ท่านเทพมาแล้ว 59-64

 บทที่ 59 คิดได้ประเสริฐนัก

โดย

Ink Stone_Romance

นกต้าเผิงตัวนี้เขารู้จัก เป็นบุตรคนที่เจ็ดของตระกูลซ่างกวน ก่อนหน้านี้ก่อเรื่องบนสวรรค์จนเดือดร้อนไปทั่ว


ซ่างกวนสุ่นอ้าปาก ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร


ดีที่หลิวจวิ้นระเบิดอารมณ์ออกมาก่อนเพราะเรื่องวุ่นวายนี้ “กัวมู่จิ่วล่ะ? ยังไม่กลับมาอีกหรือ!”


เสี่ยวซิงตกใจจนกระโดดขึ้นสูงสามฉื่อ “ยัง ยังไม่กลับเจ้าค่ะ!”


…ลานจื่อหลิงวุ่นวายอย่างมาก มู่จิ่วกลับไม่รู้สถานการณ์ใดๆ


นางยังคงหวนนึกถึงยามที่มู่หรงหลิวเย่พูดเรื่องติดตามเซียนที่ได้รับบาดเจ็บมาถึงที่นี่และมองหลินเจี้ยนหรูอย่างไม่แน่ใจ พูดกันตามเหตุผลแล้ว พลังฤทธิ์ของนางสูงขนาดนั้นไม่น่าตามผิดคน แต่ทำไมคนที่รอกลับเป็นหลินเจี้ยนหรู? หรือคนที่นางไล่ตามอยู่มีความเกี่ยวข้องกับเขา?


นางถามหลินเจี้ยนหรู หลินเจี้ยนหรูก็ไม่รู้ ตอนนี้เขากำลังใส่ใจเรื่องอื่นอยู่ แต่เดิมเขาคิดว่าพลังฤทธิ์ของตนสูงขึ้น สามารถรับมือกับคนที่แข็งแกร่งกว่าเขาได้ดีขึ้นบ้าง แต่การพ่ายแพ้ภายใต้เงื้อมมือของจิ้งจอกเก้าหางทำให้ความมั่นใจของเขากลับไปเป็นเหมือนเดิม ที่แท้หากเขาไม่ได้เลื่อนระดับขั้น ถึงพลังฤทธิ์แข็งแกร่งขึ้นอีกก็ใช้งานอะไรไม่ได้


ทั้งสองคนไม่เสียเวลาไปกว่านี้ พาอาฝูเข้าค่ายกลเคลื่อนย้ายกลับไปยังประตูสวรรค์แดนใต้


มู่จิ่วที่ยังคงคิดเรื่องของชิงชิวอยู่พูดขึ้น “ข้าจะไปหาใต้เท้าหลิวที่หน่วยเพื่อคุยเรื่องนี้สักหน่อย”


หลินเจี้ยนหรูพูด “ข้าไปกับเจ้าด้วยจะดีกว่า”


มู่จิ่วไม่มีความเห็น รีบเร่งมุ่งตรงไปยังหน่วยลาดตระเวน


ไหนเลยจะรู้ว่ามาถึงหน่วยแล้วหลิวจวิ้นกลับไม่อยู่ กำลังคิดจะถามว่าเขาไปไหน ด้านนอกมีคนในหน่วยรีบร้อนตรงมายังพวกเขา “กัวมู่จิ่ว ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่? ลานบ้านของเจ้าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว! มีคนบอกว่าเจ้าแอบซ่อนผู้ชายไว้ในเรือน! ใต้เท้าหลิวไปที่นั่นแล้ว!”


แอบซ่อนผู้ชายเอาไว้?


มู่จิ่วราวกับมีสายฟ้าฟาดกลางกระหม่อม! นางจะซ่อนใครไว้ได้ หรือเป็นลู่ยา?!


ลู่ยาถูกคนพบเข้าแล้ว?!


“สวรรค์!”


นางร้องตกใจก่อนพุ่งออกจากประตูลานไป ระหว่างทางเหล่าคนที่ยืนเฝ้ายามอยู่โดนนางชนจนล้มไปหลายคน!


หลินเจี้ยนหรูขมวดคิ้ว มือหนึ่งดึงคนในหน่วยไว้ “เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ผู้ชายอะไร?”


ระหว่างทางกลับหอวิหคแดง นางพบคนมากมายกำลังซุบซิบ คนบางส่วนที่จำนางได้เห็นนางก็พลันนิ่งอึ้ง จากนั้นหันไปซุบซิบนินทาอย่างเผ็ดร้อนขึ้นไปอีก!


มู่จิ่วไหนเลยจะสนใจมากขนาดนั้น? หัวใจขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ สองเท้าวิ่งไปยังลานบ้านราวกับเป็นล้อรถ!


“ค่ายทหารสวรรค์มิใช่ที่ธรรมดา ยังไงก็ขอเชิญเซียนลู่อธิบายเรื่องความสัมพันธ์ของเจ้ากับมู่จิ่ว หากไม่ล่ะก็ พวกเราคงทำได้เพียงตัดสินไปตามกฎ”


เพิ่งมาถึงประตูลานจื่อหลิง ก็ได้ยินคำพูดของจางเหยี่ยนซิงจวินคำนี้


“ช้าก่อน!” นางรีบเปิดประตูเข้าไป หอบหายใจเดินเข้าไปในลานบ้าน ก้มศีรษะที่เต็มไปด้วยเหงื่อค้อมตัวประสานมือให้กับหลิวจวิ้น “ท่านเซียนโปรดระงับโทสะ เรื่องนี้ข้าอธิบายได้…”


“กัวมู่จิ่ว!” ไม่รอนางพูดจบ หลิวจวิ้นร้องเรียกเสียงดัง “มารดาเจ้าบังอาจมากนักหรือ?! ถึงกล้าซ่อนคนนอกไว้ในสถานที่สำคัญอย่างค่ายทหารแบบนี้ เจ้ารู้หรือว่าไม่หากเกิดเรื่องขึ้น เจ้าจะทำให้ข้าตกที่นั่งลำบาก!”


เสียแรงที่หลายวันมานี้เขาเปลี่ยนมุมมองต่อนางไป รู้สึกว่านางยังพออบรมบ่มเพาะได้ ไหนเลยจะคาดคิดว่ายังไม่ทันไรนางก็ก่อเรื่องเวรนี่ให้เขาแล้ว!


มู่จิ่วอดกลั้นต่อเสียงสะเทือนแก้วหูที่ดังมา รีบพูดอย่างลนลานว่า “ใต้เท้าโปรดระงับโทสะ! เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิด ลู่ยาแท้จริงแล้วเป็น…”


“เจ้าช่างเหลวไหลนัก!” หลิวจวิ้นอดไม่ได้ระเบิดอารมณ์ใส่นาง ใบหน้าที่แต่เดิมพอจัดว่างดงามก็บิดเบี้ยวไปเพราะความโกรธ “เจ้าไสหัวออกไป ไปทำเรื่องย้ายที่หน่วย! ฝ่ายทหารก็ไม่ต้องไป ข้าจะไปแทนเจ้าด้วยตนเอง! หากยังอยู่หน่วยลาดตระเวนของข้าต่อ ข้าไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!”


พูดจบก็โยนป้ายที่หยิบมาจากเอวโยนไปที่เท้าของนาง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป


มู่จิ่วพลันก้าวเท้ายาวๆ ไปขวางทางเขาไว้ “ใต้เท้า!”


หลิวจวิ้นอ้อมไปด้านซ้าย มู่จิ่วก็ไปด้านซ้าย เขาอ้อมไปด้านขวา นางก็ไปด้านขวา “ที่ผ่านมาแม้ข้าน้อยไม่มีผลงานแต่ก็มีความบากบั่น เห็นแก่ที่ข้าน้อยทำงานไม่ผิดพลาด อย่างไรท่านก็ช่วยมอบโอกาสให้พูดอธิบายด้วยเถิด?”


หลิวจวิ้นใบหน้าเย็นชายามหยุดอยู่ที่ต้นท้อ “ถอยออกไป!”


มู่เสี่ยวซิงมองลู่ยาอย่างร้อนรน อยากให้เขาเข้าไปช่วยเหลือเกิน


ลู่ยาเห็นมู่จิ่วก้มหัวร้องขอต่อหลิวจวิ้น ก็เกิดความโกรธขึ้นโดยไม่รู้ตัวนานแล้ว เด็กสาวคนนี้ทุกวันช่วยเขาทุบขารินชาก็พอ ตำแหน่งของเขาไม่ได้ทำให้นางดูต่ำค่าลงเลย แต่ทำไมอยู่ต่อหน้าธารกำนัลนางจึงไม่นึกถึงศักดิ์ศรีของตัวเองบ้าง? เขาไม่จำเป็นต้องให้นางคุกเข่ายอมคนขนาดนี้เพื่อปกป้องเขา!


ทางนี้ลุกขึ้นมา กำลังเตรียมจะพูด นอกประตูกลับมีคนเข้ามาพอดี


“ใต้เท้าโปรดระงับโทสะ มู่จิ่วย่อมต้องมีเรื่องลำบากยากจะพูด ข้าน้อยขอให้ท่านฟังนางเสียหน่อย”


หลินเจี้ยนหรูรีบร้อนเข้ามา ค้อมเอวลงต่ำประสานมือคำนับหลิวจวิ้น เงยหน้าขึ้นจับจ้องสายตามาที่ใบหน้าลู่ยา นิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ละสายตาไป


ลู่ยาเห็นเป็นเขาก็ขมวดคิ้ว


เขาคิดไม่ถึงว่าหลินเจี้ยนหรูจะออกหน้าช่วยพูดให้มู่จิ่ว


ดูท่าทางเขาคงรู้ต้นสายปลายเหตุแล้วเช่นกัน แต่ทำไมสีหน้าของเขาถึงไม่มีความผิดหวังหรือความประหม่าเลยแม้แต่น้อย?


เขาเพิ่งกลับมาจากการนัดมู่จิ่วไปเดินเล่นมิใช่หรอกหรือ?


เขาไม่โกรธเลย? ไม่โมโห? ไม่หึง? ไม่อิจฉา?


หรือความเป็นเทพเซียนชั้นสูงของตนไม่ได้กดดันอีกฝ่ายเลย?


เขาไม่มีแรงดึงดูดขนาดนั้นเลยหรือ?


แต่เดิมเขาคิดจะเปิดเผยตำแหน่งของตนไปเสีย อย่างมากก็แค่โชคร้ายต่อไปเท่านั้น ตอนนี้เขากลับอยากดูก่อนว่าหลินเจี้ยนหรูจะทำอย่างไร


“เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเจ้า?”


หลิวจวิ้นเสียงดังโวยวายไม่ต่างจากที่คิดไว้


“ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องของข้าน้อย แต่ข้าน้อยเชื่อว่ามู่จิ่วไม่ใช่คนเพิกเฉยต่อกฎของทหารแน่นอน และนางมีใจโอบอ้อมอารี รักษากฎเกณฑ์อย่างตรงไปตรงมา นางจะเป็นคนตามใจตนเองละเลยกฎได้อย่างไร? หากไม่มีสาเหตุ นางคงไม่เก็บคนนอกไว้”


พูดถึงตรงนี้เขาก็มองลู่ยาอีก จากนั้นพูดต่อ “ค่ายทหารสวรรค์ที่สุดก็ไม่ใช่ที่อื่น การเก็บคนนอกไว้โดยพลการนั้นไม่เหมาะสมก็จริง ทว่าข้าน้อยกลับคิดว่าไม่จำเป็นต้องลากทุกคนเข้ามาเกี่ยวข้อง เพียงแค่เชิญให้สหายเซียนท่านนี้ออกจากหอวิหคแดงไป เรื่องก็คลี่คลายแล้ว”


“ออกจากหอวิหคแดงไป?” มู่จิ่วอึ้ง


ถึงแม้นางจะรู้ว่าหลินเจี้ยนหรูเจตนาดีช่วยนาง แต่ลู่ยากำลังหลบหนีจากการไล่ล่าของศิษย์พี่ อีกทั้งพลังร้ายในตัวเขาแสดงปฏิกิริยาออกมาได้ทุกเมื่อ ปล่อยเขาไปแบบนี้ มิใช่เป็นการส่งเขาไปตายหรือไร?


แน่นอนว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นางรู้ดีว่าตนเองไร้กำลัง


ดังนั้นจึงทำได้เพียงมองลู่ยาอย่างกังวล


ลู่ยาได้ยินหลินเจี้ยนหรูพูดจบ ในใจก็ยิ้มเยาะ


ที่แท้เจ้าหนุ่มคนนี้ตั้งใจจะไล่เขาออกไป!


คิดได้ประเสริฐนัก! ถ้าเขาจะไป ไม่ต้องให้ฝ่ายนั้นมาไล่หรอก


“ทำเช่นนี้ได้ที่ไหน?! จะปล่อยนางไปแบบนี้ได้อย่างไร!” อวี๋เสี่ยวเหลียนก้าวออกมา “นางซ่อนไว้ครั้งหนึ่ง ย่อมต้องซ่อนไว้ได้อีกเป็นครั้งที่สอง อีกอย่างเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องเสื่อมเสียด้วย! ยังไงก็ข้าทนไม่ได้กับพฤติกรรมของกัวมู่จิ่ว! นางทำเหมือนกฏสวรรค์เป็นของเล่น! หากคนแซ่ลู่จะไป กัวมู่จิ่วก็ต้องไปจากทัพทหารด้วย!”


ทั้งลานบ้านเสียงของนางดังที่สุด


หลิวจวิ้นอดไม่ได้ เหลือบมองนางคราหนึ่ง


บทที่ 60 ข้าเป็นญาติ

โดย

Ink Stone_Romance

หลิวจวิ้นกับจางเหยี่ยนซิงจวินพูดอะไรมู่จิ่วสามารถทนได้หมด อวี๋เสี่ยวหลียนกับหยางอวิ้นรวมหัวกันทำเรื่องน่าชิงชังมากมายยังไม่ถูกขับออกจากทัพสวรรค์ นางมีสิทธิ์อะไรมาไล่มู่จิ่วไป? เขาพลันรู้สึกโกรธขึ้นมา “เจ้าวางอำนาจที่นี่ให้น้อยหน่อย!”


“ยังไงก็แล้วแต่ เจ้าไม่อาจอยู่ในทัพสวรรค์ต่อไปได้อีก!” อวี๋เสี่ยวเหลียนเปล่งเสียงออกมาแข็งยิ่งกว่าหิน “ทั้งทัพทหารสวรรค์นี้ คนที่ไร้ยางอายที่สุดคือเจ้า! ทำผิดยังแสร้งทำตัวเป็นผู้บริสุทธิ์ ความจริงเป็นเพียงแค่คนต่ำช้าไร้ยางอาย! หากพวกเจ้าไม่จัดการข้าจะไปฟ้องค่ายบัญชาการ ไปฟ้องวังหลิงเซียว! ดูสิว่าคนที่ซ่อนคนนอกไว้ในเรือนอย่างเจ้าจะมีเหตุผล หรือเป็นข้าที่มีเหตุผลกันแน่!”


เพราะคราวก่อนได้รับความคับแค้นใจจากเรื่องหญ้ากระดูกมังกรที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ความโกรธที่อดกลั้นไว้หลายเดือนผลักดันให้นางปลดปล่อยออกมาในเวลานี้ หยางอวิ้นพูดไม่ผิด เรื่องเมื่อคราวก่อนจะต้องเป็นพวกกัวมู่จิ่วทำแน่นอน หากนางไม่อาศัยโอกาสนี้แก้แค้นเอาคืน เด็กสาวบ้านนอกนี่ก็ได้เปรียบไปเปล่าๆ มิใช่หรือ?


มู่จิ่วกำหมัดจนมีเสียงดังกร๊อบ


ผู้ฟังอย่างจางเหยี่ยนซิงจวินก็ลำบากใจ


แต่เดิมเขาแค่คิดจะมาดูสถานการณ์และไกล่เกลี่ย ขอเพียงหลิวจวิ้นไม่กัดไม่ปล่อย เช่นนั้นแล้วหากให้กัวมู่จิ่วไล่คนแซ่ลู่นี่ออกไป เขาก็สามารถปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้ แต่ท่าทางของอวี๋เสี่ยวเหลียนกับหยางอวิ้นมุ่งมั่นขนาดนี้ เขาจึงไม่สะดวกจะทำอะไรแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น


“ใต้เท้าหลิว ท่านดู…”


หลิวจวิ้นใบหน้าเขียวคล้ำจ้องมองมู่จิ่ว ถึงแม้จะไม่พูด แต่ในดวงตากลับมีไฟปะทุ


ต่อให้มู่จิ่วกล้ากว่านี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการต้องเลือกว่าจะอยู่หรือไป ก็ยังอดลมหายใจสะดุดไม่ได้


หากไม่มีคำพูดนี้ของอวี๋เสี่ยวเหลียน นางจะกัดฟันเลือกปล่อยลู่ยาไป รักษาหน้าที่การงานไว้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน อย่างแย่ที่สุดก็เขียนจดหมายส่งกลับไปหงชาง บอกให้พวกมู่หัวรับเขาไว้ แบบนี้ถึงแม้จะโดนหลิวหยางด่าทอ แต่อย่างน้อยก็นับว่านางดูแลรับผิดชอบเขาอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่เมื่ออวี๋เสี่ยวเหลียนพูดเช่นนี้ นางรู้ดีว่าถึงจะเลือกปล่อยลู่ยาไปก็กู้สถานการณ์กลับมาไม่ได้แล้ว


อวี๋เสี่ยวเหลียนกับหยางอวิ้นมีผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่ง ส่วนนางคือผู้บำเพ็ญตนที่ไร้พลังไร้อำนาจ จะสามารถชนะพวกนางได้อย่างไร?


ยิ่งไปกว่านั้น นางรู้ว่าพวกนางอดกลั้นความโกรธไว้ คิดจะลงมือกับนางแต่แรกแล้ว


นางเพียงคิดจะทำงานอยู่บนสวรรค์อย่างสงบมั่นคงเท่านั้น ทำไมถึงได้ยากเย็นขนาดนี้?


ยามมู่จิ่วจิตใจว้าวุ่น สายตาของลู่ยาไม่ได้ละไปจากนางเลยแม้แต่น้อย


ความเดือดดาลของนาง ความน้อยเนื้อต่ำใจของนาง ความพยายามของนาง ความหดหู่ของนาง เขามองเห็นอยู่ในสายตาทั้งหมด


ความไม่พอใจต่อหลินเจี้ยนหรูคือเรื่องหนึ่ง แต่เดิมเขาก็คิดจะเปิดเผยฐานะเพื่อช่วยเหลือนางอยู่แล้ว ถึงแม้เรื่องนี้อาจทำให้เกิดข่าวลือไม่ดี ถึงแม้อาจจะสะเทือนไปทั่วทั้งสวรรค์ ถึงแม้ตอนแรกเขาเพียงคิดจะยืมพลังของนางปกปิดตนเองไว้ และถึงแม้ตอนนี้เขายังไม่แน่ใจว่านางมีความหมายอันใดต่อเขากันแน่ เขาคิดแต่เพียงจะปกป้องนางเท่านั้น


แต่ท่าทางของอวี๋เสี่ยวเหลียนทำให้เขาเปลี่ยนใจ ต่อให้เขาเสียสละออกไปก็ไม่ได้รับประกันเรื่องตำแหน่งหน้าที่ของนาง หลังเขาจากไปทั้งแบบนี้ก็จะไม่สามารถกลับมาได้อีกแล้ว ความเป็นอยู่ของนางจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นได้หรือ? ภายหลังนางตัวคนเดียวจะรับมือกับคนใจคอชั่วร้ายเหล่านี้ได้อย่างไร?


ไม่ต้องพูดถึงว่านางชอบยุ่งเรื่องคนอื่น ตัวเองยังเอาตัวเองไม่รอดยังคิดจะช่วยหลินเจี้ยนหรูเลย…


เขาไปไม่ได้


ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาประสานมือก้าวออกไปข้างหน้าพวกเขา พูดอย่างไม่เร็วไม่ช้าเกินไปว่า “ข้าจำได้ว่ากฎของค่ายทหารถูกบัญญัติไว้เมื่อตอนแต่งตั้งเทพเซียน แม้ในกฎจะไม่ได้พูดชัดเจนว่าห้ามให้คนนอกเข้าอยู่อาศัย แต่ก็ไม่ได้ระบุห้ามญาติเข้ามาอยู่ด้วยเช่นกัน ไม่ทราบว่าข้าพูดถูกหรือไม่?”


หลิวจวิ้นขมวดคิ้ว “เจ้าหมายถึงอะไร?”


ในกฎไม่มีพูดชัดเจนว่าห้ามญาติมาอยู่ด้วย


เพราะเหล่าทหารต่างก็เป็นศิษย์ของสำนักต่างๆ ในตอนแรกเริ่มเดิมทียังห้ามไม่ให้คนนอกเข้ามาอยู่พักแรม แต่ภายหลังทหารที่เป็นศิษย์ของลัทธิฉ่านมากขึ้นเรื่อยๆ เหล่า ‘สำนักคุณธรรมที่มีชื่อ’ ก็ยิ่งวางก้ามใหญ่โตขึ้น จึงมีคนของสำนักพวกเขาขึ้นมาบนสวรรค์บ่อยครั้ง ดังนั้นกฎที่ระบุด้วยวาจานี้จึงเหมือนมีไว้ประดับเฉยๆ


อีกอย่างที่แห่งนี้กว้างขวาง ถึงแม้จะอยู่ในลานบ้านเดียวกัน แต่การเข้าออกก็ค่อนข้างจะเป็นส่วนตัว ค่ายทหารสวรรค์เป็นเพียงเขตที่พักเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการทหาร ดังนั้นจึงมีญาติของแต่ละคนขึ้นมาพักอาศัยที่นี่ไม่น้อย โดยปกติเพียงต้องไปรายงานตัวต่อหน่วยจัดการไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดเท่านั้น โดยพื้นฐานแล้วไม่เป็นปัญหาอะไร


แต่กรณีของเขาไม่เหมือนกัน คราวก่อนกระจกฟ้าดินส่องดูมู่จิ่วแล้วไม่มีคนในครอบครัวที่ไหน ทะเบียนบ้านของนางก็เขียนไว้แบบนี้ คนแซ่ลู่นี้ไม่ใช่คนบ้านนางแน่ เขาพูดเรื่องนี้ก็ไม่มีประโยชน์


“ความหมายของข้าคือ ข้าไม่ใช่คนนอก แต่เป็นญาติของกัวมู่จิ่ว”


สายตาของลู่ยาราวกับลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านกลุ่มคน ไม่มีท่าทีกดดันหรือระแวดระวังเลยแม้แต่น้อย “ดังนั้นการที่ข้าอยู่ที่นี่ก็ไม่นับว่าผิดกฎ หากจะพูดว่าผิดกฎล่ะก็ ต้องเป็นเพราะนางไม่ไปแจ้งเรื่องแก่หน่วยจัดการก่อนทำให้เกิดเรื่องเข้าใจผิด แต่ถึงแม้จะไม่ได้ไปแจ้ง คิดดูแล้วก็ไม่น่าถึงกับต้องไล่ออกจากสวรรค์”


“ญาติ?”


มู่จิ่วสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าไป คำโกหกนี้มัน…


นางยังไม่ทันออกปาก หลินเจี้ยนหรูมองนางกับลู่ยาครั้งแล้วครั้งเล่า รีบพูดออกมาว่า “แต่พวกเราต่างก็รู้ว่านางไม่มีญาติ”


“ข้าบอกว่าเป็นญาติก็เป็นญาติ” ลู่ยาพูด “และยังเป็นญาติที่มีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดาด้วย”


หลินเจี้ยนหรูนิ่งไป อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “เช่นนั้นเจ้าเป็นอะไรกับนาง?”


“คู่หมั้น” ลู่ยาขยับปากพลางมองเขา


ไม่มีพ่อแม่พี่น้องไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีญาติ คู่หมั้นก็เป็นหนึ่งในญาติเหมือนกัน


หลินเจี้ยนหรูตัวแข็งค้างอยู่ตรงนั้นเหมือนกับรูปปั้น


ส่วนมู่จิ่วกลับเกือบจะหมดลมสิ้นชีพ!


คู่หมั้น?! เขาช่างกล้าพูด!


“เจ้า…”


“เจ้าอย่าโทษข้าที่พูดออกมาเลย ถึงตอนนี้ไม่มีอะไรต้องปิดบังแล้ว” ลู่ยาปัดปอยผมที่หางคิ้วนางออกอย่างอ่อนโยน ยังคงพูดต่อหน้าตาเฉย “พวกเราตั้งแต่เด็กก็หมั้นหมายกันแล้ว เจ้ายิ่งไม่มีญาติพี่น้อง ข้าเลยไม่วางใจให้เจ้าขึ้นสวรรค์มาเป็นทหาร การมาเยี่ยมญาติไม่มีอะไรแปลกประหลาด ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ดีอะไรนัก”


ปากของคนทั้งลานบ้านกว้างเสียจนยัดไข่เข้าไปได้ทั้งใบ!


หลินเจี้ยนหรูมองเขาก่อนมองมู่จิ่ว สีหน้าแม้ยังคงดีอยู่ แต่มือที่จับกระบี่กลับกำแน่นจนน้ำมันแทบจะออกมา!


มู่จิ่วแทบกระอักเลือดออกมาจากลำคอ!


นางฟังไม่ผิดใช่ไหม? นางหมั้นกับเขาแต่ยังเล็ก? ซ้ำยังเป็นห่วงนางอีกด้วย?


เขากลายเป็นคู่หมั้นนางตั้งแต่เมื่อไหร่? นางรับเขาไว้อย่างดีเขายังกล้าอาจหาญเอาเปรียบนางอีก?


นางขนลุกชันสั่นขึ้นมาคราหนึ่ง ปากอ้ากว้างหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถพูดปฏิเสธได้!


เพราะสิ่งที่คนสมควรตายอย่างเขาพูดมีเหตุผล หากเขาเป็นคู่หมั้นของนางก็จะไม่ใช่คนนอกแล้ว? นางจะจัดการอุดปากพวกอวี๋เสี่ยวเหลียนโดยไม่ต้องโดนไล่ออกไปได้? แล้วยังปกปิดความผิดที่นางเก็บคนนอกไว้ได้ด้วย?


ถึงแม้การโกหกนี้จะทำให้คนไร้คำพูดไปบ้าง แต่ตอนนี้ก็ไม่มีข้อแก้ตัวแบบอื่นแล้ว…


“ไม่ผิด!” นางตบมือก้าวออกมา พูดเลยตามเลย “พวกเราสองคนเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็กจนโต แปดร้อยปีก่อนก็หมั้นกันแล้ว! เขาไม่ใช่คนนอก ไม่ใช่คนนอกจริงๆ! เขาเป็นคู่หมั้นของข้า! ก่อนขึ้นสวรรค์มาเขาก็ดูแลข้ามาตลอด เอาใจใส่อย่างดีไม่มีตกหล่นเหมือนพี่ชายแท้ๆ ดังนั้นเมื่อเห็นข้าขึ้นมาเป็นทหารเขาจึงตามมาด้วย!”


บทที่ 61 ลงมือว่องไวเสียจริง

โดย

Ink Stone_Romance

หลิวจวิ้นตาเบิกกว้างปากอ้าค้าง!


จางเหยี่ยนซิงจวินหันไปมองหน้ากับเหล่าเจ้าหน้าที่หน่วยจัดการเรื่องทั่วไป ทัพทหารมีกฎห้ามนำคนนอกที่ไม่รู้ที่มาที่ไปเข้ามาพักอยู่ด้วย แต่ไม่ได้บอกว่าไม่อนุญาตให้คู่หมั้นอยู่ด้วยกัน…แบบนี้แล้วจะไล่หรือไม่ไล่? ลงโทษหรือไม่ลงโทษ? และคำพูดของสองคนนี้ที่สุดแล้วเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องหลอกกันแน่?!


“ข้าไม่เชื่อ! นอกจากจะไปถามความจริงที่วังเฒ่าจันทรา!”


ในตอนนี้ คำพูดของอวี๋เสี่ยวเหลียนราวกับสายฟ้าระเบิดกลางอากาศ!


เฒ่าจันทราดูแลเรื่องบุพเพสันนิสวาสบนโลก พวกเขาทั้งสองแต่เดิมก็ไม่ใช่เนื้อคู่กัน ตรวจสอบครั้งนี้ไม่มีข้อสงสัยแล้ว!


มู่จิ่วไหนเลยจะคาดคิดว่ายังมีไม้นี้รออยู่อีก จึงพลันลนลานขึ้นมา “เรื่องเล็กแค่นี้ ไยต้องไปรบกวนเฒ่าจันทราด้วย? คิดว่าข้าพูดโกหกได้งั้นหรือ?”


“ต้องตรวจสอบให้กระจ่าง!” อวี๋เสี่ยวเหลียนกัดไม่ปล่อย


มู่จิ่วไร้คำพูด


จางเหยี่ยนซิงจวินกระแอมไอให้คอโล่งก่อนพูด “เช่นนั้นก็ส่งคนไปถามที่วังเฒ่าจันทราเสียหน่อย ตรวจให้ชัดเจนก็ยุติธรรมดี”


มู่จิ่วรีบพูด “แต่ข้าจำวันเกิดแน่ชัดของตัวเองไม่ได้ ไม่ต้องวุ่นวายแบบนี้ก็ได้กระมัง?”


“ไม่วุ่นวาย!” จางเหยี่ยนพูดอย่างสนิทชิดเชื้อ “นำเส้นผมของพวกเจ้าคนละเส้นไปตรวจสอบก็ได้แล้ว”


ศีรษะมู่จิ่วเต็มไปด้วยเมฆดำ ไม่มีหนทางใดแล้ว


นางมองลู่ยา เขานิ่งไปครู่หนึ่ง กลับดึงเส้นผมเส้นหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วส่งให้เจ้าหน้าที่ที่ก้าวเข้ามา


เจ้าหน้าที่หมุนกายไปตรงหน้านาง นางก็ทำได้เพียงจำใจดึงเส้นผมออกมา


หลิวจวิ้นหยิบเอาเก้าอี้มานั่ง ใบหน้าขึงตึงกวาดตามองมู่จิ่วกับลู่ยา


ตอนนี้ในลานบ้านแม้แต่ลมสักสายพัดผ่านก็ไม่มี แต่ละคนนิ่งไม่ขยับราวกับลงเสาเข็ม


ซ่างกวนสุ่นกับอิ่นเสวี่ยรั่วที่เงียบมาโดยตลอดกลายเป็นผู้ดูนานแล้ว หากต้องพูดว่ายังมีคนไม่ได้รับผลกระทบอีกล่ะก็ คงเป็นอาฝูที่หมอบอยู่ตรงเท้ามู่จิ่ว เขากำลังมองนั่นมองนี่ จากนั้นก็ลุกขึ้นมา แล้วยืนแอ่นหลังทำใบหน้าระแวดระวังอยู่ตรงหน้ามู่จิ่ว


มู่จิ่วก้มตัวลงลูบศีรษะเขา ในใจเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม ไปขอคำยืนยันจากวังเฒ่าจันทราเช่นนี้ คำโกหกก็จะถูกจับได้ หากโดนจับได้นางอยู่บนสวรรค์ต่อไปไม่ได้แน่นอน ถ้าต้องไปนางกับอาฝูก็ต้องแยกจากกัน เช้าค่ำอยู่ด้วยกันมาหลายเดือน หากจากกันไปกะทันหัน ในใจคงรู้สึกอาลัยอาวรณ์ยิ่งนัก


“ใต้เท้า กลับมาแล้วขอรับ”


ตอนนี้เอง ทหารที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเข้ามารายงานต่อหลิวจวิ้น ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบกลับมาจากประตูลานบ้าน เจ้าหน้าที่ที่รับคำสั่งไปวังเฒ่าจันทราถือกระดาษใบหนึ่งเดินมาตรงหน้าหลิวจวิ้นและจางเหยี่ยนซิงจวิน ก่อนเข้าไปกระซิบข้างหูพวกเขาหลายประโยค หลิวจวิ้นเอากระดาษใบนั้นจากมือจางเหยี่ยนซิงจวินมา ก้มหน้าลงดูอย่างละเอียด


หัวใจมู่จิ่วเด้งขึ้นไปอยู่บนคอหอย


ราวกับอาฝูจะรับรู้ถึงความเครียดของนาง จึงยกศีรษะขึ้นร้องหงิงหงิงใส่นางไม่หยุด


“ในเมื่อเป็นคู่หมั้นกันจริงๆ ทำไมเจ้าถึงไม่แจ้งเรื่องก่อน?!” หลิวจวิ้นพลันเงยหน้าขึ้นมา พุ่งเข้าหามู่จิ่วอย่างไม่สบอารมณ์


ถึงแม้ความโกรธจะยังไม่ลดระดับลง แต่ดีร้ายอย่างไรสีหน้าก็ดูดีขึ้นหน่อย เหมือนกับเมฆดำได้ลอยผ่านไป เห็นแสงอาทิตย์เสียที แม้จะยังไม่ปลอดโปร่งนัก แต่ก็ไม่มีเมฆฝนแล้ว


มู่จิ่วพลันเป็นใบ้ไป! เขาหมายความว่าอย่างไร?


อะไรคือเป็นคู่หมั้นจริงๆ?


ลู่ยาพูดไม่ออกเช่นเดียวกัน แต่เขามีปฏิกิริยาตอบสนองเร็วกว่ามู่จิ่ว “นั่นเป็นเพราะข้าเพิ่งมาถึงเมื่อสองวันก่อน และเพราะคิดว่าจะมาอยู่ที่นี่เพื่อดูแลอาจิ่วของข้าระยะยาว ดังนั้นจึงยังไม่ได้ตกลงกันให้ดีว่าจะบอกกับใต้เท้าอย่างไร แต่ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ข้ายอมรับว่าเป็นความผิดของข้า ขอให้หัวหน้าเห็นแก่คนแซ่ลู่ผู้ไม่เคยล่วงเกินผู้ใดมาก่อน ละเว้นโทษให้สักครั้ง”


หลิวจวิ้นขมวดคิ้วมองเขา ยังไม่พูดออกไปทันที


มู่จิ่วเริ่มจับประเด็นได้ในที่สุด ความหมายของพวกเขาคือ ผลการตรวจสอบของวังเฒ่าจันทรากลับเป็นการยืนยันความสัมพันธ์ของนางกับลู่ยางั้นหรือ?


เป็นไปไม่ได้หรอก?


เฒ่าจันทรามิใช่ว่าแก่แล้วตาฝ้าฟาง จับด้ายแดงผิดเส้นแล้วหรือไร?


ทำไมเขาถึงให้หลักฐานแบบนี้มาได้? ทั้งที่นางกับลู่ยาไม่มีความสัมพันธ์อะไรเกี่ยวพันกันโดยแท้!


…เพียงแต่ดวงตาฝ้าฟางของเขาถือเป็นเรื่องดี! อย่างน้อยนางก็สบายใจผ่านด่านนี้ไปได้ล่ะ! นางไม่ต้องทิ้งการงานกลับเขาหงชางแล้ว! ครั้นดูสีหน้าของหลิวจวิ้น เห็นได้ชัดว่าไม่ได้คิดจะเตะนางออกจากค่ายทหารสวรรค์แล้ว นี่มิใช่เรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งหรือ?!


อืม สักแปดส่วนต้องเป็นเพราะลู่ยาเล่นตุกติกอยู่ข้างหลัง ต้องเป็นอย่างนั้นแน่!


คิดไม่ถึงว่าเจ้าหนุ่มนี่จะลงมือว่องไวปานนั้น


นางกลับมามีสติเหมือนเดิม รีบเดินเข้าไปคุกเข่าข้างหนึ่งตรงหน้า “ข้าน้อยไม่สามารถไปรายงานได้ทันเวลา ขอใต้เท้าโปรดให้อภัยด้วย!”


“ในเมื่อเป็นคู่หมั้นกันจริง แน่นอนว่าไม่มีเหตุผลที่จะลงโทษหนัก” หลิวจวิ้นควบคุมอารมณ์ขณะพูด “แต่หอหญิงของพวกเจ้าให้ผู้ชายเข้ามาอยู่ได้ที่ไหน? ข้าให้เวลาสามวัน จัดการเรื่องส่วนตัวให้เรียบร้อยแล้วนำเขาออกไป เรื่องนี้ไม่ต้องตรวจสอบต่อแล้ว”


ถึงแม้คู่หมั้นนับได้ว่าเป็นคนในบ้านไปแล้วกึ่งหนึ่ง ทัพทหารมีคนในครอบครัวที่ตามทหารมาอยู่ด้วยเช่นกัน แต่ยังไงนางก็ไม่อาจให้ผู้ชายอยู่ที่นี่ได้หรอก? และคนที่มีคุณสมบัตินำครอบครัวเข้ามาได้ก็เป็นทหารมียศทั้งนั้น ทว่ามู่จิ่วแม้แต่ตำแหน่งนายร้อยที่ต่ำที่สุดก็ยังไม่ใช่ แล้วนางมีตำแหน่งอะไรถึงนำครอบครัวมาได้? อนุญาตให้นางเอากระต่ายเข้ามาก็ถือว่าผ่อนปรนที่สุดแล้ว!


“ใต้เท้า คนแซ่ลู่มาคราวนี้เพื่ออยู่เป็นเพื่อนอาจิ่วระยะยาว ขอหัวหน้าโปรดอนุญาตด้วย” มู่จิ่วยังไม่ทันรับปาก ลู่ยารีบชิงเปิดปากพูดก่อน “ชีวิตอาจิ่วของพวกเราขมขื่นนัก ข้าไม่ยินยอมให้นางอยู่อย่างลำบากข้างนอกคนเดียว ในเมื่อทัพสวรรค์ยังมีคนที่พาครอบครัวมามากมาย ถ้าเช่นนั้นก็ไม่น่าจะขัดหากเพิ่มข้าไปอีกคน”


“เจ้าต้องการติดตามกองทัพหรือ?” หลิวจวิ้นเพิ่งคลายคิ้วออกก็ขมวดกลับเข้าไปอีกครั้ง “อย่างนั้นเจ้าจะอยู่ที่ไหน?” ยังไงก็ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ลานจื่อหลิงระยะยาว!


“ข้าไม่เห็นด้วย!” สีหน้าของอวี๋เสี่ยวเหลียนกลายเป็นม่วงคล้ำไปแล้ว “ข้าไม่เห็นด้วยกับการให้เขาอยู่ที่นี่! ยังมีกัวมู่จิ่วอีก นางก็ต้องไปด้วยเหมือนกัน!”


“หุบปาก!” จางเหยี่ยนซิงจวินต่อว่านาง


สถานการณ์มาถึงทางตันอีกครั้ง


หลิวจวิ้นกัดฟันมองมู่จิ่ว


มู่จิ่วตัวชาวาบ พูดรบเร้าว่า “ไม่อย่างนั้น ระหว่างนี้ให้เขาอยู่ที่ถนนตะวันออกไปก่อนก็ได้”


นางยังไม่ลืมเรื่องที่ลู่ยาถูกศิษย์พี่ตามล่าสังหาร หากต้องไปแล้วเขาจะไปที่ไหน? เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะเขาหัวดีคิดเรื่องคู่หมั้นได้ เกรงว่าตอนนี้นางคงถูกไล่ออกไปด้วยแล้ว นางไม่อาจข้ามแม่น้ำตัดสะพานเอาตัวรอดคนเดียว แล้วทิ้งเขาโดยไม่สนใจหรอก หากยังดิ้นรนได้นางจะพยายามดู


“เขาไม่มียศไม่มีหน้าที่ ถึงไปอยู่ถนนตะวันออกจะอยู่ได้นานเท่าไหร่?” หลิวจวิ้นอารมณ์ไม่ดี


ทำไมเขารับผู้ใต้บังคับบัญชาแล้วเหมือนกับรับบรรพบุรุษมาด้วย ยังต้องคิดแทนนางอีกว่าจะจัดแจงที่อยู่ให้คู่หมั้นนางยังไงดี!


มู่จิ่วคิดๆ ดูแล้วสิ่งที่เขาพูดก็ถูก


ถึงแม้จะอยู่ได้ระยะหนึ่ง แต่ก็อยู่นานมากไม่ได้ ข้อสำคัญคือเขาไม่คุ้นเคยกับพื้นที่ อยู่คนเดียวกับเหล่าทหารคงไม่สะดวกเท่าไหร่กระมัง? ยังมีนิสัยของเขาอีกที่เป็นปัญหา หากไปมีเรื่องกับคนอื่นเข้าล่ะ? ตอนนั้นนางจะช่วยเขาเก็บกวาดเรื่องยุ่งยากอย่างไร? หากก่อเรื่องขึ้นแล้วคิดจะอยู่ต่ออีก? เหอะเหอะ


หากมีที่อยู่ของตนเองได้ก็ดี แบบนั้นก็จะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว


…เอ๊ะ ที่อยู่ส่วนตัว?


คิดถึงตรงนี้นางก็เงยหน้าขึ้นทันที ดวงตากระจ่างใสพลันส่องประกายออกมา!


……………………………………………บทที่ 62 ข้าอยากเลื่อนตำแหน่ง

โดย

Ink Stone_Romance

นางจำได้ว่าหลินเจี้ยนหรูเคยพูดถึงมาก่อน หากคิดจะมีที่อยู่ส่วนตัว ขอเพียงเลื่อนตำแหน่งเป็นนายร้อยก็ได้แล้ว!


และนายร้อยเป็นตำแหน่งที่ต่ำที่สุดในทัพทหาร นางต้องคิดหาหนทางสร้างผลงาน การเลื่อนตำแหน่งเป็นนายร้อยไม่นานก็คงสำเร็จ!


เพียงแค่เป็นนายร้อยก็จะมีที่อยู่ส่วนตัวของตัวเองได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะผิดกฎหรือไม่ ไม่ต้องพูดถึงว่านางเก็บลู่ยาไว้หนึ่งคนเลย หากมีที่อยู่ส่วนตัวได้ จะเก็บลู่ยาไว้สักสิบคนก็ไม่เป็นปัญหา!


พูดอีกอย่างหนึ่ง ถึงแม้ไม่ใช่เพื่อลู่ยา เพียงแค่คนพฤติกรรมแบบอวี๋เสี่ยวเหลียน นางก็ไม่อยากอยู่ร่วมด้วยอีกต่อไปแล้ว!


นางจะดิ้นรนเพื่อประโยชน์สุขของตนเอง!


“ใต้เท้า!” คิดถึงตรงนี้นางก็เด้งตัวขึ้นมา “ข้าอยากเลื่อนตำแหน่งเป็นนายร้อย!”


“เจ้าอยากเลื่อนตำแหน่งเป็นนายร้อย?” หลิวจวิ้นหรี่ตามองนาง “จะเลื่อนตำแหน่งอย่างไร?”


“ข้าทำคดีได้ ข้าสามารถสร้างผลงานได้!” มู่จิ่วพูดอย่างกระตือรือร้น “หากข้าคลี่คลายคดีฆาตกรรมในแดนเซียนได้ ใต้เท้าเลื่อนตำแหน่งข้าให้เป็นนายร้อยได้หรือไม่?”


“คดีฆาตกรรม? พูดง่ายนัก เจ้าคิดอยากทำก็มีให้ทำหรือ?” หลิวจวิ้นสาดน้ำเย็นดับฝันนางอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย


“ไม่ว่าจะมีหรือไม่มี ท่านเพียงพูดว่าตกลงหรือไม่ก็พอ? ขอแค่ข้าสามารถคลี่คลายคดีได้ ท่านก็รับปากเลื่อนตำแหน่งให้ข้า ได้หรือไม่?”


“เรื่องแบบนี้จะรับปากส่งเดชได้อย่างไร?” หลิวจิ้นพูด “ต้องดูว่าคดีเล็กใหญ่ขนาดไหน!” เรื่องเลื่อนตำแหน่งอาศัยแค่คำพูดนางก็เพียงพอให้รับปากหรือ? เห็นทัพสวรรค์เป็นของเล่นหรือยังไง?


มู่จิ่วพูด “เช่นนั้นจิ้งจอกเก้าหางแห่งชิงชิวสามตัวที่ถูกคนสังหาร ของวิเศษที่หายไป และแม้แต่เรื่องที่จิตจิ้งจอกขององค์ชายสี่ถูกขโมยไป พอที่จะใช้เป็นเกณฑ์ได้หรือไม่?”


ครั้นนางพูดเช่นนี้ออกมา คนทั้งลานบ้านต่างลืมหายใจ!


แม้แต่สายตาของลู่ยาก็เปลี่ยนไปนิ่งขรึม


หลิวจวิ้นขมวดคิ้ว “จิ้งจอกเก้าหางแห่งชิงชิวถูกสังหาร? หมายความว่ายังไง?”


มู่จิ่วปรับลมหายใจก่อนพูดขึ้น “ระหว่างเดินทางกลับมายังสวรรค์เมื่อครู่ ข้าน้อยบังเอิญเจอจิ้งจอกเก้าหางตัวหนึ่ง นางเห็นหลินเจี้ยนหรูเข้า อยู่ๆ กลับพูดว่าจะเอาชีวิตเขา ภายหลังพวกเราถามนางถึงได้รู้ว่าชิงชิวเกิดคดีใหญ่ ไม่เพียงแต่ถูกขโมยของวิเศษชิ้นสำคัญไป ยังมีจิ้งจอกตายต่อเนื่องกันสามตัว ฆาตกรนั้นโหดเหี้ยมนัก”


“จิ้งจอกแห่งชิงชิวจึงโกรธแค้นมาก ออกติดตามหาฆาตกร และไล่จับคนสังหารคนโดยไม่แยกแยะดำขาว คราวก่อนถูกข้าน้อยพบเข้า ใต้เท้ามิสู้มอบคดีนี้ให้ข้าน้อยทำ หากข้าน้อยสามารถทำออกมาได้ดี ก็ให้รางวัลเลื่อนตำแหน่งเป็นนายร้อย ท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ?”


คดีใหญ่ขนาดนี้ แต่เดิมนางไม่เคยคิดว่าตนเองจะได้ทำ คิดเพียงหลังจากบอกหลิวจวิ้นแล้วก็ให้เขาจัดการ หน่วยลาดตระเวนมีเจ้าหน้าที่เชี่ยวชาญเรื่องคลี่คลายคดีโดยเฉพาะ อันดับแรกคดีนี้คงมาไม่ถึงมือนาง อันดับสองนางไม่ได้คาดหวังไว้ ฆาตกรที่สังหารจิ้งจอกคือคนของลัทธิฉ่าน เรื่องนี้นางเข้าไปยุ่งไม่ไหว แต่ตอนนี้เพื่อย้ายออกจากลานบ้านนี้ นางต้องโพล่งอะไรออกไปบ้าง!


ไม่สนว่าลู่ยาจะอยู่ต่อได้หรือไม่ ยังไงนางก็ไม่อยากอยู่กับหยางอวิ้นและอวี๋เสี่ยวเหลียนแล้ว!


จางเหยี่ยนซิงจวินต้องไม่ย้ายนางออกไปอย่างแน่นอน นางทำได้เพียงอาศัยโอกาสนี้ดิ้นรนเอาละ!


“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย?” หลิวจวิ้นสีหน้าเครียด จางเหยี่ยนซิงจวินและเหล่าเจ้าหน้าที่ต่างก็ล้อมวงเข้ามา “ทำไมถึงไม่ได้ยินคนจากชิงชิวมาฟ้องร้องเลย?”


“ใต้เท้าอาจลืมไปแล้ว ชิงชิวเป็นเผ่าพันธุ์เทพโบราณ มีอำนาจและกำลัง พวกเขาจะเสียเวลากับกระบวนการตามปกติได้อย่างไร? พูดอย่างไม่ปกปิดใต้เท้า พวกเราเจอจิ้งจอกเก้าหางเข้าโจมตีหลินเจี้ยนหรู เพราะว่ามีคนพบเห็นศิษย์ลัทธิฉ่านปรากฎตัวอยู่ที่ชิงชิว และยังเจออยู่แถวบริเวณจุดสังหารอีกด้วย”


“ดังนั้นตอนนี้พวกเขาแค่เห็นศิษย์ลัทธิฉ่านก็เข้าสังหารทันที เมื่อครู่ข้ากับหลินเจี้ยนหรูไปหาใต้เท้าที่หน่วยเพื่อรายงาน นึกไม่ถึงว่าท่านจะอยู่ที่นี่ ข้าน้อยรู้สึกว่าคดีนี้ต้องดูแลอย่างจริงจัง ต้องจัดการอย่างรวดเร็วที่สุด มิฉะนั้นแล้ว หากทิ้งไว้นานอาจจะทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายครั้งใหญ่!”


นี่ไม่ใช่เรื่องที่นางพูดใหญ่โตให้คนตกใจ อำนาจของชิงชิวกับลัทธิฉ่านต่างก็มิอาจดูแคลน ชิงชิวแม้คนจะน้อย แต่เหล่าเผ่าพันธุ์เทพโบราณต่างก็รวมกันเป็นกลุ่มก้อนมานานแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างกันมั่นคง หากมีเผ่าพันธุ์ใดโดนทำร้าย เผ่าพันธุ์อื่นจะต้องไม่อยู่นิ่งเฉยแน่ หากลัทธิฉ่านต้องการจะงัดข้อด้วย ก็จะกลายเป็นเหตุการณ์ปะทะกันอย่างรุนแรง ถึงตอนนั้นคงไม่มีใครอยู่วงนอกได้แล้ว


ไม่มีผู้ใดค้านคำพูดนาง


เรื่องแบบนี้ง่ายต่อการคาดเดานัก หากพูดว่าเรื่องเขาเนินอารามก่อนหน้านี้เป็นเรื่องเล็ก เรื่องชิงชิวจะไม่เล็กน้อยเหมือนกันแน่นอน


ลู่ยาถาม “นางทำร้ายเจ้าหรือไม่?”


“เปล่า” มู่จิ่วมองอาฝู “เป็นอาฝูที่ช่วยข้าไว้ นางเห็นแก่เขาที่เป็นเสือขาวจึงปล่อยพวกเราไป”


หลิวจวิ้นพลันเบนสายตาไปหาหลินเจี้ยนหรู หลินเจี้ยนหรูคล้ายกำลังเหม่อลอย อีกนานกว่าจะเงยหน้าขึ้นพูด “มู่จิ่วพูดไม่ผิด จิ้งจอกเก้าหางนั่นพูดแบบนั้นจริง”


“เป็นลัทธิฉ่านอีกแล้ว!” หลิวจวิ้นไพล่มือไปข้างหลัง คิ้วขมวดเป็นปม


“ชิงชิวเองก็เกิดเรื่อง? ทำไมถึงบังเอิญขนาดนี้!” ซ่างกวนสุ่นกระพือปีกออกมาจากด้านหลังของเสี่ยวซิง “ของวิเศษของพวกเรากว่าพันชิ้นนั่นยังหาร่องรอยไม่เจอเลย! ไม่แน่ว่าเรื่องของพวกเราอาจเป็นลัทธิฉ่านที่ลงมือเช่นกัน!”


มู่จิ่วกวาดสายตามองเขา


หลิวจวิ้นลังเลอยู่นาน ขมวดคิ้วใส่มู่จิ่ว “เจ้าเล่าเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟังอีกที!”


มู่จิ่วเล่าเรื่องที่ได้เจอจิ้งจอกเก้าหางให้ฟังอย่างหมดเปลือก เมื่อเล่าจบนางก็พูดขึ้น “ท่าทีของจิ้งจอกแดงคือราชาจิ้งจอกโกรธเกรี้ยวมาก รออีกไม่นานลัทธิฉ่านต้องได้รับข่าวแน่นอน คราวนี้จะทำเหมือนครั้งการตายของปีศาจงูเขียวไม่ได้ ต้องสืบให้ถึงที่สุด!”


หลิวจวิ้นเหลือบมองนาง ไม่ได้ตอบแต่ครุ่นคิดเงียบๆ ต่อ


มู่จิ่วพูดต่อ “ใต้เท้า…”


หลิวจวิ้นหันหน้ามาเผชิญหน้ากับนาง “เจ้าก็พูดแล้วว่าคดีนี้เป็นคดีใหญ่ เจ้ามีฝีมืออะไรมาจัดการมันบ้าง?”


“ใต้เท้าได้โปรดเชื่อใจข้าสักครั้ง!” มู่จิ่วรีบพูด “ท่านทำเป็นว่าให้โอกาสข้าน้อยเพื่อชี้วัดมาตรฐานการนำทหารของท่านก็ได้ หากข้าทำได้ดี ไม่เพียงจะมีประโยชน์ต่อชื่อเสียงของสวรรค์ ยังเป็นหน้าเป็นตาแก่ท่านอีกมิใช่หรือ? สรุปคือในเมื่อข้ากล้ารับทำเรื่องที่เต็มกลืนนี้ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะแบกรับอย่างเต็มที่!”


“ใต้เท้า” หลิวจวิ้นยังไม่พูดอะไร หลินเจี้ยนหรูก็เดินขึ้นมาข้างหน้า “ข้าน้อยยินดีช่วยนางทำคดีนี้”


ลู่ยาชำเลืองมองเขาคราหนึ่ง สายตาเต็มไปด้วยความดูแคลน เขาช่วยทำคดีได้? เขาจะช่วยทำคดีด้วยการเป็นตัวถ่วงหรือไง?


ฉันพลันรู้สึกว่าแขนเสื้อขยับ ก้มหน้าลงดู เห็นเป็นมู่จิ่วมองมาที่เขาอย่างคาดหวัง แต่เดิมเขาไม่คิดที่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อย่างแย่ที่สุดถึงตอนนั้นเขาก็จากไปอย่างเงียบๆ แต่การดึงแขนเสื้อครั้งนี้ทำให้เขาพูดไม่ออกอีกแล้ว ช่างเถอะ เห็นแก่นางที่ดูน่าสงสารขนาดนี้ ทนนางเสียหน่อย หากนางสามารถเลื่อนตำแหน่งย้ายออกจากลานบ้านนี้ได้ ภายหน้าเขาจากไปก็ไม่ต้องกังวลว่านางจะเข้ากับใครไม่ได้


เขาฝืนพูดออกไป “ข้าถึงแม้จะไม่ใช่คนของทัพทหาร แต่ข้าเคยไปชิงชิวมาหลายครั้ง ข้าเองก็สามารถช่วยเหลือได้บ้าง”


หลิวจวิ้นลังเลและไร้คำพูด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงมองมู่จิ่ว “เจ้าอยากทำคดีนี้จริงหรือ?”


“อยากแน่นอน!” มู่จิ่วพูดเสียงดัง “อยากทำมาก!”


หยางอวิ้นกับอวี๋เสี่ยวเหลียนส่งเสียงเยาะเย้ยพลางเบ้ปาก ช่วยไม่ได้ นี่เป็นเรื่องในหน่วยพวกเขา พวกนางไม่มีหนทางสอดปาก จึงทำได้เพียงอดกลั้นไว้


…………………………………………บทที่ 63 ยังมีเรื่องน่ายินดี

โดย

Ink Stone_Romance

หลิวจวิ้นพยักหน้าพลางพูด “เช่นนั้นเจ้าลงนามหนังสือสัญญารับภารกิจให้ข้า ข้าให้เวลาเจ้าสามเดือน หากเจ้าทำได้ดี ข้าจะเลื่อนตำแหน่งให้ หากเจ้าทำไม่ดี หรือภายในเวลาสามเดือนไม่สามารถหาคำตอบได้ นอกจากเจ้าจะไม่ได้รับอนุญาตให้คนอื่นอยู่ด้วยแล้ว ภายหลังก็ไม่ให้เจ้าร้องขออะไรอีก!”


“ข้ารับปาก!” มู่จิ่วชูมือตอบรับ


หลิวจวิ้นจ้องนาง จากนั้นก็มองลู่ยาที่ยืนอยู่ใต้ต้นดอกท้อ หัวคิ้วกระตุก คิดจะพูดบางอย่างแต่สุดท้ายก็ไม่พูด จากนั้นหมุนตัวเดินออกไป


เขารู้สึกแต่แรกแล้วว่าเจ้าหนุ่มคนนั้นไม่ใช่คนธรรมดา ไม่รู้ว่าทำไม แต่ยังไงเขาก็ไม่คิดจะเกี่ยวข้องกับเรื่องเสียแรงแต่ไม่ได้อะไรแบบนี้อยู่แล้ว ใครคิดจะทำก็ให้พวกเขาทำไป!


“ขอบคุณเจ้าค่ะใต้เท้า!” มู่จิ่วดีใจจนกระโดดโลดเต้น


สามารถโน้มน้าววัวบ้าอย่างหลิวจวิ้นได้เป็นเรื่องที่คู่ควรแก่การดีใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขารับปากด้วยตนเองว่าจะเลื่อนตำแหน่งให้นางเมื่อทำคดีสำเร็จแล้ว!


นางหมุนตัวกลับไปอย่างดีใจสุดขีด เจอหลินเจี้ยนหรูยืนอยู่ตรงนั้น ก็อดไม่ได้พูดขึ้นอย่างดีใจ “เราอาศัยโอกาสนี้ทำให้ดีๆ หากสำเร็จแล้วล้วนเป็นผลดีทั้งนั้น!”


เป้าหมายของนางคือเลื่อนตำแหน่งและย้ายออกไป แต่หลินเจี้ยนหรูกลับต้องการอาศัยคดีนี้สร้างผลงานเพื่อให้ได้รับรางวัลเป็นการเพิ่มพลังฤทธิ์จากสวรรค์


นางไม่ลืมว่าหลินเจี้ยนหรูยังมีแม่ที่รอเขาตามหาจิตต้นกำเนิดให้อยู่ ทั้งสองคนยังนับได้ว่ามีจุดมุ่งหมายเดียวกัน


ลู่ยากวาดตามองนางคราหนึ่ง เอามือไพล่หลังเดินกลับเข้าประตูไป


หลินเจี้ยนหรูมองตามแผ่นหลังของเขาไปด้วยสีหน้าค่อนข้างซึมเซา เงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยิ้มขึ้นน้อยๆ “ใช่แล้ว”


คนที่มุงกันอยู่ที่นี่ค่อยๆ สลายตัวไป จางซิงจวินเหยี่ยนก็เริ่มพูดคุยเรื่องที่ยังเหลืออยู่


เพราะมู่จิ่วกับหลิวจวิ้นมีสัญญากันไว้ ดังนั้นช่วงนี้ลู่ยาจึงไม่ต้องออกจากค่ายทหารสวรรค์ไป แต่เขาอยู่ที่นั่นต่อไปจะกลายเป็นปัญหา ความหมายของจางเหยี่ยนซิงจวินคือให้เขาไปหาเรือนหลังว่างที่ถนนตะวันออกฝั่งตรงข้ามลานจื่อหลิงอยู่เสีย แต่ลู่ยาไม่เชื่อฟัง ในเมื่อตอนนี้เขาเปิดเผยตนออกมาแล้ว ย่อมมีสิทธิ์อยู่ที่ลานนี้ต่อ


แต่ในลานบ้านยังมีคนอื่นอยู่อีก อันดับแรกอวี๋เสี่ยวเหลียนกับหยางอวิ้นไม่เห็นด้วยแน่นอน! มู่จิ่วไม่โดนพวกนางเตะออกไปก็รู้สึกหงุดหงิดมากแล้ว ไหนเลยจะยอมให้ลู่ยาอยู่ต่อ?


จางเหยี่ยนซิงจวินถามความเห็นอิ่นเสวี่ยรั่ว นางเงียบอยู่นานก่อนพูด “เพียงไม่ส่งผลกระทบกับข้า ข้าจะสนใจเจ้าให้มากไปทำไม?”


“ใครบอกว่าไม่มีผลกระทบ? ไม่ใช่กัวมู่จิ่วหรือที่ให้เขาวางหญ้ากระดูกมังกรนั่นทำร้ายข้า?” อวี๋เสี่ยวเหลียนมุ่งความโกรธไปที่ลู่ยา สีหน้าเย็นเยียบจนใกล้จะหยดออกมาเป็นน้ำแล้ว


“หญ้ากระดูกมังกร?” ลู่ยาเคลื่อนสายตาไป กวาดตามองหยางอวิ้นอย่างเย็นชา “อยากให้ข้าพูดความจริงออกมาหรือไม่?”


ไม่นานหยางอวิ้นก็เดาออกว่าเรื่องวันนั้นต้องเป็นลู่ยาที่วางแผนสับเปลี่ยน ดังนั้นถึงแม้นางคิดจะเตะกัวมู่จิ่วกับเขาออกไป ในใจก็มีความผิดที่บอกใครไม่ได้อยู่ ได้ยินเขาพูดแบบนี้ ไหนเลยยังจะกล้าสาวความให้ละเอียด? รีบแย้งอวี๋เสี่ยวเหลียนทันที “เรื่องหญ้ากระดูกมังกรผ่านไปแล้ว ตอนนี้คือเรื่องของกัวมู่จิ่วต่างหาก!”


“ทำไมถึงพูดว่าผ่านไปแล้ว? ข้าเป็นแพะรับบาปนะ!” อวี๋เสี่ยวเหลียนแตกคอกับหยางอวิ้นนานแล้ว คราวนี้จึงย่อมไม่อาจเป็นแนวร่วมกันได้ “หรือว่าความแค้นความอัดอั้นของข้าจะจบไปแบบนี้? อีกนิดเดียวข้าก็จะเข้าไปอยู่ในคุกแล้ว!”


“เป็นแพะแล้วอย่างไร? ยังไงเจ้าก็ยังยืนอยู่ตรงนี้อย่างดีมิใช่หรือ?!” หยางอวิ้นด่าทอนางเสียงดัง


“หยุดโวยวายได้แล้ว!”


จางเหยี่ยนซิงจวินตะโกนใส่พวกนางที่โวยวายอย่างไม่มีมูลเหตุ จากนั้นพูดขึ้นว่า “ทั้งลานบ้านนี้มีแต่พวกเจ้าที่มากเรื่อง! หยางอวิ้นเจ้าดูตัวเจ้าสิ ไม่โวยวายเรื่องนี้ก็โวยวายเรื่องนั้น ไม่ว่าเรื่องไหนเจ้าก็มีส่วนร่วมไปหมด!”


หยางอวิ้นหุบปาก


อิ่นเสวี่ยรั่วมองด้วยสายตาเย็นชาอยู่นาน จู่ๆ พลันพูดขึ้นมา “ในเมื่อซิงจวินคิดว่าหยางอวิ้นอยู่ที่นี่แล้วก่อเรื่อง เช่นนั้นมิสู้ให้พวกนางออกไป ให้คู่หมั้นของกัวมู่จิ่วไปอยู่แทนก็จบเรื่องแล้วมิใช่หรือ? แบบนี้จะไม่มีเรื่องวุ่นวายไปถึงซิงจวินอีก เรื่องทั้งหมดก็แก้ไขได้แล้ว”


มู่จิ่วพลันนิ่งอึ้งไป


“ความคิดดี!” ไม่รอให้คนอื่นพูด ลู่ยารีบสนับสนุนตาม “ในเมื่อต้องไป มิสู้พาคนแซ่อวี๋ออกไปด้วยกัน ในลานบ้านนี้นอกจากข้าที่ต้องการที่พักแล้ว ยังมีเสือขาวอีกหนึ่งตัว นี่เป็นงานที่ได้รับมอบหมายจากทัพสวรรค์ และมันยังเป็นลูกหลานเผ่าพันธุ์เทพ อย่างไรก็ไม่อาจละเลยได้ ต้องให้ที่พักมันอยู่ถึงจะถูกต้อง”


จางเหยี่ยนซิงจวินตาเบิกกว้างปากอ้าค้าง สองคนนี้ช่างรู้จักใช้ไม้ตีงู…


แต่นี่เป็นความคิดที่ดีจริงๆ หยางอวิ้นอยู่ที่นี่ก่อเรื่องวุ่นวายทั้งวัน ตอนนี้คนในลานบ้านต่างถูกนางล่วงเกินหมดแล้ว และในเมื่ออิ่นเสวี่ยรั่วไม่คัดค้านหากในลานบ้านจะมีผู้ชายอยู่ด้วย เช่นนั้นทำแบบนี้จะมีปัญหาอะไร? ยังไงลู่ยาอยู่อย่างมากก็สามเดือน


ยังมีอวี๋เสี่ยวเหลียนที่เช้าจรดเย็นก่นด่าไม่หยุด ให้อยู่ต่อก็จะเป็นตัวปัญหา อาศัยโอกาสนี้ย้ายพวกนางไปไว้ที่อื่นเสีย ไม่เห็นหน้ากันก็ไม่มีเรื่อง เขาจะได้อยู่อย่างสงบ!


เมื่อคิดได้ดังนี้ เขาหยิบเอาสมุดจัดแจงบ้านพักจากมือของเจ้าหน้าที่จัดการเรื่องทั่วไปที่อยู่ด้านข้างมา หลังจากพลิกดูไปหลายหน้าก็พูดขึ้น “จากวันนี้เป็นต้นไป หยางอวิ้นย้ายไปอยู่ที่ลานจื่อเซียว เรือนที่ว่างตอนนี้ให้ลู่หยาอยู่ชั่วคราว! อวี๋เสี่ยวเหลียนให้ย้ายไปที่ลานฉื่อหนี เรือนที่ว่างให้เสือขาวอยู่เสีย! ไม่อนุญาตให้คัดค้าน!”


พูดจบก็ประสานมือทั้งสองมองมาทางมู่จิ่วอย่างลึกล้ำ “ข้ารักษาหน้าของใต้เท้าหลิวเท่านั้น เจ้าดูแลตัวเองให้ดี!”


เห็นได้ชัดเจนว่าหลิวจวิ้นมีใจจะปกป้องมู่จิ่ว เขามีประสบการณ์มานานทำไมจะดูไม่ออก? คดีใหญ่ขนาดนี้เขามอบหมายให้นางทำได้ และคำสัญญาที่ให้ไว้คือจะเลื่อนตำแหน่งให้หากทำสำเร็จ หากทำไม่ได้ก็ห้ามมีข้อเรียกร้องอะไรอีก พูดได้อีกอย่างคือไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ไล่นางออกจากค่ายทหารสวรรค์เพราะเรื่องนี้ ชัดเจนว่ามีใจจะอบรมบ่มเพาะนาง ทำไมเขาจะไม่ทำไปตามน้ำเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับอีกฝ่ายเล่า ล้วนดีกับทุกคนทั้งนั้น!


มู่จิ่วดีใจกับเรื่องไม่คาดคิดนี้อย่างมาก ในใจย่อมเต็มไปด้วยความตื้นตันเป็นธรรมดา


คิดไม่ถึงว่าวันนี้เรื่องร้ายจะกลับกลายเป็นดี ไม่เพียงแต่ดิ้นรนจนได้โอกาสครั้งใหญ่มา แต่ยังไล่หยางอวิ้นกับอวี๋เสี่ยวเหลียนสองตัวปัญหาออกไปได้ด้วย ยังมีเรื่องอื่นที่ทำให้นางดีใจกว่ายิ่งนี้อีกหรือไม่?!


หยางอวิ้นไม่คิดว่าอิ่นเสวี่ยรั่วจะใช้โอกาสนี้กำจัดนางออกไป! อยากจะแล่เนื้อเถือหนังนางทั้งเป็นด้วยมือของตนเอง


แต่จางเหยี่ยนซิงจวินสั่งลงมาแล้ว อีกทั้งนางกังวลว่าหากคัดค้านละก็ ไม่แน่ว่าลู่ยาอาจจะพูดเรื่องจริงออกมา ยิ่งไปกว่านั้น แต่เดิมนางมีอิ่นเสวี่ยรั่วคอยจับตามอง ยามนี้ยังทะเลาะกับอวี๋เสี่ยวเหลียนจนมองหน้ากันไม่ติด คิดดูแล้วอยู่ต่อไปก็ไม่มีความหมาย ดังนั้นนอกจากส่งสายตาอาฆาตไปทางอิ่นเสวี่ยรั่ว ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงหมุนตัวกลับไปเก็บข้าวของ


คนที่โกรธที่สุดคืออวี๋เสี่ยวเหลียน นางทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อไล่มู่จิ่วออกไป ผลคือฝ่ายนั้นอยู่ต่ออย่างสงบไม่ว่า กลับยังปิดฉากด้วยการถูกขับออกจากลานจื่อหลิงเสียเอง ในใจอัดอั้นไปด้วยความโกรธแค่ไหนไม่ต้องพูดถึง! ถึงแม้ยังคิดจะอาละวาดอยู่ แต่จางเหยี่ยนซิงจวินเอาจริงแล้ว จึงทำได้เพียงเก็บหางเดินออกไปเงียบๆ


แม้เรือนทางตะวันตกจะถล่ม ทว่าเรื่องนี้สำหรับเทพเซียนแล้วไม่ใช่เรื่องลำบาก ในหอวิหคแดงมีห้องมากมายขนาดนั้น เรื่องซ่อมแซมตกแต่งมีอยู่บ่อยๆ มิใช่หรือ! ก่อนจางเหยี่ยนซิงจวินกลับไปก็ทิ้งเจ้าหน้าที่ซ่อมแซมโดยเฉพาะไว้หลายคน ใช้ของวิเศษเฉพาะของพวกเขาสร้างค่ายกล ไม่นานเรือนก็ฟื้นคืนกลับมาเป็นแบบเดิม


ก่อนอาหารเย็น คนแซ่หยางและคนแซ่อวี๋สองคนก็จัดการเรือนเสร็จแล้วออกไป


ครั้นมู่จิ่วกับเสี่ยวซิงทำความสะอาดเรือนทั้งสองเสร็จ ก็ให้ลู่ยากับอาฝูย้ายเข้าไป ก่อนพลันนึกขึ้นได้ว่าต้องคิดบัญชีกับซ่างกวนสุ่น ทว่าไหนเลยจะยังมีร่องรอยของเขาอยู่?


……………………………………………บทที่ 64 ไม่ต้องตาเจ้าหรอก

โดย

Ink Stone_Romance

นางถามมู่เสี่ยวซิง “เขาเข้ามาได้อย่างไร?”


มู่เสี่ยวซิงหยุดงานบ้านในมือ เล่าเรื่องที่ซ่างกวนสุ่นเข้ามาทั้งก่อนและหลังให้ฟังจนหมด แต่นางไม่รู้ว่าเขาเข้ามาได้อย่างไร


มู่จิ่วรู้สึกงุนงง เมื่อคำนวณเวลาดู เขาถูกจองจำสามเดือนน่าจะครบกำหนดแล้ว แต่ประตูทางเข้าแต่ละแห่งของค่ายทหารสวรรค์ต่างมีคนเฝ้าอยู่ ตามเหตุผลแล้วเขาต้องเข้ามาไม่ได้ แต่ทำไมเขาถึงซ่อนอยู่นอกประตูลานบ้านได้? ยังมีอีก ลูกตุ้มดาวตกคู่นั้นมาจากไหน? วันนั้นตอนที่นางไล่ตามเขาไม่เห็นเขานำออกมาเลย!


ใช่แล้ว ยังมีอสุนีบาตอีก มันเกิดอะไรขึ้นกัน? ทำไมฟาดลงมาที่ลู่ยาพอดี?


นางรู้สึกอยู่รางๆ ว่าเรื่องนี้ยังซ่อนข้อสงสัยไว้อีกมาก แต่ไม่มีกำลังจะวิเคราะห์อย่างละเอียดได้


ดังนั้นจึงพูดว่า “หลายวันนี้เจ้าจับตาดูให้เข้มงวดหน่อย หากเจ้านกนั่นกลับมาอีก รีบหาวิธีบอกข้าโดยทันที!”


มู่เสี่ยวซิงก็โกรธซ่างกวนสุ่นที่หิ้วนางราวกับเป็นลูกเจี๊ยบ แน่นอนว่าไม่มีเหตุผลที่จะไม่เก็บมาใส่ใจ จึงพยักหน้าอย่างหนักแน่นพลางรับปาก


หลินเจี้ยนหรูออกมาจากลานจื่อหลิง ความรู้สึกเปลี่ยนไปราวกับผิวน้ำทะเลที่มีฝนตกห่าใหญ่


เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ามู่จิ่วจะมีคู่หมั้นอยู่แล้ว นางพูดกับเขาชัดเจนว่านางไม่มีพ่อแม่ไม่มีญาติ และวันนั้นต่อหน้าหลิวจวิ้น กระจกฟ้าดินก็สะท้อนภาพว่านางเป็นหญิงตัวคนเดียวแน่นอน แต่ว่าเมื่อครู่ข้างกายนางกลับมีคู่หมั้นโผล่หน้าออกมากะทันหัน?


เขาไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ


เขาเติบโตมาถึงขนาดนี้ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีคนคิดเรื่องอนาคตแทนเขา หรือกังวลครุ่นคิดเรื่องของเขามาก่อน และไม่เคยมีใครทำอะไรเพื่อเขาโดยไม่หวังผลตอบแทน มู่จิ่วเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเคยชินกับการอยู่กับนาง และวางใจที่จะเผยเรื่องน่าอายทั้งหมดของตนเมื่ออยู่ต่อหน้านาง


แต่เมื่อเขาเพิ่งจะมีความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ นางกลับมีคู่หมั้นโผล่มากะทันหัน…


และยังเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่สำเร็จเป็นเซียนแล้ว!


สวรรค์ช่างชอบเล่นตลกกับเขา


แต่เขายังคงไม่เชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง


แต่ไหนแต่ไรมามู่จิ่วไม่เคยพูดถึงคนคนนี้ และไม่เคยพูดว่าตนหมั้นหมายแล้ว เมื่อครู่ตอนคนผู้นั้นพูดว่าเป็นคู่หมั้นของนาง นางแสดงออกชัดเจนว่าเหลือเชื่อ แสดงว่านี่เป็นการรวมหัวกันพูดโกหกของพวกเขา!


แต่หากเป็นเรื่องโกหกจริง ทำไมการตรวจสอบของวังเฒ่าจันทราถึงได้ยืนยันเรื่องนี้เล่า?


เฒ่าจันทราดูแลเฉพาะเรื่องบุพเพสันนิสวาส นี่แสดงว่าระหว่างพวกเขาต้องมีวาสนาต่อกันถึงมีร่องรอยให้สืบเสาะได้


เขามองดวงจันทร์สว่างที่นอกหน้าต่าง พูดไม่ออกว่าในใจตอนนี้รู้สึกอย่างไร เขาก้มหน้าลงหยิบปิ่นหยกสลักดอกโบตั๋นออกมาจากแขนเสื้อ ถือไว้ในมือแล้วลูบเบาๆ วันนี้เขาซื้อมันมาจากเมืองต้าหนิง ตัวอักษรจิ่วด้านบนเขาอาศัยตอนที่นางไปศาลเจ้าลั่วเสินขอให้ช่างแกะสลักให้ ตั้งใจว่าจะมอบให้นาง คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันให้ไป นางกลับเป็นดอกไม้มีเจ้าของเสียแล้ว


เขากำปิ่นหยกไว้เบาๆ ก่อนปักมันไว้ตรงขมับ


ไม่ว่าพวกเขาจะหมั้นกันจริงหรือหลอก สรุปคือเขาเกรงว่าภายหลังจะไม่สามารถทำตัวใกล้ชิดเหมือนแต่ก่อนได้แล้ว


เขาคิดถึงยามที่นางเคยช่วยเขาเอาชนะพวกจีหย่งฟาง คิดถึงตอนที่พวกเขาแย่งอาฝูมาจากคนของวิมานหลี่เฮิ่น คิดถึงนางที่หาร่องรอยของดอกบัวกลีบม่วงให้เขาโดยไม่พูดไม่จา ทั้งยังคิดถึงนางที่ร่วมผจญอันตรายกับเขา หาเอาคัมภีร์ฝึกพลังเซียนมาให้…


หลินเจี้ยนหรูรู้ว่านางช่วยเขาทั้งหมดนี้ไม่ได้มีเป้าหมายอื่นใด ขณะเดียวกันมันก็ทำให้เขารู้สึกว่าตนออกมาจากสำนักแรกพยับแล้ว เขาเปลี่ยนไปเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง อยู่ต่อหน้านางไม่ต้องกังวลเรื่องถูกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียม และไม่ต้องกังวลว่านางจะพูดอย่างระแวดระวังเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีเขา ต่อหน้านางแล้วเขาไม่ได้พิเศษอะไร


ดังนั้นนางไม่มีเขาก็ไม่เป็นไร แต่หากเขาสูญเสียนางไป ความสูญเสียของเขาจะยิ่งใหญ่นัก


ปิ่นหยกที่ปักอยู่ตรงขมับแทงผิวจนเป็นรูเล็กๆ มีเลือดหยดออกมา


หยดเลือดไหลลงมาตามปิ่นช้าๆ เขาเช็ดมันออก ก่อนโยนปิ่นลงบนโต๊ะ


เมื่อดวงอาทิตย์ตกดินแล้ว หอวิหคแดงค่อยๆ เงียบสงบลง


การไปของหยางอวิ้นและอวี๋เสี่ยวเหลียนครานี้ แม้แต่อากาศในลานบ้านยังสดชื่นขึ้นมาก


มู่เสี่ยวซิงไปซื้อกับข้าวไม่ทันเพราะถูกซ่างกวนสุ่นก่อกวน อาหารเย็นจึงไปเอาจากโรงอาหารกลับมากินแทน หลังจากมื้ออาหาร มู่จิ่วก็ล้างผลไม้จานใหญ่ เห็นเรือนของอิ่นเสวี่ยรั่วยังสว่างอยู่ คิดแล้วจึงแบ่งผลไม้ครึ่งหนึ่งให้เสี่ยวซิงเอาไปส่งให้นาง ส่วนที่เหลือก็แบ่งออกมาอีกครึ่ง จากนั้นถือไปยังเรือนลู่ยา


ลู่ยาหมุนไปหมุนมาอยู่ในห้อง ไม่รู้ทำอะไร เห็นมู่จิ่วเดินเข้ามาจึงค่อยกลับไปนั่งลงข้างโต๊ะ แล้วยื่นมือมาหยิบลำไยจากถาดของนาง


มู่จิ่วตีมือเขา “ข้ามานี่เพราะมีธุระ”


ลู่ยาเหลือบมองนาง หยิบลำไยที่หล่นไปขึ้นมาใหม่


มู่จิ่วนั่งลง “เรื่องวันนี้เสี่ยงจริงๆ ยังดีที่สุดท้ายสงบลงได้ ตอนนี้ถึงแม้เรื่องจะมีบทสรุปแล้ว แต่มีบางอย่างที่ข้าต้องพูดกับเจ้าให้ชัดเจน ก่อนหน้านี้พวกเราพูดถึงเรื่องหมั้นอะไรนั่น ในความเป็นจริงไม่นับว่าเป็นอะไรได้ รอจนเรื่องนี้ผ่านไปแล้ว ไม่ว่าใครถามขึ้นเจ้าก็ห้ามรับ”


การรับสถานการณ์คับขันก็ส่วนเรื่องนั้น แต่เรื่องส่วนตัวต้องเข้าใจให้ชัดเจน


มิเช่นนั้นต่อไปหลิวหยางถามขึ้นมานางจะทำอย่างไร?


นิ้วของลู่ยาชะงักไปครู่หนึ่ง พูดขึ้นว่า “เจ้าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่แบบนี้ก็เพื่อคนแซ่หลินนั่นใช่หรือไม่?”


มู่จิ่วอึ้งไป “เกี่ยวอะไรกับเขา? แค่ข้ากับเจ้าแต่เดิมไม่มีความสัมพันธ์กันแบบนั้น!”


ลู่ยาค่อยๆ ลอกเปลือกลำไย เอาเนื้อของมันเข้าปาก เคี้ยวช้าๆ ราวกับเคี้ยวเนื้อมังกร


มู่จิ่วผลักเขา “เจ้าพูดสิ!”


ฟันหน้าสองแถวของลู่ยากัดเมล็ดไว้ เหลือบมองนางพลางพูด “วางใจเถิด เจ้าหยาบกระด้างขนาดนั้น ข้าไม่มีทางชอบเจ้าหรอก”


นี่พูดอันใดกัน! มู่จิ่วไม่พอใจ “เจ้าพูดจาเกรงใจกันหน่อยได้หรือไม่?”


ลู่ยาพ่นเมล็ดออกมาดังฟู่ ยื่นมือออกไปแย่งถาดผลไม้ในมือนางมากอดไว้แนบอก ร่างทั้งร่างขดเข้าไปในเก้าอี้ตัวใหญ่ “ข้าหล่อเหลาขนาดนี้ แม่นางทั่วทั้งสี่ทะเลแปดทิศที่หลงใหลข้ามีไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ พวกนางแต่ละคนงดงามอ่อนโยน นิสัยใจคอก็ดี ข้ายังไม่ชอบเลย แน่นอนว่ายิ่งต้องไม่ชอบเจ้า ข้าหวังเพียงว่าอนาคตข้างหน้า เจ้าไม่ต้องมาพัวพันข้าแบบไม่ปล่อยก็พอแล้ว”


แม่เด็กสมควรตาย! เร็วขนาดนี้ก็มาแยกแยะความสัมพันธ์กับเขาให้ชัดเจนแล้ว แค่ช่วงนี้เป็นคู่หมั้นของเขาแล้วจะทำไม? ก็ไม่ได้เสียเปรียบนี่! เขาไม่ใส่ใจแล้ว นางกลับขุดขึ้นมาพูด ใช่ว่าเขาจะเอาเชือกมารัดนางแล้วจับกลับไปแต่งงานเสียหน่อย? ไม่ใช่เพื่อนางหรือเขาถึงได้โกหกออกไป? เจ้าเด็กข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน!


“เช่นนั้นก็ดี!” มู่จิ่วพูดอย่างพอใจ “เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ตามพัวพันเจ้าแน่นอน ข้าชื่นชมคนที่อ่อนโยนละเอียดอ่อน มีฝีมือแก่กล้าแบบท่านอาจารย์ อาจารย์ข้าพูดไว้แล้ว รอจนข้าเลื่อนขั้นเป็นเซียนให้ค่อยๆ ภาวนาอีก ยิ่งพลังล้ำลึกขึ้น ผู้ชายที่เจอจะยิ่งโดดเด่น ดังนั้นตอนนี้เป้าหมายของข้าคือเลื่อนขั้นเป็นเซียน!”


นางกำหมัดพูด


ตอนนี้ได้พูดชัดเจนแล้ว อารมณ์ของนางก็ดีขึ้น ยื่นมือไปหยิบเอาลูกท้อจากถาดมา


ลู่ยาจับอุ้งมือของนางไว้ทันใด “อาจารย์ของเจ้า?”


“ใช่” มู่จิ่วมองเขา “อาจารย์ของข้าตอนนี้เป็นจินเซียนแล้ว พลังฤทธิ์แก่กล้ากว่าเจ้ามาก ได้รับความรักความเทิดทูนจากพวกเราศิษย์พี่น้องมากด้วย”


………………………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)