ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 590-596
ตอนที่ 590 การประลองของสิบอันดับแรก (6)
โดย
Ink Stone_Fantasy
เจ้าอั้นอินมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ข้อมือของนางชี้ออกไปติดต่อกัน ทันใดนั้นแสงเย็นสะท้านสิบกว่าลำก็ม้วนตัวออกไป ขณะเดียวกันร่างของนางก็พุ่งถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
ดวงตาหลิ่วหมิงเปล่งประกายเยือกเย็น เขาเพียงแค่คว้ามือข้างหนึ่งไปบนอากาศ แสงสีทองก็ดับลง และกลายเป็นมือยักษ์สีทองข้างหนึ่งที่มีขนาดใหญ่หลายจั้ง และตบไปด้านหน้าทันที
ดาบสั้นปล่อยลำแสงเย็นสะท้านสิบกว่าลำโจมตีลงบนมือยักษ์ แต่มีแค่จุดแสงสีทองสาดกระเด็นเท่านั้น
จากนั้นฝ่ามือยักษ์ก็กางนิ้วทั้งห้าปิดกั้นการหลบหลีกบนล่างซ้ายขวาหญิงสาวไว้ และพร่ามัวไล่ตามฝ่ายตรงข้ามจนทัน
“เพล้ง!” แม้ว่าเจ้าอั้นอินจะต้านทานอย่างสุดชีวิต แต่ก็ยังถูกฝ่ามือยักษ์สีทองโจมตีจนอาวุธจิตวิญญาณในมือของนางกระเด็นออกไป และถือโอกาสตบนางจนกระเด็นออกไปนอกแท่นประลองด้วย
“หลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้าชนะ!” ผู้ดำเนินการระดับผลึกประกาศออกมาทันที
“ออมมือแล้ว!”
หลิ่วหมิงประสานมือคารวะหญิงที่ยืนอยู่ด้านล่างแท่นประลองด้วยสีหน้าไม่พอใจ จากนั้นก็โบกมือเก็บหุ่นสี่ทิศกับทรายทองคำร่วงเข้าไป หัวบินกับแมงป่องกระดูกในขณะนี้ ก็ปล่อยหมาป่าเงินสามหัวออกมา จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีดำสองลำม้วนตัวเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ
“เจ้าอั้นอินก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของศิษย์ผู้นี้……”
หลังจากหลิ่วหมิงเอาชนะในรอบนี้ได้ ย่อมทำให้บรรดาศิษย์ทั้งหลายทำการวิพากษ์วิจารณ์กันอีกรอบ และดึงดูดสายตาของผู้แข็งแกร่งระดับผลึกบนแท่นหยกขึ้นมา
แต่เมื่อเทียบกับหลายครั้งในก่อนหน้านั้นแล้ว ครั้งนี้มีคนรู้สึกตกใจไม่มากนัก
“สามารถควบคุมหุ่นสี่ทิศได้อย่างชำนาญเช่นนี้ หลิ่วหมิงผู้นี้คงมีพลังจิตแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นต้นทั่วไป” หญิงชุดแดงผู้นั้นเผยสีหน้าลังเลออกมา แต่พอนึกถึงร่างสามชีพจรจิตวิญญาณของหลิ่วหมิง นางก็ส่ายหน้าและถอนหายใจออกมาในที่สุด
หากว่าคุณสมบัติของหลิ่วหมิงสูงขึ้นอีกหน่อย เกรงว่าต่อให้เป็นแค่หกชีพจรจิตวิญญาณ นางก็จะรับเขาเป็นศิษย์อย่างไม่ลังเล
แต่ว่าการที่สามชีพจรจิตวิญญาณเข้าสู่ระดับผลึก ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีในนิกายยอดบริสุทธิ์มาก่อน แต่ล้วนเป็นตระกูลใหญ่ที่มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย ใช้ทรัพย์สมบัติที่สะสมมาถึงทำให้บรรลุได้ แต่ก็หยุดชะงักอยู่ที่ระดับผลึกขั้นต้นตลอดชีวิต
ด้วยสถานการณ์ของหลิ่วหมิงในตอนนี้ ความหวังนี้ช่างดูเลือนรางจริงๆ
ด้านล่างแท่นประลอง หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิในทันที หลังจากหยิบโอสถจินหยวนออกมาทานหนึ่งเม็ดแล้ว ก็เริ่มทำการฟื้นฟูพลังเวทโดยไม่มีเวลาไปชมการประลองคู่อื่นอีก
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม การประลองรอบที่เก้าที่เริ่มขึ้นในที่สุด
คู่ต่อสู้ของหลิ่วหมิงในรอบนี้เป็นจินเทียนชื่อย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งสองต่างก็เป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะมาโดยตลอด นี่เป็นรอบสุดท้ายที่จะตัดสินว่าอันดับหนึ่งจะเป็นของใคร
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าการประลองทั้งห้าคู่จะเริ่มขึ้นพร้อมกัน แต่นอกจากศิษย์ไม่กี่คนที่ยังอยู่ข้างแท่นประลองทั้งสี่แล้ว สายตาของคนกว่าครึ่งหนึ่งบนยอดเขาเมฆาเลิศล้ำ ก็มองมาทางแท่นประลองนี้
“ก่อนหน้านั้นพี่หลิ่วต่อสู้อย่างดุเดือดติดต่อกันสองรอบ พลังเวทคงยังฟื้นฟูไม่หมดสินะ หากข้าลงมือกับพี่หลิ่วตอนนี้ มันจะดูไม่ยุติธรรมไปหน่อย” พอจินเทียนชื่อเดินขึ้นบนแท่นประลอง ก็สังเกตดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และไม่รีบลงมือแต่อย่างใด แต่กลับหัวเราะแล้วกล่าวออกมา
หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน จินเทียนชื่อยังคงยิ้มชื่นมื่น แต่สายตาของเขากลับทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกๆ ราวกับว่าสามารถมองทะลุส่วนลึกของหัวใจได้
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกหวาดกลัวจินเทียนชื่อขึ้นมาไม่น้อย แต่ยังคงยิ้มโดยที่ไม่กล่าวอะไรออกมา
“ศิษย์น้องหลิ่วสามารถควบคุมอาวุธจิตวิญญาณได้หลายชิ้น ทั้งยังเชี่ยวชาญการควบคุมหุ่น จะต้องมีพลังจิตเหนือกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันเป็นแน่ พวกเรามาแข่งเรื่องความแข็งแกร่งของพลังจิตกับพลังในการควบคุมดีไหม? ข้าจะยื่นข้อเสนอให้เปิดการประลองจิตวิญญาณบนแท่นประลองนี้ ศิษย์น้องคงไม่คัดค้านหรอกนะ?” จินเทียนชื่อเห็นหลิ่วหมิงไม่พูดอะไร เขาจึงหาวและกล่าวออกมาเช่นนี้
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ได้เผยสีหน้าผิดปกติใดๆ แต่กลับใจเต้นขึ้นมา
การต่อสู้อย่างดุเดือดในสองรอบก่อนหน้า ทำให้เขาสูญเสียพลังเวทไปกว่าครึ่งหนึ่ง แม้ว่าจะทานโอสถจินหยวนฟื้นฟูไปหนึ่งรอบแล้ว แต่พลังเวทภายในร่างยังคงฟื้นฟูไม่ถึงขีดสุด
และคนตรงหน้ากลับเอาชนะการประลองทั้งสองรอบในก่อนหน้านั้นได้อย่างง่ายดาย วิชาแปลกประหลาดของเขาสามารถพูดได้ว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน และตัวหลิ่วหมิงเองก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะได้
แต่หากประลองพลังจิตล่ะก็ ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นผู้ที่มีพลังจิตเหนือกว่าผู้อื่นหรือว่าจะเชี่ยวชาญวิชาพลังจิตอื่นๆ แต่ด้วยพลังจิตของเขาที่พอจะเทียบกับระดับผลึกได้ ประกอบกับมีหนอนพลังจิตอยู่ในมือ คงจะไม่มีเหตุผลใดที่ต้องพ่ายแพ้
สำหรับการประลองจิตวิญญาณที่จินเทียนชื่อพูดถึง หลิ่วหมิงก็พอจะรู้อยู่บ้าง เพียงแค่อาศัยอาวุธจิตวิญญาณพิเศษบางอย่าง ซึ่งเป็นวิธีการประลองพลังจิตที่สังเกตได้ง่ายกว่า
วิธีการประลองเช่นนี้ เกิดขึ้นในระหว่างผู้ฝึกฝนระดับต่ำด้วยกันไม่มาก ส่วนมากจะแพร่หลายในผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นไป
เพราะการประลองตั้งแต่ระดับผลึกขึ้นไปจนกระทั่งถึงระดับแก่นแท้ ภายในพริบตาเดียวก็มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก และผู้ที่มีระดับการฝึกฝนใกล้เคียงกัน มักจะต่อสู้กันหลายวัน แม้กระทั่งอาจจะยั้งมือไม่ทัน ทำให้ฝ่ายตรงข้ามได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งการประลองจิตวิญญาณรวดเร็วและปลอดภัยกว่ามาก
ภายใต้การจับตามองของฝูงชน หลิ่วหมิงก็เงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้าเอ่ยออกมา
“ในเมื่อพี่จินต้องการเช่นนี้ ข้าย่อมตอบสนองตามนั้น”
“ดี! ศิษย์น้องหลิ่วเป็นคนตรงไปตรงมาจริงๆ ผู้อาวุโสท่านนี้ รบกวนท่านนำแผ่นห้าธาตุมาชุดหนึ่งเถิด!” จินเทียนชื่อได้ยินก็หัวเราะออกมา จากนั้นก็หันไปกล่าวกับผู้อาวุโสชุดเหลืองที่อยู่ข้างแท่นประลอง
หลิ่วหมิงได้ยินก็ตาเป็นประกายขึ้นมา
ผู้อาวุโสชุดเหลืองผู้นี้มีสีหน้าเหลืองซีด แลดูอัปลักษณ์เล็กน้อย แต่เขาแตกต่างกับผู้ดำเนินการตัดสินระดับผลึกในก่อนหน้า ซึ่งไม่สามารถรับรู้กลิ่นไอได้เลยแม้แต่น้อย
ผู้อาวุโสชุดเหลืองได้ยินก็เผยรอยยิ้มออกมา และกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“ในเมื่อทั้งสองสมัครใจจะประลองจิตวิญญาณ ข้าย่อมไม่มีข้อคัดค้านใดๆ”
พอกล่าวจบ ชายชุดเหลืองก็สะบัดแขนเสื้อ จากนั้นแผ่นกลมๆ ห้าแผ่นก็พุ่งออกมา
แผ่นกลมๆ ทั้งห้าแผ่นนี้แบ่งเป็นห้าสี ได้แก่สีเขียว แดง เหลือง ขาว และดำ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพลังธาตุไม้ ไฟ ดิน ทอง และน้ำ
แผ่นกลมๆ ทั้งห้าพุ่งมาอยู่ตรงกลางระหว่างหลิ่วหมิงกับจินเทียนชื่อ และเรียงแถวลอยอยู่กลางอากาศ
ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะทำอะไร ผู้อาวุโสชุดเหลืองก็พลิกฝ่ามือหยิบธงเล็กห้าสีออกมาหนึ่งผืน พอโยนขึ้นไปด้านบน มันก็จมเข้าไปใจกลางแท่นประลอง
ครู่ต่อมา มีแสงแปลกประหลาดพุ่งขึ้นมาจากบริเวณที่ธงเล็กๆ หายไป และขยายออกไปทั้งสองด้านกลายเป็นม่านแสงสีเหลืองสลัวๆ
ม่านแสงนี้ดูเหมือนพื้นที่เปล่าเปลี่ยวขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ทั้งยังขยายกว้างออกไปอย่างประหลาดใจ ทำให้ผู้ที่ชมอยู่รู้สึกว่ามันไร้ขอบเขต
“ค่ายกลมิติ”
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกใจเย็นสะท้าน และเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมาเป็นครั้งแรก
จินเทียนชื่อยิ้มเล็กน้อย และโบกมือข้างหนึ่งดูดทรงกลมสีทองมาไว้ในมือ จากนั้นก็ไปนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหนึ่งของม่านแสง
หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้ว ก็เลือกแผ่นทรงกลมสีแดงที่เป็นสัญลักษณ์ของธาตุไฟ และไปนั่งขัดสมาธิอยู่อีกด้านของม่านแสงเช่นกัน
พอเห็นว่าทั้งสองเลือกแผ่นทรงกลมและหลับตาทั้งคู่ลงแล้ว ผู้อาวุโสชุดเหลืองก็สะบัดแขนเสื้อเก็บแผ่นทรงกลมสามแผ่นที่เหลือ หลังจากประกาศเริ่มการประลองแล้ว ก็ยืนนิ่งไม่พูดอะไรออกมาอีก
“ประลองจิตวิญญาณ ประลองพลังจิต……”
เดิมทีบรรดาศิษย์ที่อยู่ด้านล่างแท่นประลองคิดว่าจะได้เห็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม คิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นนี้
ทันใดนั้น มีคนจำนวนไม่น้อยที่เผยสีหน้าผิดหวังออกมา แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่มีสีหน้าตื่นเต้นกับการประลองใหม่เช่นกัน
บนแท่นประลอง พอหลิ่วหมิงแตะระหว่างคิ้ว และกระตุ้นทะเลจิตรับรู้ พลังจิตก็ทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่ง และพุ่งเข้าไปในแผ่นทรงกลมสีแดงบนมือ
ลำแสงสีแดงพุ่งขึ้นฟ้าทันที และจมหายไปในม่านแสงบนแท่นประลอง
แสงสีแดงเปล่งประกายท่ามกลางทะเลทรายเปล่าเปลี่ยว ทันใดนั้นมนุษย์แสงสีแดงขนาดใหญ่ก็ปรากฏออกมา มองดูไกลๆ ราวกับว่ามันสูงสิบกว่าจั้ง
ขณะเดียวกัน อีกด้านของแท่นประลองก็มีลำแสงสีทองปรากฏออกมาเช่นกัน ซึ่งมาจากแผ่นทรงกลมสีทองในมือของจินเทียนชื่อ พอมันเปล่งประกาย ก็มีมนุษย์แสงสีทองปรากฏอยู่อีกด้านหนึ่งของม่านแสง ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับมนุษย์แสงสีแดง
มนุษย์ยักษ์ทั้งสองต่างก็ยืนคุมเชิงกันอยู่ ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายแวววาวที่ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกหวาดกลัว
“ฮึ่ม……!” มนุษย์แสงสีแดงส่งเสียงคำรามออกมา และก้าวยาวๆ ไปยังมนุษย์แสงสีทอง กำปั้นขนาดใหญ่ถูกแสงแวววาวห่อหุ้มไว้ และกระแทกไปที่ศีรษะของมนุษย์แสงสีทอง
มนุษย์แสงสีทองย่อตัวหลบพ้นไปได้ ขณะเดียวกันก็ปล่อยกำปั้นใส่คอของมนุษย์แสงสีแดง
มนุษย์แสงสีแดงไม่หลบหลีกเลยแม้แต่น้อย มันพลิกกำปั้นออกไปรับมือโดยตรง จากนั้นมนุษย์แสงทั้งสองก็ต่อสู้กันพัลวัน มีการแลกกำปั้นกันไปมาอย่างดุเดือด
ทันใดนั้น มนุษย์แสงสีแดงไม่ทันระวัง ไหล่ข้างหนึ่งจึงถูกฝ่ามือสีทองฟันหลุดออกมา
ทันใดนั้น มนุษย์ยักษ์สีแดงส่งเสียงคำรามและกลายเป็นอสรพิษยักษ์สีแดงตัวหนึ่ง มันรัดพันมนุษย์ยักษ์สีทองไว้อย่างแน่นหนา คมเขี้ยวแหลมคมขนาดใหญ่กัดลงบนคอหอยของมนุษย์ยักษ์สีทองอย่างไม่ปราณี
พอแสงสีทองเปล่งประกาย มนุษย์ยักษ์ก็กลายเป็นวิหคยักษ์สีทองดิ้นหลุดออกจากอสรพิษยักษ์ได้ มันกระพือปีกบินไปบนอากาศ และพุ่งเข้าใส่หัวของอสรพิษยักษ์สีแดงในทันที
ในระหว่างเวลานั้น ทั้งสองก็เปลี่ยนรูปร่างเป็นอสูรประหลาดต่างๆ แสงสีแดงทองเปล่งประกายภายในม่านแสงอย่างต่อเนื่อง และทั้งสองก็ต่อสู้กันเป็นพัลวัน
อานุภาพของอสูรประหลาดเหล่านี้ มันแสดงถึงพลังทางจิตของผู้ควบคุมในระดับหนึ่ง และเพียงแค่เติมพลังจิตเข้าไปติดต่อกัน ก็จะทำการต่อสู้ได้อย่างต่อเนื่อง และในระหว่างการต่อสู้ พอถูกโจมตีก็จะทำให้พลังจิตลดลงไปมาก
แต่ทว่าทั้งสองฝ่ายต่างโจมตีกันจนถึงบัดนี้ ก็ยังไม่มีใครอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเลยแม้แต่น้อย หลิ่วหมิงกับจินเทียนชื่อยังคงไม่มีใครตกเป็นเบี้ยล่าง
หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งถ้วยชา พลันมีเสียง “เปรี๊ยะๆ!” ดังมาจากม่านแสง!
หมียักษ์ทางด้านจินเทียนชื่ออ้าปากขนาดใหญ่กัดคอของหมาป่ายักษ์สีแดงที่หลิ่วหมิงใช้พลังจิตสร้างขึ้นมา
หลิ่วหมิงที่นั่งอีกด้านของแท่นประลองขมวดคิ้วเล็กน้อย ภายใต้แสงสีแดงที่เปล่งประกาย หมาป่ายักษ์สีแดงกลายเป็นแสงกระพริบแวววับพุ่งออกไปด้านหลัง
หลังจากแสงสีแดงเปล่งประกายอีกครั้ง บาดแผลบริเวณคอของหมาป่ายักษ์ก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ แต่ว่าแสงสีแดงบนตัวกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นครั้งแรก ซึ่งมืดลงกว่าตอนแรกไม่น้อย
ตอนที่ 591 อันดับหนึ่งของศิษย์สายนอก
โดย
Ink Stone_Fantasy
“คิดไม่ถึงว่าพลังจิตของจินเทียนชื่อจะแข็งแกร่งเช่นนี้……” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วทั้งสองและครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้พลังจิตของเขาสูญเสียไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ว่าหมียักษ์ที่ฝ่ายตรงข้ามสร้างขึ้นมายังคงดุร้ายเช่นเดิม และยังโจมตีอสูรจิตวิญญาณสิบกว่าชนิดที่เขาสร้างขึ้นมา จนพ่ายแพ้ไปหมดสิ้น
พลังจิตที่แข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้าม เหนือความคาดหมายของเขาจริงๆ มิน่าล่ะถึงได้เสนอให้มีการประลองจิตวิญญาณด้วยความเชื่อมั่นเช่นนี้
ดูท่าหากเขาไม่กระตุ้นหนอนพลังจิตล่ะก็ คงจะไม่ได้การแล้ว
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ ทันใดนั้นก็แบ่งพลังจิตไปสัมผัสหนอนพลังจิตตรงหน้าอก
หนอนพลังจิตค่อยๆ แทรกเข้าไป ทันใดนั้นพลังจิตสายหนึ่งก็พวยพุ่งออกมา และจมหายเข้าไปในร่างของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เข้าไปในทะเลจิตรับรู้ของเขา
หลิ่วหมิงรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา พอทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง แสงสีแดงบนตัวหมาป่ายักษ์ก็สว่างขึ้นมา ขณะเดียวกันร่างก็ขยายใหญ่ขึ้นทันที
“เอ๊!” จินเทียนชื่อเห็นเช่นนี้ ก็ส่งเสียงอุทานออกมาอย่างอดไม่ได้
มีเสียงคำรามเบาๆ พอหมาป่ายักษ์สีแดงพุ่งออกไป ก็กระโจนใส่หมียักษ์สีทองจนล้มลงพื้น และส่ายหัวของมันฉีกทึ้งคอหอยของหมียักษ์สีทองอย่างรวดเร็ว
จินเทียนชื่อเห็นเช่นนี้ ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา จากนั้นก็ตบมือข้างหนึ่งไปยังแผ่นทรงกลมตรงหน้า
“ฟู่!” ร่างของหมียักษ์สีทองกลายเป็นเปลวไฟคุโชนสีทอง หลังจากแยกออกไปซ้ายขวาแล้ว ก็มีนักรบสวรรค์เกราะทองคำเดินออกมาจากตรงกลาง
นักรบสวรรค์เกราะทองคำเหล่านี้มีรูปร่างสูงใหญ่ บนตัวสวมเกราะสีทอง ในมือถือกระบี่ยักษ์สีทองเล่มหนึ่ง แลดูน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง เหมือนว่าจะองอาจห้าวหาญกว่าอสูรแปลกประหลาดในก่อนหน้านั้นไม่น้อย แต่แสงบนตัวมืดลงกว่าการต่อสู้ในก่อนหน้านั้น
พอเห็นฉากเช่นนี้ หมาป่ายักษ์สีแดงก็ขยายยาวภายในพริบตา และกลายเป็นมังกรสีแดงตัวหนึ่ง
ครู่ต่อมา อสูรขนาดมหึมาทั้งสองก็ปะทะเข้าด้วยกัน มังกรสีแดงม้วนร่างของนักรบสวรรค์เกราะทองคำไว้ แต่บนตัวของมันก็ถูกกระบี่ยักษ์สีทองแทงจนกลายเป็นบาดแผลลึกๆ
“ฟู่!” มังกรสีแดงอ้าปากพ่นเสาเพลิงสีแดงโจมตีหน้าอกของนักรบสวรรค์เกราะทองคำ
นักรบสวรรค์เกราะทองคำเพียงแค่ใช้มือข้างหนึ่งจับร่างของมังกรไว้ ส่วนมืออีกข้างก็โบกสะบัดกระบี่ยักษ์ฟาดฟันเสาเพลิง
หลังจากแสงสีทองกระพริบผ่านไป เสาเพลิงอันน่าตกใจก็ถูกฟันจนกระเด็น และกระบี่สีทองยังคงฟันไปยังบริเวณหัวมังกร
“เต๊ง!” มังกรสีแดงคว้าคมดาบสีทองเอาไว้ และแสงกระบี่สีทองก็เผาไหม้กรงเล็บมังกรจนเกิดเสียงดังขึ้นมา
นิ้วมือที่แตะระหว่างคิ้วของหลิ่วหมิงสั่นสะท้าน พลังจิตมหาศาลทะลักออกมาทันที ลำคอของมังกรพร่ามัว จากนั้นก็กลายเป็นมังกรเก้าหัวที่มีลักษณะเหมือนกันไม่มีผิด
มังกรเก้าหัวส่งเสียงคำรามติดต่อกัน พออ้าปากขนาดใหญ่ เสาเพลิงเก้าลำก็โจมตีลงบนร่างส่วนต่างๆ ของนักรบสวรรค์เกราะทองคำ
“เพล้ง!” “เพล้ง!” เกิดเสียงดังติดต่อกัน
เกราะบนตัวนักรบสวรรค์เกราะทองคำถูกระเบิดจนแตกกระจาย จากนั้นหัวมังกรทั้งเก้าก็กัดลงบนส่วนต่างๆ ของนักรบสวรรค์เกราะทองคำ
“แคว๊ก!”
ร่างสูงใหญ่ของนักรบสวรรค์เกราะทองคำถูกมังกรเก้าหัวฉีกทึ้งจนขาดเป็นหลายส่วน ลำตัวของมันร่วงลงพื้นทะเลทรายโบราณอย่างรุนแรง ทำให้เกิดฝุ่นคละคลุ้ง แสงสีทองบนตัวก็มืดลงไปเล็กน้อย
ประจักษ์ชัดว่าการโจมตีเมื่อครู่ ทำให้จินเทียนชื่อสูญเสียพลังจิตไปมาก
ร่างของมังกรเก้าหัวก็มืดลงไปเล็กน้อย มันหมุนวนขึ้นบนอากาศ ดวงตาทั้งสิบแปดข้างเป็นประกาย และจ้องมองร่างของนักรบสวรรค์เกราะทองคำบนพื้น
ประจักษ์ชัดว่าเพียงแค่เขามีการเคลื่อนไหวใดๆ มังกรก็จะกระโจนเข้าไปฉีกทึ้งทันที
“พลังจิตของพี่หลิ่วไม่ธรรมดาจริงๆ ข้ายอมแพ้แล้ว!”
ในขณะที่หลิ่วหมิงเตรียมพร้อมรับมือนั้น จินเทียนชื่อที่อยู่อีกด้านของแท่นประลองก็ลืมตาในฉับพลัน และหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นมา พอแสงบนแผ่นทรงกลมดับลง ก็ตัดขาดการเชื่อมต่อกับลำแสงสีทอง และศพนักรบสวรรค์เกราะทองคำ ก็กลายเป็นจุดแสงสีทองก่อนสลายไปในพริบตา
แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกแปลกใจมาก แต่ก็เก็บพลังจิตกลับไปเช่นกัน และขมวดคิ้วลุกขึ้นมา
แม้ว่าเมื่อครู่เขาจะเหนือกว่าหนึ่งขั้น แต่กลับเป็นเพราะว่าอาศัยพลังจิตของหนอนพลังจิตช่วยเสริม และเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพลังของจินเทียนชื่อยังคงเหลืออยู่ แต่กลับไม่ยอมสู้ต่อ
แม้หลิ่วหมิงจะมีสีหน้าสงบ แต่ในใจก็ทำการคาดเดาอยู่ไม่หยุด
“ผู้ชนะคือ หลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้า” ผู้อาวุโสชุดเหลืองจ้องมองทั้งสองด้วยสายที่ลึกซึ้งทีหนึ่ง จากนั้นก็ประกาศผลการประลองออกมา
พอคำพูดนี้ดังขึ้น แสดงว่าลำดับการประลองใหญ่ในครั้งนี้ได้ถูกตัดสินออกมาแล้ว ทำให้บรรดาศิษย์บริเวณรอบๆ พากันฮือฮาขึ้นมาทันที
”เจ้าทำได้ไม่เลว คิดไม่ถึงว่าจะสามารถโจมตีพลังจิตของข้าได้ หวังว่าเจอกันครั้งหน้าเจ้าจะแข็งแกร่งกว่านี้” พลันมีน้ำเสียงราบเรียบของจินเทียนชื่อดังขึ้นข้างหู หลิ่วหมิงรีบมองออกไปด้วยความตกใจ
ชายหนุ่มชุดคลุมสีทองกลับกระพริบตาให้เขา และเหาะออกจากแท่นประลองด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีทองพุ่งจากไป
ทันใดนั้น บนยอดเขาก็เกิดความโกลาหลอยู่ครู่หนึ่ง
หลิ่วหมิงจ้องมองเงาร่างของจินเทียนชื่อที่จากไปไกลๆ ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปมา
ไม่รู้ว่าจินเทียนชื่อผู้นี้เป็นศิษย์ลึกลับมาจากไหน การจากไปอย่างฉับพลันของเขา ย่อมทำให้บรรดาศิษย์ที่อยู่ด้านล่างแท่นประลองเกิดความฮือฮาขึ้นมา ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้บนแท่นหยกกลับมองหน้ากันอย่างอดไม่ได้
“เจ้าไปสืบหน่อยว่า จินเทียนชื่อผู้นี้มีที่มาอย่างไรกันแน่ ดูว่าใช่ศิษย์ที่ผู้อาวุโสท่านใดกำหนดไว้ว่าจะรับเป็นศิษย์สายในหรือไม่? สืบได้แล้วให้รีบมารายงานข้า” บนมุมหนึ่งของแท่นหยก ชายวัยกลางคนที่สะพายกระบี่ยาวสีเทาส่งเสียงไปสั่งศิษย์ของตนเอง
ศิษย์สายในผู้นั้นได้ยินเช่นนี้ ก็พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งสีฟ้าพุ่งไปยังทิศทางบางแห่ง
และฉากเช่นเดียวกันนี้ ก็เกิดขึ้นกับผู้อาวุโสควบคุมยอดเขาแต่ละแห่ง
หลังจากเสียงอึกทึกครึกโครมผ่านไป การประลองของแท่นประลองอีกสี่แห่งก็ทยอยกันสิ้นสุดลง
หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ มาเรียงแถวหน้ากระดานตรงหน้าแท่นหยกสูงอีกครั้ง และบรรดาศิษย์ทั้งหลายก็พากันมารายล้อมอยู่รอบด้าน สายตาของทุกคนต่างก็มองไปยังแท่นสูง
แม้ว่าในใจทุกคนจะรู้ผลการประลองแล้ว แต่ยังคงต้องรอการประกาศครั้งสุดท้าย
ชายอ้วนเตี้ยกระแอมไอเบาๆ จากนั้นก็ออกมายืนอยู่ตรงหน้าสุดของแท่นหยก หลังจากโบกแขนทั้งสองไปมา เสียงวิพากษ์วิจารณ์รอบด้านก็หยุดลงทันที จากนั้นก็ประกาศออกมาด้วยน้ำเสียงแจ่มชัด
“การประลองใหญ่ของศิษย์สายนอกทั้งแปดสาขาที่จัดขึ้นทุกๆ สิบปี บัดนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว สามอันดับแรกได้แก่หลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้า จินเทียนชื่อ และเจ้าอั้นอินจากสาขาเสวียนจี หลิ่วหมิงได้อันดับหนึ่งในงานประลองใหญ่ นอกจากจะได้รับรางวัลใหญ่ที่ทางนิกายเตรียมไว้ให้แล้ว ก็มีสิทธิ์เลือกฝึกเคล็ดวิชาของศิษย์สายในได้หนึ่งวิชา”
ขณะที่ชายอ้วนเตี้ยกล่าวจบนั้น ศิษย์ที่อยู่รอบด้านก็กู่ร้องด้วยความยินดี ซึ่งเสียงของศิษย์สาขาห่านฟ้าย่อมดังที่สุด
เพราะหลิ่วหมิงเป็นศิษย์ของสาขาห่านฟ้าเพียงหนึ่งเดียวที่เข้าสู่รอบสิบอันดับแรกได้ ตอนนี้ยังชิงอันดับหนึ่งมาได้ด้วย ผู้คนในสาขาทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักเขา ย่อมรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงในขณะนี้ก็เผยสีหน้าปลื้มปีติออกมา สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาของศิษย์สายในได้โดยไม่ต้องมีค่าตอบแทนเช่นนี้ ย่อมเป็นเรื่องที่เขาต้องการเป็นอย่างยิ่ง
เพราะว่าต่อให้เป็นศิษย์สายในที่อยากจะศึกษาวิชาในนิกาย อย่างน้อยก็ต้องใช้แต้มคุณูปการหนึ่งแสนแต้มขึ้นไป แม้กระทั่งเคล็ดวิชาที่ไม่ค่อยมีคนสนใจบางวิชา ยังต้องใช้แต้มคุณูปการสองสามล้านแต้ม ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
มิเช่นนั้นคนในหอคุมกฎคงไม่ให้เขาจ่ายหนึ่งล้านแต้มคุณูปการสำหรับเคล็ดวิชาที่มีคนฝึกฝนน้อยอย่างเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ
นอกจากหลิ่วหมิงที่ได้อันดับหนึ่งจะมีสิทธิ์เลือกฝึกฝนเคล็ดวิชาของศิษย์สายในแล้ว ศิษย์สิบอันดับแรกในงานประลองใหญ่ ย่อมได้รับรางวัลใหญ่อื่นๆ ด้วย
ยกตัวอย่างเช่นหลิ่วหมิง จะได้รับหนึ่งล้านหินจิตวิญญาณ แต้มคุณูปการสามหมื่นแต้ม “โอสถอูหมาง” ที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการทะลวงคอขวดระดับผลึก
จินเทียนชื่อที่ได้ที่สองซึ่งจากไปแล้วจึงไม่ได้พูดถึงชั่วคราว รางวัลที่อันดับสามอย่างเจ้าอั้นอินได้รับ ก็เป็นหินจิตวิญญาณจำนวนแปดแสน แต้มคุณูปการสองหมื่นห้าพันแต้มกับ “โอสถอูหมาง” หนึ่งเม็ด
ศิษย์สิบอันดับแรกคนอื่นๆ ก็ได้รับรางวัลที่ลดหลั่นกันไป แต่ที่มีมูลค่ามากที่สุดก็เป็น “โอสถอูหมาง” นั่นเอง และสิ่งนี้ก็เป็นเป้าหมายสำคัญของศิษย์สายนอกที่เข้าร่วมประลองใหญ่ในครั้งนี้ เพราะพอเข้าสู่ระดับผลึกสำเร็จ ก็จะได้เป็นศิษย์สายในทันที
สำหรับศิษย์ที่เข้าสู่ร้อยอันดับแรก แต่กลับไม่ได้เข้าสู่สิบอันดับแรก ก็จะได้รับคนละหนึ่งแสนหินจิตวิญญาณ แต้มคุณูปการสามพันแต้ม และโอสถเพิ่มพูนพลังเวทหนึ่งขวด
ในระหว่างที่ชายอ้วนเตี้ยประกาศนั้น ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ที่มาชมการประลองต่างก็แยกย้ายกันพุ่งขึ้นฟ้า และกลายเป็นแสงสีต่างๆ พุ่งออกไปไกลๆ
ไม่นานผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้หลายสิบคนก็จากไปกว่าครึ่งหนึ่ง
และหัวหน้าสาขาทั้งแปดกับคนอื่นๆ ต่างก็ยังอยู่ที่เดิมทั้งหมด
หลังจากเจียงจ้งกับเหลียงจ้านเกอสบตากันทีหนึ่งแล้ว ก็รู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย
ศิษย์อันดับแรกในงานประลองใหญ่ที่ผ่านมา แม้อาจจะเนื่องด้วยเหตุผลต่างๆ จึงไม่เป็นที่ถูกใจของบรรดาผู้ควบคุมยอดเขากับผู้อาวุโสจนถึงขนาดรับเป็นศิษย์ ถึงแม้ว่าจะถูกใจ แต่ก็จะรอจนงานประลองสิ้นสุดไปหลายวัน จึงจะเรียกเข้าไปพบเป็นการส่วนตัว
แต่ศิษย์ที่ได้อันดับหนึ่ง กลับดูเหมือนว่าจะถูกรับเข้านิกายไปเลย แม้กระทั่งยังเคยเกิดเหตุการณ์ที่ผู้อาวุโสยอดเขาแย่งศิษย์ที่ได้อันดับหนึ่งต่อหน้าผู้ดำเนินการจนหน้าดำหน้าแดง
และวันนี้ ผู้อาวุโสเหล่านี้กลับแยกย้ายกันไปโดยไม่มองศิษย์ที่ได้อันดับหนึ่งเลย ย่อมแสดงถึงการตัดสินใจของพวกเขาแล้ว
สำหรับศิษย์สาขาห่านฟ้าที่คิดจะเข้าไปแสดงความยินดีกับหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ต่างก็เผยสีหน้าฉงนสนเท่ห์เป็นอย่างมาก
ขณะที่ศิษย์ที่ได้สิบอันดับแรกของสาขาอื่นๆ ต่างก็พากันจากไปท่ามกลางการห้อมล้อมของศิษย์ในสาขานั้น หลิ่วหมิงกลับยิ้มอย่างขมขื่น หลังจากโค้งคารวะให้กับเจียงจ้งแล้วก็เหาะขึ้นฟ้าไป
เดิมทีเจียงจ้งก็อยากจะให้กำลังใจเขาเล็กน้อย แต่พอเห็นฉากเช่นนี้ก็ได้แต่ส่ายหน้า
เหลียงจ้านเกอก็ถอนหายใจออกมา และจากไปโดยที่ไม่ได้ทักทายศิษย์สาขาห่านฟ้าเลยแม้แต่น้อย
ไม่นาน ข่าวเกี่ยวกับสามชีพจรจิตวิญญาณของหลิ่วหมิง ก็แพร่กระจายไปทั่วศิษย์สายนอก ไม่รู้ว่ามีศิษย์สายนอกจำนวนเท่าใด ที่รู้สึกตกตะลึงปากอ้าตาค้างจนกรามเกือบหลุดจากปาก
ตอนที่ 592 กำเนิดแปดขา
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลายวันต่อมา หลิ่วหมิงได้รับข่าวว่าศิษย์ที่ได้อันดับต้นๆ ในงานประลองใหญ่ ถูกยอดเขาต่างๆ รับเป็นศิษย์สายในอยู่ไม่หยุด
เจ้าอั้นอิน หญิงที่มีแผลเป็นบนใบหน้า ถูกผู้อาวุโสยอดเขาบงกชเลิศล้ำรับเป็นศิษย์ในคืนวันนั้น
โหวคุน ชายหนุ่มชุดขาวก็ถูกผู้อาวุโสคนหนึ่งของยอดเขารอยเมฆารับเป็นศิษย์ในเช้าตรู่วันที่สอง เพื่อฝึกฝนสายยันต์โดยตรง
และชายหนุ่มกระบี่ทองแดงถึงกับมียอดเขาสามแห่งส่งคนมาเชิญพร้อมกัน หลังจากคนผู้นี้ลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็เข้าร่วมกับยอดเขากระบี่สวรรค์ของชายที่มีหนวดเครา
นอกจากนี้ แม้แต่ศิษย์ร้อยอันดับแรกที่แสดงฝีมือได้อย่างโดดเด่น ก็เข้าไปเป็นศิษย์สายในจำนวนหนึ่ง โจวเทียนรุ่ยจากสาขาห่านฟ้าก็เป็นหนึ่งในนั้น
สำหรับข่าวทั้งหมดนี้ หลิ่วหมิงกลับมีท่าทีสงบเป็นอย่างมาก ทุกๆ วันเขาเพียงแค่ทานโอสถและนั่งฝึกฝนอยู่เงียบๆ
พริบตาเดียว ก็ห่างจากงานประลองมาสามวันแล้ว
วันนี้ ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังนั่งเข้าฌานอยู่ในถ้ำที่พักนั้น พลันมีแสงหลบหลีกนอกถ้ำ ทันใดนั้นชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าปีที่มีรูปร่างกำยำก็ปรากฏออกมา
ชายผู้นี้ไว้ผมสั้น สวมชุดทะมัดทะแมง พอปรากฏตัวก็มีกลิ่นไออันแข็งแกร่งพวยพุ่งออกมา
หลิ่วหมิงที่ฝึกฝนอยู่ในห้องลับสะดุ้งโหยงในทันที พอเขาก็ลุกขึ้นมา ก็น้ำเสียงทุ้มลึกดังมาจากนอกประตูใหญ่
“หลิ่วหมิง เจ้าอยู่ในถ้ำหรือไม่ รีบให้ข้าเข้าไปโดยเร็ว”
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ไม่กล้าชักช้าแต่อย่างใด เขารีบเดินออกจากห้องลับด้วยความตกใจระคนดีใจ และมุ่งไปยังประตูใหญ่
หลังจากเขาปล่อยพลังออกไป ประตูถ้ำก็ค่อยๆ เปิดออกมา
“ศิษย์ไม่ทราบมาก่อนว่าผู้อาวุโสจะมาเยี่ยมเยียน จึงไม่ได้ออกมารับ โปรดให้อภัยด้วย” หลิ่วหมิงประสานมือคารวะทันที และกล่าวกับชายรูปร่างกำยำด้วยความเคารพ
“ศิษย์หลานหลิ่ว เจ้าก็ไม่ต้องมากพิธี ข้าจางเม่าจากยอดเขาทองคำ แม้ว่าจะไม่ได้มาดูการประลองใหญ่ของสาขาทั้งแปดด้วยตนเอง แต่ก็ได้ยินเรื่องราวของเจ้ามาไม่น้อย ที่มาในครั้งนี้ก็เพื่ออยากจะยืนยันว่าคุณสมบัติของเจ้าเหมาะสมกับวิชาฝึกร่างของยอดเขาเราหรือไม่” ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
จากนั้นก็คว้าข้อมือหลิ่วหมิงโดยไม่รอให้เขาพูดอะไรออกมา ทันใดนั้นกระแสความร้อนก็ทะลักออกจากมือของชายผู้นี้ และจมหายไปในร่างของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจมาก แต่ก็รับรู้ได้ถึงไอร้อนที่แผ่ไปทั่วชีพจรและเส้นลมปราณ เขารู้ดีว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังทดสอบพลังอยู่ เขาจึงตรึงพลังเวทในร่างไว้ และรอคอยอย่างเงียบๆ
ครู่ต่อมา หลังจากไอร้อนแผ่ไปทั่วร่างของหลิ่วหมิงแล้ว มันก็พุ่งออกจากข้อมืออีกครั้ง และกลับเข้าไปในมือของชายวัยกลางคน
ชายวัยกลางคนส่ายศีรษะ และเผยสีหน้าผิดหวังออกมา
“อืม…… มีสามชีพจรจิตวิญญาณจริงๆ ด้วย แม้ตอนนี้เจ้าจะมีกายเนื้อแข็งแกร่ง แต่กลับไม่มีพรสวรรค์กับคุณสมบัติพิเศษอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกร่างเลย ช่างน่าเสียดายจริงๆ ……ใช่สิ! ข้ามีบันทึกประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกร่างอยู่ ซึ่งเป็นความรู้ที่ข้าได้มาจากการฝึกฝนในระดับของเหลว วันนี้ได้เจอกับเจ้าก็นับว่ามีวาสนาต่อกัน ข้าขอมอบบันทึกประสบการณ์นี้ให้ หวังว่าเจ้าจะได้อะไรจากในนี้”
พอกล่าวจบ ชายวัยกลางคนก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น จากนั้นแสงแวววาวลำหนึ่งก็พุ่งออกมา และหล่นลงบนมือหลิ่วหมิง มันคือแผ่นหยกสีเหลืองจางๆ แผ่นหนึ่ง
“ขอบคุณอาจารย์อาจางที่เมตตา” แม้หลิ่วหมิงจะเตรียมใจไว้แต่แรกแล้ว แต่พอได้ยินเช่นนี้ ก็ยังรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก จึงได้แต่ตอบด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
ชายวัยกลางคนพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อกลายเป็นแสงสีทองพุ่งจากไป
ผู้อาวุโสยอดเขาสองสามแห่งที่รู้สึกใจเต้นกับหลิ่วหมิงในตอนแรก หลังจากได้ยินจากปากจางเม่าว่าหลิ่วหมิงมีสามชีพจรจิตวิญญาณจริงๆ ทั้งยังไม่มีร่างจิตวิญญาณอื่นๆ พวกเขาก็พินิจพิเคราะห์กันอยู่รอบหนึ่ง จากนั้นก็ละความคิดที่จะรับหลิ่วหมิงเข้ายอดเขาไป
สิบกว่าวันต่อมา ข่าวที่หลิ่วหมิงได้อันดับหนึ่งในงานประลองใหญ่ แต่กลับไม่ถูกรับเป็นศิษย์สายในก็แพร่กระจายไปทั่วสาขาทั้งแปดอีกครั้ง ผู้คนพากันพูดเกรียวกราวและคาดเดาไปต่างๆ นานาอยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงกลับมีทีท่าสงบต่อเรื่องนี้มาก
เพราะว่าในนิกายยอดบริสุทธิ์ ยังมีศิษย์ระดับของเหลวอีกมาก ที่แม้แต่หกชีพจรจิตวิญญาณ เก้าชีพจรจิตวิญญาณ ก็ไม่อาจทะลวงคอขวดระดับผลึกได้ หรือไม่ก็เข้าสู่ระดับผลึกได้อย่างยากลำบากแล้ว ก็ยังคงติดอยู่ที่ระดับผลึกขั้นต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่พบเจอได้บ่อยมาก
แม้แต่ศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณพสุธา ชีพจรจิตวิญญาณสวรรค์เหล่านั้น ก็มีคนที่ติดอยู่ระดับผลึกเช่นกัน
วันนี้ ขณะที่หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิฝึกฝนอยู่ในถ้ำนั้น กลับมีเสียงหายใจเบาๆ ดังมาจากแหวนย่อส่วนในมือ
หลิ่วหมิงเลิกคิ้ว และปล่อยพลังจิตเข้าไปสำรวจแหวนย่อส่วนทันที
มุมหนึ่งภายในแหวนย่อส่วน ภายในน้ำเต้าที่มีลวดลายสีม่วงจางๆ ปกคลุมอยู่ ปลาหมึกแปดขาที่มีขนาดชุ่นกว่าๆ กำลังอ้าปากดูดกลืนอยู่ไม่หยุด หินจิตวิญญาณที่วางอยู่อีกด้านค่อยๆ ปล่อยไอจิตวิญญาณออกมา และม้วนเข้าไปในปากของมัน
ในที่สุดไข่ปีศาจสมุทรแปดขาที่เขานำมาจากแผ่นดินอวิ๋นชวน ก็ฟักออกมาแล้ว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกตกตะลึงมาก
ช่วงนี้เขามัวแต่ยุ่งอยู่กับงานประลองใหญ่ จนเกือบลืมไข่อสูรใบนี้ไปแล้ว
เขาสะบัดข้อมือในทันที น้ำเต้ากับหมึกแปดขาตัวน้อยพุ่งออกจากแหวนย่อส่วน และหล่นลงบนมือซ้ายขวาของเขา
หลิ่วหมิงสังเกตดูอย่างละเอียดทันที เขาค้นพบว่าอสูรสมุทรแปดขานี้ มีดวงตาขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองสี่ข้าง ขาสัมผัสทั้งแปดมีรูอากาศอยู่เต็มไปหมด มีของเหลวเหนียวๆ ซึมออกมาตลอดเวลา บนตัวยังมีลวดลายจิตวิญญาณสีชมพูจางๆ ปรากฏอยู่ลางๆ
หลิ่วหมิงเอามือข้างหนึ่งแตะลงบนตัว และร่ายคาถาคลุมเครือออกมา เพื่อลองเชื่อมจิตกับมันดู
แต่ทว่าครู่ต่อมา เขาก็รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก
คิดว่าหมึกน้อยแปดขาตัวนี้คงจะอยู่ในไข่นานเกินไป จึงไม่มีสติปัญญาเลยแม้แต่น้อย ซึ่งสูญเสียพลังสติปัญญาโดยสิ้นเชิง ตอนนี้เหลือเพียงสัญชาตญาณระดับต่ำสุดเท่านั้น
โชคดีที่อสูรน้อยตัวนี้ยังรู้จักดูดซับปราณฟ้าดินจากหินจิตวิญญาณ มิฉะนั้นแม้กระทั่งการอยู่รอดก็คงจะเป็นปัญหา
เมื่อหลิ่วหมิงเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้ ย่อมรู้สึกอับจนหนทางเช่นกัน
หลังจากคิดไตร่ตรองไปหนึ่งรอบแล้ว ก็ได้แต่นำอสูรน้อยเข้าไปไว้ในถุงอสูรจิตวิญญาณอีกใบ จากนั้นก็โยนหินจิตวิญญาณระดับกลางสองสามก้อนเข้าไป และนำถุงอสูรจิตวิญญาณใส่เข้าไปในแหวนย่อส่วนโดยไม่สนใจอีก
และโลหิตบริสุทธิ์ตะพาบน้ำจิตวิญญาณหมื่นปีที่เหลืออยู่ในน้ำเต้า ก็กลายเป็นน้ำบริสุทธิ์ไปนานแล้ว
หลิ่วหมิงก็ได้แต่เทน้ำออกมา และเก็บน้ำเต้าเข้าไป
……
เจ็ดวันต่อมา ก็มีชายระดับผลึกผู้หนึ่งมาเปิดประตูถ้ำของหลิ่วหมิง
“ศิษย์น้องหลิ่ว ข้าเป็นผู้ดำเนินการของหอคุมกฎ วันนี้มามอบรางวัลของอันดับหนึ่งในงานประลองใหญ่ให้กับท่าน นอกจากนี้คัมภีร์ทั้งหมดในหอเก็บคัมภีร์ภายในนิกาย ไม่ว่าจะต้องใช้แต้มคุณูปการจำนวนเท่าใด เจ้าก็สามารถใช้ตราหยกนี้เปิดชั้นจำกัดศึกษาได้หนึ่งเล่ม แน่นอนว่าในหอเก็บคัมภีร์ไม่มีเคล็ดวิชาลับของแต่ละยอดเขา ต้องเข้าร่วมยอดเขาต่างๆ แล้วถึงจะสามารถใช้แต้มคุณูปการแลกจากหอเก็บคัมภีร์ของแต่ละยอดเขาได้” ผู้ดำเนินการผู้นี้กล่าวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยื่นยันต์เก็บของกับตราหยกที่เปล่งแสงสีเขียวสลัวๆ ให้กับหลิ่วหมิง
“ลำบากศิษย์พี่แล้วที่ต้องมาด้วยตัวเองเช่นนี้” หลังจากหลิ่วหมิงรับยันต์เก็บของกับตราหยกมาแล้ว ก็กล่าวด้วยความเกรงใจ
ด้วยระดับการฝึกฝนของเขาในตอนนี้ ยังไม่อาจฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สามด้านได้ ในเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งก็ไม่มีพลังพิเศษใดๆ ที่น่าฝึกฝนอีก หากตอนนี้สามารถหาเคล็ดวิชาของนิกายที่เหมาะสมกับตนเองได้ ย่อมเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างมาก
“ในเมื่อศิษย์น้องไม่มีข้อสงสัยอะไรแล้ว ข้าต้องขอตัวก่อน” ศิษย์ดำเนินการประสานมือคารวะหลิ่วหมิง จากนั้นก็เหยียบเมฆขาวพุ่งขึ้นฟ้า
หลังจากมองตามหลังจนฝ่ายตรงข้ามหายไปแล้ว หลิ่วหมิงก็รีบกลับเข้าถ้ำทันที หลังจากทำท่ามือ แสงสีขาวก็เปล่งประกาย จากนั้นสิ่งของที่อยู่ในยันต์เก็บของก็ปรากฏออกมาบนโต๊ะหิน
มันคือหินจิตวิญญาณหนึ่งถุง ป้ายหยกสีทองหนึ่งอัน และขวดหยกสีดำหนึ่งขวด
หลิ่วหมิงเอานิ้วไปคีบป้ายหยกสีทองขึ้นมา หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้ว ก็เอาป้ายประจำตัวบนเอวมาสัมผัสกันเบาๆ
แสงสีทองเปล่งประกายบนป้ายหยกสีทอง จากนั้นก็แตกสลายกลายเป็นผุยผง
ในขณะเดียวกัน บนป้ายประจำตัวก็มีแต้มคุณูปการเพิ่มขึ้นมาสามหมื่นแต้ม
หลังจากหลิ่วหมิงเก็บป้ายเข้าไปแล้ว ก็หยิบขวดหยกสีดำขึ้นมาเปิดจุก ทันใดนั้นกลิ่นหอมอันเข้มข้นของไม้จันทน์ก็โชยออกมา
ภายใต้การกวาดจิตดูของเขา ทำให้ค้นพบว่ามีโอสถสีดำที่มีเส้นสีเงินเล็กๆ ปกคลุมอยู่เต็มพื้นผิว ถูกวางนิ่งๆ อยู่ตรงก้นขวด นี่ก็คือโอสถ “อูหมาง” ที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการทะลวงคอขวดระดับผลึกนั่นเอง
โอสถนี้ แม้แต่ในนิกายยอดบริสุทธิ์เองก็มีน้อยมาก โดยปกติถ้าจะใช้แต้มคุณูปการแลกล่ะก็ หากมีไม่ถึงสองแสนแต้มก็อย่าได้คิดถึงมันเลย ทั้งยังต้องจ่ายหินจิตวิญญาณเป็นจำนวนมากอีกด้วย
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม โอสถนี้ก็มีไม่พอต่อความต้องการของผู้คน พอผู้เชี่ยวชาญในนิกายปรุงออกมาได้สองสามเม็ด วันที่สองก็ถูกแย่งไปจนหมด
เพราะโอสถที่สามารถเพิ่มโอกาสในการทะลวงคอขวดระดับผลึกได้สำเร็จนั้น มีอยู่น้อยจริงๆ
หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองไปหนึ่งรอบแล้ว ก็ปิดฝาจุกอีกครั้ง และมันเก็บเข้าไปในแหวนย่อส่วนพร้อมกับหินจิตวิญญาณอย่างระมัดระวัง
ต่อมา เขาก็ขี่เมฆไปยังหอเก็บคัมภีร์ในนิกายอย่างไม่ลังเล
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ภายในหุบแห่งหนึ่งที่อยู่ทางด้านตะวันออกของหอคุมกฎไปไม่ไกล ตรงหน้าหอขนาดใหญ่ที่มีชั้นจำกัดเร้นลับซ่อนอยู่จำนวนมาก และมีค่ายกลห้อมล้อมเป็นชั้นๆ พอมีเมฆดำก้อนหนึ่งเหาะมาถึง ร่างของหลิ่วหมิงก็ปรากฏออกมา
หลังจากหลิ่วหมิงมองดูแผ่นป้ายของหอ และมั่นใจว่ามันคือหอเก็บคัมภีร์ของนิกายที่มีชื่อว่า ‘หอหมื่นวิชา’ แล้ว เขาก็ก้าวยาวๆ เข้าไปภายใต้สายตาจ้องของนักรบชุดเกราะสองคน
พอเข้าไปในหอ เขาก็ไปหาชายหนุ่มที่สวมชุดศิษย์ดำเนินการ หลังจากสอบถามเล็กน้อยแล้ว ก็พอเข้าใจสถานที่แห่งนี้คร่าวๆ
หอหมื่นวิชามีทั้งหมดสี่ชั้น ชั้นแรกเป็นห้องโถงใหญ่ซึ่งไม่มีคัมภีร์ใดๆ เป็นแค่สถานที่ให้ศิษย์จำนวนหนึ่งทำการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันเท่านั้น
ชั้นสองเป็นพวกคัมภีร์เบ็ดเตล็ด ชั้นสามกับชั้นสี่จะมีวิชาที่แท้จริงของนิกายจัดวางอยู่ ชั้นสามเป็นเคล็ดวิชาจำนวนหนึ่งที่ใช้บ่อย ชั้นสี่เป็นวิชาที่มีเงื่อนไขโหดร้ายและไม่ค่อยเป็นที่นิยม
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวบนชั้นสองของหอเก็บคัมภีร์
ตอนที่ 593 เคล็ดวิชาเงาสามส่วน
โดย
Ink Stone_Fantasy
จะเห็นว่าสถานที่แห่งนี้มีชั้นไม้สีดำตั้งวางอยู่สิบกว่าอัน บนนั้นมีแผ่นหยกวางอยู่เรียงราย และเปล่งแสงเจิดจ้าสีต่างๆ ออกมา ภายในห้องมีคนไม่กี่คนกระจัดกระจายอยู่ตามชั้นไม้ต่างๆ และใจจดใจจ่ออยู่กับการอ่านแผ่นหยก
ขณะที่หลิ่วหมิงกวาดสายตาผ่านนั้น กลับมองเห็นเงาร่างคุ้นเคยของใครบางคน
ถัดจากชั้นไม้สีดำที่สามทางด้านซ้าย หญิงสาวงดงาม รูปร่างอรชร สวมชุดกระโปรงยาวสีฟ้า กำลังเอาแผ่นหยกที่เปล่งแสงสีเงินแปะหน้าผากอยู่ นางคือเจียหลานนั่นเอง
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังลังเลอยู่นั้น นางก็หันหน้ามาโดยฉับพลัน ใบหน้าเผยแววประหลาดใจออกมา ดวงตางดงามกลอกไปมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนำแผ่นหยกวางไว้บนชั้นไม้ และเดินตรงเข้าหาหลิ่วหมิง
“ที่แท้ก็คือพี่หลิ่ว ไม่เจอกันนานหลายปี คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกันที่นี่” หลิ่วหมิงไม่ทันเอ่ยปาก ริมฝีปากแดงของเจียหลานก็เริ่มพูดขึ้นมาก่อน
“ไม่เจอกันนานจริงๆ” หลิ่วหมิงจ้องมองเจียหลานด้วยแววตาซับซ้อน และค่อยๆ กล่าวออกมา
“ได้ยินมาว่าพี่หลิ่วได้อันดับหนึ่งในงานประลองใหญ่ของแปดสาขา ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นยิ่งนัก ข้ารู้พลังของพี่หลิ่วดี ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องมีชื่อเสียงในศิษย์สายนอกแน่นอน” ดูเหมือนเจียหลานจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ประจักษ์ชัดว่าแม้นางจะอยู่ในนิกาย แต่ก็ค่อนข้างรู้เรื่องเกี่ยวกับงานประลองใหญ่ของศิษย์สายนอกดี
“ศิษย์น้องเจียหลานชมเกินไปแล้ว ข้าก็แค่ดวงดีเอาชนะมาได้เท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าการฝึกฝนของเจ้า จะเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย” ภายใต้การกวาดจิตดูของหลิ่วหมิง เขาค้นพบว่าระดับการฝึกฝนของนางเข้าใกล้ระดับของเหลวขั้นปลายอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ซึ่งดูเหมือนว่าจะสูงกว่าตัวเองเล็กน้อย เขาจึงหัวเราะอย่างขมขื่นแล้วกล่าวออกมา
อย่างที่รู้ว่าตอนที่ต่อสู้ในหุบเขาเปลวเพลิงในเขตทะเลหนานไห่นั้น นางมีระดับการฝึกฝนแค่ของเหลวขั้นกลางเท่านั้น
และตัวหลิ่วหมิงเองกลับอาศัยการทานโอสถผลึกเย็นจำนวนมาก ถึงเข้าสู่ระดับในปัจจุบันนี้ได้ วันนี้ดูท่าทรัพยากรของศิษย์สายในคงมีมากจริงๆ
“ครั้งนี้พี่หลิ่วคงมาอ่านคัมภีร์ในนิกายสินะ ได้ยินมาว่าอันดับหนึ่งของงานประลองใหญ่สามารถอ่านคัมภีร์ได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย” เจียหลานได้ยินก็ยิ้มเล็กน้อย นางไม่ได้พูดเรื่องอะไรเกี่ยวกับการฝึกฝนของตนเอง แต่กลับถามเรื่องอื่น
“ศิษย์น้องเจียหลานก็เป็นเหมือนกันมิใช่หรือ?” หลิ่วหมิงลูบจมูกแล้วกล่าวออกมา
“ข้าสะสมแต้มคุณูปการอย่างยากลำบากมาสองปี ถึงเพียงพอที่จะอ่านคัมภีร์ที่มีส่วนเกี่ยวกับการทะลวงระดับผลึกได้เพียงเล่มเดียวเท่านั้น” เจียหลานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้ศิษย์น้องก็ใกล้จะทะลวงระดับผลึกแล้ว ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก” พอได้ยินคำว่าระดับผลึก หลิ่วหมิงก็รู้สึกตกใจขึ้นมาจริงๆ
“ไหนเลยจะเร็วเช่นนี้ แต่วิชาที่อาจารย์ข้าถ่ายทอดให้ ค่อนข้างเหมาะสมกับร่างจิตวิญญาณของข้ามาก ด้วยเหตุนี้เส้นทางสู่ระดับผลึกจึงดำเนินไปได้เร็ว คาดว่าภายในสิบปีคงจะสามารถทะลวงคอขวดระดับผลึกได้” เจียหลานเองก็ตอบแบบไม่คิดจะปิดบัง
หลิ่วหมิงถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง สำหรับเขาแล้วเรื่องการทะลวงระดับผลึก ยังนับว่าค่อนข้างห่างไกลมาก
ทั้งสองพูดคุยกันอีกสองสามประโยค จากนั้นต่างก็ไปอ่านคัมภีร์ต่อ
หลังจากหลิ่วหมิงกล่าวลาเจียหลานแล้ว เขาก็เดินตรงมาบนชั้นสามของหอเก็บคัมภีร์ และทำการเลือกดูอย่างละเอียด
ผ่านไปราวๆ สองชั่วยาม ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ค้นพบเคล็ดวิชาที่ไม่เป็นที่นิยมอย่าง ‘เคล็ดวิชาเงาสามส่วน’
หลังจากผ่านการฝึกต่อสู้กับหลานสี่และราชาปีศาจสมุทรในแดนมายามาหลายครั้ง ประกอบสถานการณ์ต่างๆ ที่เผชิญในงานประลองใหญ่ ทำให้หลิ่วหมิงตระหนักชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่า นอกจากอาวุธจิตวิญญาณและเคล็ดวิชาต่างๆ แล้ว ในระหว่างการประลอง ท่าร่างก็เป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้
และพอฝึกฝนวิชานี้สำเร็จ ก็ทำให้ร่างกายพร่ามัวในขณะที่รุกหน้าหรือถอยหลัง และเมื่อระดับของวิชาเพิ่มขึ้น ยังสามารถสร้างเงาร่างเสมือนได้
ตามที่บันทึกไว้ในแผ่นหยก วิชานี้ถูกแบ่งออกเป็นสี่ขั้น ขั้นแรกสามารถสร้างได้เพียงเงาร่างสลัวๆ และเมื่อฝึกแต่ละขั้นสำเร็จ ก็สามารถสร้างเงาร่างออกมาได้หนึ่งเงา หลังจากฝึกฝนถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว ก็สามารถสร้างได้มากสุดสามเงา
ในขณะต่อสู้กับศัตรูในระยะประชิด นอกจากผู้ที่มีสายตาว่องไวเป็นพิเศษ หรือผู้ที่มีระดับการฝึกฝนเหนือกว่าแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่อาจหาตำแหน่งของร่างที่แท้จริงได้ พูดได้ว่ามีประโยชน์ต่อการต่อสู้ระยะประชิดมาก
ระหว่างที่หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่นั้น พลังจิตของเขาก็กวาดออกไป และค้นพบว่าวิชานี้ต้องใช้แต้มคุณูปการสองแสนห้าหมื่นแต้ม แม้ว่าเมื่อเทียบกับเคล็ดวิชา ‘ชังหมิงซินจิง’ ที่ต้องใช้ห้าแสนห้าหมื่นแต้มคุณูปการแล้ว จะใช้แต้มคุณูปการเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น
หลังจากเขาพินิจพิเคราะห์เล็กน้อยแล้ว ก็หยิบตราหยกสีเขียวที่เปล่งแสงสลัวๆ ออกจากแหวนย่อส่วน และโบกไปยังแท่นหยกสีม่วงที่บันทึก ‘เคล็ดวิชาเงาสามส่วน’
คลื่นสีม่วงปรากฏขึ้นเล็กน้อยบนแผ่นหยก จากนั้นอักขระสีม่วงจำนวนมากก็พุ่งออกมา และจมหายไปในตราหยกสีเขียวอย่างบ้าคลั่ง
มีแสงแวววาวหมุนวนอยู่บนพื้นผิวตราหยก จากนั้นมันก็กลายเป็นสีม่วงจางๆ
หลิ่วหมิงวางมันไว้บนหน้าผาก พอใช้กวาดจิตกวาดดูจนมั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดแล้ว ถึงเดินลงจากหอด้วยมีหน้าพอใจ จากนั้นก็ออกไปจากหอเก็บคัมภีร์ และขี่เมฆกลับไปยังที่ถ้ำที่พักของตนเอง
เมื่อกลับถึงถ้ำที่พัก เขาก็เข้าไปทำการฝึกฝนในห้องลับทันที
ในช่วงระหว่างเวลานี้ นอกจากหลงเหยียนเฟยจะมาพูดเปรียบเปรยเรื่องจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่อยู่หลายครั้ง และกลับไปโดยไม่ได้ผลลัพธ์อะไรแล้ว ก็มีเยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นมาเยี่ยมเยียนหนึ่งครั้ง
นอกจากหลิ่วหมิงจะทานโอสถผลึกเย็นอย่างต่อเนื่อง และเข้าไปฝึกฝนในแดนมายาแล้ว เวลาที่เหลือล้วนฝึกฝน ‘เคล็ดวิชาเงาสามส่วน’ อย่างตั้งใจ
ครั้งนี้หลิ่วหมิงกักตัวนานถึงสองปี ในระหว่างนั้นนอกจากจะไปซื้อวัตถุดิบปรุงโอสถในตลาดของนิกายหนึ่งครั้งแล้ว ก็ไม่ได้ไปที่อื่นอีกเลย
สองปีต่อมา ในที่สุดเขาก็ฝึกฝนวิชานี้สำเร็จในขั้นแรก
วันนี้หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับ เขานำตราหยกสีม่วงสลัวๆ แปะไว้บนหน้าผาก และทำความเข้าใจเคล็ดวิชาขั้นที่สองอย่างตั้งใจ
ขณะนั้นเอง มีแสงหลบหลีกสามลำพุ่งมาจากขอบฟ้า และร่วงลงมาหน้าถ้ำของเขา
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมา เขารับรู้ได้อย่างเลือนๆ ว่ามีแรงกดดันจิตวิญญาณปรากฏขาดๆ หายๆ อยู่ตรงหน้าปากถ้ำ หนึ่งในนั้นเขารู้สึกคุ้นเคยมาก และอีกสองคนดูเหมือนจะมีการฝึกฝนระดับผลึก
“ไม่ทราบว่าศิษย์น้องหลิ่วอยู่ในถ้ำหรือไม่?”
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดไตร่ตรองถึงเหตุผลการมาของคนเหล่านี้อยู่นั้น พลันมีน้ำเสียงราบเรียบของซาทงเทียนดังขึ้นข้างหู
เขาเก็บตราหยกสีม่วงเข้าไปทันที จากนั้นก็รีบเดินออกไป
“อ้อ! ที่แท้ก็เป็นพี่ซา ไม่ทราบว่ามาด้วยธุระอันใดหรือ?” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างสงบ ขณะเดียวกันก็กวาดสายตาดูคนอีกสองคนเล็กน้อย ดูจากชุดศิษย์สายในที่พวกเขาสวมใส่ คิดว่าคงจะเป็นศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์เช่นเดียวกับซาทงเทียน
“ที่ข้ามาในครั้งนี้ เพียงแค่อยากประลองกับศิษย์น้องหลิ่วอีกครั้ง จะได้รู้แพ้รู้ชนะ อีกไม่นานข้าก็จะทะลวงคอขวดระดับผลึกแล้ว ต่อไปอาจไม่มีโอกาสเข้าใจความปรารถนานี้ บุญคุณความแค้นเรื่องจินอวี้หวนกับเรื่องในวังมายานภาหยก ข้ายังคงจดจำไว้ในใจมาโดยตลอด” ซาทงเทียนกล่าวอย่างราบเรียบ
หลิ่วหมิงได้ยินก็ไม่ได้เผยสีหน้าแปลกใจออกมามากนัก แม้ว่าเขาไม่อยากจะเข้าไปยุ่งด้วย แต่ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามมาหาถึงที่ เขาย่อมไม่หลีกเลี่ยงแต่อย่างใด หลังจากหรี่ตาทั้งคู่ลงแล้ว ก็ตอบรับอย่างเด็ดขาด
“ในเมื่อศิษย์พี่ซามีใจอยากชี้แนะ ข้าย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ ต้องขอแลกมือกับพี่ซาแล้ว”
“เช่นนี้ก็ดี!” ซาทงเทียนได้ยินก็หัวเราะออกมา
จากนั้นพวกเขาก็กลายเป็นแสงหลบหลีกพุ่งออกไปโดยไม่พูดอะไรมาก
ผ่านไปราวๆ ครึ่งเค่อ ข้างแท่นประลองที่มีขนาดหลายสิบจั้ง มีศิษย์สามสี่ร้อยคนล้อมรอบอย่างหนาแน่น และมีศิษย์สองสามคนขี่เมฆเข้ามาเป็นระยะๆ
ดูจากการแต่งกายแล้ว ส่วนมากเป็นศิษย์สายนอก และมีศิษย์ธรรมดาจำนวนหนึ่ง ไม่รู้ว่าคนเหล่านี้ได้รับข่าวมาจากไหน ถึงได้มารวมตัวกันที่นี่เพื่อดูหลิ่วหมิงที่ได้อันดับหนึ่งในงานประลองใหญ่ของศิษย์สายนอกต่อสู้กับซาทงเทียนที่เป็นศิษย์สายในของยอดเขากระบี่สวรรค์
การประลองในรอบนี้แม้แต่เหลียงจ้านเกอก็รู้สึกตื่นเต้นมาก จนต้องมาดำเนินการประลองในครั้งนี้ด้วยตนเอง
เมื่อชั้นจำกัดรอบด้านแท่นประลองกลายเป็นม่านแสงปกคลุมไว้นั้น เหลียงจ้านเกอที่อยู่กลางอากาศก็ประกาศออกมาหนึ่งประโยค จากนั้นก็หายวับออกจากม่านแสงไป
ซาทงเทียนตบถุงหนังสีขาวบนตัวโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง “ฟู่!” แสงสีเขียวเปล่งประกาย กระบี่บินที่ใสราวกับน้ำพุ่งออกจากถุงหนัง หลังจากหมุนตัวจากอากาศหนึ่งรอบแล้ว ก็ปล่อยปราณกระบี่สีเขียวออกมาอย่างแจ่มชัด
พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อ กระบี่สีเทาสลัวๆ ก็พุ่งออกมา และถูกเขาคว้าเอาไว้ ระหว่างที่แขนเสื้อพองขึ้นมานั้น พลังเวทก็พุ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้นกระบี่สีเทาก็ม้วนตัวออกมา และเปล่งแสงแวววาวเจิดจ้า
ซาทงเทียนเห็นเช่นนี้ ก็คำรามด้วยสายตาเยือกเย็น ร่างของเขาพร่ามัวขึ้นฟ้าทันที จากนั้นก็กลายเป็นแสงกระบี่สีเขียวที่มีขนาดเจ็ดแปดจั้งก่อนพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง อานุภาพของมันน่ากลัวเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าจะร้ายกาจกว่าตอนที่อยู่ในวังมายานภาหยกเล็กน้อย
หลิ่วหมิงเพียงแค่กระตุกข้อมืออย่างไม่รีบร้อน กระบี่เล็กสีเทาในมือพุ่งออกไปด้วยเสียงดังกังวาน และกลายเป็นแสงกระบี่สีเทาไปรับมือแสงกระบี่สีเขียว
“ตู้ม!”
หลังจากแสงกระบี่ทั้งสองปะทะกัน พวกมันต่างก็คุมเชิงอยู่กลางอากาศ
ซาทงเทียนรู้สึกใจเย็นสะท้านขึ้นมาทันที
อย่างที่รู้ว่าสองปีมานี้ เขากักตัวฝึกฝนวิชากระบี่อย่างมุ่งมั่น ตอนนี้ไม่เพียงแต่จะฝึกฝนถึงระดับของเหลวขั้นปลายอย่างสมบูรณ์แบบ เส้นทางสายกระบี่ของเขาก็ไม่ใช่สิ่งที่สองปีก่อนจะมาเทียบได้
พอเขาขึ้นแท่นประลองมา ก็ใช้วิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งทันที เพื่อคิดจะสร้างอานุภาพขู่ขวัญฝ่ายตรงข้ามก่อน แต่หลิ่วหมิงกลับใช้วิชากระบี่แค่กระบวนท่าเดียว ก็สามารถต้านทานได้อย่างง่ายดาย
“เต๊ง!” ภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีเขียวเทา แสงกระบี่ทั้งสองกระเด็นไปคนละด้านภายในพริบตา
พอแสงกระบี่สีเขียวดับลง ก็เผยให้เห็นร่างของซาเทียนอีกครั้ง
เขาทำท่ามือด้วยสีหน้าอึมครึม กระบี่เล็กสีเขียวที่ลอยอยู่ตรงหน้าสั่นสะท้านเบาๆ จากนั้นก็กลายเป็นเงากระบี่จำนวนมากพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง
ตอนที่ 594 จี้หยก
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงโบกมือข้างหนึ่งเก็บกระบี่เล็กกลับมา และร่ายคาถาออกมาสองสามคำ พอทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง ไอดำบนพื้นผิวก็ม้วนตัวออกมา จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวในพริบตา
ครู่ต่อมา ได้เกิดฉากแปลกประหลาดขึ้น!
ร่างหลิ่วหมิงบิดเบี้ยวแปลกประหลาดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หายวับผ่านเงากระบี่จำนวนมากโดยไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
“นี่คือวิชาอะไร?”
ซาทงเทียนเห็นเช่นนี้ย่อมรู้สึกประหลาดใจมาก เขาไม่อาจวินิจฉัยสถานการณ์ตรงหน้าได้ชั่วขณะ เขาพอตัดสินใจทำท่ามือด้วยมือทั้งสองอีกครั้ง เงากระบี่จำนวนมากที่อยู่ไม่ไกลก็ดับลง จากนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวหมุนวนพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงอีกครั้ง
หลิ่วหมิงกระแทกเท้าข้างหนึ่งลงพื้นทันที มีแสงสลัวๆ บนตัว จากนั้นร่างของเขาก็กลายเป็นเงาร่างจางๆ พุ่งเข้าหาซาทงเทียน
ซาทงเทียนหัวเราะอย่างเยือกเย็น พอพลิกมือข้างหนึ่ง กระบี่สีดำแวววาวก็ปรากฏบนมือ ทันใดนั้นแสงกระบี่สีขาวโพลนก็ม้วนตัวไปรับมือกับหลิ่วหมิง
“ฟู่!”
เงาที่หลิ่วหมิงกลายร่างมา ยืดยาวราวกับสายยาง จากนั้นก็บิดตัวอย่างแปลกประหลาดไม่กี่ที ก็ปลิวสะบัดผ่านแสงกระบี่อันครั่นคร้ามไป
ซาทงเทียนรู้สึกใจเย็นสะท้าน ขณะที่คิดจะกระตุ้นกระบี่สีดำในมือนั้น ภาพตรงหน้าก็พร่ามัว หลิ่วหมิงที่เดิมทีอยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดจั้ง กลับพร่ามัวกระโจนมาตรงหน้าเขา
ซาทงเทียนตกใจจนหน้าถอดสี และรีบพุ่งถอยออกไปสิบกว่าจั้งในทันที จากนั้นถึงหมุนตัวหนึ่งรอบแล้วร่อนลงบนแท่นประลอง
และแสงสีดำสลัวๆ บนตัวหลิ่วหมิงกลับสลายไป เขายืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน เพียงแค่จ้องมองฝ่ายตรงข้ามด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
แม้ว่าซาทงเทียนจะเป็นผู้มีใจลุ่มลึกมาโดยตลอด แต่พอเห็นฉากเช่นนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จากนั้นก็ยกมือเก็บกระบี่อีกเล่มกลับมา และกล่าวอย่างเยือกเย็น
“ข้ายอมแพ้!”
จากนั้นก็กระโดดลงจากแท่นประลอง
หลังจากซาทงเทียนเห็นท่าร่างของหลิ่วหมิงที่แปลกประหลาดยิ่งกว่าเดิม ก็รู้ว่าตนเองไม่มีโอกาสชนะมากนัก จึงยอมแพ้แต่โดยดี
ฉากที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ ทำให้ศิษย์ที่ชมการประลองอยู่รอบด้านหยุดการตอบสนองไปชั่วขณะ พอได้ยินซาทงเทียนบอกว่ายอมแพ้ ถึงกับพากันฮือฮาขึ้นมา
ขณะเดียวกันนี้ แม้ว่าศิษย์ระดับผลึกสองคนที่ตามซาทงเทียนมา จะไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา แต่หลังจากมองหน้ากันแล้ว ต่างก็เห็นความตกใจในแววตาของอีกฝ่าย
เหลียงจ้านเกอที่อยู่บนแท่นประลองกลับพยักหน้า และประกาศผลออกมา
และซาทงเทียนก็ขี่เมฆทะยานฟ้าไปกับพรรคพวกทั้งสองโดยไม่พูดอะไรออกมา
แม้ว่าสีหน้าหลิ่วหมิงจะไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าเคล็ดวิชาเงาสามส่วนนี้ใช้ได้ผลเป็นอย่างมาก แค่ขั้นแรกก็มหัศจรรย์ถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าถ้าฝึกขั้นที่สองสำเร็จ และสร้างเงาร่างแปลกปลอมขึ้นมาจะมีผลลัพธ์มหัศจรรย์ถึงเพียงใด
เขาคิดเช่นนี้อยู่ในใจ หลังจากโค้งคารวะเหลียงจ้านเกอแล้ว ก็ล่องลอยจากไปเช่นกัน
ไม่นาน เรื่องที่หลิ่วหมิงเงียบหายไปสองปีจากงานประลองใหญ่ของศิษย์สายนอก และเอาชนะซาทงเทียนที่เป็นศิษย์สายในได้ ก็ถูกเผยแพร่ในบรรดาศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ สิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดความฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง
แต่หลิ่วหมิงกลับไม่สนใจเรื่องเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย หลังกลับไปถึงถ้ำที่พักก็เข้าไปกักตัวฝึกฝนในห้องลับ
เมื่อกาลเวลาค่อยๆ ล่วงเลยผ่านไป หลิ่วหมิงก็อยู่ที่นิกายสายนอกมานานหลายปีแล้ว
ในระหว่างเวลานี้ นอกจากเขาจะไปตลาดแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่ออกจากถ้ำที่พักเลย และย่อมไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าศิษย์สายนอกคนอื่นๆ การประลองเล็กในสาขาก็ไม่ได้เข้าร่วม
นอกจากจะปรุงโอสถ ทานโอสถ และฝึกฝนเคล็ดวิชาแล้ว เขายังเข้าไปฝึกฝนในแดนมายาทุกวันด้วย
หลังผ่านการฝึกฝนใช้เคล็ดวิชาเงาร่างสามส่วนขั้นที่หนึ่งจนชำนาญ เมื่อหลิ่วหมิงที่กลายร่างเป็นปีศาจเผชิญกับราชาปีศาจสมุทรระดับแก่นแท้ ก็มีโอกาสชนะมากขึ้นกว่าก่อนหน้านั้นเล็กน้อย
เมื่อกาลเวลาเคลื่อนย้ายผ่านไป หลิ่วหมิงก็ค่อยๆ จางหายไปจากสายตาของบรรดาศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ ทิ้งไว้เพียงข่าวลือที่เกี่ยวข้องกับเขาเท่านั้น
เพราะนิกายยอดบริสุทธิ์ที่สืบทอดมาไม่รู้กี่หมื่นปีมานี้ จุดสนใจของผู้คนถูกเคลื่อนย้ายได้ง่ายมาก
ห้าปีต่อมา
ยอดเขาสูงใหญ่นับร้อยนับพันที่อยู่ท่ามกลางเทือกเขาหมื่นวิญญาณที่มีเมฆหมอกรายล้อม ยังคงตั้งตระหง่านอย่างสงบเหมือนกับนับพันนับหมื่นปีที่ผ่านพ้นไป
มีแสงแปลกประหลาดพุ่งออกจากยอดเขาแต่ละแห่ง และพุ่งไปยังยอกเขาอีกแห่งอยู่ไม่ขาด ทิ้งร่องรอยจางๆ ไว้บนอากาศ
สถานที่บางแห่งด้านหลังยอดเขาเลื่อนลอยที่สูงเสียดเมฆ ริมลำธารใสสะอาดที่เห็นฝูงมัจฉาแหวกว่ายไปมา มีหอประณีตงดงามที่สร้างขึ้นติดภูเขาอยู่หลังหนึ่ง
ดูเหมือนว่าด้านนอกของหอแห่งนี้ จะปกคลุมไปด้วยชั้นจำกัดม่านแสงที่ดูคล้ายกับคลื่นวารีสีฟ้า
ภายในหอ แสงสีม่วงเข้มกำลังขยายและหดตัวเป็นจังหวะอย่างต่อเนื่อง พอมันสัมผัสกับชั้นจำกัดรอบด้านเล็กน้อย ก็กระตุ้นให้เกิดระลอกคลื่นสีฟ้าอยู่พักหนึ่ง
ไม่นาน ขณะที่เกิดเสียงสั่นสะเทือนของหุบเขาอย่างชัดเจน ลำแสงสีม่วงขนาดใหญ่ก็พุ่งออกจากหอ และทะลุออกจากม่านแสงสีฟ้าที่อยู่ด้านบน จากนั้นก็หายไปบนท้องฟ้า ลำแสงนี้มีแสงสีม่วงหมุนวนเป็นเกลียวราวกับเมฆที่มีแสงเรืองรอง
ในขณะเดียวกัน อากาศบริเวณรอบๆ ลำแสงก็มีเมฆบางๆ ลอยวนอยู่เป็นจำนวนมาก สามารถมองเห็นเม็ดแสงสีม่วงสิบกว่าเม็ดอยู่ในนั้นอยู่รำไร มันจัดเรียงวงโคจรที่แน่นอน และเปล่งประกายแวววาวราวกับดวงดาว
ในขณะเดียวกัน
“พลังเวทเกาะตัวเป็นผลึก!”
“มีคนเข้าสู่เข้าสู่ระดับผลึกแล้ว”
ศิษย์บนยอดเขาเลื่อนลอยเห็นเช่นนี้ ก็พากันหลุดปากออกมา บ้างก็เผยสีหน้าอิจฉาออกมา
ปรากฏการณ์อันยิ่งใหญ่นี้ได้ดึงดูดความสนใจของยอดเขาอื่นๆ ที่อยู่บริเวณใกล้ๆ ศิษย์สายในจำนวนหนึ่งพากันเดินออกจากสถานที่ฝึกฝน และกระตุ้นแสงหลบหลีกมาบนยอดเขาที่อยู่บริเวณยอดเขาเลื่อนลอย และทำการชี้ไปต่างๆ นานา
บนพื้นที่กว้างติดกับยอดเขาอันยิ่งใหญ่ มีแสงหลบหลีกพุ่งเข้ามาและร่วงลงไปบริเวณนั้นอยู่ไม่หยุด
ขณะนี้มีศิษย์สวมชุดศิษย์สายในสิบกว่าคนรวมตัวกันอยู่ในสถานที่แห่งนี้
หากหลิ่วหมิงอยู่ที่นี่จะต้องจำโหวคุน เจ้าอั้นอิน และคนอื่นๆ ที่เข้าเป็นศิษย์สายในหลังงานประลองใหญ่ได้ ขณะนี้พวกเขากำลังจ้องมองปรากฏการณ์บนยอดเขาเลื่อนลอยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ในบรรดาคนเหล่านี้กลับมีชายหนุ่มใบหน้าแคบยาวผู้หนึ่ง ที่โดดเด่นราวกับนกกระสาในฝูงไก่ บนตัวแผ่คลื่นปราณกระบี่อันน่าตกใจออกมา พลังเวทของเขาได้เข้าถึงระดับผลึกแล้ว เขาก็คือซาทงเทียนนั่นเอง
“ไม่ทราบว่าสหายยอดเขาเลื่อนลอยท่านใดเข้าสู่ระดับผลึก ถึงได้เกิดปรากฏการณ์อันน่าตกใจเช่นนี้ แต่ว่าพลังต้นกำเนิดจะเกาะผลึกพลังเวทมาได้เพียงสิบแปดเม็ดเท่านั้น ดูท่าคงจะมีคุณสมบัติไม่เบา ช่างเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเสียจริง!” โหวคุนชายหนุ่มผมขาวกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“หลายปีมานี้ดูเหมือนว่าศิษย์พี่ซาจะขยันเข้าออกยอดเขาเลื่อนลอยมาก มักจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับศิษย์พี่เจียหลานอยู่บ่อยๆ คงพอจะรู้เส้นสนกลในอยู่บ้าง?” เจ้าอั้นอินชำเลืองมองซาทงเทียนทีหนึ่งแล้วกล่าวอย่างราบเรียบ
ตั้งแต่นางเข้านิกายสายในมา ไม่รู้ว่าฝึกฝนวิชาอะไรถึงทำให้แผลเป็นบนใบหน้าหายไปจนหมดสิ้น ตอนนี้ดูงดงามขึ้นมามาก
ซาทงเทียนยืนเอามือไขว้หลังจ้องมองไปทางยอดเขาเลื่อนลอยอย่างเงียบๆ แต่กลับไม่กล่าวอะไรออกมา
“หรือว่า…… ผู้ที่เข้าสู่ระดับผลึกผู้นี้จะเป็นศิษย์พี่เจียหลาน?” ศิษย์สายในที่มีคิ้วหนาตาโตอีกคนกล่าวด้วยความตกใจ
“ศิษย์พี่เจียหลานเข้านิกายได้ไม่นาน คิดไม่ถึงว่าจะฝึกฝนจนถึงระดับผลึกแล้ว” ประจักษ์ชัดว่าโหวคุนก็ได้ยินชื่อเจียหลานมาก่อน ถึงได้กล่าวด้วยความประหลาดใจ
“เจียหลานมีร่างมายาสวรรค์ที่เหมาะสมสำหรับฝึกฝนทางด้านวิชามายา ตอนอยู่ระดับของเหลวขั้นปลายก็เคยสังหารผู้ฝึกฝนระดับผลึกมาแล้ว สองปีก่อนก็พบกับความโชคดี ทำให้การฝึกฝนก้าวหน้าไปมาก ทำให้ทะลวงระดับของเหลวขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบได้ในคราเดียว จึงทำให้ทะลวงคอขวดระดับผลึกได้เร็วเช่นนี้” ในที่สุดซาทงเทียนก็เอ่ยปากออกมา สายตาของเขาไม่ได้ละไปจากยอดเขาเลื่อนลอยเลยแม้แต่น้อย
“ร่างมายาสวรรค์ เป็นร่างจิตวิญญาณที่ฝึกฝนวิชามายาได้ดีที่สุดหรือ?” พอโหวคุนได้ยินก็ตาเป็นประกายอยู่ครู่หนึ่ง
เขานับว่าเป็นร่างจิตวิญญาณห้าธาตุที่พบเจอในรอบร้อยปี ดังนั้นย่อมรู้สึกสนใจร่างมายาสวรรค์ที่พบเจอได้น้อยเช่นนี้
ซาทงเทียนกลับไม่ยอมพูดอะไรมาก ยังคงจ้องมองยอดเขาเลื่อนลอยด้วยแววตาหลงใหล ดวงตาดูปรือเล็กน้อย
แวบแรกที่เขาเห็นเจียหลานในงานเฉลิมฉลองเมื่อหลายปีก่อน ก็ตกตะลึงในความงามและพลังอันน่าตกใจของนาง ตั้งแต่นั้นมาก็หาข้ออ้างต่างๆ เข้าออกยอดเขาเลื่อนลอยอยู่บ่อยๆ แต่ทว่าเจียหลานกลับมีท่าทีเฉยๆ กับเขามาโดยตลอด ทำให้เขาระทมทุกข์อยู่ไม่หยุด
บนต้นไม้ที่ซ่อนอยู่บนยอดเขาสูงชันอีกลูก จินเทียนชื่อกำลังดื่มสุรารสเลิศจากน้ำเต้าสีเงินในมือ และมองดูปรากฏการณ์ทางด้านยอดเขาเลื่อนลอยด้วยสีหน้าครุ่นคิดอยู่เป็นระยะๆ ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
……
หลายวันต่อมา ข่าวที่เจียหลานเข้าสู่ระดับผลึกสำเร็จ ก็ค่อยๆ แพร่กระจายไปในนิกายยอดบริสุทธิ์ ทำให้ผู้คนรู้สึกสนใจเป็นจำนวนมาก
เพราะใบหน้างดงามของเจียหลานได้รับการพูดถึงจากศิษย์ชายจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นศิษย์สายในหรือสายนอก ล้วนให้ความสนใจนางทั้งสิ้น
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดนางถึงรีบกักตัวหลังจากเข้าสู่ระดับผลึกสำเร็จ
หลังจากผ่านไปช่วงหนึ่ง ข่าวนี้ก็ค่อยๆ เงียบลงไป
……
ครึ่งปีต่อมา
หลิ่งหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับ ในมือกำลังถือจี้หยกสีดำมืดด้วยสีหน้าครุ่นคิด
จี้หยกนี้มีเนื้อเป็นสีดำมืด จะว่าเป็นไม้ก็ไม่ใช่เป็นโลหะก็ไม่เชิง รูปร่างก็แปลกประหลาดยิ่งนัก ด้านหน้ามีภาพดวงดาวประทับอยู่ ด้านหลังกลับมีคำว่าดาวเป๋ยโต่ว[1]ประทับอยู่
สิ่งนี้หลิ่วหมิงได้มาจากยันต์เก็บของของปีศาจหยินหยาง
ตอนนั้นเขาใช้จิตกวาดดูแล้วก็ไม่ค้นพบอะไรเป็นพิเศษ จึงคิดว่าของสิ่งนี้เป็นแค่อาวุธเวททั่วไปเท่านั้น ถึงได้เอามันใส่ไว้ในแหวนย่อส่วนโดยไม่ได้สนใจอีก
แต่ทว่าในหลายวันก่อนที่หลิ่วหมิงไปค้นคว้าคัมภีร์ในหอเก็บคัมภีร์นั้น กลับค้นพบบันทึกเกี่ยวกับของสิ่งนี้โดยไม่ตั้งใจ ทำให้เขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
………………………………
[1] ดาวเป๋ยโต่ว คือกลุ่มดาวหมีใหญ่หรือกลุ่มดาวจระข้ กลุ่มดาวนี้มีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนจีนในอดีตเป็นอย่างมาก
ตอนที่ 595 ปีศาจขวานโลหิต
โดย
Ink Stone_Fantasy
จี้หยกนี้มีที่มีมาอันยิ่งใหญ่ เป็นป้ายคำสั่งเป๋ยโต่วที่ออกมาจาก ‘หอเป๋ยโต่ว’ ที่มีอิทธิพลเก่าแก่และลึกลับที่สุดในแผ่นดินจงเทียน
ว่ากันว่าหอนี้เป็นกลุ่มอิทธิพลที่มีมาแต่สมัยบรรพกาล หากคำเล่าลือนี้เป็นจริงล่ะก็ มันดำรงมายาวนานกว่านิกายยอดบริสุทธิ์และบรรดาสี่ยอดนิกายใหญ่ของมนุษย์เสียอีก
นอกจากนี้ความแข็งแกร่งที่อยู่เบื้องหลังนั้นยังไม่อาจหยั่งรู้ได้ แม้กระทั่งพูดได้ว่าอาจจะมีผู้ฝึกฝนระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์อยู่ด้วยก็ได้
และหอเป๋ยโต่วจะเรียกตนเองว่า ‘หอเฉียบแหลม’ เลื่องชื่อว่าไม่มีเรื่องใดในใต้หล้าที่พวกเขาไม่รู้
แม้คำพูดนี้จะดูโอ้อวดไปหน่อย แต่ว่าหอเป๋ยโต่วรู้ข่าวของสถานที่ต่างๆ ในแผ่นดินจงเทียนรวดเร็วมาก ผู้ที่ไปสอบถามส่วนมากจะได้คำตอบกลับมา
ตั้งสมัยโบราณมา หอเป๋ยโต่วปล่อยป้ายคำสั่งเป๋ยโต่วออกมาทั้งหมดหนึ่งหมื่นแปดพันอัน เพียงแค่ในมือถือป้ายคำสั่งเป๋ยโต่ว ก็จะเป็นแขกระดับสูงของหอแห่งนี้ แต่หากจะสอบถามข้อมูลต่างๆ ก็ต้องจ่ายหินจิตวิญญาณเป็นค่าตอบแทนจำนวนไม่น้อย
อีกอย่างหอแห่งนี้ยอมรับแต่ป้าย ไม่ยอมรับคน หากไม่มีป้ายเป๋ยโต่ว ต่อให้จะเป็นผู้ที่มีที่มาอันยิ่งใหญ่ ก็ไม่อาจซื้อข้อมูลจากหอแห่งนี้ได้
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าป้ายคำสั่งเป๋ยโต่วจะมีจำนวนไม่น้อย กลุ่มอิทธิพลใหญ่ต่างก็มีอยู่จำนวนหนึ่ง แต่สำหรับแผ่นดินจงเทียนแล้ว มันยังคงเป็นของล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง หากผู้ฝึกฝนอิสระโดยทั่วไปอยากได้สักอัน เป็นเรื่องที่ยากเป็นอย่างยิ่ง
ชายหนุ่มนิกายปีศาจลี้ลับผู้นี้กลับมีป้ายคำสั่งเป๋ยโต่ว ช่างเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของหลิ่วหมิงเป็นอย่างมาก
แต่สำหรับเขาในตอนนี้ ของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขากำลังต้องการพอดี
หลิ่วหมิงชื่นชมจี้หยกในมือด้วยสีหน้าเฉียบขาด
สามวันต่อมา หลิ่วหมิงขี่แสงสีดำออกจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณอย่างไร้สุ้มเสียง
เพื่อรักษาความลับ เขาไม่ได้ใช้ค่ายกลส่งตัวของนิกาย แต่กลับเปลี่ยนโฉมรูปร่างมายังตลาดขนาดกลางที่อยู่นอกนิกาย หลังจากใช้หินจิตวิญญาณจำนวนมากจ่ายค่าค่ายกลส่งตัวไปหลายครั้ง ครึ่งเดือนให้หลังก็มาถึงตลาดวารีมืดที่อยู่ห่างจากเขาหมื่นวิญญาณไปล้านลี้
ตลาดวารีมืดดูธรรมดามาก มีขนาดไม่ถึงครึ่งของตลาดฉางหยางที่เขาเคยอยู่ในก่อนหน้านั้น สิ่งก่อสร้างในตลาดก็ดูทรุดโทรมและมืดมน พอมองดูไกลๆ จากบนอากาศ มันดูคล้ายกับสระน้ำสีดำแห่งหนึ่ง
ตอนนี้หลิ่วหมิงแปลงโฉมเป็นชายฉกรรจ์หน้าดำเดินเตร่อยู่บนท้องถนนในตลาด และทำการสังเกตดูร้านค้าสองข้างทางอยู่ตลอดเวลา
หลังจากเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็หยุดอยู่หน้าประตูหอเล็กๆ สีเทาที่สูงสองชั้น
หน้าประตูใหญ่ของหอมีป้ายสีเทาแขวนอยู่แผ่นหนึ่ง ด้านในมีแสงขมุกขมัวเล็กน้อย ดูจากภายนอกมองเห็นอะไรในนั้นไม่ค่อยชัดเจน ดูคล้ายกับเป็นหอน้ำชาโดยทั่วไป
พอหลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดูบนแผ่นป้าย ก็ต้องเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา จากนั้นก็ก้าวยาวๆ เข้าไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ด้านในหอน้ำชาจัดการได้ค่อนข้างเป็นระเบียบ มีโต๊ะเก้าอี้ไม้หลายตัววางอยู่อย่างง่ายๆ ด้านหลังตู้วางของมีคนที่ดูคล้ายเถ้าแก่กำลังเอามือข้างหนึ่งเท้าคางหลับปุ๋ยอยู่
ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงพอดี ในร้านมีแขกอยู่บางตา ซึ่งนั่งอยู่ตามโต๊ะต่างๆ และต่างก็จิบน้ำชาไม่สนใจใคร
“แขกผู้นี้ เชิญเข้ามานั่งด้านในก่อน มาลองชิม ‘ชาจิตวิญญาณเจ็ดดารา’ ของร้านเรา รับรองว่าท่านจะต้องพอใจ!” ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังกวาดสายตามองไปรอบด้านนั้น ชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะเป็นลูกจ้างก็เดินเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม
พอหลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดูบนตัวคนผู้นี้ ใจเขาก็รู้สึกใจเต้นเล็กน้อย
ชายหนุ่มผู้นี้รูปร่างหน้าตาพื้นๆ แต่กลับมีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นต้น ไม่รู้ว่าฝึกฝนเคล็ดวิชาซ่อนเร้นพลังอะไร คลื่นพลังเวทบนตัวถึงได้ดูคลุมเครือเช่นนี้ หากไม่ใช่ว่าพลังจิตของเขาเหนือกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันล่ะก็ คงไม่อาจค้นพบได้
แต่เช่นนี้แล้ว เขาก็ยืนยันได้ว่าตนเองไม่ได้มาผิดที่
หอน้ำชาแห่งนี้เป็นสาขาย่อยแห่งหนึ่งของหอเป๋ยโต่ว
แต่ไหนแต่ไรมา หอเป๋ยโต่วก็ทำตัวลึกลับมาโดยตลอด ผู้ฝึกฝนโดยทั่วไปไม่รู้แม้กระทั่งการดำรงอยู่ของหอแห่งนี้ ที่ทำการใหญ่ของมันตั้งอยู่ที่ใด ยิ่งไม่มีคนรู้จักเข้าไปใหญ่ หลิ่วหมิงใช้แต้มคุณูปการไปไม่น้อย ถึงหาสาขาย่อยของหอแห่งนี้มาจากวิหารกลลับสวรรค์ในนิกายยอดบริสุทธิ์ได้
หลังจากคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้ว หลิ่วหมิงก็ยื่นป้ายคำสั่งเป๋ยโต่วให้ชายหนุ่มตรงหน้าดู
“ที่แท้ก็เป็นแขกระดับสูง เชิญท่านไปนั่งที่ชั้นสอง” ชายหนุ่มตาเป็นประกาย เขาจำป้ายในมือหลิ่วหมิงได้ สีหน้าจึงเปลี่ยนไปทันที หลังจากทำการโค้งคารวะด้วยสีหน้านอบน้อมแล้ว ก็หมุนตัวเดินไปยังบันไดที่อยู่ด้านในหอน้ำชา
หลิ่วหมิงเดินตามเข้าไปด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
ชายหนุ่มพาหลิ่วหมิงขึ้นไปชั้นสองจนมาถึงประตูห้องแห่งหนึ่ง และเคาะประตูห้องสามที
จากนั้นประตูห้องก็ค่อยๆ เปิดออกมา
“เชิญสหายเข้าไปเถอะ!” ชายหนุ่มกล่าว จากนั้นก็ทำความเคารพแล้วหมุนตัวเดินลงจากหอไป ทิ้งหลิ่วหมิงไว้หน้าประตูเพียงคนเดียว
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พอมองเข้าไปด้านในแล้ว ก็เดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง
ในห้องมีโต๊ะเก้าอี้จัดวางอยู่ ดูคล้ายห้องห้องสือทั่วไป ตรงหน้าฉากบังลมขนาดใหญ่ยังมีชั้นหนังสือขนาดใหญ่ตั้งอยู่สองแถว บนนั้นมีคัมภีร์หนาๆ ประเภทต่างๆ จัดวางอยู่เต็มไปหมด ซึ่งต่างจากที่หลิ่วหมิงคาดการณ์ไว้มาก
“สหายผู้นี้ เชิญนั่ง” ชายวัยกลางคนสวมชุดสีขาวที่ดูสง่างาม ค่อยๆ เดินออกมาจากฉากบังลม หลังจากมองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้ว ก็ชี้ไปยังเก้าอี้ด้านข้างแล้วกล่าวออกมา
หลิ่วหมิงนั่งลงด้วยแววตาประหลาดใจ กลิ่นไอของคนผู้นี้ลึกล้ำมาก ซึ่งมีการฝึกฝนระดับผลึกแล้ว
“ที่สหายมาในครั้งนี้ ต้องการสอบถามเรื่องอันใดหรือ?” หลังจากชายวัยกลางคนนั่งลงไปแล้ว ก็ถามอย่างราบเรียบ
“ข้าน้อยอยากทราบเบาะแสและข่าวของคนคนหนึ่ง” หลิ่วหมิงพูดออกมาตามตรง
“หาคน? ในเมื่อสหายมีป้ายคำสั่งเป๋ยโต่วที่หอเป๋ยโต่วเราส่งออกไป สหายย่อมรู้กฎดี ข้าจะตรวจสอบป้ายคำสั่งสักหน่อย จากนั้นท่านก็เขียนชื่อแซ่และที่มาของคนผู้นั้นไว้ในนี้” ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยสีหน้าสงบ และหยิบกระดาษสีขาวออกมายื่นให้
หลิ่วหมิงนำจี้หยกออกมามอบให้ฝ่ายตรงข้าม และรับกระดาษขาวมา จากนั้นก็เขียนอักษรลงในนั้นสองสามแถวโดยไม่ต้องคิด
ขณะนี้ ไม่รู้ว่าชายชุดขาวตรงหน้าใช้เคล็ดวิชาอะไรตรวจสอบจี้หยกจนเสร็จ และพยักหน้าก่อนยื่นให้หลิ่วหมิง ขณะเดียวกันก็รับกระดาษสีขาวมากวาดสายตาดูสองสามที
……
ครึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงจากหอเป๋ยโต่วไปอย่างเงียบๆ หินจิตวิญญาณบนตัวเขาในขณะนี้หายไปสามแสนหินจิตวิญญาณ แต่ก็ได้ข้อมูลที่ตนเองต้องการมาได้สำเร็จ
จากนั้นเขาก็จากไปโดยไม่อยู่ที่ตลาดวารีมืดนานมากนัก และขี่เมฆทะยานไปยังทิศทางบางแห่ง
……
สองเดือนต่อมา ท่ามกลางทะเลทรายเปล่าเปลี่ยวที่ห่างไกลผู้คน มีแสงหลบหลีกสีแดงเลือดลำหนึ่งพุ่งเข้ามากลางอากาศ
ทันใดนั้นก็มีแสงสีเงินพุ่งออกจากทะเลทรายที่อยู่ด้านล่าง และพุ่งตรงเข้าใส่แสงสีเลือดกลางอากาศอย่างฉับไว
“เฮ้ย! อะไรนี่!”
มีเสียงเกรี้ยวกราดดังออกมาจากแสงหลบหลีกสีแดง จากนั้นแถบสีเลือดก็หวดใส่แสงสีเงิน
แสงสีเงินเหมือนถูกกระแทกอย่างแรง ทำให้กระเด็นกลับไปด้วยความเร็วที่เร็วกว่าตอนพุ่งเข้ามา ที่แท้มันก็คือแมงป่องที่มีขนาดหนึ่งจั้ง ตัวของมันเป็นสีเงินแวววาว
และพอแสงหลบหลีกสีเลือดดับลง ก็เผยให้เห็นเงาร่างของคนที่อยู่ในนั้น เขาเป็นชายฉกรรจ์ที่มีรูปร่างกำยำล่ำสันผู้หนึ่ง สวมเสื้อคลุมยาวทั้งตัว เท้าเหยียบอยู่บนขวานยักษ์สีแดงเล่มหนึ่ง ขณะนี้กำลังจ้องมองด้านล่างด้วยสีหน้าดุร้าย
หากศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์อยู่ที่นี่ จะต้องจำได้ว่าชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำผู้นี้ก็คือปีศาจขวานโลหิตที่มีรายชื่ออยู่ในอันดับที่เก้าของบัญชีความเป็นความตายนั่นเอง
“ฟู่!”
มีคลื่นก่อตัวด้านหลังชายฉกรรจ์ จากนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏออกมา มีเสียงแหลมดังกลางอากาศ กำปั้นที่มีไอดำลอยวนเป็นเกลียวพุ่งเข้าใส่ท้ายทอยของชายฉกรรจ์ด้วยพลังอันหนักแน่นราวกับภูเขาไท่ซาน
ปีศาจขวานโลหิตรู้สึกขนลุกขนพอง พอหันหน้ากลับมาและคิดจะหลบหลีก ก็สายเกินไปเสียแล้ว ทำได้แค่เอาแขนทั้งสองมาป้องไว้ตรงหน้าเท่านั้น
“ตู้ม!”
ราวกับว่ามีหินหนักหมื่นชั่งมาวางอยู่บนตัว ปีศาจขวานโลหิตถูกโจมตีกระเด็นออกไปในทันที และตกลงบนพื้นทะเลทรายอย่างรุนแรง
มีเงาร่างสีดำเคลื่อนไหวกลางอากาศ พริบตาเดียวก็ร่วงลงพื้น
ท่ามกลางไอดำที่พวยพุ่งเป็นเกลียว เผยให้เห็นชายหนุ่มใบหน้าไร้ความรู้สึกผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
“สมควรตาย!”
เสียงตะคอกอันดุร้ายดังออกจากหมอกควันและภัสมธุลีที่กระเด็นออกไป ปีศาจขวานโลหิตจับขวานสีแดงเล่มนั้นไว้แน่น และโบกสะบัดขวานสีแดงจนกลายเป็นเงาพัดสีแดงฟันเข้าหาหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงกลับเตรียมการไว้ตั้งแต่แรกแล้ว พอร่างของเขาพร่ามัวก็หลบหลีกแสงสีเลือดไปได้ ขณะเดียวกัน พอสะบัดแขนเสื้อ แสงสีทองสี่ลำก็พุ่งออกมา และกลายเป็นหุ่นสีทองอร่ามสี่ตัว พวกมันพากันยืนล้อมรอบปีศาจขวานโลหิตไว้
“ขึ้น!”
หลังจากหลิ่วหมิงส่งเสียงออกมา ค่ายกลสีทองหลังหนึ่งก็ก่อตัวขึ้น และปกคลุมปีศาจขวานโลหิตไว้
ครู่ต่อมา เงาขวานสีทองเจิดจ้าก็ค่อยๆ ฟันลงบนม่านแสงสีทอง แต่กลับกระตุ้นให้แสงสีทองสั่นไหวได้ครู่หนึ่งเท่านั้น
“เจ้าเป็นใครกัน? ข้าไม่มีบุญคุณความแค้นกับเจ้ามาก่อน ใยต้องดักโจมตีข้า?” ปีศาจขวานโลหิตจ้องมองหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านนอกค่ายกลด้วยสีหน้าแข็งทื่อ
หลิ่วหมิงกลับไม่มีอารมณ์จะพูดจาไร้สาระกับเขา พอตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอว ไอดำก็เปล่งประกาย หัวบินพุ่งตรงออกไป และปล่อยผมยาวสีเขียวแทงเข้าไปในม่านแสง
อีกด้านหนึ่ง แมงป่องกระดูกที่ถูกโจมตีจนกระเด็นไปในตอนแรก ก็โจมตีเข้ามาจากอีกฝั่ง หางตะขอสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นมันก็ปล่อยเส้นสีดำออกไปหลายสิบเส้น
ม่านแสงสีทองสามารถต้านทานการโจมตีจากภายในได้ แต่กลับไม่ต่อต้านหัวบินกับแมงป่องกระดูกเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าไม่ได้มีม่านแสงอยู่จริงๆ
ปีศาจขวานโลหิตมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา พอสะบัดขวานยักษ์บนมือ แสงสีเลือดอันเจิดจ้าก็เปล่งประกายบนพื้นผิว และกลายเป็นเงาขวานปั่นเส้นผมสีเขียวกับเส้นสีดำที่พุ่งเข้ามาจนแหลกละเอียดได้อย่างง่ายดาย
เกิดเสียงดัง “หวึ่ง!”
เงาขวานยักษ์สีเลือดถูกแสงสีเทากวาดเข้ามาจนสลายไปกว่าครึ่งหนึ่ง และแสงกระบี่สีเทาก็ฟันเฉียงเข้าใส่ปีศาจขวานโลหิตพร้อมกับเสียงอันแหลมดัง
พอปีศาจขวานโลหิตคำรามออกมา ขวานยักษ์สีเลือดก็ขยายใหญ่กว่าเดิมหลายเท่า และต้านทานแสงกระบี่สีเทาไว้
แต่ก็ด้วยเหตุนี้ ปีศาจขวานโลหิตจึงไม่อาจสนใจการป้องกันรอบตัวได้ พอหางตะขอของแมงป่องกระดูกสั่นสะท้าน เส้นเล็กๆ สีดำสิบกว่าเส้นก็กระพริบผ่านไป
ปีศาจขวานยักษ์เพียงแค่รู้สึกเย็นที่แขน จากนั้นก็มีรูเลือดสีดำปรากฏอยู่บนนั้นสิบกว่ารู ของเหลวพิษสีดำม่วงไหลออกมาอยู่ไม่หยุด แขนที่ยกขึ้นก็อ่อนแรงลงในฉับพลัน และดูแข็งทื่อขึ้นมา
ตอนที่ 596 หลวงจีนกระดูกแห้ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ปีศาจขวานโลหิตก็มีความแข็งแกร่งมาก หลังจากตะคอกด้วยความโมโห แสงสีเลือดบนตัวก็เปล่งประกายออกมา ร่างของเขาหมุนวนหนึ่งรอบราวกับลูกข่าง ภายใต้การสะบัดขวานยักษ์สีเลือดบนมือ ทำให้แมงป่องกระดูกที่ถอยออกจากม่านแสงสีทองไม่ทัน ถูกโจมตีจนกระเด็น และเงาขวานสีม่วงจำนวนมากก็พุ่งไปรับมือกับแสงกระบี่สีเทา
ดวงตาหลิ่วหมิงดูเฉียบขาดขึ้นมา เขากระโดดเข้าไปในค่ายกลสีทองพร้อมกับกระบี่สีเทาในมือ พอเปลี่ยนท่ามือ แสงกระบี่สีเทาก็สว่างขึ้นมา และแหวกขวานยักษ์สีเลือดก่อนฟันเข้าใส่ปีศาจขวานโลหิตอีกครั้ง
ชั่วเวลานั้น แสงสีเลือดกับแสงสีเทาก็ปรากฏขาดๆ หายๆ ท่ามกลางค่ายกลสีทอง แต่ทว่าถูกแสงสีทองกลุ่มหนึ่งบดบังสถานการณ์ภายในไว้ รับรู้ได้แค่ความผันผวนอย่างรุนแรงของพลังเวทที่อยู่ในนั้น เศษปราณกระบี่ที่เหลือพุ่งขึ้นฟ้า และจมหายไปในทะเลทรายบริเวณนั้น ทำให้เศษทรายกระเด็นไปทั่วทิศ
ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป พอแสงสีทองดับลง ก็เผยให้เห็นร่างหลิ่วหมิงที่อยู่ท่ามกลางค่ายกล สีหน้าเขาดูสงบเป็นอย่างมาก แต่มือข้างหนึ่งกลับถือศีรษะของชายฉกรรจ์ที่ดวงตาสีแดงเบิกโพลงอยู่
หลังจากเขาโบกมือข้างหนึ่งเก็บขวานยักษ์สีเลือดเข้าไปแล้ว ก็กลายเป็นแสงหลบหลีกสีดำพุ่งหายไปจากขอบฟ้า
……
ครึ่งเดือนต่อมา หลิ่วหมิงนำศีรษะปีศาจขวานโลหิตกลับไปนิกายยอดบริสุทธิ์อย่างเงียบๆ และมอบมันให้กับหอความเป็นความตาย
พอชายวัยกลางคนในหอความเป็นความตายมองเห็นศีรษะของปีศาจขวานโลหิต ก็แสดงสีหน้าตกใจจนปิดไม่มิด
เพราะผู้ที่มีรายชื่อสิบอันดับแรกในบัญชีความเป็นความตาย ล้วนมีพลังที่พอจะเทียบเท่ากับระดับผลึกได้ ต่อให้เป็นศิษย์สายในก็ใช่ว่าจะสามารถสังหารได้สำเร็จ
“หลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้า อ๋อ……. ที่แท้ก็เป็นผู้ที่ได้อันดับหนึ่งในงานประลองใหญ่ที่ผ่านมา หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ เจ้าก็เป็นคนสังหารปีศาจหยินหยางด้วยใช่ไหม?” ชายวัยกลางคนมองดูป้ายในมือแล้วดูเหมือนจะนึกขึ้นมาได้ จึงถามออกไป
หลิ่วหมิงเอาแต่ยิ้มจางๆ และไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
ชายวัยกลางคนเห็นหลิ่วหมิงไม่อยากพูดอะไรออกมา เขาก็ไม่พูดอะไรมากอีก จากนั้นก็นำพู่กันหยกออกมาเติมแต้มคุณูปการให้หลิ่วหมิงแปดหมื่นแต้ม
หลังจากหลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็ตั้งใจจ่ายแต้มคุณูปการให้กับหอความเป็นความตาย เพื่อไม่ให้แพร่งพรายชื่อของตนเอง จากนั้นถึงได้จากไปอย่างเงียบๆ
ที่เขาสังหารปีศาจยินหยางในหลายปีก่อน ทำให้เกิดความฮือฮาในนิกายอยู่พักหนึ่ง เขายังจดจำได้ไม่ลืมเลือน หากมีคนรู้ว่าเขาสังหารผู้ฝึกฝนชั่วร้ายที่มีรายชื่ออยู่ในสิบอันดับแรกของบัญชีความเป็นความตายล่ะก็ ไม่รู้ว่าจะทำให้เป็นจุดสนใจของคนจำนวนมากเท่าใด ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้น
หลังจากกลับไปพักผ่อนที่ถ้ำหลายวันแล้ว หลิ่วหมิงก็มายังตลาดวารีมืดอย่างลับๆ อีกครั้ง
ห้าเดือนต่อมา ริมทะเลสาบขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณไปทางใต้หลายหมื่นลี้ หุ่นสีทองสี่ตัวที่สูงหลายจั้งกำลังล้อมชายผมแดงใบหน้าดำผู้หนึ่ง และปล่อยกำปั้นสีทองออกไปต่อสู้กับชายผมแดงอยู่ไม่หยุด
ห่างออกไปไม่ไกล หลิ่วหมิงรวมพลังกับแมงป่องกระดูก และหัวบินต่อสู้กับปีศาจตัวต่อยักษ์ระดับของเหลวขั้นปลายสามตัว
ชายหนุ่มผมแดงต้านทานการโจมตีของหุ่นทั้งสี่อย่างสุดความสามารถ และควบคุมควบคุมง่ามบินสีดำให้ทำการทะลวงพลังกำปั้นที่โจมตีอยู่รอบด้าน ขณะเดียวกัน ปีศาจตัวต่อที่เผชิญหน้ากับหลิ่วหมิงก็มีบาดแผลเต็มตัว ดูท่าใกล้จะไม่ไหวแล้ว
น่าเสียดายที่หุ่นเกราะทองคำทั้งสี่แข็งแกร่งจนน่ากลัว ทั้งยังทำการต่อสู้อย่างบ้าคลั่งภายใต้คำสั่งของหลิ่วหมิง
พอง่ามบินของชายผมแดงโจมตีด้วยพลังทั้งหมด ก็ทิ้งไว้เพียงร่องรอยจำนวนหนึ่งบนตัวหุ่นเท่านั้น ไม่สามารถทำให้หุ่นทั้งสี่บาดเจ็บสาหัสได้ เขาจึงได้แต่มองดูหลิ่วหมิงบีบปีศาจตัวต่อของตนจนไร้ทางสู้ และถูกสังหารไปทีละตัว… ทีละตัว…
ตัวต่อสีเหลืองตัวสุดท้ายถูกม่านทรายทองคำที่กลายเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ปกคลุมไว้ หลังจากถูกแสงกระบี่ฟันเป็นสองส่วนแล้ว ชายผมแดงก็มีสีหน้าซีดขาวขึ้นมา
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ขณะที่หลิ่วหมิงไปจากทะเลสาบยักษ์นั้น ในแหวนย่อส่วนของเขาก็มีศีรษะของหมัวเฟิงซ่างเหรินที่มีรายชื่ออยู่อันดับที่แปดในบัญชีความเป็นความตายอยู่ด้วย
……
หนึ่งปีต่อมา สถานที่อันตรายที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในแผ่นดินจงเทียน บนท้องฟ้าเหนือทะเลปี้เยียนหมิงไห่ มีแสงสีขาวดำสองกลุ่มกำลังพุ่งตามกันมาด้วยความเร็วอันน่าตกใจ
ขณะนั้นเอง แสงสีดำที่อยู่ด้านหลังพลันพุ่งออกจากเงากระบี่สีเทาอันแน่นหนา หลังจากพร่ามัวหนึ่งที ก็กลายเป็นพายุบ้าระห่ำสีเทา และเข้าไปปกคลุมกลุ่มแสงสีขาวตรงหน้าไว้
กลุ่มแสงสีขาวถูกห่อหุ้มอยู่ท่ามกลางพายุบ้าระห่ำ ทันใดนั้น มันก็หยุดชะงักลง จากนั้นก็มีเสียงดังเปรี๊ยะๆ! มาจากด้านใน มีสายฟ้าสีเงินปรากฏบนพื้นผิว
ผ่านไปเพียงแค่อึดใจเดียว เงากระบี่ในพายุบ้าระห่ำก็ค่อยๆ แตกกระจายออกมา
กลุ่มแสงสีขาวเปล่งประกายขึ้นอีกครั้ง และพุ่งไปด้านหน้าต่อ
หัวล้านสีดำที่อยู่ทางด้านหลังเพียงแค่หยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ม้วนตัวหมอกดำพวยพุ่งไปด้านหน้าต่อ
ทั้งสองพุ่งๆ หยุดๆ อย่างนี้ไปเรื่อยๆ พริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบกว่าวันแล้ว
“ผู้น้อยนิกายยอดบริสุทธิ์ เจ้าตามสังหารข้ามาร้อยวันแล้ว คิดว่าหลวงจีนกระดูกแห้งอย่างข้า จะรังแกได้ง่ายๆ เช่นนั้นหรือ!” มีน้ำเสียงดุดันดังมาจากแสงหลบหลีกสีขาวที่อยู่ด้านหน้า และดูเหมือนจะหายใจหอบอยู่รำไร
ท่ามกลางแสงหลบหลีกสีดำที่อยู่ด้านหลัง หลิ่วหมิงกลับทำราวกับไม่ได้ยิน เขายังคงกระตุ้นแสงหลบหลีกตามไปอย่างไม่ลดละ และสะบัดปราณกระบี่สีเทาออกไปด้านหน้าเป็นระยะๆ
นอกจากปราณกระบี่สีเทาเหล่านี้จะทำให้แสงสีขาวตรงชะงักเล็กน้อยแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่สามารถสร้างความเสียหายใดๆ ให้มันได้เลย
ผ่านไปอีกราวๆ ครึ่งวัน แสงหลบหลีกสีขาวตรงหน้าก็หยุดลงในฉับพลัน พอแสงสีขาวดับลง ก็เผยให้เห็นชายหนุ่มใบหน้าแห้งเหี่ยวผู้หนึ่ง
แต่เบ้าตาทั้งสองกลับดูแวววาว ไม่มีผมหรือหนวดเคราเลย สวมจีวรสีแดงตัวใหญ่ ภายใต้การโจมตีของพายุเย็นสะท้าน เผยให้เห็นร่างของเขาที่เหลือแต่กระดูกอยู่รำไร
รูปร่างแปลกประหลาดเช่นนี้ หากเป็นคนที่ใจเสาะมาเห็นเข้า เกรงว่าคงต้องตกใจตายอย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน แสงหลบหลีกสีดำที่อยู่ด้านหลังก็ดับลง และเผยให้เห็นชายหนุ่มชุดคลุมสีเขียวใบหน้าไร้ความรู้สึกเช่นกัน ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
จะว่าไปแล้ว การล่าสังหารร้อยวันมานี้ เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลี่ยง
หลังจากได้รับข้อมูลของหลวงจีนกระดูกแห้งที่มีรายชื่ออยู่ในอันดับสามของบัญชีความเป็นความตาย หลิ่วหมิงก็รีบมาที่บริเวณทะเลปี้เยียนหมิงไห่ และบีบบังคับให้เขาออกจากรังที่ซ่อนตัวอยู่
ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกโมโหจนต่อสู้กับหลิ่วหมิงไปหนึ่งรอบ
แม้หลิ่วหมิงจะรู้ว่าคนผู้นี้มีรายชื่อติดอันดับแรกๆ เช่นนี้ จะต้องไม่ง่ายต่อการลงมืออย่างแน่นอน ความแข็งแกร่งของพลัง คงจะเหนือกว่าปีศาจขวานโลหิตและหมัวเฟิงซ่างเหรินเป็นอย่างมาก แต่ทว่าเขาก็ประมาทฝ่ายตรงข้ามไปเล็กน้อย
ธงปีศาจในมือของคนผู้นี้ สามารถกลายเป็นโครงกระดูกสีขาวเจ็ดตัว แต่ละตัวล้วนมีความสูงเท่ากับคนผู้นี้ และดูเหมือนว่าจะมีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายด้วย
หลิ่วหมิงย่อมนำแมงป่องกระดูก หัวบิน นักรบพลังผ้าเหลือง และหุ่นสี่ทิศออกมาออกมาต่อสู้กับโครงกระดูกทั้งหมด ส่วนตนเองก็กระตุ้นวิชาขี่กระบี่ต่อสู้กับหลวงจีนกระดูกแห้ง
หลังจากต่อสู้กันหนึ่งวันหนึ่งคืน พลังของโครงกระดูกทั้งเจ็ดไม่ได้ด้อยไปกว่าอสูรเลี้ยงจิตวิญญาณและหุ่นนักรบของหลิ่วหมิงเลยแม้แต่น้อย เขาต่อสู้อย่างหนักจนไม่อาจปลีกตัวได้ และคนผู้นี้ยังมีพลังน่าตกใจ ทั้งยังแสดงวิชาต่างๆ และนำอาวุธจิตวิญญาณกับยันต์ออกมาอย่างต่อเนื่อง
หลังจากสู้กันจนฟ้ามืด หลิ่วหมิงถึงหาช่องโหว่ได้อย่างไม่ง่ายดายนัก และกระตุ้นวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งให้ฟันลงบนศีรษะของฝ่ายตรงข้าม
แต่ก็ไม่รู้ว่าหลวงจีนกระดูกแห้งฝึกฝนเคล็ดวิชาใดมา หลังจากถูกหลิ่วหมิงฟันคอแล้ว เขาก็บีบให้กระดูกออกจากร่าง พริบตาเดียวก็จมหายไปในโครงกระดูกบางตัวที่กำลังต่อสู้อยู่
โครงกระดูกตัวนี้มีเนื้อหนังงอกขึ้นมาทันที และกลายเป็นหลวงจีนกระดูกแห้งอีกครั้ง จากนั้นก็กระตุ้นร่างเดิมให้ระเบิดออกมา
หลิ่วหมิงไม่ทันได้ระวังจึงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่เขาทานโอสถจินหยวนอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็ใช้เวลาหลายวันทำลายโครงกระดูกห้าตัวที่ฝ่ายตรงข้ามแปลงร่างมา
แต่หัวบินกับแมงป่องกระดูกก็ได้รับบาดแผลไม่น้อย จึงถูกเขาเก็บเข้าไป
เมื่อหลวงจีนกระดูกแห้งเหลือโครงกระดูกตัวสุดท้ายนั้น ก็ไม่กล้าต่อสู้ซึ่งๆ หน้าอีก เขาจึงกลายร่างเป็นแสงหลบหลีกสีขาวชิงหลบหนีไปก่อน
หลิ่วหมิงย่อมตามไปตลอดทาง ทั้งยังไล่ล่านานถึงร้อยวัน
ขณะนี้เขาจ้องมองหลวงจีนกระดูกแห้งตรงหน้าที่ผุพังอย่างเห็นได้ชัด โดยที่เขาไม่กล้าประมาทเลยแม้แต่น้อย พอนิ้วทั้งสิบเคลื่อนไหว แสงกระบี่สีเทาบนมือก็พุ่งออกไป
……
การต่อสู้เหนือทะเลปี้เยียนหมิงไห่ดำเนินไปได้ครึ่งวัน หลิ่วหมิงก็งัดวิธีการต่างๆ ออกมาใช้อย่างเต็มที่ เขาอาศัยทรายทองคำร่วงกับวิชาขี่กระบี่ทำให้พลังเวทของคนผู้นี้หมดสิ้นไป ในช่วงสุดท้ายก็นำโล่เก้ากะโหลกออกมา และใช้เคล็ดวิชาเงาสามส่วนเข้าใกล้หลวงจีนกระดูกแห้ง จากนั้นก็ใช้พลังมหาศาลโจมตีเขาจนเสียชีวิต
เมื่อหลิ่วหมิงกลับไปในนิกาย และนำศีรษะของหลวงจีนกระดูกแห้งมายังหอความเป็นความตายนั้น ผู้ดำเนินการที่รับผิดชอบเกี่ยวกับบัญชีความเป็นความตาย ก็จ้องมองเขาราวกับเป็นตัวประหลาด จากนั้นถึงเติมแต้มคุณูปการลงไปในแผ่นป้ายของหลิ่วหมิงสามแสนแต้ม ซึ่งศีรษะของหมัวเฟิงซ่างเหรินแลกได้แค่แปดหมื่นแต้มเท่านั้น
ในมือเขาตอนนี้มีแต้มคุณูปการเกินสี่แสนแต้มแล้ว ซึ่งมีมากกว่าศิษย์สายในจำนวนหนึ่งเสียอีก
ก่อนจากไปหลิ่วหมิงย่อมกำชับอีกรอบว่าไม่ให้แพร่งพรายชื่อแซ่ของเขา พอเห็นชายวัยกลางคนตอบรับอย่างตรงไปตรงมาแล้ว เขาถึงจากไปอย่างวางใจ
……
ท่ามกลางหอเป๋ยโต่วในตลาดวารีมืด หลิ่วหมิงนั่งอยู่ในห้องลับบนชั้นสองอีกครั้ง และนั่งจิบชาอย่างเงียบๆ
เขามาที่นี่เป็นครั้งที่สี่แล้ว ยังคงสอบถามเบาะแสเกี่ยวกับผู้ฝนชั่วร้ายที่มีชื่อสิบอันดับแรกในบัญชีความเป็นความตาย
“ต้องขอโทษสหายผู้นี้จริงๆ คนที่ท่านให้ข้าสืบหานั้น ปกปิดร่องรอยได้ดีมาก หอเราไม่ทราบข้อมูลที่แน่ชัดของเขา” ชายวัยกลางคนชุดขาวเดินออกจากในห้อง และกล่าวด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
หลิ่วหมิงได้ยินก็แอบถอนหายใจออกมา แต่ไม่ได้รู้สึกแปลกใจมากนัก
ผู้ที่มีรายชื่ออันดับแรกๆ ในบัญชีความเป็นความตายล้วนเป็นระดับสุดยอดในทางชั่วร้ายทั้งนั้น ปกติจะไปมาลึกลับมา เป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะเห็นใบหน้าที่แท้จริง
ก่อนหน้านี้หอเป๋ยโต่วสามารถหาเบาะแสของทั้งสามคนที่อยู่ในสิบอันดับแรกของบัญชีความเป็นความตายได้ ก็เหนือความคาดหมายของเขามากแล้ว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยก็ขอตัวก่อน แต่หากภายหน้ามีเบาะแสของคนผู้นี้ หวังว่าท่านจะมีน้ำใจให้ข้าเล็กน้อย” ขณะนี้ที่กล่าว หลิ่วหมิงก็ลุกขึ้นมา
“แน่นอน! สหายวางใจเถอะ!” ชายวัยกลางคนชุดขาวตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ
หลังจากหลิ่วหมิงเดินไปไม่ไกล ก็มีเงาร่างมีดำปรากฏตรงประตูด้านข้าง จากนั้นผู้อาวุโสชุดดำใบหน้าอึมครึมก็เดินออกมา
คิ้วสีขาวทั้งสองข้างของผู้อาวุโสผู้นี้ลู่ลงไปจนถึงคาง กลิ่นไอบนตัวดูมหาศาลและลุ่มลึกมาก
“คารวะผู้อาวุโสเก่อ” ชายวัยกลางคนชุดขาวรีบลุกขึ้นมาคารวะอย่างนอบน้อม
………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น