หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 586-589

 บทที่ 586 คำขอแต่งงาน!

จินตั้วหมิงถึงกับผงะเมื่อได้ยินสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูด เขาเปิดปากเหมือนจะพูดตอบ แต่กลับหุบลงเสียงเมื่อมองเห็นสายตาที่อีกฝ่ายจ้องมองมา


สายตานั้นดูราวกับข่มขู่ และทำให้จินตั้วหมิงเลือกจะหัวเราะแห้งๆ แทน ชายหนุ่มต้องกลืนเอาคำพูดโต้ตอบที่คิดไว้เมื่อครู่ลงไป แต่เขาก็ยังไม่อาจจะเชิดชูหวังเป่าเล่อได้ เพราะฉะนั้น เขากระแอมครั้งหนึ่งก่อนจะดึงเอาแผ่นหยกออกมาจากกำลังไลคลังเก็บก่อนจะยื่นให้หวังเป่าเล่อ


“นี่คือรายชื่อจัดอันดับผลงานพันธุ์กล้าที่ประกาศโดยสหพันธรัฐ ข้าเอามามันให้ท่านโดยเฉพาะ” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อลุกวาวอย่างยินดีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เขากุลีกุจอดูแผ่นหยกทันทีที่ได้รับมา


เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นว่าชื่อของเขาอยู่ในอันดับหนึ่งของรายชื่อแถมผลงานยังนำหน้าหลี่อี้ไปนับสิบเคล็ดวิชาฝึกปราณก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองเป็นยิ่งนัก สำหรับเขาแล้ว เมื่อได้กลับสหพันธรัฐเมื่อใด ตัวเขาจะต้องได้ตำแหน่งผู้นำมาอย่างแน่นอน


เมื่อหวังเป่าเล่อฝันหวานไปว่าต้วนมู่น้อยจะต้องยอมลาออกจากตำแหน่งเพื่อเปิดทางให้ตัวเขาเมื่อเขากลับไป เขาก็ปลื้มปริ่มเสียจนต้องยกมือตีท้องอยู่ไปมาอย่างสุขสม แม้ว่าการสัมผัสท้องในครั้งนี้จะไม่สนุกเหมือนเดิมเพราะมันเล็กลง แต่ก็ยังเป็นนิสัยที่หวังเป่าเล่อแก้ไม่หาย ตัวเขาเองก็ไม่ใคร่จะใส่ใจเรื่องนี้นัก ชายหนุ่มเชิดคางขึ้นก่อนจะกระแอม


“มิ่งน้อย มีเพียงรายชื่อจัดอันดับผลงานพันธุ์กล้าเท่านั้นหรือ มีสิ่งอื่นมาด้วยหรือไม่”


จินตั้วหมิง ในฐานะผู้สืบทอดของกลุ่มไตรจันทรา ก็ฉลาดเป็นกรด เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อเขาก็หัวเราะออกมาเสียงลั่น ก่อนจะโยนกระเป๋าคลังเก็บมาให้หนึ่งใบ หวังเป่าเล่อเปิดดู และตาเขาก็ลุกวาวทันที เขาเงยหน้าขึ้นมองจินตั้วหมิงอย่างขอบคุณ


กระเป๋าคลังเก็บนั้นอัดแน่นไปด้วยขนมต่างรสมากมาย และยังมีน้ำเย็นหล่อวิญญาณนับร้อยกล่องอีกด้วย สำหรับหวังเป่าเล่อผู้ที่เลียขนมสามชิ้นสุดท้ายอยู่ไปมาเป็นเวลานานในระยะเวลาหนึ่งปีที่เขาอยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาลจนกระทั่งจืดหมดแล้ว สิ่งนี้เป็นของขวัญชิ้นใหญ่ทีเดียว


หวังเป่าเล่อผู้เสียการควบคุมตนเองฉีกถุงขนมเปิดออก ชายหนุ่มยกขนมขึ้นกัดหนึ่งคำแล้วร่างกายก็สั่นเทิ้ม เขาหลับตาก่อนจะพึมพำกับตนเอง


“รสชาติของบ้านเกิด ข้า หวังเป่าเล่อ ไม่ใช่คนที่ตะกละตะกลาม ความรู้สึกนี้คือความคิดถึงบ้านต่างหาก…”


จินตั้วหมิงกะพริบตาอยู่หลายครั้ง เขาคิดว่าการที่เขานำเอารายชื่อจัดอันดับผลงานพันธุ์กล้าและขนมมาให้หวังเป่าเล่อ แถมยังไม่ต่อล้อต่อเถียงกับคำพูดหลงตัวเองของอีกฝ่าย น่าจะเพียงพอที่จะทำให้หวังเป่าเล่อพอใจในตอนนี้ เพราะฉะนั้น เขาจึงกระแอมก่อนจะเริ่มพูดด้วยหน้าตาเขินอาย


“เป่าเล่อ ข้ามีบางอย่างที่…ข้าอยากจะบอกเจ้า”


หวังเป่าเล่อหยิบเอาน้ำเย็นหล่อวิญญาณออกมาขวดหนึ่งก่อนจะยกขึ้นดื่มอึกใหญ่ ความเย็นทำให้เขารู้สึกสบายและอารมณ์ดีขึ้นอีกมาก เขาหันมามองจินตั้วหมิงด้วยสายตาอิ่มเอม ก่อนจะยกมือขึ้นโบกและพูด


“พูดมาสิ! มีเรื่องอะไรกัน”


เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ จินตั้วหมิงก็ทอดถอนใจก่อนจะพูดด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน


“เป่าเล่อ ชีวิตในปีที่ผ่านมาของข้ายากลำบากนัก…พวกเราเป็นเหมือนพี่น้อง ความเป็นจริงข้อนี้ทุกคนบนดาวอังคารรู้ดี กระทั่งในสหพันธรัฐก็เช่นกัน แต่ทว่า เรื่องนี้มันเกินความควบคุมของข้า ข้ามาที่นี่โดยมีภารกิจที่ต้องทำ…” จินตั้วหมิงจ้องมองสีหน้าของหวังเป่าเล่ออย่างระมัดระวัง หลังจากที่เห็นว่าหวังเป่าเล่อหยุดโบกมือที่ถือขนมอยู่ จินตั้วหมิงก็รีบพูดต่อ


“เพราะว่าเจ้าทั้งสามารถและเหนือกว่า ทำให้เจ้าผู้นำชั่วช้าอย่างต้วนมู่ฉีระแวงเจ้าเป็นอย่างมาก ถึงขนาดข่มขู่ให้ข้ามาตกระกำลำบากกับเจ้าด้วย!


“เป่าเล่อ นี่ไม่ใช่การปฏิวัติที่ข้าต้องการ ข้าไม่มีทางเลือก แม้กลุ่มไตรจันทราของข้าจะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่พวกเราก็ยังอ่อนแอนักหากเทียบกับต้วนมู่ฉี เจ้าบ้านั่นทำเกินไปแล้วที่บังคับให้ข้าต้องมาแข่งขันกับพี่ชาย! เป่าเล่อ หลังจากที่ข้าใคร่ครวญเรื่องนี้อย่างละเอียด ข้าคิดว่าทางออกที่ดีที่สุดก็คือให้ข้าเป็นผู้นำแห่งสหพันธรัฐ และเจ้าเป็นรองผู้นำของข้า เจ้าจะได้อำนาจตัดสินใจทุกอย่างไปเลย!”


จินตั้วหมิงมีสีหน้าลำบากใจยิ่ง ราวกับว่าสิ่งนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการเช่นกัน แต่ทว่า ณ จุดๆ นี้ หวังเป่าเล่อจู่ๆ ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนต้องวางขนมและน้ำลง ก่อนจะเงยศีรษะขึ้นมองหน้าจินตั้วหมิง


“มิ่งน้อย นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ข้า หวังเป่าเล่อ ไม่ใช่คนใจแคบ พวกเราจะแข่งขันกันอย่างยุติธรรมและผลประโยชน์ของสหพันธรัฐเป็นที่ตั้ง แต่ทว่า สำนักวังเต๋าไพศาลเป็นสถานที่ที่อันตรายยิ่ง และทุกๆ คนที่นี่ก็โหดร้าย จะว่าอย่างไรดี แต่หากมีวันใดใครเกิดเห็นเจ้าขวางหูขวางตาเข้าละก็…” หวังเป่าเล่อส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ เขาไม่ได้พูดต่อจนจบ แต่ความโหดร้ายในดวงตาเขาก็แข็งกล้าเสียจนเกินจะซ่อนเร้น


หวังเป่าเล่อยิ้มเยาะอยู่ในใจ เพราะสำหรับเขาแล้ว ใครก็ตามที่กล้ามาแข่งขันกับเขาก็คือศัตรู! ในเวลาเดียวกัน เขารู้สึกว่าสิ่งที่จินตั้วหมิงพูดตอนจบนั้นฟังดูคุ้นหูพิกล เพราะเป็นวิธีการเดียวกับที่เขาใช้หลอกหลี่หว่านเอ๋อร์เมื่อครั้งก่อน


เมื่อมองเห็นความร้ายกาจในดวงตาของหวังเป่าเล่อ จินตั้วหมิงก็เริ่มกลัว เขาจึงเปิดปากพูดต่อทันที


“เป่าเล่อ ข้าเองก็ไม่อยากทำเช่นนี้ แต่จินตั้วหมิงกดดันข้าด้วยอำนาจของเขา…”


“ข้าจำได้ว่าผู้นำแห่งสหพันธรัฐต้องเป็นศิษย์จากหนึ่งสี่ยอดสำนักเต๋าศึกษา แต่มาตรฐานข้อนี้รวมถึงกลุ่มไตรจันทราด้วยหรือเปล่า” เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็จ้องมองจินตั้วหมิง


จินตั้วหมิงกะพริบตาถี่ การจะพูดว่าเขาไม่ต้องการเป็นผู้นำของสหพันธรัฐคงไม่ถูกนัก แต่หลังจากที่ชั่งน้ำหนักทุกอย่างแล้ว จินตั้วหมิงก็ยังตัดสินใจจะพูดความจริง


“ช่วงปลายปีที่แล้ว…ต้วนมู่ฉีส่งข้าเข้าเรียนที่สำนักศึกษาเต๋ากวางขาว…ข้าไม่ได้ไปด้วยความเต็มใจ แต่เป็นคำสั่งของเจ้าต้วนมู่ฉีผู้ชั่วช้า”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ยิ้มออกมาอย่างเสแสร้ง จากที่รู้จักจินตั้วหมิงมา การบีบบังคับของต้วนมู่ฉีเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้น จินตั้วหมิงเองก็ต้องอยากจะรับโอกาสที่มีคนหยิบยื่นมาให้อยู่แล้ว


ยิ่งไปกว่านั้น แม้พวกเขาทั้งสองจะเคยร่วมงานกันมาบนดาวอังคารระยะหนึ่ง แต่จินตั้วหมิงก็ไม่ใช่กงเต๋า กงเต๋ายอมหวังเป่าเล่อ แต่จินตั้วหมิงนั้นหยิ่งผยองเกินกว่านั้นมาก


เพราะฉะนั้น อาจจะจริงที่ว่าจินตั้วหมิงไม่ได้เป็นผู้เริ่มเรื่องนี้ แต่ทว่าก็เป็นไปได้เช่นกันว่าเขาต้องการคว้าโอกาสเอาไว้ แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเวลาที่ต้วนมู่ฉีเริ่มหลงตัวเอง ขณะนี้เมื่อได้รู้ว่าผลงานของหวังเป่าเล่อดีเกินกว่าที่เขาคาดการเอาไว้มาก ก็เลยเกิดกลัวว่าหวังเป่าเล่อจะไปแทนที่เขาเมื่อถึงเวลากลับไปยังโลก


ต้วนมู่น้อย เจ้าล้ำเส้นเสียแล้ว หวังเป่าเล่อยิ้มเยาะอยู่ในใจ ชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก เพราะอย่างไรเสีย เขาก็กุมความได้เปรียบอยู่จากสิ่งที่เขาต้องประสบพบเจอในปีที่ผ่านมา แถมเขายังมีหน้ามีตาในสำนักวังเต๋าไพศาลอีกด้วย ตอนนี้การได้แต้มการรบสำหรับเขาเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง


ดูเหมือนว่าข้าจะต้องเรียกรู้เคล็ดวิชาการฝึกตนให้ได้หนึ่งร้อยอันเพื่อที่ต้วนมู่น้อยจะได้หมดสิ้นความหวังและลาออกจากตำแหน่งแต่โดยดีสินะ! เมื่อคิดเช่นนั้นแล้ว หวังเป่าเล่อก็รู้สึกภูมิใจในตนเองเล็กน้อย เพราะอย่างไรเสีย เขาก็เป็นคนเดียวในสหพันธรัฐที่ทำให้ผู้นำแห่งสหพันธรัฐกลัวเสียเก้าอี้ได้


หวังเป่าเล่อโบกมือเป็นเชิงว่าไม่ต้องการจะพูดเรื่องนี้อีกต่อไป เมื่อเห็นดังนั้น จินตั้วหมิงก็ถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ แม้ว่าเขาจะมักใหญ่ใฝ่สูงเพียงใด แต่เขาก็ไม่อยากจะท้าทายหวังเป่าเล่อ สิ่งที่เขาพูดไปเมื่อครู่นั้นส่วนใหญ่ก็ออกมาจากใจจริง และเขายังพูดดักคอไว้ก่อนเพื่อจะได้ไม่ต้องกลายเป็นศัตรูกับหวังเป่าเล่อในอนาคต


เพราะอย่างไรเสีย จินตั้วหมิงก็รู้ว่าหวังเป่าเล่อแม้ภายนอกจะดูเป็นมิตร แต่ถ้าต้องการแล้วเขาก็จะกลายเป็นคนโหดร้ายขึ้นมาเมื่อใดก็ได้ ขณะนี้ จินตั้วหมิงลำบากใจยิ่งจึงต้องเยินยอหวังเป่าเล่อออกมาตามสัญชาติญาณ ก่อนจะพูดคุยกันอีกยาวจนกระทั่งจินตั้วหมิงจากไปเมื่อเวลาใกล้ค่ำ


หวังเป่าเล่อครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อย่างละเอียดหลังจากที่จินตั้วหมิงจากไป ชายหนุ่มคิดว่าต่อให้มีการหนุนหลังจากต้วนมู่ฉี ก็ยังเป็นการยากนักที่จินตั้วหมิงจะก้าวข้ามตัวเขาได้ เพราะฉะนั้น หวังเป่าเล่อจึงไม่ได้เก็บมาคิดมากนัก และเริ่มทำสมาธิและฝึกเคล็ดวิชาฝึกตนต่อไปหลังจากที่กลับไปยังถ้ำที่พัก


หลายวันผ่านไป นอกจากประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพและจินตั้วหมิง ก็ยังมีผู้คนอีกจำนวนหนึ่งที่หวังเป่าเล่อรู้จักคุ้นเคยอยู่ในกลุ่มพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐรุ่นที่สองที่มาเยี่ยมเขา แต่ทว่า จั่วอี้เซียนไม่ได้โผล่หน้ามาเลย หวังเป่าเล่อไม่แปลกใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย ชายหนุ่มยังคงติดต่อกับหยุนเพียวจื่อ เพื่อให้อีกฝ่ายส่งคนไปตามดูจั่วอี้เซียน เขาอยากจะหาโอกาสให้จั่วอี้เซียนได้สะสางปัญหากับจั่วอี้ฟานเสียที


แต่ทว่า จั่วอี้เซียนหายตัวไปในวันที่ห้าหลังจากมาถึงสำนักวังเต๋าไพศาล ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปไหน รวมถึงหยุนเพียวจื่อด้วย ทำเอาหวังเป่าเล่อตกตะลึงเมื่อเขาคิดไปถึงสิ่งที่ประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพพูด ชายหนุ่มกำลังใคร่ครวญสถานการณ์อยู่นั่นเองเมื่อมีข่าวใหญ่แพร่ไปในสำนักวังเต๋าไพศาลที่มาดึงความสนใจของเขาไปก่อน


ประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพเป็นคนเริ่มข่าวนี้ ความตื่นตะลึงแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวระแหง ทุกๆ คนที่ได้ยินข่าวต้องสายตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ กระทั่งเมี่ยเลี่ยจื่อก็ยังแทบไม่อยากเชื่อหูตนเอง


ข่าวนั่นก็คือ…ประมุขสำนักสวีแห่งสำนักรุ่งสางจักรพิภพส่งคำขอแต่งงานไปให้เฟิ่งชิวหรัน!


แต่ทว่า คำขอนั้นไม่ใช่สำหรับตัวเขาเอง แต่เขาขอเฟิ่งชิวหรันแต่งงานในฐานะฑูตจากหลี่ซิงเหวิน!


บทที่ 587 การนำเครือข่ายวิญญาณไปใช้ในชีวิตประจำวัน!

ทันทีที่ข่าวนี้แพร่ออกไป ผู้ฝึกตนทั้งหมดในสำนักวังเต๋าไพศาลก็ตกตะลึงไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง สิ่งที่ตามมาก็คือการถกเถียงพูดคุยและความโกลาหลราวกับพายุเข้า


กระทั่งผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐทั้งสองรุ่นก็ยังแทบไม่อยากจะเชื่อ เมื่อได้ยินข่าว หวังเป่าเล่อเองก็อึ้งไปเช่นกัน เขาจินตนาการถึงหลี่ซิงเหวินและเฟิ่งชิวหรันยืนเคียงข้างกันอยู่ในใจ แล้วก็คิดขึ้นมาได้ว่าทั้งคู่ดูจะเข้ากันดีไม่ใช่น้อย


ผู้อาวุโสเฟิ่งสนับสนุนสหพันธรัฐเป็นอย่างดีตลอดมา…หรือจะเป็นเพราะหลี่ซิงเหวินกันนะ ชายหนุ่มกะพริบตา เขากลายมาเป็นคนชอบเรื่องซุบซิบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดไปถึงหลี่อู๋เฉิน…


หวังเป่าเล่อรู้ความลับมามากมายก่อนที่เขาจะขึ้นมายังกระบี่สำริดเขียวโบราณในฐานะขุนนางระดับสองชั้นรอง ในบรรดาความลับเหล่านั้น มีเรื่องของหลี่อู๋เฉินอยู่ด้วย หวังเป่าเล่อรู้ว่าหลี่อู๋เฉินเป็นเด็กที่ผู้อาวุโสสูงสุดพาลงมาจากสำนักวังเต๋าไพศาลเมื่อหลายปีก่อน


เป็นไปได้ไหมว่า…หลี่อู๋เฉินไม่ได้เป็นแต่ศิษย์ของหลี่ซิงเหวินแต่เป็น…ลูกชาย เมื่อหวังเป่าเล่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ นัยน์ตาเขาก็เบิกกว้าง ชายหนุ่มรู้สึกว่าเรื่องนี้มีมูลอยู่บ้าง


แต่ทว่า ตอนนั้น ผู้อาวุโสสูงสุดและกลุ่มไม่ได้อยู่ที่นี่นานพอจะให้เด็กเกิดมานี่… หวังเป่าเล่อเกาศีรษะพลางคิดไปว่าอาจจะมีกระบวนเวทบางอย่างที่ช่วยร่นระยะเวลาการตั้งท้องได้ แต่ไม่ได้ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ หวังเป่าเล่อก็มั่นใจว่าหลี่อู๋เฉินเป็นลูกชายของหลี่ซิงเหวินแน่นอน


“ใครจะไปคิดว่าผู้อาวุโสสูงสุดจะแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น…อยู่ในขั้นลมหายใจเที่ยงแท้หรือขั้นรากฐานตั้งมั่นเท่านั้นเอง แต่กลับมีลูกกับผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณได้…” หวังเป่าเล่อพึมพำ ความเคารพเกิดขึ้นในใจเขา ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มก็เปิดห้องพูดคุยรวมของสหพันธรัฐขึ้นดู มีการส่งข้อความกันไปมายุ่งเหยิง ทุกข้อความนั้นเกี่ยวข้องกับการแต่งงานนี้


หลังจากที่อ่านไปส่วนใหญ่ หวังเป่าเล่อก็พิมพ์ข้อความส่งไปในกลุ่มด้วยอารมณ์


“ท่านผู้อาวุโสสูงสุดยอดเยี่ยมไปเลย!”


คำพูดนั้นได้รับความสนับสนุนอย่างมาก ในไม่ช้า ทุกคนต่างก็เริ่มพูดเป็นทำนองเดียวกัน ต่างกันเพียงแค่ชื่อที่ใช้เรียกเท่านั้น เมื่อหวังเป่าเล่อวางแผ่นหยกเครือข่ายวิญญาณลง ชายหนุ่มก็กลับไปนั่งในถ้ำที่พักและคิดเรื่องนี้ต่อ ก่อนจะสรุปว่าอาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่ตาเห็น


ประมุขสำนักสวีกล่าวก่อนหน้านี้ว่าภารกิจที่สองของเขาคือการควบรวมเข้ากับสำนักวังเต๋าไพศาลโดยสมบูรณ์…หรือว่านี่จะเป็นขั้นแรก ยิ่งหวังเป่าเล่อคิดเรื่องนี้มากเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกมั่นใจขึ้นเท่านั้น หากหลี่ซิงเหวินและเฟิ่งชิวหรันแต่งงานกัน เป้าหมายของประมุขสำนักสวีก็จะเสร็จสิ้นไปเปลาะหนึ่ง


โลกของผู้ใหญ่ช่างซับซ้อนเสียเหลือเกิน ชายหนุ่มรูปงามเช่นข้าเข้าใจได้ไม่หมด… หวังเป่าเล่อทอดถอนใจก่อนจะส่ายศีรษะ เขายกน้ำเย็นหล่อวิญญาณขึ้นจิบก่อนจะตบท้องเบาๆ


ในช่วงระยะเวลานี้ หวังเป่าเล่อก็เริ่มฝึกปราณต่อไป ประกอบกับการที่เขามีขนมกินอย่างเต็มที่ ไขมันวิญญาณก็เริ่มมาเกาะกุมที่หน้าท้องอีกครั้ง…


หวังเป่าเล่อไม่ใคร่จะกังวลกับไขมันวิญญาณเล็กน้อยเท่าใดนัก ชายหนุ่มรู้สึกว่าหากเขาสามารถจะลดน้ำหนักได้รวดเร็วเช่นก่อนหน้านี้ ไขมันวิญญาณเล็กน้อยก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด เขาเพียงแต่ต้องออกแรงเล็กน้อยเพื่อเอามันออก


บางทีถ้าข้าลดน้ำหนักได้อีกครั้งหนึ่ง ข้าอาจจะบรรลุขั้นจุติวิญญาณเลยก็ได้ เมื่อคิดเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็จึงปล่อยตัวให้อ้วนกว่าเก่า เขาหยิบขนมออกมาเปิดอีกถุงและกินเข้าไปหลายคำโตๆ ยิ่งเขากินมากเท่าใด เขาก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น


น่าเสียดายที่ไม่มีน่องไก่ ไม่มีไข่ต้ม และไม่มีตีนหมู…เฮ้อ ทุกสิ่งทุกอย่างยอดเยี่ยมจริงๆ ในสำนักวังเต๋าไพศาล ขาดแต่เพียงของอร่อยก็เท่านั้น…หวังเป่าเล่อส่ายศีรษะก่อนจะทำสมาธิและศึกษากระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงขั้นที่สามและวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิลักอัคคีขั้นที่สองต่อไป


ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มยังเริ่มเบนความสนใจมากยังวิธีการหลอมฝักกระบี่ภายในกายให้กลายเป็นอาวุธเวท เขาใช้เวลาครุ่นคิดและค้นคว้าทุกๆ วัน


เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าเช่นนี้ ตามปรกติแล้ว การซุบซิบนินทาของผู้คนจะหายไปเองตามกาลเวลา แต่ทว่าไม่ใช่เรื่องการขอแต่งงานของหลี่ซิงเหวินกับเฟิ่งชิวหรัน ไม่เพียงแต่จะไม่จางไปเท่านั้น ยังมีผู้คนพูดคุยเรื่องนี้กันหนาหูขึ้นเสียอีก


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตัวละครหลักคือ เฟิ่งชิวหรัน ไม่ได้ออกมาอธิบายเรื่องนี้ด้วยตนเองหลังจากความแตกตื่นครั้งแรก แม้ว่านางจะไม่ได้ตอบตกลง แต่นางก็ไม่ได้ปฏิเสธ ทำให้ทุกคนที่ตั้งตารอคำตอบนั้นยิ่งซุบซิบกันไปมากขึ้นอีก!


ในเวลาเดียวกัน ขณะที่การพูดคุยซุบซิบอย่างเร่าร้อนเรื่องของหลี่ซิงเหวินและเฟิ่งชิวหรันกำลังแพร่กระจายไปทั่วสำนักวังเต๋าไพศาล จินตั้วหมิงและประมุขสำนักสวีแห่งสำนักรุ่งสางจักรพิภพก็เริ่มมาสนิทสนทกัน ชายวัยกลางคนพาชายหนุ่มไปพบปะทำความรู้จักกับผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณแทบทุกคน รวมถึงเมี่ยเลี่ยจื่อด้วย


ประมุขสำนักสวีไม่ลืมไปทักทายโยวหรันเช่นกัน ด้วยวิธีการใดก็ตามแต่ ดูเหมือนว่าประมุขสำนักสวีจะมีความสัมพันธ์อันดีเยี่ยมกับฝ่ายบริหารระดับสูงแทบทุกคนในสำนักวังเต๋าไพศาล มีผู้ฝึกตนสตรีขั้นจุติวิญญาณหลายคนที่ดูเหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์อันดีกับเขาด้วย


แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่น่าใจที่สุด หลังจากที่ความสัมพันธ์นั้นดำเนินไปเช่นนี้ราวครึ่งเดือน ข่าวที่ทำเอาสำนักวังเต๋าไพศาลสั่นคลอนก็ดังขึ้นอีกครั้ง ผู้ที่เริ่มปล่อยข่าวคราวนี้ไม่ใช่ประมุขสำนักสวีแต่เป็น…จินตั้วหมิง!


จินตั้วเปิดเครือข่ายวิญญาณบนสำนักวังเต๋าไพศาลขึ้น!


ร้อยละสามสิบของผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐรุ่นที่สองเชี่ยวชาญด้านนี้เป็นอย่างยิ่ง ด้วยความช่วยเหลือและความร่วมมือจากพวกเขา วิทยาการของสหพันธรัฐก็ถูกนำมาเผยแพร่ยังสำนักวังเต๋าไพศาลได้สำเร็จ และเครือข่ายวิญญาณก็ถือกำเนิดขึ้น!


จำเป็นต้องกล่าวก่อนว่า ในสหพันธรัฐนั้น เครือข่ายวิญญาณเป็นผลงานที่เกิดขึ้นและถูกทำให้แพร่หลายโดยกลุ่มไตรจันทรา และต่อมาจึงได้รับการยอมรับจากสหพันธรัฐ เพราะฉะนั้น สำหรับจินตั้วหมิงแล้ว เครือข่ายวิญญาณเป็นผลงานเฉพาะของตระกูลจิน


อุปสรรคที่สำคัญที่สุดในการก่อตั้งเครือข่ายวิญญาณก็คือการขัดขวางของผู้บริหารระดับสูงในสำนักวังเต๋าไพศาล แต่ด้วยเหตุผลบางประกอบ ด้วยการหว่านอ้อมของประมุขสำนักสวี สำนักวังเต๋าไพศาลกลับให้การยอมรับ!


ดูราวกับว่า การไปเยี่ยมเยียนและความสัมพันธ์ที่เขาสร้างขึ้นระหว่างเดือนที่ผ่านมาก็เพื่อเป็นการกรุยทางให้การเปิดตัวเครือข่ายวิญญาณ ในเวลาเดียวกัน ก็ดูคล้ายกับว่าจะมีการแลกเปลี่ยนบางอย่างเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามแต่ เครือข่ายวิญญาณของจินตั้วหมิงก็เปิดตัวได้สำเร็จ และแม้ว่าจะครอบคลุมระยะไม่ไกลนัก แต่ก็คลุมทั้งเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลและเกาะข้างเคียงอื่นๆ


อุปกรณ์การใช้เพื่อเข้าถึงเครือข่ายวิญญาณนั้น จินตั้วหมิงก็นำมาแจกให้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ต้นทุนนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาเท่าใดนัก เขาจึงแจกอุปกรณ์ให้กับศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลแทบทุกคน ตอนแรกเริ่ม พวกเขาส่วนใหญ่ก็ดูจะไม่เห็นค่ามันนัก ขณะที่บางคนก็ไม่ชอบเอาเสียเลย มีบางคนที่ได้รับมาแล้วก็ไม่ใช้ มีศิษย์จำนวนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่สงสัยและเข้าร่วมลงสมัครเพื่อเข้าไปดูเครือข่ายวิญญาณ


ศิษย์เหล่านั้นติดเครือข่ายวิญญาณในทันทีที่เข้าไป พวกเขารู้สึกว่ามันช่างเป็นสิ่งน่าทึ่ง หน้าหลักของเครือข่ายวิญญาณนั้นเข้าใจง่ายและถูกแบ่งตามกระทู้ต่างๆ โดยจินตั้วหมิง


แม้ว่าจะมีเพียงกระทู้เดียวที่เปิดอยู่ แต่กระทู้นั้นก็ถูกใช้เพื่อกระจายข่าวและเรื่องซุบซิบ ในนั้นมีทั้งเรื่องใหญ่เรื่องเล็กที่นำมารวบรวมโดยผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐ แม้จะไม่สมบูรณ์ แต่ก็ยังถือว่าเป็นช่องการรู้เรื่องที่เกิดขึ้นนอกสำนักโดยไม่ต้องออกจากบ้านไป


ในขณะเดียวกัน จินตั้วหมิงผู้ที่กำลังคร่ำเคร่งกับการเก็บข้อมูลก็ไม่มีเวลาเก็บแต้มการรบ แต่เขามีวัตถุดิบการหลอมจำนวนมาก สิ่งนั้นเตะตาผู้คนจำนวนมาก ทำให้มีคนมาขอแลกข้อมูลกับวัตถุดิบการหลอม ทำให้ข้อมูลบนหน้าเครือข่ายวิญญาณนั้นยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นไปอีก


จินตั้วหมิงไม่ได้ทิ้งเรื่องซุบซิบเช่นกัน เขาตั้งมั่นอยู่กับสองสิ่งเท่านั้น สิ่งแรกคือความสัมพันธ์อันคลุมเครือระหว่างหลี่ซิงเหวินและเฟิ่งชิวหรัน และอีกสิ่งก็คือการกระจายข่าวเรื่องชีวิตของหวังเป่าเล่อเพื่อใช้ความโด่งดังของชายหนุ่มในการดึงความสนใจของบรรดาศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาล


หากเพียงเท่านั้น ผู้คนก็คงเลิกสนใจเครือข่ายวิญญาณไปในไม่ช้า แต่ทว่า ในฐานะผู้สืบทอดของกลุ่มไตรจันทรา จินตั้วหมิงรู้ดีว่าจะต้องดึงความสนใจของตลาดเอาไว้อย่างไร หลังจากที่เห็นจำนวนผู้ใช้เริ่มร่อยหรอลงทุกวัน ชายหนุ่มจึงเปิดกระทู้สนทนาใหม่ขึ้นมาทันที!


กระทู้นั้นมีชื่อว่า… ‘ช่องทางการหาคู่ หาเพื่อน และความบันเทิง’!


ทันทีที่กระทู้นั้นเปิดขึ้นมา ก็ทำให้บรรดาศิษย์จากสำนักวังเต๋าไพศาลตาลุก พวกเขาเข้าไปสำรวจกระทู้นั้นอย่างสนใจใคร่รู้และจากการใช้เงินก้อนใหญ่ทุ่มลงไป จินตั้วหมิงก็ชวนหวงหยุนซาน หนึ่งในศิษย์เอกแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลและเนื้อคู่แห่งเต๋าของโจวชู่เต๋ามาเข้าร่วมได้!


เขาเชิญนางมาในฐานะฑูตและนักโฆษณาของกระทู้สำหรับการหาคู่ หาเพื่อน หรือความบันเทิง ศิษย์ทุกคนที่เข้ามาในเครือข่ายวิญญาณก็จะได้เห็นรูปร่างอันเย้ายวนใจของหวงหยุนซาน


สิ่งนั้นดึงเอาความสนใจของผู้คนได้ในทันที เมื่อข่าวกระจายออกไป ผู้คนจำนวนมากก็เข้าร่วมทันที และจำนวนคนที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นผู้ใช้ใหม่ทั้งสิ้น!


สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกถูกคุกคามเป็นอย่างยิ่ง!


บทที่ 588 เซี่ยไห่หยางผู้วิตกกังวล!


ในเวลาเดียวกันนั้น ผู้ฝึกตนจำนวนมากทั้งชายหญิง จากพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐรุ่นที่สองก็เข้าร่วมเป็นสมาชิกกระทู้หาคู่ หาเพื่อน และความบันเทิงด้วย รูปร่างหน้าตาที่ยอดเยี่ยมของพวกเขาก่อให้เกิดกระแสความนิยมขึ้นในกระทู้นั้น


หลังจากนั้น จินตั้วหมิงก็เชิญศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลจำนวนหนึ่งเข้ามาเป็นสมาชิกเช่นกัน ในทางนี้ ในเวลาเพียงครึ่งเดือน ร่วมกับกระแสของการผลักดันกิจกรรมในกระทู้ซุบซิบ ทำให้เครือข่ายวิญญาณได้รับความนิยมมหาศาล


ศิษย์รับรู้เกี่ยวกับเครือข่ายวิญญาณมากขึ้นเรื่อยๆ และจำนวนไม่น้อยก็เริ่มเข้าร่วมและอ่านเนื้อหาด้านใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจินตั้วหมิงได้จัดการนัดบอดครั้งใหญ่ขึ้นมา…


ในเวลาไม่ถึงสองเดือน ขณะที่หวังเป่าเล่อยังคงพยายามควบคุมพลังปราณของตน จินตั้วหมิงก็สร้างความโกลาหลให้กับศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลทั้งหลาย เขาเกิดมีชื่อเสียงขึ้นมา และในเวลาเดียวกับ เครือข่ายวิญญาณก็ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของบรรดาศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลเป็นที่เรียบร้อย!


แต่ทว่า ศิษย์จำนวนมากก็ใช้เพื่อความสนุกเท่านั้น ไม่ใช่ของที่จะขาดไม่ได้ จนกระทั่งประมุขสำนักสวีติดต่อไปหาเฟิ่งชิวหรัน หลังจากที่เฟิ่งชิวหรันให้การรับรอง จินตั้วหมิงก็เปิดกระทู้ที่สามที่สำคัญที่สุดในเครือข่ายวิญญาณ!


ได้แก่…กระทู้สำหรับการซื้อขายบริการและสินค้า!


สินค้าจากสหพันธรัฐและสมบัติเวทจำนวนมากปรากฏขึ้นบนกระทู้ในทันที ในเวลาเดียวกันก็ยังมีขนมจำนวนมากปรากฏขึ้นเป็นราบวัน จินตั้วหมิงมุ่งเน้นสินค้าอุปโภคบริโภครายวัน เขาได้ทำการศึกษามาเป็นอย่างดีและพบว่าการฝึกปราณของสหพันธรัฐไม่ได้เป็นที่นิยมกันนักในสำนักวังเต๋าไพศาล แม้ศิษย์จากสหพันธรัฐอาจจะไม่มีฝีมือในการหลอมวัตถุเวทสูงนัก แต่กลับเก่งเรื่องการทำสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นอย่างยิ่ง


ในเวลาเดียวกัน จินตั้วหมิงยังจับตามองแผ่นหินรับภารกิจอีกด้วย ด้วยความสนับสนุนจากประมุขสำนักสวีผนวกกับการสนับสนุนอย่างเงียบๆ ของเฟิ่งชิวหรัน จินตั้วหมิงก็คัดลอกแผ่นหินไปลงในเครือข่ายวิญญาณ ทำให้ศิษย์ทุกคนสามารถรับภารกิจผ่านเครือข่ายวิญญาณได้!


หากเพียงแค่นั้นก็คงไม่สำคัญเท่าใดนัก เพราะว่าในถ้ำที่พักทุกแห่งก็มีแผ่นหินรับภารกิจขนาดย่อมๆ อยู่แล้ว แม้ว่าจะใช้ทำภารกิจให้สำเร็จและบันทึกไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถใช้ตรวจสอบและรับภารกิจได้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่จินตั้วหมิงทำก็คือการนำเอาความสะดวกสบายมาให้


แต่ทว่า สำหรับจินตั้วหมิงแล้ว เขารู้ดีว่าเป้าหมายหลักของเครือข่ายวิญญาณก็คือการนำเอาความสะดวกสบายมาให้ผู้คน แม้จะสบายขึ้นเพียเล็กน้อย แต่สำหรับจินตั้วหมิงก็ถือว่าประสบความสำเร็จ!


นั่นก็เพราะว่าสำหรับเขา อาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลก็คือความสะดวกสบายนั่นเอง เมื่อใดก็ตามที่ทุกคนเคยชินกับมัน ก็จะเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนนิสัยไป กลายเป็นว่าความเปลี่ยนแปลงจะกลายเป็นเรื่องยากจะยอมรับ


สิ่งนี้ก็เป็นแผนของเขาเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น เป้าหมายที่เขาได้รวมเอาข่าวและเรื่องซุบซิบเอาไว้ก็เพื่อให้ทุกคนรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องเดินออกจากบ้านหรือถามคนอื่นๆ นัดบอดและกระทู้หาเพื่อนก็บรรลุเป้าหมายนี้เช่นกัน มันไหลเข้าไปรวมกับชีวิตประจำวันของบรรดาศิษย์ จนกระทั่งมีเพียงชุมชนเท่านั้น ไม่เหลือผู้คนอยู่เดี่ยวๆ อีกต่อไป


โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกระทู้สำหรับการซื้อขายบริการและสินค้า ซึ่งนำเอาความสะดวกสบายมาสู่ทุกผู้คนอย่างตรงไปตรงมาที่สุด เพราะฉะนั้น การเกิดขึ้นของเครือข่ายวิญญาณก็จึงมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสำนักวังเต๋าไพศาล ที่แม้จะเหนือกว่าในด้านการฝึกปราณแต่ไม่ใช่ในด้านคุณภาพชีวิต ผลกระทบนี้รุนแรงเสียจนรุนแรงกว่าระเบิดต้านทานวิญญาณเสียอีก!


และด้วยเหตุนี้เอง เครือข่ายวิญญาณก็กลายเป็นสิ่งยอดนิยมในสำนักวังเต๋าไพศาล กระทั่งผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณบางคนก็ยังเปิดเข้าไปดู และก็ต้องติดงอมแงมเช่นกัน


ในแง่หนึ่ง ความสะดวกสบายที่เครือข่ายวิญญาณนำมาให้ทุกคนนี้ทำให้การควบรวมสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลสำเร็จไปแล้วในขั้นแรก อาจจะพอจินตนาการได้ว่าหากศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลติดเริ่มติด เครือข่ายวิญญาณก็จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเขาอย่างถาวร


เมื่อทุกๆ อย่างดำเนินการไปตามแผน ระบบการชำระเงินที่ใช้กับเครือข่ายวิญญาณ กระทู้ต่างๆ ก็มีค่าธรรมเนียมการใช้ที่แม้จะไม่แพงนัก จินตั้วหมิงก็ยังสามารถจะหาแต้มการรบปริมาณมหาศาลได้ในระยะเวลาอันสั้น


หวังเป่าเล่อมองเครือข่ายวิญญาณเติบโตจากความหว่างเปล่าไปสู่ความยิ่งใหญ่ ความรู้สึกคุกคามที่เขารู้สึกก่อนหน้านี้ยิ่งทวีคูณขึ้น เครือข่ายวิญญาณและจินตั้วหมิงกลายมาเป็นศัตรูที่น่าเกรงขาม แต่ทว่า จินตั้วหมิงนั้นเป็นคนที่สามารถจัดการกับเรื่องแบบนี้ได้ดีอยู่แล้ว ชายหนุ่มส่งมอบสิทธิถือครองเครือข่ายวิญญาณมาให้หวังเป่าเล่อจำนวนหนึ่งด้วย


ในขณะเดียวกัน ประมุขสำนักสวีแห่งสำนักรุ่งสางจักรพิภพเองก็มีส่วนสำคัญ เขาส่งสิทธิถือครองเครือข่ายวิญญาณมาให้เมี่ยเลี่ยจื่อและศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน และที่สำคัญคือผู้อยู่เบื้องหลังเช่นเฟิ่งชิวหรันด้วย


ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนอื่นๆ ก็ได้รับสิทธิถือครองบางส่วนเช่นกัน สิทธิราวร้อยละเจ็ดสิบถูกกระจายออกไป ส่วนที่เหลืออีกร้อยละสามสิบเป็นของจินตั้วหมิง แต่ก็เพียชั่วคราวเท่านั้น ตามแผนของประมุขสำนักสวี หากมีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณเกิดขึ้นมาใหม่ในอนาคต พวกเขาก็จะได้รับสิทธิถือครองและผลประโยชน์ด้วยทันที


แผนนี้จะไม่มีทางสำเร็จได้เลยหากคนอื่นรับไปทำ แต่ทว่า จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างประมุขสำนักสวีแห่งสำนักรุ่งสางจักรพิภพ กลับจัดการได้อย่างเรียบเนียน อย่างไรเสีย เขาก็เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งยุคกำเนิดวิญญาณของสหพันธรัฐ อีกทั้งยังเป็นผู้นำของสำนักอีกด้วย เขาจึงทั้งเจ้าเล่ห์ทั้งสามารถยิ่ง


แม้ว่าเขาจะมีอคติอยู่บ้าง แต่สวีหยุนคุนก็ไม่ได้มีความตั้งใจจะต่อต้านสหพันธรัฐ เพราะฉะนั้นครั้งนี้ ณ สำนักวังเต๋าไพศาลเขาจึงจัดการงานทุกอย่างโดยมีผลประโยชน์ของสหพันธรัฐอยู่ในใจ แม้กระทั่งหวังเป่าเล่อก็ยังต้องยอมรับกับวิธีการที่เขาจัดการปัญหาหลังจากที่ได้รับรู้ผ่านสายของเขา


คงจะน่ากลัวยิ่งหากคนเช่นเขากลายเป็นศัตรูกับข้า ข้าคงจะต้องหาทางสังหารเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่เช่นนั้นข้าคงจะต้องระแวดระวังไปตลอด แต่ทว่า ขณะนี้เราอยู่ฝ่ายเดียวกัน ข้าค่อยโล่งใจ…หวังเป่าเล่อผู้ซึ่งถือสิทธิถือครองอยู่รู้ดีว่าแม้ดูเผินๆ เหมือนจินตั้วหมิงจะเป็นผู้ครองอำนาจ แต่บุคคลทรงอำนาจตัวจริงต้องเป็นประมุขสำนักสวีแน่นอน


เห็นได้ชัดว่าเครือข่ายวิญญาณนั้นเป็นอาวุธทรงพลังที่สหพันธรัฐเตรียมไว้ในคราวนี้ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเป้าหมายจะเป็นอะไร หวังเป่าเล่อก็จะไม่ขัดขวาง แต่ทว่า ชายหนุ่มก็วิตกกังวลมากที่เห็นแต้มการรบของจินตั้วหมิงมีมากขึ้นทุกวันๆ แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะมีสิทธิถือครองอยู่ถึงร้อยละสิบก็ไม่พอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจินตั้วหมิงเริ่มส่งเคล็ดวิชาฝึกปราณกลับไปยังสหพันธรัฐ


ภายในเวลาไม่กี่เดือน ชายคนนั้นก็ส่งเคล็ดวิชาฝึกปราณลงไปกว่ายี่สิบชิ้นด้วยกัน!


เจ้าผู้นี้อยากจะแย่งชิงตำแหน่งผู้นำของสหพันธรัฐกับข้าจริงงั้นหรือ ต้วนมู่น้อย นี่คือทางออกของเจ้างั้นหรือ เจ้าทำให้ข้ากังวลแล้ว! ข้าจะอัดเจ้าให้ยับทันที่ข้ากลับไปเลย หวังเป่าเล่อวิตกเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งเมื่อเขาได้คิดว่าเขาสามารถจะอัดต้วนมู่ฉีให้ยับได้ด้วยพลังการยุทธของเขาในตอนนี้ได้ เขาก็ยิ่งอยากจะทำยิ่งขึ้นไปอีก


แต่ว่าเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ข้าก็ควรจะเป็นผู้ที่ทรงพลังที่สุดในสหพันธรัฐไม่ใช่หรือ หวังเป่าเล่อกะพริบตาและเริ่มรู้สึกตื่นเต้น


ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังใคร่ครวญการกลับไปทำตามแผนการของเขา ณ สหพันธรัฐ ก็มีใครอีกคนในสำนักวังเต๋าไพศาลที่วิตกยิ่งไปเสียกว่าเขาอีก


คนๆ นั้นก็คือ…เซี่ยไห่หยางนั่นเอง!


การมาของเครือข่ายวิญญาณทำให้เซี่ยไห่หยางเสียหายหนักที่สุด ความลับที่เขาถือครองอยู่ก่อนหน้าถูกแทนที่ด้วยกระทู้ข่าวซุบซิบ ขณะที่กระแสธารของธุรกิจที่เขาถือครองอยู่ก็ถูกแทนที่ด้วยกระทู้การซื้อขายบริการและสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกระทู้การซื้อขายบริการและสินค้า มีศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลบางคนที่โพสต์ข้อความเกี่ยวกับการซื้อขายบริการ เท่ากับทำลายรายได้หลักของเซี่ยไห่หยางไปโดยปริยาย


ทำลายรายได้ของข้าเช่นนี้เลวร้ายราวกับสังหารบุพการีก็ไม่ปาน! เซี่ยไห่หยางตาแดงก่ำ ในไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เขาใช้ชีวิตอย่างยากลำบากและมีรายได้ผ่านเส้นสายของเขาเท่านั้น ไม่อาจจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอย่างที่เคยเป็นมาได้อีกแล้ว


เพราะฉะนั้น ในความเคร่งเครียดอย่างหนักนั้นเอง เขาจึงไปหาหวังเป่าเล่อ


“เป่าเล่อ เจ้าประมุขสำนักสวีจากสหพันธรัฐนี่เก่งเกินไปแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ธุรกิจข้าไปไม่รอดแน่นอน ตำแหน่งผู้นำแห่งสหพันธรัฐก็จะตกไปอยู่ในมือของจินตั้วหมิง พวกเราต้องร่วมมือกันแล้ว!” จากการตีความของเซี่ยไห่หยาง ไม่ว่าสหพันธรัฐกำลังทำสิ่งใดอยู่หวังเป่าเล่อก็จะต้องอยู่ฝ่ายนั้นเสมอ แต่หวังเป่าเล่อกลับตกลงเรื่องมือกับเซี่ยไห่หยางทันที แต่ทว่า ช่างน่าเสียดาย ที่อย่างไรเสียชายหนุ่มก็เป็นคนของสหพันธรัฐ ไม่อาจจะเคลื่อนไหวเพื่อทำลายเครือข่ายวิญญาณได้ เพราะจะทำให้เขาจนตรอกทันที


เซี่ยไห่หยางดูเหมือนว่าเตรียมตัวรับมือความรู้สึกสิ้นหวังของหวังเป่าเล่อมาเป็นอย่างดี และพูดขึ้นทันทีว่า


“เป่าเล่อ ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้าทำลายธุรกิจเครือข่ายวิญญาณ เรามาร่วมมือกันเพื่อสร้างธุรกิจที่ดีกว่าเพื่อเราจะได้หาเงินไปพร้อมๆ กับสหพันธรัฐ ข้า เซี่ยไห่หยางผู้นี้ เป็นนักธุรกิจ ไม่เป็นศัตรูกับใครทั้งสิ้น เป้าหมายของข้าคือให้ทุกคนหาเงินไปพร้อมๆ กันได้!”


“ธุรกิจอะไรกันเล่า” หวังเป่าเล่อสนใจ ชายหนุ่มหันหน้าไปมองเซี่ยไห่หยาง


บทที่ 589 เกมลึกลับ!

“แน่นอนว่าสิ่งนี้เป็นธุรกิจที่น่าจะทำเงินได้มากที่สุดในอารยธรรมยุคนี้…” เซี่ยไห่หยางกระแอมกระไอหลังจากที่ได้ยินคำถามของหวังเป่าเล่อ เขาหันรีหันขวางมองรอบตัวอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แล้ว เขาจึงพูดด้วยเสียงเบาที่แฝงไว้ด้วยความภูมิใจ


“สิ่งนี้คือ…เกม!”


“เกมงั้นหรือ” หวังเป่าเล่องุนงง ชายหนุ่มไม่เข้าใจสิ่งที่เซี่ยไห่หยางพูด เขากำลังจะอ้าปากถาม แต่เซี่ยไห่หยางยกมือขวาขึ้นปราม ก่อนจะดึงเอาแผ่นหยกออกมาออกมาแผ่นหนึ่ง ก่อนจะกดลงบนแผ่นหยกต่อหน้าหวังเป่าเล่อและทันใดนั้นมันก็ส่องแสงเรืองขึ้น มีภาษาโบราณเรืองแสงสองคำปรากฏขึ้นมาด้วย


หวังเป่าเล่อไม่เคยเห็นภาษาโบราณมาก่อน แต่เมื่อเขาจ้องมองมัน ก็มีเสียงก้องกังวาลดังออกมาในศีรษะของชายหนุ่ม


“เทพจุติ!”


คำนั้นสร้างคลื่นสะท้อนอยู่ในศีรษะของหวังเป่าเล่อ เซี่ยไห่หยางหัวเราะก่อนจะเริ่มอธิบาย


“เจ้าได้ยินหรือเปล่า เกมนี้สร้างขึ้นโดยใช้กระบวนเวทพิเศษ มันจะก้าวข้ามปัญหาของภาษาและทุกคนก็สามารถจะเข้าใจมันได้อย่างไม่ยากเย็นนัก มันมีชื่อว่า ‘เทพจุติ’ และธุรกิจที่เราจะสร้างก็คือบริหารเกมๆ นี้!


“ข้าจะบอกเจ้าไว้ก่อนนะ…เกมนี้นะยอดเยี่มทีเดียว ข้าได้มันมาหลังจากที่ใช้เงินไปมหาศาลแถมยังต้องใช้เส้นสายมากมาย เกมจะให้ผู้เล่นเข้าไปอยู่ในมิติเสมือนจริงนั้น ภายในนั้นรู้สึกจริงมากทีเดียวเลย!


“เจ้าอยากจะรวยหรือ เริ่มเกมเสีย!


“เจ้าอยากจะมีสตรีห้อมล้อมหรือ เริ่มเกมเสีย!


“เจ้าอยากจะเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ เริ่มเกมเสีย!


“ไม่ว่าจะเพราะเหตุใดก็แล้วแต่ เมื่อเจ้าได้จ่ายเงินเข้าเกม เจ้าก็จะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด!” เซี่ยไห่หยางยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ ในตอนท้ายเขาถึงกับปรบมือและหัวเราะงอหายอย่างชื่นใจ


“เจ้าพวกผู้เล่นหน้าใหม่ในสำนักวังเต๋าไพศาลคงไม่เคยเจอเกมและระดับวิทยาการเช่นนี้มาก่อนเป็นหน้า เพราะฉะนั้น เมื่อพวกเขาเข้าใจมันเมื่อใด พวกเขาก็จะติดมันงอมแงมและเมื่อถึงเวลานั้น…พวกเขาก็จะเริ่มเสียเงินให้กับมัน จากนั้นพวกเราพี่น้องก็จะรวย!” เซี่ยไห่หยางตื่นเต้นยินดี ขนาดนัยน์ตาทั้งคู่ของเขาฉายแววประกายกล้า


แต่ทว่า หวังเป่าเล่อก็ยังงุนงง เขาจ้องมองไปที่แผ่นหยก แล้วก็หันกลับไปมองเซี่ยไห่หยาง แต่ก็ยังไม่อาจเทียบเคียงเกมนี้กับยุคกำเนิดวิญญาณได้ เพราะฉะนั้นจึงอดไม่ได้ต้องถาม


“เซี่ยไห่หยาง เกมนี่มัน…ไว้ใจได้หรือ ใครจะมาเล่นกัน หากพวกเขามีเวลา พวกเขาจะไม่เลือกไปปฏิบัติภารกิจหรือฝึกปราณ…”


เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อเริ่มลังเลใจ เซี่ยไห่หยางจึงตกใจจนต้องรีบพูด


“ไว้ใจได้แน่นอน ชื่อเล่นของคือ ‘ไว้ใจได้’ เชียวนะ! เกมนี้จะต้องติดตลาดเป็นแน่ มันเป็นสมบัติที่ทำขึ้นมาโดยตระกูลของข้าโดยเฉพาะเพื่อครอบครองสำนักศึกษาเต๋าไม่รู้สิ้นเชียวนะ…เอ่อ…” เซี่ยไห่หยางหุบปากทันที เหมือนว่าเขาจะได้พูดบางอย่างที่ไม่ควรจะพูดออกไปเสียแล่ว เพราะฉะนั้น เขาจึงรีบตวัดสายตามาจ้องมองหวังเป่าเล่อ เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเหมือนจะไม่ทันได้รู้เรื่อง เซี่ยไห่หยางจึงพูดต่อไปอย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น


“ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ข้าได้มาอย่างลับๆ หากเจ้าช่วยข้าโฆษณามัน ถ้าจะแบ่งกำไรให้เจ้าร้อยละสิบ!”


หวังเป่าเล่อแม้จะดูนิ่งเฉย แต่ภายในนั้นกำลังตื่นตะลึง ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่เซี่ยไห่หยางเพิ่งพูดเมื่อครู่นั้นบอกถึงต้นกำเนิดของเขาจนสิ้น ทำให้เขาต้องคิดหนั แต่ทว่า หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่าเซี่ยไห่หยางน่าจะตั้งใจพูด อย่างไรเสีย หวังเป่าเล่อ ในฐานะผู้ที่คุ้นเคยกับคำสอนของอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูง ก็เคยทำอะไรคล้ายๆ กับนี้กับเพื่อนร่วมชั้นมาก่อนเมื่อเขายังเด็ก ชายหนุ่มจะทำเป็นหลุดปากเกี่ยวกับภูมิหลังที่หลอกลวง เพื่อจะได้มาซึ่งสิ่งที่หวังตั้งใจ


สิ่งที่เซี่ยไห่หยางพูดเป็นความจริงหรือไม่กันนะ… หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน หวังเป่าเล่อก็ยังไม่อาจจะตอบได้ เพราะฉะนั้น ชายหนุ่มจึงเงยหน้ามองเซี่ยไห่หยางพร้อมแผ่นหยกในมือ


“ข้าจะตัดสินใจหลังจากที่ได้ลองเล่นแล้ว”


“ได้เลย ข้าจะให้สิทธิพิเศษสุดกับเจ้า เพื่อเจ้าจะได้ทดสอบมันด้วยตนเอง” เซี่ยไห่หยางค่อยสงบใจลงได้ทันที พลางคิดอยู่เงียบๆ ในใจว่าเมื่อใดก็ตามที่ใครเริ่มเล่นเกม ก็เป็นไปได้ยากที่จะไม่ชอบมัน เพราะฉะนั้น ด้วยความตื้นเต้นยินดี เซี่ยไห่หยางจึงยกมือใช้ผนึกมือกับแผ่นหยกก่อนจะส่งไปให้หวังเป่าเล่อ หลังจากที่บอกวิธีเล่นให้แล้ว เซี่ยไห่หยางก็เอ่ยคำละและกลับไป


เมื่อเซี่ยไห่หยางจากไปแล้ว หวังเป่าเล่อก็มองแผ่นหยกและโยนไปทางหนึ่ง ชายหนุ่มไม่ได้ตั้งใจจะลองเล่นเกมดูทันที เขาอยากจะฝึกสมาธิและฝึกปราณมากกว่า


หวังเป่าเล่อตอนนี้นั้นเข้าใจกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงขั้นที่สามได้แทบจะทั้งหมดแล้ว ชายหนุ่มประมาณว่าเขาจะสามารถบรรลุขั้นที่สามได้ภายในเวลาไม่เกินครึ่งเดือนเป็นอย่างมาก


แต่ทว่า ความคืบหน้าของวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิลักอัคคีขั้นที่สองนั้นยังคงล้าหลังอยู่มาก แม้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้ดีว่าไม่ควรจะรีบร้อน ตราบใดที่เขาฝึกต่อไป เขาจะต้องประสบความสำเร็จไม่ช้าก็เร็ว


เช่นนั้นเอง หลังจากที่ฝึกปราณอยู่หลายวัน หวังเป่าเล่อจึงนึกถึงเกมของเซี่ยไห่หยางข้ึนมาได้ตอนที่ว่าง จึงหยิบเอาแผ่นหยกออกมาอีกครั้งหนึ่ง และหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าไม่น่าจะมีอันตรายร้ายแรงอะไร แต่ทว่า เขาก็ยังอยากจะระแวดระวังตัวจึงได้เรียกเจ้าลาออกมา ลาดำดูฉงนสงสัยขณะที่หวังเป่าเล่อจับมันที่กีบทั้งสี่ก่อนจะกดตัวมันลงบนแผ่นหยก


“ลูกข้า…” ลาดำงุนงงเป็นที่สุด ก่อนที่มันจะได้กรีดร้องเต็มเสียง เมื่อมันหันกลับไปมองหวังเป่าเล่อ ร่างของมันก็สั่นสะท้านก่อนจะหายไป!


ราวกับว่าเจ้าลาถูกดูดเข้าไปในแผ่นหยกนั้น รัศมีของตัวมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย หวังเป่าเล่อแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง ก่อนจะยกแผ่นหยกขึ้นดู


หวังเป่าเล่อสัมผัสรัศมีของเจ้าลาไม่ได้เลย แต่ยังสามารถเชื่อมต่อกับมันได้อยู่ลางเพราะว่าแผ่นหยกยังอยู่ใกล้ๆ ชายหนุ่มทอดถอนใจอย่างโล่งอกเมื่อสัมผัสได้ว่าเจ้าลาไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย


เกมนี่ช่างประหลาดนัก…เจ้าลาหายไปที่ไหนกันนะ หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพัก หวังเป่าเล่อก็พยายามจะปิดเกมและเรียกลากลับมา แต่ทว่า ในวินาทีนั้นเอง ลาก็ดูเหมือนว่าจะส่งความรู้สึกตื่นเต้นดีใจกลับมาเพื่อบอกว่าไม่อยากกลับ


หวังเป่าเล่อจ้องมันเขม็งและไม่อยากจะให้เจ้าลาได้ทำตามอำเภอใจ ชายหนุ่มบิดแผ่นหยก ทำให้เจ้าลามาปรากฏอยู่ตรงหน้าราวกับถูกเคลื่อนย้ายกลับมา เมื่อมันกลับมา หวังเป่าเล่อก็ถึงกับผงะ


แม้ว่าจะไม่ความเปลี่ยนแปลงใดกับร่างกายของมัน แต่แววตาผิดหวังก็เห็นได้ชัดเจน มันยกกีบขึ้นแตะแผ่นหยกด้วยตนเอง ราวกับว่าอยากจะกลับไป


สิ่งนี้กระตุ้นความสงสัยของหวังเป่าเล่อเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มผลักลาไปข้างหนึ่ง ไม่สนใจว่ามันจะรู้สึกเศร้าเสียใจเพียงใด หวังเป่าเล่อถือแผ่นหยกไว้ในมือและกดลงไปเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง ทันใดนั้นเอง ทุกๆ สิ่งก็พร่าเลือนไปต่อหน้าต่อตา ราวกับว่ามีแรงดึงดูดมหาศาลลากเขาเข้าไปในวังน้ำวน ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดใดๆ และภายในอึดใจเดียวนั้น เมื่อชายหนุ่มลืมตาขึ้น ตรงหน้าเขาก็มีความว่างเปล่าเท่านั้น!


ความว่างเปล่านั้นยิ่งใหญ่และกว้างขวางนัก ตรงหน้าเขามีกลุ่มก้อนแสงสีเทาอยู่หลายก้อน พวกมันดูเหมือนว่าถูกผนึกเอาไว้ มีอันเดียวเท่านั้นที่ส่องแสงเรืองรองกว่าใครเพื่อน


หวังเป่าเล่อจ้องมองทุกสิ่งตรงหน้าอย่างอย่างระแวดระวัง หลังจากที่คิดใคร่ครวญเสร็จ ชายหนุ่มก็จ้องมองไปที่กลุ่มแสงสว่างจ้านั้นเขม็ง ทันทีที่เขาจ้องมองไป กายมายาจำนวนมหาศาลก็ปรากฏออกมาจากกลุ่มแสงนั้น มีทั้งที่เป็นมนุษย์ อสูร กระทั่งพืชพรรณอยู่ในกลุ่มนั้น


ร่างมายาที่มีรูปลักษณ์เป็นมนุษย์นั้นดูคล้ายกับผู้ฝึกตนของสหพันธรัฐ แต่ทว่ามีความแตกต่างอยู่บ้างเช่น ใบหูที่เล็กกว่า จมูกที่ยาวกว่า และยังมีตาที่สามอยู่ตรงกลางหน้าผาก พวกเขายังเตี้ยกว่าเล็กน้อยอีกด้วย แต่ทว่าแม้จะดูแตกต่างกับผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐอยู่บ้าง แต่พวกเขาทุกคนก็หน้าตาหล่อเหลาสะสวยด้วยกันทั้งสิ้น


หวังเป่าเล่อตะลึงไปชั่วขณะ หลังจากที่จ้องมองอย่างละเอียดแล้ว ก็มีข้อความจำนวนมากปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา


“ผู้ฝึกตนวิญญาณขั้นที่หก ผู้ค้นหาภาษาโบราณ จากอารยธรรมวีรบุรุษ…”


“ผู้ฝึกตนวิญญาณขั้นที่สาม โรดา จากอารยธรรมวีรบุรุษ…”


“ผู้ฝึกตนวิญญาณขั้นที่หนึ่ง ผู้ปกป้องพระราชวัง จากอารยธรรมวีรบุรุษ…”


ข้อความที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าหวังเป่าเล่อเป็นภาษาโบราณ แต่ชายหนุ่มก็สามารถเข้าใจมันได้อย่างชัดเจนเมื่อเขากวาดตาอ่าน ทำเอาหัวใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำ และยิ่งเขาอ่านมากขึ้นเท่าใด ข้อความก็มากขึ้นตามกัน หวังเป่าเล่อส่งเสียงอุทานเมื่อเข้าใจว่า ตัวละครจำนวนมหาศาลเหล่านี้…เมื่อเขากวาดตาไปมอง ก็จะเล่าถึงภูมิหลังความเป็นมาของตนเองให้ฟัง เขาสามารถจะเปลี่ยนตัวละครเมื่อใดก็ได้ตามต้องการ


สิ่งนี้หรือ…คือ ‘เทพจุติ’ หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่ชั่วอึดใจ หวังเป่าเล่อก็หยิบเอาข้อความออกมาและอ่านโดยละเอียด เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้ฝึกตนวิญญาณขั้นที่เก้าคนหนึ่งชื่อ อู่หยา ทันใดนั้น เมื่อภาพตรงหน้าหวังเป่าเล่อฉายชัดขึ้นมา ชายหนุ่มก็มาปรากฏตัวอยู่ที่จัตุรัสสาธารณะที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน มีผู้ฝึกตนวิญญาณเคลื่อนที่ไปมาอยู่บนท้องฟ้า เขามองเห็นรถหุ้มเกราะแล่นอย่างรวดเร็วผ่านไป สิ่งก่อสร้างที่รายล้อมอยู่โดยรอบนั้นแตกต่างจากที่พบในสหพันธรัฐโดยสิ้นเชิงและเหมือนจะมีรูปทรงคล้ายเห็ด


ไม่ทันที่หวังเป่าเล่อจะได้ทำความคุ้นเคยกับสิ่งรอบข้าง เสียงที่หวานใสแต่แฝงไว้ด้วยความน่ากลัวก็ดังขึ้นที่ข้างหู


“ผู้ฝึกตนวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ โปรดซื้อข้าเถิด ราคาเพียงหนึ่งผลึกวิญญาณเท่านั้น…”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)