่างพินิจพิเคราะห์ ทางหนึ่งก็ค่อยๆม้วนเก็บยันต์โลหิตที่ผนึกเยี่ยเฉินเอาไว้อย่างดีลงไป แล้วจึงปาดเช็ดเหงื่อบนใบหน้าจนแห้ง 


 


 


ไม่ว่าซือเป่ยจะคิดทำอะไร ก่อนที่เขาจะสมความปรารถนา นางก็เพียงแต่ต้องชิงสังหารเขาก่อนเท่านั้น 


 


 


“ดูท่าแล้ว ที่ซือเป่ยส่งบุรุษหนุ่มผู้นี้มา ก็คงเพราะเจ้าสินะ” ฟ่านอิงมองดูนาง พลางมองออกไปรอบๆเกาะลอยฟ้าที่พังทลายลงไป 


 


 


“ทั้งเมืองว่านฮวาเฉิงและตำหนักซิวหลัวเตี้ยนล้วนมิใช่สถานที่ที่ปลอดภัยอีกต่อไป ในช่วงนี้เจ้าควรจะหาที่หลบซ่อนสักพัก” หากว่าเป็นไปได้ ฟ่านอิงก็คิดจะได้อยู่ร่วมกับนางนานอีกสักช่วงหนึ่ง 


 


 


แต่ว่าใบหน้าที่แสนอัปลักษณ์ของเขานี้ มิว่าทำสิ่งใดก็ยังคงดูอัปลักษณ์อยู่ดี 


 


 


แม้ว่าจะแสดงออกทางสีหน้าว่าเสียดาย แต่ดูแล้วก็ยังคงน่ากลัวอย่างที่สุด 


 


 


ดวงตาที่มีแต่เส้นเลือดมีเพียงจุดสว่างจางๆท่ามกลางความมืดทึบ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันคิดจะไปที่เผ่าปีศาจสักครั้งหนึ่ง เพราะอย่างไรพี่รองก็ถูกเจ้าจิ้งจอกน้อยพาไปแล้ว นางจะต้องไปรับคนกลับมา 


 


 


“ทั่วทั้งดินแดนจิ่วโจวไม่มีที่ใดปลอดภัยอีกแล้ว” นางเก็บกริชลงไป เส้นผมสีดำอมเงินพลิ้วออกไปในสายลม จับจ้องมองดูเยี่ยเฉิน “มีแต่ต่อต้านสวรรค์ กระทำตามใจตนให้ถึงที่สุด จึงจะนำความสงบสุขคืนมาสู่ใต้หล้าได้สำเร็จ” 


 


 


“เจ้ายังคิดจะบุกขึ้นไปฆ่าล้างสังหารถึงบนสวรรค์ให้ได้?” ฟ่านอิงถูกแววตาที่มีแต่ความเชื่อมั่นในตนเองอยู่เต็มเปี่ยมของสาวน้อยทำเอาต้องตกตะลึงไป 


 


 


เขาอยากจะรู้จริงๆว่า ในกระดูกของเด็กคนนี้มีอะไรอยู่กันแน่ 


 


 


ใครเป็นคนที่เลี้ยงดูนางมาจนเติบโต ทำให้นางมีความมั่นใจและมุ่งมั่นถึงเพียงนี้ 


 


 


“ผู้อื่นไม่ปล่อยข้า แล้วข้าจะหนีได้อย่างไร” ชุดสีแดงของตู๋กูซิงหลันพลิ้วไปกับสายลมยามค่ำคืนลมโบกชุดจนส่งเสียงหวีดหวิวออกมา 


 


 


ใต้แสงจันทร์สว่าง หัวคิ้วของนางแฝงความทรนงองอาจ ดูแกล้วกล้าอาจหาญราวกับว่าเป็นแม่ทัพหญิงออกศึกสังหารศัตรูผู้หนึ่ง 


 


 


“แต่ว่านั่นคือแดนสวรรค์ มิใช่สถานที่ที่เจ้าจะสั่นคลอนได้ และไม่ใช่คนที่เจ้าจะโยกคลอนได้เช่นกัน” 


 


 


คนหนุ่มคนสาวมีความห้าวหาญย่อมเป็นเรื่องดี แต่ว่าประสบการณ์ยังน้อยไป นางยังไม่เคยขึ้นไปบนแดนสวรรค์เลยด้วยซ้ำ ทั้งยังไม่เคยเจอกับพวกเทพบนสวรรค์ ถึงแม้ว่าจะพอมีความสามารถอยู่กับตัว แต่ว่าออกจะประเมินเรื่องราวอย่างประมาทเกินไป 


 


 


“มดแดงเขย่าต้นมะม่วง หากไม่ลองดูจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่สำเร็จ?” ตู๋กูซิงหลันหันกลับมาคลี่ยิ้มให้กับเขา 


 


 


“ท่านตา นับจากวันนี้เป็นต้นไป ท่านติดตามข้า ข้าก็จะปกป้องท่านเอง” 


 


 


ประโยคหลังนั่น ทำเอาคำพูดที่มาถึงลำคอของฟ่านอิงถึงกับต้องกลืนกลับลงไป 


 


 


หัวใจของเขาเหมือนถูกบีบอย่างแรงครั้งหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จมูกของเขาถึงได้แสบร้อนขึ้นมา อายุก็ปานนี้แล้ว หัวใจด้านชามานานหลายปี แต่ตอนนี้ดวงตาทั้งสองกลับฝ้าไปด้วยหมอกน้ำชั้นหนึ่ง 


 


 


เมื่อครู่ก่อนเขายังรู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อยที่ตู๋กูซิงหลันไม่ไว้ใจในตัวเขา 


 


 


แต่ว่าตอนนี้กลับถูกนางโยกคลอนจนซาบซึ้งขึ้นมา 


 


 


 


 


 


“ข้าไม่ได้แค่พูดเฉยๆ” ตู๋กูซิงหลันเดินเข้าไปหา ปาดเช็ดเลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่บนสองมือกับเสื้อผ้าอย่างลวกๆ ค่อยจับมือของฟ่านอิงเอาไว้ 


 


 


“เรื่องที่ผ่านไปแล้ว ข้าไร้ความสามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่ต่อไปในอนาคตขอเพียงข้ายังไม่ตาย จะต้องปกป้องท่านตาอย่างที่สุดแน่นอน” 


 


 


นี่คือสิ่งที่นางจะชดเชยให้แทนราชวงศ์จี อีกทั้งยังเป็นความตั้งใจอย่างแท้จริงที่จะปกป้องชายที่น่าสงสารผู้นี้ 


 


 


หากท่านยายอยู่ในปรภพ ก็คงปรารถนาให้เขาได้ปล่อยวางตนเอง มีอิสระในตนเอง 


 


 


ฟ่านอิงมองดูสองมือบอบบางที่กุมมือของตนเองเอาไว้ จนเนิ่นนานเขาก็ยังถึงกับพูดอะไรไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ 


 


 


เขาจดจำไม่ได้แล้วว่า นับตั้งแต่ที่เขากลายเป็น ‘คนตายที่มีชีวิต’ นานกี่ปีมาแล้วที่ไม่เคยมีใครแตะต้องเขา….. 


 


 


นานเท่าไหร่แล้ว ที่เขาไม่เคยสัมผัสใครทั้งสิ้น 


 


 


ยามนี้เขาเผยโฉมอย่างไร้สิ่งใดปิดบังต่อหน้านาง นางไม่เพียงแต่ไม่หวาดกลัว ทั้งยังเป็นฝ่ายขยับเข้ามาหาเขา 


 


 


พอฟ่านอิงสลายหมอกสีดำไปหมดแล้ว ร่างกายก็มิได้เย็นยะเยือกจนเหมือนกับแต่ก่อน แต่ยามที่ตู๋กูซิงหลันจับมือของเขาเอาไว้ ก็ยังรู้สึกได้ถึงความเย็นแผ่ซ่านเข้าไปในกระดูก 


 


 


ร่างกายนี้ตายไปตั้งแต่แรกแล้ว ที่เหลืออยู่ในตอนนี้ก็เป็นเพียงแค่ดวงจิตที่ถูกกักเอาไว้ในร่างกายด้วยฤทธิ์อาคมเท่านั้น 


 


 


เนิ่นนาน เขาค่อยใช้มืออีกข้างหนึ่งตบลงบนหลังมือของตู๋กูซิงหลันเบาๆ รับปากคำหนึ่งว่า ‘ตกลง’ 


 


 


ภายหลัง ตู๋กูซิงหลันค่อยรู้ว่า ในคำว่า ‘ตกลง’ คำนั้น ฟ่านอิงได้ตระเตรียมจะทำสิ่งใด 


 


 


หัวคิ้วและดวงตาของนางวาดโค้ง จนสวยงามน่าชม 


 


 


ไม่ไกลออกไป ท่านเจ้าสำนักที่มีสีหน้าซีดขาว ก็พยายามสะกดภาพที่สับสนและพร่าเลือนในสมอง เอาไว้ ยามที่เขามองออกไป ก็ได้เห็นรอยยิ้มของศิษย์น้อยเข้าพอดี 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเดินมาที่ข้างกายเขา นางได้กลิ่นเหล้าดอกกุ้ยฮวาจากบนร่างของเขา สีหน้าจึงไม่ดีเท่าไหร่ 


 


 


“ฉุยซือ เจ้ายินดีจะไปที่เผ่าปีศาจกับข้าหรือไม่?” 


 


 


ถึงอย่างไรอาจารย์ต้าฉุยก็เป็นเจ้าสำนักหยินหยาง ไม่ใช่คนที่จะลากไปลากมาได้ง่ายๆ 


 


 


“ได้” ท่านเจ้าสำนักโพล่งออกมาคำหนึ่ง พอตู๋กูซิงหลันเข้ามาใกล้ อาการปวดศีรษะรุนแรงที่เขาพึ่งจะสะกดเอาไว้ก็ย้อนกลับขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


เพียงแต่ว่าเขาปิดบังเอาไว้เป็นอย่างดี แม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยังสามารถหลอกได้สำเร็จ 


 


 


ภายในถุงเฉียนคุน ศิลาโลหิตในกระถางดอกไม้ แทงหน่อสีแดงออกมาจากพื้นดิน 


 


 


…………. 


 


 


 


 


 


สายเลือดตระกูลซูตั้งถิ่นฐานอยู่ในหุบเขาหมื่นปีศาจมาเนิ่นนาน ในหุบเขามีสัตว์ปีศาจมากมาย แต่แทบจะไม่เคยมีมนุษย์ย่างกรายมาให้เห็น 


 


 


ต่อให้มีเข้ามา ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่มีทางได้กลับออกไป 


 


 


บนยอดสูงสุดของภูเขาหมื่นปีศาจ สูงอยู่เหนือเมฆ มีหิมะปกคลุมอยู่ตลอดเวลา 


 


 


ท่ามกลางหิมะที่ขาวโพลน มีวังโดดเดี่ยวแห่งหนึ่ง วังแห่งนี้สร้างขึ้นจากไม้ เหล็กและหินขนาดใหญ่ ขนาดพื้นที่กว้างขวางราวสองสนามฟุตบอล 


 


 


หิมะตกอย่างหนัก คลุมหลังคาวังจนกลายเป็นสีขาวโพลน 


 


 


ประตูใหญ่ของวัง ฝูงจิ้งจอกน้อยขนฟูกำลังกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี 


 


 


องค์ชายน้อยพาบุรุษชาวมนุษย์ผู้หนึ่งกลับมาด้วย ทั่วทั้งเผ่าจิ้งจอกต่างก็สนอกสนใจอย่างยิ่ง 


 


 


เผ่าจิ้งจอกมิได้มีกฏเกณฑ์อะไรมากมายเช่นพวกมนุษย์ พวกปีศาจมักชอบทำอะไรตามอำเภอใจอยู่แล้ว 


 


 


จิ้งจอกน้อยแต่ละตัวต่างก็ทำคอยืดยาว ต่างก็อยากจะมองดูให้ชัดๆว่ามนุษย์ที่องค์ชายน้อยพากลับมาหน้าตาเป็นอย่างไร 


 


 


แต่จะแหงนมองซ้ายมองขวา มองอย่างไรก็ยังไม่เห็นอยู่ดี ช่างหมดสนุกจริงๆ 


 


 


ภายในวัง แสนจะหนาวเย็น 


 


 


บนตำหนักกลาง มีแท่นนอนที่อ่อนนุ่มหลังหนึ่ง แท่นบรรทมอ่อนนุ่มปูด้วยสีแดงสดใส บนนั้นมีสตรีผู้หนึ่งนอนหลับอยู่ 


 


 


อากาศเหน็บหนาวถึงเพียงนี้ สตรีผู้นั้นยังคงเปลือยแผ่นหลังอยู่ครึ่งหนึ่ง บนร่างมีหนังจิ้งจอกคลุมอยู่เพียงชิ้นเดียว ปกปิดสัดส่วนที่สำคัญเอาไว้ 


 


 


หากจะบอกว่าเปลือย ก็ดูไม่เหมือนจะเปลือย เพราะส่วนที่ผู้ใดก็อยากเห็นกลับมองไม่เห็น 


 


 


แผ่นหลังของนางสวยงามอย่างยิ่ง โค้งเว้าเป็นเส้นสายอันงดงาม แผ่นหลังและลำคอระหงเกินพอจะดึงดูดสายตาผู้คนให้หลงใหล 


 


 


เส้นผมสีแดงสยายอยู่บนฟูกอ่อน กระจายเป็นวงกว้าง 


 


 


ในตำหนักที่อากาศหนาวเย็นอย่างยิ่ง นางดูงดงามดุจภาพจิตกรรม 


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยมองดูภาพนั้นอย่างมึนงง สายตาของเขาหยุดอยู่ที่เส้นผมสีแดงที่สยายอยู่บนฟูก 


 


 


“ชือหลี….” เขาเอ่ยชื่อนั้นออกมาราวกับมีผีพรายกระซิบ 


 


 


ทันทีที่เรียกออกไป สตรีที่อยู่บนฟูกก็ขยับตัว คล้ายจะหันกลับมา แต่ก็ให้เขาเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างเท่านั้น 


 


 


ทั้งๆที่เพียงแค่เหลือบแลมา แต่ก็แทบจะขโมยวิญญาณผู้คนไปแล้ว 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)