หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 594-599
บทที่ 594 เส้นทางชัชวาล!
หลังจากที่ปรับตัวให้ชินกับอาการที่ตามมาหลังการเคลื่อนย้าย และสภาพแวดล้อมใหม่รอบตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กงเต๋าก็พูดขึ้นโดนฉับพลัน
“เป่าเล่อ เยี่ยเหมิง ข้าไปหาอี้ฟานเมื่อหลายวันก่อน เพื่อให้เขาไปแทนข้า แต่หมอนั่นกลับบอกว่าไม่ต้องการเช่นนั้น…”
“กงเต๋า เจ้าคิดมากเกินไป” หวังเป่าเล่อตบบ่าสหาย พลางส่ายหน้าและยิ้ม ตัวเขาเองก็ไปหาจั่วอี้ฟานเพื่อเสนอข้อเสนอนี้เช่นกัน แต่จั่วอี้ฟานก็ปฏิเสธเขากลับ เพราะว่าตัวจั่วอี้ฟานเองไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขัน และแม้ว่าหวังเป่าเล่อจะมีสิทธ์ตัดสินใจว่าใครจะเข้าร่วมได้ แต่โอกาสนี้ก็เหมาะที่จะเป็นของกงเต๋ามากกว่าอย่างแน่นอน
เมื่อได้ยินดังนั้น กงเต๋าก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกอยู่ภายใน เขาเชิดคางขึ้น มองไปยังเส้นทางที่ทอดยาวอยู่เบื้องหน้าพร้อมสหายทั้งสองข้างกาย
“นี่คงจะเป็นเส้นทางชัชวาลที่ผู้อาวุโสชิวหรันบอกไว้ ข้ารู้สึกได้ถึงไอของวงแหวนปราณที่แผ่ออกมาจากถนนเส้นนี้ ไอนี้เข้มข้นมาก แต่ก็ไม่ได้มีอันตรายแต่อย่างใด!” เจ้าเยี่ยเหมิงสังเกตถนนข้างหน้าอยู่ชั่วครู่ ก่อนเอ่ยคำวินิจฉัยของตนออกมา
“ข้าจะไปก่อนแล้วกัน!” ทันทีที่นางพูดจบ กงเต๋าก็ฉายแววความมุ่งมั่นขึ้นมาในแววตาทันที เขารู้สึกขอบใจหวังเป่าเล่อมากที่ให้โอกาสนี้กับเขา และอยากเป็นคนแรกที่ก้าวไปยังเส้นทางชัชวาลก่อน เพื่อตรวจสอบดูให้แน่ใจแทนเพื่อนทั้งสองว่าไม่มีอันตรายจริงๆ
ดังนั้นกงเต๋าจึงก้าวเท้าเข้าไปยังทางที่ทอดยาวตรงหน้า ก่อนที่หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงจะทันได้ห้าม เมื่อฝ่าเท้าของเขาเหยียบลงบนผืนดิน กงเต๋าก็ตัวสั่นไปทั้งร่าง
สหายทั้งสองรีบพุ่งมาหาเขาทันทีเพื่อสังเกตการณ์ หลังจากที่รออยู่สิบห้านาที ทั้งสองก็เริ่มกระวนกระวายและอยากดึงกงเต๋ากลับมา แต่ชายหนุ่มกลับถอนหายใจยาว
“ข้าเห็นภาพนิมิตเท่านั้น… ไม่มีอันตรายหรอก” ชายหนุ่มก้าวเท้าเดินต่อไปข้างหน้า หลังจากก้าวที่ร้อย เขาก็ตัวสั่นเทาอีกครั้งและนิ่งงันอยู่กับที่
หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงมองกงเต๋า ก่อนหันมามองหน้ากันและพยักหน้าโดยไม่ได้นัดหมาย พวกเขาก้าวเข้าไปบนเส้นทางชัชวาลพร้อมกันแล้วก็พาลตัวสั่นเทา หวังเป่าเล่อรู้แล้วว่ากงเต๋าเห็นสิ่งใด ภาพนิมิตของเขาเลือนรางพร่ามัว ราวกับการเปลี่นแปลกแบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินกำลังอุบัติอยู่ตรงหน้าเขา
สายฟ้าสีดำเบื้องบนหายไปเรียบร้อยแล้ว เปลี่ยนเป็นท้องฟ้าสีฟ้าสดใส พื้นที่ห้ามเข้าที่รายรอบเมื่อก่อนหน้าก็หายไปเช่นกัน แทนที่ด้วยพื้นที่ราบสงบนิ่ง บนท้องฟ้ามีหมู่นกบินว่อนอยู่ แม้กระทั่งยอดเขาสูงทั้งเจ็ดก็ดูน่าเกรงกลัวน้อยลง กลายสภาพเป็นเนินเตี้ยๆ เจ็ดลูกเท่านั้น
ความรู้สึกสงบสุขอบอวลอยู่ในอากาศ ทำให้ผู้ที่อยู่ในโลกแห่งนี้รู้สึกสบายกายสบายใจ หวังเป่าเล่อกระพริบตาปริบ ก่อนสังเกตเห็นลานบนยอดเนินที่เขายืนอยู่
บนลานนั้นมีบ่อน้ำและสุนัขตัวใหญ่นอนเล่นอย่างขี้เกียจอยู่ข้างๆ ชายวัยกลางคนที่ดูไม่ธรรมดา นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ลูบหัวสุนัขของตนไปพลาง เขายิ้มให้เด็กสองคนที่กำลังนำป้ายมาแขวนที่ประตูนอกลาน
เด็กทั้งสองเยาว์วัยและคล่องแคล่วมาก พวกเขาใช้เวลาไม่นานก็แขวนป้ายเสร็จ หวังเป่าเล่อเห็นคำสองคำที่เขียนอยู่บนป้ายในทันที
“ลานไพศาล”
ภาพหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น ก่อนค่อยๆ สลายหายไป ทุกสิ่งกลับมาคงเดิมอีกครั้ง ทั้งสายฟ้าสีดำ พื้นที่ต้องห้ามโดยรอบ และยอดเขาตระหง่านน่าสะพรึงกลัวทั้งเจ็ด!
หวังเป่าเล่อเงียบอยู่สักพัก เมื่อหันไปมองข้างๆ เขาก็เห็นว่าเจ้าเยี่ยเหมิงลืมตาตื่นขึ้นแล้วเช่นกัน
“เส้นทางชัชวาลแสดงประวัติศาสตร์การก่อตั้งสำนักวังเต๋าไพศาลให้เราดูเช่นนั้นหรือ…” นางพึมพำแผ่วเบา หวังเป่าเล่อเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน ทั้งสองก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไป
จากระยะไกล จะมองเห็นหวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงเรียงแถวกันอยู่ ส่วนกงเต๋าอยู่ห่างออกไปร้อยก้าว ทั้งสามกำลังเดินทางไปสู่ยอดเขา ท่ามกลางสายฟ้าสีดำและพื้นที่ต้องห้ามโดยรอบ
หนึ่งร้อยก้าวต่อมา ภาพนิมิตที่สองก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าหวังเป่าเล่อ ท้องฟ้าเป็นสีเทาด้วยเมฆหม่น เมืองถูกสร้างขึ้นบนลานกว้างนั้น เนินเตี้ยๆ กลายสภาพเป็นเทือกเขาสูงใหญ่ ลานกว้างเมื่อก่อนหน้าเปลี่ยนแปลงเป็นตึกนับร้อย พื้นที่สีเขียวปกคลุมทั้งยอดเขา ทำให้บริเวณทั้งหมดดูลึกลับอย่างบอกไม่ถูก
ศิษย์ของสำนักไม่ได้มีอยู่สองคนอีกต่อไป แต่เป็นศิษย์นับหมื่นนับแสนที่กำลังยุ่งวุ่นอยู่กับการทำกิจกรรมของตนเอง แสงอาทิตย์ส่องสว่างบนป้ายที่แขวนอยู่ตรงทางเข้าภูเขา
ป้ายนั้นไม่ได้เขียนว่า ‘ลานไพศาลอีกต่อไป’ หากแต่เป็นคำอื่น!
ตระกูลไพศาล!
ทุกหนึ่งร้อยก้าวที่ก้าวเดิน นิมิตใหม่จะอุบัติขึ้นให้พวกเขาเห็น ยิ่งทั้งสามเข้าไปลึกในหุบเขาเท่าไร แรงกดดันบนตัวพวกเขายิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ราวกับกำลังท้าทายขีดกำกัดของร่างกายทั้งสาม
ในตอนแรกกงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงยังทนแรงกดดันนั้นได้ แต่เมื่อเข้าไปลึกขึ้น ก็เหลือหวังเป่าเล่ออยู่เพียงคนเดียวที่ยังเดินด้วยความเร็วปกติอยู่ เขาช่วยกงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงไม่ได้เลย แต่ก็รู้ดีว่าบนเส้นทางชัชวาลนี้ ไม่ได้มีอันตรายซ่อนอยู่ ดังนั้นแรงกดดันที่พวกเขารู้สึกอยู่นี้ เป็นเหมือนการฝึกร่างกายมากกว่าภัยที่หมายทำร้าย
แน่นอนว่าการฝึกร่างกายไม่จำเป็นสำหรับหวังเป่าเล่อ แต่เป็นโอกาสทองของเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าที่จะทำให้ตนเองแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
หลังจากที่หันไปตรวจดูว่าเพื่อนทั้งสองปลอดภัยดี หวังเป่าเล่อก็ดูนิมิตที่สาม สี่ และห้าต่อไป ราวกับกำลังเล่นเกมอย่างไรอย่างนั้น
ภาพทั้งสามที่เขาดูต่อมานั้นเหมือนกัน โดยแสดงว่าหลายปีต่อมามีอยู่สองสามสำนักย่อยในตระกูลไพศาล ที่มีผลงานและก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูล สำนักย่อยเหล่านั้นปกครองดาวเคราะห์ของตน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคจักรพิภพ ที่แผ่ขยายอาณาเขตจากดาวดวงเดียวไปเป็นทั้งระบบจักรพิภพ แม้ความยากลำบากในการขยายอำนาจจะไม่ได้อยู่ในนิมิต แต่หวังเป่าเล่อก็เดาได้ว่ากว่าจะมีวันนี้ได้ ต้องใช้ความพยายามของหลายต่อหลายชั่วอายุคน จึงทำให้ตระกูลไพศาลควบคุมจักรพิภพย่อยได้มากมาย จนปกครองได้ทั้งเขต และกลายเป็นตระกูลที่มีอำนาจสูงสุดในบริเวณนั้น!
ระหว่างทางนี้ สำนักได้เปลี่ยนชื่ออยู่สามครั้ง นิมิตที่สามแปรเปลี่ยนเป็นนิมิตที่สี่ที่ใช้ชื่อว่าสำนักศึกษา ก่อนในนิมิตที่ห้าจะเปลี่ยนเป็นวัง ในตอนนั้นเองที่ชื่อของสำนักเปลี่ยนไปเป็น ‘สำนักวังเต๋าไพศาล’!
แม้ภาพนิมิตที่แสดงให้เห็นจะเป็นเพียงเสี้ยวเดียวของสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่ผู้รับสาสน์ก็รู้สึกได้ถึงความรุ่งโรจน์ชัชวาลของสำนักในอดีต จากลานเล็กๆ ค่อยๆ หลายเป็นสำนักที่ยึดครองเขตจักรพิภพทั้งหมด แม้จะไม่ได้มาจากสำนัก แต่หวังเป่าเล่อก็ลุ้นให้พวกเขาเอาชนะอุปสรรคทั้งหมดได้ เขารู้สึกได้ว่าก่อนที่ภัยพิบัติจะเข้ามาทำลายสำนักวังเต๋าไพศาล บรรยากาศของทั้งสำนักคงเต็มไปด้วยความหวัง และความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปสู่อนาคต
เมื่อเดินไปจนสุดถนนสายนี้ ข้าก็คงรู้ประวัติศาสตร์สำคัญทั้งหมดของสำนักวังเต๋าไพศาล อันจะทำให้ข้ารู้สึกภูมิใจในตัวสำนักแห่งนี้เป็นอันมาก… หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก รู้สึกได้ถึงความเคารพในสำนักที่เริ่มก่อตัวขึ้นในจิตใจ หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าภาพความรุ่งเรืองยิ่งใหญ่ในนิมิต ช่างแตกต่างจากภาพพื้นที่รกร้าง สายฟ้าสีดำ พื้นที่ต้องห้าม และทะเลเพลิง อันเป็นชีวิตจริงของสำนักวังเต๋าไพศาลในตอนนี้เหลือเกิน
เมื่ออดีตอันสวยงามถูแทนที่ด้วยความจริงอันแสนโหดร้าย หวังเป่าเล่อก็ได้แต่ส่ายศีรษะ เมื่อเข้าเดินถึงยอดเขา ชายหนุ่มก็วางก้าวสุดท้ายลงบนเส้นทางชัชวาล
เมื่อเท้าของเขาสัมผัสผืนดิน ภาพนิมิตที่หกก็ปรากฏขึ้น หวังเป่าเล่อคิดว่าตนเองจะเห็นการล่มสลายของสำนัก แต่ภาพที่เห็นตรงหน้ากลับเป็นภาพที่เขาคุ้นเคย
ชายวัยกลางคนผมสีเงินขาวพาเด็กหญิงน้อยแก้มยุ้ยมายังสำนักวังเต๋าไพศาล สำนักต้อนรับการมาถึงของทั้งสองอย่างยิ่งใหญ่ แม้กระทั่งปรมาจารย์สูงสุดยังมาคารวะเขาด้วยตนเอง ในนิมิตนั้น เด็กน้อยมองไปรอบๆ อย่างสนใจใครรู้ ภาพนั้นสลายหายไปกลายเป็นนิรันดร์
“แม่นางน้อย…” หวังเป่าเล่อชะงัก ก่อนพึมพำกับตนเองท่ามกลางความเงียบงัน ภายนั้นค่อยๆ สลายหายไปอย่างช้าๆ หวังเป่าเล่อก้าวออกจากเส้นทางชัชวาล เขายืนอยู่บนยอดเขา เบื้องหน้าเป็นวัง เบื้องหลังเป็นถนนสายที่เคยก้าวเดิน
เวลาเดินผ่านไปอย่างช้าๆ หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงนั้น รอเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าให้มาถึง จิตใจของเขากลับมาสงบนิ่งอีกครั้งขณะยืนมองวังที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า วังนั้นยิ่งใหญ่อลังการด้วยเสาค้ำมโหฬาร ค้ำยันท้องฟ้าที่ทำหน้าที่เหมือนกำแพงไพศาล รูปปั้นหนึ่งตั้งอยู่หน้าวังพร้อมด้วยบรรยากาศของอำนาจอันเปี่ยมล้น วังนี้ดูเก่าแก่เอาการผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายชั่วอายุคน
หวังเป่าเล่อรู้จักคนในรูปปั้น เขาคือชายวัยกลางคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในนิมิตแรกนั่นเอง
ชายผู้นี้คงจำเป็นปรมาจารย์สูงสุดของสำนักวังเต๋าไพศาล!
แม้วังนี้จะตั้งอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของตัวดาบ แต่ก็ยังคงสภาพดีอยู่ได้ เขาที่ยืนอยู่หน้าวังนี้เปรียบเสมือนปุถุชนคนธรรมดา ที่ยืนอยู่แทบเท้ายักษ์ปักหลั่น หวังเป่าเล่อกำลังสังเกตสภาพตรงหน้า ก่อนได้ยินเสียงกระหืดกระหอบเบื้องหลัง กงเต๋ามาถึงแล้ว พร้อมด้วยแววตาโชติช่วง แม้ตัวจะยังสั่นเทาอยู่ ร่างกายของเขาผ่านการฝึกจากแรงกดดันบนเส้นทางชัชวาล อันทำให้เขาแข็งแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ห้านาทีต่อมาเจ้าเยี่ยเหมิงก็มาถึงเช่นกัน
นางมีร่างกายที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาสหายทั้งสาม จึงทำให้นางได้ประโยชน์มากที่สุดจากเส้นทางชัชวาล
“เราเข้าไปยังเจ็ดวังบูชากันเถิด!” หลังจากที่สหายทั้งสองพักจนหายเหนื่อยเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็เอ่ยขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น ดวงตาสว่างจ้าด้วยความมุ่งมั่นคาดหวัง!
บทที่ 595 ดาวเคราะห์แคระวิญญาณทมิฬ
ตามข้อมูลที่ทั้งสามได้มาจากเฟิ่งชิวหรันก่อนที่จะเคลื่อนย้ายมา การทดสอบเจ็ดครั้งจะเกิดขึ้นในเจ็ดวังบูชา เมื่อผ่านการทดสอบแต่ละครั้ง จะถือว่าผู้เข้ารับการทดสอบพิชิตวังนั้นๆ ได้ และจะได้รับตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงของสำนักวังเต๋าไพศาล ลดหลั่นกันไปตามลำดับชั้นของวัง
ลำดับชั้นของศิษย์มีทั้งหมดเจ็ดลำดับด้วยกัน โดยเริ่มจากต่ำสุดไปสูงสุด ลำดับแรกคือศิษย์ในนาม ตามมาด้วยศิษย์สำนักนอก ศิษย์สำนักใน ศิษย์สืบทอด ศิษย์เอก และศิษย์อุปถัมภ์!
ส่วนลำดับสูงสุดนั้นคือลำดับที่เจ็ด อันถือเป็นลำดับสุดท้าย ตำแหน่งนี้มีชื่อเรียกว่าศิษย์แห่งเต๋าไพศาล!
แต่เฟิ่งชิวหรันเองก็ไม่ได้บอกพวกเขา ว่าแต่ละด่านต้องเจอกับอะไรบ้าง
เมื่อมายืนอยู่เบื้องหน้าวังแรก หวังเป่าเล่อก็เต็มไปด้วยพลังอันเปลี่ยมล้น เขาหันไปมองเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋า ก่อนจะเห็นว่าสหายทั้งสองก็ตื่นเต้นกระตือรือร้นเช่นเดียวกัน ทั้งสามมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไรมาก ก่อนจะเดินเข้าไปในวังแรกอย่างพร้อมเพรียงกัน!
พวกเขามาถึงประตูหลักของวังแรกในทันที เมื่อก้าวเข้าไป หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงก็ตัวสั่นงันงก ภาพต้นไม้ยักษ์ปรากฏขึ้นบนหน้าผากเจ้าเยี่ยเหมิง ต้นไม้ยักษ์นั้นคือตัวแทนของวิชาวงแหวนปราณนภาพินาศโบราณที่นางได้รับสืบทอดมา ตราประทับของเกราะจักรพรรดิบนหัวใจของหวังเป่าเล่อก็สว่างวาบขึ้นเช่นกัน รางกับกำลังถูกพลังที่มองไม่เห็นตรวจสอบโดยถี่ถ้วน!
ร่างของทั้งสองเริ่มเลือนราง ก่อนจะหายไปโดยสิ้นเชิงราวกับถูกเคลื่อนย้าย ทั้งสองไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นบนพื้นที่รับบททดสอบ แต่เป็นในวังบนยอดเขาลำดับที่สี่!
มีแต่กงเต๋าเท่านั้นที่เริ่มรับการทดสอบที่วังแรก เพื่อรับตำแหน่งศิษย์ในนาม!
ด้วยวิชาสืบทอดที่หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงได้รับจากดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้น ตำหนักวังบูชาจึงส่งพวกเขาไปยังวังที่สี่ทันที โดยไม่ต้องเผชิญกับสามวังแรก ทั้งสองไม่ต้องชิงตำแหน่งศิษย์ในนาม แต่ตรงไปรับการทดสอบเป็นศิษย์สืบทอดได้ทันที!
หากทั้งสองสอบผ่าน ก็จะได้รับตำแหน่งศิษย์สืบทอดไปครอบครอง แต่แม้ไม่ผ่านก็จะยังถือว่าเป็นศิษย์สำนักใน!
นี่คือเอกสิทธิ์ของผู้ที่ได้รับการยอมรับจากดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้นนั่นเอง!
หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงปรากฏตัวขึ้นหน้าโถงของวังที่สี่ แรงดึงดูดมวลมหาศาลดูดทั้งสองเข้าไปภายในทันที เมื่อสหายทั้งสองเข้ามาภายในวัง ภาพที่พวกเขาเห็นมีเพียงความพร่ามัว ทั้งสองไม่เห็นแม้กระทั่งกันและกันราวกับถูกจับแยก หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงรู้สึกเหมือนตนเองอยู่ตัวคนเดียวในความว่างเปล่าที่โอบล้อม
หวังเป่าเล่อระวังตัวขึ้นมาทันทีขณะตรวจสอบสภาพแวดล้อม เสียงเย็นไร้อารมณ์ดังขึ้นข้างหูเขา ท่ามกลางความว่างเปล่านั้น
“บททดสอบแห่งศิษย์สืบทอด ณ วังที่สี่ จะเริ่มขึ้นภายในหนึ่งร้อยลมหายใจ
“ผู้เข้ารับการทดสอบจงเตรียมตัวให้พร้อม เจ้าจะถูกส่งไปยังดาวเคราะห์แคระวิญญาณทมิฬ แห่งระบบดาวฤกษ์นัยน์ตาพิจิก เจ้าต้องสังหารผู้ฝึกตนต่างดาวที่ถือกำเนิดจากการรวมตัวกันของเมฆหมุนทมิฬ ที่เข้ายึดครองดาวเคราะห์แคระนี้ สังหารผู้ฝึกตนเหล่านี้ให้สิ้นซากเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ!
“ผู้ฝึกตนต่างดาวนี้มีปราณระดับจุติวิญญาณ หากผู้เข้ารับบททดสอบไม่ทักท้วงอันใดภายในเวลาหนึ่งร้อยลมหายใจ จะถือว่าเจ้ายินดีเข้ารับการทดสอบนี้! นี่ไม่ใช่ภาพมายา หากแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง หากผู้เข้ารับการทดสอบเสียชีวิต เจ้าจะถือว่าเป็นหนึ่งในผู้ล่วงลับ หากเจ้ายอมแพ้ก่อนการทดสอบจบ เจ้าจะต้องพยายามเอาตัวรอดต่อไปอีกหนึ่งเดือนจึงจะได้กลับมา!”
เมื่อเสียงเย็นนั้นหยุดประกาศ หวังเป่าเล่อก็รู้สึกเหมือนตนเองตกอยู่ในมนต์สะกด เขาได้ยินทุกคำพูด และเข้าใจทุกสิ่งอย่างชัดเจน แต่ข้อความนั้นก็ยังทำให้เขารู้สึกกังขา
ระบบดาวฤกษ์นัยน์ตาพิจิก ดาวเคราะห์แคระวิญญาณทมิฬ ผู้ฝึกตนต่างดาวที่ถือกำเนิดจากการรวมตัวกันของเมฆหมุนทมิฬ บ้าอะไรกันนี่… หวังเป่าเล่อกระพริบตาอย่างไม่อยากเชื่อ แต่เขาก็ยังเตรียมตัวให้พร้อม แม้จะเต็มไปด้วยความกังขา เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองอยู่ในภาพพร้อมออกศึก เขานับถอยหลังรอหนึ่งร้อยลมหายใจในใจ เมื่อเวลานั้นจบลง ชายหนุ่มก็ถูกเคลื่อนย้ายด้วยแรงมหาศาลที่รุงแรงกว่าที่เคยเจอมา แรงนั้นระเบิดออกในความว่างเปล่าที่เขาอยู่เมื่อก่อนหน้า!
แรงระเบิดนั้นมาพร้อมกับพายุที่มองไม่เห็น ที่หมุนวนรอบกายด้วยความเร็วสูงและพัดพาเขาจากไป ดวงตาของหวังเป่าเล่อมืดสนิท เขารู้สึกราวกับเวลาหนึ่งศตวรรษเดินหน้าผ่านไป แต่ก็รวดเร็วเหมือนพริบตาเดียวเช่นกัน เมื่อเขากลับมามองเห็นอีกครั้ง ชายหนุ่มก็ไม่ได้ยืนอยู่ในวังที่สี่อีกต่อไปแล้ว
ร่างกายของเขาถูกโอบด้วยกระแสความร้อน!
อากาศร้อนระอุแห้งผาก อบอวลไปด้วยกลิ่นประหลาดที่ทำให้ผู้ที่สูดเข้าไปรู้สึกไม่สบาย แม้หวังเป่าเล่อจะมีร่างกายที่แข็งแกร่ง แต่ก็ยังรู้สึกคลื่นไส้ทันทีที่ได้กลิ่น ชายหนุ่มทำท่าเหมือนจะอาเจียนขณะกอดพุงของตนเองไว้
แต่เขาก็โก่งคอเปล่าโดยไม่มีอะไรออกมา เมื่อชายหนุ่มก้มหน้าก็เห็นพื้นที่อยู่แทบเท้า พื้นนั้นเป็นทรายสีดำสนิท เวลาผ่านไปสักพักจนหวังเป่าเล่อเริ่มเคยชินกับสภาพแวดล้อมใหม่ เขาเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าซีดเซียว ก่อนจะสังเกตเห็นว่ารอบตัวเป็นทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา!
ทะเลทรายทั้งหมดนั้นเป็นเม็ดทรายสีดำสนิท ทำให้ผู้ที่ติดอยู่ข้างในรู้สึกเหมือนโดนจองจำอย่างบอกไม่ถูก ท้องฟ้าเบื้องบนเป็นสีเขียว แตกต่างจากท้องฟ้าที่ชายหนุ่มคุ้นเคยโดยสิ้นเชิง
นอกจากนี้ยังไม่มีแท้กระทั่งดวงจันทร์หรือดวงอาทิตย์ มีเพียงจุดกำเนิดแสงสว่างรูปร่างประหลาดไม่สม่ำเสมอ ลอยอยู่เหนือท้องฟ้าสีเขียว ส่องแสงให้พื้นดินสว่าง แต่ก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูแปลกประหลาดน่าขนลุกไปในเวลาเดียวกัน
หวังเป่าเล่อมีสีหน้างุนงง เขาสำรวจดูพื้นที่รอบกายเรียบร้อยแล้วหลังจากที่ถูกเคลื่อนย้ายมา และเข้าใจว่าไม่มีอันตรายซ่อนอยู่ กระนั้นชายหนุ่มก็ยังยืนตัวแข็งอยู่เป็นเวลานาน
“ที่นี่คืออารยธรรมนอกโลกเช่นนั้นหรือ” เขาพึมพำกับตนเอง พลางคิดสงสัยว่าเหตุใดตนเองจึงหายใจเอาอากาศรอบตัวเข้าไปได้ ทั้งยังอดคิดไม่ได้ว่าอารยธรรมนอกโลกที่ว่านั้นมีอยู่จริงหรือไม่
สำหรับประการแรกนั้นเขามีคำตอบให้ตนเอง นั่นก็เพราะว่าร่างกายของเขาเป็นร่างกายของผู้ฝึกตน หาใช่ปุถุชนคนธรรมดาไม่ เขาจึงเดินทางผ่านจักรวาล และทานทนสภาพอากาศแสนโหดร้ายทารุณบนดาวแปลกประหลาดได้
แต่คำถามที่สองนั้นหวังเป่าเล่อคิดอย่างไรก็คิดไม่ตกเสียที ชายหนุ่มคงจะไม่หัวเสียมากนัก หากไม่ได้เป็นเพราะตนเองเคยเล่นเกมเทพจุติมาก่อน เมื่อมีประสบการณ์เรียบร้อย เขาจึงต้องมองไปรอบๆ และจับร่างกายตนเอง นอกจากนี้ยังเปิดกำไลคลังเวทของดูเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจ ในที่สุดชายหนุ่มก็สรุปได้ว่าตนเองไม่ได้อยู่ในโลกมายาแต่อย่างใด
ทุกสิ่งที่นี่เป็นของจริง!
ถ้าเช่นนั้นก็แปลว่าที่นี่คือไอ้ระบบพิจิกวิญญาณทมิฬอะไรนั่น… หรือชื่ออะไรก็ไม่รู้ทำนองนี้ แต่หากมีไอ้ผู้ฝึกตนต่างดาวเมฆหมุนทมิฬอะไรนั่นจริง แล้วตำหนักวังบูชารู้ได้อย่างไรว่ามีผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณอยู่จริง ก็สำนักวังเต๋าไพศาลมันล่มสลายไปแล้วมิใช่หรือ…
แล้วไอ้การทดสอบนี่มันมีที่มาอย่างไร ข้ากับเจ้าเยี่ยเหมิงได้รับการทดสอบเดียวกันหรือไม่ ประกายส่องวาบในดวงตาของหวังเป่าเล่อ สมองของเขาเต็มไปด้วยคำถามมากมาย จนอดไม่ได้ที่จะถามแม่นางน้อย
นี่ก็เพราะว่าแม่นางน้อยเคยบอกเขาว่า เมื่อชื่อของเขาถูกจารึกอยู่บนแทนสลักเต๋า นางจะช่วยให้เขาบรรลุขั้นปราณ
ความสงสัยของหวังเป่าเล่อตอบได้ง่ายดายมาสำหรับแม่นางน้อย ดังนั้นนางจึงไม่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินในคราวนี้ เสียงของแม่นางน้อยที่ก้องอยู่ในหัวของหวังเป่าเล่อ เต็มไปด้วยความอวดดีไม่ยี่หระเหมือนผู้ที่รู้ทุกอย่างบนในจักรวาล
“คำถามนี้…”
“ข้ารู้ๆ แม่นางน้อยรู้คำตอบแน่นอนอยู่แล้วเพราะว่าอยู่ที่นี่มาตั้งแต่สามขวบ…” หวังเป่าเล่อกระแอม ก่อนพูดตอบแม่นางน้อยในจิตตนเอง ขณะมองไปรอบๆ กาย
“ผิดแล้ว! ข้ารู้คำตอบมาตั้งแต่ขวบเดียวต่างหากเล่า!” นางทำเสียงไม่พอใจพร้อมพ่นลมเยาะเย้ย จากนั้นนางจึงพูดต่อเพื่อไขข้อสงสัย
“ตำหนักวังบูชาก็เหมือนกันกับดินแดนแห่งสัมผัสทั้งห้า แรกเริ่มเดิมทีตำหนักนี้ไม่ได้ถูกสร้างโดยสำนัก แต่เป็นวัตถุต่างดาวที่ทางสำนักค้นพบ จากนั้นตำหนักก็ได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ให้กลายเป็นสถานที่สำหรับการทดสอบศิษย์ประจำสำนัก บริเวณที่จัดการทดสอบทั้งหมดเป็นอาณานิคมของสำนักวังเต๋าไพศาล ต่อให้สำนักของเราล่มสลายลง อาณานิคมเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ แม้จะเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาไปมาก แต่ก็ยังมีคนคอยตรวจความเรียบร้อยอยู่เสมอ”
“เอาละ เจ้าจงทำภารกิจให้สำเร็จเสีย หลังจากที่ได้สถานะศิษย์สืบทอดมาแล้ว ก็ไปทำบททดสอบต่อไปเพื่อเป็นศิษย์เอกที่วังต่อไป เมื่อได้รับภารกิจถัดไปเรียบร้อยแล้ว จงปลุกพลังของฝักกระบี่ในกายเจ้า หากทำเช่นนั้นก็มีโอกาสสูงมากที่เจ้าจะถูกส่งไปยังที่ๆ ข้าจะยื่นมือมาช่วยเจ้าได้ หากเจ้ามีข้าช่วยเหลือ การเป็นศิษย์เอกก็ง่ายนิดเดียว!” แม่นางน้อยประกาศอย่างภาคภูมิใจ หวังเป่าเล่อกระพริบตาปริบๆ ก่อนรีบพูดยกยอปอปั้นนางในทันที จากนั้นเขาก็หันตัวพุ่งไปข้างหน้า
ภารกิจคือให้ฆ่าไอ้ผู้ฝึกตนเมฆหมุนทมิฬ แต่ข้าจะไปหามันจากที่ไหนในดาวที่แสนกว้างใหญ่เช่นนี้ ข้ามีเวลาเพียงเดือนเดียวเท่านั้น หวังเป่าเล่อไม่มีแผนการใดๆ ทั้งสิ้น เขาเพิ่มความเร็วขึ้นท่ามกลางความเงียบ ความเร็วของเขามากเสียจนทำให้เกิดเสียงระเบิดดังปัง หลังจากที่พุ่งไปข้างหน้าอยู่ราวสิบห้านาทีด้วยความเร็วสูง ชายหนุ่มก็ชะงักงันกลางอากาศ
เขาหันหน้าไปมองทางขวาสองสามวินาที ราวกับรู้สึกได้ถึงบางสิ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองด้านซ้าย ในระยะไกล มีแหล่งชุมชนหน้าตาเหมือนหมู่บ้านปรากฏขึ้น!
แหล่งชุมชนนั้นไม่ได้ใหญ่ ตึกรามบ้านช่องดูเก่าโทรมและมีหน้าตาเหมือนกระท่อมดินเหนียว บ้านเหล่านั้นมีอยู่ราวร้อยหลังได้ ในตอนนั้นเองที่หวังเป่าเล่อเห็นชนพื้นเมืองแห่งดาวเคราะห์แคระวิญญาณทมิฬ!
ภาพที่เขาเห็นนั้นต่างจากสิ่งมีชีวิตบนสหพันธรัฐ สำนักวังเต๋าไพศาล และอารยธรรมวีรบุรุษโดยสิ้นเชิง ชนพื้นเมืองบนดาวเคราะห์แคระวิญญาณทมิฬนั้น มีรูปร่างผอมแห้งและมีศีรษะเล็ก แต่กลับมีขาที่แข็งแรงมาก เพียงแค่ความยาวขาก็ปาไปครึ่งหนึ่งของความสูงทั้งหมดแล้ว
หากมองเร็วๆ พวกเขาดูเหมือนเป็ดไม่มีผิด
นอกจากนี้ทุกคนยังมีผิวสีดำ ดวงตาสองคู่มีเพียงตาขาวไร้ซึ่งตาดำ ขณะนี้ทุกคนกำลังรวมตัวกันที่ใจกลางหมู่บ้าน และกำลังสวดมนต์บูชารูปปั้นอยู่
รูปปั้นนั้นดูแปลกประหลาดยิ่งกว่าคนบูชาเสียอีก กะโหลกของรูปปั้นดูเหมือนชายชราที่ใบหน้าเหี่ยวย่นทุกกระเบียดนิ้ว แต่ลำตัวกลับมีรูปร่างเหมือนนกสีดำที่เรืองแสงสีแดงออกมา
หวังเป่าเล่อประหลาดใจจนอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปใกล้อีกนิด ทันทีที่เขาก้าวขา เหล่าชนเผ่าในหมู่บ้านก็พากันหันขวับมามองเขาที่ลอยอยู่กลางอากาศ เมื่อเห็นผู้มาเยือนจากต่างดาว สีหน้าทุกคนก็เปลี่ยน พวกเขากรีดร้องตะโกนภาษาที่หวังเป่าเล่อไม่รู้เรื่อง และดูเหมือนจะกลัวจนรีบหนีตายหัวซุกหัวซุน…
หากหวังเป่าเล่อเข้าใจภาษานั้น เขาคงประหลาดใจแน่นอน เนื่องจากทุกคนพากันตะโกนว่าปีศาจได้มาเยือนแล้ว ในสายตาของชนพื้นเมืองเหล่านั้น ชายหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตาต่างจากพวกเขาโดยสิ้นเชิงคนนี้ เปรียบเสมือนปีศาจร้ายน่าสยองขวัญที่ต้องรีบหนีไปให้ไกลไม่มีผิด!
บทที่ 596 ดาวเคราะห์เมืองผีมืด
ประกายสว่างวาบในแววตาของหวังเป่าเล่อ ขณะมองชนพื้นเมืองที่กำลังหนีตายกันจ้าละหวั่นตัวสั่นงันงก กระนั้นในฉากหน้า สีหน้าของชายหนุ่มก็แสร้งเป็นทำตัวไม่ถูก เขาลอยลงไปยืนข้างรูปปั้น กวาดตามองฝูงชนที่กำลังหวาดกลัว
“มีผู้ใดในที่แห่งนี้พูดภาษาของอารยธรรมที่ไร้เทียมทานที่สุด อย่างสหพันธรัฐเป่าเล่อบ้างหรือไม่” ชายหนุ่มกระแอม ก่อนพูดอย่างสงบนิ่งด้วยภาษาของสหพันธรัฐ
แต่มนุษย์ต่างดาวเหล่านั้นกลับมองหน้ากันไปมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงงเลิ่กลั่ก ไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดเลยแม้แต่คนเดียว นี่ทำให้ชายหนุ่มถอนใจ ก่อนจะพูดอีกครั้งด้วยภาษาของสำนักวังเต๋าไพศาลแทน
คราวนี้เหล่ามนุษย์ต่างดาวผิวดำหันขวับไปมองชายชราในหมู่พวกเขาทันที ชายผู้นั้นมีผิวเหี่ยวย่นไปทั้งตัว สีหน้าขมขื่นโดดเด่นออกมาจากฝูงชนและยังตัวสั่นไม่หยุด เขาทำมือคารวะหวังเป่าเล่อเพื่อแสดงความเคารพ มือของผู้เฒ่าผู้นี้เล็กกว่าเท้าของเขาอย่างเห็นได้ชัด
“สวัสดีขอรับท่าน ข้าคือผู้เดียวในหมู่บ้านนี้ที่เข้าใจภาษาของอารยธรรมยิ่งใหญ่โบราณ โปรดถามคำถามที่ท่านต้องการคำตอบมาเถิด” ชายชราต่างดาวพูดด้วยสำเนียงประหลาดโดยใช้ภาษาถิ่นแทบทุกคำ แต่ยังโชคดีที่หวังเป่าเล่อฟังเข้าใจ
“นี่คือดาวอะไร ทำไมพวกเจ้าต้องกราบไหว้รูปปั้นนี้ เป็นรูปปั้นของใครหรือ” ชายหนุ่มถามคำถาม ก่อนมองหน้าผู้เฒ่าประจำหมู่บ้านเพื่อรอคำตอบ
ผู้ถูกถามกระพริบตาปริบ สีหน้าเต็มไปด้วยความระแวดระวัง เขาประเมินหวังเป่าเล่อด้วยสายตา ก่อนจะพูดตอบเสียงแผ่ว
“ท่านขอรับ ขณะนี้พวกเราอยู่บนดาวเคราะห์วายุทมิฬ นี่คืออนุสาวรีย์ขององค์จักรพรรดิ อนุสาวรีย์นี้มีอยู่ในทุกหมู่บ้านของชาววายุทมิฬ เราต้องบูชาท่านทุกวันเป็นกิจวัตร หากไม่ทำแล้วละก็ อนุสาวรีย์นี้จะเริ่มอับแสงจนดับไปในที่สุด องค์จักรพรรดิวายุทมิฬจะคอยตรวจตราดูอยู่ประจำ หากอนุสาวรีย์ของหมู่บ้านใดไม่ส่องแสงเรืองรองอีกต่อไป ท่านจะตราหน้าว่าหมู่บ้านนั้นไม่เคารพท่าน และจะกินทุกคนในหมู่บ้านนั้นให้หมดสิ้นขอรับ”
เป็นเช่นนี้นี่เอง… หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ก่อนจะเลิกสนใจเหล่ามนุษย์ต่างดาวตรงหน้าอย่างรวดเร็ว เขาหันไปศึกษาอนุเสาวรีย์ตรงหน้าอย่างละเอียดแทน ในตอนที่เขาหันไปสนใจรูปปั้นนั้นเอง ชายชราต่างดาวที่พูดคุยกับหวังเป่าเล่ออยู่เมื่อก่อนหน้า ก็ขยับนิ้วเท้าเล็กน้อยโดยฉับพลัน ทันใดนั้นแสงเรืองรองสีโลหิตก็สาดออกจากดวงตาทั้งสองของรูปปั้น
แสงนั้นปรากฏขึ้นในเสี้ยววินาที และเข้าห่อหุ้มตัวหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว ก่อนเปลี่ยนเป็นผนึกแช่แข็งร่างของชายหนุ่มเอาไว้อยู่กับที่ หวังเป่าเล่อชะงักค้างราวกับร่างกายและวิญญาณของเขาหยุดนิ่งลงในวินาทีนั้น!
ในตอนนั้นเอง ที่มนุษย์ต่างดาวที่ตื่นกลัวก่อนหน้า ทั้งชายหญิง เยาว์วัยและแก่ชรา เผยยิ้มน่าสยดสยองบนริมฝีปาก พวกเขาไม่ได้ตัวสั่นอีกต่อแล้ว แววตาเต็มไปด้วยประกายประหลาด ในตอนนั้นเองที่กลางหน้าผากของพวกเขาปริแยกออก หมอกสีดำที่พวยพุ่งออกจากรอยแตก เหมือนวิญญาณชนิดหนึ่งที่ลอยค้างอยู่กลางอากาศ วิญญาณหมอกทมิฬสีดำเหล่านั้นพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มผู้โชคร้ายในทันที!
“ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่มีเลือดมีเนื้อมาเหยียบที่นี่นานเป็นชาติแล้ว ช่างส้มหล่นเสียจริง!”
“ไอ้หมอนี่ชะตาขาดแล้ว มันโดนดวงตาของท่านจักรพรรดิแช่แข็งไว้เรียบร้อย!”
“ช่างกล้าดีนักที่มาเหยียบดาวเคราะห์วิญญาณของเรา พับผ่า ข้าชอบดวงตาของมันชะมัด ใครอย่าคิดจะชิงดวงตาของไอ้หมอนี่ไปจากข้าเชียว!” วิญญาณผีกรีดร้องด้วยเสียงแหลม ทุกตนต่างพากันกรูเข้ามาหาหวังเป่าเล่อด้วยความตื่นเต้น คนที่เร็วที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากชายชราที่พูดคุยกับหวังเป่าเล่อเมื่อก่อนหน้านี้ ดวงวิญญาณที่แหวกหน้าผากของเขาออกมามีขนาดใหญ่ที่สุด และมีไอพลังงานเข้มข้นที่สุด ดวงวิญญาณดวงใหญ่ของชายชรามาถึงข้างกายหวังเป่าเล่อในฉับพลัน ปากใหญ่กว้างของมันอ้าออก หมายกลืนศีรษะของชายหนุ่มเข้าไปในคำเดียว!
ปากกว้างนั้นดูเหมือนจะเปิดออกได้อย่างไร้ขีดจำกัดโดยไม่มีวันฉีกขาด ขยายกว้างมากเสียงจนขนาดเท่ากะโหลกของหวังเป่าเล่อ แต่ยังไม่ทันได้กลืนเข้าไปให้สมใจอยาก เสียงที่เจือความรำคาญก็ดังมาเข้าหูเสียก่อน
“พวกเจ้านี่น่ารำคาญเสียจริง” เสียงนั้นมาพร้อมกับมือขวาของหวังเป่าเล่อที่ค่อยๆ ง้างขึ้นมาจับคอของวิญญาณชายชรา ดวงวิญญาณทั้งหมดต่างพากันตกใจจนต่อต้านไม่ทัน มือนั้นบิดเข้าจับคอของชายชราเอาไว้จนหนีไปไหนไม่ได้ ดวงวิญญาณชราที่ถูกจับตาเบิกโพลง ดิ้นรนพยายามจะหนีแต่ก็ไม่เป็นผล อุ้งมือแข็งแรงเหมือนเหล็กของหวังเป่าเล่อ จองจำมันเอาไว้อยู่กับที่จนขยับไม่ได้
นี่ทำให้วิญญาณดวงอื่นๆ ที่รายล้อมหยุดชะงักทันทีด้วยความตกใจ ก่อนจะถอยร่นไปด้วยความเร็วสูง กระนั้นก็ยังหนีเปลวไฟสีดำที่ชายหนุ่มปล่อยออกมาไม่ทัน
ลูกไฟเย็นสีดำที่มีหวังเป่าเล่อเป็นจุดศูนย์กลาง แพร่กระจายออกเป็นวงกลมในทุกทิศทาง ดวงวิญญาณสีดำเหล่านั้นไม่มีเวลาแม้แต่จะกรีดร้อง เปลวไฟล้างผลาญทุกหย่อมหญ้าของหมู่บ้าน ราวกับกำลังจัดการขจัดมลทินครั้งใหญ่ วิญญาณทุกดวง เว้นแต่วิญญาณชายชราที่หวังเป่าเล่อจับเอาไว้ พากันตัวสั่น ก่อนหายวับไปกับตาทันทีที่เปลวไฟสีดำพุ่งผ่าน
วิญญาณทุกดวงอันตรธานหายไปจากจักรวาลโดยสิ้นซาก!
เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นกับตา วิญญาณชายชราที่ดิ้นพราดๆ อยู่ก่อนหน้าก็ตัวสั่นในทันที มันหันกลับมามองหวังเป่าเล่อด้วยดวงตาที่เต็มเปี่ยมด้วยความกลัวจับขั้วหัวใจ ร่างสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้
ชายหนุ่มเจ้าของเปลวไฟสีดำไม่แม้แต่จะหันไปสนใจวิญญาณที่ล้างบางไปเมื่อก่อนหน้า และไม่หันไปมองวิญญาณชายชราที่ตนจับเอาไว้ในมือด้วยซ้ำ เขายืนอยู่ตรงนั้นท่ามกลางแสงเรืองรองสีแดงที่โอบล้อมตัวเอาไว้ พิจารณารูปปั้นตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน
ความจริงแล้วในตอนที่หวังเป่าเล่อเห็นหมู่บ้าน เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามนุษย์ต่างดาวเหล่านั้นคือวิญญาณผี ที่เร้นกายอาศัยอยู่ในร่างของชนพื้นเมือง!
ร่างของชนพื้นเมืองที่เสียชีวิตลงนานหลายปีดีดักนั้นไม่เน่าเปื่อยผุพัง หากแต่กลายสภาพเป็นเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มวิญญาณผีเอาไว้ แต่แม้กระทั่งผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณก็อาจจับสังเกตไม่ได้ จนเป็นไปได้ว่าจะตกอยู่ในอันตราย แม้จะหลบเลี่ยงการโจมตีของผีเหล่านี้ไปได้ก็ตาม
นี่ก็เพราะแสงสีแดงที่รูปปั้นปล่อยออกมานั้น มีหน้าที่สะกดวิญญาณของเป้าหมายให้หนีไปไหนไม่ได้นั่นเอง แต่แน่นอนว่าใช้ไม่ได้ผลกับบุตรแห่งความมืดอย่างหวังเป่าเล่อ ที่ไม่ได้มีความกลัววิญญาณผีเลยแม้แต่น้อย
ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงไม่ได้สนใจสิ่งใดเลยตั้งแต่แรก อย่างเดียวที่เขาละสายตาไปไม่ได้คือวัสดุของรูปปั้นจักรพรรดิ เมื่อได้เข้ามาดูใกล้ๆ แล้ว หวังเป่าเล่อก็ก้าวเข้าไปจับและลองเคาะดู ดวงตาของเขาวาววับขึ้นในทันที
ใช่จริงๆ เสียด้วย นี่มัน… มีชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาวผสมอยู่! หวังเป่าเล่อตื่นเต้นขึ้นในทันที เขายังเคลือบแคลงอยู่เมื่อก่อนหน้า แต่เมื่อได้ยืนยันสมมติฐานของตนเองเรียบร้อยแล้วหลังจากได้ตรวจดู ชายหนุ่มก็ดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่
เขารู้ดีว่าชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาวนั้นมีมูลค่ามหาศาลเพียงใด และรู้ดีว่าเขาต้องการชิ้นส่วนนี้เป็นจำนวนมาก ในการซ่อมแซมวัตถุเวทแห่งความมืดบนดาวอังคาร แต่การจะหามันมาได้นั้นก็ยากเลือดตาแทบกระเด็น นอกเสียจากว่าจะทำลายดวงดาวให้สิ้นซากเสีย
ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงทำการใดไม่ได้เลยในตอนที่ยังอยู่ที่สหพันธรัฐ แต่ก็ไม่ได้คาดคิดว่าตนเองจะโชคหล่นทับขนาดนี้ ขณะทำบททดสอบบนดวงดาวอันแสนประหลาดน่าขัน
ชายหนุ่มยกมือซ้ายขึ้นหมายหยิบรูปปั้นเข้ากระเป๋า ทันใดนั้นแสงสีแดงก็ทวีความเข้มข้นขึ้น ราวกับกำลังต่อต้านการกระทำของเขา แต่ทันทีหวังเป่าเล่อเรียกเปลวไฟสีดำขึ้นมาในมือขวา แสงสีแดงนั้นก็สิ้นอิทธิฤทธิ์ ทำให้เขาเก็บรูปปั้นไปได้โดยไม่มีอุปสรรคอันใด
หลังจากนั้นเขาก็ก้มลงมองวิญญาณชายชราที่ตนเองจับเอาไว้ในมือ พร้อมเลียริมฝีปากและคลี่ยิ้ม
“เจ้ามีสองทางเลือก พาข้าไปที่หมู่บ้านอื่น หรือให้ข้าจับกินเป็นอาหาร”
วิญญาณชราตัวสั่นหงึก หากเป็นคนอื่นมาบอกว่าจะกินตนเข้าไปมันคงไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อจัดการล้างบางวิญญาณทุกตนในหมู่บ้านกับตาของตนเอง ประกอบกับสีหน้าของชายหนุ่มที่เลียฝีปากเมื่อครู่นี้ มันก็เข้าใจได้ในทันทีว่าปีศาจร้ายจากต่างดาวตนนี้จะกินมันเข้าไปจริงๆ
“ข้า… ข้ารู้จักหมู่บ้านมากมายอยู่!” วิญญาณชายชราตัวสั่น รีบพูดเสียงดังในทันที
“เช่นนั้นก็นำทางไปเสีย” หวังเป่าเล่อเอ่ยอย่างสงบนิ่ง ก่อนปล่อยมือขวาด้วยท่าทีไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าวิญญาณจะเผ่นหนีไป วิญญาณชราลังเลอยู่แว่บหนึ่ง แต่หลังจากนึกสีหน้าของหวังเป่าเล่อตอนเลียริมฝีปากได้ ก็ยอมทำตามคำสั่งแต่โดยดี มันเริ่มออกเดินทางนำหวังเป่าเล่อไปยังหมู่บ้านใกล้สุดที่มันรู้จัก
ด้วยเหตุนี้ หนึ่งมนุษย์หนึ่งผีจึงออกเดินทางไปด้วยกันในอากาศ เพื่อมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านอื่นๆ ต่อไป สามชั่วโมงต่อมา หวังเป่าเล่อก็ได้รูปปั้นมาอีกหนึ่ง และล้างบางหมู่บ้านไปอีกแห่งเป็นที่เรียบร้อย วิญญาณชายชรายังคงกลัวตัวสั่น ในขณะที่แววตาของหวังเป่าเล่อวาวโรจน์ขึ้นในทุกนาที
เขาไม่สนใจทำบททดสอบให้เสร็จอีกต่อไปแล้ว ดาวแห่งนี้เปรียบเสมือนหีบสมบัติที่เต็มไปด้วยขุมทรัพย์ล้ำค่า ดาวดวงนี้คือสถานที่จริง หาใช่ภาพมายาไม่ จึงเป็นโอกาสทองสำหรับเขาที่จะเพิ่มความมั่งคั่งให้ตนเอง
เมื่อเข้าใจดังนั้น หวังเป่าเล่อก็มองวิญญาณชราข้างกายด้วยสายตาตื่นเต้นเอ่อล้น
“เจ้าตีนโต ทำผลงานให้ดีๆ เล่า หากข้าพอใจ ข้าจะเมตตาไม่กินเจ้าเป็นอาหาร”
บทที่ 597 จักรพรรดิวายุทมิฬ
บนดาวเคราะห์แคระวิญญาณทมิฬแห่งนี้ แสงเรืองประหลาดที่ส่องออกมาจากวัตถุที่ทำหน้าที่เหมือนดวงอาทิตย์ ส่องทะเลทรายสีดำให้สว่างไสว พร้อมด้วยไอร้อนระอุที่ห่อหุ้มบรรยากาศเอาไว้ ทำให้ดาวทั้งดวงดูแห้งแล้งแร้นแค้น
ดาวดวงนี้ไม่มีพืชพันธุ์ ไม่มีสัตว์ป่า กระทั่งอารยธรรมที่อาศัยอยู่บนดาวดวงนี้ ก็เป็นอารยธรรมของผีที่ใช้ศพเป็นเสื้อผ่าห่อหุ้มกาย
แม้จะมีหมู่บ้าน ก็เป็นหมู่บ้านของวิญญาณที่ใช้ร่างศพเป็นกายหยาบ
ราวกับว่าความตายเป็นแก่นหลักของดาวดวงนี้อย่างไรอย่างนั้น ดาวเคราะห์แคระวิญญาณทมิฬเปรียบเสมือนน้ำนิ่งสงบเย็น ไร้ซึ่งรอยกระเพื่อม จนกระทั่ง… วินาทีที่หวังเป่าเล่อเดินทางมาถึง
หวังเป่าเล่อเปรียบเสมือนหินก้อนใหญ่ที่ถูกโยนลงไปในน้ำ ทำให้น้ำที่เคยนิ่งนั้นแตกกระเซ็น ก่อนกระเพื่อมออกเป็นวงกว้าง น้ำที่เคยนิ่งสงบปั่นป่วนด้วยคลื่นวงจากตัวตนของชายหนุ่ม…
ข้ารวยแล้ว! ชายหนุ่มที่มาเพื่อสร้างความโกลาหลหัวเราะอย่างมีความสุข ขณะเดินทางตัดอากาศด้วยท่าทีตื่นเต้น เขามาถึงดาวแห่งนี้เป็นวันที่เจ็ดแล้ว และยังคงเดินหน้าทำลายหมู่บ้านอย่างต่อเนื่องไปมากกว่าห้าสิบหมู่บ้าน ด้วยการนำของวิญญาณชราและอำนาจแห่งเปลวไฟสีดำ
ทุกหมู่บ้านมีรูปปั้นที่เขาต้องการ รูปปั้นเหล่านั้นสร้างมาชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาวทั้งสิ้น อันเป็นวัตถุดิบที่เปรียบเสมือนเงินทองสำหรับหวังเป่าเล่อ!
นอกจากนี้เขายังเจอวัสดุล้ำค่าอื่นๆ อีกในหมู่บ้านบางแห่ง มีทั้งแร่หายากและวัตถุเวทที่แตกหัก เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่มีในสหพันธรัฐ และแทบไม่มีข้อมูลบันทึกเอาไว้เลย เขารู้ว่าสิ่งเหล่านี้ล้ำค่าหลังจากที่ได้ไปอยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาลมาเท่านั้น
นี่ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นเต้นดีใจเป็นอันมาก เขาเข้าใจความรู้สึกของผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณต่างดาวสามคน ที่เขาสังหารไปเมื่อก่อนหน้าโดยใช้วัตถุเวทแห่งความมืดแล้ว ว่าการปล้นสะดมดาวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่นี้เยี่ยมยอดเพียงใด
นี่มันส้มหล่นชัดๆ … หวังเป่าเล่อตื่นเต้นดีใจ ลืมเรื่องจักรพรรดิวายุทมิฬไปเสียสนิท ตอนนี้เขาสนใจเพียงการเก็บสะสมรูปปั้นเท่านั้น ผีชายชราข้างกายก็เริ่มช่ำชองการนำทางมากขึ้น ความช่วยเหลือนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเดินหน้าชิงทรัพย์และล้างบางไปได้อย่างต่อเนื่อง
เวลาเดินหน้าผ่านไปจนครบครึ่งเดือน หวังเป่าเล่อปล้นสดมไปแล้วแทบทั้งดาว ตอนนี้เขามีรูปปั้นอยู่มากกว่าหนึ่งร้อยอัน เมื่อเห็นว่าเวลาหนึ่งเดือนกำลังเดินหน้าเข้ามาเรื่อยๆ และตนเองเพิ่งจัดการยึดทรัพย์ไปเพียงครึ่งดาวเท่านั้น เขาก็เริ่มกระวนกระวาย และแล้วชายชราที่โดนหวังเป่าเล่อทั้งขู่ทั้งบังคับ ก็พาเขาไปยังสถานที่ที่มีรูปปั้นที่ใหญ่ที่สุดในดาว!
ที่แห่งนั้นมีคูลึก รายล้อมด้วยพื้นที่โล่งแจ้งกว้างใหญ่ ไร้ซึ่งวิญญาณผีโดยสิ้นเชิง มีเพียงรูปปั้นยักษ์สูงสามร้อยเมตรพร้อมด้วยแสงเรืองสีแดงเท่านั้น ที่ตั้งตระหง่านอยู่ ส่วนล่างของรูปปั้นนั้นถูกฝังลงใต้ดิน พลังลึกลับจากสวรรค์และผืนดินถูกส่งออกมาจากใต้ดินลึก ส่งผ่านรูปปั้นที่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางออกมายังบรรยากาศภายนอก
เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นรูปปั้นจากระยะไกล เขาก็หัวใจเต้นแรงอยู่ในอก ชายหนุ่มไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง รูปปั้นนั้นแทบจะสร้างมาจากชิ้นส่วนกำเนิดดวงดาวทั้งหมด ส่วนวัสดุที่เหลือนั้นก็ดูล้ำค่าเช่นกัน
นี่ทำให้เขาตื่นเต้นจนจิตใจปั่นป่วน เขากระโจนเข้าใส่รูปปั้นในบัดดล ก่อนเปลี่ยนร่างเป็นเกราะจักรพรรดิทันทีที่เข้าใกล้พอ พร้อมด้วยเสียงหัวเราะลั่น ร่างของชายหนุ่มใหญ่โตขึ้นจนสูงหนึ่งร้อยเมตร เขาพุ่งเข้ากอดรูปปั้นและหมุนมันเพื่อถอนรากถอนโคน ท่ามกลางเสียงคำรามก้องขณะออกแรง!
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังเขย่ารูปปั้นอยู่นั้น พื้นดินก็สั่นสะท้าน รูปปั้นค่อยๆ หลุดออกจากพื้นดินทีละน้อยตามแรงกระแทก ส่งคลื่นสะท้อนสะเทือนไปตามจุดต่างๆ ใต้ดินที่เชื่อมกับรูปปั้นใหญ่
ในตอนนั้นเอง ที่ถ้ำใต้ดินเบื้องล่างรูปปั้นยักษ์ มีรูปบูชาห่อหุ้มด้วยวายุทมิฬตั้งอยู่ ลมหมุนสีดำหมุนวนอย่างต่อเนื่อง ภายในลมหมุนมีจุดแสงมากกว่าสองร้อยจุดกำลังส่องสว่างโชติช่วง มีอยู่สามจุดที่ส่องสว่างกว่าใครเพื่อน ปรากฏเป็นกระจุกลำแสงที่รวมตัวกัน ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางให้แสงที่ริบหรี่กว่า ทุกครั้งที่กระจุกแสงสว่างวาบ ลมหมุนวายุทมิฬก็พัดเร็วกว่าปกติ
แต่ตอนนี้จุดแสงเล็กๆ นั้นมอดดับลงไปกว่าครึ่ง จึงทำให้ลมหมุนทมิฬลดความเร็วลงอย่างเห็นได้ชัด กระจุกแสงใหญ่หนึ่งในสามกำลังค่อยๆ ริบหรี่ลงเช่นกันจนมอดดับลงในที่สุด ดวงตาคู่หนึ่งเบิกกว้างขึ้นท่ามกลางลมบ้าคลั่งนั้น!
ดวงตาคู่นั้นฉายความไม่อยากเชื่อในตอนแรก ราวกับกำลังสงสัยว่าเหตุใดตนเองจึงถูกปลุกขึ้นก่อนเวลาอันควร แต่เมื่อเห็นจำนวนรูปปั้นที่ช่วยเสริมการฝึกปราณของมันหายไปมากกว่าร้อยอัน มันก็เข้าใจในที่สุดว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ ยิ่งไปกว่านั้น รูปปั้นที่ใหญ่ที่สุดอันเป็นกระจุกแสงใหญ่ก็ดับลงเช่นกัน เสียงกรีดร้องด้วยความโกรธเกรี้ยวก็ดังทะลุลมหมุนออกมา
“ไอ้ฉิบหาย!”
เสียงกรีดร้องจากใต้ดินนั้นลอยขึ้นมาเข้าหูหวังเป่าเล่อที่อยู่เบื้องบน ชายหนุ่มที่กำลังกระชากรูปปั้นออกจากพื้นกระพริบตาปริบ แสงสีแดงที่เรืองออกจากรูปปั้นเข้มขึ้นอีก ราวกับรูปปั้นนั้นกำลังกลับมามีชีวิต ดวงตาที่ไร้แววของรูปปั้นเริ่มออกแววขยับ
“อ้าว มีชีวิตหรอกหรือ” ชายหนุ่มตกใจ เขายกมือขวาขึ้นเรียกเปลวไฟสีดำออกมา ก่อนตบมือนั้นเข้าไปที่ศีรษะของรูปปั้น
“เช่นนั้นก็ไม่มีทางเลือกแล้วนอกจากต้องขโมยมา!” หวังเป่าเล่อตบรูปปั้นเสียงดัง จนทำให้มันสั่นสะท้าน แสงสีแดงมอดดับลงอีกครั้ง เมื่อทุกสิ่งกลับสู่ภาวะปกติ หวังเป่าเล่อก็จัดการถอนรากถอนโคนรูปปั้นได้สำเร็จในที่สุด ชายหนุ่มตื่นเต้นขณะกำลังจะจัดการเก็บรูปปั้นเข้าไปในกำไลคลังเวท แต่ก็ต้องพบกับความจริงที่ว่ารูปปั้นนี้ใหญ่เกินไป และกำไลของตนกำลังจะเต็มแล้ว ทางเดียวที่จะเก็บเข้าไปได้คือเขาต้องจัดการทำลายให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเสียก่อน
หวังเป่าเล่อรู้สึกเสียดายในทันทีที่ตนเองไม่ได้เอากระเป๋ามามากกว่านี้ แต่ด้วยความที่ไม่มีทางเลือก เขาจึงทำได้เพียงคว้ารูปปั้นเอาไว้และรีบหนีออกมา ในตอนเดียวกันนั้น เขาก็ตบตีรูปปั้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มันแตกเป็นชิ้นๆ ระหว่างนั้นก็หยิบเอาส่วนที่แตกออกเข้ากระเป๋าไปด้วยในคราวเดียวกัน
ขณะที่กำลังหนีพร้อมทำลายรูปปั้นไปด้วยนั้น เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นกว่าเดิมจากถ้ำใต้ดิน ลมหมุนแยกตัวออกจากรูปบูชาและหดตัวลงอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นภาพมายาของสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ที่มีร่างกายเหมือนปักษา
ร่างนั้นมีศีรษะของสตรี แต่หาใช่หญิงชราไม่ สตรีผู้นั้นอยู่ในวัยกลางคน และไม่ได้มีเสี้ยวของความงามอยู่บนใบหน้าแม้แต่น้อย ใบหน้าของนางน่าสะพรึงกลัวมากด้วยปานสีดำที่พาดผ่าน ปากอัดแน่นด้วยฟันแหลมคมกริบ ดวงตาอำมหิตเหี้ยม นางหมุนตัวเพื่อเปลี่ยนให้ตนเองกลายเป็นลมหมุนสีดำ ก่อนแหกออกจากอ่างน้ำ ทะลุถ้ำ พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน!
พายุสีดำพัดไปทั่วทุกสารทิศ พวยพุ่งขึ้นสู่สวรรค์ มันเห็นหวังเป่าเล่อที่กำลังกอดรูปปั้นพร้อมเหาะหนีไปด้วยความเร็วสูงในทันที
“บังอาจมาขโมยรูปปั้นของข้า!” ผู้ฝึกตนต่างดาวกรีดร้อง ร่างปักษาที่มีศีรษะเป็นมนุษย์นั้น รีบรุดตามหวังเป่าเล่อไปด้วยความเร็วสูง
จักรพรรดิวายุทมิฬหรือ หวังเป่าเล่อที่กำลังทำลายรูปปั้นให้เป็นชิ้นๆ พร้อมเก็บเข้ากระเป๋านั้น หันกลับมามองทันทีที่ได้ยินเสียงคำราม เขาเห็นเจ้าของเสียงในทันที พร้อมด้วยพายุสีดำสมกับชื่อนาง
มีปราณระดับจุติวิญญาณจริงเสียด้วย… ประกายวาบเข้ามาในแววตาหวังเป่าเล่อขณะเขาเพิ่มความเร็วขึ้นอีก ชายหนุ่มเดินหน้าหลบหนีด้วยความเร็วสูง ทั้งยังโจมตีรูปปั้นอย่างเร่งรีบบ้าคลั่งมากขึ้น
เมื่อเห็นหัวขโมยที่กำลังหนีไป จักรพรรดิวายุทมิฬก็อารมณ์เสียขึ้นอีกทันที และมาดหมายว่าจะไม่ปล่อยหวังเป่าเล่อให้หนีไปได้อย่างแน่นอน ด้วยความที่ร่างของมันถือกำเนิดมาจากพายุทมิฬ มันจึงได้เปรียบด้านความเร็ว โดยเฉพาะกับหวังเป่าเล่อที่ยังมีปราณอยู่เพียงขั้นกำเนิดแก่นใน จักรพรรดิวายุทมิฬไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยว่าผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในปรากฏตัวขึ้นในอาณาเขตของมันได้อย่างไร มันเพิ่มความเร็วขึ้นไล่ล่าหมายกลืนกินผู้บุกรุกเข้าไปทั้งตัวให้สาสม!
แม้ว่าจักรพรรดิวายุทมิฬจะมีปราณระดับจุติวิญญาณ แต่ก็เป็นเพียงระดับต้นเท่านั้น นอกจากนี้มันยังไม่ได้ฝึกร่างกายของตนให้แข็งแกร่ง และยังไม่ได้มีปัญญาวิญญาณในระดับสูงมากนัก มันก้าวขึ้นมาปกครองดาวเคราะห์แคระวิญญาณทมิฬได้ เพราะสำนักวังเต๋าไพศาลล่มสลายลง จึงทำให้มีโอกาสยึดดาวเคราะห์นี้โดยไม่คาดคิด สิ่งมีชีวิตต่างดาวนี้จัดการเปลี่ยนดาวทั้งดวงให้กลายเป็นสวรรค์สำหรับการฝึกปราณของตนเองในทันที มันเปลี่ยนชิ้นส่วนต้นกำเนิดวิญญาณที่มีอยู่แล้วในบริเวณนี้ให้กลายเป็นรูปปั้นสักการะ โดยใช้เวลาสร้างรากฐานนี้อยู่นานหลายปี
แต่ความพยายามหลายปีนั้นกำลังถูกหวังเป่าเล่อทำลายลงภายในไม่กี่วัน จึงทำให้มันโกรธเป็นอันมาก ยิ่งเห็นหวังเป่าเล่อกำลังทำลายรูปปั้นแสนรัก โทสะก็ยิ่งทวีความบ้าคลั่งขึ้นไปอีก
“ไอ้โจรชั่ว ข้าจะกินเนื้อเจ้า รีดวิญญาณของเจ้าออกมา และทำให้เจ้ากลายเป็นผีไปเสีย ข้าจะเฆี่ยนทรมานเจ้าไปอีกพันปี ให้สาสมกับที่เจ้าบังอาจมาขโมยรูปปั้นของข้า!” จักรพรรดิวายุทมิฬที่เข้ามาใกล้กรีดร้องคำรามด้วยความแค้นใจ มันอยู่ห่างหวังเป่าเล่อไปเพียงสามร้อยเมตรเท่านั้น เสียงกรีดร้องแหลมสูงมาพร้อมผนึกมือชุด ร่างของมันหายไปทันที กลายเป็นพายุหมุนสีดำบ้าคลั่งที่เข้ามาแทนที่ พายุร้ายนั้นกำลังบดเข้าหาหวังเป่าเล่อด้วยความเร็ว
เมื่อเห็นว่าความเร็วของตนสู้จักรพรรดิวายุทมิฬไม่ได้ หวังเป่าเล่าก็อารมณ์เสียในทันที ใจเขาอยากเพิ่มความเร็วขึ้นอีก แต่เมื่อเห็นพายุสีดำตรงหน้า ชายหนุ่มก็หรี่ตาลง
แปลว่าเกี่ยวกับวิญญาณจริงเสียด้วยสินะ! ชายหนุ่มระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ก่อนโยนรูปปั้นที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งทิ้งไปอย่างไม่ใยดี เขาหันกลับไปเผชิญหน้าลมพายุ แววตาเหี้ยมเกรียม
“เจ้าโง่บ้าเซ่อหรืออะไร ข้าไม่ใช่หัวขโมย นี่มันอาณาเขตของสำนักวังเต๋าไพศาล ข้าในฐานะศิษย์ของสำนักมีสิทธิ์บนดินแดนนี้อย่างเต็มที่ ข้าแค่มาเอาของคืนเท่านั้น เป็นบุญหัวแค่ไหนแล้วที่ข้าไม่ไปยุ่งกับเจ้า ยังบังอาจมาขู่ข้าอีกหรือ” หวังเป่าเล่อพูดด้วยน้ำเสียงชอบธรรม เขาหันกลับมาเผชิญหน้ากับศัตรู กำมือขวาแน่นเพื่อบีบอัดเกราะจักรพรรดิเข้าเป็นหมัด ที่พุ่งออกไปหมายโจมตี!
บทที่ 598 สังหารผู้ฝึกตนจุติวิญญาณ
เมื่อได้ยินประกาศของหวังเป่าเล่อ จักรพรรดิวายุทมิฬก็จิตใจสั่นสะท้านด้วยความตกใจ ชื่อของ ‘สำนักวังเต๋าไพศาล’ และตำแหน่งศิษย์สำนัก ทำให้กายและใจของมันเอ่อล้นด้วยความกลัวโดยอัตโนมัติ
ขณะที่กำลังตกใจอยู่นั้น หมัดของหวังเป่าเล่อพุ่งเข้าใส่ในทันที!
หลังจากที่จบการแข่งขันเพื่อช่วงชิงใบต้นไฮยาซิน หวังเป่าเล่อก็มีโอกาสได้ถามเฟิ่งชิวหรันอย่างลับๆ ว่าพลังการต่อสู้ของตนเองนั้น เทียบกับผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณได้หรือไม่ หากผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในคนอื่นถามนางเรื่องนี้ เฟิ่งชิวหรันคงคิดว่าช่างแสนประหลาด แต่เมื่อเป็นหวังเป่าเล่อ นางจึงไม่รู้สึกว่าแปลกแต่อย่างใด
ประมุขสำนักวังเต๋าไพศาลคนปัจจุบันตอบหวังเป่าเล่อไปตามจริง ชายหนุ่มจึงได้รู้ว่าความสามารถของตนนั้นเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณขั้นต้น โดยเฉพาะเมื่อเข้าบรรลุขั้นที่สามของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลง ทั้งยังควบคุมปราณของตนให้เสถียรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หวังเป่าเล่อก็มั่นใจในความสามารถในการต่อสู้ของตนเองยิ่งขึ้น
หากทุ่มสุดตัวข้าก็สู้ผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณขั้นต้นได้! หวังเป่าเล่อปล่อยหมัดใส่คู่ต่อสู้ พร้อมหลับตาลง แม้ก่อนหน้านี้จะดูเหมือนเขาประกาศอะไรออกไปแบบไม่คิดหน้าคิดหลังก่อน แต่ความจริงแล้วตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา หลังจากที่ได้เดินหน้าปล้นรูปปั้นและศึกษาดู รวมถึงยังสังหารวิญญาณไปมากมาย หวังเป่าเล่ออนุมานได้เรียบร้อยแล้วว่าพลังของจักรพรรดิวายุทมิฬนั้น เกี่ยวข้องกับวิญญาณแน่นอน!
แม้ชายหนุ่มจะยังไม่แน่ใจว่าวายุทมิฬสร้างสิ่งมีชีวิตครึ่งนกนี้ขึ้นมาได้อย่างไร แต่จิตสัมผัสวิญญาณของเขา ก็รู้สึกได้ทันทีที่สิ่งมีชีวิตจากต่างดาวปรากฏตัวขึ้น ว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับวิญญาณแน่นอน ยิ่งเห็นจะๆ ต่อหน้า หวังเป่าเล่อยิ่งมั่นใจมากขึ้นไปอีก
ชายหนุ่มสู้จักรพรรดิวายุทมิฬเรื่องความเร็วไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจหันกลับมาใช้กำลังต่อสู้แทน ความเหี้ยมและพลังที่สอดประสานของเขากำลังอยู่ในจุดสูงสุด ทำให้หมัดที่เกิดจากเกราะจักรพรรดินั้นรุนแรงกว่าปกติถึงสามเท่า เมล็ดแห่งการดูดกลืนในกายของชายหนุ่มระเบิดออก พลังปราณระดับกำเนิดแก่นในขั้นปลายสำแดงอำนาจพร้อมๆ กัน แก่นในแห่งความมืดสั่นอย่างรุนแรงอยู่ภายในเมล็ดแห่งการดูดกลืน ทำให้เปลวไฟสีดำก่อตัวขึ้นในร่าง เพิ่มพลังให้กับหมัดของเขาอีก หมัดนั้นทรงพลังมากเสียงจนทำให้เกิดพายุร้าย มองจากระยะไกลดูราวกับทะเลเพลิงได้อุบัติขึ้นกลางเวหา!
พายุของหวังเป่าเล่อปะทะเข้ากับพายุหมุนดำของจักรพรรดิวายุทมิฬ เสียงระเบิดกึกก้องจากแรงปะทะสะท้อนไปทั่วบริเวณ พายุสีดำเสียกระบวนท่าพัดล่าถอยไปด้านหลัง คืนสภาพกลับเป็นเจ้าของพลังอีกครั้ง คนครึ่งปักษาต่างดาวตกใจเป็นอันมาก ดวงตาอาบเคลือบด้วยความไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
พลังหมัดของหวังเป่าเล่อทำให้จักรพรรดิวายุทมิฬสั่นสะท้านด้วยความกลัวไปทั้งกายใจ พลังนั้นเลยหน้าขีดจำกัดของผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในไปไกล และเทียบได้กับระดับจุติวิญญาณทีเดียว แต่สิ่งที่ทำให้นางตกใจมากที่สุด คือเปลวไฟประหลาดสีดำที่สะกดพลังอำนาจของนางเอาไว้ได้อยู่หมัด!
หากจะพูดว่าสะกดพลังคงไม่ถูกต้องนัก ในความเป็นจริงแล้ว ลูกไฟเย็นสีดำนั้นทำให้จักรพรรดิวายุทมิฬกลัวจนแทบสิ้นสติ สัญชาตญาณเบื้องลึกบอกกับมันว่าไม่ควรเข้าใกล้เปลวไฟสีดำนี้เด็ดขาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!
นี่ทำให้สิ่งที่หวังเป่าเล่อประกาศเมื่อก่อนหน้า ว่าตนเองเป็นศิษย์จากสำนักวังเต๋าไพศาลนั้น ดูมีมูลความจริงขึ้นมาอย่างเสียมิได้ กระนั้นก็ยังเป็นการยากที่จะปักใจเชื่อ
“สำนักวังเต๋าไพศาลล่มสลายไปแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะเป็นศิษย์แห่งสำนักนั้น!” จักรพรรดิวายุทมิฬเอ่ยด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปอีกครั้ง ในตอนนั้นเองที่นางฉุกคิดถึงปัญหาหนึ่งที่มองข้ามไปเมื่อก่อนหน้า แล้ว… หวังเป่าเล่อมาถึงที่นี่ได้อย่างไรกัน
แต่นางก็ไม่มีเวลาคิดมากนัก หวังเป่าเล่อระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ชายหนุ่มถอยไปข้างหลัง หายใจอย่างรวดเร็ว ก่อนระเบิดพลังหมัดอีกครั้ง
นี่นะหรือคือพลังของระดับจุติวิญญาณ ดวงตาของชายหนุ่มวาววับ เขาไม่ได้รู้สึกว่าผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณนี้อ่อนแอแต่อย่างใด แต่กลับเป็นตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ สิ่งมีชีวิตต่างดาวนี้ต้านพลังหมัดของเขาได้ แม้จะมีแรงกดดันของเปลวไฟสีดำแฝงอยู่ด้วย แปลว่าหากเขาจะกำจัดผู้ฝึกตนวายุดำนี้โดยตรง ตัวเขาเองอาจตกอยู่ในอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงพลังที่แฝงอยู่ภายในกายเบื้องลึกของคู่ต่อสู้ตรงหน้า ที่ทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นอยู่ภายใน
หากมันตัดสินใจโจมตีกลับ เขาไม่มั่นใจว่าตนเองจะหลบการโจนตีของมันได้พ้น ดังนั้นเพื่อให้ได้ชัยชนะมาครอบ หวังเป่าเล่อจึงต้องล่อมนุษย์ต่างดาวตนนี้ให้ปล่อยท่าไม้ตายของมันออกมาเสียก่อน… ประกายวาบเข้ามาในแววตาของชายหนุ่มอีกครั้ง เขาหยิบเอาแท่งทรงกระบอกออกมาจากกระเป๋า เสียงดังปังระเบิดพร้อมฝาของแท่งทรงกระบอกที่เปิดออก ดอกไม้ไฟพวยพุ่งขึ้นบนท้องฟ้า!
กล่องดอกไม้ไฟนี้เป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ของหวังเป่าเล่อ สมัยที่เขายังเป็นศิษย์ในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เมื่อหลายปีก่อน เขาปรับปรุงมันเป็นครั้งคราว จนทำให้มีดอกไม้ไฟมากมายอัดแน่นอยู่ภายใน อย่างที่เห็นแสดงเด่นอยู่บนท้องฟ้าในตอนนี้ ดอกไม้ไฟนี้ทำหน้าที่เสมือนพลุสัญญาณเตะตาที่มองเห็นได้จากระยะไกล
พลุนี้ทำให้จักรพรรดิวายุทมิฬประหลาดใจเป็นอันมาก ก่อนที่จะทันได้ทำอะไร หวังเป่าเล่อก็ระเบิดหัวเราะออกมาอีกครั้ง ร่างอวตารสายฟ้าแยกออกจากร่างจริง ฝ่ามือที่โบกสะบัดเรียกเอากระบี่เหาะเหินสามสีออกมาจากกำไลคลังเวท กระบี่นั้นอยู่ในความควบคุมของร่างอวตารของชายหนุ่ม ที่พุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้เบื้องหน้าด้วยความเร็วเต็มสูบ
ร่างจริงของเขาปล่อยเอาพลังของเกราะจักรพรรดิออกมา เส้นปราณสีเลือดพุ่งกระจายด้วยความเร็วสูง กระดูกจากวิชาขั้นที่สองก็กระจายออกด้วยเช่นกัน พลังของหวังเป่าเล่อเพิ่มขึ้นอย่างมาก พร้อมด้วยความต้องการปะทะที่ชัดเจนในแววตา ชายหนุ่มกระโจนออกไปข้างหน้า เข้าประชิดตัวจักรพรรดิวายุทมิฬในทันที เขาไม่ได้เข้าโจมตีตัวคู่ต่อสู้โดยตรง หากแต่กักขังนางไว้!
เสียงระเบิดดังต่อกันเหมือนปะทัด หวังเป่าเล่อและจักรพรรดิวายุทมิฬปล่อยพลังใส่กันกลางอากาศ ร่างจำแลงของชายหนุ่มที่กำลังกวัดแกว่งกระบี่เหาะเหินสามสีนั้น ก็แข็งแกร่งไม่แพ้เจ้าของร่างตัวจริง ด้วยความที่คู่ต่อสู้ของเขามีปราณถึงขั้นจุติวิญญาณ พลังของชายหนุ่มก็ยังดูเทียบไม่ได้นัก แต่หวังเป่าเล่อก็ยังไม่ได้ใช้เปลวไฟสีดำ หรือพลังการต่อสู้ทั้งหมดที่เขามี
ทั้งสองต่อสู้กันพัลวัน จักรพรรดิวายุทมิฬเริ่มตกที่นั่งลำบากขึ้นเรื่อยๆ คู่ต่อสู้คนนี้ทำให้นางรู้ได้ถึงภัยอันตรายใหญ่หลวง โดยเฉพาะหลังจากที่คำถามว่าหวังเป่าเล่อมาถึงที่นี่ได้อย่างไร ได้รับคำตอบเป็นพลุสัญญาณที่ส่งขึ้นไปในอากาศ
ในตอนแรกนางก็ไม่เชื่อเท่าใดนัก แต่เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อพยายามดึงเวลาออกไปให้ได้มากที่สุด นางก็เริ่มเชื่อสนิทใจ!
หมอนี่ไม่ได้มาคนเดียว! จักรพรรดิวายุทมิฬเริ่มกระวนกระวาย ความกลัวปรากฏขึ้นในดวงตา นางรู้ดีว่าจะปล่อยให้หวังเป่าเล่อซื้อเวลาไม่ได้อีกต่อไป และควรรีบจบเรื่องนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด นางตัดสินใจอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเล ดวงตาเบิกกว้าง เสียงกรีดร้องแหลมสูงน่าขนลุกที่ส่งออกมา รุนแรงเสียจนเหมือนจะทะลุได้ถึงวิญญาณ
เสียงแสบแก้วหูนั้นพุ่งตัดความว่างเปล่าลงเบื้องล่าง ทำให้พื้นแยกออก หวังเป่าเล่อรู้สึกเหมือนศีรษะตนกำลังจะระเบิด ร่างกายสั่นเทิ้มรุนแรง พายุหมุนอุบัติขึ้นกลางหน้าผากจักรพรรดิวายุทมิฬ ก่อนที่นกตัวเล็กจะบินออกจากพายุนั้น
นกตัวนั้นคือวิญญาณจุติของนางนั่นเอง นกน้อยถือกระบี่สีดำเล่มเล็กขนาดเท่านิ้วมือเอาไว้ กระบี่นั้นปล่อยกลิ่นอายของความโบราณออกมา ทันทีที่ปรากฏขึ้นท้องฟ้าและพื้นดินก็แปรเปลี่ยนไป ลมพายุกรรโชกแรง เมฆสั่นสะท้านปั่นป่วนอย่างบ้าคลั่ง!
ภายในพริบตา นกน้อยพร้อมกระบี่ดำที่กำแน่นก็พุ่งเข้าใส่กลางหน้าผากของหวังเป่าเล่อ นี่คือท่าไม้ตายของจักรพรรดิวายุทมิฬ พลังนั้นทั้งยิ่งใหญ่ รุนแรง และยากจะคาดเดา ทรงพลังมากเสียจนสังหารผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณด้วยกันได้!
แต่แม้จะแข็งแกร่ง พลังนี้ก็ยังมีจุดอ่อน เนื่องจากพลังนี้ขับเคลื่อนได้โดยเชื่อมต่อวิญญาณจุติกับร่างของเจ้าของพลังเท่านั้น
เมื่อนกน้อยพร้อมกระบี่เล่มเล็กเข้าใกล้หวังเป่าเล่อ เปลวไฟสีดำในกายของชายหนุ่มก็ระเบิดออก พัดไปทั่วบริเวณ ก่อนโอบล้อมร่างของจักรพรรดิวายุทมิฬเอาไว้ เจ้าของร่างตกใจเป็นล้นพ้น ภายในพริบตา ร่างจริงของหวังเป่าเล่อก็พร่าเลือนสลับที่กับร่างอวตารในทันที!
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน จนคู่ต่อสู้ทำตัวไม่ถูก ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อที่มีพลังการต่อสู้เทียบเท่าตัวจริง ถูกกระบี่สีดำเล่มเล็กเสียบทะลุ ในตอนเดียวกับที่นกน้อยตัวนั้นพุ่งผ่านเปลวไฟสีดำ
แรงระเบิดดังก้องพร้อมร่างอวตารของหวังเป่าเล่อที่ดับสูญลง ร่างจริงของชายหนุ่มกลับเข้ามาแทนที่ร่างจำลองในทันที ความต้องการสังหารวาบเข้าดวงตา นี่คือเสี้ยววินาทีที่เขารอคอย ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นหยิบเอาหอกอาวุธเวทสีดำระดับเก้ามาพุ่งหลาวไปในอากาศ!
เสียงดังลั่นเหมือนความว่างเปล่าที่ถูกฉีกขาด ดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วบริเวณ หอกสีดำเร็วเหมือนสายฟ้าแลบ พุ่งเข้าใส่ร่างของจักรพรรดิวายุทมิฬในทันที!
เป้าหมายตกใจจนแทบสิ้นสติ การปล่อยวิญญาณจุติออกทำให้นางควบคุมกายหยาบได้ยาก แม้จะต้องการหลบการโจมตีนั้น แต่เปลวไฟสีดำที่ล้อมนางเอาไว้ ก็ปล่อยพลังกดดันออกมามากเสียจนหลบหนีไปไหนไม่พ้น จักรพรรดิวายุทมิฬชะงัดค้างกลางอากาศ ส่งให้หอกสีดำเสียบทะลุกลางหน้าอกนางด้วยความเร็วสูง!
เสียงกรีดร้องน่าอดสูด้วยความเจ็บปวดตามมาในทันที นกสีดำตัวน้อยบินถลาไปด้านหลัง หมายกลับคืนสู่ร่างที่จากมา นกตัวนั้นได้รับบาดเจ็บจากการโจมตี ทันใดนั้น มือใหญ่ก็พุ่งออกจากร่างของหวังเป่าเล่อ พร้อมด้วยไอเย็นในดวงตาชายหนุ่ม!
หัตถ์สื่อวิญญาณ!
แม้มือนั้นจะได้รับบาดเจ็บจากกระบี่ดำประจำกายนก ที่เข้าฟาดฟันทันทีที่มันโผล่ออกมา แต่ก็ยังช่วยให้ความเร็วที่นกกลับเข้าร่างจักรพรรดิวายุทมิฬชะลอลงไปได้ ความเร็วที่ลดลงนี้ทำให้เปลวไฟสีดำกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เปลวไฟเผาไหม้ร่างของสิ่งมีชีวิตครึ่งนกจากต่างดาวทันที ส่งให้ร่างนั้นกลายเป็นเพียงเถ้าถ่านในพริบตา!
ร่างกายที่สลายหายไปต่อหน้าต่อตา ทำให้นกน้อยที่เป็นวิญญาณจุติประจำร่างหมดทางหนี ร่างกายของมันบอบช้ำจากอาการบาดเจ็บจนใกล้ดับสลาย ร่างสะบักสะบอมนั้นค่อยๆ พร่ามัวลง ดวงตาล้นด้วยความกลัวจับขั้วหัวใจ มันหันหลังเพื่อหนี
จะหนีเช่นนั้นหรือ หวังเป่าเล่อพุ่งเข้าไล่ล่านกสีดำด้วยความอำมหิตเย็นเยียบในดวงตา!
บทที่ 599 ดาวเคราะห์เต๋าไพศาล!
ความกลัววาบผ่านดวงตาของนกน้อยสีดำ มันเพิ่มความเร็วขึ้นเต็มพิกัดเพื่อหนีตาย แต่เมื่อร่างหลักดับสลายไป บวกกับอาการบาดเจ็บที่เกิดจากการปะทะเมื่อครู่ นกน้อยที่ไร้หลักนั้นก็เริ่มหมดพลัง ไม่ว่าจะเร็วเพียงใด ก็ยังคงสู้ความเร็วของมันในสภาวะปกติไม่ได้ หากคู่ต่อสู้ของมันเป็นคนอื่น ความเร็วที่ลดลงนี้คงไม่เป็นผลมากนัก แต่คู่ต่อสู้ของวิญญาณจุตินกน้อยคือบุตรแห่งความมืด หวังเป่าเล่อ
วิญญาณจุติเองก็ถือเป็นวิญญาณประเภทหนึ่ง ชายหนุ่มกระโจนไปข้างหน้า ยกมือขวาขึ้น พร้อมด้วยหัตถ์สื่อวิญญาณที่พุ่งออกจากร่างด้วยความเร็วสูง เปลวไฟสีดำกระจายไปทั่วบริเวณ จำกัดพื้นที่ของนกน้อยเอาไว้ จนไม่ว่าจะหนีหรือฟาดฟันด้วยกระบี่สีดำเพียงใดก็หนีไปไม่พ้น ทำได้เพียงสร้างความลำบากให้หวังเป่าเล่อเล็กน้อยเท่านั้น
ทันทีที่นกน้อยเริ่มอ่อนกำลังลง หลังจากที่ใช้กระบี่โจมตีหลายครั้ง หวังเป่าเล่อก็คว้าตัวมันเอาไว้ได้!
ไหนมาดูกันหน่อยว่าเจ้าจะยังก่อเรื่องได้หรือไม่! รอยเย็นวาบเข้าดวงตาชายหนุ่ม เขาปลุกกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิขึ้นโดยไม่ลังเล นกสีดำกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะถูกเส้นปราณลักอัคคีของหวังเป่าเล่อ ดูดเอาพลังเข้าไปเสริมความแข็งแกร่งให้กับเกราะจักรพรรดิ
เกราะจักรพรรดิของชายหนุ่มก็ทำทีราวกับได้รับสารบำรุงจำนวนมหาศาล ด้ายสีขาวกำเนิดขึ้น ก่อนเข้าพันเกี่ยวกันเป็นสาย แม้จะยังต้องใช้เวลาอีกสักพัก ก่อนที่เกราะอัฐิจะถือกำเนิดขึ้นโดยสมบูรณ์ แต่ก็ดูใกล้ความจริงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนี้หวังเป่าเล่อยังสนใจกระบี่สีดำเป็นอันมาก หลังจากที่สำรวจดู เขาก็พบว่ากระบี่นั้นไม่มีแก่นใน ซึ่งแตกต่างจากวิธีการหลอมวัตถุเวทในสหพันธรัฐโดยสิ้นเชิง ราวกับกระบี่เล่มนี้เกิดขึ้นได้ด้วยตนเองด้วยธรรมชาติสร้าง
นี่เป็นการค้นพบที่ทำให้ชายหนุ่มประหลาดเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่ลองคิดวิเคราะห์ดูด้วยความรู้ในฐานะนักหลอมอาวุธเวท บวกเข้ากับการปลุกพลังกระบี่ของจักรพรรดิวายุทมิฬแล้ว ชายหนุ่มก็หรี่ตาลง
หรือว่า… นี่จะเป็นสมบัติเวทที่มีแต่วิญญาณจุติเท่านั้นที่ควบคุมได้ หวังเป่าเล่อสงสัยเป็นอันมาก เขาเก็บกระบี่สีดำเข้ากระเป๋าอย่างระมัดระวัง ในเวลาเดียวกันนั้น ชายหนุ่มก็รู้สึกตัวว่าแม้ตนเองจะสังหารจักรพรรดิวายุทมิฬได้แล้ว แต่ก็ยังไม่ถูกเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่แต่อย่างใด
หวังเป่าเล่อเริ่มกระวนกระวายกลัวไม่ได้กลับ เขาถามแม่นางน้อยในใจ จนได้คำตอบว่าหลังจากครบหนึ่งเดือน การเคลื่อนย้ายจะเกิดขึ้นแน่นอน
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แม้จะยังรู้สึกว่าทุกสิ่งช่างแสนแปลกประหลาดนัก แต่ก็มุ่งหน้ายึดทรัพย์ชนพื้นเมืองต่อไป ด้วยเข้าใจว่าตนเองเปลี่ยนอะไรไม่ได้
ข้าอาจจะคิดมากไปเอง อย่างไรข้าก็ต้องได้กลับแน่ ถ้าเช่นนั้นระหว่างรอก็มาเก็บวัตถุดิบให้ได้มากที่สุดก็แล้วกัน ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องจริง หากข้านำทุกอย่างบนดาวดวงนี้กลับไปได้ ข้าต้องรวยไม่รู้เรื่องแน่! ชายหนุ่มกลับมากระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง เขามุ่งหน้าดำเนินภารกิจต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
เจ็ดวันต่อมา หวังเป่าเล่อเก็บทุกอย่างที่ขวางหน้า แม้ว่าหากไปอีกไกลหน่อยจะเข้าเขตใหม่ที่ยังไม่เคยไปเยือน แต่เวลาก็หมดลงเสียแล้ว ชายหนุ่มกังวลเรื่องการเคลื่อนย้ายกลับ จึงตัดสินใจหยุดค้นหาและเดินทางกลับไปจุดตั้งต้นที่ตนเองมาถึงเป็นครั้งแรก เพื่อรอเวลากลับ
รออย่างกระวนกระวายอยู่ไม่นานนัก เสียงระเบิดกึกก้องก็ดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน พายุหมุนยักษ์ก่อตัวขึ้นด้วยความเร็วกรรโชก ชายหนุ่มที่รออยู่เงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะรู้สึกได้ถึงพลังดูดมหาศาลที่ลดระดับลงมาจากฟากฟ้า เข้าโอบอุ้มร่างของเขาเอาไว้
ชายหนุ่มปลิวขึ้นไปในอากาศตามแรงดึงดูดของพายุ ก่อนอันตรธานหายไปในลมหมุนบ้าคลั่งนั้นอย่างไร้ร่องรอย พายุโกรธเกรี้ยวค่อยๆ สงบลงจนสลายหายไป ท้องฟ้ากลับมาปกติสุขอีกครั้ง ผืนดินยังคงเป็นสีดำสนิทเหมือนเดิม ราวกับไม่เคยถูกเหยียบย่ำ มีเพียงวิญญาณผีที่ยังไม่โดนล้างบางในหมู่บ้านที่เขาเดินทางไปไม่ถึงเท่านั้น ที่เริ่มตระหนักว่าจักรพรรดิวายุทมิฬหายตัวไปแล้ว
ตำนานการสังหารหมู่โหดร้ายโชกเลือดแพร่สะพัดไปทั่วดาว ตำนานนั้นกล่าวว่า ปีศาจร้ายที่กินวิญญาณเป็นอาหาร กลืนกินทั้งจักรพรรดิวายุทมิฬและเพื่อนร่วมเผ่าของพวกเขาเข้าไปเกือบหมด เหล่าผีที่เหลือรอดตกอยู่ภายใต้ความกลัวอยู่เป็นเวลานาน หลังจากที่ได้ยินตำนานนั้น
ส่วนปีศาจร้ายตามตำนานของดาวเคราะห์แคระวิญญาณทมิฬนั้น บัดนี้กำลังถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเห็นว่าภาพตรงหน้ากลับมาปกติ เขากลับมายืนอยู่หน้าวังบูชาที่ห้าของสำนักวังเต๋าไพศาลอีกครั้ง
พอกลับมาที่เดิมได้อย่างปลอดภัย หวังเป่าเล่อก็ก้มลงมองกระเป๋าตนเอง เมื่อเห็นรูปปั้นมากมายยังอยู่คงเดิม สีหน้าของชายหนุ่มก็เอ่อล้นด้วยความปีติ ร่างของเขาสั่นเทิ้ม เสียงหัวเราะด้วยความสำราญใจเจือความคลั่งดังไปทั่วบริเวณ
เอากลับมาได้จริงด้วย! หวังเป่าเล่อตื่นเต้นดีใจเสียจนอธิบายไม่ถูก ความสุขนี้มากเสียยิ่งกว่าตอนที่เขาได้รับประทานอาหารโปรดอย่างน่องไก่กับไข่ต้มซีอิ๊วเสียอีก
ชายหนุ่มรีบตรวจดูกระเป๋าอีกครั้งอย่างมีความสุข เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองตาไม่ได้ฝาดไป เขาตื่นเต้นที่จะได้เข้าวังต่อไปมากขึ้นกว่าเดิม ผลลัพธ์แสนวิเศษจากบททดสอบประหลาดนี้ ทำให้หวังเป่าเล่อต้องสะกดความตื่นเต้นเอาไว้อย่างยากลำบาก เขายับยั้งชั่งใจให้ไม่พลาดก้าวเข้าไปในวังบูชาที่ห้า แต่หันหลังกลับไปมองเบื้องหลังแทน
เมื่อไม่เห็นทั้งเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋า ความสุขเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความกังวลในทันที แต่ไม่นานนัก ร่างของเจ้าเยี่ยเหมิงก็ปรากฏขึ้นนอกวังบูชาที่สี่ จุดเดียวกับที่นางจากไป
เจ้าเยี่ยเหมิงอยู่ในสภาพยับเยิน นางกระอักเลือดออกมาจำนวนมาก ก่อนนั่งลงด้วยใบหน้าซีดเผือด ร่างกายเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนมากมาย วังที่สี่เป็นด่านที่ยากเอาเรื่องสำหรับนาง และการที่นางปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าวังเดิมนั้น แปลว่าเจ้าเยี่ยเหมิงไม่ผ่านการทดสอบเป็นศิษย์สืบทอด
หวังเป่าเล่อทำได้เพียงเงียบ เขาเข้าใจว่าในบททดสอบที่สี่ คู่ต่อสู้ของเจ้าเยี่ยเหมิงคือผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณ อันทำให้นางมีโอกาสล้มเหลวมากกว่าปกติ
ยังดีที่ปลอดภัย หวังเป่าเล่อมองเจ้าเยี่ยเหมิงจากระยะไกล ก่อนกันไปมองทางวังที่หนึ่ง ชายหนุ่มนั่งลงทำสมาธิเพื่อรักษาพลังปราณของตนให้อยู่ในจุดสูงสุด
สองวันต่อมา เจ้าเยี่ยเหมิงก็กลับมาได้สติอีกครั้ง ส่วนกงเต๋าก็เดินออกจากวังที่หนึ่งเรียบร้อย ทั้งสามอยู่ไกลกันเกินไป ต่างทำได้เพียงมองหน้ากันเท่านั้น กงเต๋าตัดสินใจเดินเข้าวังที่สอง ส่วนเจ้าเยี่ยเหมิงหัวเราะออกมาอย่างขมขื่นขณะมองหวังเป่าเล่อ นางตัดสินใจล้มเลิกความพยายามและออกจากการทดสอบไป
แต่เจ้าเยี่ยเหมิงก็ไม่ได้ออกไปในทันที นางต้องการดูก่อนว่าหวังเป่าเล่อและกงเต๋าจะทำสำเร็จหรือไม่
หวังเป่าเล่อมองเจ้าเยี่ยเหมิงด้วยสายตาให้กำลังใจ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกและออกจากการพักฟื้นร่างกาย เขาประเมินสภาพตนเองในปัจจุบัน และคิดไปว่าอยากขอกระเป๋าคลังเก็บจากเจ้าเยี่ยเหมิง แต่ด้วยความที่อยู่ห่างจากสหายไปหนึ่งวัง และด้วยกฎของตำหนักวังบูชา เขาจึงไม่สามารถถอยหลังกลับได้นอกเสียจากจะเลือกยุติการทดสอบ ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงล้มเลิกความคิดที่จะขอกระเป๋าเพิ่ม ชายหนุ่มยืนขึ้นและมุ่งหน้าไปยังวังที่ห้าทันที ปราศจากซึ่งความลังเล
ทันทีที่เข้าไปยังวังที่ห้า เสียงของแม่นางน้อยก็ดังก้องในจิตใจเขา
“นำฝักกระบี่ประจำกายของเจ้าออกมา!”
หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้นกดลงบนร่างของตนโดยไม่ลังเล ชายหนุ่มดึงเอาฝักกระบี่ภายในกายที่ส่องแสงเรืองรองออกจากร่างตน
ทันทีที่ฝักกระบี่ปรากฏขึ้น วังที่ห้าก็สั่นสะเทือนก่อนความเงียบสงัดจะเข้าปกคลุม ชายหนุ่มที่ถือฝักกระบี่ไว้ในมือกระพริบตาปริบ ก่อนหันไปมองความว่างเปล่ารอบกาย พยายามเรียกหาแม่นางน้อย แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ หลังจากที่รออยู่ราวสิบลมหายใจ เสียงเย็นไร้ซึ่งอารมณ์ก็ดังขึ้นข้างหูเขาอย่างช้าๆ
“บททดสอบแห่งศิษย์เอก ณ วังที่ห้า จะเริ่มขึ้นภายในหนึ่งร้อยลมหายใจ
“ผู้เข้ารับการทดสอบจงเตรียมตัวให้พร้อม เจ้าจะถูกส่งไปยังดาวเคราะห์เอกแห่งระบบจักรภพไพศาล ณ ดาวเคราะห์เต๋าไพศาล เจ้าต้องนำแผ่นศิลาอารยธรรมจารึกกลับมา เพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ!
“ดาวเคราะห์เต๋าไพศาลนั้นถูกทิ้งร้าง แต่ยังมีผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นหลงเหลืออยู่เพื่อตรวจตรา ผู้พิทักษ์เหล่านี้มีปราณอยู่ที่ระดับดาวพระเคราะห์ บททดสอบนี้มีความยากระดับสูงมาก ผู้เข้ารับการทดสอบจึงต้องระวังตัวอย่างถึงที่สุด!
“หากผู้เข้ารับบททดสอบไม่ทักท้วงอันใดภายในเวลาหนึ่งร้อยลมหายใจ จะถือว่าเจ้ายินดีเข้ารับการทดสอบนี้! นี่ไม่ใช่ภาพมายา หากแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง หากผู้เข้ารับการทดสอบเสียชีวิต เจ้าจะถือว่าเป็นหนึ่งในผู้ล่วงลับ หากเจ้ายอมแพ้ก่อนการทดสอบจบ เจ้าจะต้องพยายามเอาตัวรอดต่อไปอีกสิบวันจึงจะได้กลับมา!”
ขณะที่เสียงดังก้องอยู่ในหูของหวังเป่าเล่อเพื่อบอกเงื่อนไขการทดสอบ ดวงตาของชายหนุ่มก็เบิกกว้างขึ้น ลมหายใจหอบไม่เป็นจังหวะ โอกาสที่บททดสอบที่ห้านี้จะทำให้เขาถึงแก่ความตายมีสูงมาก!
ภารกิจนี้ต้องกลับไปยังระบบจักรภพที่สำนักวังเต๋าไพศาลดั้งเดิมเคยอยู่ ดินแดนรกร้างนั้นยังมีสมาชิกของตระกูลไม่รู้สิ้นหลงเหลือ และหวังเป่าเล่อจะต้องกลับไปเก็บกู้วัตถุกลับมา เพียงเท่านี้ก็ถือว่ายากลำบากสำหรับเขาแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงผู้พิทักษ์จากตระกูลไม่รู้สิ้น ที่มีพลังปราณระดับดาวพระเคราะห์
ความคิดนี้ทำให้ชายหนุ่มกระวนกระวายใจเป็นอันมาก ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธภารกิจนั้น เสียงสงบนิ่งของแม่นางน้อยก็ดังก้องอยู่ในศีรษะ
“ใจเย็นๆ คราวนี้ปล่อยให้ข้าใช้ฝักกระบี่ภายในกายเจ้าช่วยเจ้าทำภารกิจเถิด ทางนี้เป็นทางเดียวที่เจ้าจะได้วัตถุดิบที่ใช้ในการหลอมฝักกระบี่ ให้กลายเป็นอาวุธเวทระดับเจ็ดได้!
“พูดให้ถูกก็คือ เจ้าจะหลอมฝักกระบี่สำเร็จ ก็ต่อเมื่อเจ้าใช้พลังที่หลงเหลืออยู่บนดาวเอกของสำนักวังเต๋าไพศาล มิเช่นนั้นแล้วต่อให้มีวัตถุดิบครบ โอกาสที่เจ้าจะทำสำเร็จเมื่ออยู่นอกระบบจักรภพก็มีน้อยกว่าร้อยละสิบ เนื่องด้วยกฎแห่งจักรวาลที่แตกต่างกัน!”
หวังเป่าเล่อชะงักและเงียบอยู่สักพัก ก่อนที่ระยะเวลาร้อยลมหายใจจะหมดลง ชายหนุ่มก็กัดฟันพูดพร้อมด้วยความมุ่งมั่นในแววตา
“ข้าขอรับภารกิจ!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น