ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 592-593
ตอนที่ 592 ก่อนตายก็ลากเอาเบาะรองไปด้วย
ใบหน้าที่เคยถูกเพลิงเผาเผลาญอย่างรุนแรง อัปลักษณ์จนคนต้องหวาดผวา
ด้ายแดงที่เย็บลำคอให้ติดกันจนรอบ ตอนนี้ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำอย่างช้าๆ
พอลำคอของเขาขยับเบาๆ ก็สามารถมองเห็นได้เลยว่าผิวเนื้อใต้ลำคอกำลังจะพลิกออกมา ยิ่งเมื่อประกอบกับใบหน้านั้น ก็เกินพอทำให้กระเพาะลำไส้ของผู้คนติดขัดไปหมดแล้ว
คนหนุ่มผู้นั้นขมวดหัวคิ้ว สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นย่ำแย่ขึ้นมา
เขามีเส้นผมสีดำอมน้ำเงินเข้มทั่วทั้งศีรษะ ทั้งยังมีดวงตาสีครามที่งดงามคู่หนึ่ง เพียงแต่ว่าในตอนนี้ ดวงตาคู่นั้นมีแต่ความชิงชังและรังเกียจ
“ไหมมัดชีพ ใต้เท้ายินยอมใช้กับร่างของเจ้า เจ้าสมควรสำนึกในบุญคุณและตอบแทนด้วยภักดีจึงจะถูก” ผ่านไปอีกพักใหญ่ เขาถึงได้กดความรังเกียจนั้นลงไปได้สำเร็จ แม้แต่น้ำเสียงก็เย็นชาขึ้นกว่าเดิมอีกหลายส่วน
ฟ่านอิงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง หนุ่มน้อยผู้นี้เขาพึ่งจะเคยเจอเป็นครั้งแรก หน้าตานับว่าหล่อเหลาดีอยู่ เพียงแต่กลิ่นไอความเกลียดชังรุนแรง จนกระทั่งทำให้ปลายคิ้วยืดยาวและชี้อยู่เสมอ บนสวรรค์ก็มีคนที่ดูแล้วไม่ปกติเท่าไหร่เช่นนี้อยู่ด้วย?
ถูกแล้ว หนุ่มน้อยผู้นี้แค่ดูก็รู้ว่าไม่ได้มีกลิ่นอายของแดนสวรรค์ ที่จริงแล้วบนร่างของเขายังมีกลิ่นอายที่ชั่วร้ายเสียด้วยซ้ำ
ฟ่านอิงคิดๆดู แม้แต่คนที่ปีนป่ายกลับขึ้นมาจากความตาย คนผู้นั้นก็ยังรับเอาไว้ ก็คงไม่ต้องไปพูดถึงหนุ่มน้อยที่ดูเป็นปกติกว่าเขามากแล้ว
“เจ้ามีนามว่าอะไร?”
“นามที่เจ้าไม่คู่ควรจะได้รู้จัก” หนุ่มน้อยส่งสายตาเย็นชาให้กับเขา แม้ว่าเขาจะสวมใส่ชุดสีทองเอาไว้ทั้งร่าง แต่ว่าก็ไม่อาจปิดบังไอความมืดที่อยู่ในร่างของเขาได้อยู่ดี
ว่าแล้ว หนุ่มน้อยผู้นั้นก็ขยับเข้ามาใกล้เขาอีกก้าวหนึ่ง “เรื่องที่ต้าซือมิ่งตายไป ใต้เท้าได้ทราบแล้ว ที่มาในครั้งนี้ เพียงต้องการตัวฮ่องเต้หญิงหญิงแห่งดินแดนโบราณ”
ชายหนุ่มผู้นั้นก็ไม่คิดจะกล่าววาจาไร้สาระกับเขา เพียงแต่ว่ายามที่เอ่ยถึงฮ่องเต้หญิงแห่งดินแดนโบราณหลายคำนั้น เขาถึงกับแทบจะกัดฟันกรอด
แม้ว่าจะอยู่ต่อหน้าฟ่านอิงก็ไม่ได้คิดจะปิดบังอะไร ราวกับว่าอย่างจะสับคนเป็นแปดส่วนให้จงได้
ด้านหลังของเขามีคนยืนอยู่ห้าคน คนทั้งห้ามีบุคลิกอันสูงส่ง แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่เห็นฟ่านอิงอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
ฟ่านอิงได้ยินแล้ว ก็หัวเราะเสียงเย็นชาออกมา “นางเป็นหลานสาวของข้า เกรงว่าคงต้องทำให้ทุกท่านผิดหวังแล้ว ไม่ให้”
“เจ้า!” ชายหนุ่มผู้นั้นขุ่นเคืองในทันที!
หลังโกรธเคืองก็คลี่ยิ้มออกมา แววตาของเขาดูโหดร้ายอย่างที่สุด “เดิมทีเห็นแก่ที่เจ้าถูกเลี้ยงดูมานานหลายปี ใต้เท้าคิดจะปล่อยเจ้าไป แต่ว่าตอนนี้ดูแล้ว เจ้ามันไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว ก็เป็นแค่ศพเน่าเหม็นของคนที่ตายไปแล้ว ยังคิดจะทำตัวเป็นวีรบุรุษปกป้องคนเอาไว้อีกหรือ?”
“นางเป็นหลานสาวของเขา แน่นอนว่าย่อมต้องปกป้อง”
คำพูดของฟ่านอิง กระตุ้นให้คนหนุ่มผู้นั้นขุ่นเคือง สามง่ามของเขากระแทกลงบนพื้นอย่างแรง เสียงแตกของพื้นดังสะท้อนลึกลงไป หอชมจันทราที่พึ่งจะฟื้นฟูได้บางส่วนถูกเขาใช้ด้ามกระแทกเพียงครั้งเดียวก็ทะลุลงไป
ราวกับท่อนไม้ที่ถูกลิ่มกระแทกเข้าใส่ เจาะเข้าไปเพียงครั้งเดียวก็ทำให้ร้าวจนพังลงไปทั้งแถบ
ใต้เท้าของฟ่านอิงกลายเป็นว่างเปล่า แต่เขาก็มิได้ร้อนรน เขาเพียงแต่มองดูเศษไม้ของหอชมจันทราปลิวไปในอากาศใต้แสงจันทร์ ดวงตาคู่นั้นมีแต่ความมืดมิดไร้ประกายใดๆ
เขาเพียงปิดตาลงครู่หนึ่ง ปล่อยให้เศษไม้เหล่านั้นปลิวผ่านร่างกายออกไป
ก็เหมือนกับอาเย่วในตอนนั้น
ความแค้นถูกเก็บกดอยู่ในใจมานานตลอดหลายสิบปี ความสิ้นหวังและเจ็บปวดอยู่กับเขามาเนิ่นนานเหลือเกิน
โลกทั้งใบของเขามีแต่สีดำมืด เห็นได้ชัดว่าคนที่จากไปเนิ่นนานแล้วผู้นั้น ก็คือแสงสว่างหนึ่งเดียวในใจของเขา
ตลอดหลายปีมานี้ เขายังคงเฝ้าคิดถึง เฝ้ารัก และไม่อาจลืม
หอชมจันทร์
มองหาแต่เจียงเย่ว
ตลอดหลายปีมานี้ เมื่อใดที่เขามีเวลาก็จะมาอยู่ที่นี่เพียงลำพัง เหมือนกับตอนหนุ่มๆ มีอาเย่วคอยอยู่ข้างกาย
ตอนนี้หอชมจันทราไม่เหลืออยู่อีกแล้ว อาเย่วเองก็จากไปไกลแล้วละมั้ง
บนท้องฟ้ายังคงมีสายฟ้าลงมาอยู่ไม่ขาด เกาะลอยฟ้าค่อยๆแตกออกเป็นส่วนๆ
ฟ่านอิงหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น ชั่วแวบหนึ่งเขาเหมือนรู้สึกว่าได้เห็นแสงสว่างสุดท้ายแตกสลายไป
“หากเจ้าไม่มอบนางออกมา ข้าก็จะไปค้นด้วยตัวเอง” เสื้อผ้าสีทองบนร่างของบุรุษหนุ่มผู้นั้นพลิ้วไปในอากาศ หอกสามง่ามในมือชี้เข้าใส่ฟ่านอิง
เขาดูสู่ส่งราวกับเทพที่มองลงมาเบื้องล่างจริงๆ “สำหรับใต้เท้าแล้ว สุนัขที่ไม่รู้จักความภักดีอย่างเจ้า ฆ่าทิ้งไปก็ไม่เป็นไร!”
ใช่แล้ว เศษสวะที่ทั้งต่ำต้อยและอัปลักษณ์ผู้นี้ ไม่คู่ควรจะได้เป็นสุนัขรับใช้ของใต้เท้าเสียด้วยซ้ำ
“ฆ่ามันทิ้ง แล้วนำไหมมัดชีพของใต้เท้ากลับมา” บุรุษหนุ่มผู้นั้นออกคำสั่ง จะจัดการกับคนชั้นต่ำเช่นมัน ไม่จำเป็นจะต้องให้เขาลงมือ
จุดประสงค์ของเขาคือนำฮ่องเต้หญิงผู้นั้นกลับไป แล้วทรมานจนตาย
นั้นคือสิ่งที่ตู๋กูซิงหลันติดค้างเขาอยู่!
ทันทีที่สิ้นเสียงก็เห็นผู้คนที่อยู่ด้านหลังเขาแยกย้ายกันออกมารายล้อมฟ่านอิงเอาไว้
ส่วนเขาก็เพียงขยับปลายเท้า ในมือพลันปรากฏกระเรียนกระดาษขึ้นมาตัวหนึ่ง กระเรียนกระดาษตัวนั้นบินออกไปเสาะหาตู๋กูซิงหลันในทิศทางที่นางอยู่ทันที
บุรุษหนุ่มหัวเราะออกมาอย่างเย็นชาคำหนึ่ง เขากระชับหอกสามง่ามในมือจนแน่น
ขณะที่เขากำลังจะติดตามกระเรียนกระดาษไป ก็ได้ยินเสียงฟ่านอิงหัวเราะขึ้นมา
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่า นางเป็นหลานสาวตัวน้อยของข้า แตะต้องไม่ได้?”
น้ำเสียงของเขาบาดหู และหยาบกระด้างอย่างยิ่ง
บุรุษหนุ่มชะงักไปครู่หนึ่ง ยังไม่ทันที่เขาจะหันกลับมา เขาก็รู้สึกได้ว่าที่ด้านหลังมีพลังดึงดูดที่รุนแรงขุมหนึ่ง
พอหันไปดู ก็เห็นว่าที่เหนือศีรษะของฟ่านอิง อยู่ๆก็มีลูกบอลสีดำขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมา
ลูกบอลสีดำลูกนั้นเดิมทีมีขนาดเพียงใบหน้า แต่ว่าในช่วงเวลาเพียงครู่เดียวก็ขยายขนาดจนใหญ่โตเท่ากับครึ่งห้อง จากนั้นก็ใหญ่ขึ้นจนมีขนาดเท่าหอชมจันทรา
แรงดึงดูดมหาศาลมาจากสิ่งนั้นนั่นเอง
แม้แต่แสงสว่างก็ยังถูกดูดเข้าไป!
เหล่าคนที่เดิมทีมาพร้อมกับเขา เพียงแค่ครู่เดียวก็ถูกลูกบอลยักษ์นั้นดึงดูดเข้าไป
ขณะที่พวกเขาถูกดูดเข้าไปนั้น บุรุษหนุ่มได้เห็นกับตาว่าคนเหล่านั้นถูกลูกบอลสีดำบดขยี้เป็นชิ้นๆ จากนั้นก็ดูดกลืนเข้าไป
เขารีบถอยห่างออกจากลูกบอลสีดำไปอีกช่วงหนึ่ง จดจ้องไปที่ฟ่านอิงด้วยความโกรธเกรี้ยว “คนชั้นต่ำอย่างเจ้า ถึงกับกล้าลงมือกับคนของสวรรค์? รู้หรือไม่ว่าผลลัพธ์คืออะไร?”
“ดวงจิตแตกสลาย ไม่อาจฟื้นคืนตลอดกาล!”
เขาคิดไม่ถึงจริงๆว่า เจ้าคนชั้นต่ำที่อัปลักษณ์ถึงเพียงนี้ ยังจะกล้าลงมือกับพวกเขา!
สมควรรู้ไว้ว่า พวกเขาคือผู้ติดตามของใต้เท้า
ส่วนเขานั้นยิ่งเป็น……
“ก่อนตายได้ลากเบาะรองสักหลายๆคนไปด้วย ถือว่าไม่ขาดทุน” ฟ่านอิงยืนอยู่ใต้ลูกบอลสีดำ ใบหน้าที่น่ากลัวและอัปลักษณ์ของเขาเผยออกมาอย่างชัดเจน
ตลอดร่างของเขาทั้งบนล่างไม่มีหมอกสีดำใดๆทั้งสิ้น ทำให้คนสามารถมองเห็นได้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน
ตลอดหลายปีมานี้ เขาเอาแต่ซ่อนตนเองเอาไว้ในหมอกสีดำ แต่ว่าวันนี้ พอสลายหมอกสีดำออกไป เขากลับรู้สึกว่า ร่างกายเบาสบายกว่าเดิม
หลันหลันมีแค้นกับชาวสวรรค์ ข้อนี้เขารู้ดี
มิเช่นนั้น สวรรค์คงไม่ส่งคนพวกนี้ลงมาเสาะหานางโดยเฉพาะ
ในใจของฟ่านอิงมีความปวดร้าวอยู่จางๆ เพราะนางไม่เชื่อถือเขา จึงมิได้บอกเรื่องราวทั้งหมดให้เขารู้
แต่ว่า…..เมื่อได้เห็นใบหน้าของนาง เขาก็ไม่คิดจะหาเหตุผลใดๆมาครุ่นคิดอีกแล้ว
นางคือทายาทของอาเย่ว เขาก็จะถือว่า ต้องปกป้องนางเสมือนนางคือทายาทของตนเองเช่นกัน
“เจ้ามันบ้าไปแล้ว!” บุรุษหนุ่มผู้นั้นตื่นตระหนกขึ้นมา ลูกบอลสีดำกดดันเข้ามา จนคนอึดอัดหายใจไม่ออก
ตอนที่ 593 อาจารย์ จะไม่ปล่อยให้ศิษย์...
ฟ่านอิงไม่สนใจเขา เขายังคงยืนอยู่ใต้ลูกบอลสีดำ ทุ่มเทพลังทั้งหมดขยายลูกบอลให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ในเมื่อเป็นชาวสวรรค์ เขาย่อมไม่ประมาทอยู่แล้ว
………………..
ความเคลื่อนไหวที่รุนแรงเช่นนี้แน่นอนว่าตู๋กูซิงหลันที่อยู่อีกด้านหนึ่งย่อมรู้สึกถึงการบุกรุก
ทั่วทั้งเกาะลอยฟ้าสั่นสะเทือน ราวกับว่าเกิดแผ่นดินไหว
นางมองออกไปที่นอกหน้าต่าง แผ่นฟ้ายามค่ำมีสายฟ้าผ่าลงมาอยู่ตลอด ทำให้นางนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เรือนของท่านอาจารย์
คืนนั้นที่เรือนของอาจารย์ก็ปรากฏฟ้าผ่าลงมาอย่างรุนแรงเช่นนี้เหมือนกัน
“คนของแดนสวรรค์….” นางหรี่ดวงตาลง ทั้วร่างมีไอสังหารกำจายออกมาอย่างพลุ่งพล่าน
สองมือกำแน่นจนกลายเป็นหมัด แม้แต่อาการของพี่รองก็ไม่สนใจอีกแล้ว จัดการเรียกไม้คฑาออกมาในทันที
แดนสวรรค์ ไม่ว่าผู้มาจะเป็นใคร นางก็ไม่คิดจะชะล่าใจทั้งสิ้น
ทันใดนั้น ทั้งท่านเจ้าสำนักและซูเยาต่างก็หยุดเถียงกัน
ทั้งสองต่างก็มองออกไปที่ด้านนอก
พอมองเห็นสายฟ้าที่ฟาดเปรี้ยงลงมาอยู่เรื่อยๆ สมองของท่านเจ้าสำนักก็ปวดร้าวขึ้นมาอีก และภาพมากมายก็ปรากฏขึ้นมาในทันใด
บุปผาวิญญาณบนโต๊ะเตี้ยยังคงส่งกระแสวิญญาณจางๆเข้าไปในถุงเฉียนคุนที่อยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลันไม่มีหยุด
ท่านเจ้าสำนักพึ่งจะลุกขึ้นยืน สมองก็ปวดร้าวจนแทบจะระเบิด
ถึงใบหน้าของเขาซีดขาว แต่กลับไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมาสักนิดเดียว
ในฐานะที่เป็นอาจารย์ เขาย่อมไม่มีทางปล่อยให้ศิษย์น้อยมาเป็นกังวล
นี่คือวิธีปฏิบัติของท่านเจ้าสำนัก
ใต้แสงฟ้าผ่า สีหน้าของซูเยาเองก็ไม่สู้ดีเท่าไร
“อาหลัน อย่าได้ก่อเรื่องวุ่นวาย” พอรู้สึกได้ถึงไอสังหารของสาวน้อยที่อยู่ข้างกาย ซูเยาก็สงบนิ่งลงอย่างยากนักที่จะได้เห็น
เขารู้ดีว่า….พวกชาวสวรรค์นั่นบ้าคลั่งได้มากเพียงใด
อาหลันในตอนนี้เป็นเพียงร่างมนุษย์ธรรมดา ต่อให้แข็งแกร่งเพียงไร แต่ไหนเลยจะสามารถต้านทานสรวงสวรรค์ได้?
“เจ้าจิ้งจอกน้อย โปรดช่วยข้าดูแลพี่รองให้ดี ภายในสามวันข้าจะต้องไปหาเจ้า” แม้ว่าตู๋กูซิงหลันจะดูสงบอารมณ์ได้ แต่ว่าเส้นผมสีดำอมเงินทั่วศีรษะก็พริ้วขึ้นมาราวกับมีสายลมหนุน
“เจ้าก็รู้ดี ข้าได้เจอเจ้าแล้ว ไหนเลยจะยอมจากไปง่ายๆ” ซูเยาส่ายศีรษะ ตั้งแต่ชาติก่อนจนถึงชาตินี้ เขาพลาดจากนางมาหลายครั้งหลายหนแล้ว จึงไม่คิดจะยอมพลาดอีกต่อไปแล้ว
“พาพี่รองกลับไป ข้าจะขอบใจบรรพชนทั้งสิบแปดรุ่นของเจ้า” ตู๋กูซิงหลันตบลงไปบนบ่าของเขา “เจ้ายอมฟังคำขอของข้ามาตลอดมิใช่หรือ?”
ซูเยาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อาหลันกำลังจี้จุดอ่อนของเขา
นางรู้ดีว่า ไม่ว่านางจะพูดอะไร เขาก็จะยินดีรับฟังโดยปราศจากเงื่อนไข
“อาหลัน บ้านเราไม่ได้มีบรรพชนมากมายถึงสิบแปดรุ่นหรอก”
ตู๋กูซิงหลัน “…….”
“เด็กดี”
“รอข้า ข้าจะต้องไปหาเจ้าที่เผ่าปีศาจอย่างแน่นอน”
นางไม่พูดมากความ ร่างในชุดแดงกระโดดลอยขึ้นไป พอสะกิดปลายเท้าก็เหาะออกไปในทันที
พุ่งตรงไปทางที่ตั้งของหอชมจันทรา
ท่านเจ้าสำนักเองก็อดกลั้นอาหารปวดศีรษะเอาไว้ เหาะตามไปโดยไม่แม้แต่จะคิด
ตู๋กูเจวี๋ยอยากจะช่วยเหลืออย่างยิ่ง แต่ว่าน่าเศร้าที่สภาพร่างกายของเขาในตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยอย่างสิ้นเชิง
ซูเยามองดูเงาหลังของตู๋กูซิงหลันที่เหาะออกไป แลัวก็หันกลับมามองตู๋กูเจวี๋ยที่ทำท่าจะเป็นจะตาย เขาก็ยังไม่วายคิดจะติดตามนางไป
พอจะขยับเท้า ในสมองพลันได้ยินเสียงของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น “เสี่ยวเยา รีบกลับมา”
ซูเยาตระหนกจนร่างสะท้านไปทั้งตัว
…………..
ด้านนอกของหอชมจันทรา ลูกบอลสีดำของฟ่านอิงขยายขนาดใหญ่ขึ้นมาจนเกือบจะเบียดบังพื้นที่ในเกาะไปครึ่งเกาะแล้ว
แม้แต่ตู๋กูซิงหลันที่กำลังเข้าไปใกล้นั้น นางก็รู้สึกได้เลยว่า ร่างกายเหมือนถูกกระชาก
ในมือของนางถือไม้คฑาสีดำมะเมื่อมด้ามนั้นเอาไว้ สีหน้าปราศจากความลังเล ดวงตาดอกท้อมองไปยังร่างของบุรุษหนุ่มผู้นั้น
ขณะที่นางมาถึง บุรุษหนุ่มผู้นั้นก็มองเห็นนางพอดีเช่นกัน
ขณะที่ดวงตาของทั้งคู่สบกัน ก็แทบจะจุดประกายไฟระเบิดขึ้นมา
“เจอกันอีกแล้วสินะ ตู๋กูซิงหลัน” บุรุษผู้นั้นแทบจะเอ่ยชื่อของนางออกมาทีละคำ
“อ๋อ เจ้าพ่อ.พันธุ์.ม้า เจ้าช่างอายุยืน ยังไม่ตายอีกสินะ”
นางคิดไม่ถึงเลยว่า จะได้เจอเขาอีกในสถานการณ์เช่นนี้ …..เยี่ยเฉิน
ไท่จื่อของเผ่ามังกรทมิฬ
หากว่านางจำได้ไม่ผิดละก็ ตอนที่อยู่ที่เผ่ามังกรทมิฬ เขาถูกนางกับจีเฉวียนเล่นงานจนชอกช้ำ หมดพลังชีวิตไปกว่าครึ่งแล้วมิใช่หรือ?
สุดท้ายแล้วยังสามารถรอดออกมาจากการระเบิดครั้งใหญ่ในใต้ก้นทะเลลึกนั่นได้อีกหรือ?
สายตาของตู๋กูซิงหลันวนไปมาอยู่รอบกายของเขา
เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เป็นสีทองเสียระยิบระยับ แทบจะจำไม่ได้เลย
ถูกเรียกเป็นพ่อพันธุ์ม้า เยี่ยเฉินถึงกับฮึดฮัดทำท่าปฏิเสธขึ้นมาในทันที
เขาจับจ้องอยู่ที่ตู๋กูซิงหลันด้วยสายตาเป็นประกาย มุมปากแสยะยิ้มเย็นชาออกมา “มีคนคิดหาหนทางจะปกป้องเจ้าอย่างสุดกำลัง เจ้ากลับดีนัก โผล่ออกมามอบศีรษะด้วยตนเอง”
ทั้งหมดเป็นเพราะนาง เสี่ยวอิงถึงได้ตาย เผ่ามังกรทมิฬก็ถูกทำลาย เสด็จแม่ก็….
ทุกสิ่งที่เขาเคยมี ความโชคร้ายทั้งหมดล้วนมาจากนังลูกเมียน้อยนั่น!
ยังดีที่สวรรค์มีตา ให้เขาได้มีชีวิตรอด
นับตั้งแต่วันที่ได้ ‘เกิดใหม่’ เขาก็สาบานเอาไว้แล้วว่า ชาตินี้จะต้องสับนังลูกเมียน้อยให้เป็นพันชิ้นให้จงได้!
เดิมทีเขาคิดเอาไว้ว่า กว่าจะได้พบกันใหม่ คงจะต้องใช้เวลาอีกเนิ่นนาน คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะได้เจอกันเร็วขนาดนี้
ฟ่านอิงเองก็หันมาเหลือบมองนางด้วยเช่นกัน ใต้ลูกบอลสีดำนั้น ใบหน้าของเขายิ่งบิดเบี้ยว จนดูย่ำแย่กว่าเดิม
“หลันหลัน ข้ามิใช่บอกแล้วว่าให้เจ้าถอนตัวจากไปหรอกหรือ?” เขาได้แต่ใช้น้ำเสียงแหบแห้งราวหินทรายเอ่ยออกมา
ตู๋กูซิงหลันกุมไม้คฑาเอาไว้อย่างแนบแน่น มองดูเขาแวบหนึ่ง “ในใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีหลักการให้คนทอดทิ้งญาติมิตร แล้ววิ่งหนีไปแต่เพียงผู้เดียวได้กัน?”
มิว่าจะอย่างไร นางก็สงสารและเห็นใจฟ่านอิง หากว่าท่านยายยังอยู่ ก็จะต้องพยายามทำทุกหนทางเพื่อปกป้องเขาเป็นแน่
ตู๋กูซิงหลันยังคงคิดต่อไปว่า ราชวงศ์จีติดค้างเขามากเกินไป หากนางคุ้มครองฟ่านอิงสักครั้ง ก็ถือว่าเป็นการทำความดีชดเชยแทนให้กับจีเฉวียนที่ยังไม่กลับมาแล้วกัน
ฟ่านอิงตะลึงไป
ไม่มีใครเห็นว่า มือของเขาถึงกับสะท้าน
“ใต้หล้านี้ยังมิได้เลวร้ายจนถึงขั้นที่ให้หลานสาวต้องมาปกป้องตาหรอกนะ”
“จงไปจากจิ่วโจว ไปยังที่ที่ห่างไกล และอย่าได้กลับมาอีกตลอดกาล”
เขารู้ดีเลยว่า คนผู้นั้นเป็นคนบ้าและชั่วช้าได้ถึงเพียงไหน
หากว่านางเกิดไปตกอยู่ในมือของเขา…..แม้แต่ตนเองก็ยังไม่กล้าคาดคิดเลยว่าจะกลายเป็นผลลัพธ์เช่นใด
“อ้อ ในที่สุดเบื้องหน้าของข้าก็มีปู่หลานมาเล่นบทผูกพันธ์ลึกซึ้งให้ดูแล้วสินะ?” เยี่ยเฉินสบถเสียงเย็นชาออกมา
พอเขาโบกมือขึ้น ในมือก็ปรากฏร่มสีทองคันใหญ่คันหนึ่ง ร่มคันนั้นถูกเขาชูไว้เหนือศีรษะ พอกางร่มออก ละอองสีทองก็กระจายออกมา
ละอองสีทองนั้นกำบังเขาเอาไว้ แม้แต่แรงดึงดูดของลูกบอลสีดำก็ไม่มีผล
“ฟ่านอิง อย่าได้ประเมินตนเองว่ายิ่งใหญ่นักเลย อย่าลืมสิว่า ทุกสิ่งที่เจ้ามีนั้นก็เป็นเพราะว่าท่านผู้นั้นมอบให้” เยี่ยเฉินยิ้มเย็นชา ทั้งยังกำสามง่ามแน่นขึ้นกว่าเดิม
เขาขยับร่างวูบหนึ่ง ก็เหาะขึ้นไปในอากาศ บินเข้าหาตู๋กูซิงหลัน
เขาในตอนนี้ ไม่เหมือนกับตอนที่เคยเป็นองค์ไท่จื่อของเผ่ามังกรทมิฬแล้ว
ตอนนั้น ตู๋กูซิงหลันกับจีเฉวียนร่วมมือกันจึงได้สามารถจัดการกับเขา ตอนนี้มีนางแค่ผู้เดียว กับฟ่านอิงที่อัปลักษณ์ ยังจะคิดว่าสามารถต้านทานเขาได้อีกหรือ?
ยิ่งมองดู…..สิ่งที่อยู่ในมือของตู๋กูซิงหลัน ตอนนี้ก็ไม่มีดาบยักษ์อีกต่อไปแล้ว หึ ถือไม้เท้าดำๆมอซอมาด้ามหนึ่ง ก็คิดจะต่อสู้กับเขา?
นางฝันเฟื่องหรือเปล่า?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น