ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 590-591

 ตอนที่ 590

 

ซูเยาถึงกับต้องขบคิดปัญหาข้อนี้อย่างจริงจัง ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าปัญหาข้อนี้มันมีอะไรๆพิกลอยู่ 


 


 


จิ้งจอกอย่างเขามันช่างน่าสงสารเสียจริงๆ อาหลันไปชอบผู้อื่นที่ไม่ใช่เขา เขายังจะต้องมาช่วยเจ้าพวกนี้ชี้ชัดว่าอาหลันชอบใครอีก อย่างนั้นหรือ? 


 


 


ถ้าทำเกรงว่าสมองของเขาคงจะมีแต่น้ำแล้ว! 


 


 


คราวนี้ ซูเยาถึงกับมองด้วยสายตาเย็นยะเยือก พลางเอ่ยออกมาว่า “อยากจะต่อยกันสักหน่อยใช่ไหม?” 


 


 


ดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นปลุกไอสังหารขึ้นมาในทันที 


 


 


ว่าตามจริงแล้ว เขาก็อยากจะต่อยเจ้าผู้นี้สักรอบหนึ่ง ต่อให้บนร่างของเขาจะต้องมีรอยแผลเป็นสักหลายรอย แต่ก็ถือว่ายังได้ระบายความแค้นออกมา 


 


 


ตอนที่อยู่ในโลกปัจจุบัน เนื่องเพราะว่าอาหลันดีต่อเขา คอยอยู่ข้างกายเขาทุกวัน ตกกลางคืนก็นอนด้วยกันบนเตียง ดังนั้นไอ้แก่ที่ไม่ยอมตายซื่อมั่วถึงได้อิจฉาตาร้อน 


 


 


และเพราะว่าทั้งอิจฉาและริษยาสุดชีวิต ถึงได้จับเขาที่เป็นเพียงจิ้งจอกตัวหนึ่งโยนลงไปในวงล้อวัฏสงสาร 


 


 


ตอนนั้น เป็นเพราะว่าเขาไม่ทันได้ระมัดระวังตัว หากว่าบังเอิญไปเกิดเป็นวัวเป็นหมาเป็นหมูมิเท่ากับว่าอนาถหนักหรอกหรือ? 


 


 


ยังโชคดีที่เขามีดาวนำโชคคุ้มครอง ถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ พื้นฐานครอบครัวก็นับว่าไม่เลว อย่างน้อยๆก็ยังเป็นจวนอ๋องแห่งหนึ่ง 


 


 


แต่ใครเลยจะคิดว่า ยามที่อยู่ในแคว้นต้าโจว เขาจะได้บังเอิญเจอกับอาหลันอีกครั้ง 


 


 


อย่างน้อยๆก็นับว่า ท่ามกลางการกระทำที่เหมือนไม่ใช่มนุษย์เขาทำกัน ซื่อมั่วยังได้ทำเรื่องที่มีมนุษยธรรมอยู่บ้าง 


 


 


ซูเยากระพริบขนตาถี่ๆคิดไปถึงช่วงเวลายามที่อยู่ในแคว้นเหยียนกับตู๋กูซิงหลัน มุมปากก็อดที่จะโค้งขึ้นมาน้อยๆไม่ได้ 


 


 


ชาติก่อนเขาได้อยู่ในสวนกุหลาบกลางหุบเขาปีศาจกับนาง ชาตินี้ยามที่อยู่ในวังหลวงของแคว้นเหยียนกับนางเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขที่สุด และก็พึงพอใจที่สุดด้วย 


 


 


เมื่อได้มีวันเวลาเช่นนี้ ก็นับว่าเป็นความสุขแล้ว 


 


 


ท่านเจ้าสำนักเห็นเขาประเดี๋ยวก็คิดจะต่อยตีประเดี๋ยวก็ยิ้มออกมา หางจิ้งจอกทั้งเก้าเส้นที่ด้านหลังก็โบกสบัดซ้ายๆขวาๆไม่มีหยุด อยู่ๆเขาก็พลันรู้สึกว่ากำลังถูกท้าทายอยู่ 


 


 


“จิ้งจอกขี้อ่อย สู้ข้าไม่ได้หรอก” ท่านเจ้าสำนักเอ่ยอย่างมีความมั่นใจ 


 


 


จากนั้นก็ยังเสริมอีกประโยคหนึ่งว่า “ศิษย์น้อยชื่นชอบสิ่งที่มองดูแล้วสวยงามสบายตา หากว่าข้าต่อยเจ้าจนไม่น่าดู นางก็จะไม่พอใจ” 


 


 


หากว่ากันตามรสนิยมทางสายตาของเด็กน้อย เจ้าตัวที่อยู่ตรงหน้านี้ก็นับว่าสวยงามอยู่เหมือนกัน 


 


 


ศิษย์น้อยชมชอบทองคำ ชมชอบคนงาม เขาย่อมไม่อาจทำลาย หากว่าเสียโฉมไป ศิษย์น้อยคงจะโกรธขึ้นมา 


 


 


ซูเยา “…..” คนผู้นี้มีปัญหาจริงๆ! 


 


 


อะไรคือสบายตา ไม่สบายตา ช่วยพูดให้มันเป็นภาษาคนหน่อยได้ไหม? 


 


 


มุมปากของเขาแสยะแยกเขี้ยวออกมา จนมองเห็นเขี้ยวจิ้งจอกที่แหลมคม 


 


 


ท่านเจ้าสำนักเองก็อดทนไม่ไหว ต่อยหมัดออกไปในทันที 


 


 


ซูเยากำลังคิดจะหลบ แต่พลันเหลือบไปเห็นเงาร่างสีแดงที่พุ่งเข้ามาทางหน้าต่าง 


 


 


เขารีบเก็บสีหน้าและท่าทางที่ไม่น่าดูอย่างรวดเร็ว นั่งตัวตรงดุจพู่กัน 


 


 


หมัดนั้นของท่านเจ้าสำนักเองก็พุ่งออกไป ขณะที่เข้าไปใกล้เขาก็รู้สึกถึงบางสิ่งขึ้นมา ก่อนที่หมัดจะสัมผัสกับใบหน้าของซูเยาจึงหยุดลงอย่างกระทันหัน 


 


 


แม้แต่พลังที่ปล่อยออกมาพร้อมกับหมัดก็ยังดึงกลับไป จนเหลือแต่เพียงเสียงลมเท่านั้น 


 


 


ท่านเจ้าสำนักทำสีหน้าเย็นชา ดวงตาหงส์เย็นยะเยือกอย่างที่สุด 


 


 


“คิดจะเล่นตลกกับข้าหรือยังไง?” 


 


 


ซูเยากลับไม่ยอมตอบเขา ในตอนที่เงาสีแดงพุ่งเข้ามานั้น เขาก็พุ่งตัวเข้าหาหมัด 


 


 


“ตึ้ง!” ได้ยินเสียงดังลั่น 


 


 


จากนั้นก็มีเสียงกระดูกหักตามมา 


 


 


ตอนที่ตู๋กูซิงหลันมาถึงก็ได้เห็นสภาพเช่นนี้เข้าพอดี 


 


 


จากมุมมองที่นางอยู่ หมัดนั้นเป็นท่านเจ้าสำนักต่อยใส่ใบหน้าของซูเยาอย่างเต็มๆ 


 


 


นางยังคงแบกพี่รองของตนเองเอาไว้บนบ่า พอเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็พลันตกตะลึงไป 


 


 


คราวนี้สายตาของนางหันหยุดมองที่ร่างของซูเยา 


 


 


นางประหลาดใจ ดวงตาก็พลันมีประกายเจิดจ้าขึ้นมา ยังไม่ทันที่นางจะเอ่ยปาก ซูเยาชิงลุกขึ้นมาก่อน จากนั้นก็กุมใบหน้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง สาวเท้าตรงมาที่ข้างกายของนาง 


 


 


“อาหลัน เขาต่อยข้า!” 


 


 


ดวงตาจิ้งจอกที่เมื่อคู่ยังกลิ้งกลอก ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นน่าสงสาร 


 


 


“อาหลัน กว่าที่ข้าจะตามหาเจ้าจนเจอนั้นไม่ง่ายเลย เจ้าตัวแสบนี้กลับต่อยข้า จะหลบก็หลบไม่ทัน!” 


 


 


ซูเยายืนอยู่ข้างกายนาง ชี้นิ้วไปทางท่านเจ้าสำนัก 


 


 


ท่านเจ้าสำนัก “เมื่อครู่เจ้ายังบอกอยู่เองว่าไม่อยากเจอนาง” 


 


 


หากว่าเขาจำไม่ผิดล่ะก็ เจ้าจิ้งจอกขี้อ่อยนี้ต้องการจะปิดบังอาหลัน 


 


 


ซูเยากระทืบเท้า น้ำเสียงก็เอ่ยอย่างเจ็บช้ำ “อาหลัน เจ้าดูสิ เจ้าตัวแสบนี้คือก้อนหินขวางทางการกลับมาพบกันของพวกเรา!” 


 


 


ท่านเจ้าสำนัก “ข้าไม่ใช่ตัวแสบ ข้าคือจีต้าฉุย” 


 


 


ตอนนี้ แม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็พูดอะไรไม่ออก 


 


 


วันนี้ยามกลางวันพอได้เห็นปีศาจสุนัขน้อย เดิมทีนางก็คิดจะเสาะหาพวกปีศาจมาช่วยนางตามหาจิ้งจอกน้อย คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกันอย่างรวดเร็วเช่นนี้ 


 


 


ตอนแรกนางก็ดีใจอยู่หรอก แต่เพราะเรื่องของพี่รองที่ถูกพิษไร้ยาถอน ทำให้นางดีใจไม่ออก 


 


 


ตอนนี้ยังมาเห็นเจ้าจิ้งจอกน้อยกับฉุยซือทะเลาะกันอีกจึงยิ่งไม่ยินดี 


 


 


อยู่ๆนางก็คิดไปถึงภาพของ เสี่ยวเฉวียนเฉวียนกับซูเยา และท่านอาจารย์กับเจ้าจิ้งจอกน้อย 


 


 


นับตั้งแต่ที่นางเก็บเจ้าจิ้งจอกน้อยกลับไปเลี้ยงดูที่สวนกุหลาบ ท่านอาจารย์ก็ดูเหมือนจะไม่ชอบมันอย่างมาก 


 


 


หลังจากนั้นมันก็กลายเป็นซูเยา และปรากฏตัวขึ้นที่ต้าโจวได้อย่างไร นางก็ยังไม่เข้าใจชัดเจน 


 


 


แต่ก็รู้สึกได้ว่าระหว่างทั้งสองเหมือนจะมีอะไรที่ไม่ถูกต้องสักอย่าง 


 


 


ซูเยายังคงร้องไห้กระซิกๆอยู่ที่ข้างกายตู๋กูซิงหลันด้วยท่าทางราวดอกบัวขาวที่เจ็บช้ำเพราะโดนรังแก 


 


 


แถมใบหน้าที่งดงามนั้นยังได้รับบาดเจ็บ ทำให้คนเห็นแล้วก็ยิ่งรู้สึกสงสาร 


 


 


“ศิษย์น้อย อาจารย์ไม่ต่อยคน” พอท่านเจ้าสำนักเห็นซูเยาไปออเซาะอยู่ที่ข้างกายศิษย์น้อยของตนเอง ก็พูดโพล่งอธิบายออกมาคำหนึ่ง 


 


 


ซูเยาหัวเราะเสียงเย็นชา “ จีต้าฉุย เมื่อครู่เจ้าพึ่งจะต่อยข้าไปครั้งหนึ่งจริงๆ” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “? ? ?” ไม่ใช่สิน้องชาย ทำไมเจ้าถึงได้สามารถเรียกเขาว่าจีต้าฉุยได้อย่างคล่องปากขนาดนั้น? 


 


 


ประเด็นของนางมันผิดเพี้ยนไปหน่อยหรือไม่? 


 


 


ท่านเจ้าสำนักไม่แม้แต่จะมองดูซูเยาเลยสักนิด เพียงเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “อาจารย์เพียงฆ่าคนเท่านั้น” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “! ! !” 


 


 


ชั่วขณะนั้น นางพลันรู้สึกขึ้นมาว่า ในแววตาของทั้งสองมีประกายไฟพวยพุ่งออกมา 


 


 


จนตู๋กูซิงหลันรู้สึกได้ว่าในอากาศมีกลิ่นควันไฟแล้ว 


 


 


แสงจากแววตาของพวกเขาเอาจริงเอาจังจนถึงขนาดทำให้พี่รองที่สลบไสลจนนางต้องแบกเอาไว้บนหลังร้อนจนแทบจะถูกเผาขึ้นมา 


 


 


พี่รองทนไม่ไหวจนกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง 


 


 


ทำเอาแผ่นหลังของตู๋กูซิงหลันเปียกชุ่มไปหมด 


 


 


“น้องเล็ก…..ข้า….” 


 


 


เขาโบกมือโบกไม้ พูดอะไรไม่ทันได้ใจความ ท่านเจ้าสำนักก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย จับคนหิ้วตัวขึ้นมา 


 


 


ถึงแม้ว่าตู๋กูเจวี๋ยจะไม่ใช่คนบึกบึน แต่อย่างน้อยๆก็ต้องหนักร้อยสามสิบกว่าชั่ง (ประมาณ 70กิโล) 


 


 


ตอนนี้กลับถูกเขาหิ้วขึ้นมาราวกับลูกไก่น้อยตัวหนึ่ง 


 


 


ดวงตาหงส์คู่นั้นกวาดมองดูตู๋กูเจวี๋ยด้วยแววตาเย็นชารอบหนึ่ง 


 


 


พลางเอ่ยออกมาอย่างช้าๆว่า “ใกล้ตายแล้ว” 


 


 


ตู๋กูเจวี๋ย “ข้าคิดว่ายังพอจะยืดชีวิตได้อยู่…..” 

 

 

 


ตอนที่ 591 จิ้งจอกขี้ประจบ?

 

แต่ว่าท่านเจ้าสำนักกลับบีบเขาเอาไว้อย่างแนบแน่น ไม่มีวี่แววจะคลายมือแม้แต่น้อย 


 


 


หากว่าเปลี่ยนเป็นยามปกติ เกรงว่าตอนนี้ตู๋กูเจวี๋ยคงเสือกดาบใส่เขาไปหลายครั้งแล้ว แต่ว่าตอนนี้แม้แต่จะหายใจเขาก็ยังทำได้อย่างยากลำบาก 


 


 


ท่านเจ้าสำนักมองดูเขาอย่างเย็นชา พลางหันกลับไปเหลือบมองศิษย์น้อยแวบหนี่ง เอ่ยอย่างไม่เร็วไม่ช้าว่า “ที่สำนักหยินหยางมีไม้มู่หนานลายทองอยู่พอดี หากเอามาทำโลง สามารถรักษาศพให้ไม่เสื่อมสภาพได้เป็นร้อยปี” 


 


 


“เจ้ารูปร่างหน้าตาดี ศิษย์น้อยชมชอบ หากว่าเจ้าตายไป แล้วศิษย์น้อยเกิดคิดถึงเจ้าขึ้นมา จะได้หาเวลาไปที่สุสานดูเจ้าสักหน่อย” 


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยถึงกลับกระอักเลือดออกมาในทันที ฟังสิ นี่มันใช่คำพูดของคนหรือ? 


 


 


เขายังไม่ตายเสียหน่อย แต่ว่าเจ้านี้กลับคิดจะจัดการเรื่องราวภายหลังให้เขาเรียบร้อยแล้ว 


 


 


ทั้งยังกล่าวออกมาต่อหน้าต่อตาน้องเล็ก? 


 


 


นี่มิเท่ากับบอกว่า เขามันขัดลูกนัยตา อยากให้เขาตายไปเร็วๆหรอกหรือ? 


 


 


ตู๋กูซิงหลันที่ยืนอยู่ข้างๆ เดี๋ยวนะ…ที่นางพาพี่รองกลับมาก็เพราะคิดจะรีบยับยั้งพิษให้เขาเสียก่อน 


 


 


ซูเยายังคงกุมใบหน้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ยืนอยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน  ดวงตาจิ้งจอกยังคงมีแววตาเจ้าเล่ห์ไม่จางหาย 


 


 


“อาหลัน ที่เผ่าจิ้งจอกของข้ามีของวิเศษมากมาย มิสู้เจ้าติดตามข้ากลับไป ไม่แน่ว่าอาจจะมีของวิเศษที่พอจะสามารถช่วยเหลือคุณชายรองได้อยู่” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองไปเห็นบุปผาวิญญาณที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ย ภายใต้แสงจันทร์ บุปผาวิญญาณเรืองแสงระยิบระยับออกมา ตอนที่นางมาถึง แสงสว่างนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่เพราะว่าใจนางไม่ได้อยู่ที่ดอกไม้ จึงไม่ทันได้สังเกต 


 


 


“เจ้าก็รู้ ข้าไม่เคยโกหกเจ้ามาก่อน” ซูเยาจดจ้องไปที่นาง “ข้าไม่เหมือนกับจีต้าฉุยหรอก คนที่เจ้าห่วงใย ข้าก็จะขอห่วงใยด้วย” 


 


 


พูดตามจริงแล้ว พอได้ยินชื่อจีต้าฉุยจากปากของเขา ตู๋กูซิงหลันก็ยังรู้สึกไม่สนิทใจอยู่ดี 


 


 


แต่ว่าคำพูดนี้ของเขาทำให้นางเกิดความประทับใจเล็กๆขึ้นมา 


 


 


พักใหญ่ ตู๋กูซิงหลันถึงได้ยื่นมือออกมาตบลงไปบนบ่าของเขา “เจ้าจิ้งจอกน้อย ขอบใจนะ” 


 


 


แค่คำว่าจิ้งจอกน้อยคำเดียว ก็ทำให้ซูเยาเกือบจะน้ำตาไหลได้แล้ว 


 


 


เขากระพริบตาถี่ๆ ดวงตาจิ้งจอกทั้งสองมีแต่หมอกน้ำ 


 


 


เดิมทีคิดว่า….เขาสามารถทำใจหลบลี้หนีหน้านางได้ 


 


 


แต่ว่าพอได้พบกับนางอีกครั้ง…. แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่เงาของนาง เขาก็รู้ว่าตนได้ประเมินตัวเองสูงส่งไปแล้ว 


 


 


ตั้งแต่แรกเริ่ม นางก็คือมุกงามที่ทอประกายอยู่ในใจของเขา และไม่เคยเปลี่ยนแปลง 


 


 


มิว่าจะมีเหตุผลใดๆ แต่เพียงได้มองนางชั่วแวบเดียวทั้งหมดก็ไม่สำคัญแล้ว 


 


 


“อาหลัน ในใต้หล้านี้ผู้ที่เจ้าไม่จำเป็นจะต้องกล่าวขอบคุณมากที่สุดก็คือข้า” 


 


 


เมื่ออยู่ต่อหน้าอาหลัน ดวงตาของซูเยาก็ปราศจากแววตาเจ้าเล่ห์อย่างสิ้นเชิง 


 


 


นัยตาคู่นั้นกระจ่างใสดั่งดวงดาวบนท้องฟ้า 


 


 


“ที่ข้าชอบเจ้า ก็เป็นเรื่องของข้า ทุกสิ่งที่ทำลงไปเพื่อเจ้าล้วนเป็นความเต็มใจ” 


 


 


ใช้แล้ว สารภาพมันต่อหน้าจีต้าฉุยไปเลย! 


 


 


เพราะสำหรับซูเยาแล้ว ต่อให้ยอมวางตนเองอยู่ในตำแหน่งตัวสำรอง ก็ยังขอหยามมันให้เจ็บช้ำบ้าง 


 


 


ความรู้สึกของเขาที่มีต่ออาหลันนั้นไม่เคยแปลกปลอม ถึงแม้ว่าซื่อมั่วจะดูแลนางด้วยความห่วงใยอย่างที่สุด แต่เกรงว่าแม้แต่คำว่า ‘ข้าชอบเจ้า’ ก็คงยังไม่เคยบอกออกมา 


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยรู้สึกว่ามือของจีต้าฉุยที่หิ้วเสื้อของเขาเอาไว้ส่งเสียงลั่นดังกรอบ พลังที่รุนแรงนั้นถึงกับทะลวงผ่านเสื้อผ้าเขาไปในตัวเขาเสียด้วยซ้ำ 


 


 


แทบจะบดขยี้ร่างกายของเขาให้แหลกลาญ 


 


 


เห็นไหม เขาบอกแต่แรกแล้ว ว่าเจ้าสำนักผู้นี้มีแผนไม่ดีอยู่ในใจ เขาคิดอะไรกับน้องเล็กอยู่จริงๆ 


 


 


เห็นได้ชัดเจนเลยว่า พอไม่ได้มาก็โกรธเคือง โกรธเคืองจนถึงขั้นจะอาละวาดทำลายล้างแล้ว! 


 


 


ส่วนร่างกายของเขา เมื่อครู่ถูกเจ้าสำนักผู้นี้ระบายพลังขุ่นเคืองลงมา กลับรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง เขารู้สึกว่าพอพลังของเจ้าสำนักที่ถ่ายทอดเข้ามา มิได้ทำให้รู้สึกย่ำแย่เท่าใด 


 


 


ทำเอาเขารู้สึกสงสัยว่าตนเองมีอะไรผิดปกติหรือไม่  


 


 


ท่ามกลางบรรยากาศที่น่าเก้อเขินเช่นนั้น อยู่ๆท่านเจ้าสำนักก็คลายมือออก ปล่อยตู๋กูเจวี๋ยลงไปบนเก้าอี้ 


 


 


จากนั้นก็ขยับไปด้านข้างก้าวหนึ่ง ดวงตาหงส์คู่นั้นจับจ้องอยู่ที่ร่างของตู๋กูซิงหลัน และซูเยา มองคนทั้งสองสลับกันอยู่ไปมาครู่หนึ่ง 


 


 


จากนั้นก็เอ่ยช้าๆว่า “ศิษย์น้อย ตัวสำรองเช่นนี้ใช้การไม่ได้หรอก อย่างมันขนาดสุนัขยังจะประจบเลย” 


 


 


“เป็นถึงจิ้งจอกตัวหนึ่ง ยังจะไปเลียสุนัข[1] ในโลกนี้มีคำพูดอยู่ว่า มีสหายอย่างหมาและจิ้งจอก[2] หากว่าอาจารย์เข้าใจไม่ผิดละก็ นี่เป็นเรื่องน่าอาย ไอ้จิ้งจอกนี่มันใช้ไม่ได้” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “? ? ?” 


 


 


เดี๋ยวก่อนนะ จุดประสงค์ในตอนแรกของนางคืออะไร? 


 


 


พออยู่ๆจีต้าฉุยก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ทำเอานางลืมเรื่องที่จะต้องทำไปหมดแล้ว 


 


 


ในสมองมีแต่เรื่องจิ้งจอกที่ขี้ประจบเหมือนสุนัข ดังนั้นตกลงแล้วจิ้งจอกน้อยไปประจบอะไรเขากัน 


 


 


ซูเยาที่เดิมตั้งใจจะเกทับจีต้าฉุยตอนนี้เลยถูกจูงออกนอกเรื่องไปแล้ว ประเด็นหลักของเรื่องประหลาดนี้มันคืออะไรกันแน่? 


 


 


ริมผีปากสีแดงของเขาอ้าค้าง ในใจมีวาจามากมาย แต่ว่ากลับพูดอะไรไม่ออก 


 


 


ท่านเจ้าสำนักรู้สึกว่า อย่างซูเยาที่เคยไปอยู่ในโลกยุคปัจจุบันมาก่อน ยังเป็นเพียงตัวสำรอง เป็นทั้งหมาขี้ประจบ แล้วจะไปเข้าใจอะไรอย่างถ่องแท้ได้อย่างไร? 


 


 


“ในชีวิตของอาจารย์ไม่มีทางเป็นหมาขี้ประจบ เป็นแต่อาจารย์ที่ดี” ว่าแล้ว ท่านเจ้าสำนักก็หันมาพูดกับตู๋กูซิงหลันด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ว่าคำพูดนี้ราวกับว่าเขากล่าวคำสาบานออกมาอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


“อาจารย์ก็สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเจ้าได้เช่นกัน และยังจะทำได้ดีกว่าเจ้าจิ้งจอกนั่นอีก” 


 


 


ซูเยาถึงกับหัวเราะออกมาแล้ว “งั้นแบบนี้เจ้าก็เป็นสุนัขขี้ประจบเหมือนกันมิใช่หรือ?” 


 


 


ท่านเจ้าสำนัก “ไม่ประจบ” 


 


 


คราวนี้ทั้งสองคนก็เปลี่ยนเป็นทำสงครามถกเถียงกันไปใหญ่ว่าอะไรคือขี้ประจบอะไรคือสุนัขที่ชอบชะเลีย 


 


 


ทำเอาตู๋กูซิงหลันกับตู๋กูเจวี๋ยถึงกับงงงวยไปใหญ่แล้ว 


 


 


รอจนกว่าทั้งสองจะได้ข้อสรุปออกมา ตู๋กูซิงหลันก็เฝ้าไข้ตู๋กูเจวี๋ยจนใกล้จะหลับไปแล้ว 


 


 


ท่ามกลางความง่วงงุน ในสมองของนางก็ครุ่นคิดไปถึงคำพูดของฟ่านอิงที่พูดกับนางเอาไว้เมื่อครู่ 


 


 


  


 


 


“เปรี้ยง!” อยู่ดีๆ สายฟ้าฟาดก็ผ่าลงมากลางอากาศ ซ้ำยังผ่าลงมาบนเกาะลอบฟ้าอย่างไม่มีวี่แววใดๆมาก่อนเลยทั้งสิ้น 


 


 


เกาะลอยฟ้าที่เดิมทีก็กลวงโบ๋ตรงกลางอยู่แล้ว ตอนนี้ถึงกับเสียสมดุลสั่นไหวอยู่ตลอด 


 


 


หินก้อนใหญ่ๆร่วงลงไปจากเกาะลอยฟ้า ทำเอาพื้นหินใต้เกาะยุบลงไปเป็นหลุมขนาดใหญ่เช่นกัน 


 


 


ในหอชมจันทรา ฟ่านอิงที่กำลังหลับตาอยู่ก็พลันลืมตาขึ้นมา 


 


 


ทันทีที่เขาลืมตา ก็มองเห็นเงาร่างสีทองของผู้คนอยู่ตรงหน้า 


 


 


คนเหล่านี้แต่ละคนสวมใส่เกราะสีทอง ทั่วร่างมีแต่ไอสีทองหมุนวนอยู่รอบกาย แม้แต่หมอกสีดำบนร่างของฟ่านอิงก็ยังถูกไอสีทองเหล่านี้กดเอาไว้ 


 


 


เขาเพ่งตาออกไป ในแววตามิได้มีความแปลกใจเท่าไรนัก “คิดเอาไว้แล้วว่าพวกเจ้าจะต้องมา แต่คิดไม่ถึงว่าจะมาไวเสียขนาดนี้” 


 


 


น้ำเสียงของเขายังคงแหบแห้งจนยากจะฟัง  


 


 


สายตาของเขามอบผ่านคนเหล่านี้ไปรอบหนึ่ง “ท่านผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นมิได้มาด้วยตนเองสินะ” 


 


 


พอเขาพูดจบ ก็เห็นว่าด้านหลังของกลุ่มคนในชุดเกราะสีทอง มีหนุ่มน้อยอายุประมาณยี่สิบปีเดินออกมา 


 


 


เขามองดูฟ่านอิงด้วยแววตาที่เย็นเฉียบ น้ำเสียงก็เย็นชา 


 


 


“ใต้เท้าได้มอบชีวิตใหม่ให้กับเจ้า แต่เจ้ากลับตอบแทนเขาเช่นนี้” 


 


 


ฟ่านอิงมองดูหนุ่มผู้นั้นอีกครั้ง “ชีวิตใหม่…อย่างงั้นหรือ?” 


 


 


“หนุ่มน้อย เจ้าจงดูให้ดี ข้าก็เพียงแค่กระเสือกกระสนวนเวียนอยู่ในความทุกข์ทรมานเท่านั้น นี่แหละที่เรียกว่า…. อยู่มิสู้ตาย” 


 


 


พูดแล้ว เขาก็สลายหมอกสีดำรอบกายออกไป เผยให้เห็นโฉมหน้าที่ทั้งอัปลักษณ์และน่าเกลียดน่ากลัว 


 


 


………………….. 


 


 


  


 


 


[1] 舔狗:หมายถึง คนขี้ประจบ หรือคนที่หลงรักผู้อื่นข้างเดียงอย่างหัวปักหัวปำ 


 


 


[2] 狐朋狗友: คำเปรียบเทียบ เพื่อนเลวที่เอาแต่กินเที่ยว 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)