หมอดูยอดอัจฉริยะ 592-601
ตอนที่ 592 ใจปองร้าย
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เอ๋? เจ้าตำหนักของสมาคมหงเหมิน ตู้เฟย ตำแหน่งคุณไม่เล็กเลย ทำไมไม่คิดจะต่อสู้เพื่อตำแหน่งประธานใหญ่เล่า?”
เยี่ยเทียนมองตู้เฟยอย่างประหลาดใจ ตำแหน่งเจ้าตำหนักเป็นรองเพียงตำแหน่งรองประมุขเท่านั้น ในองค์กรนี้เป็นตำแหน่งระดับสูง โดยเฉพาะเมื่อประธานใหญ่กำลังป่วยหนัก มีหลายเรื่องที่ต้องให้เจ้าตำหนักเป็นคนจัดการ
“คุณชายน้อย เคยมีคนแนะนำผมไปแล้ว ถึงผมจะมีเส้นสายเยอะอยู่ แต่หลายปีมานี้มัวแต่ดูแลเรื่องในตระกูลซ่ง อำนาจในองค์กรลดทอนลงสู้ใครบางคนไม่ได้แล้ว…”
ตู้เฟยยิ้มแห้ง เล่าต่อว่า “อย่างเหลยหู่นั้น ตอนนี้เขาเป็นเจ้าตำหนักอาญา ถ้าเป็นเรื่องอำนาจ เขามีมากกว่าผมนัก”
มีคำๆหนึ่งกล่าวว่าอำนาจมาจากกระบอกปืน แม้เหลยหู่ไม่กล้าใช้กำลังพลในมือต่อกรกับคนในสมาคมหงเหมินด้วยกัน แต่ลูกน้องของเขาบางคนไม่ได้มีแค่จะขู่ให้เกรงกลัวเท่านั้น ใครที่คิดจะลบหลู่เหลยหู่ ต้องไตร่ตรองให้รอบคอบก่อน
“หากตระกูลซ่งให้การสนับสนุนคุณเต็มที่ คุณก็มีโอกาสจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งได้?”
เยี่ยเทียนยิ้มออกมา สิ่งที่เรียกว่าผลกระทบนั้นความจริงแล้วไม่สามารถใช้ได้จริงอย่างที่คิด เมื่อมีเงินทองมากองอยู่ตรงหน้า สิ่งอื่นกลายเป็นเพียงของไร้ค่า ในสมัยสงครามทุกคนพร้อมใจกันลุกฮือขึ้นมาต่อต้านนายพลเจียง สุดท้ายแล้วกลุ่มกบฎก็ถูกสยบลงด้วยอำนาจเงินของนายพลเจียงอยู่ดี
“ให้ผมขึ้นตำแหน่ง? คุณ…คุณชายน้อย ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม?”
ตู้เฟยถูกทักเข้าด้วยคำพูดนี้ ในใจเริ่มมีความหวัง สมาคมหงเหมินเป็นองค์กรที่มีอำนาจสูงสุดในบรรดาคนเชื้อสายจีนที่อยู่ต่างประเทศ ตำแหน่งหัวหน้าใหญ่สามารถทำให้หลายๆคนต่อสู้แย่งชิงกันอย่างบ้าคลั่ง
บิดาของตู้เฟยเคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าใหญ่ ถ้าทั้งสองพ่อลูกในตระกูลได้ครองตำแหน่งหัวหน้าแล้วล่ะก็ จะกลายเป็นตำนานในประวัติศาสตร์ของสมาคมหงเหมิน ตู้เฟยไม่เคยมีความหวังในตำแหน่งสูงสุดมาก่อน แต่พอถูกเยี่ยเทียนยั่วยุ ก็เกิดความหวังขึ้นมา
“ถ้าด้วยแรงเงินทุนจากตระกูลซ่งในต่างประเทศ ผมจะลองสู้กับเหลยหู่สักครั้ง ยังพอมีโอกาสชนะได้ครึ่งหนึ่ง….”
ตู้เฟยคิดคำนวณในใจแล้วยิ้มแหย “ตอนนี้ตระกูลซ่งมีความเสียหายหนักมาก ธุรกิจหลายอย่างถูกหยุดชะงัก เส้นทางการเงินถูกตัดขาด ถึงจะมีพวกคุณคอยสนับสนุน การจะช่วยให้ฉันชนะการคัดลือกนั้นมีความหวังแค่สามส่วน!”
สถานภาพทางการเงินของซ่งเวยหลันตอนนี้ ตู้เฟยเข้าใจดี
การทำกองทุนเอสโครว์ครั้งนี้เกิดทุจริตจนเกือบจะทำให้ทรัพย์สินของกลุ่มการค้ารั่วไหลออกหมด หลายๆโครงการที่กำลังดำเนินอยู่ถูกหยุดลงกลางคัน หลายๆเรื่องถูกนำไปร้องเรียน หากจัดการไม่ดี ธุรกิจขนาดใหญ่แห่งนี้จะต้องถึงจุดจบ
ตู้เฟยรู้ดีว่าแม้ซ่งเวยหลันจะช่วยเหลือเขาได้แต่ก็มีข้อจำกัด เกรงว่าตอนนี้เธอเองหากจะนำเงินออกมาสักหมื่นล้านดอลลาร์ยังเป็นเรื่องที่ยากลำบาก ความหวังสามส่วนที่เขาบอกเยี่ยเทียนนั้นเป็นแค่คำปลอบใจ
“ต่ำขนาดนั้นเลยหรือ?”
ฟังตู้เฟยพูดจบ เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว “ตู้เฟย เมื่อก่อนพ่อของคุณเป็นถึงประธานใหญ่ สมาคมหงเหมินการค้ารุ่งเรืองมาได้ถึงทุกวันนี้ นั่นเป็นผลงานของพ่อคุณเชียวนะ ไม่มีใครคิดจะสนับสนุนคุณเลยจริงๆหรือ?”
สมาคมหงเหมินก่อตั้งตั้งแต่ปลายยุคราชวงศ์ชิง พัฒนาก้าวหน้ามั่งคั่งมาได้ถึงทุกวันนี้ แต่สิ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลยคือจะขาดเส้นสายคนนอกคนในไม่ได้ ในสมาคมหงเหมินนั้นขยับตัวลำบาก ไม่เช่นนั้นคนรวยมีตั้งมากมายแต่ทำไมพวกเขาไม่ได้เป็นประธานใหญ่เล่า?”
เหลยหู่เป็นเจ้าตำหนักอาญา พอมีสถานะสูง จึงได้คาดหวังในตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้น
ส่วนซ่งเสี้ยวหลงแม้จะหลอกเงินของซ่งเวยหลันไปเป็นหมื่นล้านดอลลาร์ อย่าว่าแต่ตำแหน่งประธานใหญ่เลย ตำแหน่งเจ้าตำหนักที่รองลงมายังไม่มีปัญญา ด้วยเพราะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมาของจีน
ตู้เฟยส่ายหน้า “คุณชายน้อย ความหวังสามส่วนนี้มาจากพวกอาวุโสในสมาคมหงเหมิน ผมออกมาเป็นเวลานานแล้ว ตอนนี้ภายในมีคนหนุ่มสาวมากมายที่ไม่รู้จักผม ถ้าหากไม่ใช่เพราะคนในตำหนักสุคนธ์เป็นคนเก่าคนแก่แล้ว แม้แต่ความหวังสักเสี้ยวหนึ่งคงไม่มีเหลือ…”
คลื่นลูกเก่ากระทบคลื่นลูกใหม่ คลื่นลูกเก่าไปตายบนหาดทราย องค์กรอย่างสมาคมหงเหมินก็เช่นกัน หากได้ขึ้นสู่ตำแหน่งเจ้าตำหนักสุคนธ์ก็อยู่บนนั้นเกือบตลอดชีวิต กลุ่มคู่อริอื่นจะไม่กล้าเข้ามาระรานผู้มีตำแหน่งสูง
ถ้าพวกเขามีอันล้มหายตายจากไปจะเป็นการจุดชนวนความขัดแย้งให้กับทั้งสองฝ่ายซึ่งตอนนี้ต่างฝ่ายต่างอยากได้ในทรัพย์สินเงินทองมากกว่าการต่อสู้ระรานกัน จึงเลือกที่จะอยู่ร่วมกันด้วยความสมดุล
แต่สำหรับสมาชิกที่อยู่ในระดับกลางหรือล่าง จะไม่มีความคิดแบบนี้ ตอนที่ต่อสู่แย่งชิงพื้นที่พวกเขาได้สูญเสียชีวิตกันไปมาก วันนี้อาจจะยังร่วมดื่มสุราด้วยกัน พรุ่งไม่แน่ว่าอาจจะตายอยู่ข้างถนน
ดังนั้นสมาชิกชั้นกลางและชั้นล่างเปลี่ยนคนเร็วมาก ภายในสิบปีได้เปลี่ยนกำลังพลไปหลายชุดแล้ว ตู้เฟยกับคนพวกนี้แทบจะไม่ได้ไปมาหาสู่กันเลย
การเลือกประธานใหญ่ แรงสนับสนุนจากคนพวกนี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน จุดนี้กลายเป็นข้อเสียเปรียบของตู้เฟย จึงทำให้เมื่อก่อนเขาไม่เคยมีความคิดแบบนี้มาก่อนเลย
ฟังตู้เฟยอธิบายจบ เยี่ยเทียนเงียบไปพักหนึ่ง จู่ๆก็หันไปถามแอนนาว่า “แอนนา เธอพาแม่ไปพักผ่อนที่ห้องเถอะ นั่งเครื่องบินมาตั้งสิบกว่าชั่วโมงเหนื่อยมากแล้ว”
“ฉันไม่เหนื่อย!” แอนนามองเยี่ยเทียนอย่างแปลกใจ “เจ้านายก็ดูสดชื่นดี คุณชายวางใจเถอะ พวกเราเดินทางไปกลับอเมริกา แอฟริกาบ่อยๆ ชินแล้ว”
“ฉัน… ฉันพูดกับเธอเหมือนไม่ได้พูด!”
เยี่ยเทียนกลอกตามองบน เหลือบดูแอนนาที่พูดภาษาจีนอย่างชัดถ้อยชัดคำ แต่กลับไม่เข้าใจในวัฒนธรรมจีนเลย
เยี่ยเทียนให้แอนนาพาซ่งเวยหลันกลับไปที่ห้อง เพราะต้องการให้มารดาหลบฉากจากการพูดคุยของเขากับตู้เฟย แต่แอนนาไม่เข้าใจความหมายที่แอบแฝงและจุดประสงค์ที่ตนต้องการ
“เสี่ยวเทียน มีเรื่องอะไรจะปิดบังแม่อีกล่ะ?”
แม้ตอนนี้สถานการณ์ของเธอไม่สู้ดีนัก แต่ซ่งเวยหลันแอบยิ้มกับท่าทางหงุดหงิดของบุตรชายกับความไม่ประสาของแอนนา พูดต่อว่า “ลูก แม่น่ะอยู่ต่างประเทศมาหลายสิบปี ตั้งแต่ผลประกอบการแค่ปีละไม่กี่แสนดอลลาร์พัฒนาถึงตอนนี้มีพนักงานในเครือหลายหมื่นคน แค่คลื่นมรสุมในธุรกิจเท่านั้น ไม่ต้องกลัวแม่จะตกใจหรอก…”
ซ่งเวยหลันเกิดมาเป็นคนมีความสามารถ เดิมทีเป็นคุณหนูในตระกูลเศรษฐีแห่งเซี่ยงไฮ้ เคยผ่านการออกไปหาประสบการณ์ทำไร่ทำนาในชนบทสมัยตอนสาวๆ จากนั้นก็ย้ายมาอยู่ที่ยุโรปอเมริกาเพียงลำพัง ในโลกของคนตะวันตกได้เขียนหนังสือเส้นทางธุรกิจเอาไว้
ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ซ่งเวยหลันเคยถูกลอบสังหารหลายครั้ง และมีหลายครั้งที่เกือบถูกยมทูตนำตัวไป อย่ามองเธอดูอ่อนแอบอบบาง แต่เบื้องหลังยังมีความเด็ดขาดที่ใครก็คาดไม่ถึง ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถสะสมทรัพย์สินได้มากมายมหาศาลอย่างนี้ คงจะถูกคนอื่นรังแกให้ย่อยยับป่นปี้ไปตั้งนานแล้ว
“แม่ นี่เป็นเรื่องในสมาคมหงเหมิน แม่ไม่ต้องรู้หรอก”
เยี่ยเทียนเบ้ปากมองดูผู้เป็นมารดา “ถ้าแม่เชื่อผม เรื่องนี้ให้ผมเป็นคนจัดการเถอะ แม่กับแอนนาเข้าห้องไปพักผ่อนก่อน”
ครอบครัวส่วนครอบครัว ยุทธภพส่วนยุทธภพ เยี่ยเทียนเคยทำเรื่องที่คนธรรมดาคิดไม่ถึงมามากมายแล้ว และไม่ได้ส่งผลกระทบถึงตระกูลเยี่ยเทียนสักครั้ง เรื่องนี้มีแม่ของเขาเป็นต้นเหตุ แต่เยี่ยเทียนอยากใช้วิถีแห่งชาวยุทธจัดการ
“ลูกนี่น้า แม่จะไม่เชื่อใจลูกได้ยังไง?”
ซ่งเวยหลันยิ้มอย่างปลอบใจปนกับไม่รู้จะทำอย่างไร บุตรชายเป็นคนแข็งแกร่ง และนั้นก็เป็นเพราะรักและเป็นห่วงเธอผู้เป็นแม่แท้ๆ ซ่งเวยหลันจึงรู้สึกดีใจมาก
ซ่งเวยหลันลุกขึ้นยืน โบกมือเรียกแอนนา “แอนนา พวกเราเข้าห้องกันเถอะ ให้เยี่ยเทียนเขาจัดการต่อ!”
“ค่ะ เจ้านาย!”
แอนนาเดินตามซ่งเวยหลันเข้าไปในห้องพัก แล้วกระซิบที่ข้างหูของซ่งเวยหลันเบาๆว่า “เจ้านาย คนของเราในยุโรป ฉันเรียกตัวกลับมาหมดแล้ว อย่างช้าจะมาถึงซานฟรานซิสโกตอนพรุ่งนี้เช้า มีพวกเขาอยู่ พวกเราจะออกจากที่นี่ไม่ใช่เรื่องยาก!”
ซ่งเวยหลันถอนใจ แล้วกระซิบตอบกลับว่า “ฉันรู้แล้ว อย่าให้เกิดความขัดแย้งกับสมาคมหงเหมินเป็นดีที่สุด”
“อืม คุณแม่ก็ได้เตรียมการไว้เหมือนกันนี่?”
ก่อนที่ประตูห้องนอนจะปิดลง เยี่ยเทียนมองไปอย่างไม่ตั้งไป
ซ่งเวยหลันกับแอนนาแม้จะคุยกันเบาๆ แต่ไม่สามารถรอดพ้นจากหูเยี่ยเทียนไปได้ เขาคิดไม่ถึงว่าแม่ที่สงบเงียบมาตลอดทางที่กลับมาถึงอเมริกา ยังซ่อนทางรอดเอาไว้เบื้องหลัง?
ลูกน้องของแอนนาที่อยู่ในยุโรป เยี่ยเทียนสนใจพวกเขาเหล่านี้ เขาไม่รู้ว่าทำไมแอนนาถึงเชื่อใจคนพวกนี้มาก ขอแค่พวกเขามาถึงก็สามารถพาแม่ออกจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย
“คุณชายน้อย คุณกำลังคิดอะไรอยู่?”
เห็นเยี่ยเทียนเหม่อลอย ตู้เฟยส่งเสียงเรียก เขาเริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูก เยี่ยเทียนต้องการปิดบังเรื่องอะไรจากพวกซ่งเวยหลันกันแน่
เยี่ยเทียนเรียกสติกลับคืน เอ่ยตรงๆว่า “ตู้เฟย ผมจะไม่อ้อมค้อมแล้ว ถ้าเหลยเจิ้นเยวี่ยและเหลยหู่ตายไป คุณจะมีความหวังว่าจะได้ตำแหน่งมากแค่ไหน?”
ชาวยุทธเวลาจัดการเรื่องราวต่างมักใช้วิธีทางตรงที่สุด พวกเขาแตกต่างจากคนของทางการ ใช้ร่างกายไปทำลายศัตรูเป็นทางเลือกอันดับแรกของชาวยุทธอย่างเยี่ยเทียน
การอลุ้มอะล่วยให้ศัตรูถือเป็นความอัปยศต่อตนเองอย่างสูงสุด ตอนนี้เหลยเจิ้นเยวี่ยพ่อลูกบังเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยแก่เยี่ยเทียน แน่นอนว่าเขาจะไม่ออมมือ
“คุณชายน้อย คุณ…คุณว่าอะไรนะ?”
แม้ตู้เฟยจะไม่ได้เป็นคนเข้มแข็งขนาดที่มองเห็นภูเขาไท่ซานถล่มลงตรงหน้ายังไม่กระพริบตา แต่เขาก็ได้ผ่านเรื่องราวโชกโชนในชีวิต คำพูดลอยๆของเยี่ยเทียนกลับทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสี สะดุ้งเหมือนถูกไฟลนก้น กระโดดเด้งขึ้นบนโซฟา
“ผมบอกว่า ถ้าผมจัดการกับเหลยเจิ้นเยวี่ยและเหลยหู่ได้ คุณจะมีโอกาสได้ตำแหน่งประธานใหญ่มากแค่ไหน?” เยี่ยเทียนจ้องตาตู้เฟยพูดทีละคำอย่างชัดเจน
ตอนที่ 593 เทียบเชิญ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ไม่…ไม่ได้ อย่างนี้ไม่ได้!”
ฟังเยี่ยเทียนพูดจบตู้เฟยตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี รีบโบกมือปฏิเสธ “คุณชายน้อย ถึงผมอยากจะได้ตำแหน่ง แต่การเข่นฆ่าพี่น้องด้วยกันผมทำไม่ได้!”
ถ้าว่าด้วยเรื่องความรู้สึกส่วนตัวกับความผูกพันนั้นตู้เฟยเอนเอียงไปทางตระกูลซ่งมากกว่า แต่ลุงเหลยเป็นเพื่อนพ่อที่เห็นเขามาตั้งแต่เล็ก วิธีการโหดเหี้ยมสามารถทำให้เขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำแต่ตู้เฟยไม่มีทางยอมรับได้
อีกอย่างถ้าจู่ๆเหลยเจิ้นเยวี่ยพ่อลูกเกิดเสียชีวิตลง จะต้องเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ในสมาคมหงเหมิน ไม่ว่าใครได้ครองตำแหน่งผู้นำก็ต้องสืบหาเบาะแสการตายของพ่อลูกคู่นี้เป็นงานหลัก ตู้เฟยทำใจกับเรื่องนี้ไม่ได้
“คุณเห็นแก่ความผูกพันมากขนาดนั้นเลย?”
เยี่ยเทียนมองตู้เฟยแล้วเลิกคิ้วตั้งคำถาม สหายของซ่งเสี่ยวหลงแน่นอนว่าต้องเป็นศัตรูของตัวเอง แต่ถ้าไม่ได้รับความร่วมมือจากตู้เฟยแล้ว ถึงจะกำจัดเหลยเจิ้นเยวี่ยพ่อลูกไปได้ ซ่งเสี่ยวหลงยังสามารถหาสหายคนอื่นมาร่วมมือได้ ซึ่งจะเป็นภัยต่อมารดาของเยี่ยเทียนในภายหลัง
เยี่ยเทียนจึงคิดจะกำจัดซ่งเสี่ยวหลงเสียให้สิ้นซาก แต่เจ้านี่เจ้าเล่ห์เพทุบาย ก่อนที่เยี่ยเทียนและมารดาจะมาถึงอเมริกาเขาก็ได้หลบหนีกลับแอฟริกาไปแล้วทำให้เยี่ยเทียนทำอะไรเขาไม่ได้
“คุณชายน้อย ผมว่าเอาตามที่คุณบอกตอนแรก ให้คุณเข้าร่วมในสมาคมหงเหมินอย่างเป็นทางการก่อนดีกว่า”
ดูจากสีหน้าของเยี่ยเทียนแล้ว ตู้เฟยถามอย่างระมัดระวัง “ขอแค่แน่ใจว่าคุณมีตำแหน่งในสมาคมหงเหมิน ลุงเหลยกับเหลยหู่ต่อให้ใจกล้ามากแค่ไหน ก็ไม่กล้าทำอันตรายพวกคุณแม่ลูกแน่นอน เพราะกฎข้อห้ามอันดับแรกของสมาคมหงเหมิน….”
สมาชิกของสมาคมหงเหมินกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก จากการติดตามของตู้เฟย การกระทำของเยี่ยเทียนในไต้หวันและพม่านั้นตู้เฟยพอได้ทราบเรื่อง เขารู้ดีว่าชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้ไม่ได้พูดเล่นสนุกปาก หากแต่มีใจอยากจะสังหารจริงๆ
ถ้าเยี่ยเทียนเป็นแค่คนธรรมดา ตู้เฟยยังกล้าล้อเล่นกับเขา แต่เยี่ยเทียนเป็นถึงเจ้าสำนักวิชา ทำให้ตู้เฟยเกิดเคร่งเครียดขึ้นมา ไม่มีใครกล้ามองข้ามการข่มขู่จากสำนักวิชาหรอก
“เอาเถอะ ถ้างั้นก็เข้าร่วมในสมาคมหงเหมินก่อน”
เยี่ยเทียนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม พูดต่อว่า “ในสมาคมหงเหมินมีกฎข้อห้ามไม่ให้ล่วงเกินผู้ที่สูงกว่า ถ้าเหลยเจิ้นเยวี่ยไม่เคารพผู้อาวุโส ผมลงมือสั่งสอนเขาได้ใช่ไหม?”
“แน่นอน ได้แน่นอน คุณชายน้อย คุณวางเรื่องนี้ไว้ก่อนไม่ได้เลยเหรอ?”
เห็นเยี่ยเทียนยังคิดถึงการสังหารไม่คลายลง ตู้เฟยเลยได้แต่ยิ้มแหย รอให้ส่งเทียบเชิญเยี่ยเทียนเข้าสมาคมหงเหมินเสร็จเรียบร้อย เขาจะต้องไปคุยกับลุงเหลยให้รู้เรื่อง ว่าการมีปัญหากับคนอย่างเยี่ยเทียนจะทำให้เกิดเป็นฝันร้ายของตระกูลเหลย
“ได้ ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว คุณรอผมครู่หนึ่ง…”
“เยี่ยเทียนลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องของตัวเอง หยิบเอานามบัตรออกมาจากกระเป๋าเดินกลับเข้าไปที่ห้องรับแขกบอกกับตู้เฟยว่า “นี่เป็นเทียบเชิญเข้าสมาคมหงเหมินที่อาจารย์ของผมเขียนขึ้นด้วยตัวเอง คุณต้องเก็บรักษาไว้ให้ดีที่สุด รอให้พิธีการเข้าสมาคมหงเหมินสิ้นสุดลงแล้วบัตรเชิญใบนี้จะต้องเป็นของผมเหมือนเดิม”
พิธีเข้าร่วมสมาคมหงเหมินในยุคนี้ดัดแปลงให้เรียบง่ายกว่าเมื่อก่อนมาก เพียงแค่มีคนแนะนำมา เข้าพิธีเคารพบรรพบุรุษแล้วก็ได้เป็นสมาชิกสมาคมหงเหมินเต็มตัว
แต่เมื่อก่อนยุคปฏิวัติวัฒนธรรม หากอยากเข้าร่วมในสมาคมหงเหมินนี้จะต้องผ่านกระบวนการวุ่นวายหลายอย่าง ผู้ที่ไม่มีอาจารย์ พอเข้าสมาคมหงเหมินแล้วก็เป็นได้เพียงสมาชิกชั้นสามัญ ไม่มีสิทธิ์มีเสียงใด
ถ้าอยากจะเข้าพิธีเคารพอาจารย์เพื่อเป็นสมาชิกสมาคมหงเหมิน มีกฎเกณฑ์มากมายที่ต้องปฏิบัติ ประการแรกต้องผ่านการทดสอบที่จะจัดขึ้นในสามปีครั้ง รอจนครบกำหนดแล้วค่อยให้ผู้เป็นอาจารย์เขียนบัตรเชิญเข้าร่วมสมาคมหงเหมิน จึงจะได้ชื่อว่าเข้าร่วมสมาคมหงเหมินอย่างเป็นทางการ
สมาชิกประเภทนี้ เมื่อเข้าสู่สมาคมหงเหมินแล้วจะได้สืบทอดตำแหน่งเดิมของอาจารย์ได้โดยตรง เช่นกรณีของตู้เยวี่ยเซิงและหวงจินหรงก็ทำแบบนี้เช่นกัน พวกเขาอยู่ในตำแหน่งระดับสูงได้ก็ด้วยเหตุนี้
บัตรเชิญเข้าสมาคมหงเหมินใบนี้เป็นลายมือของหลี่ซั่นหยวนที่เขียนชื่อของตนและศิษย์ร่วมสำนักในสมัยนั้นขึ้นไปสามรุ่น ด้านล่างเป็นชื่อเยี่ยเทียน นอกจากนี้ในบัตรเชิญยังมีภาษาลับที่เป็นตัวแทนของหลี่ซั่นหยวน เป็นการยืนยันว่าเป็นของจริงซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด
สมาคมหงเหมินแห่งนี้ในยุคแรกเริ่มก่อตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านราชวงศ์ชิงฟื้นฟูราชวงศ์หมิง เมื่อราชวงศ์ชิงครอบครองใต้หล้า การเคลื่อนไหวของพวกเขาจึงเป็นความลับ เพื่อป้องกันไม่ให้ทางการรู้ตัวตนของพวกเขา เหล่าบัณฑิตในสมาคม หงเหมินจึงตั้งภาษาลับเอาไว้ใช้ในหมู่พวกเดียวกัน
ยกตัวอย่างเช่น ครั้งแรกที่เข้าพบสมาชิกในสมาคมหงเหมิน ต้องใช้สัญลักษณ์มือ ต้องมีภาษาลับ และต้องกราบไหว้สาบานเป็นพี่น้อง จึงจะได้เป็นพี่น้องร่วมสาบาน มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน หากมีเหตุขุ่นข้องหมองใจก็จะเปลี่ยนเป็นความรักใคร่สามัคคี
ทั้งถ้อยคำภาษาลับและสัญลักษณ์มือแบบต่างๆกลายเป็นระบบธรรมเนียม กลุ่มองค์กรลับในโลกใบนี้ต่างไม่ยอมรับการปลอมแปลง ในสมาคมหงเหมินยิ่งต้องรัดกุมดังที่เป็นอยู่ตอนนี้
หลี่ซั่นหยวนเป็นสมาชิกอาวุโสในยุคแรกเริ่ม ทุกคนต้องมีภาษาลับยืนยันตัวตน ภาษาลับเหล่านี้จะถูกบันทึกลงในทำเนียบจดหมายเหตุ มีแค่ผู้ใหญ่ตำแหน่งสูงเท่านั้นถึงจะรู้จัก พวกเขาสามารถใช้ภาษาลับนี้ไปสืบสวนว่าเทียบเชิญนี้เป็นของจริง
“คุณชายน้อย วางใจเถอะ ผมจะจัดการเรื่องนี้เป็นอย่างดี!”
ตู้เฟยก้มลงมองเทียบเชิญของเยี่ยเทียนซึ่งมีตราประทับส่วนตัวและภาษาลับของหลี่ซั่นหยวน เขาจึงวางใจลงได้ ของสิ่งนี้ถ้าเกิดถูกคนอื่นกลั่นแกล้ง เขายังสามารถนำมันออกมาเป็นหลักฐานยืนยัน อีกทั้งคนในตำหนักพิธียังเป็นพวกเดียวกัน เหลยเจิ้นเยวี่ยพ่อลูกไม่มีทางทำอะไรได้
“ต้องใช้เวลาเตรียมตัวกี่วัน?” เยี่ยเทียนถาม เขาไม่ชอบความรู้สึกที่เหตุการณ์อยู่เหนือการควบคุมสักเท่าไหร่
“คุณชายน้อย อย่างเร็วต้องหนึ่งสัปดาห์…”
ตู้เฟยหยุดคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อว่า “สมาชิกใหม่จะเข้าร่วมสมาคมหงเหมินแบบนี้จะทำให้เกิดความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ เกรงว่าสมาชิกที่อยู่รอบโลกจะต้องส่งคนมาร่วมงานครั้งนี้”
ถ้าเป็นสมาชิกธรรมดา งานพิธีจะเป็นไปอย่างเรียบง่าย แค่อ่านกฎของสำนักแล้วจุดธูปก้มกราบเป็นอันเสร็จพิธี แต่เยี่ยเทียนต่างออกไป การเข้าร่วมครั้งนี้ เขาจะได้เป็นถึงสมาชิกที่มีสถานะสูงที่สุดคนหนึ่ง เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วจะต้องดึงดูดความสนใจของเหล่าผู้อาวุโสที่แม้อยากจะให้ความเคารพยำเกรงยังทำไม่ได้
“หนึ่งสัปดาห์?” เยี่ยเทียนนิ่งไป ตอบว่า “ผมหวังว่าในหนึ่งสัปดาห์นี้จะไม่มีใครมารบกวนพวกเรานะ!”
เยี่ยเทียนรู้ถึงวิธีการของคนพวกนี้ดี สถานะของซ่งเวยหลันแม้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสมาคมหงเหมินอย่างลึกซึ้ง แต่เธอก็ไม่ได้เป็นสมาชิก ถ้าเกิดเหลยหู่คิดจะทำเรื่องเลวร้ายแล้วละก็ อาจจะ “เชิญ”ตัวซ่งเวยหลันไปกักบริเวณไว้
ฟังถึงความกังวลของเยี่ยเทียนแล้วตู้เฟยรีบรับปาก “คุณชายน้อยโปรดวางใจ ลูกน้องของผมยังมีคนที่พอใช้ได้อยู่ ผมจะไม่ให้ใครเข้ามารบกวนถึงที่นี่อย่างแน่นอน!”
ในสมาคมหงเหมินแม้จะมีตำหนักอาญา แต่ตั้งขึ้นเพื่อฟ้องร้องคดีกับบุคลลภายนอกและเพื่อลงโทษคนในที่ทำผิดกฎ แต่คนอย่างตู้เฟยที่เป็นผู้อาวุโสในนั้น ก็วางลูกน้องของตัวเองทำงานอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน ลูกน้องที่เข้มแข็งกล้าหาญมีจำนวนไม่น้อย ไม่เช่นนั้นป่านนี้เขาคงถูกห้ำหั่นจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว
“ได้ คุณไปจัดการเถอะ”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ลำพังเขาตัวคนเดียวคงจะไม่ต้องคิดมากกังวลขนาดนี้ แต่มารดาของเขาอยู่ด้วยทำให้เยี่ยเทียนต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ก่อนที่จะจัดการพวกเหลยเจิ้นเยวี่ยได้ เขาไม่อยากจะขัดแย้งกับสมาคมหงเหมิน
“ครับ คุณชายน้อย ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้แหละ!”
ตู้เฟยออกมาจากห้องชุดแล้ว พบว่าเสื้อด้านหลังของตัวเองเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาอายุปูนนี้ยังไม่เคยรู้สึกเครียดเกร็งเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นแบบนี้มาก่อนเลย
“อาปิ่ง เรียกลูกน้องของแกออกมาให้หมด เฝ้าที่หน้าประตูโรงแรมไว้ ถ้าเป็นแขกธรรมดาไม่ต้องสนใจ แต่ถ้าเป็นสมาชิกสมาคมหงเหมินมา ห้ามพวกเขาเข้าไปเด็ดขาด”
ตู้เฟยเดินลงไปถึงล็อบบี้โรงแรม นั่งลงบนโซฟากวักมือเรียกชายวันกลางคนที่รออยู่แล้วเข้าไป แววตาปรากฏความเหี้ยม แล้วเสริมต่อว่า “ถ้ามีคนจะใช้กำลังบุกเข้าไป ต้องหยุดเอาไว้ให้ได้ ขอแค่อย่าให้ถึงกับฆ่าคน ซ้อมให้หนักก็พอ!”
“ท่านตู้ครับ เราซ้อมคนกันเองได้หรือครับ?” ชายวัยกลางคนถามอย่างตกใจ ในซานฟรานซิสโกนี้เป็นที่ตั้งของศูนย์กลางสมาคมหงเหมินสาขาใหญ่ หากตู้เฟยทำแบบนี้ ไม่กลัวว่าจะโดนเด้งออกจากเก้าอี้เหรอ?
ตู้เฟยถอนใจออกมา ตบบ่าชายคนนั้นเบาๆ ตอบว่า “อย่าลงมือก่อน แค่คุยกันด้วยเหตุผลก็พอ อาปิ่ง ในสมาคม หงเหมินเกรงว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แล้ว!”
“ครับ ท่านตู้” อาปิ่งพยักหน้ารับคำ สำหรับอาปิ่งแล้วคำสั่งของตู้เฟยมาเป็นอันดับแรก ส่วนเรื่องสมาคมหงเหมินยังสำคัญน้อยกว่าอุดมการณ์ของตู้เฟยเลย
…………
“เยี่ยเทียน ลูกคิดอยากจะจัดการลุงเหลยใช่หรือเปล่า?” ตู้เฟยจากไปแล้ว ซ่งเวยหลันกับแอนนาเดินออกมาจากห้อง
“ตอนนี้ยังครับ รอให้ผมเข้าสมาคมหงเหมินอย่างเป็นทางการก่อน ถ้าเขายังกล้าคิดไม่ซื่ออีก ผมก็ไม่รังเกียจจะใช้กฎของสมาคมมาจัดการกับพวกเขา เหลยหู่เป็นเจ้าตำหนักอาญาไม่ใช่เหรอ? ผมจะดูว่าเขาจะทำอย่างไร?”
เยี่ยเทียนยิ้มเย็น มุมมองของเขาต่อเหลยเจิ้นเยวี่ยนั้นยังไม่แย่มาก แต่สำหรับเหลยหู่เขาจะไม่เกรงใจเลย คนๆนี้ต้องการกอบโกยทรัพย์สินทั้งหมดของแม่ของเขา ไม่รู้ว่าความโลภของเหลยหู่มีมากแค่ไหน?
“งั้นก็ดี ความจริงพวกเราออกไปจากซานฟรานซิสโกแล้วไปนิวยอร์คก็ได้ พวกลุงเหลยทำอะไรเราไม่ได้แล้ว” หากรู้ว่าเหลยหู่กับซ่งเสี่ยวหลงรวมหัวกันทำร้ายเธอ ซ่งเวยหลันจะไม่มาที่ซานฟรานซิสโกก่อน ที่นิวยอร์คยังมีเรื่องวุ่นวายให้เธอต้องจัดการอีก
ฟังมารดาพูดจบเยี่ยเทียนนึกถึงคำพูดของแอนนา จึงอดถามไม่ได้ว่า “ใช่แล้ว แม่ครับ แม่ยังมีลูกน้องอีกหลายคนเลย? พวกเขาเป็นใครกันหรือครับ?”
“ลูกรู้ได้ยังไง?”
ซ่งเวยหลันมองลูกชายด้วยสายตาแปลกๆ แต่ในเมื่อไม่สามารถปิดบังเรื่องนี้ได้แล้ว เธอตอบว่า “แม่มีหุ้นส่วนอยู่ในบริษัทมืดในอเมริกา ทั้งยังใช้ชื่อของบริษัทก่อตั้งกลุ่มนี้ขึ้นมา ในนั้นมีแต่ทหารปลดประจำการจากนานาประเทศ พวกเขาจะรับผิดชอบในความปลอดภัยของแม่คนเดียว!”
ตอนปี 90 ซ่งเวยหลันได้ลงทุนเปิดบริษัทหนึ่งขึ้นมา โดยมีนายทหารราชนาวีปลดประจำการของสหรัฐเป็นพนักงานซึ่งเป็นทั้งกำลังรบและหน่วยรักษาความปลอดภัย ตั้งแต่ตั้งบริษัทมา นอกจากซ่งเวยหลันที่เป็นเถ้าแก่อยู่เบื้องหลังแล้ว ทั้งบริษัทมีพนักงานทั้งหมดหกคนเท่านั้น
ตอนที่ 594 บริษัทนิลวารี
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในช่วงแรก ทั้งบริษัทนิลวารีจะมีพนักงานแค่หกคน แต่ทั้งหกคนนี้ถือเป็นผู้ก่อตั้ง ซึ่งแต่ละคนต่างก็เป็นทหารจากหน่วยต่างๆของอเมริกาบางคนเป็นครูฝึกทหารด้วย เริ่มจากให้บริการด้านการรักษาความปลอดภัยแก่เหล่าเศรษฐีทั้งหลาย และค่อยๆพัฒนาขึ้น
หลังจากนั้นสองปี บริษัทนิลวารี เริ่มกิจการใหม่คือการเป็นทหารมืออาชีพ รับทำภารกิจต่างๆตามแต่ละประเทศแต่ละภูมิภาค เป็นหน่วยที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในวงการอาชีพสายนี้ กว่าร้อยละห้าสิบของอภิมหาเศรษฐีระดับโลกต่างเคยใช้บริการบริษัทแห่งนี้ทั้งนั้น
เช่นที่ซ่งเวยหลันส่งมาลาไกย์มาคอยคุ้มครองเยี่ยเทียน เขาก็เป็นหนึ่งในนายทหารชั้นแนวหน้าของบริษัทนิลวารี ซ่งเวยหลันออกคำสั่งให้ทหารเหล่านี้ออกไปในนามของบริษัท
การเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทนั้น ซ่งเวยหลันแม้จะไม่ได้เข้าร่วมการบริหารบริษัท แต่กลับได้รับการรักษาความปลอดภัยส่วนตัวจากเหล่าทหาร
ทีมรักษาความปลอดภัยของซ่งเวยหลันมีทั้งนายทหารปลดประจำการดีเด่น แม้จะมีจำนวนเพียงยี่สิบกว่าคนแต่ประสบการณ์การรบมากมาย ทั้งปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อย่างเข้มงวด จึงแตกต่างจากกลุ่มสมาคมหงเหมินอย่างชนิดที่สมาคมหงเหมินไม่สามารถเปรียบเทียบได้
ดังนั้นที่ซ่งเวยหลันบอกว่าเหล่าทหารสามารถพาพวกเธอออกจากซานฟรานซิสโกได้ไม่ใช่การคุยโม้ คนของสมาคมหงเหมินนั้นมีมากมาย แต่ในเมืองที่วุ่นวายอย่างเมืองนี้ พวกทหารยังคงสามารถพาซ่งเวยหลันออกไปได้อย่างปลอดภัย
ช่วงก่อนซ่งเวยหลันกลับประเทศจีนไป ด้วยกลัวว่าจะชักนำสายตาของผู้คนจำนวนมาก เธอจึงสั่งให้พวกเขาไปเก็บตัวที่ยุโรปกันก่อน โดยคิดไม่ถึงว่าเมื่อกลับมาถึงอเมริกาวันแรกจะต้องเรียกใช้พวกเขาทันที
ฟังที่มารดาอธิบายถึงพวกลูกน้องแล้ว เยี่ยเทียนเงียบไปครู่ใหญ่ ตอบว่า “แม่ รอให้พวกเขามาแล้ว แม่ไปนิวยอร์คกับพวกเขาก่อน”
การมีคนในครอบครัวอยู่ข้างกายนั้นเยี่ยเทียนจะทำการอันใดก็ไม่คล่องตัว อีกทั้งการเข้าร่วมสมาคมหงเหมินของเขาจะถูกพวกผู้อาวุโสในสมาคมหงเหมินใช้เป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์ และแน่นอนว่าพิธีต้องไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น การที่ให้มารดาหลบไปอยู่ที่ปลอดภัยก่อน เยี่ยเทียนถึงจะลงมือได้อย่างวางใจ
ซ่งเวยหลันส่ายหัว ตอบว่า “เสี่ยวเทียน ถ้าจะไปต้องไปด้วยกัน แม่ไม่ทางทิ้งลูกไว้ที่นี่คนเดียว”
แม้เยี่ยเทียนจะไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีไม่งามในสายตาเธอ แต่ซ่งเวยหลันรู้ดีว่าบุตรชายของเธอไม่ใช่คนที่ใครจะรับมือได้ง่ายๆ ถ้าทิ้งเขาไว้ในซานฟรานซิสโกคนเดียว ไม่รู้ว่าเขาจะก่อเรื่องได้มากมายขนาดไหน?
“แม่ ถ้าแม่อยู่ที่นี่ต่อ จะทำให้ผมพะวงใจ เรื่องนี้วางใจให้ผมจัดการเองเถอะ แม่ไปรอฟังข่าวดีที่นิวยอร์คก็แล้วกัน!”
เห็นท่าทางส่ายหัวอย่างไม่เห็นด้วยของมารดา เยี่ยเทียนส่งสายตาให้แอนนาทีหนึ่งแล้วบอกว่า “แม่วางใจเถอะ ในสมาคมหงเหมินนั่นผมมีตำแหน่งสูงอยู่ พวกตาแก่หงำเหงือกพวกนั้นน่ะ ไม่กล้าทำอะไรผมหรอก แม่กับแอนนาไม่ใช่คนในสมาคมหงเหมิน อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์
“ใช่แล้วค่ะ เจ้านาย เยี่ยเทียนเก่งขนาดนี้ เขาอยู่ที่นี่ต่อได้โดยที่ไม่เกิดเรื่องแน่นอน” ถ้าเทียบกับเยี่ยเทียนแล้วแอนนาให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของซ่งเวยหลันมากกว่า ครั้งนี้แอนนาแปลความหมายทางสายตาของเยี่ยเทียนออก จึงออกโรงช่วยพูดอีกแรง
“ถ้างั้น?” ซ่งเวยหลันรู้สึกลังเล ความจริงไม่ได้น้ำเน่าเหมือนในนิยาย ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองเป็นตัวถ่วงก็ยังไม่ยอมจากไปแต่โดยดี คงกลัวว่าตัวเอกจะตายช้าเกินไป
เยี่ยเทียนเห็นท่าทีลังเลของมารดาก็เอ่ยว่า “แม่ วางใจเถอะครับ อย่างช้าที่สุดประมาณเดือนครึ่ง อย่างเร็วสิบวัน พวกเราจะได้กลับเมืองจีนด้วยกัน”
“เอาเถอะ แม่ไปนิวยอร์คก่อน ลูกต้องระวังตัวให้มากนะ!” ซ่งเวยหลันคิดอยู่ครู่ใหญ่ถึงยอมตกลง การอยู่ที่นี่ต่อของเธอมีแต่จะทำให้บุตรชายกังวลใจ สู้ยอมไปยังจะดีเสียกว่า
“ครับ ผมหิวจังเลย แม่ เราสั่งอาหารขึ้นมาทานที่นี่เถอะครับ”
พอมารดายอมตกปากรับคำ เยี่ยเทียนจึงรู้สึกวางใจลง ตอนนี้เขารู้แล้วว่าพวกนักพรตนักบวชจะฝึกญาณวิชาให้สำเร็จได้ ต้องตัดขาดจากอารมณ์และกิเลสด้วยเหตุนี้นี่เอง
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาและอารมณ์ความคิดละเอียดอ่อน โดยเฉพาะกับคนรักคนในครอบครัว ไม่มีทางจะตัดกันให้ขาด การมีคนที่ห่วงอยู่ข้างหลัง จะทำการใดก็อดเป็นกังวลไม่ได้ ไม่มีทางที่ทำการใดได้อย่างเต็มที่
หลังรับประทานอาหารเป็นเพื่อนมารดาแล้ว เยี่ยเทียนออกไปเดินเล่นรอบโรงแรมเพียงลำพัง เขารู้สึกว่ามีสายตาคอยจับจ้องเขาอยู่เรื่อยๆ คงจะเป็นพวกลูกน้องของตู้เฟย
แม้ว่าในใจอยากจะออกไปเดินเที่ยวตามตลาดที่มีชื่อเสียงของคนเชื้อสายจีน แต่ความปลอดภัยของมารดามาเป็นอันดับแรก หลังจากเดินเล่นรอบๆแล้วเยี่ยเทียนจึงกลับเข้าห้องพัก
คืนแรกในซานฟรานซิสโกผ่านไป เช้าวันต่อมาโทรศัพท์ในห้องเยี่ยเทียนดังขึ้น เสียงของตู้เฟยดังมาตามสาย “คุณชายน้อย มีคนบางกลุ่มกำลังมีปัญหากับคนของผม พวกเขาน่าจะเป็นพวกทหารมืออาชีพ จะปล่อยให้พวกเขาเข้าไปไหมครับ?”
“เป็นคนของแม่ผมครับ ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ ตู้เฟย เกรงว่าคนของคุณจะห้ามพวกเขาไม่อยู่น่ะสิ?”
เยี่ยเทียนหัวเราะเบาๆ เพราะเขารู้สึกได้ว่ามีพลังลมปราณที่แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดากำลังเข้ามาใกล้ห้องพักของเขา ต้องเป็นพวกลูกน้องของแม่ที่มาถึงแล้วแน่เลย
“คุณชายน้อย ผมจะส่งคนไปเพิ่ม”
ที่ปลายสายสีหน้าของตู้เฟยแดงก่ำไปหมด ความจริงเป็นไปตามที่เยี่ยเทียนพูด ลูกน้องของเขาสิบกว่าคนไม่สามารถต่อต้านชาวต่างชาติร่างสูงใหญ่สี่คนนั้นได้ ลูกน้องทั้งหมดถูกโยนเกลื่อนอยู่บนพื้นในตรอกหลังโรงแรม
เยี่ยเทียนส่ายหน้า “ไม่ต้องเพิ่มคนแล้ว วันนี้แม่ของผมจะไปนิวยอร์ค คุณให้ลูกน้องช่วยอำนวยความสะดวกให้หน่อย”
“เอ๋? เขาจะไปนิวยอร์คก่อน?” ตู้เฟยได้ยินก็ตะลึง รีบพูดต่อว่า “อย่างนั้นก็ดี ไม่อย่างนั้นหากเกิดเหตุร้ายอะไรขึ้น เกรงว่าเธอจะถูกทำร้ายเอาได้”
เรื่องที่มีชาวต่างชาติสี่คนบุกเข้ามาในโรงแรม ตู้เฟยเองก็ไม่ได้เชื่อในกำลังรบของลูกน้องตนสักเท่าไหร่ หากคนที่บุกเข้ามาเป็นคนของเหลยหู่ละก็ คำโอ้อวดที่เขาเคยคุยไว้กับเยี่ยเทียนคงจะกลายเป็นเรื่องตลก
“แอนนา เดี๋ยวก่อน โทรศัพท์ยืนยันอีกทีหนึ่งก่อน!”
พอวางสายแล้วกริ่งหน้าประตูดังขึ้น พร้อมกับเสียงเปิดประตูห้องนอนของแอนนา เยี่ยเทียนรีบตะโกนห้ามเธอไว้ เพราะเยี่ยเทียนรู้สึกว่าพลังจิตสังหารจากคนเบื้องหลังประตูช่างรุนแรงอันตรายเกินไป พวกเขายังมีอาวุธด้วย
แอนนาต่อสายคุยแล้วก็พยักหน้า “ถูกต้อง เป็นคนของเราเอง!”
“โอ้ แอนนาที่รัก เธอนับวันยิ่งดูมีเสน่ห์มากขึ้นทุกที โอ้ ไม่ไหวแล้ว ฉันอยากได้จะตายอยู่แล้ว!”
พอประตูเปิดออก ชายชาวต่างชาติรูปร่างสันทัดพุ่งตัวเข้าใส่แอนนา กางแขนออกทั้งสองข้าง ต้องการจะรวบกอดตัวเธอไว้
แต่การต้อนรับของแอนนาคือลูกเตะรองเท้าส้นสูงที่พุ่งตรงเข้าใส่เป้ากลางขา คนๆนั้นตกใจจนหุบขาแทบไม่ทัน ร้องตะโกนว่า “แอนนา ฉันยังไม่มีแฟนเลยนะ เธอคงไม่ใจร้ายหรอกใช่ไหม?”
แอนนาถลึงตาใส่ชายหนุ่มคนนั้นอย่างหงุดหงิด “เฟร็ด ในประเทศจีนมีคนจำพวกหนึ่งเรียกว่าขันที ฉันว่า นายคง อยากจะกลายเป็นขันทีซะแล้ว!”
“ขันที ขันทีคืออะไร?” เฟร็ดไม่เข้าใจคำศัพท์ใหม่ ร้องถามอย่างงุนงง
“แล้วเธอเคยได้ยินคำว่ากระเทยของประเทศไทยไหม?”
เยี่ยเทียนก้าวออกมาจากเบื้องหลังของแอนนา “ขันทีน่าจะเป็นไปได้มากกว่ากระเทยนะ หรืออาจจะใช้คำว่าคนแปลงเพศยิ่งเป็นไปได้มากขึ้นอีก”
“คุณเป็นใคร?”
เฟร็ดที่กำลังคุยเล่นหยอกล้อสนุกสนาน พอได้ยินเสียงเยี่ยเทียน ร่างทั้งร่างก็แข็งเกร็งขึ้น ถอยหลังเยื้องไปทางด้านขวาสองก้าวใหญ่ แผ่นหลังติดผนังแล้วใช้มือขวาดึงด้ามปืนที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมา
คนอื่นๆต่างมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน พวกเขากระจายตัวเป็นวงล้อมเยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ตรงกลาง
“ปฏิกริยาเร็วใช้ได้นี่”
เยี่ยเทียนพยักหน้า แม้รูปร่างของทหารในกลุ่มนี้ไม่สูงใหญ่เท่ากลุ่มของมาลาไกย์ แต่หากจะใช้พวกเขาต่อกรกับคนของสมาคมหงเหมินนั้นถือว่าเพียงพอแล้ว การให้มารดาไปกับพวกเขา เยี่ยเทียนสามารถวางใจได้
“หยุดนะ เฟร็ด เขาเป็นลูกชายของเจ้านาย” ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลาย แอนนารีบตะโกนห้ามทัพ แม้ว่าอยากจะให้เยี่ยเทียนสั่งสอนเจ้าเฟร็ดเสียหน่อย แต่มันยังไม่ถึงเวลา
“ลูกชายของเจ้านาย?”
ฟังที่แอนนาพูดแล้ว พวกเขาต่างผ่อนคลายลง โดยเฉพาะเฟร็ด ตอนที่เขาชักปืนออกมานั้น ชายหนุ่มตรงหน้าได้แผ่คลื่นรังสีอำมหิตที่ทำให้เขาใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
พลังงานแบบนี้เมื่อก่อนตอนที่เฟร็ดฝึกทหารอยู่ที่ไซบีเรีย แล้วเกิดตกอยู่ในวงล้อมหมาป่า ก็เกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นเช่นกัน เป็นความรู้สึกที่น่ากลัวจนขนหัวลุก เกือบจะชักปืนออกมา
“เข้ามาให้หมดเถอะ” เยี่ยเทียนมองดูคนทั้งสี่แล้วเดินเข้าไปในห้อง
“อรุณสวัสดิ์ครับเจ้านาย!”
เข้าไปถึงห้องรับแขกแล้ว ซ่งเวยหลันเดินออกมา พวกเฟร็ดเอ่ยคำทักทายนายหญิง ตั้งแต่เป็นทหารปลดประจำการที่ไม่มีอะไรติดตัว ตอนนี้มีชีวิตที่หรูหราได้ก็เพราะนายหญิงผู้นี้มอบให้
“เฟร็ด ทำไมมีแค่พวกเธอสี่คนเองเล่า?” ซ่งเวยหลันขมวดคิ้วถาม
“เจ้านายครับ ถ้าทั้งยี่สิบแปดคนมากันหมด คนมันจะเยอะเกินไป ดังนั้นมีแค่พวกเราสี่คนที่มารับท่านครับ!” ต่อหน้าซ่งเวยหลัน เฟร็ดเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน เขาทั้งสุขุมเยือกเย็นดูต่างกับเฟร็ดคนเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง
ซ่งเวยหลันพยักหน้าเห็นด้วย “ดี รอฉันไปแล้ว พวกนายทั้งสี่คนก็ไปติดตามเยี่ยเทียน!”
“ครับ!” พวกเฟร็ดรับคำแข็งขัน ใช้สายตาสงสัยประเมินเยี่ยเทียนดูคราวหนึ่ง พวกเขาไม่ค่อยเชื่อว่ากระแสอันตรายที่รู้สึกนั้นจะถูกส่งมาจากตัวเยี่ยเทียน
“แอนนา เก็บของเสร็จเรียบร้อยหรือยัง? ฉันจะลงไปส่งพวกเธอก่อน!”
งานประชุมสมาคมหงเหมินใกล้เข้ามา ตอนนี้ในซานฟรานซิสโกทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกเหมือนอยู่ในถังระเบิด ซ่งเวยหลันอยู่ต่ออีกวันก็ยิ่งเพิ่มความอันตรายมากขึ้น ขอแค่มารดาออกจากที่นี่ไปแล้ว เยี่ยเทียนจะได้ตั้งใจลงมือต่อกรกับเหลยเจิ้นเยวี่ยพ่อลูกเสียที
ตอนที่ 595 สมรู้ร่วมคิด
โดย
Ink Stone_Fantasy
ย่านไชน่าทาวน์ในซานฟรานซิสโกมีบ้านที่สร้างคล้ายเรือนสี่ประสานเรียงกันอยู่เป็นแถว พื้นที่โดยรวมทั้งหมดหลายพันตารางเมตร บ้านเก่าเหล่านี้ถูกห้อมล้อมด้วยร้านค้าแผงลอยมากมาย
เสียงโหวกเหวกซื้อขายต่อรองราคาดังขึ้นจากภายนอก ในเรือนสี่ประสานกลับเงียบสงบ บรรดาผู้เฒ่าผมขาวออกมานั่งสุมหัวกันโขกหมากรุก
มุมด้านตะวันออกมีบ้านหลังใหญ่ มีคนหนุ่มจำนวนเกือบร้อยกำลังฝึกฝนกันอย่างแข็งขัน ส่งเสียงอย่างพร้อมเพรียงกันดัง “ฮ่า…ฮ่า” ที่นี่เป็นตำหนักอาญาของสมาคมหงเหมิน
ชายวัยสี่สิบเศษรูปร่างสูงใหญ่กำลังเดินเข้าไปใกล้กลุ่มคนหนุ่มเหล่านั้น ดูท่าทางของบางคนที่ออกท่าทางไม่ถูกต้องแล้วเข้าไปสั่งสอนโดยใช้เท้าเตะหรือใช้มือดัน พอมีคนล้มคนหนึ่งจะมีเสียงหัวเราะตามมา
“ท่านหู่ โทรศัพท์ครับ คุณชายซ่งโทรมา!” ลูกน้องหนุ่มสวมชุดสูทหนังที่ดูแตกต่างจากคนอื่น ค่อยๆเดินเข้ามาหาชายวัยกลางคน
“เหวินกวง เจ้านั่นไม่ได้กลัวว่าการทรยศหักหลังของเขาจะถูกคนตระกูลซ่งจับได้ใช่ไหม?”
เหลยหู่ยิ้มเย็น พูดว่า “ตอนจะไปก็รีบๆร้อนๆ เหมือนกลัวว่าจะถูกโยงว่าเกี่ยวข้องกับสมาคมหงเหมินของเรา ทำไมอยู่ๆถึงโทรมาอีก?”
เหลยหู่รูปร่างสูงใหญ่เหมือนผู้เป็นบิดา ความสูงน่าจะประมาณ190เซนติเมตร แต่หน้าตาคมคายด้วยจมูกโด่งงองุ้มเหมือนเหยี่ยว ทำให้ไม่รับกับท่าทางหยากร้านของเขาเลย มองดูแล้วให้ความรู้สึกว่าเขาเป็นคนเลือดเย็นอำมหิต
แต่ ณ ตอนนี้เหลยหู่กำลังอยู่ในช่วงวัยที่แข็งแรง มีชีวิตมั่นคงและหวังถึงความเจริญรุ่งเรือง เนินข้างขมับทั้งสองนูนเด่น แววตามีประกายเข้มแข็ง ทำให้คนอื่นๆมักหลบสายตา อิริยาบถการเคลื่อนไหวแสดงว่าเคยฝึกกำลังภายใน
เขายืนอยู่ต่อหน้าคนในสำนักนับร้อย ให้ความรู้สึกราวกับเขาเป็นพญาอินทรีย์ในฝูงนกกา เรือนอันโอ่โถงแห่งนี้ดูไม่เพียงพอจะรองรับต่อความทะเยอทะยานของเขาได้เลย
“ท่านหู่ เจ้านั่นมันสารเลวขนาดนี้ยังอยากจะตั้งตัวเป็นใหญ่อีก เขาไม่เห็นมีอะไรดีสักอย่าง”
ลูกน้องหนุ่มข้างกายเหลยหู่แต่งตัวด้วยชุดสากล แต่เมื่อเอ่ยปากพูดล้วนเป็นถ้อยคำหยาบช้าทั้งนั้น ดูราวกับคนที่ไม่มีการศึกษา
“ฮ่าฮ่า เหวินกวง ฉันชอบคำพูดแกนะ…”
เหลยหู่ฟังจบก็หัวเราะออกมา ตบบ่าลูกน้องเบาๆ ตอบว่า “แกนี่ต่างกับพวกคนมีการศึกษามากจริงๆ สมแล้วที่เป็นศิษย์ของสำนักเรา”
ชายหนุ่มคนนี้ชื่อเผิงเหวินกวง พ่อของเขาเคยเป็นนักรบแนวหน้าของตำหนักอาญา สิบกว่าปีก่อนได้ต่อสู้เพื่อแย่งชิงพื้นที่จนถูกแทงทั่วร่างมากถึงสิบแปดแผลจนเสียชีวิต เผิงเหวินกวงจึงเติบโตขึ้นด้วยการเลี้ยงดูของคนในสมาคมหงเหมิน
เขาต่างจากสมาชิกคนอื่นๆที่ชอบฝึกดาบฝึกกระบอง เผิงเหวินกวงตั้งใจศึกษาเล่าเรียนตั้งแต่เด็ก ต่อมาสอบเข้ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สาขากฎหมายได้ เมื่อเรียนจบแล้วก็ติดตามเหลยหู่ จนกลายเป็นสมาชิกรุ่นใหม่ที่มีความสามารถสูงคนหนึ่ง
แต่ด้วยความที่โตมาในสังคมชั้นล่าง เผิงเหวินกวงแม้ภายนอกจะดูเหมือนบัณฑิตทรงภูมิ หากแต่เวลาเอ่ยถ้อยคำออกมานั้นกลับฟังดูเหมือนคนชั้นล่างที่ไม่เคยเรียนหนังสือ เขาเป็นที่ชื่นชอบของเหลยหู่มาก
เมื่อเดินเข้าไปในโถงด้านในแล้วเหลยหู่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย “เสี่ยวหลง ไม่ใช่ว่าช่วงนี้ไม่ให้ติดต่อกันหรอกหรือ? ทำไมนายถึงโทรมาหาลุงหู่ได้เล่า?”
แม้เลือกที่จะร่วมมือกับซ่งเสี่ยวหลง แต่กับคนที่มีใจคิดทรยศอย่างซ่งเสี่ยวหลงแล้ว เหลยหู่ยังรู้สึกดูถูกดูแคลน เพราะการกระทำเยี่ยงนี้เป็นกฎข้อห้ามของสมาคมหงเหมิน
“ลุงหู่ ได้ยินว่าอาหญิงของผมไปถึงซานฟรานซิสโกแล้วหรือ?”
เสียงของซ่งเสี่ยวหลงแหบต่ำ ดูท่าเขาน่าจะไปถึงที่แอฟริกาที่อากาศร้อนระอุแล้ว ตอนกลางคืนเขาเปิดเครื่องปรับ อากาศเย็นเกินไปจึงเป็นหวัดเล็กน้อย
“เรื่องนี้ฉันรู้แล้ว พี่หลันพักอยู่ที่โรงแรมฮิลตัน”
ในซานฟรานซิสโกไม่มีเรื่องไหนจะรอดพ้นสายตาของคนในสมาคมหงเหมินไปได้ ตั้งแต่ซ่งเวยหลันลงจากเครื่องบิน เหลยหู่ก็ทราบข่าวทันที แต่เขาคิดไม่ถึงว่าตู้เฟยจะไปรับซ่งเวยหลันด้วยตัวเอง ทำให้แผนการของเขาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเล็กน้อย
ความจริงแล้วซ่งเวยหลันและเหลยหู่รู้จักกันมายี่สิบกว่าปีแล้ว เขาอ่อนวัยกว่าเธอไม่กี่ปี จึงเรียกว่าพี่หลันจนชินแล้ว
“ลุงหู่ แล้ว…ถ้างั้นทำไมลุงไม่รับอาหญิงไปที่สมาคมหงเหมินเสียเลย?”
เสียงของซ่งเสี่ยวหลงฟังดูสั่นคลอน เขารู้ดีว่าซ่งเวยหลันมีอำนาจในหมู่ตระกูลซ่งที่อยู่ต่างประเทศ ถ้าเธอไปที่นิวยอร์คได้ การก่อความวุ่นวายครั้งนี้ก็จะถูกเธอกำราบลง
แม้เงินจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์จะอยู่ในมือ แต่เขายังต้องแบ่งให้เหลยหู่ครึ่งหนึ่ง? อีกทั้งในมือของซ่งเวยหลัน ยังกุมทรัพย์สินเอาไว้อีกหลายแสนล้าน
ซ่งเสี่ยวหลงตระเตรียมคนเอาไว้แล้ว พร้อมที่จะเข้าควบคุมกิจการที่ซ่งเวยหลันสร้างมาทั้งหมดได้ทุกเมื่อ แน่นอนว่าต้องให้เหลยหู่ควบคุมตัวซ่งเวยหลันเอาไว้และบีบบังคับให้เธอลงชื่อในเอกสารโอนหุ้นทั้งหมดให้ได้เสียก่อน
“ฉันจะทำอะไร ต้องให้นายสอนด้วยเหรอ?”
ฟังซ่งเสี่ยวหลงพูดจบเหลยหู่หัวเราะเสียงเย็น “เสี่ยวหลง เรื่องบางเรื่องน่ะใจร้อนไม่ได้ พี่หลันเป็นใคร? ถ้าเรื่องที่ฉันไปกักตัวเธอแพร่งกระจายออกไปละก็ จะต้องส่งผลต่อสังคมชั้นสูงในอเมริกาแน่นอน”
“แต่ว่าลุงหู่ โอกาสหาได้ยากนะ ถ้าอาหญิงไปถึงนิวยอร์คแล้ว เรื่องที่พวกเราลงทุนลงแรงไปตอนแรกก็จะเสียเปล่านะ อีกอย่าง อีกอย่างเงินก้อนนั้นผมก็โอนไปให้ลุงไม่ได้ด้วย”
ซ่งเสี่ยวหลงร้อนใจ จึงหลุดปากพูดคำข่มขู่ออกไป เงินก้อนที่ว่าเป็นเงินทุนมูลค่าสูงถึงเกือบหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐจะตกอยู่ในมือเขาทั้งหมด คนแซ่เหลยจะไม่ได้ส่วนแบ่งสักบาท
“เอ๋? เสี่ยวหลง นี่นายกำลังขู่ฉันเหรอ?” เหลยหู่หน้าหักลง น้ำเสียงเรียบเย็นกว่าตอนแรก
ซ่งเสี่ยวหลงรู้ตัวว่าเขากำลังพูดจาล่วงเกิน จึงรีบอธิบาย “ผมมีหรือจะกล้า? ลุงเหลย ถ้าอาหญิงพูดให้คนในสำนักงานให้ความร่วมมือในการสืบสวนได้สำเร็จ เป็นไปได้จะทำการแช่แข็งเงินก้อนนั้นไว้ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วผมจะเอาเงินที่ไหนส่งให้ลุงละครับ?”
สิ่งที่ซ่งเสี่ยวหลงพูดเป็นความจริง ถึงแม้การกระทำของเขาในครั้งนี้เกือบจะไม่มีช่องโหว่ แต่เงินเป็นพันเป็นหมื่นล้านนั่นไม่ได้อยู่ๆก็หายไปเฉยๆ แต่ผ่านการค่อยๆโอนออกไปทีละไม่มากจนหมด
แต่ด้วยเวลาอันสั้น เงินก้อนนี้ยังสามารถสืบหาเบาะแสได้ ด้วยชื่อเสียงและเส้นสายของซ่งเวยหลันในอเมริกา ไม่แน่ว่าอาจจะตามเงินคืนมาได้ทั้งหมด
“ยังมีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?”
เหลยหู่ชะงักไป หันไปมองเผิงเหวินกวงทีหนึ่ง เห็นเผิงเหวินกวงพยักหน้าให้ สีหน้าจึงดูผ่อนคลายลงบ้าง ตอบกลับว่า “เอาล่ะ เรื่องนี้ฉันรู้แล้ว นายวางใจเถอะ พี่หลันออกไปจากซานฟรานซิสโกไม่ได้แน่นอน!”
“เหวินกวง เจ้านั่นมันพูดจริงหรือ?” ในสมาคมหงเหมินมักจะใช้โทรศัพท์แบบนี้คือ เสียงจากปลายสายฝ่ายตรงข้ามจะดังอย่างชัดเจน เหลยหู่รู้ว่าเผิงเหวินกวงต้องได้ยิน
“ก็อาจมีความเป็นไปได้”
เผิงเหวินกวงพยักหน้า ถามต่ออย่างกังขาว่า “ท่านหู่ ทำไมท่านถึงไม่ควบคุมตัวซ่งเวยหลันไว้ตั้งแต่ลงจากเครื่องบินเสียเลยเล่า? ท่านตู้คงจะไม่กล้าหาเรื่องท่านหรอกครับ?”
เหลยหู่ส่ายหัวตอบว่า “พี่เฟยกับฉันครอบครัวเราสนิทกันมาก ฉันไม่อยากให้เรื่องนี้ทำให้ขัดแย้งกับเขา”
แม้ว่าตู้เฟยจะออกจากสมาคมหงเหมินไปสิบกว่าปี แต่พวกลูกน้องสมัยตอนที่บิดาของตู้เฟยนั่งตำแหน่งหัวหน้าใหญ่ ตอนนี้ต่างมีอิทธิพลเข้มแข็งในสมาคมหงเหมินกันเสียส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นกำลังที่ไม่อาจประมาทได้
แม้เหลยหู่จะไม่ได้เกรงกลัวตู้เฟย การต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งกำลังอยู่ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ การผลักดันให้ตู้ เฟยกลายจากมิตรเป็นศัตรูหรือยิ่งไปกว่านั้นคือการทำให้เรื่องราวใหญ่โต อาจจะหนีไม่พ้นหูพ้นตาของเหลยเจิ้นเยว่
“ท่านหู่ แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรดี?” เผิงเหวินกวงถาม
“ทำยังไง? ยังต้องถามอีกเหรอ?”
เหลยหู่หรี่ตาลงพูดต่อว่า “ให้อาหงพาคนห้าสิบคนไป ยับยั้งพี่หลันเอาไว้ให้ได้…”
ปกติเหลยหู่เป็นคนไม่ค่อยมีน้ำใจอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นคงจะไม่ปิดบังบิดาของตนกับซ่งเสี่ยวหลงถึงแผนการกักตัวซ่งเวยหลันเอาไว้
ตอนแรกเพราะเห็นแก่หน้าของตู้เฟย เหลยหู่ไม่อยากทำเรื่องเกินเลย แต่ถ้ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินจำนวนมหาศาลนั้น เขาก็จะไม่สนใจคนอื่นแล้ว ถ้าไม่มีเงิน คำสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะกับเหล่าสมาชิกในสมาคมหงเหมินที่ตนเคยให้ไว้จะกลายเป็นแค่เรื่องน่าขันในสายตาของคนอื่น
เห็นเผิงเหวินกวงรับคำแล้วหันหลังจะเดินออกไป แต่ถูกเหลยหู่เรียกเอาไว้พูดว่า “ใช่แล้ว ให้อาหงพาคนไป ขอแค่อย่าทำร้ายคนในสมาคมหงเหมิน ส่วนคนอื่นที่อยู่กับพี่หลันนั้นไม่ต้องเกรงใจ”
หลังจากเรื่องนี้จบลง สมาคมหงเหมินกับตระกูลซ่งจะไม่ได้ญาติดีกันอีก เหลยหู่ไม่สนใจว่าจะลงมือเหี้ยมโหดเกินไป
คำโบราณว่าไว้ บัณฑิตได้พบกับทหารแล้วหลักการต่างๆจะอธิบายไม่ออก เหลยหู่เดิมเป็นนักเลงเก่า เขาไม่ได้คิดถึงผลกรรมที่จะได้รับจากสิ่งที่ทำกับซ่งเวยหลัน บนโลกนี้มีคนอยากให้เขาตายอีกมาก แต่เขาก็ยังใช้ชีวิตเสพสุขอย่างดีอยู่ไม่ใช่หรือ?
………………-
“เจ้านาย ข้างนอกปลอดภัยดีครับ!”
ขณะที่เหลยหู่กำลังออกคำสั่ง ทางกลุ่มของซ่งเวยหลันก็กำลังออกจากห้องสูทของโรงแรม แต่พวกเขาไม่ได้ลงลิฟท์ไปที่ชั้นล่างเหมือนเคย แต่ไปที่ชั้นสี่ แล้วเปลี่ยนไปใช้ลิฟท์พนักงาน และออกจากโรงแรมไปทางประตูด้านหลัง
รถเบนซ์ที่ดูธรรมดาคันหนึ่ง แต่ติดตั้งกระจกกันกระสุนและตัวถังรถเป็นเหล็กกล้าหนาจอดเทียบท่ารอยู่ที่ประตูหลังของโรงแรม ห่างจากรถคันนั้นไปสิบกว่าเมตรมีกลุ่มชายฉกรรจ์เจ็ดแปดคนที่ใบหน้าบวมแดงยืนดูอยู่
ภายใต้การคุ้มครองของพวกเฟร็ด ซ่งเวยหลันและแอนนาขึ้นไปนั่งบนรถเบนซ์แล้ว
“คุณชายน้อย…” เสียงที่เรียกทำเอาเยี่ยเทียนที่กำลังจะก้าวขาขึ้นรถรีบหดขากลับแทบไม่ทัน
“คุณชายน้อย ผมเป็นคนไม่เอาไหน คนของเหลยหู่กำลังมาที่นี่ คุณหนีไปหลบที่นิวยอร์คก่อนก็ดี”
ต่อหน้าเยี่ยเทียนตู้เฟยแสดงสีหน้าละอายใจอย่างสุดซึ้ง ในดวงตาปรากฏแววของความผิดหวัง เขาคิดว่าเยี่ยเทียนจะเปลี่ยนใจติดตามซ่งเวยหลันไปด้วย
แม้ตู้เฟยจะไม่ได้ตั้งความหวังเรื่องตำแหน่งหัวหน้าสมาคมหงเหมินมากนัก แต่คำพูดของเยี่ยเทียนกลับทำให้เขาเกิดความคิดใหม่ขึ้นมา แต่ถ้าตอนนี้เยี่ยเทียนจากไป เขาก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว
“ผมไม่ไปหรอก รอให้ผมส่งแม่เสร็จก่อน แล้วผมจะกลับมา”
เยี่ยเทียนมองดูตู้เฟย แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ที่นี่อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว คุณช่วยหาที่อยู่ใหม่ให้ผมที คืนนี้ผมค่อยโทรหาคุณ”
ตอนที่ 596 สมาคมหงเหมิน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ได้ ถ้างั้นผมไปส่งพวกคุณด้วย!”
พอได้ยินว่าเยี่ยเทียนบอกว่าจะไม่ไปแล้ว ตู้เฟยรู้สึกปลื้มใจ เฟร็ดขึ้นไปนั่งบนที่คนขับแล้ว ตู้เฟยจึงตามขึ้นไปนั่งที่ข้างคนขับด้วย ส่วนลูกน้องคนอื่นๆจะนั่งไปกับรถของตู้เฟยแทน
ซอยเล็กๆ ที่มุ่งออกจากโรงแรมฮิลตัน รถเบนซ์ตรงไปที่สนามบินร้างแห่งหนึ่งในซานฟรานซิสโก คนที่คอยดูแลความปลอดภัยของซ่งเวยหลันนั้น ตอนนี้ต่างคอยอยู่ที่นั่นแล้ว
แต่เมื่อรถออกจากเขตใจกลางเมืองมาถึงถนนสายหนึ่งในเขตย่านชานเมือง มีรั้วไม้ที่มีโซ่พันไว้กั้นถนนอยู่
“เจ้านาย ข้างหน้ามีคนซ่อมถนนกั้นทางไว้!” เฟร็ดเห็นรั้วนั้นแล้วขมวดคิ้วแสดงท่าทางตึงเครียดขึ้นทันที
“ตู้เฟย สมาคมหงเหมินของคุณน่ะช่างรู้ข่าวได้รวดเร็วจริง? ถึงกล้ามาสร้างรั้วขวางถนนเอาไว้แบบนี้?”
เยี่ยเทียนพูดเย้าหยอกตู้เฟยที่ตอนนี้โกรธจนหน้าแดงแล้วตะโกนสั่งว่า “พุ่งเข้าไปเลย!”
“โอ้ว ท่านคิดเหมือนกับผมเลยครับ เจ้านาย พวกคุณนั่งดีๆนะครับ!”
เฟร็ดผิวปาก เท้าขวากระทืบคันเร่ง พร้อมกับมือขวากดปุ่มปุ่มหนึ่งที่แผงหน้าปัดแสดงอัตราความเร็วตรงหน้า
ด้านท้ายของรถเบนซ์เปิดออก ท่อไอเสียด้านหลังทั้งสองด้านจู่ๆก็มีไฟพุ่งออกมา ตัวรถพุ่งไปข้างหน้าราวกับติดจรวด
ร้อยหกสิบ ร้อยเจ็ดสิบ สองร้อยสี่สิบ ความเร็วของรถเบนซ์ยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ จนกระทั่งรถพุ่งเข้าชนกับรั้วไม้ที่ถูกสร้างไว้ลวกๆอย่างแรง
“ปัง” เสียงดังสนั่น
แต่คนที่นั่งอยู่บนรถกลับรู้สึกเหมือนตัวรถกระทบเพียงเบาๆ เศษรั้วไม้ขาดกระเด็น ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างรั้วไม้อีกสิบกว่าคนกระโดดหลบแทบไม่ทัน
“ฮ่าๆ มันส์ดีจริงๆ!”
เฟร็ดหัวเราะเสียงดังอย่างสะใจ สิ่งที่เขาฝึกทหารในไซบีเรียมาคือเทคนิคการสังหาร แต่สุดท้ายกลับได้รับมอบหมายให้ดูแลความปลอดภัยเป็นงานหลักเสียได้ ปกติแล้วก็ไม่ค่อยได้พบกับอันตรายสักเท่าไหร่
ความรู้สึกที่รถเบนซ์กำลังพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งทำให้แอนนาเอ่ยเตือน “เฟร็ด เจ้านายยังนั่งอยู่บนรถนะ!”
“โอ้ เจ้านายยังนั่งอยู่ด้วย ผมเกือบลืมเสียสนิท!”
เฟร็ดถูกแอนนาตักเตือนแล้วตกใจ รีบลดระดับความเร็วลง แต่ยังคงความเร็วไว้อยู่ที่สองร้อยสี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถยนต์เข้ามาจอดในเขตสนามบินที่มีรั้วลวดหนามรายล้อม ที่นี่เป็นสนามบินเก่าของทหาร หลังจากถูกปล่อยทิ้งร้างแล้วได้มีพวกมหาเศรษฐีจำนวนมากเข้ามาปรับปรุงเพื่อใช้เป็นสนามบินพลเรือน
ที่นี่มักจะมีการซ่อมบำรุงลานบินอยู่เรื่อยๆ แต่ทั้งสองข้างทางกลับมีหญ้าขึ้นรกชัฏ บางจุดกอหญ้าสูงเลยท่วมหัว เยี่ยเทียนรู้สึกว่า ในกอหญ้าเหล่านั้นต้องมีคนซ่อนตัวอยู่ยี่สิบกว่าคนได้
เฟร็ดขับรถเข้าไปทางลานบิน ตรงนั้นมีเครื่องบินส่วนตัวของซ่งเวยหลันจอดรออยู่
“พี่น้องทุกคน ออกมาได้แล้ว!”
“เมื่อเฟร็ดหยุดรถลงแล้วให้สัญญาณ กอหญ้ารอบด้านทั้งหมดมีคนออกมามากว่ายี่สิบคน ทุกคนถือปืนกลเอาไว้ในมือ เดินล้อมเข้ามาใกล้กับรถเบนซ์
ที่สนามบินมีการเตรียมความพร้อมไว้หมดแล้ว ตั้งแต่รถยนต์ขับเคลื่อนเข้ามา ใบพัดเครื่องบินก็เริ่มหมุนทำงาน แค่รอให้ซ่งเวยหลันขึ้นเครื่องเท่านั้นก็สามารถออกเดินทางได้ทันที
เยี่ยเทียนเห็นมารดาพอลงจากรถก็ไม่ยอมขึ้นเครื่องเสียที เขายิ้มเอ่ยปลอบมารดาว่า “แม่ แม่ไปก่อนเถอะครับ ผมอีกสิบกว่าวันจะไปหาแม่ที่นิวยอร์คเอง!”
“จ้ะ ลูก ถ้าพวกนั้นกล้าทำร้ายลูก แม่จะให้พวกมันต้องชดใช้!”
แววตาของซ่งเวยหลันปรากฏความเหี้ยมโหดขึ้นแวบหนึ่ง การกั้นทางเมื่อครู่ทำให้เธอได้รู้ว่าตระกูลเหลยกับเธอไม่มีทางญาติดีต่อกันได้อีก
“ทำร้ายผม?”
เยี่ยเทียนหัวเราะเสียงเย็น “นอกเสียจากพวกเขาจะยกกองทัพมา ไม่อย่างนั้นมีแค่พวกลูกน้องปลายแถว จะทำอะไรผมได้?”
ตอนนี้เยี่ยเทียนฝึกวิชากังฟูจนถึงขั้นหลอมปราณสู่จิตได้แล้ว ไม่ว่าจะทั้งลมปราณหรือพละกำลังต่างปลอดโปร่งเข้มแข็งเกินธรรมดา หากมีใครเข้ามาปองร้าย เยี่ยเทียนจะสัมผัสความรู้สึกได้ก่อนเสมอ
เมื่อมีสัญชาตญาณเตือนภัย เยี่ยเทียนถึงไม่กล้าพูดได้เต็มปากว่าไม่มีคู่แข่ง แต่ถ้าเขาอยากจะหลบหนี บนโลกนี้ก็ไม่มีใครจับตัวเขาได้
“คุณชายน้อย ให้แม่ของคุณรีบไปเถอะ!”
ตู้เฟยฟังคำพูดของเยี่ยเทียนแล้วหน้าแดงขึ้นมา ความจริงแล้วคนของเหลยหู่ที่ส่งมาแต่ละคนถือเป็นระดับชั้นแนวหน้าทั้งนั้น แต่เยี่ยเทียนยังบอกว่าพวกนั้นเป็นแค่ลูกน้องปลายแถว
“อืม” เยี่ยเทียนพยักหน้า หันไปพูดกับมารดาว่า “แม่ เมื่อแม่ไปแล้ว ผมไม่มีอะไรต้องห่วงอีก รีบขึ้นเครื่องเถอะครับ!”
“จ้ะ ลูก แม่ไปละ” ซ่งเวยหลันรู้ว่าขืนเธออยู่ต่อไปมีแต่จะเป็นตัวถ่วงให้บุตรชาย จึงไม่ได้เอ่ยอะไรอีก พาแอนนาเดินขึ้นเครื่องบินไป”
นอกจากซ่งเวยหลันและแอนนาแล้ว กลุ่มคนที่ยืนรายล้อมรอบเครื่องบินอยู่นั้น ได้เดินตามขึ้นเครื่องไปด้วย มีเพียงเฟร็ดและพวกอีกสามคนที่วิ่งกระจายออกไปโดยรอบเพื่อสำรวจความปลอดภัย
เมื่อประตูห้องโดยสารเครื่องบินปิดลง เสียงคำรามของเครื่องยนต์ทำงานดังมากขึ้นแล้วเริ่มออกวิ่งไปบนรันเวย์จนบินขึ้นสู่ฟากฟ้า
เยี่ยเทียนมองดูเครื่องบินส่วนตัวของมารดาค่อยๆบินสูงขึ้นไปจนลับสายตา เขาจึงถอนใจอย่างโล่งอก หันกลับมาพูดกับตู้เฟยว่า “กับทางนั้นได้ตัดขาดญาติมิตรไปแล้ว คุณยังจะเอ่ยถึงความสัมพันธ์ในฐานะศิษย์ร่วมสำนักอีกเหรอ?”
การขัดขวางการเดินทางของเหลยหู่เมื่อครู่ทำให้เยี่ยเทียนเกิดความอาฆาต แม้เขากับสมาคมหงเหมินจะเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นแฟ้น แต่เขายังไม่ได้เข้าร่วมอย่างเป็นทางการ อีกอย่างเยี่ยเทียนยังไม่เคยติดต่อกับสมาคมหงเหมินเลยสักครั้ง จึงไม่ได้รู้สึกผูกพันแต่อย่างใด
“คุณชายน้อย คนของเหลยหู่สร้างเครื่องกำบังถนน ไม่น่าจะมีจุดประสงค์ต้องการทำร้ายเวยหลันหรอก ผมว่า คุณเข้าร่วมสมาคมหงเหมินก่อน แล้วค่อยจัดการเรื่องนี้ทีหลัง!”
ตู้เฟยถอนใจ เขาไม่พอใจการกระทำของเหลยหู่เป็นอย่างมาก แต่เมื่อคิดถึงวิธีการอันเหี้ยมโหดของเยี่ยเทียนแล้ว เขาคงทำได้แต่ห้ามปราม ไม่เช่นนั้นเยี่ยเทียนคงจะฆ่าล้างสมาคมหงเหมินจนเลือดไหลนองเป็นสายน้ำแน่
“เจ้านายครับ เจ้านายใหญ่ให้พวกผมติดตามเจ้านาย ขอถามหน่อยครับว่าท่านอยากจะเน้นย้ำอะไรเป็นพิเศษไหมครับ?”
เยี่ยเทียนยังไม่ทันออกปาก พวกเฟร็ดก็เดินเข้ามารุมล้อมเยี่ยเทียน จ้องมองเยี่ยเทียนอย่างตื่นเต้น ถ้าเทียบกับลูกน้องคนอื่นๆที่ติดตามนายใหญ่ไปบนเครื่องบินลำนั้น พวกเขาอยากจะอยู่ในเมืองนี้เพื่อหาเรื่องสนุกๆทำมากกว่า
“ถ้าไม่มีอะไรก็อยู่ห่างๆ ฉันหน่อย ระยะห่างซักห้าสิบเมตร…”
เยี่ยเทียนตอบส่งๆไปเหมือนครั้งนั้นที่บอกกับมาลาไกย์ พอนึกได้ว่าตอนนี้เขาอยู่ต่างประเทศจึงหยุดพูดต่อ
“พวกนายติดตามฉันก็พอแล้ว อย่าไปก่อเรื่องอะไรก็พอ!”
เยี่ยเทียนคิดใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วหันไปหาตู้เฟย “ช่วยจัดหาบ้านที่สงบให้ผมสักหลัง ก่อนที่ผมจะเข้าร่วมสมาคมหงเหมิน หวังว่าจะไม่มีใครมารบกวนผมได้ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าผมไม่ระวังลงมือทำร้ายคน!”
ศิษย์สำนักของสมาคมหงเหมินมีอยู่ทั่วไปตามประเทศต่างๆ ถ้าไม่เกิดเรื่องจวนตัวหรือเหตุสุดวิสัย เยี่ยเทียนไม่อยากจะก่อความขัดแย้งเป็นอริกับใคร หากสามารถแอบจัดการพ่อลูกแซ่เหลยได้ละก็ เขาจะต้องลงมือแน่นอน
“คุณชายน้อย คุณไปพักที่บ้านของผมแล้วกัน ต่อให้เหลยหู่วางก้ามใหญ่โตขนาดไหน เขาก็ไม่กล้าบุกเข้าไปในบ้านของผมหรอก!”
ตู้เฟยเป็นถึงระดับเจ้าตำหนักอันดับสามในสมาคมหงเหมิน แม้อำนาจในมือมีไม่เทียบเท่าเหลยเจิ้นเยวี่ยกับเหลยหู่ แต่ด้วยสถานะของเขาเหลยหู่ไม่กล้าล่วงเกิน
รถยนต์วิ่งกลับทางเก่า ซึ่งแน่นอนว่าความเร็วไม่เท่ากับตอนขามา ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเศษได้มาถึงเขตตัวเมืองอีกครั้ง และหยุดลงบนถนนในไชน่าทาวน์แห่งเมืองซานฟรานซิสโก
“คุณชายน้อย เราเดินเข้าไปกันเถอะ ที่นี่เป็นถนนคนเดิน ไม่อนุญาตให้รถเข้า!”
ด้านหลังของถนนไชน่าทาวน์ มีทางให้รถผ่านเข้าออกได้ แต่ที่นั่นมีคนของตำหนักอาญาคุมอยู่ ตู้เฟยกลัวจะเกิดเหตุที่ทำให้เยี่ยเทียนมีเรื่องกับคนพวกนั้น
“ได้ ผมยังไม่เคยมาที่ถนนไชน่าทาวน์เลย” เยี่ยเทียนพยักหน้า เปิดประตูลงจากรถ ย่านไชน่ทาวน์ของซานฟรานซิสโกมีประวัติยาวนานเป็นร้อยปีแล้ว
จากคนงานเหมืองทองกับคนงานสร้างถนนที่ถูกดูถูกเหยียบย่ำจนถึงการเป็นผู้ครอบครองกิจการใต้ดินในเมือง มีคนเชื้อสายจีนจำนวนไม่น้อยที่ต้องเสียสละชีวิตของตัวเอง
ดังนั้นการพัฒนาสถานที่นี้ด้วยหยาดเหงื่อและเลือดเนื้อนี้ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกเลื่อมใส ย่านไชน่าทาวน์ยังคงเป็นสถานที่ที่ยังสืบทอดร่มเงาของคนเชื้อสายจีนในต่างประเทศอยู่เสมอ
เดินไปถึงถนนสายหนึ่งที่ไม่ได้กว้างมาก เยี่ยเทียนรู้สึกเหมือนกลับไปอยู่ในประเทศจีนอีกครั้ง สองหูได้ยินเสียงภาษาจีนแมนดารินที่คุ้นเคย ป้ายร้านค้าสองข้างทางเต็มไปด้วยอักษรภาษาจีนอันคุ้นตา
“เอ๋? ร้านเก่าแก่ยังมีมาเปิดที่นี่ด้วยหรือ?”
เบื้องหน้าเยี่ยเทียน มีป้ายชื่อร้านขายยาแห่งใหญ่ที่มีชื่อเสียง ตัวอักษรสีทองโดดเด่นเขียนว่า “ถงเหรินถัง” มองดูพนักงานในร้านที่ต่างวุ่นอยู่กับงาน กิจการค้าขายดูท่าทางไม่เลวเลย
“คุณชายน้อย ห้างร้านใหญ่ๆในเมืองจีน ที่ไชน่าทาวน์แห่งนี้มีทุกร้าน ที่นี่ยังมีอาหารของกินเล่นที่เป็นอาหารพื้นเมืองจากเมืองต่างๆในจีน ถ้าคุณเกิดอยากกินอะไรก็มีทั้งนั้น”
ตู้เฟยหัวเราะกับคำถามไร้เดียงสาของเยี่ยเทียน คล้ายกับว่าคนจีนที่มาที่ไชน่าทาวน์แห่งนี้เป็นครั้งแรก จะต้องแสดงสีหน้าท่าทางแบบเยี่ยเทียนทุกคน
“ในต่างประเทศต่อให้ทำแบบต้นตำรับแล้ว เกรงว่ารสชาติก็ยังสู้ในประเทศจีนไม่ได้”
เยี่ยเทียนส่ายศีรษะมองดูคนต่างชาติที่เดินเข้าออกร้านอาหารจีนที่ตั้งเรียงรายอยู่ วัฒนธรรมอาหารจีนนั้นละเอียดอ่อนและประณีต แม้แต่ในประเทศจีนเองยังแบ่งอาหารเป็นประเภทต่างๆ แล้วจะให้ร้านอาหารในไชน่าทาวน์ที่ทำลอกเลียนแบบได้เหมือนได้อย่างไร?
เยี่ยเทียนเดินไปเรื่อยๆยังคันพบอีกว่า มักมีคนหนุ่มที่สวมเสื้อจีนแบบสั้นหลายคนที่โค้งคำนับให้กับตู้เฟย
คนพวกนี้ยืนห่างจากร้านค้าออกมาเจ็ดแปดเมตร น่าจะเป็นคนที่สมาคมหงเหมินส่งมาเพื่อให้ความคุ้มครองร้านค้า ไชน่าทาวน์ที่คึกคักมีชีวิตชีวานี่ยังต้องอาศัยความช่วยเหลือจากสมาคมหงเหมิน
ตู้เฟยพาเยี่ยเทียนเดินไปสักระยะหนึ่ง แล้วเลี้ยวเข้าไปในตรอกเล็กข้างทาง เพื่อเดินเข้าไปสู่ซุ้มประตูหิน เรือนสี่ประสานหลายหลังเรียงรายอยู่เบื้องหน้าเยี่ยเทียน
“ที่นี่เป็นศูนย์กลางของสมาคมหงเหมินใช่ไหม?”
สมาคมหงเหมินสามารถสร้างเรือนสี่ประสานในรูปแบบเดียวกับในเมืองปักกิ่งเก่าได้ เยี่ยเทียนยังรู้สึกทึ่ง ไม่ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ที่นี่มาแล้วกี่ชั่วคน แต่ก็ยังไม่ลืมรากเหง้าของบรรพบุรุษตน
“พวกเฟร็ดเข้าไปข้างในได้ไหม?”
เมื่อก่อนในยุคกบฏไท่ผิงนั้น คนของสมาคมหงเหมินจำนวนมากที่ยึดหน้าที่หลักในการฆ่าล้างพวกฝรั่งผมทอง
ตอนที่ 597 มาจับตัวถึงที่
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตู้เฟยฟังที่เยี่ยเทียนพูดจบ เขาชี้ไปที่รอบนอกของเรือนสี่ประสานบอกว่า “ตรงนั้นไว้สำหรับให้เพื่อนชาวต่างชาติพัก พวกเฟร็ดไปอยู่ที่นั่นได้”
แม้ว่าสมาคมหงเหมินจะเป็นองค์กรของคนจีนโดยแท้ แต่เมื่ออยู่ในต่างบ้านต่างเมืองก็ไม่สามารถกีดกันคนต่างชาติอย่างสิ้นเชิงได้
ที่นี่เป็นศูนย์กลางของฐานบัญชาการใหญ่ไม่อนุญาตให้คนต่างชาติเข้าออก แม้แต่สมาชิกทั่วไปก็ยังไม่มีสิทธิ์ ศูนย์บัญชาการมีการคุ้มกันแน่นหนา
“คุณชาย พวกเราพักอยู่ด้านนอก ถ้าคุณมีเรื่องอะไรโทรศัพท์หาพวกเราได้เลย!”
เฟร็ดเรียกเยี่ยเทียนตามที่แอนนาเรียก เขาเองก็ไม่ค่อยคุ้นเคยกับสถานที่ๆมีแต่คนจีนเข้าออกมากนัก เพราะรู้สึกคล้ายกับว่ามีสายตาที่คอยสอดส่องพวกเขาอยู่ตลอดเวลา
“ได้ พวกนายอย่าก่อเรื่องแล้วกัน” เยี่ยเทียนพยักหน้า โบกมือไล่ให้พวกเฟร็ดไปได้
“คุณชายน้อย คุณไปพักอยู่กับผมเถอะ”
พวกเฟร็ดแยกไปแล้ว ตู้เฟยเดินนำทางต่อไป เยี่ยเทียนพบว่าเรือนสี่ประสานนี้ดูเหมือนจะไม่มีคนเฝ้ายาม แต่รอบด้านติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้ตลอดทาง แม้แต่แมลงวันสักตัวบินผ่านคงหนีไม่พ้นกล้องพวกนี้
“คุณชายน้อย ข้างหน้าก็ถึงแล้ว ที่นี่ไม่สู้ที่ปักกิ่ง คุณพักอยู่ที่นี่ก่อนเถอะ”
เรือนสี่ประสานเหล่านี้สร้างขึ้นมาครึ่งศตวรรษแล้ว ใช้เป็นศูนย์บัญชาการใหญ่ของสมาคมหงเหมินและเป็นที่พักอาศัยของคนสำคัญในองค์กร จึงเป็นศูนย์กลางฐานอำนาจที่สำคัญที่สุด
“เอ๋? ตู้เฟย คุณมีความขัดแย้งกับคนภายในด้วยเหรอ?”
เยี่ยเทียนมองไปตามทิศที่ตู้เฟยชี้ ขมวดคิ้วแน่นขึ้นเพราะเขารู้สึกว่ามีคนอยู่สิบกว่าคนที่ขวางทางอยู่ตรงหน้าประตูบ้านของตู้เฟย
“ไม่มีนะ?”
ตู้เฟยสั่นหัวตอบอย่างประหลาดใจ พอดีกับช่วงที่เดินเลี้ยวมุม มองเห็นภาพประตูตรงหน้า แล้วเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
“เหลยหู่ พวกนายมาทำอะไร?” ตู้เฟยก้าวออกไปข้างหน้า แม้รูปร่างเขาจะไม่สูงใหญ่ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเหลยหู่แล้วเขาไม่ได้ดูด้อยกว่าเลย
“พี่เฟย ผมไม่ได้มีปัญหาอะไร ขอแค่ให้พี่ส่งคนให้ผม!” เหลยหู่ชี้นิ้วไปที่เยี่ยเทียน น้ำเสียงฟังดูเด็ดขาด
“นายอยากได้ตัวเขา?”
ตู้เฟยยิ้มเยาะตอบว่า “หู่จื่อ ความสัมพันธ์ของครอบครัวเราทั้งสองไม่เลวเลยทีเดียว ฉันเองก็เห็นเธอเติบโตมาตั้งแต่เด็ก ฟังคำเตือนของพี่เฟยเถิด คนบางคนน่ะ นายอย่าไปหาเรื่องเขาดีกว่า!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยเป็นลูกน้องเก่าของบิดาตู้เฟย ทั้งสองตระกูลจึงสนิทสนมกัน แต่เมื่อบิดาของตู้เฟยเสียชีวิตไป ด้วยเพราะทายาทมีน้อยจึงทำให้ตระกูลตู้เสื่อมลง อำนาจชื่อเสียงไม่ได้มีมากเท่าเมื่อก่อน นี่เป็นเหตุผลที่ตู้เฟยตัดสินใจบินกลับประเทศจีน
กลับกลายเป็นตระกูลเหลยที่มีอำนาจขึ้นมา โดยเฉพาะสามพ่อลูกตระกูลเหลยซึ่งต่างรับผิดชอบในตำแหน่งสำคัญของสมาคมหงเหมิน จึงไม่ได้ให้ความเคารพตู้เฟยเท่าที่ควร ทำให้ทั้งสองตระกูลเกิดความห่างเหิน
อีกทั้งเหลยหู่จัดอยู่ในกลุ่มคนหนุ่มไฟแรงของสมาคมหงเหมิน ปกติเมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่าผู้อาวุโสจะทำท่าทางเคารพนบนอบ แต่ในใจนั้นแอบก่นด่าพวกเขาอย่างเสียหาย มีคำพูดบางคำที่ลอยมาถึงหูตู้เฟย ทำให้ตู้เฟยไม่ค่อยพึงใจในตัวเหลยหู่นัก
“พี่เฟย พี่เป็นคนที่ผมเคารพ ผมไม่อยากมีปัญหากับพี่หรอก แต่เรื่องนี้พ่อของผมสั่งเอาไว้ ถ้าพี่ขัดขวาง ผมต้องลำบากใจมาก!”
เหลยหู่ฟังคำเตือนของตู้เฟยจบก็เปลี่ยนสีหน้า เขารู้ว่าตู้เฟยไม่พอใจเขา อีกทั้งตำแหน่งยังสูงกว่าเขาอีก จึงเอ่ยอ้างบิดาขึ้นมาข่ม
ความจริงแล้วเหลยหู่คิดไม่ถึงว่าจะได้เผชิญหน้ากับตู้เฟยเร็วอย่างนี้ แต่เพราะลูกน้องที่เขาส่งไปไปถึงไม่ทัน ไม่อาจรั้งตัวซ่งเวยหลันไว้ได้ พอได้ยินว่าบุตรชายของซ่งเวยหลันยังอยู่ที่นี่ เขาถึงจัดคนมาดักรออยู่หน้าประตูบ้านตู้เฟย
“ลุงเหลยคงจะไม่รู้เรื่องนี้ล่ะสิ?”
ตู้เฟยหัวเราะเสียงเย็น ตอบว่า “หู่จื่อ เรื่องบางเรื่องนายอย่าทำจนหมดหนทางเลย รับเงินหลายหมื่นล้านของคนอื่นแล้ว ยังอยากจะเอาให้ถึงชีวิตอีกเหรอ? เยี่ยเทียนเป็นแขกคนสำคัญของฉัน ในสมาคมหงเหมินนี่ไม่มีใครทำอะไรเขาได้!”
ตู้เฟยโกรธจริงแล้ว เขาพาเยี่ยเทียนเข้าสมาคมหงเหมินด้วยตัวเอง แต่เมื่อถูกคนขัดขวางและต้องการมาพาตัวเยี่ยเทียนไป ถ้าเรื่องนี่ถูกเผยแพร่ออกไป เขาคงเสียหน้าแย่เลย
“พี่เฟย จะไม่ไว้หน้าฉันจริงๆเหรอ?”
สีหน้าของเหลยหู่เคร่งขรึม เขาคิดว่าถ้าอ้างถึงชื่อบิดาตู้เฟยน่าจะให้เกียรติกันบ้าง คิดไม่ถึงว่าตู้เฟยจะปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
“เหลยหู่ นายกลับไปเถอะ ไว้ฉันค่อยไปหาลุงเหลยอีกที” ตู้เฟยโบกมือไล่ เดินเข้าไปใกล้เหล่าสมาชิกที่เป็นลูกน้องของเหลยหู่ แล้วออกเสียงขู่ “จะทำไม พวกแกกล้าลามปามฉันเหรอ?”
“ท่านหู่ ใจเย็น!”
เผิงเหวินกวงที่ยืนอยู่ด้านหลังเหลยหู่รั้งเสื้อเขาไว้เบาๆ ตอนนี้ในศูนย์บัญชาการสมาคมหงเหมิน ทุกความเคลื่อนไหวของพวกเขาถูกคนจำนวนมากจับตามอง
“มิกล้า พี่เฟย ขอให้พี่คุ้มครองเขาไปให้ตลอดแล้วกัน!”
เหลยหู่กัดฟันกรอด หันหลังเดินลิ่วๆออกไป ลูกน้องที่พามาก็แยกย้ายทางใครทางมัน กฎของสมาคมหงเหมินเข้มงวดมาก เหลยหู่ไม่กล้าลงมือกับตู้เฟย เพราะหากลงมือจริงแม้แต่เหลยเจิ้นเยวี่ยผู้เป็นบิดาก็ไม่มีทางช่วยเขาได้
“มันไม่เคยตายจริงๆ!”
เยี่ยเทียนเห็นตอนที่เหลยหู่เดินจากไปได้ส่งสายตาอาฆาตมาที่ตน เยี่ยเทียนส่ายหน้าเหนื่อยหน่าย ถ้าปลดเอาภาพภายนอกออก คนในยุทธภพอย่างไรก็เป็นคนในยุทธภพ
สมาคมหงเหมินได้มีการเข้าร่วมในธุรกิจการค้าที่ถูกกฎหมาย แต่เนื้อในแล้วยังยึดหลักปลาใหญ่กินปลาเล็กอยู่ ในสายตาของเหลยหู่ เยี่ยเทียนเป็นแค่แพะที่เป็นเหยื่อสังเวยตัวหนึ่งเท่านั้น
แต่เหลยหู่ไม่รู้ว่า แพะอย่างเยี่ยเทียนตัวนี้หากเกิดใจอำมหิตขึ้นมาแล้วก็สามารถกลืนกินเขาจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก
“คุณชายน้อย เหลยหู่เป็นคนจิตใจโหดเหี้ยม คุณต้องระวังตัวให้มาก!”
เบื้องหลังเหลยหู่มีเหลยเจิ้นเยวี่ยเป็นที่พึ่งพิง ยังมีอำนาจเป็นหัวหน้าตำหนักอาญา ตู้เฟยเองก็ทำอะไรเขาไม่ได้
เยี่ยเทียนส่ายหน้าตอบว่า “คุณรีบไปจัดการเรื่องงานเข้าสมาคมหงเหมินเถอะ ถ้าไม่ไหวจริงๆผมจะจัดการเรื่องนี้เอง”
ความสามารถเฉพาะบุคคลทำให้พวกเขาเลือกวิธีการที่รวดเร็วง่ายดายที่สุดจัดการกับปัญหา ดังคำโบราณที่กล่าวว่า “จอมยุทธใช้การต่อสู้บุกเข้าไปในที่ต้องห้าม” อย่างน้อยเยี่ยเทียนตอนนี้เป็นคนชอบใช้กำลังในการจัดการปัญหาไปแล้ว
“ครับ คุณชายน้อย ผมจะเร่งจัดการให้เร็วที่สุด” ตู้เฟยรู้สึกได้ถึงจิตสังหารของเยี่ยเทียนรีบเปิดประตูบ้านให้เยี่ยเทียนเข้าไป
ตู้เฟยกลับประเทศจีนไปหลายปี รับคนในครอบครัวกลับไปด้วย ภรรยาและลูกๆยังอยู่ในจีน ครั้งนี้ที่เขากลับเข้าสมาคมหงเหมินอีกครั้ง เขาก็ได้พักอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ดังเดิม
บ้านพักของผู้อาวุโสในสมาคมหงเหมินแน่นอนว่าต้องมีคนรับใช้ คนงานเตรียมห้องพักให้เยี่ยเทียนอย่างรวดเร็ว การได้พักในบ้านที่มีกลิ่นไอของความโบราณอยู่นั้นช่างต่างกับบรรยากาศในประเทศจีนมากทีเดียว
…………
ระหว่างทางที่กลับไปตำหนักอาญา เหลยหู่เอาแต่เงียบขรึม ซ่งเวยหลันออกเดินทางอย่างกะทันหัน ทำให้แผนการของเขาเสียหมด ยิ่งกว่านั้นเงินที่ซ่งเสี่ยวหลงตกลงไว้ก็ไม่ได้โอนมาเช่นกัน
“ท่านหู่ เรื่องมันยุ่งยากขึ้นแล้ว!” เมื่อกลับมาถึงตำหนักอาญา เผิงเหวินกวงรีบไล่คนอื่นออกไปให้หมด ตอนนี้เป็นจังหวะเหมาะที่เขาจะได้แสดงสติปัญญาของตนเพื่อเอาใจเจ้านาย
“เหลวไหล ใครจะคิดว่าตู้เฟยจะสอดมือเข้ามา เจ้าคนกินบนเรือนขี้รดบนหลังคาแท้ๆ!”
เหลยหู่ฟาดผ่ามือลงบนโต๊ะแปดเซียนตรงหน้าอย่างแรง รอยนิ้วมือทั้งห้าปรากฏขึ้นลางๆบนพื้นโต๊ะ แสดงถึงไฟโทสะที่กำลังพิโรธ
ตู้เฟยเป็นอีกคนหนึ่งที่มีเส้นสายในสมาคมหงเหมินกว้างขวาง อีกทั้งยังควบตำแหน่งผู้อาวุโสที่เป็นคนจัดการเรื่องสำคัญ ถ้าเขาต้องการจะปกป้องใครสักคน เหลยหู่ก็ไม่มีปัญญาจะทำอะไรได้
เผิงเหวินกวงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ท่านหู่ เรื่องนี้คงต้องให้นายท่านออกโรงแล้ว ตู้เฟยยังไงก็ต้องไว้หน้านายท่านบ้าง!”
“ไม่ได้”
เหลยหู่โบกมือ ตวัดเสียงอย่างหงุดหงิดว่า “เรื่องที่ฉันทำกับพี่หลันนั้น คุณพ่อไม่รู้ แกอยากให้ฉันถูกโบยหรือไง?”
แม้เหลยเจิ้นเยวี่ยจะมีส่วนรู้เห็นในเรื่องเงินทุนก้อนนั้น แต่เขาไม่รู้ว่าเหลยหู่จัดการกับซ่งเวยหลันอย่างไร อย่างน้อยเขากับซ่งเฮ่าเทียนรู้จักกันมาหลายปี คงไม่ถึงกับลดตัวลงมาจัดการกับคนรุ่นลูกหลานหรอก
เผิงเหวินกวงเอ่ยเตือน “ท่านหู่ ถ้าเงินก้อนนั้นถูกซ่งเวยหลันอายัดไว้ ถ้างั้นสิ่งที่เราทำมาเป็นปีจะสูญเปล่า”
“ให้ตายสิ รอให้ฉันขึ้นตำแหน่งก่อนเถอะ ค่อยไปคิดบัญชีกับเจ้าแก่นั่น!”
เหลยหู่กระทืบเท้าลุกขึ้นเดินเข้าห้องไป เขาได้ให้คำสัญญากับพวกผู้อาวุโสโดยส่วนตัวไป แค่รอให้เงินของซ่งเสี่ยวหลงโอนมาถึงก็พอแล้ว
ใจกลางศูนย์บัญชาการของสมาคมหงเหมินมีเรือนใหญ่สามหลังที่มีพื้นที่มากที่สุด แบ่งเป็นที่พักอาศัยของเหล่าผู้นำและหัวหน้าใหญ่ และเป็นฐานอำนาจทั้งหมดของสมาชิกที่มีมากถึงหลายแสนคน
บ้านพักของเหลยเจิ้นเยวี่ยอยู่ทางด้านขวา ตัวเรือนถึงขนาดเล็กกว่าเรือนอีกสองหลังเล็กน้อย แต่ก็ยังเป็นเรือนที่ใหญ่โตโอ่อ่าอยู่ดี สวนด้านหลังมีภูเขาจำลองและสวนดอกไม้ที่สร้างเลียนแบบการจัดสวนของเจียงหนาน
เมื่อเหลยหู่เข้าไปในสวน เหลยเจิ้นเยวี่ยกำลังยืนฝึกกำลังภายในอยู่ แต่ที่บริเวณหน้าอกกับช่วงท้องของเขามีก้อนนูนขึ้นมาเหมือนมีหนูตัวเล็กๆมุดอยู่ด้านใน พร้อมกับวิ่งไปทั่วทั้งร่างของเหลยเจิ้นเยวี่ย
วิชากังฟูฝึกจนถึงขั้นสูง เมื่อหายใจเข้าเอาอากาศเข้าไปทีหนึ่งสามารถควบคุมให้พลังลมปราณเคลื่อนที่ได้ตามใจชอบ ทั้งแขนขาหรือตามกระดูกข้อต่างๆไม่มีที่ไหนที่ลมปราณไปไม่ถึง
“คุณพ่อครับ เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย…”
เหลยหู่ยืนอยู่นานแล้ว รอจนเหลยเจิ้นเยวี่ยผ่อนลมหายใจออก ถึงกล้าเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันเบา แล้วอธิบายเรื่องราวให้ผู้เป็นบิดาฟัง
“แผนการอยู่ที่คน ส่วนสำเร็จหรือไม่อยู่ที่ฟ้า เสี่ยวหู่ เดินผิดก้าวหนึ่งก็จะผิดทั้งหมดนะ!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยส่ายหัว ใบหน้าดูแก่ชรา ตลอดชีวิตของเขาทำเรื่องอะไรต้องชัดเจนแจ้มแจ้ง แต่พอมาถึงบั้นปลายชีวิต กลับเลือกทางเดินผิด โดยการทำร้ายบุตรสาวของสหายเก่า
เรื่องบางเรื่องแม้ไม่ต้องพูดออกไป แต่เหลยเจิ้นเยวี่ยรู้สึกได้ ช่วงก่อนเขานัดดื่มน้ำชากับสหายเก่า ท่าทีของพวกเขาดูจะไม่สนิทคุ้นแคยเหมือนก่อนแล้ว
เหลยเจิ้นเยวี่ยถือเอาเรื่องหน้าตาเกียรติยศมาเป็นอันดับแรก เพราะท่าทีที่เปลี่ยนไปของสหายเก่า ทำให้เขาไม่ออกไปดื่มน้ำชาข้างนอกมานานแล้ว
“แต่เรื่องมัน…”
“เอาเถอะ แกกลับไปได้แล้ว ฉันจะไปคุยกับเสี่ยวเฟยเอง เรื่องนี้จบแล้ว แกควรจะถอยออกมาเสีย!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยพูดตัดบทบุตรชาย แล้วหันหลังกลับเข้าไปในบ้าน โครงร่างสูงใหญ่และบ่าที่ผึ่งผายตอนนี้ดูแก่ค่อมลง
ตอนที่ 598 คนเคยรู้จัก
โดย
Ink Stone_Fantasy
“แม่ บอกแล้วว่าไม่มีอะไร ทางนู้นเป็นไงบ้าง?”
เยี่ยเทียนพักอยู่ที่ศูนย์บัญชาการหลักสำนักหงเหมินของตู้เฟยมากว่าหนึ่งสัปดาห์ อย่าว่าแต่ประตูหลักแม้แต่ประตูรองก็ยังไม่ก้าวออกไป แม้ว่าเหลยหู่คิดจะทำอะไร เขาก็ไม่กล้ามาหาเรื่องเยี่ยเทียนถึงถิ่นของตู้เฟยแน่ ๆ
เพื่อไม่ให้ซ่งเวยหลันเป็นห่วง เยี่ยเทียนจะโทรหาแม่ทุกวัน ส่วนบทสนทนาจะเป็นการย้ำว่าตนเองนั้นปลอดภัยมาก ส่วนซ่งเวยหลันก็มักจะถามแต่คำถามแบบนี้อย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย
“เพื่อนเก่าของแม่คนนึงเป็นที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา เงินทุนก้อนนั้นถูกบล็อกเอาไว้แล้ว เมื่อกองทุนเอสโครว์ตรวจสอบเสร็จเรียบร้อย แม่เชื่อว่ายังไงก็เอาเงินก้อนนั้นกลับมาได้”
น้ำเสียงของซ่งเวยหลันไม่ได้แสดงความดีใจเท่าไหร่ หลังจากเรื่องนี้ผ่านพ้นไป สิ่งที่เกิดขึ้นจะมีผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจที่เธอสร้างมากับมือ เพื่อนร่วมสร้างธุรกิจด้วยกันหลายคนเริ่มส่งใบลาออกกันแล้ว
การสร้างธุรกิจว่ายากแล้ว แต่การดูแลธุรกิจนั้นยากยิ่งกว่า ซ่งเวยหลันเพิ่งสัมผัสได้ถึงความหมายที่แท้จริงของคำนี้ก็วันนี้ เธอใช้เวลากว่า 20 ปีในการสร้างความร่ำรวยทีมีอยู่ทุกวันนี้ แต่ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน สิ่งที่สร้างมาก็สูญสิ้นทั้งหมด
การหักหลังของหลานชายกับเพื่อนเก่า ยิ่งทำให้ซ่งเวยหลันรู้สึกด้านชา เธออยากจะปล่อยวางและกลับประเทศซะเดี๋ยวนี้
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของแม่ เยี่ยเทียนนิ่งไปครู่นึงและพูดต่อว่า“แม่ครับ ดูแลตัวเองด้วย อย่าให้เหลยหู่และคนอื่น ๆ กลายเป็นพวกสุนัขจนตรอก!”
ก่อนหน้านี้เหลยหู่กับซ่งเสี่ยวหลงวางแผนหลอกลวงกองทุนเอสโครว์ด้วยความพยายามมาก แต่ถูกจัดการด้วยซ่งเวยหลันตั้งแต่เพิ่งกลับมาถึงอเมริกา เยี่ยเทียนจึงกลัวว่าพวกเขาจะทำอะไรไม่ดีกับแม่ของตนเอง
“อำนาจของของลุงเหลยยังมาไม่ถึงที่นิวยอร์ก ลูกไม่ต้องเป็นห่วงแม่ ตัวลูกนั่นแหละที่ต้องดูแลตัวเองให้มาก ๆ ”
เสียงของซ่งเวยหลันลึก ๆ แล้วแอบแฝงไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย หนึ่งสัปดาห์กว่า ๆ ที่ผ่านมา เธอใช้เวลาจัดการเรื่องที่บริษัทตลอดเวลา มันทำให้เธอเหน็ดเหนื่อยจนแทบหมดแรง
“แม่ครับ ผมทราบแล้ว แม่พักผ่อนนะ”
เยี่ยเทียนพยักหน้า เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาดังขึ้น เขาจึงวางสายไป
“คุณชายน้อย ผมเข้าไปได้มั้ย?”เพิ่งวางโทรศัพท์ลง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“เข้ามาสิ!” เยี่ยเทียนกลับไปที่นั่งที่เก้าอี้
“ว่าไง มีข่าวดีอะไรรึเปล่า?” มองดูหน้าของตู้เฟยที่มีชีวิตชีวา เยี่ยเทียนก็อดยิ้มไม่ได้
“คุณชายน้อย ผมได้เชิญผู้อาวุโสหงเหมินจำนวน 38 ประเทศมาร่วมงาน พิธีรับศิษย์กำหนดไว้เป็นวันมะรืนช่วงเช้า งานนี้เป็นการเชิญคุณชายน้อยเข้าร่วมสำนักหงเหมินอย่างเป็นทางการ!”
ตั้งแต่พ่อเสียชีวิต ตู้เฟยก็ไม่เคยมีสถานะของตัวเองในหงเหมินเลย
ความเคารพที่ได้รับจากคนอื่นเป็นเพราะตำแหน่งเดิมของคุณพ่อทั้งนั้น มันจึงทำให้ตู้เฟยรู้สึกเป็นทุกข์มาโดยตลอด ฉะนั้นเขาจึงตอบรับภารกิจปกป้องซ่งอิงหลันกับตระกูลซ่ง
แม้ว่าครั้งนี้จะกลับมารับตำแหน่งเจ้าตำหนักธงแดงของสมาคมหงเหมิน แต่เขาก็ไม่สามารถเข้ากับสำนักหงเหมินได้ อย่างแท้จริง เรื่องของเยี่ยเทียนจึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเขา
ห้องพิธีของสำนักหงเหมินเปิดทุกปี แต่ไม่มีปีไหนจัดยิ่งใหญ่เท่านี้มาก่อน ผู้อาวุโสจาก 38 ประเทศทั่วโลกจะมารวมตัวกันที่ซานฟรานซิสโก
แม้คนเหล่านี้มาเพราะอยากรู้ว่ามีอาวุโส “รุ่นต้า” เพิ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ส่วนมากที่มาร่วมงานก็เพราะเห็นแก่หน้าของตู้เฟย ถ้าลองเปลี่ยนคนส่งคำเชิญ คนเหล่านี้จะคิดแค่ว่าเป็นการเชิญแบบส่งเดช
หลายวันมานี้ ตู้เฟยยุ่งกับเรื่องต้อนรับเพื่อนเก่าแก่ที่ไม่พบเจอมานาน สภาพจิตใจจึงเปลี่ยนไปเป็นคนละคน และเขายังพบว่าคนที่มาในครั้งนี้ เกือบครึ่งหนึ่งรู้สึกไม่ชอบใจเหลยหู่
สิ่งนี้ทำให้ตู้เฟยนึกถึงคำพูดของเยี่ยเทียน ถ้าหากได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสเหล่านี้ เขาเองก็มีโอกาสที่จะขึ้นไปอยู่จุดสูงสุด!
เยี่ยเทียนทำท่ามือเพื่อส่งสัญญาณให้ตู้เฟยนั่งลง และเอ่ยปากถามว่า “ทางตระกูลเหลยมีวี่แววอะไรบ้างมั้ย?”
ตู้เฟยมีสีหน้าตื่นเต้นหลังจากได้ยินคำถามของเยี่ยเทียนและตอบกลับไปว่า“คุณลุงเหลยถูกผมปฏิเสธไปแล้ว หลายวันนี้เขาไม่ออกจากบ้านเลย ส่วนเหลยหู่กลับเที่ยวเตร็ดเตร่ไปทั่ว แต่ไม่ค่อยมีคนสนใจเขาเท่าไหร่ พวกเขาไม่สามารถขัดขวางงานรับศิษย์ครั้งนี้ได้แน่นอน! ”
คืนที่เยี่ยเพิ่งมาถึงศูนย์บัญชาการหลักสำนักหงเหมิน เหลยเจิ้นเยวี่ย ก็เอ่ยปากขอให้ตู้เฟยส่งมอบเยี่ยเทียนให้เขา แต่ตู้เฟยปฏิเสธ
แม้จะเป็นการขอทางโทรศัพท์ แต่เหลยเจิ้นเยวี่ยรู้สึกเสียหน้ามาก ตอนนั้นลมหายใจภายในเกิดผิดจังหวะจึงทำให้เขาเกือบเสียสติ หลายวันที่ผ่านมาเขาจึงต้องอยู่ปรับสภาพร่างกายและไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องของตู้เฟย
หากไม่มีการสนับสนุนจากเหลยเจิ้นเยวี่ย เหลยหู่ก็เป็นได้แค่คนตบมือข้างเดียว และในสภาตุลาการเองเป็นที่ที่เขาขัดใจผู้คนต่าง ๆ นานา จนถึงเวลานี้ เหลยหู่เพิ่งพบว่าคนที่สนับสนุนเขาด้วยใจจริงมีน้อยจนนับจำนวนคนได้
โดยเฉพาะคำมั่นสัญญาที่เขาเคยให้ไว้ตั้งแต่ต้น จนถึงเวลานี้ก็ยังไม่เคยทำตามสัญญาจริง ๆ มันจึงทำให้ผู้อาวุโสเหล่านั้นรู้สึกสงสัยในตัวของเขา คำพูดที่แสดงการสนับสนุนให้เขารับตำแหน่งต่อก็คงไม่พูดออกมาแน่นอน
หลังจากเรื่องที่เยี่ยเทียนเป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสหลี่ซั่นหยวนที่มีลำดับรุ่นเป็น “หลี่” ถูกเล่าต่อกันออกไป เหลยหู่ยิ่งตื่นตระหนกกว่าเดิม
หลายวันที่ผ่านมาเขาอยากจะนัดคนของหงเหมินเพื่อพูดคุยถึงเรื่องที่จะขัดขวางงานรับศิษย์ แต่คนที่เข้าร่วมกลับมีอยู่3-5คนเท่านั้น ส่วนอาวุโสท่านอื่นใช้ท่าทีในการสนับสนุนแทน
“อืม เหล่าถังมาแล้ว” เยี่ยเทียนที่กำลังพูดคุยอยู่กับตู้เฟย ได้ยินเสียงการก้าวขาที่คุ้นเคย ประตูห้องถูกผลักออก มีคนสามคนกำลังเดินเข้ามา
“เยี่ยเทียน ผมขอแนะนำให้คุณรู้จัก”
ถังเหวินหย่วนมาที่นี่ได้สองวันแล้ว และเข้าออกที่เยี่ยเทียนพักอยู่เป็นประจำ เขาจึงไม่เกรงใจและชี้ไปที่คนสองคนที่ยืนอยู่ข้างเขาและพูดว่า “ท่านนี้คือหลู่เฮ่าชิ่ง ผู้อาวุโสสมาคมหงเหมินจากเมืองโฮโนลูลู ท่านนี้คือหนิงผู่ตงจากไต้หวัน ทุกคนเป็นเพื่อนเก่าแก่ของฉันหมด”
“ครับ ท่านทั้งสองเชิญนั่งครับ ตู้เฟย เสิร์ฟน้ำชา!”
หลังจากได้ยินคำแนะนำจากถังเหวินหย่วนเสร็จ เยี่ยเทียนจึงลุกขึ้นยืน หลายวันนี้ถังเหวินหย่วนพาแขกมาทักทายเขามากมาย แต่สองท่านที่อยู่ตรงหน้า ณ ตอนนี้กลับเป็นบุคคลที่มีตำแหน่งสูงที่สุด
ต้องเข้าใจว่า การประชุมใหญ่ของสมาคมหงเหมินสมัยก่อนมักจัดขึ้นที่เมืองซานฟรานซิสโก แต่สมัชชาของสมาคม หงเหมินโลกก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อปี 92 กลับจัดตั้งขึ้นที่เมืองฮูโนลูลู โดยใช้การประชุมใหญ่ครั้งแรกที่นั่น
เพียงแต่ว่าสมาคมหงเหมินมีรากฐานอยู่ซานฟรานซิสโกมายาวนาน หลายปีมานี้ศูนย์บัญชาการหลักก็ยังไม่ได้ย้ายไปไหน แต่อำนาจของการประชุมใหญ่ที่ฮูโนลูลูก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
นอกจากนี้คนในสมาคมประจำไต้หวันมีความสัมพันธ์อันดีกับต่างประเทศมายาวนาน แม้กระทั่งบุคลากรในรัฐก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของสมาคมหงเหมิน หากพูดถึงแถบตะวันออกเฉียงใต้แล้ว อิทธิพลของสมาคมหงเหมินประจำไต้หวันรองลงมาจากยุโรปและอเมริกา
ฉะนั้นการมาของสองท่านนี้ ทำให้เยี่ยเทียนที่มีลำดับรุ่นสูงก็จริง ก็ยังไม่กล้าประมาท เขาจึงต้องเชิญให้ทั้งสองท่านนั่งลง
“คุณเยี่ย ยังหนุ่มและมีความสามารถจริง ๆ ผมเคยเจอนักพรตซั่นหยวนครั้งนึงเมื่อนานมาแล้ว วันนี้คุณเยี่ยมาเข้าร่วมสมาคมหงเหมิน นับว่าเป็นเกียรติของสมาคมหงเหมิน!”
หลังจากนั่งลง หลู่เฮ่าชิ่งผู้มาจากฮูโนลูลูยกมือคารวะแบบจีนให้กับเยี่ยเทียน และคำพูดที่พูดออกมาทำให้เยี่ยเทียนตะลึงไปเลยทีเดียว เขาจึงต้องรีบลุกขึ้นและถามกลับว่า “ท่านรู้จักอาจารย์?”
หลู่เฮ่าชิ่งพยักหน้าตอบรับ และตอบว่า “เป็นเรื่องเมื่อ 60-70 ปีก่อนแล้วล่ะ ตอนนั้นน่าจะเป็นปี 1932 ผมเพิ่งอายุ 16 ติดตามคุณปู่ไปถึงประเทศจีน และมีโอกาสได้พบนักพรตคนหนึ่ง……”
ที่แท้ คุณปู่ของหลู่เฮ่าชิ่งเคยติดตามท่านซุนมาก่อน ถือว่าเป็นบุคคลสำคัญเก่าแก่ในพรรคก๊กมินตั๋ง เพียงแต่ว่าหลังจากการปฏิวัติสำเร็จ เขาจึงเกษียณและกลับไปยังเมืองฮูโนลูลู
ในปี 1932 คุณปู่ของหลู่เฮ่าชิ่งเคยได้รับคำเชิญจากพรรคก๊กมินตั๋ง และพักอาศัยอยู่ในประเทศเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี หลู่เฮ่าชิ่งจึงได้พบกับหลี่ซั่นหยวนที่เซี่ยงไฮ้ในช่วงนั้น
ด้วยสถานะของคุณปู่ของหลู่เฮ่าชิ่ง ตอนที่อยู่เซี่ยงไฮ้จึงคบค้ากับเหล่าอาวุโส อาทิเช่น ตู้เยว่เซิง หวงจินหรงเป็นต้น
แต่ในงานเลี้ยงครั้งหนึ่ง หลู่เฮ่าชิ่งพบว่ามีคนใส่ชุดเต๋าอยู่คนหนึ่ง คนทุกคนอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าเขา และคุณปู่ของเขาเองก็แสดงความเคารพต่อคนนั้นเหมือนกัน เรียกขานกันด้วยคำว่านักพรตซั่นหยวน มันจึงทำให้เป็นภาพติดตาหลู่เฮ่าชิ่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
หลังจากนั้นคุณปู่ของหลู่เฮ่าชิ่งเริ่มสืบหาประวัติของหลี่ซั่นหยวน และพบว่าเขาเป็นผู้อาวุโสที่มีลำดับศักดิ์สูงมากในสำนักหงเหมิน ชุดนักพรตเต๋าของหลี่ซั่นหยวนเป็นภาพติดตาและอยู่ในความทรงจำของหลู่เฮ่าชิ่งมาเป็นเวลาสิบ ๆ ปี
ฉะนั้นหลังจากที่ได้ข่าวว่าศิษย์ของหลี่ซั่นหยวนจะเข้ามาอยู่ในสำนักหงเหมิน หลู่เฮ่าชิ่งจึงเดินทางมาอย่างเร่งรีบ น่าจะมีแค่เขาคนเดียวที่ทราบประวัติของหลี่ซั่นหยวน “ความลับเรื่องนี้ของอาจารย์ ยังมีคนจำได้อยู่เหรอครับ……”
หลังจากได้ยินหลู่เฮ่าชิ่งเล่าเรื่องตอนนั้นให้ฟัง เยี่ยเทียนก็อดสะอื้นไม่ได้ หนึ่งร้อยปีของความโชกโชนกับการเปลี่ยนแปลงของโลก การที่หลู่เฮ่าชิ่งเคยรู้จักอาจารย์ นับว่าเป็นพรหมลิขิต
“คุณเยี่ย อาจารย์หนานไหวจิ่นมีบุญคุณต่อผม คุณสบายใจได้เลย งานรับศิษย์ครั้งนี้พวกเราสนับสนุนอย่างเต็มที่!”
หนิงผู่ตงที่กำลังฟังอยุ่อายุมากกว่าตู้เฟยนิดหน่อย เป็นคนที่เข้าร่วมสมาคมหงเหมินของไต้หวันก่อนเปิดประเทศ แต่สถานะสูงกว่าเฉินเซี่ยวหลี่ผู้ก่อตั้งแก๊งไผ่เขียวเสียอีก เพียงแต่ว่าเคยถูกหนานไหวจิ่นชี้นำจนรู้ซึ้ง ในที่สุดก็ตัดสินใจวางมือจากยุทธจักร
ถึงแม้จะปล่อยมือจากยุทธจักรแล้ว แต่ตำแหน่งและชื่อเสียงของหนิงผู่ตงที่อยู่ในสมาคมหงเหมินยังคงอยู่ รวมถึงแก๊งซื่อไห่และแก๊งเทียนเต้าเหมิง ล้วนแต่ให้ความเคารพเขาไม่เปลี่ยน
“ขอบคุณทั้งสองท่านครับ ในภายภาคหน้าผมจะตอบแทนบุญคุณทุกคนครับ!”
ความช่วยเหลือที่ส่งมาด้วยตนเอง ยังไงเสีย เยี่ยเทียนก็ต้องรับเอาไว้ อีกอย่างสองคนนี้มีความสัมพันธ์กับเขาอยู่บ้าง จึงสั่งให้ตู้เฟยเสิร์ฟอาหารและเหล้า จากนั้นก็เริ่มพูดคุยถึงเรื่องของยุทธจักร
……
หากเทียบกับสถานกาณ์ที่ครึกครื้นของฝั่งเยี่ยเทียนแล้ว ตำหนักอาญาของสมาคมหงเหมินที่เคยเสียงดัง หลายวันนี้กลับเงียบสงัด ลำดับรุ่น “ต้า” ปรากฏสู่ยุทธจักรอีกครั้ง ที่สำคัญยังเป็นลูกชายของซ่งเวยหลันอีก มันเลยทำให้เหลยหู่กระวนกระวายใจ
และด้วยความตั้งใจป่าวประกาศของตู้เฟย เรื่องราวต่าง ๆ มากมายของหลี่ซั่นหยวนถูกประกาศสู่ภายนอกแล้ว แม้เหลยหู่จะรวบรวมคนไว้บ้างแล้ว แต่ในใจของเขาเข้าใจดีว่า ไม่มีประโยชน์ใด ๆ อีกต่อไป
มันทำให้เหลยหู่หวาดกลัว เขากลัวว่าหลังจากที่เยี่ยเทียนกลายเป็นผู้อาวุโสในสมาคมแล้ว จะรื้อคดีที่เขากับพ่อของเขาทำกับซ่งเวยหลัน และถ้าเรื่องนี้ประกาศออกไป ชื่อเสียงของสองพ่อลูกก็จะจบสิ้นทั้งหมด
“ไม่ได้ ให้เข้าร่วมสมาคมหงเหมินไม่ได้เด็ดขาด!”
หลังจากไตร่ตรองดีแล้ว เหลยหู่แสดงความไม่พอใจออกมา ตระกูลเหลยของเขากว่าจะมีตำแหน่งและอำนาจเท่าวันนี้ต้องใช้เวลากว่าหนึ่งร้อยปี ยังไงก็ไม่ยอมให้จบลงแบบนี้อย่างแน่นอน
ตอนที่ 599 พิธีรับศิษย์
โดย
Ink Stone_Fantasy
“น้ำนมถั่วเขียวหมักคู่ปาท่องโก๋ น้ำชายามเช้าคู่ติ่มซำ!”
หน้าร้านอาหารจีนในไชน่าทาวน์ร้านหนึ่ง มีขนมต่าง ๆ นานาวางอยู่บนรถเข็นสองคันที่จอดอยู่หน้าร้าน พ่อค้าหนุ่มกำลังตะโกนขายของอยู่
“ปาท่องโก๋สองชิ้น อืม น้ำนมถั่วเขียวหมักอีกหนึ่งถ้วย” ผู้คนที่ไปทำงานในอดีตจะแวะซื้ออาหารเช้ากันสักชุด ช่วงเวลาเช้า ๆ ของไชน่าทาวน์จะครึกครื้นและเป็นระเบียบ
บรรยากาศแบบนี้หาพบได้ยากแล้วในประเทศจีน. ถ้าคนเคยอาศัยอยู่ในประเทศจีนสมัยก่อนและย้ายมาอยู่ที่นี่ จะต้องคิดว่ามาถึงปักกิ่งสมัยก่อนแน่นอน
แต่สิ่งที่ต่างไปจากสมัยก่อนคือ ร้านค้ามากมายในไชน่าทาวน์ถูกปัดกวาดจนสะอาด บางแห่งถูกทาด้วยสีใหม่ ซึ่งการทาสีจะพบได้ทั่วไปในช่วงเทศกาลตรุษจีนเท่านั้น
และนอกจากผู้คนที่คุ้นหน้าคุ้นตาอยู่แล้ว ตอนนี้เริ่มมีใบหน้าไม่คุ้นตากับรถตำรวจจอดอยู่ตามไชน่าทาวน์ นอกจากบรรยากาศที่ครึกครื้นแล้ว ยังมีบรรยากาศน่าตื่นเต้นปนอยู่ด้วย
“ทอม ทางนู้นเป็นไงบ้าง? มีอะไรคืบหน้ามั้ย?” ในรถตำรวจคันนึง มีตำรวจหน้าตาหนุ่มน้อยกำลังสำรวจผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาด้านนอก
“ริชาร์ดสัน ทางนี้โอเค เป็นคนจีนทั้งหมด พวกเขาจะทำอะไรกัน?” คนผิวขาวคนหนึ่งพูดด้วยเสียงต่ำและกำลังดื่มน้ำนมถั่วเขียวหมักอยู่มุมนึงของร้านอาหารจีน
“อย่าเพิ่งสนใจเลย คนจีนพวกนี้น่าจะจัดงานอะไรสักอย่างอยู่ พวกเขาไม่กล้าทำอะไรหรอก!”
คนที่พูดอยู่เป็นตำรวจเก่าแก่ผิวดำ เขาปฏิบัติภารกิจที่ซานฟรานซิสโกมาแล้วกว่า 30 ปี ประสบการณ์เยอะและไม่รู้สึกกังวลกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่
เช้า ๆ ในวันธรรมดาแบบนี้ ตำรวจที่ซานฟราสซิสโกกลับต้องยกเลิกวันหยุดทั้งหมดเพื่อปฏิบัติภารกิจราวกับว่าต้องเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจ บางคนใส่ชุดเครื่องแบบ บางคนใส่ชุดนอกเครื่องแบบ และทุก ๆ คน ปะปนอยู่กับผู้คนในไชน่าทาวน์
ส่วนสมาคมหงเหมิน เป็นพวกที่ตำรวจทั้งกลัวทั้งเกลียด ด้วยความเข้มงวดของภายในสมาคม ทำให้หนึ่งศตวรรษที่ผ่านมาเหมือนหนูแทะกระดองเต่า ตำรวจแทบจะไม่รู้วิธีจัดการเลย
แม้มีใจอยากกำจัดชาวจีนกลุ่มใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯออกไป แต่ด้วยการพัฒนาและการแทรกซึมของสมาคมหงเหมินที่ค่อย ๆ แทรกเข้าไปในหน่วยงานต่าง ๆ ของซานฟรานซิสโกในศตวรรษที่ผ่านมา
ทำให้สมาคมหงเหมินได้ขยายไปสู่เวทีการเมืองตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว ชาวจีนที่มีตำแหน่งสูงหลายคนล้วนมีเบื้อลหลังของสมาคมหงเหมินสนับสนุนอยู่ไม่มากแต่ก็ไม่น้อย
แม้ในสถานการณ์แบบนี้ สหรัฐฯรวมถึงรัฐบาลของซานฟรานซิสโก ก็ได้ยอมรับการมีอยู่ของสมาคมหงเหมินแล้ว แน่นอนว่า ในรายชื่อของรัฐบาลสหรัฐฯ สมาคมหงเหมินก็ยังคงเป็นกลุ่มที่อาจทำให้บ้านเมืองไม่สงบ
“พี่ใหญ่ มีพวกตำรวจมายืนตรวจอีกละ”
บนถนนไชน่าทาวน์ นอกจากมีตำรวจแล้ว ก็ยังมีพวกร่างใหญ่มากมายเช่นกัน และพิธีรับศิษย์ของสมาคมหงเหมิน ครั้งนี้ ก็ต้องมีมาตรการป้องกันอำนาจที่อาจจะมาทำลายงานด้วย
“มีอะไรน่าดูเหรอ? กว่าจะได้เจอกันครั้งนึงต้องผ่านไปกี่ปี ดูให้ดีนะ ระวังพวกสวะเวียดนามกับเม็กซิกันด้วยนะ”
ชายวัยกลางคนท่าทางมั่นใจ เป่าควันบุหรี่เป็นวงรีใส่ตำรวจที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล จริง ๆ แล้ว พวกมาเฟียกับตำรวจจะรู้กัน ยิ่งเป็นเหตุการณ์แบบนี้ ก็จะยิ่งไม่ทำอะไรซึ่งกันและกัน
“พี่ใหญ่ ได้ยินมาว่าท่านอาวุโสลำดับรุ่น ”ต้า” ท่านนั้น มีอายุร้อยกว่าปีแล้ว รูปร่างหน้าตาอย่างกับเซียนเลยนะ แต่……อายุปูนนี้แล้ว ทำไมยังมาเข้าร่วมสมาคมหงเหมินล่ะ?”
หลายวันที่ผ่านมาเรื่องของเยี่ยเทียนถูกเล่าต่อกันอย่างสนุกปาก ลูกศิษย์หลายคนของสมาคมหงเหมินก็ยังไม่รู้อายุที่แท้จริงของเยี่ยเทียน จึงคิดกันไปโดยการเอาลำดับศักดิ์ของเยี่ยเทียนมาเดาเป็นอายุ
“แกจะไปรู้อะไร อายุร้อยกว่าปีคนนั้นเป็นอาจารย์ของคุณเยี่ยต่างหาก ผู้อาวุโสสมัยก่อนของหงเหมิน ตู้เยวี่ยเซิงรู้จักมั้ย? ตอนนั้นตู้เยวี่ยเซิงยังต้องก้มหัวคำนับอาจารย์ของคุณเยี่ยเลย! ”
ชายวัยกลางคนพูดถากถางใส่ลูกน้อง เขาได้ใกล้ชิดกับผู้อาวุโสหลายคน ฉะนั้นสิ่งที่เขาพูดจึงมีความน่าเชื่อถือสูง
พิธีรับศิษย์ที่จัดขึ้นครั้งนี้ ขอบเขตของงานใหญ่กว่าการประชุมใหญ่ในปี 92 มาก
ผู้อาวุโสกว่าหนึ่งร้อยคนที่เดินทางมาจากทั่วสารทิศ บวกกับบอดี้การ์ดของแต่ละคนแล้ว น่าจะมีมากกว่าพันคน
ผู้คนมากมายที่อยู่ในรายชื่อตามหน่วยงานต่าง ๆ ของสหรัฐฯมารวมตัวและปรากฏตัวพร้อมกันแบบนี้ จะไม่ให้หน่วยงานของรัฐในท้องถิ่นไม่ตื่นตัวได้อย่างไร บริเวณรอบนอกถึงขั้นจัดกำลังพร้อมปฏิบัติ เพื่อให้รับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น
คนของสมาคมหงเหมินชินกับเหตุการณ์แบบนี้ไปแล้ว บนถนนหลักที่เป็นทางเข้าสมาคมหงเหมิน มีธงนานาชาติปักเอาไว้เพื่อใช้ต้อนรับการมาถึงของเหล่าอาวุโสพวกนั้น
รถหรูคันแล้วคันเล่าเรียงกันเป็นสายเคลื่อนเข้าไปข้างในจากด้านหลังไชน่าทาวน์ บางคันยังมีคนลดกระจกลงและโบกมือทักทายตำรวจที่อยู่ด้านนอก
แต่คนเหล่านี้ไม่ได้ทำผิดกฎหมายและไม่เคยประวัติในสหรัฐฯ ฉะนั้นแม้ตำรวจเหล่านี้จะคันไม้คันมือแค่ไหนพวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
………………-
ห้องพิธีของสมาคมหงเหมิน ปกติจะเป็นสถานที่ที่ทำพิธีหรือใช้ในงานรับลูกศิษย์เท่านั้น วันนี้ถูกปัดกวาดจนสะอาดสะอ้าน
ด้านนอกห้องพิธีมีพื้นที่กว่าพันตารางเมตร มีเก้าอี้เป็นร้อย ๆ ตัวจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ เพื่อใช้แยกลำดับการนั่ง เก้าอี้ทุกตัวจึงมีกระดาษที่เขียนชื่อกำกับแปะเอาไว้
แต่เนื่องจากครั้งนี้จะทำพิธีให้เยี่ยเทียนคนเดียว และมีการเชิญผู้อาวุโสจากทุกสารทิศมาร่วมงาน พิธีรับศิษย์จึงถูกตั้งไว้ด้านนอกแทน ส่วนโต๊ะบูชาขนาดใหญ่ถูกวางเต็มไปด้วยป้ายเป็นสิบ ๆ อัน
ป้ายที่อยู่ด้านบนสุดและเด่นที่สุด เป็นป้ายของผู้ก่อตั้งสำนักหงเหมิน ได้แก่ หงอิง ฟู่ชิงจู่ กู้เหยียนอู่ หวงหลีโจว หวางฟู ห้าคนนี้ ทุกคนล้วนเป็นผู้นำโค่นชิง ฟื้นหมิง
ส่วนแถวที่สองมี เหวินจงสื่อเขอฝ่า อู่จงเจิ้งเฉินกง ซวนจงเฉินจิ้นหนาน ต๋าจงว่านอวิ๋นหลง เวยจงซูหงกวาง
ด้านล่างยังมีปรมาจารย์ยุคต้น ได้แก่ ไช่เต๋อจง ฟางต้าหง หม่าเชาซิ่ง หูเต๋อตี้ หลี่ซื่อไค เป็นต้น และชื่อของคนเหล่านี้เพิ่งปรากฏอยู่บนหน้าจอทีวีเมื่อไม่นานมานี้
นอกจากนี้ยังมีป้ายของบรรพบุรุษเช่นป้ายของปรมาจารย์ยุคกลาง ยุคปลาย ห้าผู้ทรงธรรม ห้าผู้กล้า สามนักรบ สองอาจารย์เป็นต้น ล้วนถูกวางเรียงอยู่บนโต๊ะบูชา
ด้านหน้าป้ายวางเต็มไปด้วยของเซ่นไหว้ต่าง ๆ เช่น วัว แพะ ไก่ และเป็ด แต่ไม่มีหมู เพราะว่าจุดประสงค์การก่อตั้งหงเหมินก็เพื่อต่อต้านชิงฟื้นฟูหมิง หมิงเป็นราชวงศ์ของตระกูลจู (พ้องเสียงกับคำว่าหมูในภาษาจีน) ฉะนั้นต้องเลี่ยงคำพ้องเสียง
เวลาผ่านพ้นไปเรื่อย ๆ ผู้อาวุโสที่มาร่วมงานรับศิษย์ ต่างก็เริ่มเดินเข้าไปภายในงานและเข้าไปนั่งตามตำแหน่งของตนเองจากการนำทางของลูกศิษย์สมาคมหงเหมิน
ผู้อาวุโสที่เดินเข้ามาด้านในก่อน จะเป็นคนที่มาชมการประกอบพิธี ส่วนคนของศูนย์บัญชาการหลักสมาคมหงเหมิน จะออกมาทีหลัง
“นายท่านแปด เสียนผายมาถึงแล้ว!”
“นายท่านเจ็ด หยินเฟิ่งมาถึงแล้ว!”
“นายท่านหก ฮวากวนมาถึงแล้ว!”
“นายท่านห้า ก่วนซื่อมาถึงแล้ว!”
“นายท่านสี่ จินเฟิ่งมาถึงแล้ว!”
“นายท่านสาม ตางเจียมาถึงแล้ว!”
“นายท่านรอง เซิ่งเสียนมาถึงแล้ว!”
“นายใหญ่ สิงฟู่มาถึงแล้ว!”
เสียงตะโกนดังอย่างไม่ขาดสาย ชายหญิงอายุต่างกัน 8 คนเดินเข้าไปข้างใน ทั้งหมดนี้เป็นผู้รับผิดชอบแปดตำหนักส่วนนอก ทุก ๆ คนมีเรื่องต้องรับผิดชอบมากมาย
เช่นนายใหญ่สิงฟู่ รับผิดชอบเรื่องการออกศึก นายท่านรองเซิ่งเสียน รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษา วางแผนกลุยุทธ์ต่าง ๆ ให้กับประธานใหญ่ ส่วนคุณท่านสามตางเจียรับผิดชอบเรื่องบัญชี เสบียง และคนอื่น ๆ ก็มีหน้าที่ของใครของมัน
หลังจากที่ผู้อาวุโสส่วนนอกนั่งประจำที่เสร็จ เสียงตะโกนดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้จะเป็นผู้อาวุโสส่วนใน คนแรกที่ถูกขานก็คือ เหลยหู่จากตำหนักอาญา
ลำดับการเข้างานไม่ต่างจากในทีวี คนที่มีตำแหน่งสูงสุดจะเข้างานเป็นลำดับสุดท้าย ซึ่งตำหนักอาญาอยู่ลำดับสุดท้ายของแปดตำหนักส่วนใน คนที่เข้างานคนแรกคือเหลยหู่
สีหน้าของเหลยหู่ไม่ค่อยดีนัก มีเผิงเหวินกวางยืนอยู่ข้าง ๆ หลังจากเข้ามาข้างใน เขาโบกมือทักทายคนที่นั่งอยู่อย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนถึงที่นั่งประจำของตัวเองและได้นั่งลง
คนที่สองคือนายใหญ่ตำหนักพิธีบ้างก็เรียกว่านายใหญ่ซ่างซู จากนั้นก็เป็นผู้อาวุโสสามท่านจาก ตำหนักลงทัณฑ์ ตำหนักธงดำ และตำหนักธงฟ้า คนที่เข้าต่อมาก็คือตู้เฟยจากตำหนักธงแดง
เห็นได้ชัดว่ามนุษย์สัมพันธ์ของตู้เฟยดีกว่าเหลยหู่ เพิ่งเข้ามาถึงด้านใน ผู้อาวุโสหลายท่านก็ลุกขึ้นทักทายกันถ้วนหน้า บรรดาคนที่ลุกขึ้นมีหลายคนเคยอยู่ที่ตำหนักคุมกฎมาก่อน จึงยังเคารพลำดับอาวุโสและแน่นอนยังนึกถึงผลประโยชน์ของตนเองอยู่
“เจ้าตำหนักสุคนธ์ มาถึงแล้ว!”
คนที่ปรากฏหลังตู้เฟย เป็นคนที่เยี่ยเทียนคุ้นเคยเป็นอย่างดีเช่นกัน ถังเหวินหย่วนที่มีไม้เท้าช่วยค้ำอยู่ แค่เดินเข้ามา คนในงานทั้งหมดก็ลุกขึ้นพร้อมกัน
ตำหนักสุคนธ์ หรือเรียกอีกอย่างว่าสภารับรองพันธมิตร มีหน้าที่เป็นคนนำในพิธีรับศิษย์ ปกติคนที่รับหน้าที่นี้จะเป็นผู้อาวุโสจากต่างประเทศ
ถังเหวินหย่วนเป็นแกนนำของธุรกิจชาวจีนแล้วยังมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับสมาคมหงเหมินอีก งานที่จัดขึ้นเมื่อปี 92 เขาถูกเลือกให้เป็นเจ้าตำหนักสุคนธ์
และเนื่องจากสถานะและกำลังทรัพย์ที่มากของถังเหวินหย่วน เหล่าผู้อาวุโสที่นั่งอยู่เกือบครึ่งหนึ่งเคยได้รับความช่วยเหลือจากเขา ฉะนั้นตอนที่ถังเหวินหย่วนเดินเข้ามาจึงมีแต่เสียงทักทายจากคนทั่วงาน
“เรียนเชิญเจ้าตำหนักพิธี !” เสียงตะโกนดังขี้นพร้อม ๆ กันกับถังเหวินหย่วนนั่งลง และเสียงตะโกนครั้งนี้ทำให้คนทั้งงานถึงกับหันไปมองพร้อมกัน
เจ้าตำหนักพิธีก็คือผู้ประกอบพิธีหลัก ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินพิธีรับศิษย์ เป็นตำแหน่งที่อยู่สูงมากแต่ไม่มีอำนาจใด ๆ แต่ผู้ประกอบพิธีหลักรุ่นนี้ไม่เหมือนกับรุ่นก่อน เพราะว่าเขาทำหน้าที่ประธานควบคู่ไปด้วย
แต่ก็เพราะสาเหตุนี้ ทุกคนจึงอยากรู้ว่าประธานใหญ่สมาคมหงเหมินรุ่นปัจจุบันที่นอนติดเตียงมาแล้ว 3 ปี จะปรากฏตัวในพิธีหรือไม่?
รถเข็นปรากฏขึ้นหน้าประตูพร้อม ๆ กับเสียงประกาศ บนรถเข็นมีคนแก่ผมขาวนั่งอยู่ แม้อากาศร้อนอบอ้าว แต่ก็ยังมีผ้าคลุมหนา ๆ คลุมไว้ที่ขา
“ประธานใหญ่สมาคม!”
“นายใหญ่ คือนายใหญ่!”
“ขอต้อนรับนายใหญ่!”
การปรากฏตัวขึ้นของบุคคลคนนี้ ทำให้บรรยากาศในพิธีครึกครื้นอีกครั้ง ทุกคนยืนขึ้นและปรบมือพร้อมกัน
แม้จะไม่รับผิดชอบงานในสมาคมตั้งนานแล้ว แต่ประธานสมาคมรุ่นนี้เคยติดตามพ่อของตู้เฟยจนมีทุกวันนี้ ฉะนั้นชื่อเสียงลือนามจึงเลื่องลือมากกว่าเหลยเจิ้นเยวี่ย
“เป็นวีรบุรุษแปลกหน้ามาพบโฉมงามเมื่อสายไป ” เยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ด้านนอกห้องพิธี มองดูคนแก่ที่อยู่ภายในงาน ความรู้สึกเกิดขึ้นภายในใจมากมายหลายอย่างจนไม่อาจอธิบายได้
ตอนที่ 600 ภูเขาดาบป่าหอก (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน มีวีรบุรุษมากมาย สุดท้ายแล้วก็ต้องถึงวันที่เป็นหนึ่งเดียวกับดิน เยี่ยเทียนรู้สึกถึงความ
ตายจากชายชราที่อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว น่าจะมีชีวิตเหลืออยู่อีกไม่มาก
“ท่านประธาน สุขภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทำไมถึงเดินทางมาด้วยตัวเองล่ะ?”
เมื่อมองเห็นคนแก่นั่งรถเข็นเข้ามาในงาน ถังเหวินหย่วนกับตู้เฟยที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดยังต้องเดินมาต้อนรับด้วยตัวเอง
ตู้เฟยยิ่งกว่า เขาผลักคนที่ช่วยเข็นรถเข็นออกไป และเข้าไปเข็นอาวุโสท่านนี้จนถึงเก้าอี้ตัวแรกด้วยตัวเอง
ผู้อาวุโสท่านนี้ก็คือประธานใหญ่ของสมาคมหงเหมินคนปัจจุบันมีนามว่า หลี่ซงชิว เขาเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสที่มีอายุมากแล้วที่ยังเหลืออยู่ ตอนนั้นหลี่ซงชิวกับพ่อของตู้เฟยเคยติดตามตู้เยวี่ยเซิงแห่งสำนักต้าเหิงในเซี่ยงไฮ้ ชื่อเสียงและลำดับศักดิ์จึงสูงกว่าเหลยเจิ้นเยวี่ย
ส่วนหลี่ซงชิวก็เป็นเสาหลักในสมาคมหงเหมินที่ใหญ่ที่สุดของตู้เฟย ครั้งนี้ตู้เฟยกลับมานั่งตำแหน่งเจ้าตำหนักธงแดงได้ก็เพราะการช่วยเหลือของหลี่ซงชิว ที่เดิมทีเหลยเจิ้นเยวี่ยตั้งใจอยากจะให้เหลยหู่เป็นคนได้นั่งในตำแหน่งนี้
“หงเหมินกับชิงปังเป็นสมาคมเดียวกันอยู่แล้ว ได้บันทึกเข้ากฏของสมาคมตั้งแต่งานที่จัดขึ้นในปี 92 ครั้งนั้น วันนี้มีลำดับรุ่น“ต้า”เข้าสมาคม คนเฒ่าคนแก่อย่างฉันต้องมาอยู่แล้วสิ…… ”
พูดเยอะมากในอึดใจเดียว หลี่ซงชิวถึงกับมีอาการหอบบ้างเล็กน้อย ตู้เฟยจึงต้องรีบตบที่หลังเบา ๆ และพูดว่า “ท่านประธาน มีนายท่านถังช่วยดูแลอยู่แล้ว ท่านจะกังวลอะไรอีก?”
“เสี่ยวเฟย มันเป็นเรื่องน่ายินดีของหงเหมิน คนแก่อย่างฉันใกล้เข้าโลงแล้วแต่ยังมีโอกาศได้เห็น แล้วจะไม่ให้มาได้ยังไง?”
หลี่ซงชิวสะบัดมือ ดวงตาที่ขุ่นมัวเล็กน้อยคู่นั้นมองไปที่ทุกคนในงาน รอยยิ้มเผยอยู่บนใบหน้า “หงเหมินผ่านอะไรมาเป็นร้อยปีและไม่เคยตกต่ำ ล้วนเป็นเพราะการปกปักคุ้มครองจากบรรพบุรุษทุกท่าน แค่ก…..แค่ก ๆ !”
ยังพูดไม่ทันจบประโยค หลี่ซงชิวก็ไอขึ้นมาอย่างรุนแรง ตู้เฟยถึงกับรีบหันไปเรียกหมอประจำตัวที่เดินตามเข้ามาด้วย และใส่หน้ากากออกซิเจนให้
“บัดซบเอ๊บ ไอ้แก่ตายยาก ทำไมยังมีชีวิตอยู่อีก?”
เหลยหู่ที่นั่งอยู่แถวที่แปด มองดูหลี่ซงชิวด้วยสีหน้าซึ่งมองในแง่ร้าย ถ้าไม่ใช่เพราะคน ๆ นี้ เขาคงได้ขึ้นไปนั่งตำแหน่งประธานใหญ่อย่างราบรื่นแล้ว เวลาจะทำอะไรก็ไม่ต้องโดนมัดมือมัดเท้าแบบนี้หรอก
หลังจากที่ชลมุนกันไปสักพัก ในที่สุดการหายใจของหลี่ซงชิวก็กลับมาเป็นปกติ หลี่ซงชิวดึงหน้ากากออกซิเจนออกยื่นมือออกไป เพื่อให้ตู้เฟยยื่นไมค์ให้กับเขา
“แค่ก ๆ ……”
เสียงไอเบา ๆ นี้ทำให้ภายในงานที่กำลังวุ่นวายนิ่งสงบลง สายตาทุกคู่จ้องไปที่อาวุโสท่านนั้น
“ดอกบัวไม่เคยห่างใบบัว สามลัทธิเดิมเป็นครอบครัวเดียวกัน วันนี้ลูกศิษย์บรรพจารย์ชิงปังหลี่ซั่นหยวนเข้าสำนัก ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีของหงเหมินยิ่งนัก ฉันหลี่ซงชิว ขอเชิญสภารับรองพันธมิตรถังเหวินหย่วนเป็นตัวแทนเปิดพิธีรับศิษย์!”
เสียงทุ้มต่ำของหลี่ซงชิว ดังเข้าไปในไมค์และถูกส่งออกมาผ่านลำโพงสู่ผู้คนภายในงาน ทันใดนั้นบรรยากาศภายในงานก็ดูเคร่งขรึมขึ้นมาและทุกคนก็ลุกขึ้น
“สภารับรองพันธมิตรถังเหวินหย่วน ได้รับความไว้วางใจจากผู้ประกอบพิธีหลักหลี่ซงชิว เพื่อประกอบพิธีรับศิษย์แห่งหงเหมิน ขอเชิญทุกท่านนมัสการบรรพบุรุษพร้อมกับผม!”
ถังเหวินหย่วนที่อายุน้อยกว่าหลี่ซงชิวไม่กี่ปี ในเวลานี้เขาวางไม้เท้าลง และยืนอยู่ด้านหน้าโต๊ะบูชาที่จัดเตรียมไว้แล้ว ผู้อาวุโสกับลูกศิษย์ซึ่งรวมจำนวนแล้วร้อยกว่าคนก็ลุกขึ้นทั้งหมด
“ธูปดอกที่หนึ่ง ไหว้ฟ้าดิน น้ำท่าบริบูรณ์ ปลอดภัยเป็นสุข!”
ถังเหวินหย่วนกำลังถือธูปที่มีขนาดเท่าแขน และปักลงกระถางทองสำริดที่อยู่ด้านหน้าโต๊ะบูชา จากนั้นถอยหลังสามก้าวคุกเข่าและกราบไหว้
เสียงกระทบดังขึ้น คนนับร้อยที่อยู่ด้านหลังถังเหวินหย่วนกราบไหว้ตาม แม้ว่าคนเหล่านั้นจะมีคนทำธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ว่าส่วนใหญ่ก็เป็นพวกทำอะไรติดชายขอบของกฎหมาย ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่พวกเขาจะมีความกลัวฟ้าดินอยู่บ้าง
“ธูปดอกที่สอง ไหว้บรรพบุรุษ……”
หลังจากรอทุกคนลุกขึ้นแล้ว ถังเหวินหย่วนรับธูปที่คนจัดเตรียมไว้ เริ่มกล่าวแบบเดิมและคุกเข่ากราบไหว้อีกครั้ง
หงเหมินกับพรรคชิงปังเหมือนกัน การเข้ามาเป็นสมาชิกในพรรคจะมีการแบ่งพิธีรับศิษย์แบบใหญ่กับแบบเล็ก และพิธีรับศิษย์แบบใหญ่ครั้งนี้จะมีพิธีกรรมที่ละเอียดซับซ้อนกว่า นอกจากผู้อาวุโสอย่างถังเหวินหย่วนแล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น น่าจะไม่มีใครจำขั้นตอนได้แน่นอน
เวลากว่าครึ่งชั่วโมงผ่านไป หลังจากผ่านการคำนับสามครั้งกราบไหว้หกครั้งแล้ว ถังเหวินหย่วนที่คุกเข่าอยู่ ตะโกนว่า “สองเข่าคุกเข่า จุดธูปทิศอู่ไถ ลูกศิษย์ขอเชิญบรรพบุรุษ แท่นบูชาจงเปิดทาง!”
ถังเหวินหย่วนลุกขึ้น เวลานี้ ถือว่าห้องพิธีได้ถูกเปิดออกแล้ว
ถังเหวินหย่วนเหนื่อยจนหอบ เขายิ้มอย่างสุดฝืนและส่ายหัว “ตู้เฟย พิธีหลังจากนี้เธอมาประกอบพิธีก็แล้วกัน ฉันไม่ไหวแล้วล่ะ”
ถังเหวินหย่วนไม่ใช่คนที่เคยฝึกศิลปะการต่อสู้มาก่อน เขาสามารถเปิดพิธีรับศิษย์จนเสร็จสิ้นด้วยอายุ 80 กว่าปี ถือว่าเก่ง แต่พลังที่ใช้ไปถือว่าถึงจุดสูงสุดของเขาแล้ว และเขาเองก็ไม่มีเรี่ยวแรงดำเนินพิธีต่อ
“ให้ผมดำเนินพิธี?” ตู้เฟยอึ้งกับคำพูดและตอบว่า “ไม่…..ไม่ค่อยเหมาะสมมั้งครับ?”
ต้องเข้าใจว่า ในหงเหมิน ผู้ประกอบพิธีจะต้องมีตำแหน่งประธานใหญ่ควบคู่กันไป ซึ่งถือว่าเป็นการให้ความสำคัญกับพิธีรับศิษย์ด้วย ส่วนสภารับรองพันธมิตร ล้วนเป็นผู้อาวุโสภายในสำนักดำรงตำแหน่ง ทั้งสองตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญมาก
แม้ตู้เฟยจะดำรงตำแหน่งที่สามในหงเหมิน แต่ไม่ว่าจะเป็นสถานะหรือลำดับศักดิ์ คนที่มีสถานะหรือลำดับศักดิ์สูงกว่าเขา ถือว่ามีอยู่ไม่น้อย ถ้าเขาออกมาประกอบพิธีจริง ๆ คนแรกที่จะไม่พอใจก็คือเหลยหู่
“ไม่เหมาะสมตรงไหน?”
ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวย หลี่ซงชิวที่นั่งพักบนรถเข็นยื่นมือไปหยิบไมค์และพูดด้วยเสียงต่ำว่า “เจ้าตำหนักธงแดง ตู้เฟยจะประกอบพิธีแทนฉันชั่วคราว ใครมีความเห็นอะไรมั้ย?”
แม้ผมจะขาวหงอก หลังจะค่อม แต่พลังของเสือแก่ไม่เคยคลาย คำถามของหลี่ซงชิวดังก้องไปทั้งงาน เสียงไอก็ยังไม่มี
แม้แต่คนที่หัวแข็งดื้อรั้นอย่างเหลยหู่ หลังจากโดนสายตาของหลี่ซงชิวจ้องหนึ่งที ก็ยังต้องหลบ
เหลยหู่เริ่มกล่าวโทษพ่อของตนเองที่ป่วยไม่เป็นเวลาอยู่ภายในใจ ถ้าพ่ออยู่ตรงนี้ ตาแก่หลี่ซงชิวจะกล้าเหิมเกริมอยู่แบบนี้หรือ?
“ตกลง ตู้เฟย ขึ้นไปประกอบพิธีเลย อย่าทำให้หงเหมินดูเหมือนอ่อนแอล่ะ อย่าละเลยรุ่นพี่ที่เข้าหงเหมินด้วย! ” หลี่ซงชิวไอเบา ๆ และส่งมอบไมค์ให้กับตู้เฟย
“ครับ ท่านประธานใหญ่!”
หลังจากรับไมค์มาแล้ว ใบหน้าของตู้เฟยมีความตื่นเต้นออกมาเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ว่าหงเหมินมีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น
ไม่ใช่แค่ตู้เฟยคนเดียว แม้แต่เหล่าอาวุโสที่อยู่ในงานก็รู้สึกเหมือนกัน เพราะว่าผู้สมัครผู้ประกอบพิธีหลักหรือผู้ประกอบพิธีชั่วคราว ล้วนมีสิทธิดำรงตำแหน่งประธานใหญ่คนต่อไป
พรรคต่าง ๆ ในยุทธจักรก็คล้ายกับราชสำนักในสมัยก่อน ที่ให้ความสำคัญเรื่องถูกหลักทำนองคลองธรรม ชอบด้วยเหตุผลมาก สมัยก่อนผู้อาวุโสหงเหมินจะดำรงตำแหน่งได้ก็ต่อเมื่อผู้อาวุโสคนก่อนหน้าเป็นผู้เลือก
แม้ในปัจจุบัน ประธานใหญ่จะไม่มีอำนาจในการเลือกคนต่อไปแล้ว แต่สิทธิการแนะนำยังคงมีอยู่
หลังจากตู้เฟยรับหน้าที่เป็นผู้ประกอบพิธีชั่วคราวแล้ว ทุกคนในงานเพิ่งจะพบว่า ตู้เฟยเป็นหนึ่งในคนที่มีสิทธิเข้าชิงตำแหน่งประธานใหญ่เหมือนกัน และการสนับสนุนจากหลี่ซงชิวจะทำให้เขามีโอกาสได้รับตำแหน่งมากยิ่งขึ้น
เหลยหู่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ กัดฟันแน่น เส้นเลือดมือข้างขวาปูดขึ้นชัดเจน เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธมาก และเสียดายที่วันนั้นไม่แตกคอกับตู้เฟยไปเลย ไม่เช่นนั้นคงจะแย่งเยี่ยเทียนไปและคงไม่มีพิธีรับศิษย์วันนี้หรอก
แต่ก็สายไปแล้ว เหลยหู่มองไปที่เผิงเหวินกวงที่อยู่ตรงข้ามห่างออกไปสิบกว่าเมตร หลังจากที่เห็นเผิงเหวินกวงพยักหน้าให้ อารมณ์โกรธของเขาก็ลดลง
ส่วนตู้เฟยไม่มีเวลาเดาว่าเหลยหู่คิดอะไรอยู่ หลังจากรับตำแหน่งผู้ประกอบพิธีชั่วคราวแล้ว เขายืนอยู่ด้านหน้าสุด และตะโกนคำว่า “ขอเชิญเยี่ยเทียนเข้าห้องพิธี!”
“ขอเชิญเยี่ยเทียนเข้าห้องพิธี……”
“ขอเชิญเยี่ยเทียนเข้าห้องพิธี……”
ตามกฎระเบียบแล้ว หลังจากกล่าวคำเชิญสามครั้งออกไป เจ้าตำหนักคุ้มกฎจะรอเยี่ยเทียนเคาะประตู ส่วนประตูจะถูกปิดไว้ตั้งแต่ก่อนดำเนินพิธี
“บ้าเอ๊ย ระเบียบเยอะจริง เยอะกว่าตอนที่อาจารย์บอกอีก!”
เยี่ยเทียนยืนรออยู่นอกประตูหนึ่งชั่วโมงกว่า เพิ่งมีคนยื่นน้ำให้เขา “ชำระหน้า” กับ “ชำระปาก”
ชำระหน้าคือใช้น้ำเปล่าล้างหน้า ชำระปากคือการบ้วนปากและดื่มน้ำ น้ำคำแรกใช้บ้วนเท่านั้นห้ามกลืนเข้าไป น้ำคำที่สองจะเป็นน้ำสะอาด ต้องกลืนเข้าไป นี่เป็นกฏระเบียบก่อนเข้าห้องพิธี
หลังจากได้ยินคำว่า “เข้าห้องพิธี” เสร็จ เยี่ยเทียนก้าวไปข้างหน้า และเคาะประตูบานสีแดงแกะสลักรูปมังกร 9 ที
“ผู้ที่อยู่ด้านนอกประตูคือผู้ใด?” ประตูใหญ่ไม่ได้เปิดออก แต่เป็นเสียงจากเจ้าตำหนักคุ้มกฎ
“เข้าไปจุดธูป เข้าไปแก้บน!” เยี่ยเทียนตอบกลับ
“จุดธูปกี่ดอก?” เจ้าตำหนักคุ้มกฎถามต่อ
“จุด 5 ดอก!”
“5 ดอกไหน?”
“ดอกแรกสิ่งศักสิทธิ์ทุกชั้นฟ้าทุกชั้นดิน ดอกสองเรียนรู้ความเมตตากรุณา ยุติธรรม สุภาพ อ่อนโยน สุขุมรอบรู้และจริงใจ ดอกสามธาตุเหล็ก น้ำ ไม้ ไฟ ดิน ดอกสี่สันติสุขทั้งสี่ฤดู……”
คำพูดเหล่านี้ อาจารย์เคยสอนเยี่ยเทียนตั้งแต่สิบกว่าปีก่อนแล้ว แต่ว่าก่อนการประกอบพิธีรับศิษย์ครั้งนี้ ตู้เฟยสั่งให้คนเขียนและส่งให้เยี่ยเทียนอีกครั้ง เพราะถ้าเยี่ยเทียนตอบไม่ได้แม้แต่ข้อเดียว ประตูใหญ่จะไม่ถูกเปิดออก
การถามตอบแบบนี้มีที่ไปที่มา สืบเนื่องจากสิ่งที่หงเหมินทำอยู่คือการต้านชิงฟื้นหมิง ช่วงที่ก่อตั้งแรก ๆ ต้องโดนราชสำนักตามจับตัวแน่นอน ดังนั้นการสื่อสารภายในของลูกศิษย์จึงเลือกใช้คำลับทั้งหมด และสืบทอดไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นระบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ
พิธีการรับศิษย์โดยทั่วไป ไม่จำเป็นต้องซับซ้อนเท่านี้ แต่เพราะลำดับศักดิ์ของเยี่ยเทียนค่อนข้างสูง และทางหงเหมินเกรงว่าถ้าหากประกอบขั้นตอนไม่ครบถ้วนจะถูกเยี่ยเทียนดูถูกเอาได้ ทางหงเหมินจึงต้องเลือกใช้พิธีแบบโบราณสมัยหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน
“เปิดประตู!” หลังจากถามตอบกันเสร็จ ในที่สุดประตูใหญ่ก็ถูกเปิดออก สายตากว่าร้อยคู่จ้องมองเยี่ยเทียนที่สวมใส่ชุดจีนคลุมยาว(ฉางเผา)
“เยี่ยเทียน เดินไปจุดธูปให้กับบรรพจารย์ ไขว้ดาบใหญ่และหอกยาว! ” เมื่อมองเห็นเยี่ยเทียนปรากฏตัวขึ้นตรงประตู เจ้าตำหนักคุ้มกฎตะโกนเสียงดังออกมา
ชายร่างใหญ่เปลือยท่อนบนหนึ่งร้อยกว่าคนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทุกคนพร้อมๆ กับเสียงตะโกนของเจ้าตำหนักคุ้มกฎ ในมือของพวกเขาถือดาบใหญ่และหอกยาว ไขว้กันไว้ ตั้งแต่ทางเข้าประตูจนถึงบริเวณโต๊ะบูชา จนกลายเป็นเป็นภูเขาดาบและป่าหอก
“ใครเป็นคนจัดพิธีการส่วนนี้?”
หลังจากเห็นฉากนี้สีหน้าของถังเหวินหย่วนที่ยืนอยู่หน้าห้องไหว้และคนอื่นๆ หม่นหมองไปพร้อมๆ กัน
ตอนที่ 601 ภูเขาดาบป่าหอก (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
อย่างเช่นพิธีการภูเขาดาบป่าหอกแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่แต่งขึ้นมาในละคร แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงในสมาคมต่างๆ ของยุทธจักร
พิธีการนี้จะถูกจัดขึ้นก็ต่อเมื่อสมาคมที่เป็นศัตรูเข้ามากราบไหว้บรรพชนของสมาคม เป็นการแสดงอิทธิพลและอำนาจแก่ฝ่ายตรงข้าม ไม่เคยมีสมาคมไหนประกอบพิธีนี้ในตอนรับศิษย์
ฉะนั้นตอนที่ชายร่างใหญ่จับดาบจับหอกขึ้นมา ไม่เพียงแต่หลี่ซงชิวกับถังเหวินหย่วนที่มีสีหน้าเปลี่ยนไป คนที่มาชมพิธีคนอื่นๆ ก็รู้สึกประหลาดใจกันถ้วนหน้า
“ฉางหลง ใครสั่งให้ทำแบบนี้?”
หลี่ซงชิวรู้สึกเลือดพลุ่งพล่านอยู่กลางหน้าอก เขายังไม่ตาย แต่มีคนในหงเหมินกล้าขัดคำสั่งของเขาถึงเพียงนี้ สองตาของคนแก่คนนี้มีลำแสงส่องตรงไปยังเจ้าตำหนักคุ้มกฎที่ยืนอยู่ตรงประตู
“ประธานใหญ่ แม้หงเหมินกับชิงปังจะเป็นสมาคมเดียวกันแล้ว แต่เยี่ยเทียนอายุยังน้อย พริบตาเดียวก็ได้ลำดับศักดิ์สูงขนาดนี้ ผมกลัวว่าลูกน้องในสมาคมจะไม่พอใจเอานะครับ……”
ฉางหลงที่กำลังพูดอยู่ อายุ 50 กว่า ส่วนสูงประมาณ 1.7 เมตร สองแขนยาวมาก เวลาวางแขนแนบไปกับลำตัวเหมือนจะยาวไปถึงหัวเข่า และมีไหล่ที่กว้างมาก ศิลปะการต่อสู้ที่เขาฝึกน่าจะเป็นประเภทมวยทงปี้(ส่งพลังตามแขน)
สถานะของฉางหลงอยู่ต่ำกว่าตู้เฟยแค่ขั้นเดียว นับว่าเป็นตำแหน่งที่สำคัญมากทีเดียวในสมาคมหงเหมิน แม้ฉางหลงจะอยู่ต่อหน้าหลี่ซงชิว เขาก็ไม่แสดงความอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย
สิ่งที่ฉางหลงพูดออกมา ทำให้บรรยากาศภายในแปลกไปเล็กน้อย
เยี่ยเทียนเข้าสมาคมหงเหมินด้วยสถานะผู้อาวุโสของชิงปังด้วยการเสนอของตู้เฟย แม้จะได้รับการยินยอมจากหลี่ซงชิวแล้วก็ตาม แต่สำหรับคนอื่นๆ ในสมาคมหงเหมินแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องกระทันหันเกินไปจริง ๆ
การที่เยี่ยเทียนจะเข้ามาร่วมสมาคมหงเหมิน ไม่มีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของเหล่าอาวุโส แต่เพราะจะมี “เจ้าตำหนัก” เพิ่มขึ้นมาอีกคน ยังไงก็ต้องรู้สึกไม่พอใจแน่นอน
“เจ้าตำหนักฉางพูดถูก ไม่ใช่ว่าใคร ๆ ก็จะเข้าสมาคมหงเหมินก็ได้!”
“นั่นนะสิ นักพรตหลี่ซั่นหยวนเป็นผู้อาวุโสของชิงปังก็จริง แต่ลูกศิษย์ของเขาเป็นคนแบบไหน ไม่มีใครรู้เลย?”
“สมาคมหงเหมินไม่ต้องการคนขี้ขลาด ถ้าแน่จริงก็ข้ามภูเขาดาบป่าหอกให้ได้สิ ถ้าข้ามได้ พวกเราจะยอมรับในตัววีรบุรุษผู้นี้แน่นอน!”
ก่อนหน้านี้ไม่มีใครกล้าพูดอะไรเกี่ยวกับอำนาจของหลี่ซงชิว แต่พอมีคนเริ่ม พวกเขากลับไม่สนใจสิ่งใด และเริ่มแสดงความคิดเห็นกันต่างๆ นานา
บางคนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเหลยหู่ สิ่งที่พูดออกมาจึงค่อนข้างไม่น่าฟัง สถานที่ประกอบพิธีที่ศักดิ์สิทธิ ตอนนี้กลับ
เหมือนตลาดนัด เสียงดังวุ่นวายไม่มีสิ่งใดอาจเทียบได้
เหลยหู่ที่กำลังมองดูสิ่งที่เกิดขึ้น มันทำให้เขาถึงกับยิ้มที่มุมปาก แต่หลังจากที่สบตากับเจ้าตำหนักคุ้มกฎแล้ว เขาก็เก็บรอยยิ้มนั้นไว้
พิธีการนี้จัดขึ้นโดยเผิงเหวินกวง ส่วนเจ้าตำหนักคุ้มกฎเป็นลูกศิษย์รองของเหลยเจิ้นเยวี่ย เป็นศิษย์พี่ของเหลยหู่ ถือว่าเป็นคนที่จะโรจน์และร่วงไปพร้อมกับตระกูลเหลย ฉะนั้นเขาจึงทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายงานรับเยี่ยเทียนเข้าสมาคม
“ฉางหลง งานประชุมในปี 92 ก็บอกไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าสมาคมหงเหมินกับชิงปังเป็นครอบครัวเดียวกัน เยี่ยเทียนเป็นลูกศิษย์ชิงปังที่เคยเข้ารับการรับศิษย์แบบเล็กมาแล้ว 3 ปี เขามีสิทธิเข้าสมาคมหงเหมินของพวกเราอยู่แล้ว ทำไมแกต้องทำแบบนี้ด้วย?”
หลี่ซงชิวที่ฟังเสียงวิพากย์วิจารณ์ไปพร้อมกับรู้สึกโกรธ ในฐานะที่เป็นประธานใหญ่ของสมาคม ๆ หนึ่ง เขาได้ข่มอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ และถามฉางหลงถึงเหตุผล
เสียงของหลี่ซงชิวยังไม่สิ้น ตู้เฟยรีบแทรกเข้ามา “นั่นนะสิฉางหลง โบราณเคยกล่าวไว้ว่า จากชิงไปหง ยินดีปรีดา จากหงไปชิง ถลกหนังเลาะเส้นเอ็น นี่แกกำลังทำให้สมาคมหงเหมินเราเสียหน้านะ? หงเหมินไม่มีน้ำใจกันขนาดนี้เลยรึ? ”
สิ่งที่ตู้เฟยกำลังพูด เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นสมัยที่ชิงปังยังไม่ได้เข้าร่วมการต้านชิงอย่างจริง ๆ จัง ๆ ดังนั้นสมาคม หงเหมินจึงถูกมองว่าเป็นกบฏมาโดยตลอด จึงสั่งห้ามสมาชิกสมาคมหงเหมินย้ายไปชิงปังโดยเด็ดขาด
แต่เพื่อไม่ให้มีข้อพิพาท สองพรรคจึงมักพูดว่า “ชิงหงเป็นครอบครัวเดียวกัน” สิ่งที่เรียกว่า “ดอกแดงใบเขียวรากบัวขาว (หมายถึง หงเหมิน ชิงปัง ลัทธิบัวขาว) ทั้งสามสมาคมนี้เดิมเป็นครอบครัวเดียวกัน”
“เอ่อ…..เอ่อคือ….”
ฉางหลงไม่คิดว่าหลี่ซงชิวกับตู้เฟยจะสนับสนุนเยี่ยเทียนถึงเพียงนี้ ถูกสองคนถามพร้อมกันจนพูดไม่ออก หน้าผากก็เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
“ท่านประธานใหญ่ เจ้าตำหนักตู้ ภูเขาดาบป่าหอก เป็นเพียงการเดินผ่านเท่านั้น เยี่ยเทียนจะเข้ามาเป็นผู้อาวุโสของสมาคมหงเหมิน ถ้าไม่กล้าเดินข้าม สมาชิกในสมาคมหงเหมินไม่น่าจะพอใจเท่าไหร่นะ?”
ตอนที่เห็นฉางหลงถูกหลี่ซงชิวสองคนนั้นถามจนตอบไม่ได้ เหลยหู่ลุกขึ้นมาพูด ทันใดนั้น คนในงานก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
คนในสมาคมหงเหมินส่วนใหญ่ทราบกันดีว่าเหลยหู่มีใจอยากจะแย่งตำแหน่งประธานสมาคม แต่บางคนก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเหลยหู่ถึงสนใจเรื่องที่เยี่ยเทียนจะเข้าสมาคมหงเหมินขนาดนี้?
ตอนนี้เหลยหู่ก็เองก็ถอยไม่ได้แล้ว เขาเคยคิดร้ายต่อเยี่ยเทียนและกลัวว่าถ้าเยี่ยเทียนเข้ามาเป็นสมาชิกในสมาคมหงเหมินแล้ว จะใช้กฏของสมาคมหงเหมินมาสอบสวนเขา
เหลยหู่เลยยืนยันว่าจะให้เยี่ยเทียนข้ามภูเขาดาบป่าหอกให้ได้ อยากจะแกล้งคนหนุ่มอายุยี่สิบต้นคนนี้ เพื่อบีบบังคับให้เขาจะถอยก็ถอยไม่ได้ จะไปข้างหน้าก็ไม่รู้จะทำยังไง
เมื่อเป็นเช่นนี้ หนึ่งเขาสามารถหลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจะเกิดขึ้นในอนาคตเกี่ยวกับการถูกถาม สองเขาสามาถใช้เรื่องนี้หักหน้าตู้เฟยกับหลี่ซงชิว ให้ทุกคนรู้ว่าถ้าไม่มีอำนาจของตระกูลเหลยสนับสนุนสมาคมหงเหมิน สมาคมหงเหมินจะไม่สามารถทำอะไรได้เลย
“เจ้าตำหนักเหลยก็พูดถูก พี่น้องสมาคมหงเหมินไม่มีใครไม่ฝ่าอันตรายมาด้วยกัน แค่เดินข้ามภูเขาดาบป่าหอกแค่นี้จะเป็นอะไรไป”
“ใช่ ถ้าแค่นี้ยังไม่กล้า ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกสมาคมหงเหมิน!”
ตระกูลเหลยมีรากฐานที่มั่นคงในสมาคมหงเหมิน และคนที่สนับสนุนเหลยหู่ก็พอมีอยู่บ้าง เสียงพูดของเหลยหู่เพิ่งสิ้นไป ผู้อาวุโสหลายท่านทั้งจากแปดตำหนักส่วนนอกและส่วนในต่างก็เริ่มแสดงความคิดเห็นกันต่าง ๆ นานา
“เอ่อ?” หลี่ซงชิวรู้สึกว่าสถานการณ์เริ่มสูญเสียการควบคุม ก็เริ่มลังเลขึ้นมา
จริง ๆ แล้วหลี่ซงชิวไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเยี่ยเทียนเลย เขาแค่อยากใช้โอกาสนี้ ช่วยให้ตู้เฟยได้ดำรงตำแหน่งก็เท่านั้น แต่เขาไม่คิดว่าเหลยหู่จะแทรกเข้ามาแบบนี้
“ท่านประธานใหญ่ พิธีการแค่นี้เยี่ยเทียนไม่สะทกสะท้านหรอก!”
ตู้เฟยกระซิบข้างหูหลี่ซงชิวคำหนึ่ง ลุกขึ้นยืน และพูดด้วยเสียงสูงว่า “เยี่ยเทียน ห้องพิธีอยู่ตรงนี้ กล้าเดินข้ามมามั้ย?!”
ในเมื่อพิธีการภูเขาดาบป่าหอกถูกจัดขึ้นแล้ว และทุก ๆ คนก็อยากให้เยี่ยเทียนก้าวข้ามให้ได้ ถ้าตู้เฟยยังยืนหยัดอยู่ละก็ จะมีแต่ทำให้พวกเขาสงสัยในจุดประสงค์อันแท้จริงของเขา
“ใจร้อนมากเกินไปแล้ว เหลยหู่เป็นคนดีที่ไหนล่ะ? ” หลังจากเห็นการกระทำของตู้เฟย หลี่ซงชิวถึงกับส่ายหัว จากนั้นจึงส่งสายตาให้กับผู้ช่วยประธาน
ผู้ช่วยประธานตอบรับพยักหน้าให้แล้วเอนตัวไปด้านหลัง สั่งการอะไรบางอย่างเอาไว้อย่างเงียบ ๆ จากนั้นก็หายไปจากงานอย่างไร้ร่องรอย
“ข้ามภูเขาดาบป่าหอก เรื่องเล็กแค่นี้ ผมจะไม่กล้าได้ยังไง?”
เยี่ยเทียนที่ได้ยินคำตะโกนของตู้เฟยเสร็จ เขายิ้มออกมาและพูดว่า “ปีนั้นอาจารย์ของผมนักพรตหลี่ซั่นหยวนมุ่งสู่ชวนจง(เสฉวน)เพียงลำพัง พรรคเจียงเซียงก็จัดตั้งภูเขาดาบป่าหอก ไม่คิดเลยว่าวันนี้ผมจะมีโอกาสได้สัมผัสเหมือนกัน? ”
พอเยี่ยเทียนพูดออกไป สีหน้าของคนในงานคนหนึ่งก็เปลี่ยนไป คน ๆ นั้นก็คือหลัวจื้อปิ่ง รองเจ้าตำหนักส่วนนอก และเป็นปรมาจารย์หลัวที่เยี่ยเทียนรู้จักตอนอยู่ที่ปักกิ่ง
หลัวจื้อปิ่งเกิดในพรรคเจียงเซียง การมีเล่ห์เลี่ยมจึงเป็นสิ่งที่เขาถนัดอยู่แล้ว การได้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าตำหนักดูแลกำลังพล มีหน้าที่คิดวางแผนกลยุทธ์ ก็เหมาะสมกับสถานะของเขาเป็นอย่างดี
แต่ในเวลานี้ พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดถึงเรื่องสมัยก่อน หลัวจื้อปิ่งก็รู้สึกสับสนเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะหลี่ซั่นหยวนเดินทางไปชวนจงในครั้งนั้น ฉินไป่ชวนอาจารย์ของเขาก็คงไม่พาเขาหนีออกนอกประเทศหรอก
แน่นอนว่า เรื่องนี้ผ่านมาแล้วกว่าเกือบครึ่งศตวรรษ หลัวจื้อปิ่งจึงไม่มีกระจิตกระใจจะแก้แค้นอีกต่อไป เพราะรู้ดีว่าคนหนุ่มคนนี้น่ากลัวมากแค่ไหน เขาได้ไปเยี่ยมเยี่ยเทียนตั้งแต่หลายวันก่อนมาแล้วด้วย
พอเห็นเยี่ยนเทียนจะข้ามจริง ๆ สีหน้าของเหลยหู่กลับแย่กว่าเดิม พูดอย่างติดขัดว่า “ผู้อาวุโสเยี่ย ดาบและหอกไม่มีตา ถ้าเกิดพลาดขึ้นมา คนที่จะได้รับบาดเจ็บคือท่านนะครับ”
เดิมทีเหลยหู่ต้องการใช้วิธีนี้เพื่อให้เยี่ยเทียนทำอะไรไม่ถูก แต่ไม่คิดว่าคนหนุ่มคนนี้จะกล้าทำจริง มันทำให้เขารู้สึกพลาดท่าจนต้องหงายหลังและอึดอัดมากที่สุด
“เหอะ ๆ ขอบคุณที่เป็นห่วง แค่ข้ามพิธีการแค่นี้เอง ผมต้องกลัวอะไรเหรอ”
ปากพูดขอบคุณ แต่ใบหน้ากลับแสดงสีหน้าเย็นชาออกมา จนถึงเวลานี้ แม้แต่คนตาบอดก็มองออกว่าเหลยหู่คิดยังไง เขาเพียงต้องการใช้วิธีนี้ทำให้เยี่ยเทียนลำบากใจก็เท่านั้น
“ตกลง ผู้อาวุโสเยี่ย เก่งมาก!”
“สมแล้วที่เป็นลูกศิษย์ของนักพรตหลี่ซั่นหยวน เยี่ยมจริง ๆ !”
ไม่ว่าเยี่ยเทียนจะผ่านพิธีการภูเขาดาบป่าหอกได้หรือไม่ แต่สิ่งที่เขาพูดออกมาดูเหมือนจะมีความมั่นใจมาก จนคนรอบข้างยังต้องรู้สึกเห็นชอบ
“บ้าเอ้ย เตือนแล้วไม่ฟัง คิดจะลองเองนะ อย่าหาว่าคนอย่างฉันใจร้ายก็แล้วกัน?”
เมื่อมองเห็นเยี่ยเทียนก้าวขา เหลยหู่ถึงกับทำอะไรไม่ถูก จึงสบตากับเผิงเหวินกวงที่ยืนอยู่ตรงหน้า
เหลยหู่จะไม่มีวันให้เยี่ยเทียนเข้ามาเป็นสมาชิกสมาคมหงเหมินอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นเรื่องที่เขารวมหัวกับซ่งเสี่ยวหลงยึดครองทรัพย์สินของซ่งเหวยหลัน อาจทำให้ตระกูลเหลยสูญเสียทุกอย่างในสมาคมหงเหมินได้
มองดูสายตาของเหลยหู่ที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น เผิงเหวินกวงถึงกับอึ้ง เพราะเรื่องนี้เกินความคาดหมายของเขาไปมาก ถ้าหากจะให้เยี่ยเทียนได้รับบาดเจ็บจากพิธีการนี้จริง เรื่องคงจะไปกันใหญ่
แต่เผิงเหวินกวงรู้ดีว่าตอนนี้พวกเขาขี่บนหลังเสือแล้วจึงลงไม่ได้ สู้ให้เยี่ยเทียนจบชีวิตลงใต้คมดาบดีกว่าเข้ามาเป็นสมาชิกสมาคมหงเหมิน เมื่อถึงเวลานั้นคงไม่มีใครกล้าประจันหน้ากับตระกูลเหลยเพราะคนตายหรอก
คำสั่งเงียบๆ ถูกส่งออกไปผ่านสัญญานมือของเผิงเหวินกวง มีลูกศิษย์บางคนที่อยู่ในพิธี แสดงอาการรับรู้ออกมาในทันใด สองมือยังคงถือดาบใหญ่เอาไว้
“หืม? สุนัขจนตรอกจริงๆ เหรอ?”
เยี่ยเทียนที่เตรียมเดินเข้าไปในนั้น ในใจเหมือนจะสัมผัสบางอย่างได้ สายตามองไปที่ภูเขาดาบป่าหอกตรงนั้น
บนโลกนี้ สิ่งที่มองเห็นยากที่สุดก็คือใจคน และในขณะเดียวกันสิ่งที่ปิดบังยากที่สุดก็คือใจคนเช่นกัน เยี่ยเทียนสามารถสัมผัสได้ด้วยการใช้การเคลื่อนที่ของพลังลมปราณชีวิต และสัมผัสได้กับความอาฆาตที่ออกมาจากใจลึกๆ
มุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อยและยิ้มออกมาเป็นเส้นโค้ง เยี่ยเทียนอกผายไหล่ผึ่งเดินเข้าไปยังภูเขาดาบป่าหอก
แสงระยิบของมีดและหอกที่อยู่บนหัว ดูเหมือนจะตกลงมาได้ทุกเมื่อ ส่วนคนที่ดูอยู่ต่างก็ตื่นเต้นแทนเยี่ยเทียนจนเหงื่อออกกันถ้วนหน้า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น