หมอดูยอดอัจฉริยะ 588-589

 ตอนที่ 588 ภูเขาทองเก่า

โดย

Ink Stone_Fantasy

การประชุมมวยใต้ดินระดับโลกที่จู้เหวยเฟิงพูดถึงนั้น เยี่ยเทียนก็อยากไป เขาไม่เหมือนคนสมัยก่อนประเภทที่ชอบเก็บตัวอยู่เงียบๆคนเดียว แล้วเรียกตัวเองว่าเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า


ในโลกใบนี้ประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานไม่ได้มีแค่ประเทศจีนประเทศเดียว คนอัจฉริยะเหนือคนก็มีมากมาย จากที่เยี่ยเทียนทราบ ความนับถือเป็นแบบอย่างก็สามารถทำให้สามารถฝึกตนให้เทียบเท่าผู้กล้าเหล่านั้นได้เช่นกัน


วิธีการที่อันเดรวิชใช้บีบเค้นพลังในร่างกายให้ระเบิดออกมานั้นทำให้เยี่ยเทียนที่คิดว่าตนเองมาถึงจุดสูงสุดแล้วในรอบสิบกว่าปีนี้ กลับเป็นความสามารถแปลกใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ดังนั้นงานประชุมมวยครั้งนี้ จึงเป็นสิ่งที่เยี่ยเทียนตั้งตารอ


คิดมาถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดเบอร์โทรของจู้เหวยเฟิง


“น้องเยี่ยเทียน ปกตินายยุ่งๆ? ทำไมวันนี้ถึงโทรมาหาฉันได้?”


น้ำเสียงประหลาดใจของจู้เหวยเฟิงถ่ายทอดมาตามสาย จู้เหวยเฟิงแม้อยากจะตีสนิทกับเยี่ยเทียน แต่ไม่ค่อยมีโอกาสนัก เขาคิดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะเป็นฝ่ายติดต่อมาก่อน


เยี่ยเทียนเอ่ยเข้าเรื่องอย่างไม่อ้อมค้อม “ประธานจู้ ผมกำลังจะไปทำธุระที่อเมริกาอีกไม่กี่วันนี้ คุณเคยบอกว่ามีงานประชุมมวยใต้ดินโลก ไม่รู้ว่าจัดขึ้นที่เมืองไหน?”


“เอ่อคือ…”


ปลายสายจู้เหวยเฟิงลังเลเล็กน้อย ตอบว่า “น้องเยี่ย ฝ่ายนั้นแจ้งมาว่าให้ไปรวมตัวกันที่ซานฟรานซิสโก ส่วนงานประชุมจะจัดขึ้นที่ไหน การแข่งขันจะจัดขึ้นที่ไหนนั้น ตอนนี้ยังไม่รู้เลย”


องค์กรมวยใต้ดินที่ใช้คำว่า “ใต้ดิน” เพื่อเป็นการบอกให้รับรู้ว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ไม่เพียงถูกห้ามในประเทศจีนเท่านั้น ต่างประเทศก็เช่นกัน ไม่มีประเทศไหนที่มวยใต้ดินเป็นสิ่งถูกกฎหมาย


ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย การจัดงานประชุมมวยใต้ดินครั้งนี้ ผู้จัดเพียงแต่ส่งบัตรเชิญออกไป แต่รายละเอียดสถานที่จัดงานยังเป็นความลับและจะไม่ให้แพร่กระจายออกไป


เยี่ยเทียนหยุดคิดเล็กน้อยถึงเข้าใจความหมาย หัวเราะแล้วตอบกลับว่า “ประธานจู้ ถ้าอย่างนั้นช่วงเวลาที่จัดงานน่ะ คุณต้องพอรู้คร่าวๆบ้างแหละ? ไม่อย่างนั้นพอถึงอเมริการแล้วผมค่อยติดต่อคุณอีกที?”


“ช่วงเวลาประมาณปลายเดือน ยังมีเวลาอีกสิบวัน น้อง….น้องเยี่ยเทียน นายจะไปจริงหรือ?” จู้เหวยเฟิงถามด้วยความไม่แน่ใจ


“จริงแท้แน่นอนเลย พรุ่งนี้ผมจะบินไปอเมริกาแล้ว เรื่องแบบนี้ผมจะกล้าเอามาล้อเล่นกับประธานจู้ได้อย่างไร?”


เยี่ยเทียนสงสัยในความประหลาดใจของจู้เหวยเฟิง ครั้งก่อนเป็นฝ่ายนั้นเองที่ชวนให้เขาไป ตอนนี้กลับเหมือนไม่อยากให้ไปแล้ว?


“ฉัน…ฉันคิดว่านายจะไม่ไปแล้ว ก็เลยไม่ได้ตอบรับคำเชิญจากทางนั้น”


คำตอบของจู้เหวยเฟิงทำให้เยี่ยเทียนคิดไม่ถึง “น้องเยี่ย นายวางใจเถอะ ตอบรับไปตอนนี้ก็ยังทัน นายไปที่อเมริกาก่อน รอให้ฉันไปถึงแล้วจะติดต่อหานายอีกที!”


สมาคมมวยใต้ดินในประเทษจีนนั้น ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของหมัดมวยหรือความเข้มงวดในสมาคมนั้นแตกต่างจากของต่างประเทศมาก หรือจะว่าอีกอย่างคือในเมืองจีนตอนนี้ยังไม่มีนักมวยคนไหนที่เข้าขั้นเลย


ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ จู้เหวยเฟิงจึงเลือกเก็บตัว ไม่ออกไปให้ขายหน้าต่างชาติ แต่ก็ไม่ถึงขั้นเป็นเต่าหดหัว แม้เขาจะไม่อยาก แต่ก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว


ตอนนี้เยี่ยเทียนอยากไปร่วมงาน สถานการณ์ย่อมต่างออกไป แม้เยี่ยเทียนจะไม่ลงแข่ง แต่การมีเขาอยู่ด้วยย่อมทำให้จู้เหวยเฟิงวางใจมากขึ้น


อย่างที่นักมวยญี่ปุ่นใต้ดินคนนั้นถูกเยี่ยเทียนตัดแขนตัดขาเป็น”มนุษย์หมู”ไปแล้ว? คนต่างชาติไม่รู้หรอกว่า”มนุษย์หมู”คืออะไร จู้เหวยเฟิงกลับไม่ถือสาที่จะอธิบาย


“ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะรอ…”


เยี่ยเทียนพยักหน้าพอเดาได้ถึงความคิดของจู้เหวยเฟิง ในประเทศจีนอันกว้างใหญ่จะหานักมวยใต้ดินฝีมือดีแทบไม่ได้เลย แล้วเยี่ยเทียนจะไม่เข้าร่วมงานประชุมนี้ได้อย่างไร


หลังจากติดต่อกับจู้เหวยเฟิงแล้ว เยี่ยเทียนเริ่มเตรียมตัวออกเดินทาง


เก็บมีดสั้นอู๋เหินและเหรียญ ต้าฉีทงเป่าไว้กับตัว โชคดีที่ทั้งสองสิ่งมีเอกสารรับรองของสะสมที่ถูกต้อง จึงสามารถนำเข้าออกด่านตรวจคนเข้าเมืองได้


นอกจากนี้เยี่ยเทียนยังพกยารักษาอาการบาดเจ็บที่ศิษย์พี่ใหญ่ปรุงด้วยตัวเองไปสองขวด หากเกิดเหตุอะไรขึ้น ยาตำรับนี้อาจจะสามารถช่วยชีวิตคนได้


วันรุ่งขึ้น เยี่ยตงผิงขับรถพาภรรยา บุตรชายและแอนนาไปส่งที่สนามบิน


ตอนแรกเยี่ยตงผิงคิดอยากจะเดินทางไปด้วยแต่ถูกเยี่ยเทียนห้ามไว้ หากเกิดเรื่องอันตรายขึ้น ทั้งพ่อและแม่ติดตามไปด้วย เยี่ยเทียนกลัวเลือกไม่ถูกว่าจะช่วยพ่อหรือแม่ก่อนดี?


เครื่องบินส่วนตัวของซ่งเวยหลันลำนี้แตกต่างจากเครื่องบินส่วนตัวของเศรษฐีฮ่องกง คือเป็นเครื่องบินขนาดกลางที่ถอดเอาเก้าอี้โดยสารที่เรียงกันอยู่กลางลำออกหมด แล้วดัดแปลงออกแบบใหม่


โดยยึดหลักความสะดวกสบายเป็นหลัก ห้องโดยสารของเครื่องบินส่วนตัวลำนี้นั่งสบายกว่ามาก โดยเฉพาะการเดินทางข้ามทวีป ต้องจอดแวะเติมน้ำมันด้วยครั้งหนึ่ง


สิบกว่าชั่วโมงต่อมาเครื่องบินลงจอดที่สนามบินซานฟรานซิสโกเยี่ยเทียนลงจากเครื่องบินแล้วมีรถเบนซ์กันกระสุนสีดำ คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดเทียบข้างลำเครื่องบิน


เยี่ยเทียนมองเห็นชายแก่รูปร่างผอมยืนอยู่ข้างรถเบนซ์ ทักทายด้วยความประหลาดใจว่า “เอ๋ ตู้เฟย? คุณกลับมาที่อเมริกาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”


ตู้เฟยก้าวออกมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง พยักหน้าให้ซ่งเวยหลันแล้วถึงตอบว่า “คุณชายน้อย ผมกลับมาสาขาใหญ่ได้เกือบปีแล้วครับ พอทราบว่าครั้งนี้คุณจะมาด้วย ผมเลยมารับคุณด้วยตัวเอง!”


“พี่สี่ พี่เรียกเยี่ยเทียนว่าอะไรนะ?” ซ่งเวยหลันได้ยินสรรพนามที่ตู้เฟยเรียกเยี่ยเทียนแล้วก็ตะลึง


ตู้เฟยเป็นบุตรชายของอดีตผู้นำตลาดการค้าระหว่างประเทศ ในสมาพันธ์การค้านั้นเขามีตำแหน่งสูงส่งยิ่งนัก ชนิดที่ไม่มีใครเทียบได้ แม้แต่ซ่งเวยหลันเองยังต้องเรียกเขาว่าพี่สี่


ตู้เฟยยิ้มแห้ง ตอบว่า “เวยหลัน เขาเป็นผู้ใหญ่ในสมาคม ฉันเรียกว่าคุณชายน้อยยังน้อยไปด้วยซ้ำ”


ตู้เฟยเป็นคนหยิ่งทระนง แต่ต่อหน้าเยี่ยเทียน ยศศักดิ์ฐานันดร และฝีมือต่างเทียบไม่ได้ จึงได้แต่ถ่อมตัว


“ลูก พี่สี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ซ่งเวยหลันมองเยี่ยเทียนทีหนึ่ง มองตู้เฟยทีหนึ่ง งุนงงสับสนไปหมด


“แม่ ไม่เป็นไร อาจารย์ผมเป็นสมาชิกในสมาคมคนหนึ่ง ตอนนั้นให้ผมเข้าร่วมด้วย แต่ผมยังไม่ได้เข้าร่วมอย่างเป็นทางการเท่านั้น ยังไม่ถือว่าเป็นคนในสมาคมหรอก!”


เยี่ยเทียนยิ้มแหยตอบว่า “ไว้เราค่อยถกเถียงเรื่องนี้กันอีกที แม่เรียกเขาว่าพี่สี่ต่อไป ผมกับเขาไม่มีความเกี่ยวข้องกัน”


“ใช่ เอาตามอย่างที่คุณชายน้อยว่าก็แล้วกัน เวยหลัน ขึ้นรถก่อนค่อยคุยกัน”


ฟังเยี่ยเทียนพูดจบ ตู้เฟยพยักหน้าไม่หยุด ตั้งแต่ที่ตู้เฟยพลาดท่าให้เยี่ยเทียนครั้งก่อน ในใจเขาทั้งเคารพและยำเกรงเยี่ยเทียน


“ไม่ต้องมีการคุ้มกันความปลอดภัย? ที่อเมริกาเขาไม่กลัวผมนำยาเสพติดเข้ามาหรือ?”


ตามหลักที่เคร่งครัดแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยเทียนออกนอกประเทศ เขายังไม่เคยลิ้มลองรสชาติของการมีรถยนต์คันหรูมารับถึงสนามบิน


“สมาคมหงเหมินของเราถ้าอยากจะค้ายา ช่องทางมีตั้งมากมาย ยังไม่ถึงขนาดให้เบาะแสที่โจ่งแจ้งแก่พวกตำรวจอเมริกันหรอก…”


ตู้เฟยพูดล้อเล่น สมาคมหงเหมินในเมืองอื่นของอเมริกาอาจจะไม่สามารถทำได้ขนาดนี้ แต่ที่ซานฟรานซิสโกนี้เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ การค้าหลายร้อยปีมานี้ สามารถบอกได้ว่าที่นี่เป็นเมืองของชาวจีนโพ้นทะเล


ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ที่นี่เป็นศูนย์กลางของการขุดทอง แรกเริ่มชาวจีนโพ้นทะเลย้ายมาเป็นแรงงานในอเมริกา ตั้งรกรากอยู่ที่นี่ แล้วตั้งชื่อให้สถานที่นี้ว่า “ภูเขาทอง”


จนถึงตอนที่เมืองเมลเบิร์นแห่งออสเตรเลียกลายเป็นสถานที่ขุดทองแห่งใหม่จึงถูกขนานนามว่า “ภูเขาทองใหม่” เพื่อให้เห็นความแตกต่าง เลยเรียกเมืองซานฟรานซิสโกแห่งนี้ว่า “ภูเขาทองเก่า”


ร้อยปีที่พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง เมืองซานฟรานซิสโกเป็นเมืองที่มีคนจีนมารวมตัวกันอยู่มากที่สุดในอเมริกา


ในเมืองนี้มีประชากรเชื้อสายจีนคิดเป็นมากกว่าร้อยละสิบสอง ซึ่งเป็นเพียงประชากรที่ได้บัตรเขียวเท่านั้น ยังไม่รวมผู้ที่ลักลอบอาศัยอยู่อย่างไม่ถูกกฎหมาย ความจริงแล้วน่าจะคิดเป็นประมาณยี่สิบเปอร์เซ็นต์


ประชากรเชื้อสายจีนยี่สิบเปอร์เซ็นต์นี้ได้เป็นส่วนหนึ่งในเมืองธุรกิจแห่งนี้ ทั้งยังมีการเกาะกลุ่มหนาแน่นของประชากรชาวจีน บรรยากาศในย่านไชน่าทาวน์ดูเหมือนอยู่ในประเทศจีน


สมาคมหงเหมินดำเนินมานานเป็นร้อยปี แน่นอนว่าในเมืองนี้เป็นสมาคมที่ใหญ่ที่สุด นอกจากนี้ยังมีสมาคมอื่น ๆ เช่น สมาคม 3K สมาคมเวียดนาม สมาคมญี่ปุ่น ยามาโมโตะ ที่มีสำนักงานใหญ่ในเมืองอื่น ต่างก็มีสาขาอยู่ในเมืองซานฟานซิสโกนี้เช่นกัน


แน่นอนว่าสมาคมหงเหมินจะได้รับการยกย่องในเมืองซานฟรานซิสโกจากการต่อสู้บากบั่นของสมาชิก ร้อยปีมานี้ไม่รู้ว่ามีสมาชิกมากน้อยเท่าไหร่ที่สูญเสียชีวิตไปในการต่อสู้ จึงถือว่าเป็นผู้ชนะที่เข้มแข็ง


หลังจากตู้เฟยได้อธิบายถึงอำนาจอิทธิพลของสมาคมหงเหมินให้เยี่ยเทียนฟังแล้ว ก็เปิดประตูรถ “คุณชายน้อย   เวยหลัน ขึ้นรถเถอะ ฉันจะพาพวกเธอไปที่พักก่อนแล้วค่อยว่ากัน”


หลังจากต้อนทุกคนขึ้นรถเบนซ์กันกระสุนแล้ว ก็เดินทางออกจากสนามบิน ตลอดทางไม่มีคนขัดขวางหรือเข้ามาตรวจสอบแต่อย่างใด ถึงทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกได้ถึงอิทธิพลของสมาคม


หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง รถหยุดลงในที่จอดรถของโรงแรมหรูในย่านเศรษฐีของเมือง ลงจากรถแล้วซ่งเวยหลันอดถามอย่างประหลาดใจไม่ได้ว่า “พี่สี่ ทำไมไม่ไปพักที่ย่านไชน่าทาวน์ล่ะ?”


เมื่อก่อนเวลาซ่งเวยหลันมาที่เมืองซานฟรานซิสโก จะต้องเข้าพักในโรงแรมที่อยู่ไม่ไกลกับสมาคมมากนัก ซึ่งสภาพแวดล้อมของที่นั่นไม่ได้ต่างจากโรงแรมห้าดาวเลย หรืออาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ


ยิ่งไปกว่านั้นยังจะได้รับการคุ้มครองความปลอดภัยจากลูกหลานสมาชิกในสมาคม ไม่มีใครกล้าเข้ามาวุ่นวาย แม้แต่พวกย่องเบาแมวขโมยยังไม่กล้าเข้าใกล้


ตู้เฟยยกกระเป๋าเดินทางของซ่งเวยหลันออกมาแล้ว ถอนหายใจแล้วตอบว่า “ขึ้นไปแล้วจะเล่าให้ฟัง ในสมาคมเกิดความเปลี่ยนแปลง ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดเรื่องใหญ่ก็ได้ อยู่ที่นี่น่าจะปลอดภัยกว่า”


ห้องพักได้ถูกจองไว้แล้ว คีย์การ์ดอยู่ในมือของตู้เฟย ทั้งหมดขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นสิบแปด ที่เป็นห้องชุดสูท


พอเข้าห้องแล้ว เยี่ยเทียนสำรวจอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม เพราะเคยได้ยินมาว่าที่อเมริกาทุกสถานที่จะมีการติดตั้งกล้องวงจรปิด เขาไม่อยากถูกสอดส่องในขณะทำกิจวัตรส่วนตัวเช่นตอนถอดเสื้อผ้าอาบน้ำ


เยี่ยเทียนเดินวนไปรอบๆห้องชุดที่มีห้องนอนสี่ห้องจนทั่ว แล้วพยักหน้า เขาไม่ได้พบเห็นกล้องวงจรปิดสักตัว เรื่องที่เคยได้ยินมาน่าจะเป็นแค่เรื่องหลอกเด็กเท่านั้น


“พี่สี่ เกิดอะไรขึ้นกับลุงเหลยกันแน่ พี่รู้เหตุการณ์ข้างในบ้างไหม?” เพิ่งได้นั่งลงซ่งเวยหลันก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม


ตอนที่ 589 ลุงเหลย

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เวยหลัน เรื่องมันซับซ้อนกว่าที่เธอคิดนะ….”


ตู้เฟยเงยหน้ามองเยี่ยเทียนทีหนึ่ง “ลุงเหลยได้เรียกให้คนที่ผูกมิตรกับเธอหลายคนกลับมาหมด เขา….เขาน่าจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับซ่งเสี่ยวหลง ฉันรู้สึกว่าซ่งเสี่ยวหลงได้เคยสัญญาบางอย่างกับเขาไว้!”


ตอนนั้นเยี่ยเทียนให้ตู้เฟยคอยเฝ้าระวังซ่งเสี่ยวหลง ดังนั้นครั้งนี้เมื่อกลับมาที่สำนักงานใหญ่ในเมืองซานฟรานซิลโก ตู้เฟยก็เอาแต่สืบข่าวคราวของซ่งเสี่ยวหลง


เมื่อสัปดาห์ก่อน ตู้เฟยเห็นกับตาว่าซ่งเสี่ยวหลงที่ตอนนี้ควรจะอยู่ที่แอฟริกา กลับมาปรากฏตัวในร้านน้ำชาในย่านไชน่าทาวน์ อีกทั้งร้านน้ำชาร้านนั้นยังเป็นกิจการของลุงเหลยอีก แล้วยังเป็นสถานที่ๆเขาจะต้องไปรับประทานอาหารเช้าอยู่ทุกวัน


“เสี่ยวหลง? เป็นเขาจริงๆ?”


ซ่งเวยหลันไม่ได้มีท่าทีแปลกใจกับคำตอบของตู้เฟย เพียงแต่แสดงออกถึงความผิดหวังเสียใจเท่านั้น เธอส่ายหัวแล้วพูดว่า “พี่สี่ คุณพ่อของฉันกับลุงเหลยเป็นเพื่อนกันมาหลายปี เขาปฏิบัติต่อฉันเหมือนหลานสาวคนหนึ่ง ทำไมเขาถึงไปช่วยเสี่ยวหลงเล่า?”


ตอนแรกที่เธอไว้วางใจมอบธุรกิจมูลค่ามหาศาลของเธอให้กองทุนการเงินเป็นผู้ดูแลเพราะเชื่อมั่นในตัวลุงเหลย แต่ซ่งเวยหลันคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวจะเกิดขึ้นกับคนที่เธอไว้ใจที่สุด


“แม่ เดี๋ยวก่อน”


เยี่ยเทียนนั่งฟังอยู่ข้างๆพอรู้เรื่องบ้าง แต่เขาไม่รู้จักลุงเหลยคนนี้แม้แต่น้อย จึงพูดขัดมารดาแล้วมองไปทางตู้เฟยถามว่า “ลุงเหลยเป็นใครกัน? มีตำแหน่งอะไรในสมาคม?”


เยี่ยเทียนรู้ว่ามารดาจัดการให้ซ่งเสี่ยวหลงไปอยู่ที่แอฟริกาก็เพื่อให้เขาอยู่ห่างจากศูนย์กลางของสมาคม ที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นนั้นเพราะลุงเหลยมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นกุญแจสำคัญ


ตู้เฟยถอนใจอีกครั้ง ตอบว่า “คุณชายน้อย ลุงเหลยมีชื่อว่าเหลยเจิ้นเยวี่ยเป็นคนรุ่นเดียวกับคุณพ่อของผม ตอนนั้นพ่อของผมรับตำแหน่งหัวหน้าใหญ่นั้น ลุงเหลยก็เป็นผู้อาวุโสในสมาคม…”


ลุงเหลยคนนี้เดินทางมาถึงอเมริการพร้อมกับบิดาของตู้เฟย ในขณะนั้นอิทธิพลของสมาคมได้แผ่ขยายกว้างไกล แต่องค์กรกลับไม่ค่อยมีความมั่นคง ผู้อาวุโสแต่ละคนรับผิดชอบในแต่ละพื้นที่ต่างกันไป ซึ่งต่างก็ไม่มีใครยอมใคร


ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ลุงเหลยและบิดาของตู้เฟยเข้าร่วมควบคุมดูแลสมาชิกที่มาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ขึ้นครองอำนาจในเมืองซานฟรานซิสโก เนื่องจากในช่วงนั้นคนในสมาคมไม่ได้รับความเดือดร้อนจากเพื่อนร่วมสมาคม และได้ขับไล่กลุ่มแก๊งยามาโมโตะของญี่ปุ่นและมาเฟียของอิตาลีออกไปจากซานฟรานซิสโกได้ในที่สุด ช่วงชิงพื้นที่ครอบครองเป็นของพรรคพวกตน


บิดาของตู้เฟยตอนนั้นแม้ไม่ได้มีชื่อเสียงในเซี่ยงไฮ้ แต่เมื่อมาถึงอเมริกาแล้วกลับแสดงออกถึงความสามารถสูงสุด เขาเริ่มจากการทำให้สมาคมเข้มแข็งเป็นหนึ่ง แล้วค่อยๆ พัฒนากิจการของสมาคมไปตามสถานที่ต่างๆทีละก้าว ทำให้อำนาจถูกแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว


อเมริกายุคหลังสงคราม เศรษฐกิจถูกฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว เมื่อเริ่มมั่งมีขึ้นแล้วบิดาของตู้เฟยก็เริ่มแทรกซึมเข้าสู่สมาคมดั้งเดิมในอเมริกา ตามคำโบราณที่กล่าวว่า มีเงินทำอะไรก็สะดวก เพียงแค่หว่านเม็ดเงินออกไปก็ทำให้ทั้งสมาคมยอมรับและเห็นดีเห็นงามไปกับเขา


ในสมาคมให้ความสำคัญกับสถานะ และฐานันดรศักดิ์ ฐานันดรของบิดาตู้เฟยก็ไม่ใช่น้อย อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสดั้งเดิมในกลุ่มจึงได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว พอช่วงยุคปี 60 บิดาของตู้เฟยก็ได้รับตำแหน่งหัวหน้าใหญ่ของสมาคมในที่สุด


เบื้องหลังความสำเร็จบนบัลลังก์อำนาจ บิดาของตู้เฟยได้กระทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายใน ผู้ที่ได้ร่วมบุกเบิกฐานอำนาจใหม่กับเขาอย่างเหลยเจิ้นเยวี่ยนั้นได้กลายเป็นผู้อาวุโสที่มีอำนาจในมือสูงสุดคนหนึ่ง เป็นผู้ริเริ่มรับผิดชอบการค้าระหว่างประเทศ


การค้าระหว่างประเทศในยุคแรกเริ่มของสมาคมนั้นไม่ได้หมายถึงกิจการการค้าขาย พูดให้เข้าใจอย่างง่ายคือ การแย่งพื้นที่กันนั่นเอง


เหลยเจิ้นเยวี่ยนำพาพรรคพวกฝีมือดีทำการฆ่าล้างประวัติศาสตร์ของเมืองซานฟรานซิสโกโดยชนิดที่เรียกว่าเลือดสาด เพื่อกำจัดกลุ่มอิทธิพลเก่าให้หมดไป ทำให้เป็นที่หวาดเกรงของฝ่ายตรงข้าม หลังจากนั้นจึงได้ขึ้นครองตำแหน่งผู้มีอำนาจในสมาคมแห่งเมืองภูเขาทองเก่านี้อย่างแท้จริง


การเป็นผู้นำการรบหลัก ทุกครั้งที่ต่อสู้เหลยเจิ้นเยวี่ยจะเป็นเสมือนแนวหน้าที่บุกเข้าทำลายฝ่ายศัตรูอย่างไม่กลัวตาย จึงได้รับการยอมรับจากพวกพ้อง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาในสมาคมนอกจากพ่อของตู้เฟยแล้วรองลงมาก็คือลุงเหลยคนนี้ที่ไม่ใครเทียบได้


หลังจากที่บิดาของตู้เฟยเสียชีวิตลง ลุงเหลยเคยได้เป็นผู้ที่ได้รับคัดเลือกเป็นหัวหน้าใหญ่คนต่อไป แต่ด้วยอายุที่สูงวัย จึงปฏิเสธ ขอเพียงดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสในสมาคมเท่านั้น และยังคงเป็นผู้ที่มีบารมีสูงส่งในสมาคมอยู่เสมอ


ช่วงต้นปี 40-50 เหลยเจิ้นเยวี่ยกับบิดาของตู้เฟยและซ่งเฮ่าเทียนเป็นสหายกัน ดังนั้นธุรกิจของคนตระกูลซ่งที่อยู่ต่างประเทศต่างก็ได้เหลยเจิ้นเยวี่ยเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ


เมื่อซ่งเวยหลันได้เป็นผู้นำตระกูลซ่งในต่างประเทศแล้ว ความสัมพันธ์ยังคงคงเดิมคือมีเหลยเจิ้นเยวี่ยคอยดูแลตามเดิม ไม่เช่นนั้นสถานะของตู้เฟย นอกจากเหลยเจิ้นเยวี่ยแล้วยังมีใครกล้าสั่งให้เขาไปอยู่ข้างกายซ่งอิงหลันได้อีก


ดังนั้นเมื่อกองทุนการเงินในอาณัติมีปัญหา ซ่งเวยหลันจึงนึกถึงลุงเหลยเป็นอันดับแรก ในสมาพันธ์มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในกิจการของเธอได้


เรื่องอดีตของลุงเหลย ซ่งเวยหลันยิ่งรู้อย่างละเอียด พอเห็นบุตรชายนิ่งเงียบไม่พูดจา เธอหันไปถามตู้เฟยว่า “พี่สี่ ฉันเคารพลุงเหลยมาตลอด ขอเพียงลุงเหลยเอ่ยปาก มีหรือที่ฉันปฏิเสธ เขา…ทำไมเขาถึงทำแบบนี้?”


ในความทรงจำของซ่งเวยหลัน ลุงเหลยเป็นคนโผงผาง ไม่ได้เป็นคนละโมบในทรัพย์สินเงินทองเท่าใด อีกทั้งอายุอานามก็ปาเข้าไปแปดสิบกว่าปีแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมจึงลงมือทำเรื่องแบบนี้ได้ เป็นสิ่งที่ซ่งเวยหลันคิดไม่ตกเลยจริงๆ


“คือ…คือว่า ถ้าฉันเดาไม่ผิดล่ะก็ คงจะมีเหตุผลสองอย่าง….”


ได้ฟังข้อกังขาของซ่งเวยหลันแล้วตู้เฟยมีสีหน้าลังเล มองไปทางเยี่ยเทียนแล้ว พูดต่อว่า “ช่วงก่อนมีข่าวลือออกมาว่า เวยหลันเธอต้องการจะยกสมบัติทั้งหมดให้ตกอยู่ในมือของคนนอก แล้วค่อยขับไล่สมาชิกในสมาคมออกจนหมด ตอนนั้นเรื่องนี้ส่งผลกับสมาคมอย่างใหญ่หลวง…”


สำหรับคนตระกูลซ่งในต่างประเทศแล้ว สมาคมเปรียบเสมือนร่มคันใหญ่ที่คอยปกป้องคุ้มครอง สมาชิกจากตระกูลซ่งหลายคน ข้างกายจะมีคนของสมาคมอยู่ด้วย ไม่เพียงเท่านี้ ในตำแหน่งสำคัญของบริษัทของซ่งเวยหลันก็มีสมาชิกสมาคมดำรงตำแหน่งอยู่ด้วย


เมื่อซ่งเวยหลนตัดสินใจยกสมบัติมหาศาลให้แก่กองทุนแล้ว สมาชิกในสมาคมเหล่านั้นต่างได้รับผลกระทบ


เรื่องราวเป็นมาอย่างนี้ ก่อนที่จะมีการส่งมอบ ซ่งเวยหลันเคยปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในอย่างใหญ่หลวง นำเอาคนส่วนหนึ่งโยกย้ายออกไป หนึ่งในนั้นคือซ่งเสี่ยวหลง แน่นอนว่ารวมถึงคนของสมาคมด้วย


ซ่งเวยหลันอยากรีบปรับโครงสร้างระบบให้เสร็จโดยเร็วแล้วดึงตัวเองให้หลุดพ้นจากวงจรนี้เพื่อกลับไปอยู่ในประเทศจีน เธอผู้ที่ระแวดระวังมาตลอด กลับไม่ทันสังเกตรายละเอียดเล็กน้อย หรืออาจเพราะเธอเชื่อมั่นในการควบคุมของตัวเองมากเกินไป แต่เธอไม่ทราบมาก่อนว่า คนตระกูลซ่งในต่างประเทศกับคนของสมาคมมีลับลมคมในต่อกัน


ซ่งเวยหลันได้ฟังต้นเหตุแล้วก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “เสี่ยวเทียนไม่อยากรับช่วงต่อกิจการพวกนั้น ตอนนั้นฉันเองก็ใจร้อนเกินไป ความจริงแล้วควรจะจัดการให้เรียบร้อยดีกว่านี้”


ตลาดการค้าที่มูลค่าสูงถึงหลายแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หากอยากจะเปลี่ยนแปลงนั้น ต้องใช้เวลาหลายปีหรืออาจจะนานกว่านั้น เดิมทีซ่งเวยหลันวางแผนจะลงมือทำตามแผน แต่เพราะความคิดถึงบุตรชายและครอบครัวจึงทำให้เธอเร่งร้อนกับเรื่องนี้มากเกินไปจนไม่ได้จัดการให้ดี


“แม่ อย่าโทษตัวเองนักเลย เรื่องมันไม่ได้ง่ายอย่างนั้นหรอก”


เยี่ยเทียนโบกมือไปมา พูดต่อว่า “ตู้เฟย คุณพูดถึงเหตุผลที่สองเถอะ ผมว่า…เรื่องนี้น่าจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ลุงเหลยเปลี่ยนความคิด?”


เยี่ยเทียนเชื่อว่า ขอแค่เป็นมนุษย์ย่อมต้องมีจุดอ่อน ลุงเหลยเป็นคนที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อสมาคม ไม่อย่างนั้นด้วยฐานะอย่างเขา สามารถแสดงออกว่าไม่พอใจซ่งเวยหลันได้ตรงๆ ไม่ต้องถึงกับลักลอบทำเรื่องจุดไต้ตำตอแบบนี้


ตู้เฟยพยักหน้า “คุณชายน้อยพูดถูก ตามข่าวที่ได้รับมาคือ ซ่งเสี่ยวหลงสัญญาว่าถ้าให้เขาขึ้นรับตำแหน่งผู้นำหัวหน้าตระกูลซ่งในต่างประเทศแล้ว เขาจะมอบเงินทุนให้ลุงเหลยก้อนหนึ่งเป็นจำนวนไม่น้อย!”


ซ่งเวยหลันได้ฟังก็อึ้งไป ถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ลุงเหลยอยากได้เงินไปทำอะไร? ทำไมไม่มาขอที่ฉันล่ะ?”


เธอรู้จักกับลุงเหลยมายี่สิบกว่าปี ซ่งเวยหลันรู้ว่าลุงเหลยเป็นคนที่เคารพกฎเกณฑ์มากที่สุดคนหนึ่ง แม้ว่าขาจะมีโอกาสหาเงินมากมายมหาศาล แต่ไม่มีทางล้ำเส้นแน่นอน ถ้าบอกว่าลุงเหลยอยากได้เงินล่ะก็ ซ่งเวยหลันไม่ค่อยอยากจะเชื่อ


ตู้เฟยหัวเราะเสียงแห้ง “ตอนนี้สุขภาพของหัวหน้าใหญ่ในสมาคมไม่ค่อยดี เมื่อปีที่แล้วก็ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ หากคาดการณ์ไม่ผิดน่าจะอยู่ได้ไม่เกินปีนี้แน่…”


“ตู้เฟย เหลยเจิ้นเยวี่ยอายุปาเข้าไปเท่าไหร่แล้ว? คงไม่ได้หวังในตำแหน่งอะไรหรอกนะ?”


ตู้เฟยพูดยังไม่ทันขาดคำถูกเยี่ยเทียนพูดขัดขึ้น เหลยเจิ้นเยวี่ยหากเป็นคนรุ่นเดียวกับซ่งเฮ่าเทียน อายุคงไม่น้อยกว่าแปดสิบปีแล้ว เขายังมีแรงลงไปจัดการกับความวุ่นวายในการงานอีกเหรอ?


ตู้เฟยส่ายหัว ตอบว่า “คุณชายน้อย ตัวลุงเหลยไม่ได้อยากจะขึ้นนั่งตำแหน่งนั้นหรอก แต่ลูกชายของเขาเหลยหู่ ปีนี้อายุเพิ่งจะสี่สิบต้นๆ ยังมีความหวังอีกยาวไกล คนแก่ก็แก่ไปแล้ว แต่ยังมีห่วงเรื่องลูกหลาน….”


ในปีที่บิดาของตู้เฟยเสียชีวิต บุตรชายของเหลยเจิ้นเยวี่ยอายุเพิ่งจะยี่สิบกว่าปี ยังไม่มีชื่อเสียงเกียรติยศในสมาคมเลย ตำแหน่งหัวหน้าใหญ่นั้นอย่างไรก็ไม่มีทางตกไปถึงมือเขาได้ ลุงเหลยก็ยังไม่ได้มีความคิดในตอนนั้น


แต่เวลาผ่านไปยี่สิบกว่าปีแล้ว บุตรชายของเหลยเจิ้นเยวี่ยตอนนี้อยู่ในวัยหนุ่มแน่น ค่อยสร้างฐานอำนาจของตัวเองในสมาคม คนเราพอมีอำนาจ ก็มีความทะเยอทะยานตามมา


หัวหน้าใหญ่ตอนนี้ป่วยหนัก เบื้องหลังการแก่งแย่งตำแหน่งอำนาจค่อยๆรุนแรงขึ้น เหลยหู่ได้บอกเจตจำนงค์ของตนต่อบิดา แต่เขากลับมีจุดอ่อนข้อหนึ่งคือ ไม่มีเงิน


อย่าได้ดูถูกการใช้อำนาจเงินในสมาคมเชียว เฉกเช่นเดียวกับการเลือกตั้งในสหรัฐ ทุกตำแหน่งที่ประสบความสำเร็จ เบื้องหลังย่อมต้องมีกลุ่มการเงินที่เข้มแข็งคอยสนับสนุน


…………………………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)