หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 590-593
บทที่ 590 เที่ยวชมหมู่ดาว!
เกม ‘เทพจุติ’ เลวสิ้นดี… หวังเป่าเล่อหันกลับไปพบกับหญิงสาวผิวสวยที่อายุราวสิบเก้าหรือยี่สิบปีเท่านั้น นางตัวไม่สูง สวมใส่เสื้อผ้าบางเบา และมีแก้มสีแดง แถมนางยังจ้องมองหวังเป่าเล่อราวกับจะรอคอย
“ท่านผู้ฝึกตนวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่ โปรดซื้อข้าเถิด…” สตรีนางนั้นกับริมฝีปากและจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาเว้าวอน
“ข้าจะซื้อเจ้าไปทำไมกัน” หวังเป่าเล่อสับสนเล็กน้อย
“ท่านจะทำอะไรกับข้าก็ได้!” สาวน้อยกล่าวเสียงเบา
หวังเป่าเล่อกะพริบตาและก็พบกับบัตรที่ทำจากผลึกอยู่ในเสื้อ ชายหนุ่มหยิบออกมาแล้วก็ถึงกับงุนงง มีตัวเลขอยู่บนนั้น เขาใช้เวลาพักใหญ่กว่านับจำนวนเลข ‘9’ บนบัตรได้ครบหลัก
สาวน้อยตัวสั่นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อมองเห็นบัตรผลึกของหวังเป่าเล่อ เมื่อนางจ้องมองเขา นัยน์ตาของนางนั้นฉาบเคลือบไปด้วยความกลัว
เมื่อมองเห็นสายตาของนางที่มองมา หวังเป่าเล่อจึงตัดสินใจซื้อนาง ชายหนุ่มเริ่มออกเดินทางสำรวจโลกที่ชื่อว่าอารยธรรมวีรบุรุษ ภายในเวลาหนึ่วัน เขาก็เริ่มคุ้นชินกับสถานะของเขาและเข้าใจอารยธรรมนี้มากขึ้น หวังเป่าเล่ออดตื่นตะลึงไม่ได้
ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี้สามารถซื้อได้โดยใช้สิ่งที่เรียกว่าแต้มผลึก ทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งสูงที่สุดในสภาเสนาบดีโลกหรือกระทั่งตำแหน่งปุถุชนคนสามัญ ก็สามารถซื้อได้หากมีแต้มผลึกเพียงพอ ดูราวกับว่ากฎเดียวที่กำหนดทุกๆ สิ่งในอารยธรรมนี้คือแต้มผลึก ทำให้แต้มผลึกนั้นเทียบเท่ากับทุกสิ่ง!
พูดได้ว่าในอารยธรรมนี้ ใครอยากจะทำอะไรก็ทำได้ดังใจ แถมยังสามารถปลอมแปลงตัวตนได้อีกด้วย ไวเท่าความคิด ผู้เล่นสามารถจะกลับไปยังความว่างเปล่าและเลือกร่างใหม่ได้ แต่ก็ต้องใช้แต้มผลึกเช่นกัน
หากเป็นเพียงโลกเหมือนจริง แม้จะน่าสนใจเพียงใดแต่คนก็คงเบื่อในไม่ช้า แต่ทว่า หลังจากที่หวังเป่าเล่อได้สำรจวจตรวจสอบทุกอย่างในอารยธรรมนี้แล้ว ชายหนุ่มก็มองเห็นว่าทุกสิ่งเหมือนจริงเพียงใด!
กระทั่งเวลาในเกมก็ยังเดินไปช้ากว่าเวลาในสหพันธรัฐ บรรดาผู้ฝึกตนวิญญาณทั้งหมดก็มาจากระบบการฝึกปราณเดียวกัน แม้ว่าจะเป็นคนละระบบกับของสหพันธรัฐ แต่บรรดาผู้ฝึกตนวิญญาณนั้นก็ดูแข็งแกร่งไม่ใช่น้อย
แต่ทว่า ทุกอย่างทุกกล่าวมานี้ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อตกใจที่สุด สิ่งที่ทำเอาหัวใจของชายหนุ่มเต้นแรงนั้นคือสิ่งที่ออกมาจากปากสาวน้อยที่เขาซื้อมาเมื่อครู่ เมื่อนางตอบคำถามของเขาเสียมากกว่า
“พันปีก่อน อารยธรรมวีรบุรุษไม่สามารถจะก้าวหน้าต่อไปได้และถูกลงทัณฑ์อย่างหนักโดยสวรรค์ ในตอนท้าย ก็ถูกซื้อไปโดยอารยธรรมค้าขายโบราณและแปรสภาพเป็นดวงดาวแหล่งท่องเที่ยว
“ดวงดาวแหล่งท่องเที่ยวนี้เป็นที่ให้อารยธรรมที่แข็งแกร่งกว่าได้เที่ยวเล่นและหาความสุข…ตามกฎแล้ว อารยธรรมวีรบุรุษจะสามารถปลดแอกได้ก็ต่อเมื่อสะสมแต้มผลึกได้มากพอ เมื่อนั้นเท่านั้นจึงสามารถกอบกู้ความหวังที่จะก้าวเข้าไปเป็นอารยธรรมที่แข็งแกร่งขึ้นได้”
“นายท่านเจ้าคะ เมื่อท่านถือครองบัตรผลึกก็แปลว่า ท่านจะต้องมาจากอารยธรรมที่เหนือกว่า ตามกฎแล้ว หากท่านมีแต้มผลึก ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านต้องการท่านก็จะได้ ผู้มาจุติเช่นท่านไม่ได้ปรากฏตัวมา ณ ที่นี้เป็นเวลานานมากแล้วเจ้าค่ะ” สตรีสาวนางนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เมื่อนางจ้องมองหวังเป่าเล่อ ความปรารถนาก็ปรากฏแทนที่ความหวาดกลัวในแววตา
เมื่อกลับถึงถ้ำที่พักที่สำนักวังเต๋าไพศาล หวังเป่าเล่อก็หวนนึกไปถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในเกม ชายหนุ่มรู้สึกว่าทุกอย่างดูเหมือนจริงเกินไป เกมนี้ควรจะเป็นเรื่องสมมติ แต่ทุกๆ สิ่งในเกมนั้น ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ไปจนถึงตรรกะที่ควบคุมมันอยู่ รู้สึกสมจริงเสียเหลือเกิน
อารยธรรมค้าขายโบราณ…ดวงดาวแหล่งท่องเที่ยว…เป็นความจริงหรือเปล่านะ คงไม่สำคัญเท่าใดนักหากไม่ใช่ความจริง แต่หากว่าจริงแล้วละก็… หวังเป่าเล่อไม่ได้สงสารอารยธรรมวีรบุรุษนั้นหรอก แต่ทว่า เขาคิดถึงสหพันธรัฐ
ในตอนท้าย หวังเป่าเล่อก็ส่ายศีรษะก่อนจะติดต่อเซี่ยไห่หยางโดยใช้แผ่นหยก หลังจากที่โทรติดสิ่งแรกที่หวังเป่าเล่อพูดถึงก็คือความกังวลนี้
“แน่นอนว่าอารยธรรมวีรบุรุษเป็นของปลอม…ฮะฮ่า จะเป็นจริงไปได้อย่างไรกัน นี่เป็นเพียงแค่เกมเท่านั้น แต่ทว่า เพื่อทำให้รู้สึกสมจริงสำหรับทุกคน เนื้อเรื่องและเส้นเรื่องของเกมนี้จึงถูกออกแบบมาให้เหมือนจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” เซี่ยไห่หยางหัวเราะชอบใจ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง เขาดูจะมีความสุขกับการที่เกมของเขาสามารถจะทำให้หวังเป่าเล่อสับสนได้
“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า เกมนี้จะประสบความสำเร็จในสำนักวังเต๋าไพศาลได้หรือไม่” เซี่ยไห่หยางถามอีกครั้งหลังจากที่คลายความสงสัยของชายหนุ่มเรียบร้อย
“หากผู้เล่นตายในเกมเล่าจะเป็นเช่นไร” หวังเป่าเล่อคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามอีก
“ไม่เป็นไรหรอก พวกเขาไม่ตายจริงๆ พวกเขาเข้าไปในตัวเกมผ่านตัวกลาง อย่างไรเสียมันก็เป็นเพียงแค่เกม” เซี่ยไห่หยางตอบด้วยรอยยิ้ม
“อย่างนั้นหรือ…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ก่อนจะรีบถามต่อ
“ข้าไม่ค่อยเข้าใจเกมนัก แต่ข้ารู้ว่า ตามหลักแล้ว ตัวเกมต้องการตัวกลางเพื่อจะเล่นได้ ฉะนั้น อาจจะมีวันที่ตัวกลางล่มก็เป็นได้ใช่หรือไม่ พวกเราต้องเตรียมการป้องกันสถานการณ์เช่นนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เล่นไม่พอใจ”
“จะเป็นไปได้อย่างไรกันเล่า เป่าเล่อ วางใจได้เลย ว่านอกจากเจ้าจะฝันเอา เกมนี้ไม่มีทางล่มอย่างแน่นอน!” เซี่ยไห่หยางกระเซ้า ก่อนจะหัวเราะออกมาอีกครั้ง
หวังเป่าเล่อดูจมอยู่ในความคิด เขาเฝ้าแต่ทวนคำว่า ‘ตัวกลาง’ อยู่ในใจ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็โคลงศีรษะ ก่อนจะมีประกายสะท้อนขึ้นในดวงตา
“ข้าอยากได้ร้อยละห้าสิบของกำไรทั้งหมด!”
“ไม่ได้เด็ดขาด!” เซี่ยไห่หยางปฏิเสธทันที หลังจากที่พวกเขาทุ่มเถียงกันอยู่พักใหญ่ก็ตกลงกันได้ว่าหวังเป่าเล่อจะได้ร้อยละสามสิบของกำไรแทน ทั้งคู่พูดคุยกันถึงวิธีการไปโฆษณาเกม หลังจากนั้นจึงจบการสนทนาไป
หลังจากที่วางแผ่นหยกลง หวังเป่าเล่อก็ก้าวออกไปจากถ้ำที่พักแล้วจ้องมองไปยังทะเลเพลิงและท้องฟ้า ชายหนุ่มปัดเอาความฉงนสงสัยจากในเกมออกไปจากใจ เขาไม่ใช่นักบุญแล้วก็ไม่ได้มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากมายไร้ขีดจำกัด เขาไม่อาจสนใจอารยธรรมอื่นๆ ทั้งหมดได้
“ผู้ที่ตายไม่ใช่ผู้มาจุติ แต่เป็นเพียงตัวกลางเท่านั้น คงต้องปฏิบัติกับเกมเหมือนว่ามันเป็นเกม…” หวังเป่าเล่อพึมพำเบาๆ ชายหนุ่มสนใจเพียงบ้านเกิดเมืองนอนและสหพันธรัฐเท่านั้น!
เซี่ยไห่หยาง ข้าหวังว่าการมาของเจ้าจะไม่ส่งผลร้ายต่อสหพันธรัฐหรอกนะ หาไม่แล้ว…หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง วัตถุเวทแห่งความมืดบนดาวอังคารคือสมบัติชิ้นงานที่สุดของเขา เขามั่นใจมากๆ ว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาบรรลุขั้นจุติวิญญาณแล้ว เขาก็จะสามารถเคลื่อนวัตถุเวทแห่งความมืดและสังหารเซี่ยไห่หยางได้ แม้ว่าชายผู้นี้จะทั้งลึกลับและเกินจะคาดเดา หวังเป่าเล่อก็ค่อนข้างมั่นใจ!
ทันทีที่ชายหนุ่มตัดสินใจได้ เขาก็ไม่ครุ่นคิดเรื่องเกมอีก กลับกัน หวังเป่าเล่อหันกลับมาโฆษณาเกมอย่างสุดความสามารถ ฉะนั้นแล้ว คนแรกเลยที่เขาติดต่อก็คือจินตั้วหมิง ด้วยสถานะและสิทธิถือครองกว่าร้อยละสิบของเครือข่ายวิญญาณ หวังเป่าเล่อก็จ่ายเงินเล็กเพื่อเปิดกระทู้ที่สื่อขึ้นบนเครือข่ายวิญญาณ
กระทู้เกมเทพจุติ!
หลังจากที่ใคร่ครวญดูดีแล้ว หวังเป่าเล่อก็ส่งข้อความเสียงไปหาศิษย์เอกทั้งห้า ตู้กูหลิน โจวชู่เต๋า สวีหมิง ลู่หยุน และหวงหยุนซาน พวกเขาถึงคนมีสถานะสูงส่งในสำนัก ก่อนหน้านี้ จินตั้วหมิงเองก็เสียเงินไปมากแต่ก็ชวนมาได้แต่เพียงหวงหยุนซานเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น จินตั้วหมิงกล่อมหวงหยุนซานให้ยอมตกลงได้เพราะว่านางต้องการแต้มการรบมาเพื่อช่วยโจวชู่เต๋าเตรียมการบรรลุขั้น แต่ทว่า…เรื่องนี้ที่ดูเหมือนว่าไม่ว่าใครก็ทำไม่ได้ ไม่ใช่ปัญหาสำหรับหวังเป่าเล่อ เป็นสาเหตุหนึ่งที่เซี่ยไห่หยางเลือกจะร่วมงานกับหวังเป่าเล่อ
แม้ว่าโจวชู่เต๋าจะถูกหวังเป่าเล่อเอาชนะมาได้ แต่เขาก็ยังฟังหวังเป่าเล่ออยู่ เพราะฉะนั้น คู่รักทั้งสองจึงตกลงยอมช่วยเหลือตามคำขอของชายหนุ่ม ฝ่ายสวีหมิงและลู่หยุนเองก็อยากจะผูกมิตรกับหวังเป่าเล่อจึงไม่ได้ปฏิเสธ
การกล่อมตู้กูหลินก็เป็นไปอย่าง่ายดาย เขารู้ถึงความสามารถของหวังเป่าเล่อดี เพราะฉะนั้น แม้จะกำลังถือสันโดษ ตู้กูหลินก็จะหาเวลามาช่วยหวังเป่าเล่อโฆษณาเกม
หวังเป่าเล่อยังโฆษณาเกมด้วยตนเองอีกด้วย เมื่อศิษย์เอกทั้งห้าแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลและหวังเป่าเล่อเป็นฑูตของเกมนี้ ก็มีผลกับศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลเสียยิ่งกว่าระเบิดต้านทานวิญญาณ แรงกระเพื่อมกระจายไปทั่ว และทุกๆ คนก็รู้จักเกมนี้กันอย่างกว้างขวาง
ยิ่งไปกว่านั้น เกมนี้ยังมีเสน่ห์เฉพาะตัวอีกด้วย เช่นว่า ภายในระยะเวลาไม่กี่วัน เทพจุติก็กลายมาเป็นที่นิยมอยากไปทั่วสำนักวังเต๋าไพศาล ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนหลั่งไหลกันมาเข้าเกม แม้ว่าจะไม่ใช่ทุกคนที่ประทับใจกับเกม แต่คนจำนวนไม่น้อยก็ชอบกันมาก
กระทั่งผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณบางก็คนก็ยังตื่นตกใจเป็นอย่างยิ่ง
เพื่อจะเล่นเกมให้สนุก แต้มผลึกเป็นสิ่งจำเป็น เพราะฉะนั้น เมื่อระบบการแลกแต้มการรบกับแต้มผลึกเปิดให้บริการ ปริมาณของแต้มการรบที่ได้ในวันแรกก็ทำเอาหวังเป่าเล่อตกใจ
ฝ่ายจินตั้วหมิงก็มองๆ เกมนี้อยู่เช่นกัน ความตกใจที่เขาสัมผัสนั้นมาเป็นระลอกราวกับคลื่นที่ซัดสาด ในขณะเดียวกัน ในบรรดาผู้มาจุติหลายคน ไม่มีใครรู้ว่ามีลาตัวหนึ่งกำลังกอดแผ่นหยกเกมที่หวังเป่าเล่อซื้อมาให้ราวอย่างรักใคร่ราวกับเป็นของมีค่า
แม้ว่า หวังเป่าเล่อจะไม่ได้ติดเกม แต่ทว่าชายหนุ่มก็ยังเข้าไปดูเกมบ้างบางเวลา เขาอยากจะรู้เกี่ยวกับอารยธรรมวีรบุรุษให้มากกว่านี้ ระบบการฝึกปราณที่ใช้กันในหมู่ผู้ฝึกตนวิญญาณ เช่นเดียวกับเคล็ดลับการฝึกปราณและอื่นๆ
แต่ทว่า ไม่มีสิ่งใดในเกมที่สามารถนำออกมาสู่โลกความเป็นจริงได้ ดูเหมือนว่าระบบนั้นถูกปิดกั้นเอาไว้ ทำให้แม้ว่าหวังเป่าเล่อที่มีแต้มผลึกไม่จำกัด ก็ยังไม่อาจจะทำอะไรได้
บทที่ 591 ทำให้ถูกต้อง!
ขณะที่เกมกำลังเป็นที่โจษจันนั้น เครือข่ายวิญญาณก็เป็นที่นิยมขึ้นเช่นกัน จนอาจพูดได้ว่าภายในเวลาไม่กี่เดือน สหพันธรัฐได้เปลี่ยนสำนักวังเต๋าไพศาลไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ เรียกได้ว่าเป็นการแทรกซึมเข้าไปในสำนักอย่างแท้จริง เป้าหมายที่ประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพได้บอกไว้ในตอนที่เพิ่งมาถึงนั้น ได้กลายเป็นจริงแล้ว!
ท่านต้องการให้วัฒนธรรมและคนของสหพันธรัฐแทรกตัวอยู่ในทุกอณูของสำนักวังเต๋าไพศาล จนตัวสำนักเองกำจัดสหพันธรัฐออกไปไม่ได้!
แผนการของท่าน รวมถึงความสำเร็จของเครือข่ายวิญญาณ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ในคุณภาพชีวิตของศิษย์แห่งสำนักวังเต๋าไพศาล พวกเขาไม่ออกจากบ้านเพื่อรับข่าวสารหรือซุบซิบนินทาภายในสำนักอีกต่อไป นอกจากนี้ยังมีความบันเทิง เครื่องมือสื่อสารพูดคุยกับสหาย และบริการซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างศิษย์ของสำนัก ภายในเครือข่ายวิญญาณอีกด้วย นวัตกรรมใหม่เหล่านี้ทำให้ชีวิตของศิษย์ทุกคนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ทั้งหมดนี้ไม่ได้มีผลอะไรกับผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐแม้แต่น้อย เพราะแม้ว่าพวกเขาจะมีความอยากเล่นเครือข่ายวิญญาณอยู่บ้าง แต่ก็ไม่รุนแรงพอที่จะทำให้หมกตัวอยู่แต่ในบ้านเหมือนคนอื่น นี่ก็เพราะแม้ว่าสหพันธรัฐจะด้อยกว่าสำนักวังเต๋าไพศาลในแง่ของการฝึกปราณ แต่ชีวิตประจำวันของพวกเขาสนุกสนานและมีอะไรให้ทำเยอะกว่ามาก เนื่องจากสหพันธรัฐนั้นมีอารยธรรมและนวัตกรรมหลากหลายจากทั้งอาณาจักร แต่สำนักวังเต๋าไพศาลนั้นมีสมาชิกไม่มาก และวัฒนธรรมของพวกเขาก็ยังถือว่าตามหลังสหพันธรัฐอยู่ แน่นอนว่าก่อนหน้าที่สำนักดั้งเดิมยังคงอยู่นั้น สำนักวังเต๋าไพศาลถือว่าก้าวหน้ามากกว่าใครเพื่อน แต่การล่มสลายของสำนักก็ทำให้พวกเขาล้าหลังอยู่หลายสิบปีได้
ด้วยเหตุนี้ การปะทะกันของสองอารยธรรมจึงมีผลต่อศิษย์จากสำนักวังเต๋าไพศาลมาก นวัตกรรมของสหพันธรัฐทำให้ชีวิตของพวกเขาสบายขึ้น และยังทำให้สหพันธรัฐฝังรากลึกลงไปในสำนักอีกด้วย
ภารกิจถัดมาที่ประมุขสำนักสวีแห่งสำนักรุ่งสางจักรพิภพต้องทำให้ได้ คือการสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายอย่างลับๆ นอกจากนี้ ท่านยังต้องทำหน้าที่ปกป้องความสัมพันธ์ระหว่างสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลอีกด้วย ท่านประมุขสำนักต้องใช้เวลาสร้างไมตรีจิตกับผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักวังเต๋าไพศาล ทั้งยังต้องฝึกปราณของตนเองไปด้วย โดยบัดนี้ปราณของท่านเข้าใกล้การบรรลุขั้นจุติวิญญาณเข้าไปทุกที
เมื่อเกมของเขาเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อก็เริ่มกระเป๋าตุงขึ้นเป็นเงาตามตัว ชีวิตของชายหนุ่มสะดวกสบายขึ้นอย่างเสียไม่ได้ กระนั้นเขาเองก็เลือกที่จะยังไม่ส่งกระบวนเวทกลับไปในทันที แต่แลกแต้มการรบจำนวนมากเป็นวัตถุดิบการหลอมอาวุธเวทเสียก่อน
วัตถุดิบจำนวนมากเหล่านี้มีไว้เพื่อใช้ปรับปรุงฝักกระบี่ภายในกายเขา กระนั้นหวังเป่าเล่อกลับไม่กล้าเริ่มกระบวนการหลอม เนื่องจากยังไม่มั่นใจมากพอ เขาลองวิเคราะห์ดูแล้วก็พบว่า หากเขาทำพลาดฝักกระบี่จะเสียหายอย่างรุนแรง เมื่อก่อนหน้าชายหนุ่มไม่ทราบเรื่องนี้ จนได้ต่อสู้กับตู้กูหลินด้วยฝักกระบี่ภายในกาย พลังดุร้ายรุนแรงที่ฝักกระบี่แผ่ออกมาระหว่างการต่อสู้นั้น ทำให้ชายหนุ่มตระหนักแล้วว่าสมบัติเวทชิ้นนี้สำคัญถึงเพียงใด
ยิ่งเขารู้ว่าฝักกระบี่นี้ล้ำค่ามาก เขาก็ยิ่งไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงตัดสินใจหลอมอาวุธเวทระดับแปดก่อน หากทำสำเร็จและมั่นใจมากพอ เขาจึงจะเริ่มปรับปรุงฝักกระบี่ต่อไป
ขณะที่ธุรกิจเกมของหวังเป่าเล่อกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากนั้น จินตั้วหมิงที่เห็นปริมาณกำไรที่หลั่งไหลเข้ากระเป๋าหวังเป่าเล่อ ก็นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้อีกต่อไป เขาไม่รู้จักเซี่ยไห่หยางมาก่อนหน้านี้ แต่เพิ่งมารู้จักชายหนุ่มผู้ทรงอำนาจคนนี้ผ่านเกมเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จินตั้วหมิงจึงไม่ทราบว่าเซี่ยไห่หยางเคยศึกษาที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์มาก่อน ความจริงข้อนี้มีแต่ศิษย์จากสำนักเท่านั้นที่จะทราบ นอกจากนี้ตัวเซี่ยไห่หยางเองยังเป็นคนลึกลับมาก จนมีแต่หวังเป่าเล่อเท่านั้นที่รู้จักเขาดีที่สุด จากบรรดาพันธุ์กล้าทั้งหมด
แม้แต่จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงเองยังทำได้เพียงเดาเท่านั้น แต่ก็ไม่กล้าพิสูจน์ความจริง เนื่องจากต้องระวังเอาไว้ก่อน
จินตั้วหมิงไม่ทราบข้อมูลอะไรมากเกี่ยวกับตัวเซี่ยไห่หยาง ต่อให้เขาพยายามหาข้อมูลก็ได้กลับมาไม่มากนัก ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจถามหวังเป่าเล่อเองไปเลย
จินตั้วหมิงยังไม่กล้าพอ… ที่จะพุ่งเป้าไปที่กำไรที่หวังเป่าเล่อทำได้จากเกม แต่เขาก็ยังต้องการบางสิ่งจากเซี่ยไห่หยาง และต้องการบางอย่างจากชายหนุ่ม…
“เซี่ยไห่หยางนะหรือ” หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมองจินตั้วหมิงที่นั่งยิ้มอยู่เบื้องหน้าเขา ชายหนุ่มวางขวดน้ำเย็นหล่อวิญญาณในมือลง เขาไม่ได้มองจินตั้วหมิงในแง่ลบแม้แต่น้อย แม้ทั้งสองจะต้องแข่งขันกันและมีบางเรื่องที่ต้องปะทะกันบ้าง แต่ชายหนุ่มก็คิดว่านี่เป็นเพราะแผนการของต้วนมู่ฉือเท่านั้น นอกจากนี้ชายหนุ่มยังมั่นใจว่าตนเองจะชนะ เมื่อดูรายรับที่เกมกำลังสร้างให้เขา และขั้นปราณของตนที่สูงกว่าจนจินตั้วหมิงเทียบไม่ติด ทั้งหมดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าตนเองสามารถเอาชนะจินตั้วหมิงเมื่อใดก็ที่ต้องการ
ส่วนตัวทายาทของกลุ่มไตรจันทราเองนั้น ก็รู้วิธีการจัดการกับความสัมพันธ์ฉันมิตรเป็นอย่างดี หวังเป่าเล่อยิ้มตอบจินตั้วหมิง อัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูงที่เขาเพียรอ่านมาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์วัย ทำให้ชายหนุ่มเข้าใจดีว่าโลกนี้ไม่ได้หมุนรอบตัวคนๆ เดียว เขาไม่ควรคิดว่าตนเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
หวังเป่าเล่อผลักความคิดของตนไปเสีย ก่อนคิดถึงพื้นเพของเซี่ยไห่หยาง รวมถึงความสงสัยในตัวชายหนุ่มที่เขารู้สึก ก่อนจะยอมบอกจินตั้วหมิงไปแต่โดยดี
“หมิงน้อย เซี่ยไห่หยางเป็นชายที่ลึกลับซับซ้อนนัก ข้าเองก็ไม่เข้าใจเขาอย่างทะลุปรุโปร่งเช่นกัน ข้ารู้เพียงแต่ว่าเขาได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งแรงจากสำนักวังเต๋าไพศาล จึงขอแนะนำว่าเจ้าไม่ควรไปยุ่งกับเขา มิเช่นนั้นอาจเดือดร้อนได้” หวังเป่าเล่อมองลึกเข้าไปในดวงตาของชายหนุ่มตรงหน้า
สายตานั้นทำให้จิตใจของจินตั้วหมิงสั่นสะเทือน แม้จะอยากเป็นประธานสหพันธรัฐ แต่ตัวเขาเองก็ไม่ต้องการทำให้หวังเป่าเล่อไม่พอใจเช่นกัน สิ่งที่เขาคิดไว้คือ หากวันหนึ่งเขาได้เป็นประธานสหพันธรัฐขึ้นมาจริงๆ เขาจะสละสิทธิ์นั้นเสีย ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ได้พูดเรื่องนี้อีก และคิดถึงเพียงแต่ว่าหากตนเองสละตำแหน่งแล้ว หวังเป่าเล่อจะเป็นหนี้เขามากเพียงใด เท่านั้นก็คงเพียงพอแล้วที่จะทำให้ชีวิตในสหพันธรัฐของเขาสุขสบายตลอดไป
ด้วยเหตุนี้จินตั้วหมิงจึงเชื่อทุกสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูด ท่ามกลางความเงียบที่เข้าปกคลุม ชายหนุ่มตัดสินใจว่าจะไม่ขุดค้นเบื้องหลังของเซี่ยไห่หยางอีกต่อไป เพราะหากเจ้าตัวมาทราบเข้าก็อาจเข้าใจผิดกันได้ จินตั้วหมิงหายใจเข้าลึก ก่อนโค้งคำนับพร้อมทำมือคราวะหวังเป่าเล่อเพื่อแสดงคำขอบคุณ เขาพูดคุยกับหวังเป่าเล่อต่ออีกสั้นๆ ก่อนจะหยิบเอาวัตถุดิบการหลอมอาวุธเวทออกมาจากกระเป๋า และส่งให้ชายหนุ่ม
“เป่าเล่อ ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้เจ้าซื้อวัตถุดิบการหลอมไปเป็นจำนวนมาก ข้าก็มีอยู่บ้างเช่นกัน เจ้าเอาไปใช้ก่อนเถิด”
หวังเป่าเล่อมองวัตถุดิบตรงหน้าและรู้สึกตื้นตันใจเล็กน้อย นี่ก็เพราะวัตถุดิบเหล่านี้มาจากสหพันธรัฐ ไม่ใช่สำนักวังเต๋าไพศาล นอกจากนี้เป็นสิ่งที่แพงจับใจมาก และต้องใช้ในการหลอมอาวุธเวทระดับเก้าอีกด้วย
ชายหนุ่มจึงหัวเราะออกมา และแสดงออกอย่างชัดเจนว่าตนเองต้องการของตรงหน้า เขารับของนั้นเอาไว้ ก่อนบอกลาจินตั้วหมิงเพื่อเริ่มถือสันโดษทันที อาทิตย์หนึ่งเดินหน้าผ่านไป ขณะที่พลังปราณในตัวชายหนุ่มกำลังเพิ่มขึ้นสูงนั้น เขาก็ลืมตาขึ้นจากการนั่งสมาธิ รู้สึกได้ถึงความอิ่มเอมใจอย่างบรรยายไม่ถูกที่แผ่ออกมาจากร่าง
ความรู้สึกนั้นทำให้หวังเป่าเล่อรู้ว่า ตนเองได้ทำให้พลังปราณที่พุ่งสูงขึ้นจากพลังของเมล็ดแห่งการดูดกลืน เสถียรได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ในจุดสูงสุดของระดับกำเนิดแก่นในขั้นปลาย โดยห่างจากขั้นสมบูรณ์แบบอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น!
ในเวลาเดียวกันนั้น ตัวเขาเองก็เข้าใจกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงมากขึ้น ชายหนุ่มเดินหน้าฝึกวิชาต่อไปอีกสองสามวัน จนบรรลุขั้นที่สามของกระบวนเวทนี้ได้ในที่สุด!
หวังเป่าเล่อสร้างผนึกมือ ร่างที่ซ้อนทับกับตัวเขาก็แยกออกจากร่างที่แท้จริงในทันที ร่างอวตารสายฟ้าที่ก้าวออกมานั้น เหมือนกันหวังเป่าเล่อทุกกระเบียดนิ้ว แม้กระทั่งทุกอณูของเลือดและกระดูก จนแยกไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร
ร่างอวตารสายฟ้านั้นก็มีพลังจากเมล็ดแห่งการดูดกลืนอยู่ด้วยเช่นกัน จนแทบจะเหมือนหวังเป่าเล่ออีกคนหนึ่งเลยทีเดียว
ชายหนุ่มมองร่างอวตารตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น เขาควบคุมร่างนั้นให้พุ่งทะยานออกจากถ้ำที่พัก และเหาะออกไปไกล เมื่อร่างนั้นห่างออกไปไกลหลายพันเมตรจนถึงขีดจำกัก ชายหนุ่มก็พึมพำออกคำสั่งในใจทันที
อัสนีตีจาก!
ทันทีที่เอ่ยจบ ร่างอวตารก็พลันพร่ามัว ภายในพริบตาเดียว ร่างจริงของหวังเป่าเล่อก็สลับกับร่างอวตารที่เขาสร้างขึ้น ชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นเหนือทะเลเพลิงร้อนระอุแทบเท้า
หวังเป่าเล่อทดลองดูอีกหลายครั้งจนพอใจ เมื่อกลับมาถึงถ้ำที่พักเป็นที่เรียบร้อย ชายหนุ่มก็อดไม่ได้หัวเราะเบาๆ ด้วยใจเป็นสุข
ข้าสลับตัวกับร่างอวตารของตนเองได้ด้วยวิชาอัสนีตีจากเป็นที่เรียบร้อย แปลว่าพลังการต่อสู้ของข้าก็แข็งแกร่งขึ้นไปอีก! เมื่อนึกถึงกระบวนเวทเหนือความคาดหมายมากมายที่ตนเองครอบครอง ชายหนุ่มนั่งลงทำสมาธิด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะเริ่มใช้วิชาขั้นที่สองของกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิลักอัคคี
แม้ขั้นที่สองของวิชานี้จะยากมาก แต่เขาก็เริ่มเข้าใจมันมากขึ้นเมื่อศึกษาไปสักพัก ในตอนนี้เส้นปราณสีเลือดที่พุ่งออกจากตัวเขาเริ่มมีด้ายสีขาวปกคลุมอยู่ ด้ายสีขาวนั้นมีไม่มาก แต่เขาก็รู้ว่าเป็นสัญญาณว่ากระดูกกำลังเริ่มก่อตัวขึ้น
ขาดก็แต่เพียงการเฝ้าเพียรฝึกอย่างไม่ย่อท้อ เพื่อให้กระดูกที่สมบูรณ์ถือกำเนิดขึ้นเท่านั้น วิชาระดับที่สองของกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิจะสมบูรณ์ได้ ก็ต่อเมื่อเขาทำขั้นตอนนี้สำเร็จเท่านั้น
ข้าต้องค่อยเป็นค่อยไป… นอกเสียจากว่าจะมีวิธีลัดเหมือนตอนที่ข้าใช้วิชาลักอัคคี ในการบรรลุขั้นแรกของวิชาเกราะจักรพรรดิ… หวังเป่าเล่อรีบตรวจดูเกราะจักรพรรดิของตนเองในทันที เขามีหลายวิธีที่คิดเอาไว้ในใจ แต่ก็ตัดทิ้งไปแทบหมดสิ้น
ช่างมันเถิด ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ข้าก็แข็งแกร่งกว่าตอนที่เข้าแข่งขันเมื่อก่อนหน้าอยู่มากแล้ว! ชายหนุ่มยิ้ม ก่อนหยิบเอากลีบดอกไม้ออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บของตน กลีบดอกไม้นั้นคือสิ่งที่เขาหยิบมาจากบุปผาห้าสีของตู้กูหลิน หลังจากการประลอง ตู้กูหลินไม่ได้ขอคืน ส่วนหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้นำกลับไปให้
หลังจากที่สำรวจอยู่สักพัก ชายหนุ่มก็หยิบเอาเหรียญทองแดงออกมาหนึ่งเหรียญ ประกายประหลาดแวบเข้ามาในดวงตาขณะมองเหรียญนั้น
“ข้าต้องเดินหน้าทำความเข้าใจเจ้าวัตถุประหลาดนี้ต่อไป แล้วก็ต้องซ่อมหอกสีดำด้วย…” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก เริ่มเตรียมการหลอมอาวุธเวทของตนเองทันที ก่อนที่ประตูตำหนักวังบูชาจะเปิดออก
บทที่ 592 นักหลอมอาวุธเวทระดับแปด!
ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อหลอมอาวุธเวทระดับแปดแบบใช้ครั้งเดียวสำเร็จแล้ว และยังหลอมอาวุธเวทระดับแปดใช้ได้หลายครั้งสำเร็จเป็นครั้งคราว
อุปสรรคชิ้นใหญ่ที่ทำให้หวังเป่าเล่อยังหลอมอาวุธเวทระดับแปดที่แท้จริงไม่สำเร็จนั้น คือจิตสัมผัสวิญญาณที่ยังไม่แข็งแกร่งมากพอ แม้จิตสัมผัสนั้นจะพัฒนาขึ้นบ้างจากผลไม้ที่เขาถือครอง แต่พัฒนาการนั้นก็จัดว่าช้าเสียเหลือเกิน บัดนี้ทุกสิ่งได้เปลี่ยนไปแล้ว หลังจากที่ชายหนุ่มบรรลุปราณระดับกำเนิดแก่นในขั้นปลายระหว่างลงแข่งขัน และเดินหน้าฝึกจนเข้าใกล้ขั้นสมบูรณ์แบบเข้าไปทุกที!
จิตสัมผัสวิญญาณของหวังเป่าเล่อพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดตามขั้นปราณของเขา จึงทำให้การหลอมอาวุธเวทระดับสูงง่ายขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก
เมื่อมีวัสดุพร้อม ชายหนุ่มก็ลองเริ่มกระบวนการดูเพื่อทดสอบ แล้วก็พบว่าประสบการณ์การหลอมของตนเองแตกต่างไปจากเมื่อก่อนมาก หวังเป่าเล่อจึงตัดสินใจลองหลอมอาวุธเวทดูหลังจากที่พลังปราณในกายเสถียรเรียบร้อยแล้ว และบรรลุวิชาประจำตัวสำเร็จ
เจ็ดวันผ่านไป ชายหนุ่มพยายามหลอมอาวุธเวทระดับแปดอยู่หลายครั้ง ตั้งแต่แบบใช้ครั้งเดียว ไปจนถึงแบบที่ทรงพลังกว่า ในที่สุดเขาก็สร้างอาวุธเวทระดับแปดที่แท้จริงได้สำเร็จ ชายหนุ่มตื่นเต้นดีใจเป็นอันมากกับผลลัพธ์นี้
ในที่สุด… ข้าก็หลอมอาวุธเวทระดับแปดสำเร็จ! จิตใจของชายหนุ่มปั่นป่วนด้วยความรู้สึกมากมาย เขามองกระดิ่งที่ตนเองเพิ่งหลอมเสร็จตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะหยิบขึ้นมาลองสั่นดูสองสามครั้ง เสียงกระดิ่งสั่นไหวดังก้องไปทั่วบริเวณ เมื่อนึกถึงตอนที่ตนเองจะกักขังคนไว้ในนี้ในอนาคต เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุขล้น
ข้ามีอาวุธเวทระดับแปดแบบใช้ครั้งเดียวอยู่เยอะแยะไปหมด ต่อไปนี้ข้าจะโยนพวกนี้ออกมาก่อนให้คู่ต่อสู้ทำลาย ก่อนใช้ของจริง! หวังเป่าเล่อตื่นเต้นดีใจ เขาอยากจะฉลองความสำเร็จนี้และตบพุงตนเองตามนิสัยเดิม เมื่อมือของหวังเป่าเล่อสัมผัสกับพุง ก็พบว่าตนเองเริ่มมีไขมันวิญญาณสะสมมากขึ้นแล้ว กระนั้นเขาก็ยังคิดว่าตนเองผอมมาก จึงหยิบถุงขนมออกมาสองสามถุง และรีบเปิดกินอย่างสุขใจในทันที
นอกจากนี้ชายหนุ่มยังหยิบเอาน้ำเย็นหล่อวิญญาณออกมาห้าขวด และรีบดื่มเข้าไปอย่างรวดเร็ว เมื่ออิ่มเอมพอใจเป็นที่เรียบร้อย เขาก็เดินหน้าหลอมอาวุธต่อ โดยสิ่งที่ดำเนินการปรับปรุงต่อไปคือโทรโข่งอาวุธเวทระดับเจ็ด
ชายหนุ่มไม่ได้ใช้โทรโข่งมานานมาก เพราะระดับพลังของโทรโข่งเมื่อก่อนหน้านี้ต่ำเกินไป กระนั้นเขาก็ยังชอบอาวุธเวทของเขาชิ้นนี้เหลือเกิน ด้วยองค์ความรู้ที่เพิ่มพูนขึ้น หวังเป่าเล่อจึงไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะหยิบของเล่นชิ้นโปรด ออกมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม
นอกจากโทรโข่งแล้ว ก็ยังมีเชือกประหลาดและผนึกยักษ์คู่ใจ ทั้งสองนี้มีนิสัยแปลกประหลาดเป็นของตนเอง จึงทำให้เป็นอาวุธเวทที่แตกต่างจากเพื่อนมาก หวังเป่าเล่อยังคงปรับปรุงทั้งสองอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา
สี่วันผ่านไป ชายหนุ่มเปลี่ยนอาวุธเวททั้งสามชิ้นให้ก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับแปดเป็นที่เรียบร้อย เขาหยิบเอากระเป๋าคลังเก็บออกมา เมื่อคิดถึงแถบผ้าที่ระเบิดไปขณะต่อสู้กับตู้กูหลินนั้น หัวใจของเขาก็เจ็บแปลบ
น่าเสียดายเหลือเกิน… ชายหนุ่มถอนหายใจ เขานึกถึงคลังอาวุธของตนเองอันประกอบไปด้วย กระบี่เหาะเหินสามสี และอาวุธเวทระดับแปดอีกสองสามชิ้น แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่ามันออกจะน้อยไปสักหน่อย แต่ตัวเขาเองก็วางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว หวังเป่าเล่อก็รู้ดีว่าตนเองขาดอาวุธเวทป้องกันจำนวนมาก แม้กระดิ่งที่เพิ่งหลอมเสร็จเมื่อก่อนหน้าจะถือว่าเป็นอาวุธเวทป้องกันชนิดหนึ่ง แต่ก็ยังเหมาะกับการกักขังคู่ต่อสู้มากกว่าปกป้องตัวเขา
ประกายความมุ่งมั่นวาวโรจน์ในแววตาของชายหนุ่ม เขาคิดว่าตนเองควรหลอมอาวุธเวทระดับแปดที่เอาไว้ใช้ป้องกันตนเอง ส่วนหน้าตาของอาวุธนั้น เขาคิดอยู่สักพัก ก่อนจะตกลงปลงใจว่าสิ่งที่จะปกป้องชีวิตของเขาได้นั้น ควรจะเป็นชุดเกราะ!
ชุดเกราะนั้นไม่ควรหนาเกินไป และควรจะใส่ได้พอดีตัว แต่ก็ไม่ทำให้การใช้วิชาเกราะจักรพรรดิของเขาติดขัดเช่นกัน หากเขาต้องต่อสู้ในเหตุการณ์ที่คล้ายกับการเผชิญหน้ากับตู้กูหลินอีกครั้ง ต่อให้เกราะจักรพรรดิแตกสลายลง หวังเป่าเล่อก็จะยังมีชุดเกราะนี้ช่วยคุ้มกัน เมื่อเกราะนี้ประกอบกับร่างกายที่แข็งแกร่งของเขา จะทำให้ชายหนุ่มป้องกันตนเองจากการโจมตีที่เจอมาเมื่อก่อนหน้าได้แน่นอน
หากตอนนี้เขาอยู่บนโลกแทนที่จะเป็นดวงอาทิตย์ เขาอาจไม่มีวัตถุดิบเพียงพอที่จะใช้หลอมได้ แต่แน่นอนว่าสำนักวังเต๋าไพศาลแห่งนี้มีคำตอบ เนื่องจากวัตถุดิบที่ใช้ในการฝึกปราณมีอยู่มากมาย หลังจากที่เลื่อนดูเครือข่ายวิญญาณอยู่สักพัก หวังเป่าเล่อก็สังเกตเห็นวัตถุดิบชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า เศษเสี้ยวแห่งความมืด
เศษเสี้ยวแห่งความมืดนี้มีคุณสมบัติการเก็บความทรงจำ และยังมีพลังการป้องกันที่หวังเป่าเล่อพึงพอใจ นอกจากนี้มันยังส่งพลังการโจมตีสะท้อนกลับได้อีกด้วย หลังจากที่เขาเลือกวัตถุดิบหลักได้เรียบร้อย ชายหนุ่มก็เดินหน้าหลอมอาวุธของตนเองต่อไป
คราวนี้เขาตั้งใจกับมันเป็นอย่างมาก จนใช้เวลาถึงครึ่งเดือนกว่าจะหลอมเกราะเศษเสี้ยวแห่งความมืดเสร็จ เมื่อเห็นว่ายังมีวัตถุดิบเหลืออยู่พอสมควร หวังเป่าเล่อก็คิดถึงการซ่อมหอกสีดำระดับเก้าขึ้นมา
เขาคิดเอาไว้เรียบร้อยโดยละเอียดแล้ว ว่าตนเองจะซ่อมหอกสีดำอย่างไร หลังจากที่คำนวณอยู่สักพัก ชายหนุ่มก็เดินหน้าในทันที เขาพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะซ่อมหอกที่เขาพบจากการผจญภัยในบริเวณตัวดาบให้ได้
แต่ด้วยความที่หวังเป่าเล่อยังหลอมอาวุธเวทระดับเก้าไม่ได้ กระบวนการการซ่อมก็ไม่สมบูรณ์แบบเช่นกัน กระนั้นชายหนุ่มก็ยังมีวัตถุดิบมากพอ และยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อทำให้การซ่อมแซมเรียบร้อยขึ้น สุดท้ายแล้วเขาก็ปรับปรุงหอกให้กลับมาอยู่ในสภาพปกติได้เป็นส่วนมาก แม้จะยังมีบางช่วงที่ไม่เสร็จสมบูรณ์ หวังเป่าเล่อโบกมือ ก่อนที่หอกจะพุ่งหลาวไปข้างหน้าพร้อมไออำมหิต
ไอนั้นอบอวลด้วยควันสีดำ ภายในกลุ่มควันมีงูสีดำเลื่อมที่มีปีกหนา งูตัวนั้นหันกลับมามองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาเย็นชา
ทันทีที่ทั้งสองประสานสายตากัน หัวใจของหวังเป่าเล่อก็เย็นวาบ เขาตัวสั่นก่อนจะตระหนักได้ว่า หอกนี้ไม่ต่างกับกระบี่เหาะเหินสามสีแม้แต่น้อย
แม้จะไม่แข็งแกร่งเท่าอาวุธเวทระดับเก้า แต่หวังเป่าเล่อก็ยังพึงพอใจในพลังของมัน เขายกมือขึ้นเพื่อจะเก็บหอกกลับเข้ากระเป๋า แต่ทันทีที่มือของเขาเข้าไปใกล้ งูร้ายก็พุ่งพรวดออกจากควัน หมายกัดมือของเขาให้จมเขี้ยว
ชายหนุ่มเจ้าของหอกนิ่งอยู่กับที่ เขาไม่ได้ชะงักมือ แต่ดีดนิ้วทันทีที่เจ้างูนั้นเข้ามาใกล้ เปลวไฟสีดำโชติช่วงขึ้นทันทีในฝ่ามือของชายหนุ่ม เสียงไฟปะทุดังท่ามกลางความเงียบงัน งูร้ายตัวสั่นอย่างรุนแรง ก่อนกรีดร้องเสียงแหลมสูงและรีบล่าถอยไปในทันที ร่างของมันอาบไปด้วยเปลวไฟสีดำสนิทมอดไหม้ ที่หายไปเพียงตอนที่มันกลับเข้ากลุ่มควันเท่านั้น เปลวไฟสีดำที่ทำร้ายเจ้างูอยู่เมื่อก่อนหน้า ลอยกลับเข้าฝ่ามือของหวังเป่าเล่อ
“อย่าได้บังอาจลองดีกับข้าอีกเล่า!” ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบ ไม่แม้แต่จะหันไปมองงูตัวนั้น เขาหยิบเอาหอกกลับใส่กระเป๋า ก่อนหันไปมองกองวัตถุดิบขนาดย่อมในกระเป๋านั้น
ดูเหมือนข้าจะซื้อมาเยอะไป… หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าหากตนเองจะไม่ใช้ให้หมด ก็จะเป็นการเสียดายของ แม้กว่าครึ่งจะเตรียมไว้สำหรับการหลอมฝักกระบี่ แต่อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือก็จัดได้ว่าคุณภาพต่ำนัก แม้จะพอกล้อมแกล้มไปได้หากใช้หลอมอาวุธเวทระดับแปด แต่ก็ยังถือว่าด้อยค่าเกินไปสำหรับฝักกระบี่ภายในกายเขา
หลังจากที่คิดสะระตะอยู่สักพัก หวังเป่าเล่อก็เริ่มหลอมหุ่นเชิดในทันที นอกจากนี้ยังทดลองคุณสมบัติใหม่ๆ มากมายกับหุ่นเชิดอาวุธเวทชุดใหม่เหล่านี้ด้วย
ด้วยความที่มีวัตถุดิบเหลืออย่างไม่คาดคิด ชายหนุ่มจึงคิดว่าจะสร้างเกราะป้องกันให้กับกองทัพยุงของตน แม้จะยากเอาการ แต่เขาก็รู้สึกว่าความรู้ที่ตนเองมีในตอนนี้ จะทำให้ชุดเกราะจิ๋วกลายเป็นสมบัติเวทระดับหกได้ไม่ยาก หากตั้งใจมากพอ ถึงจะยังเปลี่ยนให้เป็นอาวุธเวทไม่ได้ในตอนนี้ก็ตามที
หวังเป่าเล่อก้าวเท้าออกจากการถือสันโดษ พร้อมด้วยหุ่นเชิดเจ็ดในแปดที่มีพลังใกล้เคียงความเป็นอาวุธเวทระดับเจ็ดเข้าไปทุกที ส่วนหุ่นเชิดตัวสุดท้ายนั้น ก็ทำให้ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายด้วยความพอใจ
หุ่นเชิดตัวนั้นคือจูกังเฉียง เพื่อนเก่าแก่ที่ติดตามเขามาหลายต่อหลายปี
จูกังเฉียงมีความพิเศษบางประการ ที่ทำให้หวังเป่าเล่อหลอมมันให้เป็นอาวุธเวทระดับเจ็ดสำเร็จในที่สุด เมื่อหลอมรวมวิญญาณเข้ากับหุ่นเชิดจูกังเฉียงนี้แล้ว วิญญาณในร่างก็ทำให้รู้สึกราวกับว่าจูกังเฉียงเพื่อนยากมีความคิดจิตใจ
ส่วนพลังปราณของจูกังเฉียงก็อยู่ที่ระดับกำเนิดแก่นในขั้นต้นเลยทีเดียว!
นอกจากนี้ชายหนุ่มยังปรับปรุงสมบัติเวทชิ้นอื่นๆ ให้ดีที่สุดเท่าที่ตนเองทำได้อีกด้วย แม้กระทั่งถังใส่ดอกไม้ไฟยังได้ยกเครื่องใหม่ ส่วนชุดเกราะที่เขาตั้งใจมอบให้ยุงของตนนั้นก็สำเร็จลุล่วงด้วยดี ด้วยความที่ยุงของเขาจะปรากฏตัวขึ้นก็ต่อเมื่อบินออกมาจากฝัก หวังเป่าเล่อจึงเก็บชุดเกราะเอาไว้ก่อน เพื่อจะลองทดสอบความแข็งแกร่งดู ชายหนุ่มโบกมือด้วยความปลื้มปริ่มเพื่อเก็บหุ่นเชิดของตนกลับเข้ากระเป๋า และมุ่งหน้าไปยังเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลในทันที!
เขาได้รับข่าวจากสำนัก ว่าจัดการเรื่องการเคลื่อนย้ายสำหรับการไปเยือนตำหนักวังบูชาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เวลาออกเดินทางคือคืนนั้นเอง!
นอกจากนี้เฟิ่งชิวหรันยังบอกเขาด้วยว่าเหตุใดจึงต้องเป็นตอนกลางคืน นี่ก็เพราะการเคลื่อนย้ายไปในบริเวณตัวดาบ จะแม่นยำที่สุดในยามรัตติกาลนั่นเอง
หลังจากที่ส่งข่าวไปให้เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าทราบเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็รีบมุ่งหน้าไปยังตำหนักหลักในทันที เขามาถึงก่อนเวลาเล็กน้อย เนื่องจากก่อนที่จะจากไปนั้น ชายหนุ่มต้องการทำบางอย่างที่ยิ่งใหญ่เสียก่อน!
เห็นทีจะต้อง… ทำให้เจ้าต้วนมู่น้อยตกใจเล่นๆ เสียหน่อย!
เจ้าต้วนมู่น้อย คราวนี้ข้าจะประกาศให้เจ้ารู้เอง ว่าข้า หวังเป่าเล่อคนนี้ คือชายผู้ที่จะเป็นประธานสหพันธรัฐแทนที่เจ้า
บทที่ 593 ตำหนักวังบูชา!
หวังเป่าเล่อมีมาดของผู้ยิ่งใหญ่มั่งคั่งที่ควรค่าแก่การเคารพ เมื่อเขาใช้แต้มการรบที่ได้มาจากธุรกิจเกม ซื้อกระบวนเวทจำนวนมากจากหอตำรากระบวนเวทไพศาล ผู้คนมากมายห้อมล้อมเขาเพื่อสังเกตการณ์ ขณะที่ชายหนุ่มส่งกระบวนเวทกลับไปสหพันธรัฐที่ละอันผ่านวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย ส่วนด้านสหพันธรัฐนั้นกำลังตกใจเป็นล้นพ้น!
หลี่ซิงเหวินที่ยืนอยู่นอกวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายบนดาวพุธ ดวงตาแทบหลุดออกจากเบ้า เขามองไปที่กระบวนเวทที่ปรากฏขึ้นทีละอันกลางวงแหวนปราณที่ทอแสงเรืองรอง ด้วยสายตาเหมือนต้องมนต์สะกด
ส่วนต้วนมู่ฉือก็เริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย ตั้งแต่หวังเป่าเล่อส่งกระบวนเวทสิบแปดวิชากลับมาเมื่อก่อนหน้า เขาก็เริ่มจับตาสังเกตการณ์เรื่องนี้อยู่ทุกความเคลื่อนไหว ผ่านนวัตกรรมภาพฉายของสหพันธรัฐ
ภาพฉายของต้วนมู่ฉือหันหลับขวับมาในทันที เมื่อจับได้ว่าวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเริ่มเรืองแสง ตอนแรกเขาดีใจกับภาพที่เห็น แต่ความดีใจนั้นก็คงอยู่ได้แค่ยี่สิบลมหายใจเท่านั้น เมื่อเห็นว่าทุกวินาทีจะมีกระบวนเวทใหม่ปรากฏขึ้น ต้วนมู่ฉือก็เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง หัวใจสั่นระรัวไปหมด
“ยี่สิบเอ็ด ยี่สิบสอง…”
“สามสิบเจ็ด สามสิบแปด…”
“สี่สิบสอง สี่สิบสาม…”
ผู้ที่ตกใจไม่แพ้กันคือผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐที่ยืนอารักขาอยู่ ทุกคนตาเบิกกว้างเมื่อเห็นแสงเรืองรองที่ใจกลางวงแหวนเคลื่อนย้าย และจำนวนกระบวนเวทที่ถูกส่งกลับมา แม้จะมีกระบวนเวทมากมายปรากฏขึ้นที่ใจกลางวงแหวนนี้ในปีที่ผ่านมา แต่ปรากฏการณ์ในครั้งนี้ถือว่ามาแรงแซงโค้งไปอย่างเทียบกันไม่ติด!
ทั่วทั้งบริเวณตกอยู่ในความเงียบงัน ต้วนมู่ฉือสำลักความตกใจ แต่กระบวนการเคลื่อนย้ายยังไม่จบลงเพียงแค่นั้น จนกระทั่งเวลาหนึ่งร้อยยี่สิบลมหายใจผ่านไป
จำนวนกระบวนเวทที่ถูกส่งกลับมาในครั้งนี้ คือหนึ่งร้อยสี่สิบกระบวนเวท!
กระบวนเวทยี่สิบวิชาสุดท้ายถูกโยนมาพร้อมกันในคราวเดียว ราวกับว่าคนที่ส่งกลับมาเริ่มหงุดหงิดกับความช้าของระบบ…
ภาพนี้ทำให้ทุกคนในสหพันธรัฐที่กำลังเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ตกใจเป็นล้นพ้น จนอดอุทานออกมาไม่ได้
“หนึ่งร้อย… สี่สิบวิชา!”
“นั่นกระบวนเวทจริงๆ นะหรือ ทำไมข้ารู้สึกเหมือนผักปลาที่เหมาเข่งซื้อมามากกว่า”
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอื้ออึง หลี่ซิงเหวินควบคุมตนเองให้ยังใจเย็นอยู่ได้ ขณะรีบไปคว้าเอากระบวนเวททั้งหนึ่งร้อยสี่สิบวิชานั้นเอาไว้ หลังจากที่ลองอ่านดูทีละอัน สีหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดดูประหลาด แต่ก็ไม่ได้ดูเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด ท่านหันไปมองต้วนมู่ฉือที่กำลังตกใจ
“มู่ฉือ เจ้าต้องตระเตรียมอะไรบางอย่างแล้ว ดูเป็นไปได้มากว่าเจ้าจะต้องลงจากเก้าอี้ เมื่อหวังเป่าเล่อกลับมาจากดวงอาทิตย์…”
“ทั้งหมดนี้มาจากหวังเป่าเล่อหรือ” ต้วนมู่ฉือตัวสั่น เขาไม่เชื่อจึงรีบรุดเข้ามาดูกระบวนเวททั้งหมดด้วยตนเอง ยิ่งตรวจดูมากเท่าไหร่ สีหน้าของต้วนมู่ฉือก็ยิ่งกระอักกระอ่วนมากขึ้นเท่านั้น ในใจของประธานสหพันธรัฐเต็มไปด้วยความรู้สึกอับจนหนทางและความสุขไปในเวลาเดียวกัน สุดท้ายแล้วต้วนมู่ฉือก็ถอนหายใจยาวออกมา เขารู้สึกเหมือนว่าตนเองได้จัดการเลื่อยขาเก้าอี้ของตนเองเสียเสร็จสรรพ ถึงจะส่งจินตั้วหมิงไปสู้แล้ว แต่หวังเป่าเล่อก็ยังคงถือไพ่เหนือกว่าอยู่ดี
“ข้าว่าเรื่องนี้ต้องฉลอง ฮ่าๆ ข้ารอให้หวังเป่าเล่อกลับมารับตำแหน่งประธานสหพันธรัฐไม่ไหวแล้ว!” ต้วนมู่ฉือกระแอมกระไอด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เขาดูมั่นใจเป็นอันมาก จนทำให้ใครก็อ่านไม่ออกว่าจริงๆ แล้ว ลึกๆ ในใจของเขาเป็นอื่นหรือไม่ หลี่ซิงเหวินกระแอมก่อนกล่าวเตือนความจำ
“เมื่อรวมกับกระบวนเวทที่หวังเป่าเล่อส่งมาเมื่อก่อนหน้า ก็เป็นหนึ่งร้อยห้าสิบแปดพอดี…”
เมื่อได้ยินดังนั้น ท่านประธานสหพันธรัฐก็ตัวสั่น
บัดซบเอ๊ย… ข้ายังเป็นประธานสหพันธรัฐมาไม่ถึงสิบปีเลย… หากข้าขอสละตำแหน่งเองหลังจากทิ้งผลงานเอาไว้ก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นแบบนี้จะดูเหมือนโดนบังคับให้สละเก้าอี้มากกว่า นี่มันบ้าอะไรกัน แบบนี้ข้าก็เสียหน้าสิ! ต้วนมู่ฉือกระวนกระวายเป็นอันมาก เขาคิดว่าตนเองยังโชคดีอยู่ที่มีปราณระดับจุติวิญญาณ ต่อให้เขาไม่ยอมลงจากตำแหน่งเอง หวังเป่าเล่อก็ยังเอาชนะเขาไม่ได้ในการประลองอยู่ดี… แต่เมื่อนึกถึงข้อมูลล่าสุดที่ได้มาจากสำนักวังเต๋าไพศาล เกี่ยวกับความสามารถในการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อแล้ว เขาก็หมดความมั่นใจอย่างรวดเร็ว
หรือว่าข้าควรจะเปลี่ยนระบบโครงสร้างอำนาจในสหพันธรัฐมันเสียเลย ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะกลับมา เช่น เพิ่มจำนวนลำดับขั้นของขุนนางเหนือระดับสองชั้นรองขึ้นมาอีกสิบขั้น เขาถอนหายใจเพราะรู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ก่อนอารมณ์จะเริ่มดิ่งสู่ความหัวเสียอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ต้วนมู่ฉือกำลังหงุดหงิดกระวนกระวายใจอยู่นั้น หวังเป่าเล่อที่อยู่ในลานสาธารณะของสำนักวังเต๋าไพศาล บนกระบี่สำริดเขียวโบราณ กำลังยืนตบพุงตนเองอย่างพออกพอใจในผลงาน แม้จะไม่เห็นสีหน้าของต้วนมู่ฉือในตอนนี้ แต่ชายหนุ่มก็เดาได้ว่าประธานสหพันธรัฐ คงกำลังทรมานใจกับเมฆดำทะมึนที่ลอยต่ำอยู่เหนือศีรษะ
ริอาจจะมาแข่งกับข้าเช่นนั้นหรือ เจ้าต้วนมู่น้อย ถ้าคิดว่าการส่งกระบวนเวทกว่าร้อยวิชากลับไปเป็นจุดจบ ก็คิดใหม่เสียเถิด ข้าจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากกว่านั้นอีก การต่อสู้แย่งเก้าอี้สูงสุดในอาณาจักรของเราสองคน ยังไม่จบลงเพียงเท่านี้หรอกนะ! หวังเป่าเล่อกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก เขาเชิดคางขึ้นด้วยความทะนงตน ศิษย์จากสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลรอบกายต่างมองเขาด้วยความตกใจ ชายหนุ่มเดินออกจากลานสาธารณะ เพื่อมุ่งหน้าไปยังถ้ำที่พักของเฟิ่งชิวหรัน
หวังเป่าเล่อไม่ได้พาเจ้าลามาด้วย เนื่องจากเจ้าลาของเขากำลังใจจดใจจ่อกับการเล่นเกม จนไม่ทำอะไรนอกจากออกไปนอกบ้านเป็นบางครั้งเพื่อหาของกิน ซึ่งช่วยลดภาระการดูแลมันไปได้มาก
กว่าหวังเป่าเล่อจะไปถึงถ้ำที่พักของเฟิ่งชิวหรันก็เกือบเย็นแล้ว ส่วนเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าก็รีบกระหืดกระหอบมา ทันทีที่ได้รับข้อความ
ทั้งสามเจอกันที่หน้าที่พักของเฟิ่งชิวหรัน ก่อนทักทายท่านผู้อาวุโสอย่างพร้อมเพรียงกัน เฟิ่งชิวหรันส่งใบต้นไฮยาซินสามใบให้หวังเป่าเล่อ ดวงตาเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
นางตกลงอนุญาตให้หวังเป่าเล่อแบ่งใบทั้งสามให้เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าด้วย เนื่องจากเฟิ่งชิวหรันทราบว่าเจ้าเยี่ยเหมิงก็ได้รับกระบวนเวทจากดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้นมาด้วยเช่นกัน จึงทำให้นางได้รับตำแหน่งศิษย์สำนักในไปโดยปริยาย แม้จะตกรอบการแข่งขันก็ตามที
เฟิ่งชิวหรันเองให้ความสำคัญกับสถานะนั้นเป็นอันมาก ส่วนสำหรับกงเต๋า แม้เขาจะไม่ได้รับวิชาจากดินแดนแห่งการสืบทอดมาเหมือนจั่วอี้ฟาน แต่หากหวังเป่าเล่อเลือกส่งใบไม้ให้จั่วอี้ฟานที่ไม่ได้เข้าแข่งขันแทน คงจะไม่เหมาะสมเป็นอันมาก
ยังโชคดีที่จั่วอี้ฟานเองก็เข้าใจในเรื่องนี้ จึงไม่ได้ประท้วงอะไร เฟิ่งชิวหรันไม่ต้องการแทรกแซงการตัดสินใจระหว่างหวังเป่าเล่อและสหาย จึงเดินพาทั้งมายังภูเขาบนเกาะหลักของตำหนัก หลังจากที่มอบใบไม้ให้ผู้ชนะเรียบร้อยแล้ว
กระบวนการตระเตรียมวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายบนภูเขาเสร็จสมบูรณ์แล้ว เมี่ยเลี่ยจื่อและโยวหรันไม่ได้มาด้วย เนื่องจากเรื่องนี้จัดการฝ่ายของเฟิ่งชิวหรันเท่านั้น แต่ผู้ที่มาร่วมสังเกตการณ์ด้วยคือประมุขสวี หลังจากที่ตรวจดูว่าปลอดภัยดี ประมุขสวีก็ทักทายทั้งสามด้วยการทำมือคารวะ และรอยยิ้มบนใบหน้า
“ข้าขออวยพรให้พวกเจ้าทั้งสามเดินทางโดนปลอดภัย ไปสู่จุดสูงสุด และได้รับสถานะของศิษย์แห่งสำนักวังเต๋าไพศาลมาครอบครอง!”
หวังเป่าเล่อมองประมุขสวีในมุมใหม่เรียบร้อย จึงทำมือคารวะตอบกลับไปเช่นกันเพื่อรับคำอวยพรนั้น เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าก็คารวะท่านกลับเช่นกัน หลังจากนั้นทั้งสามก็หันมามองหน้ากัน ก่อนก้าวขึ้นไปบนวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายอย่างพร้อมเพรียง
ผู้ฝึกตนจากฝ่ายของเฟิ่งชิวหรันสร้างผนึกมือ วงแหวนปราณเคลื่อนเริ่มเดินเครื่อง สีหน้าของเฟิ่งชิวหรันเคร่งขรึมจริงจัง นางมองสามสหายและกล่าวเตือนพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย
นางบอกให้พวกเขาตื่นตัวระวังตนอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังบอกวิธีการเข้าไปยังตำหนักวังบูชาอีกด้วย
“ตำหนักวังบูชานั้นมีสองส่วนด้วยกัน ส่วนแรกคือเส้นทางชัชวาล ส่วนที่สองคือเจ็ดวังบูชา เส้นทางชัชวาลนั้นไม่มีภัยอันตรายใดๆ เนื่องจากเป็นส่วนที่ใช้ทดสอบเพียงเท่านั้น ว่าพวกเจ้าควรค่าพอที่จะเข้าไปยังเจ็ดวังบูชาหรือไม่ ส่วนเจ็ดวังบูชานั้นเป็นสถานที่ที่อันตรายอย่างแน่นอน!
“พวกเจ้าทั้งสามต้องตื่นตัวอยู่เสมอ อย่าเอาชีวิตไปทิ้งเพียงเพื่อการทดสอบนี้ จากความเข้าใจของข้า หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงได้รับวิชาสืบทอดมาจากดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้นมา ทันทีที่เข้าไปยังตำหนัก พวกเจ้าจะได้รับการยกเว้น ไม่ต้องทดสอบด่านแรกๆ และเข้าไปรับการทดสอบการเป็นศิษย์สืบทอดได้ในทันที!
“เมื่อทำสำเร็จ พวกเจ้าจะได้เป็นศิษย์สืบทอดแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล!
“ท้ายที่สุดแล้ว ขอให้พวกเจ้าโชคดี!”
เฟิ่งชิวหรันสร้างผนึกมือและชี้ไปยังวงแหวนปราณ เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่ว หวังเป่าเล่อและสหายที่อยู่ในวงแหวนปราณสายตาพร่ามัวในบัดดล ทั้งสามรู้สึกถึงแรงบีบอัดที่กระทำต่อร่างของพวกเขา อันเป็นสัญญาณว่าทั้งสามกำลังเคลื่อนย้ายไปยังจุดหมายปลายทาง หลังจากที่พวกเขาจากไปแล้ว วงแหวนปราณก็ใช้เวลานานพอตัวกว่าจะกลับมาอยู่ในสภาพปกติ
“หวังว่าทั้งสามจะเดินทางกลับมาอย่างปลอดภัย” หลังจากที่คณะของหวังเป่าเล่อจากไปแล้ว ประมุขสวีจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพก็พึมพำกับตนเอง ก่อนหันมามองเฟิ่งชิวหรันพร้อมกระแอมกระไอ
“ท่านผู้อาวุโสชิวหรัน ท่านตัดสินใจแล้วหรือยัง ซิงเหวินพี่ข้านั้นรักเจ้าด้วยใจจริง”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชิวหรันก็เริ่มปวดหัวขึ้นมาทันที นางจ้องประมุขสวี
“ให้หลี่ซิงเหวินมาบอกข้าด้วยตนเองเถิด!” แล้วนางก็รีบรุดจากไป
ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ จากฝ่ายของเฟิ่งชิวหรันมองหน้ากันก่อนจะจากไปเช่นกัน หลายคนเก็บความลับไว้ไม่ได้ จึงเริ่มเอาเรื่องนี้ไปพูดคุยกันในมุมข่าวและเรื่องซุบซิบบนเครือข่ายวิญญาณ เรื่องราวระหว่างหลี่ซิงเหวินและเฟิ่งชิวหรันแพร่กระจายไปในโลกเครือข่ายวิญญาณอย่างรวดเร็ว!
ในเวลาเดียวกันนั้น เทือกเขาหน้าตาประหลาดตั้งตระหง่านอยู่ในบริเวณต้องห้าม ในส่วนลึกของตัวดาบ!
เทือกเขานี้มีทางเดินทางเดียว แต่มีทั้งหมดเจ็ดยอดด้วยกัน แต่ละยอดลดหลั่นกันไปเหมือนขั้นบันได โดยยอดถัดไปสูงกว่ายอดก่อนหน้า!
รอบเทือกเขานั้นไม่มีทะเลเพลิงห้อมล้อม แต่ถูกโอบด้วยสายฟ้าสีดำนับไม่ถ้วน ที่ฟาดฟันอากาศอย่างไม่หยุดยั้ง ปรากฏการณ์นี้ทำให้ยอดเขาทั้งเจ็ดดูน่าพรั่นพรึงมาก!
บนยอดเขาแต่ละยอดมีวังใหญ่โตอลังการณ์ตั้งอยู่ เส้นทางเส้นเดียวที่ทอดผ่านเทือกเขาเรืองแสงขึ้น ก่อนที่หวังเป่าเล่อและสหายจะปรากฏกายขึ้น!
เสียงฟ้าคำรามดังต้อนรับทั้งสามในทันที สายฟ้าพิโรธทวีความรุนแรงขึ้นอีก จนส่องให้เห็นป้ายที่ระบุว่าเส้นทางขึ้นเขานี้กำลังปิดปรับปรุง ทั้งสามมองเห็นคำสามคำที่ระบุไว้ชัดเจนบนป้าย!
ตำหนักวังบูชา!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น