ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 594-596
ตอนที่ 594 ส่งเจ้าขึ้นสวรรค์
เยี่ยเฉินเกือบจะส่งเสียงหัวเราะออกมา
ขณะที่มุมปากของเขากำลังคลี่ยิ้มอยู่นั้น เขาก็ขยับสามง่ามในมือชี้เข้าใส่ตู๋กูซิงหลันแล้ว
เขาจำต้องยอมรับว่า น้องสาวต่างมารดาของเขาคนนี้ ช่างเกิดมางดงามเสียจริงๆ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่เผ่ามังกรทมิฬ เพราะถูกความงามของนางดึงดูดไว้ จึงเกิดความเสียดายไม่อาจหักใจลงมือ จึงได้ทำให้ทั้งเสี่ยวอิง เสด็จแม่และชาวมังกรทมิฬทั้งหมดต้องพบกับภัยพิบัติ
ไม่เจอกันนานครึ่งปี ความงามของนางก็เพิ่มพูนขึ้นไปอีก แม้ว่าจะอยู่ในค่ำคืนที่มืดมิดก็ยังรู้สึกว่าแพรวพราวระยับตา
เพียงแต่ว่าครั้งนี้ สำหรับเยี่ยเฉินแล้ว ความงามของนางไม่มีผลกระทบอะไรกับเขาอีกต่อไป
เขาเกลียดชังตู๋กูซิงหลันกับจีเฉวียนอย่างรุนแรง คนหลังนั้นตายไร้ที่กลบฝังไปแล้ว ส่วนคนแรก จะต้องให้นางได้ชดใช้ทุกสิ่งที่มีออกมาจนหมด
สามง่ามอันนี้ ใต้เท้าประทานให้กับเขา เป็นศาสตราวุธแดนสวรรค์ ต่อให้นางเอาดาบยักษ์ในตอนนั้นออกมารับศึก ก็ยังไม่อาจเป็นคู่มือของเขาได้อยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้นางก็ไม่มีแม้แต่ดาบยักษ์อีกแล้ว มีแต่ไม้คฑาดำๆขมุกขมัวด้ามหนึ่งเท่านั้น
เยี่ยเฉินเองก็มิใช่คนโง่ ก่อนหน้านี้เขาได้ลองทดสอบดูแล้ว ว่าคฑาในมือของนางไม่มีพลังวิญญาณใดๆทั้งสิ้นเลย
ธรรมดาอย่างที่สุด
ดังนั้นเขาจึงไม่แม้แต่จะขบคิดอีกต่อไป พอลงมือก็ซัดออกมาอย่างเต็มกำลัง
ไม่เพียงแต่ต้องการจะสับนางเป็นพันๆชิ้น ยังต้องการจะทำลายวิญญาณของนางให้แหลกสลายอีกด้วย
ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ในที่เดิม ทั้งไม่ขยับและไม่หลบหลีก ในมือของนางกุมคฑาสีดำเอาไว้แน่น พอสามง่ามของเยี่ยเฉินบุกเข้ามาก็ตั้งรับอย่างเต็มกำลัง
“เฮอะ รนหาที่ตายเองนะ!” เยี่ยเฉินขำแทบตายแล้ว นี่นางไปเอาความกล้ามาจากที่ใด ถึงได้กล้าเอาของที่ผุพังแบบนี้มาต่อสู้?
สามง่ามถูกควงออกไป ปะทะกับไม้คฑาสีดำในทันที
ฟ่านอิงเองก็รีบพุ่งเข้ามา แต่ก็ถูกแสงสว่างจากการปะทะกันของอาวุธทั้งสองผลักจนกระเด็นออกไป
เมื่อครู่เขาใช้พลังเกือบทั้งหมดไปกับการเปิดขยายลูกแก้วโลกาวินาศขึ้นมา จนทำให้ร่างกายอ่อนล้า ถึงแม้ว่าในใจจะกังวลถึงตู๋กูซิงหลัน แต่ก็ไม่อาจไปถึงข้างกายนางได้อย่างทันท่วงที
ท่านเจ้าสำนักยืนอยู่ห่างจากตู๋กูซิงหลันไปทางด้านหลังอีกร้อยกว่าเมตร
เขาปวดศีรษะอย่างรุนแรงจนดวงหน้าซีดขาว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดอยู่ๆในสมองของเขาก็มีภาพต่างๆผุดขึ้นมามากมายไม่ยอมหยุด แต่กลับไม่มีสิ่งใดที่ชัดเจนเลยแม้แต่อย่างเดียว
โดยเฉพาะเมื่อเข้าใกล้ศิษย์น้อย ความเจ็บปวดก็ยิ่งเพิ่มพูน
และเพราะชักช้าไปเพียงวูบเดียว แสงนั้นก็ระเบิดออกมาแล้ว
แสงที่ระเบิดขึ้นบนเกาะลอยฟ้าสว่างออกไปเกือบครึ่งเมืองว่านฮวาเฉิง
เดิมทีเป็นเพราะว่าบนเกาะลอยฟ้ามีก้อนหินหล่นลงมาไม่ขาดสาย คนในเมืองว่านฮวาเฉิงต่างก็ตื่นตระหนกกันไปครึ่งเมืองแล้ว ตอนนี้อยู่ๆก็มีแสงสว่างจ้าระเบิดออกมา ยิ่งทำให้แม้แต่คนที่หลับใหลอยู่ก็ตื่นขึ้นมาหมด
แต่ละคนต่างก็มองขึ้นไปบนเกาะลอยฟ้า
“นี่มัน….”
เจ้าแคว้นทองที่ยังไม่ได้รีบร้อนไปจากเมืองว่านฮวาเฉิงตอนนี้กำลังจับจ้องไปที่แสงสว่างนั่น ด้วยความรู้สึกขนลุกชันขึ้นมาทั้งร่าง
หรือว่าเทพเจ้าบนเกาะลอยฟ้าทั้งสองเปิดศึกอันดุเดือดขึ้นมา แสงสว่างที่ระเบิดออกมาเมื่อครู่ ดูแล้วแม้แต่ท้องฟ้าที่ว่างเปล่ายังถูกฉีกกระชากออกด้วยซ้ำ
ไม่เพียงแต่ตัวเขา ผู้คนทั้งทั้งเมืองว่านฮวาเฉิงต่างก็ชมดูจนโง่งมกันไปหมดแล้ว
เกิดอะไรขึ้นกัน?
คงมิใช่ว่าเจ้าสำนักหยินหยางและเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนต่อสู้กันอีกแล้วกระมัง?
ก็เมื่อกลางวันนี้ พวกเขาพึ่งจะหน้าแตกไปตามๆกัน
คนหนึ่งคืออาจารย์ของฮ่องเต้หญิงแห่งดินแดนโบราณ อีกคนหนึ่งคือท่านตาแท้ๆ ดูอย่างไรความสัมพันธ์นี้ก็ออกจะไม่เลวเลย แล้วทำไมถึงจะต้องลงมือกันอีก?
คนเราก็เป็นเช่นนี้ ทางหนึ่งหวาดหวั่น ทางหนึ่งก็อยากรู้อยากเห็น
ยิ่งพวกที่ไม่กลัวตายต่างก็อยากจะไปชมดูความสนุกสนาน ว่าจริงๆแล้วเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่
ในตอนนั้นเอง รอบเกาะลอยฟ้าพลันปรากฏผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยที่ขี่สัตว์อสูรวิญญาณออกมา
……………
บนเกาะลอยฟ้า แสงสว่างเจิดจ้านั้นเปล่งประกายอยู่พักใหญ่ถึงได้สลายหายไป
ฟ่านอิงขมวดหัวคิ้วแนบแน่น เขาบอกแต่แรกแล้ว แดนสวรรค์มิใช่ที่ที่หลันหลันจะไปหาเรื่องได้ เขาไม่รู้จริงๆว่าสาวน้อยผู้นี้ไปทำเรื่องใดล่วงเกินคนพวกนั้น
แต่เพราะว่าเด็กหญิงตัวน้อยนั้นปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว ลูกแก้วโลกาวินาศของเขาก็ไม่อาจนำมาใช้ได้อีก
ของสิ่งนี้เมื่อนำออกมา มีพลังดึงดูดทุกสิ่งอย่างมหาศาล
หากไม่ระวังให้ดี แม้แต่เด็กหญิงตัวน้อยนั่นก็อาจจะถูกดูดเข้าไปด้วย
ดังนั้นเขาจึงต้องเก็บมันกลับไป
ตอนนี้หัวใจของเขากระดอนขึ้นมาจนถึงลำคอ กระทั่งเมื่อแสงสว่างจางลงไป จึงได้เห็นสาวน้อยในชุดสีแดงนั่นยังเหาะอยู่ในอากาศ ดุจผีเสื้อสีแดงที่งดงามบาดตา
ในมือของนางถือไม้คฑาสีดำเอาไว้ เส้นผมยาวสลวยสีดำเงินไม่ได้รับความชอกช้ำใดๆ แต่กลับพลิ้วอยู่ราวเริงระบำ
ส่วนเยี่ยเฉินก็ยังคงกุมสามง่ามเอาไว้ในมือ ร่างกายลอยถอยหลังไปหลายสิบเมตร
ดูผิวเผินแล้วเขามิได้รับบาดเจ็บในที่ใดทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าสามง่ามที่อยู่ในมือเปลี่ยนจากสีทองระยิบระยับที่ส่องประกายแพรวพราวกลายเป็นสีทองทึบๆแทบ
ราวกับว่าเมื่อครู่นี้มันถูกดูดดึงพลังไปจนหมดสิ้น
สีสันของมันยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
กลับกัน ไม้คฑาในมือของตู๋กูซิงหลันเพิ่มพูนลายสีทองขึ้นมาวงหนึ่ง
“เจ้า!” เยี่ยเฉินยังไม่ทันได้ตั้งสติกลับมา หากว่าเขาจำได้ไม่ผิดละก็ ดาบเล่มใหญ่ในตอนนั้นก็สามารถดูดซับพลังของอาวุธอื่นๆได้เช่นกัน
แต่ว่าดาบเล่มยักษย์นั้นแม้จะน่ากลัวเพียงไร ความสามารถในการดูดซับพลังก็ยังไม่เทียบเท่ากับไม้เท้าสีดำในมือของนาง
เมื่อครู่เขาทุ่มเทพลังแทบทั้งหมดออกไป ไม่เพียงแต่ไม่สามารถกำจัดลงได้อย่างง่ายดาย แถมสามง่ามของเขาก็ยัง…..
นี่เป็นสมบัติของแดนสวรรค์ ต่อให้นางเป็นลูกเมียน้อยของบิดา แต่ก็ไม่ควรมีความสามารถถึงเพียงนั้น
ตู๋กูซิงหลันไม่ปล่อยให้เขาได้มีเวลาขบคิด ในมือของนางควงไม้คฑาสะกิดปลายเท้าพุ่งเข้าไปปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเยี่ยเฉิน
นางยกมือขึ้นสูงอย่างไม้ต้องคิด ฟาดไม้คฑาลงไปหนักๆ
ตีลงกลางแสกหน้า!
เยี่ยวเฉินใจหายวาบ รีบพลิกมือยกสามง่ามขึ้นกันเอาไว้
แต่ว่าครั้งนี้สามง่ามของเขาสูญเสียประกายที่เคยมีจนไม่ต่างอะไรกับเหล็กธรรมดาไปเสียแล้ว
ตู๋กูซิงหลันฟาดไม้คฑาลงมาผ่าลงตรงกลาง
สามง่ามก็แตกกระจายออกราวกับเศษกระจกอย่างไรอย่างนั้น
แถมความเคลื่อนไหวของตู๋กูซิงหลันก็มิได้หยุดลง ไม้คฑายังคงวาดลงไปกระแทกเข้ากับกลางหน้าผากของเยี่ยเฉินอย่างแม่นยำไม่มีผิดเพี้ยน
“ตึง….” เสียงดังสนั่นเยี่ยเฉินรู้สึกเพียงว่าศีรษะสั่นสะเทือน
ในสมองเหมือนถูกกระแทกจนแตกเละ
ทุกสิ่งกลายเป็นสีขาวและว่างเปล่า เจ็ดปวดรวดร้าวอย่างที่สุด
รอจนเขารู้สึกตัวอีกครั้ง ใบหน้าที่งดงามของตู๋กูซิงหลันก็ลอยเคว้งคว้างยืดขยายอยู่ตรงหน้า
นางยกเท้าขึ้นมาข้างหนึ่งเหยียบคนกระทืบลงไปสู่พื้นดินจากกลางอากาศ
จนพื้นดินที่ราบเรียบ กลายเป็นหลุมขนาดใหญ่
จากนั้นขาของนางก็วาดขึ้นมาเหยียบลงไปบนเยี่ยเฉินจนติดกับพื้น
ดวงตาดอกท้อทั้งดุร้ายและชิงชัง
“ยังนึกว่าผ่านมาครึ่งปีแล้วเจ้าจะมีการพัฒนาอยู่บ้าง นี่ยังไม่ได้เรื่องเหมือนเดิมอยู่อีกหรือ?” นางเหลือบตามองเขา ราวกับว่านางคือเทพเจ้าจากเบื้องบนที่แท้จริง
“เยี่ยเฉิน ก่อนหน้านี้ที่โดนซัดไปจนหมอบไม่รู้จักจดจักจำสินะ รอดชีวิตไปได้ครั้ง ยังไม่รู้จักรักถนอม ถ่อมาส่งศีรษะให้แต่ไกล เจ้านี่มันยอดเยี่ยมจริงๆ”
ตู๋กูซิงหลันโบกไม้คฑาในมืออย่างคล่องแคล่ว “และครั้งนี้ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะส่งเจ้าขึ้นสวรรค์อย่างถาวร”
ตอนที่ 595 กระดูกขาว
ฟ่านอิงที่อยู่ด้านข้างถึงกับตกตะลึงไปแล้ว
เดิมทีเขาคิดว่า สาวน้อยผู้นี้เพียงแต่พอมีฝีมืออยู่บ้าง แต่ว่าที่จริงก็มิได้เก่งกาจเป็นพิเศษแต่อย่างไร
แต่ว่าตอนนี้แม้แต่ตัวเขาก็ยังอดที่จะประหลาดใจไม่ได้เลย
นาง…..ใช้แค่ไม้เท้าด้ามหนึ่งก็สามารถฟาดผู้ที่มาจากแดนสวรรค์จนเกือบถึงตายได้เลย?
หากนับอายุดู ตอนนี้นางพึ่งจะอายุได้เพียงสิบแปดปีเท่านั้นกระมั้ง
สาวน้อยอายุสิบแปดที่เป็นเพียงคนธรรมดาผู้หนึ่ง …. ก็สามารถใช้ไม้คฑาด้านหนึ่งฟาดจนเอาชนะผู้ที่มาจากแดนสวรรค์ได้?
เมื่อครู่ก่อนหน้านี้ ฟ่านอิงยังรู้สึกกังวลใจแทนนางจนตาแทบจะถลนออกมา
สาวน้อยผู้นี้ยังแข็งแกร่งกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้มากมายนัก
อีกด้านหนึ่ง ท่านเจ้าสำนักเองก็ร่อนลงมาจากบนท้องฟ้าเช่นกัน เขาพยายามฝืนอาการปวดศีรษะเอาไว้ ยืนอยู่ในจุดที่ไม่ห่างไกลเท่าไร
เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ศิษย์น้อยแข็งแกร่งไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงไม่จำเป็นจะต้องกังวลสักเท่าไร
ในสมองยังคงมีภาพต่างผุดขึ้นมาอยู่มิได้ขาด ทำเอาแม้แต่ลมหายใจของเขาก็ยังอ่อนล้าไปด้วย
ภายใต้แสงจันทร์สาดส่อง มือที่อยู่ใต้แขนเสื้อค่อยๆเปลี่ยนเป็นท่อนกระดูกขาวโพลนที่ปราศจากเนื้อหนังอีกครั้ง
ท่านเจ้าสำนักขมวดคิ้วมุ่น
เป็นอีกแล้ว……
ตอนที่เขาพึ่งจะปรากฏตัวขึ้นในดินแดนจิ่วโจว ในเกือบทุกๆคืน สองมือจะกลายเป็นกระดูกขาวโพลน อาการนี้ทำท่าเหมือนจะลุกลามไปจนทั่วร่าง
ต่อมา อาการที่แปลกประหลาดนี้ถูกเขาใช้พลังจิตวิญญาณที่แสนจะแข็งแกร่งสะกดเอาไว้
ที่จริงก็มิได้ปรากฏมาสามเดือนแล้ว แต่ตอนนี้เป็นเพราะว่าในสมองของเขาเกิดภาพต่างๆขึ้นมา มือจึงได้พลอยเกิดความเปลี่ยนแปลงไปด้วย
อาการที่กลายเป็นท่อนกระดูกขาวโพลน เริ่มจากหลังมือไล่ไปตามท่อนแขนและหัวไหล่อย่างช้าๆ
ขั้นตอนนี้ เหมือนกับมีมดนับหมื่อนับพันมารุมกัดกินเป็นอาหาร สร้างความเจ็บปวดถึงที่สุด
ท่านเจ้าสำนักได้แต่ทรุดตัวนั่งลง ใช้กำลังภายในกำหนดลมหายใจ
บนเกาะลอยฟ้า สายฟ้าไม่ได้ฝ่าลงมาอีกแล้ว ต้นไห่ถางจำนวนมากมายนับไม่ถ้วยล้วนถูกฉุดกระชากจนรากลอยออกมา ทั่วทั้งเกาะตกอยู่ในสภาพย่ำแย่
แต่ว่าตู๋กูซิงหลันก็ยังคงใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนอกของเยี่ยเฉินโดยไม่ยอมปล่อย
“พ่อ.พันธุ์.ม้า อย่าได้โทษว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้าละ ไหนลองบอกมาสิ ว่าเจ้าไปเกี่ยวข้องกับแดนสวรรค์ได้อย่างไร?”
“นังเดรัจฉาน เจ้าไปเอาสิ่งของประหลาดนี้มาจากที่ใดกัน หากว่าไม่มีไอ้ของผีสางนั่น เจ้าคิดหรือว่าด้วยฐานะที่ต่ำต้อยของเจ้าจะสามารถเอาชนะข้าได้?”
เยี่ยเฉินกัดฟันกรอดจดจ้องไปยังนางและไม้คฑาที่ดำมะเมื่อมในมือของนาง
ก้อนหน้านี้มันยังเป็นสีดำสนิท แต่เพราะว่าดูดซับเอาพลังในสามง่ามของเขาเข้าไป ตอนนี้จึงมีลายสีทองปรากฏขึ้นมา
แต่ว่าลายสีทองนี้ปรากฏขึ้นมาเพียงแวบเดียวก็จางหายไปอย่างราดเร็ว ดูแล้วไม่มีอะไรแตกต่างไปจากไม้คฑาธรรมดาด้ามหนึ่ง
เขานับว่าได้เรียนรู้แล้ว นังเดรัจฉานน้อยช่างมีวาสนาดีนัก
ก่อนหน้านี้กระโดดลงไปในหุบเหวไร้บึ้งก็ยังไม่ตาย แถมอยู่ๆก็กลายเป็นแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม
และแม้แต่ดาบยักษ์เล่มนั้น ก็ยังสร้างขึ้นมาจากเขามังกรของพระบิดา
ใต้หล้านี้ทำไมถึงได้มีคนที่มีโชคดีมากขนาดนี้อยู่ด้วย ได้รับสิ่งของดีๆมากมาย แล้วยังจะไม่รู้จักพอ
แถมนางยังได้รับสิ่งที่แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าดาบยักษ์มาอีก
ทันทีที่เขาพูดออกมา ตู๋กูซิงหลันก็สวนกลับไปเต็มปากเต็มคำในทันที
“เรื่องที่สักแต่ใช้ปากพูดนั้น เจ้าจงมีให้มันน้อยๆจะดีกว่า” ตู๋กูซิงหลันเองก็เหลือบตามองดูไม้คฑาของตนเองครั้งหนึ่ง
ของสิ่งนี้สามารถดูดซับพลังและอาวุธของศัตรูได้ ถือว่าเป็นศาตราวุธสุดโกงอยู่แล้ว
ถึงแม้จะบอกว่าโกง แต่ก็มิใช่สิ่งที่ใครๆก็จะใช้งานได้เสียเมื่อไหร่?
ก่อนหน้านี้นางก็ยังเคยปล่อยให้พวกพี่ใหญ่ และหลี่กงกงทดลองดู แต่ว่าเมื่อสิ่งนี้อยู่ในมือของพวกเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับไม้เท้าขยะ ที่แสนจะไร้ประโยชน์
มีแต่เมื่ออยู่ในมือของนางเท่านั้น ถึงจะเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาดที่สุด
เห็นได้ชัดเจนเลยว่านางนี่แหละที่ตัวประหลาดที่แท้จริง
โดนนางด่าสวนกลับไปเช่นนั้น เยี่ยเฉินถึงกับโง่งมไปแล้ว
ทั้งๆที่เขามาเดินทางมาอย่างอหังการ แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้อเนถอนาถขนาดนี้?
ต่อให้ไม่มีพลังของสามง่าม แต่ว่าเขาก็ยังมีพลังในร่างของตนเองอยู่มิใช่หรือ?
คงมีแต่ผีเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ร่างกายของเขาเหมือนกับถูกภูเขาลูกใหญ่ทั้งลูกทับเอาไว้ อยากขยับก็ขยับไม่ได้
พอเขาพยายามจะขยับปลายนิ้ว สายตาของตู๋กูซิงหลันก็กวาดผ่านไป
สตรีผู้นี้ทีพิษสงอย่างยิ่ง เพียงแค่กวาดตามมองผ่าน ข้อมือของเขาก็มีเสียงกรอบดังลั่นขึ้นมา ราวกับว่าอยู่ๆถูกหักไปเสียอย่างงั้น
เยี่ยเฉิงย่อมไม่รู้ตัวหรอกว่า ตู๋กูซิงหลันแอบใช้ยันต์กับร่างของเขา
ยันต์ผนึกภูผา
ความหมายก็ตรงตามชื่อ แม้แต่ภูเขายังโดนกำหราบได้ แล้วเยี่ยเฉินจะต้านทานได้อย่างไร แม้ว่าเขาก็เป็นบุตรของบิดาคนงาม แต่กลับไม่ได้รับถ่านทอดพลังใดๆมาเลย และถึงจะฝึกฝนมานานหลายพันปีแต่ส่วนใหญ่แล้วต้องพบกับอุปสรรค ติดขัดอยู่เสมอ
ตัวเขาในวันนี้ ก็เพียงแต่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อครึ่งปีก่อนเล็กน้อยเท่านั้น
เพียงเล็กน้อยจริงๆ
ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเขามากมายก็คือหอกสามง่ามด้ามนั้น
ยามถืออยู่ในมือ แสงทองส่องสว่างระยิบระยับ แข็งแกร่งสุดยอดอหังการ เป็นยอดศาตราวุธที่หาได้ยาก
แต่ก็น่าเสียดาย ที่เยี่ยเฉินใช้ไม่เป็น
ในยามนี้ ตู๋กูซิงหลันรู้สึกได้อย่างชัดเจนไม้คฑาแห่งความมืดของนางกำลังเคลื่อนไหว
ความรู้สึกที่เหมือนกับเส้นชีพจรที่กำลังขยับเขยื้อนนั้นส่งผ่านจากฝ่ามือมาจนถึงหัวใจของนาง
ราวกับว่ามันสามารถเชื่อมโยงเข้ากับนางได้โดยธรรมชาติ
“เจ้าก็รู้ว่า คนอย่างข้าไม่ชอบวาจาไร้สาระ ฝีมือก็ร้ายกาจ ข้าถามอะไร เจ้าก็จงตอบมาแต่โดยดี”
ว่าแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็ย่อตัวลง ในมือเพิ่มกริชอีกเล่มหนึ่ง
ที่จริงแล้วจนถึงวันนี้ นางก็ไม่เคยลืมความแค้นของชือหลีเลย
ดังนั้นทั้งเยี่ยอิง เยี่ยเฉินและหวาชางสุยทั้ง สามคน นางล้วนเกลียดชังจนเข้ากระดูก
เดิมทีเข้าใจว่าพวกเขาล้วนตายไปแล้ว เรื่องนี้จึงได้แต่ค้างคาไป
คิดไม่ถึงว่า เจ้า พ่อ.พันธุ์.ม้า ตัวนี้จะยังมีชีวิตอยู่ ในเมื่อมันกล้าส่งตัวเองมา แล้วจะปล่อยไว้ได้อย่างไร
ทันทีที่นางพูดจบ กริชในมือก็แทงเข้าไปในข้อเท้าของเขา
กริชเล่มนั้นแหลมคมมาก แค่แทงครั้งเดียวก็ลึกถึงกระดูก พอนางบิดข้อมือ ใช้กำลังเพียงเล็กน้อยก็สามารถตัดกระดูกข้อเท้าของเยี่ยเฉินได้แล้ว
ทำเอาแม้แต่เยี่ยเฉินที่เป็นบุรุษกำยำก็ยังไม่อาจต้านทานความเจ็บปวดนี้ได้
เขาทำเสียงฮึดฮัดอยู่ในคอ แต่ก็ยังไม่คิดจะยอมสยบต่อนาง
เขาคือไท่จื่อของเฝ่ามังกรทมิฬ ทั้งยังเป็นผู้ที่ใต้เท้าให้ความสำคัญ
ย่อมไม่มีทางยอมสยบอยู่ในมือของนังเดรัจฉานน้อย
ยิ่งไปกว่านั้น นางคือฆาตกรที่ฆ่าน้องสาว และฆ่ามารดาของเขา!
ตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่รีบร้อน พอตัดเสร็จแล้ว ก็ค่อยย้ายไปยังข้อเท้าอีกข้างหนึ่ง
เร็วนั้นเร็ว โหดก็ถือว่าโหด แต่ว่าไม่ค่อยแม่นยำเท่าไร่
กริชนี้ที่แทงลงไป ข้อเท้าหลังของเยี่ยเฉินมีแต่เลือดท่วม
“อ้ายย่าห์ ไม่แม่นเลย ไม่เป็นไรไม่รีบ พวกเรามาลองอีกครั้ง”
ว่าแล้วนางก็แทงกริชลงไปอีกรอบ
ถึงจะบอกว่าไม่แม่น แต่ว่ากริชของนางกลับแทงลงไปในที่เดิมได้อย่างพอดิบพอดี
ปากแผลยิ่งทีก็ยิ่งขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ
“ต้องขอโทษจริงๆนะ แทงไม่แม่นอีกแล้ว พวกข้อมือข้อเท้าของเผ่ามังกรเนี่ย มันงอกไม่เหมือนคนอื่น หาจุดยาก ข้าต้องค่อยๆลองไปเรื่อยๆ”
นางยิ้มอย่างเย็นชา ราวกับนางมารที่ไร้หัวใจ
พอแทงลงไปเจ็ดแปดครั้ง เยี่ยเฉินก็ถึงกับหมดสภาพไปแล้ว
“ตู๋กูซิงหลัน ในโลกนี้มีกรรมตามสนอง ช้าเร็วเจ้าจะต้องได้รับผลตอบแทน!”
ตู๋กูซิงหลัน “อ้อ กรรมตามสนอง ก็กำลังสนองเจ้าอยู่ไม่ใช่หรือ?”
ตอนที่ 596 ฝีมือที่ได้รับถ่ายทอดจากบร...
เยี่ยเฉินรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ปากของสตรีผู้นี้ร้ายกาจ เรื่องต่อปากต่อคำกับนางไม่มีทางที่เขาจะเป็นคู่มือได้อยู่แล้ว
แต่แม้ว่าจะเตรียมใจเอาไว้อยู่แล้ว ก็ยังคงถูกยั่วยุจนกรุ่นโกรธอยู่ดี ในลำคอหวานวูบ กระอักเลือดสดออกมาในปากคำหนึ่ง
แต่เขาก็กลืนกลับลงไป
หากคิดดูอย่างละเอียดแล้ว ที่จริงเขาก็ไม่ได้ล่วงเกินนางในที่ใดนี่นา
อย่างมากก็เพียงแค่เห็นความงามบังเกิดกิเลส คิดจะจับนางมาเป็นสนมเท่านั้น แค่นี่ก็ต้องลงมือกลับถึงขนาดนี้ด้วยหรือ?
ทำไมสตรีผู้นี้ถึงได้โหดเ**้ยมจนถึงขนาดต้องคิดฆ่าเขาด้วยเล่า?
ไม่เพียงแต่จะฆ่าเขา แต่ยังเหยียดหยามเขาถึงเพียงนี้!
ทรวงอกของเยี่ยเฉินกระเพื่อมขึ้นลง เขาคิดอยากจะชกสักหมัด แต่ว่าน่าเสียดาย เมื่อถูกยันต์กระหนาบภูผาของตู๋กูซิงหลันสะกดเอาไว้ ย่อมไม่อาจขยับร่างกายได้แม้แต่น้อย
เอ็นร้อยหวายทั้งหมดขาดสะบั้น เจ็บปวดสุดพรรณนา
กริชของนางแทงลงมาอีกครั้ง ถึงแม้ว่าจะแทงลงไปในปากแผลเดิม แต่กว้านลงไปเป็นบริเวณกว้าง และแม้แต่เอ็นร้อยหวายอีกข้างก็ยังขาดไปด้วย
“อืม ต่อไปก็ข้อมือล่ะนะ” ตู๋กูซิงหลันอมยิ้มออกมา ควงกริชในมือ
กริชเล่มนี้หลอมตีขึ้นจากทองคำดำ ระหว่างจัดสร้างต้องสิ้นเปลืองหินวิญญาณไปจำนวนไม่น้อย ไม่มีทางที่จะบิ่นหรือหักโดยง่าย
ต่อให้เป็นเยี่ยเฉินที่มีร่างกายแข็งแกร่งกำยำ แทงลงไปก็ไม่สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงแม้แต่น้อย
บนตัวกริชยังคงมีเลือดอุ่นๆหยดอยู่ตลอดเวลา นางก็ไม่เสียเวลาแม้แต่จะเช็ด แทงกริชอาบเลือดเล่มนั้นลงไปบนหลังมือของเยี่ยเฉิน ทั้งๆที่มีเลือดอย่างนั้นเลย
เขาทั่วทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างอดทนไม่ไหวอีกต่อไป
ดวงตาของตู๋กูซิงหลันเป็นประกายระยิบระยับ นางยิ้มอย่างเ**้ยมโหด
“พูดออกไปเจ้าก็คงจะไม่เชื่อ บรรพบุรุษของบ้านข้าเคยเป็นคนฆ่าหมูมาก่อน” ตู๋กูซิงหลันใช้สันกริชเคาะลงไปบนมือของเยี่ยเฉินเบาๆ เอ่ยอย่างอ้อยอิ่งว่า “วิธีการเฉือนข้อมือเนี่ย ข้าเคยเรียนมาเรียบร้อย”
“วิธีการเฉือนมือนะ ตอนแรกก็ต้องกรีดตรงข้อมือให้เป็นแผลก่อนครั้งหนึ่ง…..” ตู๋กูซิงหลันพูดพลาง ก็จับข้อมือของเยี่ยเฉินมากรีดอย่างไม่มีเกรงอกเกรงใจมีดหนึ่ง
ยามที่แยกหนังออกมาจากเนื้อ ก็ไม่มีอืดอาดยืดยาดเลยสักนิด
“แล้วทีนี้นะ ก็ปล่อยให้เลือดไหล โดยการตัดเส้นเลือดให้ขาด อีกประเดี๋ยวตอนเลาะเอ็นข้อมืออกมา ก็จะยิ่งสนุกสนาน…”
ตู๋กูซิงหลันเป็นพวกชอบปฏิบัติ ทุกครั้งที่พูดออกมาจบคำ ก็จะลงมือทันที
กริชในมือของนางหมุนคว้าง ตัดเอ็นข้อมือของเขาขาดสะบั้น
พอสิ้นเสียงฉับเลือดสดๆก็ทะลักออกมา
คราวนี้สีหน้าของเยี่ยเฉินถึงกับซีดขาวอย่างที่สุด เขากัดฟัดแน่น เกือบจะกรีดร้องออกมา
นังเดรัจฉานนี้มันไม่เพียงแต่โหดเ**้ยม หนำซ้ำยังรู้จักวิธีทรมานผู้คนเป็นอย่างดี!
เขาไม่ยอมส่งเสียงครวญคราง แต่พยายามจะปลุกพลังวิญญาณขึ้นมา คิดจะทะลวงยันต์กระหนาบภูผาของนาง
ตู๋กูซิงหลันทำเป็นว่ามิได้สนใจแม้แต่น้อย นางพูดอย่างช้าๆต่อไปว่า “บรรพชนของบ้านข้า นอกจากเป็นคนฆ่าหมูแล้ว ยังมีฝีมืออื่นๆอีก รู้จักวิธีทรมานคนแบบต่างๆ อีกสักครู่ยังมีแบบอื่นๆที่เยี่ยมกว่ามาปรนนิบัติ หากไม่อยากรับความลำบาก สิ่งที่ข้าถามออกไป ก็จงตอบมาตามตรง”
เยี่ยเฉินกัดฟันมองดูนาง ถึงร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งมาก แม้ว่าจะถูกทรมานเช่นนี้ไปรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่ถือว่าบาดเจ็บหนักหนาอะไร
ขอเพียงจิตวิญญาณมังกรยังไม่ดับสูญ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะรอดไปไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายของเขาเคยผ่านการฝึกฝนการรักษาด้วยคาถาอาคมที่แข็งแกร่งมาก่อน
บาดแผลที่ตู๋กูซิงหลันทำร้ายเขา พอผ่านไปเพียงครู่เดียว บาดแผลของเขาก็จะปิดเข้าหากันจนสนิท ต่อให้ตัดมือตัดเท้าทิ้งไปก็ยังเป็นเช่นเดียวกันอยู่ดี
“หืม ถลึงตาใส่ข้ารึ? ถ้าเช่นนั้นเดี๋ยวพอตัดมือเสร็จแล้วก็ควักลูกตาออกมาก็แล้วกัน” ตู๋กูซิงหลันทำสีหน้าเย็นชา เดิมทีก็เป็นคนที่มีบุคลิกขัดแย้งในตนเองอย่างที่สุดอยู่แล้ว
ยามเกลียดชังก็เกลียดอย่างที่สุด ยามมีเมตตาก็เมตตาอย่างที่สุดเช่นกัน
ว่าแล้ว กริชในมือก็แทงลงไปในข้อมือของเขาอีกครั้ง พอออกแรงเล็กน้อย เยี่ยเฉินก็สามารถได้ยินเสียงมีดที่แยกกระดูกกับเนื้อออกจากกัน
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ความเจ็บปวดในยามนี้ยังรุนแรงกว่าเมื่อครู่นี้มากมายหลายเท่า
พอเห็นว่ามือครึ่งหนึ่งกำลังขาดออกจากข้อมือ ในที่สุดเยี่ยเฉินก็ยอมเปิดปาก “เจ้ามิใช่บอกว่า แค่จะเลาะเอ็นมือเอ็นเท้าหรอกหรือ?”
ตู๋กูซิงหลัน “หูข้างไหนของเจ้าที่ได้ยินข้าพูดเช่นนั้นกัน ข้ามิได้บอกอยู่ตลอดว่าจะตัดมือของเจ้าต่างหากหรือ?”
เยี่ยเฉินเจ็บปวดจนเหงื่อออกทั่วศีรษะ เขาเกือบจะลืมไปแล้ว ว่าจะไปถกเหตุผลกับนังเดรัจฉานนี่ได้อย่างไรกัน
ไม่ไกลออกไป ฟ่านอิงได้เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตา
ก่อนค่ำคืนนี้ เขาเข้าใจไปว่าสาวน้อยผู้นี้บริสุทธิ์สดใสน่ารักไร้เดียงสา แต่ว่าตอนนี้เมื่อได้เห็นฝีมือของนางที่ทั้งโหดเ**้ยมและน่าสยดสยอง เขาจึงพึ่งจะได้รู้ว่า ที่แท้นี่ต่างหากที่เป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนาง
เด็กสาวตัวน้อยร้ายอย่างยิ่ง ทั้งร้ายกาจทั้งเ**้ยมโหด
มิน่าเล่า…ตัวหมากที่ตอนนั้นเขาส่งไปยังต้าโจว ถึงได้ถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น
มีตัวฉกาจที่มีแผนร้ายอยู่เต็มกระเพาะเช่นนี้ ต่อให้เป็นฉางซุนซิ่ว ก็ต้องได้แต่รอถูกเชือดสถานเดียว
ท่านเจ้าสำนักขยับเข้าไปใกล้ต้นไห่ถางต้นหนึ่งพลางทรุดตัวลงนั่ง เขาปิดตาลง คำพูดทั้งหมดของศิษย์น้อยไหลเข้ามาในหู
แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ชอบใช้วิธีการโหดเ**้ยม เหมือนอย่างวิธีการของซ่งชิงอี
แต่ว่าพอศิษย์น้อยขอตนเองลงมืออย่างเ**้ยมโหด เขากลับรู้สึกว่า น่ารักน่าเอ็นดูอะไรเช่นนี้
หากว่าการทรมานผู้คนเป็นงานอดิเรกที่นางชื่นชอบ เช่นนั้นต่อไปเวลาพบกับพวกชั่วช้า ก็จับมันมาให้ศิษย์น้อยทรมานเล่นก็ดีเลย
จะตัดมือตัดเท้าก็ว่าไป ขอเพียงนางชอบ ต่อให้ตัดหัวพวกมันก็ย่อมได้
สมองของท่านเจ้าสำนักปวดร้าวจนแทบจะระเบิดออกมาแล้ว แต่เขาก็ยังไม่วายคิดหาอะไรมาสร้างความพอใจกับศิษย์น้อย
มิว่าจะมีเรื่องใดเกิดขึ้น ขอเพียงมีศิษย์น้อยอยู่ตรงนี้ ทั้งหมดล้วนไม่สำคัญ
อีกด้านหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันก็ไม่ปล่อยให้เยี่ยเฉินได้มีโอกาสพักหายใจแม้แต่น้อย
“ยังไม่ยอมสารภาพอีก มือข้างนี้ไม่ต้องการแล้วใช่ไหม” นางยกมือขึ้นมาปักกริชลงไปอย่างเด็ดขาดและรวดเร็ว มือขวาของเยี่ยเฉินก็ขาดสะบั้นออกมา
เฉือนออกไปทั้งกระดูก! หล่นลงไปอยู่ตรงหน้าเขา
“ต่อให้ความสามารถในการรักษาตัวของเจ้าสูงส่งเพียงไร ยังจะสามารถงอกมือขึ้นมาใหม่อีกข้างหนึ่งได้หรือ?”
นางยิ้มอย่างเย็นชา แทงกริชลงไปในข้อมือซ้ายของเขา
เยี่ยเฉินทนไม่ไหวอีกต่อไป เจ็บปวดจนต้องสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ
กริชเล่มนี้เย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง แทบจะทำให้เลือดในกายของเขาจับตัวเป็นก้อนหมดแล้ว
พอมองเห็นรอมยิ้มที่โหดเ**้ยมของตู๋กูซิงหลัน ในที่สุดในใจก็ต้องเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา
“แดนสวรรค์…. มารดาของข้าคือเทพธิดาบนสวรรค์ หลังเกิดเรื่องที่ทะเลไร้ก้นบึ้ง เผ่ามังกรทมิฬก็พังพินาศ ข้าย่อมต้องกลับไปยังแดนสวรรค์”
“อ้อ?”
ตู๋กูซิงหลันกำลังรอฟังคำถัดไปจากเขาอยู่
ฐานะของหวาชางสุย บิดาคนงามได้บอกนางเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
ลูกหลานของผู้กระทำผิดบนสรวงสวรรค์….
ทั่วทั้งเผ่ามังกรทมิฬล้วนถูกแดนสวรรค์กักขังเอาไว้ทั้งหมด ทั้งๆที่เยี่ยเฉินที่มีฐานะของทั้งสองฝ่าย แต่คนของแดนสวรรค์ก็ยังรับตัวเขาเอาไว้…..
ผู้ที่รับตัวเอาไว้จะต้องมีฐานะยิ่งใหญ่เหลือประมาณ
เพราะว่าก่อนหน้านี้ ผู้ที่ครอบครัวของหวาชางสุยล่วงเกินก็คือ เง็กเซียนฮ่องเต้
พออยู่ๆเยี่ยเฉินก็ร้องโพล่งออกมาเช่นนี้ ในใจของตู๋กูซิงหลันก็คาดเดาได้หลายส่วนในทันที
“วันนี้เจ้ากล้าทำร้ายข้า ใต้เท้าผู้นั้นจะต้องไม่ปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน”
รอคอยมาตั้งเนิ่นนาน ตู๋กูซิงหลันก็กำลังรอประโยคนี้อยู่พอดี
อีกนิดเดียวนางก็จะกระทืบเยี่ยเฉินจนถึงตายไปแล้ว
“หากเจ้ายังพูดจาไร้สาระ ข้าไม่เพียงแต่จะทำร้ายเจ้า แต่ว่า….”
ตู๋กูซิงหลันสะบัดกริช ตัดมือซ้ายของเขาออกมา “ฆ่าเจ้าซะ”
น้ำเสียงที่เอ่ยสามคำนั้นเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาสุดหยั่ง ยังเย็นเฉียบยิ่งกว่ากริชในมือของนางเสียอีก
“เทพสงครามซือเป่ย!” อาจเป็นเพราะหวาดกลัวในไอสังหารของนาง ในที่สุดเยี่ยเฉินก็ทนไม่ไหวจนกระทั่งโพล่งชื่อนั้นออกมา
มือของตู๋กูซิงหลันกำกริชเล่มนั้นเอาไว้อย่างแนบแน่น
ซือเป่ย……
แววตาของฟ่านอิงเองก็เปลี่ยนไปในทันที
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น