หมอดูยอดอัจฉริยะ 586-587
ตอนที่ 586 ไม่ควรออกเดินทาง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เยี่ยเทียนฝึกวิชามาเกือบยี่สิบปี เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้ตื่นเองตอนตีห้าเหมือนทุกวัน เวลาล่วงไปจนถึงแปดโมงเช้า เยี่ยเทียนค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น
ทอดมองดูภรรยาที่นอนหนุนแขนตัวเองอยู่ ในใจรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ตั้งแต่นี้ต่อไป เขามีสถานะเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งสถานะคือเป็นสามีของหญิงสาวที่หลับอยู่ในอ้อมอกคนนี้
เห็นขนตาของอวี๋ชิงหย่าเริ่มขยับ เยี่ยเทียนยิ้ม “เจ้าแมวขี้เซา ตื่นได้แล้ว สายจนตะวันโด่งแล้ว!”
“หืม? ไม่งั้นเรามาฝึกวิชาตอนเช้ากันอีกรอบไหม?” เยี่ยเทียนเห็นอวี๋ชิงหย่าแกล้งหลับ ใช้มือล้วงเข้าไปในผ้าห่ม
“อย่านะ ฉันไม่ไหวแล้ว อย่าจับตรงนั้น!”
ส่วนที่อ่อนไหวที่สุดบนร่างกายของผู้หญิงถูกเยี่ยเทียนจับไว้ อวี๋ชิงหย่าร้องครางออกมา กลับทำให้ชิ้นเนื้อบางส่วนบนร่างกายของเยี่ยเทียนตื่นตัวขึ้นอีกครั้ง
“ไม่ไหวแล้วจริงๆ ฉันเจ็บมากเลย!” มือทั้งสองของหญิงสาวคว้ามืออันซุกซนของเยี่ยเทียนไว้ กระซิบร้องขอ
เมื่อคืนเป็นคืนเข้าหอ ต่างฝ่ายต่างได้ลิ้มรสความหอมหวานของกันและกันเป็นครั้งแรก หลังจากกรำศึกหนักกันอยู่เกือบทั้งคืน เช้านี้อวี๋ชิงหย่ารู้สึกเมื่อยล้าไปหมดทั้งตัว ไม่หลงเหลือเรี่ยวแรง
“ตอนนี้ไม่ไหวแล้วเหรอ? เมื่อคืนใครกันนะบอกให้ฉันจัดให้หนักๆเลย?”
เยี่ยเทียนมองอวี๋ชิงหย่าด้วยสายตาล้อเลียน ดูท่าทางเขินอายของเธอแล้ว อดไม่ได้ที่จะจูบลงที่ใบหน้าของเธอ ยื่นมือไปใต้ผ้าห่มตีก้นทีหนึ่ง พูดว่า “วันนี้จะปล่อยเธอไปก่อน ลุกจากเตียงได้แล้ว!”
ตามประเพณีดั้งเดิม ลูกสะใภ้พอแต่งเข้าบ้านวันแรกต้องยกน้ำชาให้พ่อแม่สามี สมัยนี้ไม่ได้เคร่งครัดเท่าไหร่แล้ว แต่ถ้านอนตื่นสายเกินไปก็จะถูกคนว่าเอาได้
“โถ่เอ๊ย ทำไมนายไม่ปลุกฉันให้เช้ากว่านี้นะ?”
อวี๋ชิงหย่ายื่นมือไปคว้านาฬิกาปลุกที่หัวเตียงมา ดึงผ้าห่มออกจากตัว เผยให้เห็นผิวขาวนวลดุจหิมะ เยี่ยเทียนมองตาค้างอีกครั้ง
“โอ๊ย!” อวี๋ชิงหย่ารีบใส่เสื้อผ้า พอเท้าเหยียบลงพื้นความเจ็บปวดก็โลดแล่นขึ้นจนเธอต้องขมวดคิ้ว หันมาถลึงตาใส่เยี่ยเทียนครั้งหนึ่ง
“มา ฉันรักษาให้ !” เยี่ยเทียนยิ้มดึงตัวอวี๋ชิงหย่ากลับขึ้นไปบนเตียงอีกครั้ง ใช้มือขวาวางแนบกับท้องน้อยของเธอ
“อย่าเล่นน่า ถ้าออกไปช้ากว่านี้เดี๋ยวพวกคุณอาคุณป้าจะหัวเราะเอา” อวี๋ชิงหย่าพูดเสียงเบา เธอคิดว่าเยี่ยเทียนอดไม่ไหวอีกแล้ว
“คิดอะไรของเธอ?” เยี่ยเทียนยิ้ม พลังลมปราณไหลผ่านมือขวาของเขาผ่านเข้าไปที่ท้องน้อยของเธอ
“เอ๋? ไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่แล้ว?” อวี๋ชิงหย่ารู้สึกถึงพลังความร้อนที่แผ่เข้ามาสู่บริเวณที่ปวด ทำให้ความเจ็บปวดลดลง พอลุกขึ้นเดินเธอก็ไม่มีอาการอะไรอีก
หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อย อวี๋ชิงหย่าหันมาบอกว่า “เยี่ยเทียน นายออกไปก่อนเถอะ!”
“มีอะไรหรือ?” เยี่ยเทียนมองภรรยาอย่างสงสัย เขาทั้งสองได้อยู่ร่วมกันแล้วจริงๆ อวี๋ชิงหย่ายิ่งชอบเขินอายหน้าแดงมากกว่าเมื่อก่อน
“ฉัน…ฉันจะตัดผ้าตรงนั้นออกมา!” อวี๋ชิงหย่าก้มหน้าลง ชี้นิ้วไปที่ผ้าปูที่นอน บนผ้ามีลายดอกดวงที่เกิดจากศึกหนักเมื่อคืนเกิดขึ้นหลายจุด เป็นการยืนยันในความเป็นสาวบริสุทธิ์ของอวี๋ชิงหย่า
“ฉันทำเอง!”
เยี่ยเทียนยิ้ม ให้อวี๋ชิงหย่านั่งลงที่ข้างเตียง หากรรไกรมาตัดเอาดอกดวงเหล่านั้นออกมา อวี๋ชิงหยาเก็บเอาไว้ในกล่องอย่างดี
ทั้งคู่เดินจูงมือกันออกมาจากห้อง มองดูโคมไฟสีแดงที่แขวนอยู่บนขื่อ ทุกบานประตูหน้าต่างมีอักษรสีแดงมงคลติดอยู่ทั่ว ความสุขของคู่แต่งงานใหม่ล้นออกมาจากใจทำให้บรรยากาศในบ้านชื่นมื่น
“พี่ชิงหย่าสวยจังเลย!” หลิวหลันหลันตะโกนออกมา ทำให้คนอื่นๆในบ้านต่างหันไปมองเป็นตาเดียว
อวี๋ชิงหย่ายังคงสวมชุดสีแดงของเมื่อวาน แต่เกล้ารวบผมขึ้น ทั้งยังได้รับน้ำทิพย์จากเยี่ยเทียนเมื่อคืน ทำให้เธอดูเปล่งปลั่งกว่าที่เคย
“พ่อ แม่ ป้าใหญ่ อาเล็ก อรุณสวัสดิ์ค่ะ….” สิ้นเสียงของหลิวหลันหลัน เยี่ยตงผิงกับภรรยาเดินออกมาจากในห้อง อวี๋ชิงหย่าจึงเอ่ยทักทาย
“ชิงหย่า เมื่อคืนเยี่ยเทียนไม่ได้รังแกหนูใช่ไหม?” ซ่งเวยหลันลากอวี๋ชิงหย่าออกไป สองสาวคุยกระซิบกันเบาๆ ทำให้เยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ข้างๆต้องเอามือจับจมูกแก้เก้อ
วันเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ ผ่านไปสามวันแล้ว โก่วซินเจีย หนานไหวจิ่น และจั่วเจียจวิ้นเดินทางกลับฮ่องกงไป
หูหงเต๋อได้ยินว่าเยี่ยเทียนสร้างเรือนสี่ประสานที่สวยงามกว่าในปักกิ่งไว้อีกแห่งหนึ่งที่ฮ่องกง จึงขอติดตามไปดูด้วย เขาอยู่ในโลกมืดแคบมานานหลายปีแล้ว อยากได้พลังทิพย์วิเศษที่เกิดจากค่ายกลในเรือนแห่งนั้นเพื่อหล่อเลี้ยงพลังชีวิต
หลายวันมานี้หูจวินและหัวหน้าซาเมื่อได้ยินข่าวการแต่งงานของเยี่ยเทียนแล้ว รีบเดินทางมามอบของขวัญ แล้วยังตำหนิเยี่ยเทียนที่ไม่เชิญพวกตนมาร่วมงาน
ข่าวการไปร่วมงานแต่งงานหลานชายของซ่งเฮ่าเทียนร่ำลือไปในวงการเศรษฐีและผู้ดีในเมืองปักกิ่ง โดยเฉพาะภาพอักษรที่เป็นของขวัญแต่งงานภาพนั้น เป็นการตอกย้ำให้ผู้ปกครองในครอบครัวตักเตือนบุตรหลานของตนว่าอย่ามีเรื่องกับเยี่ยเทียน
แน่นอนว่า เยี่ยเทียนไม่รับรู้เรื่องเหล่านี้ เพราะหลังจากวันแต่งงานสามวัน เค้าพาอวี๋ชิงหย่าบินไปเซี่ยงไฮ้ ตระกูลเยี่ยกับตระกูลอวี๋ดองกัน ธรรมเนียมที่จะต้องกลับไปบ้านเจ้าสาวในวันที่สามหลังแต่งงานนั้นละเลยไม่ได้
หลังจากพักอยู่ในบ้านพ่อตาแม่ยายไม่กี่วัน เยี่ยเทียนพาภรรยากลับไปที่ภูเขาเหมาซานเพื่อเซ่นไหว้อาจารย์ ถึงตรงนี้ถือว่าพิธีแต่งงานเสร็จสมบูรณ์ลง
ผ่านวันขึ้นไปใหม่ไป เทศกาลตรุษจีนใกล้เข้ามา การเข้ามาอยู่ที่นี่ของอวี๋ชิงหย่าทำให้บรรยากาศในวันตรุษจีนยิ่งครึกครื้นกว่าปีก่อน
สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนดีใจยิ่งกว่าคือ ความสัมพันธ์ของหลิวติงติงกับโจวเซี่ยวเทียนถือว่าลงเอยแน่นอนแล้ว หลังวันตรุษจีน พวกเขาเตรียมตัวจะไปหมั้นหมายกันที่ฮ่องกง ส่วนงานแต่งงานค่อยจัดในช่วงปลายปี
เยี่ยเทียนผู้เป็นอาจารย์แน่นอนว่าต้องทำหน้าที่เป็นผู้ใหญ่ให้ลูกศิษย์ หลังจากตรุษจีนพวกเขาต้องออกเดินทางไปฮ่องกง
ลูกสาวตระกูลหลิวจะหมั้นหมาย การจัดงานต้องยิ่งใหญ่กว่างานแต่งของเยี่ยเทียนมาก จั่วเจียจวิ้นออกบัตรเชิญมากมายแก่บรรดาเศรษฐีนักธุรกิจในฮ่องกง ราวกับเป็นงานประชุมรวมตัวของนักธุรกิจเชื้อสายจีนในฮ่องกง
ในงานหมั้นครั้งนี้ นอกจากโจวเซี่ยวเทียนและหลิวติงติงบ่าวสาวที่เป็นตัวเด่นของงานแล้ว เยี่ยเทียนเองเป็นผู้ที่ได้รับความสนใจติดตามมากอีกคนหนึ่ง ครั้งก่อนที่พวกเศรษฐีเหล่านั้นได้พบกับเยี่ยเทียน ทราบแต่เพียงว่าเขาเป็นศิษย์น้องของจั่วเจียจวิ้นเท่านั้น
แต่ครั้งนี้หลายๆคนได้รับรู้เบื้องหลังของเยี่ยเทียนด้วยช่องทางใดๆก็แล้วแต่ การที่มีบุคคลระดับผู้นำประเทศมาร่วมยินดีในงานแต่งของเขาได้แสดงว่าเยี่ยเทียนเป็นคนที่ไม่ธรรมดาจริงๆ
การเตรียมงานหมั้นให้โจวเซี่ยวเทียนทำให้อาจารย์อย่างเยี่ยเทียนเหน็ดเหนื่อยไม่เบา หลังจากงานเลี้ยงกลางคืนผ่านไปด้วย ใบหน้าที่ต้องปั้นยิ้มตลอดเวลาจนหน้าตึง วันรุ่งขึ้นเยี่ยเทียนจึงจะพาอวี๋ชิงหย่าบินกลับปักกิ่ง
เดือนมีนาคมมาถึง อวี๋ชิงหย่ากลับไปทำงานอีกครั้ง เธออายุแค่ยี่สิบกว่า ทั้งยังร่ำเรียนวิชาสื่อสารมวลชนมาตั้งหลายปีซึ่งเป็นสิ่งที่เธอโปรดปราน พอแต่งงานแล้วเธอก็ยังไม่ยอมละทิ้งการงานไป
ส่วนเยี่ยเทียนอยู่แต่บ้านศึกษาตำรา “ภาพดันหลัง” ของหนานไหวจิ่นเพื่อทำความเข้าใจ หากเขาอารมณ์ดีก็จะเข้าครัวลงมือทำอาหาร ใช้ชีวิตประจำราวกับคนทั่วไป
ครอบครัวของเยี่ยเทียนย้ายเข้าอยู่ที่บ้านหลังใหม่ ที่นั่นแม้พลังธรรมชาติจะอ่อนด้อยกว่าบ้านเก่าหลายขุม แต่สำหรับคนธรรมดาคนหนึ่งก็ถือว่าเหลือเฟือแล้ว
พอเข้าบ้านใหม่แล้ว อาการเจ็บป่วยที่หลงเหลือจากการผ่าตัดของเยี่ยตงเหมยก็หายหมดสิ้น เยี่ยเทียนพาเธอไปหาหมอตรวจซ้ำอีกหลายครั้ง ไตใหม่ที่ปลูกถ่ายเข้าไปนั้นเข้ากันได้ดีกับร่างกายของเธออย่างแทบไม่มีที่ติ
“แม่ ปลาที่ซื้อมา จะทำเป็นอะไรดี? ปลาผัดน้ำแดงหรือว่าปลานึ่งดี? วันนี้ผมจะแสดงฝีมือเอง!”
“ปลาผัดน้ำแดงแล้วกัน แม่ชอบปลาผัดน้ำแดงที่ลูกทำจ้ะ!”
ซ่งเวยหลันกับสามีกลับจากตลาด ใส่แค่เสื้อผ้าธรรมดาเหมือนชาวบ้านทั่วไป เป็นใครก็ไม่อยากเชื่อว่าหญิงวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานคนนี้จะมาเดินจ่ายตลาดด้วยตัวเอง?
แต่ซ่งเวยหลันมีความสุขกับการใช้ชีวิตครอบครัวเยี่ยงสามัญชน เธอทำอาหารไม่เป็น การจับจ่ายซื้อของในตลาดถือว่าเป็นบทเรียนใหม่จากสามี แม้แต่ป้าใหญ่และเยี่ยตงจู๋จะบ่นอุบว่าซ่งเวยหลันได้แย่งอำนาจในการซื้อกับข้าวไปจากเธอหมด
มองดูปลาตะเพียนหลายตัวหนักเกือบกิโลในกะละมัง เยี่ยเทียนเคาะหัวเจ้าเหมาโถวแล้วนั่งยองลงข้างตัวมันเอ่ยว่า “เดี๋ยวทำสุกแล้วค่อยกิน ดูแกอยากกินซะเหลือเกิน!”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจ้าเหมาโถวก็ได้ฝึกการซึมซับพลังธรรมชาติเข้าไปด้วยหรืออย่างไร ตอนนี้มันไม่ค่อยขี้ร้อนแล้ว ขนบนร่างกายก็สั้นลงมาก มองผ่านๆเหมือนแมวตัวใหญ่ธรรมดาตัวหนึ่ง
แน่นอนว่าปลาเป็นอาหารโปรดตามธรรมชาติของมัน ทุกๆครึ่งเดือนเยี่ยเทียนจะสั่งให้คนส่งปลามาหลายสิบกิโลกรัมเพื่อเลี้ยงไว้ในบ่อในสวนกลางบ้าน
แต่หลังจากเยี่ยเทียนแต่งงานมันได้ลองกินปลาที่ทำสุกแล้วอยู่หลายครั้ง ทำให้ตอนนี้เจ้าเหมาโถวเริ่มเลือกอาหารมากขึ้น มีครั้งหนึ่งที่มันจับปลาไปใส่หม้อในครัวเอง แล้วยังเปิดเตาแก๊สได้ด้วยจนเกือบทำให้ไฟไหม้บ้าน
“จีจี!” เจ้าเหมาโถวใช้อุ้งเท้าของมันจิ้มไปที่ตัวปลา และชี้บอกว่ามันต้องการตัวไหน ดวงตาสุกใสราวกับอัญมณีของมันกลิ้งกลอกไปมา
“รู้แล้วๆ แกคนเดียวกินปลาตั้งสองตัว ไม่กลัวท้องแตกหรือยังไง!”
เยี่ยเทียนเคาะหัวมันอย่างหงุดหงิด แล้วถึงไปขอดเกล็ดปลา เพียงครู่เดียวกลิ่นหอมของอาหารลอยออกมาจากห้องครัวชวนน้ำลายไหล
หลิวเหว่ยอันไปเฝ้าร้านในตลาดพานเจียหยวน อวี๋ชิงหย่าปกติจะไม่กลับมากินข้าวเที่ยงที่บ้าน โจวเซี่ยวเทียนกับหลิวติงติงยังอยู่ที่ฮ่องกง ตอนนี้เหลือสมาชิกครอบครับที่รับประทานอาหารร่วมกันมี เยี่ยตงผิงกับภรรยา เยี่ยเทียนและอาหญิงทั้งสอง
“แม่ครับ เป็นอะไรไป วันนี้ผมทำปลาไม่อร่อยเหรอ?”
เห็นมารดาไม่ค่อยใช้ตะเกียบคีบอาหารเพิ่มเท่าไหร่ เยี่ยเทียนรู้สึกสงสัย พอมองดูใบหน้าของมารดาแล้วเขาก็ตกใจ
“แม่ แม่จะออกเดินทางอีกแล้ว?”
เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว เขามองออกอย่างชัดเจนว่าสีหน้าของมารดามีแววหมองคล้ำจากการเปลี่ยนที่อยู่ ทั้งยังมีไฝดำขนาดเท่าหัวเข็มเม็ดหนึ่งผุดขึ้นมา ต้องมองอย่างละเอียดจึงจะสังเกตเห็น
“อืม แม่ต้องกลับไปที่อเมริกาสักที แล้วค่อยไปที่แอฟริกา ธุรกิจที่นั่นมีปัญหา แม่ต้องไปจัดการด้วยตัวเอง”
ซ่งเวยหลันพยักหน้า หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ทางฝั่งนั้นเริ่มควบคุมไม่อยู่ เธอก็ไม่อยากจากทั้งสามีและบุตรชายกลับไปสู่แวดวงธุรกิจอันโหดร้ายอีก
“ไม่ไปไม่ได้เหรอครับ?” เยี่ยเทียนขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม “เมื่อปีที่แล้วผมบอกแม่ไปแล้วว่าปีนี้แม่ไม่ควรเดินทางไกล ไม่อย่างนั้นจะมีอันตราย”
การเดินทางเปลี่ยนที่อยู่นั้นไม่เป็นมงคล แปลว่าคนๆ นี้ช่วงนี้การเดินทางจะไม่ราบรื่น ยิ่งมีไฝดำเกิดขึ้น แสดงว่าอาจจะพบเจอกับอันตรายจนถึงแก่ชีวิตได้
แม้เยี่ยเทียนจะทำนายไม่ได้ว่าการเดินทางครั้งนี้ของมารดาจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่สองข้อสำคัญที่กล่าวมานั้นทำให้เขาใจเต้นไม่เป็นส่ำได้แล้ว
ตอนที่ 587 ร่วมเดินทาง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ปีที่แล้วเยี่ยเทียนเดินทางไปฮ่องกงวางค่ายกลพลิกชะตาฟ้านั้น พอค่ายกลเริ่มทำงานตอนนั้นเองฟ้าดินสั่นสะเทือน เปลี่ยนแปลงดวงชะตาแห่งพิภพ
เมื่อหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว เยี่ยเทียนได้นั่งสมาธิสามวันสามคืนเพื่อการทำนาย เขาพบว่า ภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ ยุโรปและอเมริกาเหนือ รวมทั้งประเทศจีนเองจะประสบเหตุหายนะ
หายนะครั้งนี้เกิดขึ้นโดยน้ำมือมนุษย์ แล้วก็เป็นลิขิตฟ้าด้วย วิธีเสริมสิริมงคลขจัดภัยร้ายที่ดีที่สุดนั้น คือการอาศัยอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้อย่าได้เดินทางไปไหน ดังนั้นเมื่อทราบว่ามารดาจะเดินทางออกนอกประเทศ เยี่ยเทียนจึงไม่เห็นด้วยอย่างที่สุด
ซ่งเวยหลันส่ายหัว ตอบว่า “เสี่ยวเทียน ครั้งนี้ให้แม่ไปเถอะ ต่อไปจะไม่พูดถึงเรื่องธุรกิจอะไรอีกเลย ลูกกับชิงหย่ามีหลานหลายๆคนให้แม่อุ้ม แม่ก็จะอยู่ที่นี่ช่วยเลี้ยงหลานให้!”
“เอ๋? อย่าพูดแบบนั้นนะครับ มันไม่เป็นมงคล แม่ ครั้งนี้แม่ไปไม่ได้นะ!”
ได้ยินคำที่แม่พูดแล้วเยี่ยเทียนยืนขึ้น พูดต่อว่า “พ่อ อาใหญ่ อาเล็ก ทุกคนกินข้าวกันก่อนเถอะ ผมอิ่มแล้ว ขอกลับเข้าห้องก่อน!”
“เด็กคนนี้นี่ พูดจาแบบนี้กับแม่ได้ยังไง?”
ตั้งแต่เยี่ยเทียนยอมรับซ่งเวยหลันเป็นแม่ เขาไม่เคยพูดจารุนแรงกับแม่ขนาดนี้มาก่อน เยี่ยตงผิงที่ตะโกนเสียงดังลั่นอย่างไม่พอใจชั่วขณะกลับถูกซ่งเวยหลันรั้งแขนไว้ “ตงผิง ลูกเขาหวังดีกับฉันนะ!”
“เวยหลาน การทำนายของเยี่ยเทียนเธอก็รู้ดี ในเมื่อเขาไม่ให้เธอไป เธอก็อย่าไปเลย?”
รอบุตรชายเดินออกไปแล้ว เยี่ยตงผิงมองตาภรรยา แล้วพูดต่อว่า “ธุรกิจจะใหญ่โตแค่ไหน ก็ไม่สำคัญเท่าเราสามคนได้อยู่ด้วยกัน!”
หลายปีมานี้ การผูกกว้าทำนายของเยี่ยเทียนไม่เคยพลาด พอได้ฟังคำเตือนจากบุตรชายแล้ว เยี่ยตงผิงยิ่งกังวลใจ กลัวว่าความสุขที่เพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นาน จะเปราะบางแตกง่ายเหมือนฟองสบู่
“คือ…”
ซ่งเวยหลันลังเลขึ้นมา แต่เมื่อคิดถึงธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่เธอสร้างขึ้นมากับมือจะถูกคนอื่นทำลายไปต่อหน้าเธอก็ทนไม่ได้
นิ่งเงียบไปพักใหญ่แล้วซ่งเวยหลันก็พูดว่า “ตงผิง ฉันพาแอนนาไปด้วย แล้วก็ค่อยจ้างผู้คุ้มกันจากบริษัทคุ้มภัยไปด้วย เรื่องความปลอดภัยก็ไม่น่าจะต้องกังวลแล้ว!”
หลังจากย้ายมาอยู่ที่ปักกิ่งแล้ว ซ่งเวยหลันให้แอนนาเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง พักในหอพักของมหาวิทยาลัย มีเพียงช่วงสุดสัปดาห์เท่านั้นที่จะกลับมาที่เรือนสี่ประสาน
เยี่ยตงผิงส่ายหน้า ตอบว่า “เธออย่ามาพูดกับฉันเลย ถ้าเธอเกลี้ยกล่อมลูกได้แล้ว เธอค่อยไป…”
“ลูกโกรธแล้ว เดี๋ยวฉันค่อยเข้าไปหาเขา พี่ใหญ่ น้องเล็ก น่าอายจริงๆเลย มา ทุกคนกินข้าวเถอะ!”
นี่เป็นครั้งแรกที่บุตรชายใส่อารมณ์กับตนขนาดนี้ ซ่งเวยหลันรู้สึกใจคอไม่ดี ฝืนยิ้มออกมาเรียกให้ทุกคนกินข้าวต่อ
ความจริงแล้วเยี่ยเทียนไม่ได้โกรธแม่ เขาแค่กังวลกับการเดินทางของแม่ในครั้งนี้ พออกจากห้องอาหารมาแล้ว เยี่ยเทียนกลับไปที่ห้องนอนของตัวเอง เดินไปหยิบเอาเหรียญทองแดงสามอันที่ใช้อยู่บ่อยๆจากชั้นหนังสือ
ปากบ่นพึมพำคาถา เยี่ยเทียนโยนเหรียญทั้งสามลงบนโต๊ะ รอดูกว้าที่ปรากฏบนเหรียญแล้วค่อยหยิบเหรียญขึ้นมาโยนใหม่ ทำอย่างนี้ทั้งหมดหกครั้งเยี่ยเทียนจึงวางมือ วิธีการทำนายแบบนี้เรียกว่า วิธีหกเหยาทำนาย
วิธีนี้แตกต่างจากวิธีการทั่วไป เยี่ยเทียนมีเคล็ดลับเสริม โยนเหรียญหกครั้งแล้วปรากฏกว้าขึ้นหนึ่งอัน กว้านั้นก็จะชัดเจนอยู่ในสมอง
“อืม ฟ้าดินสั่นสะเทือน ควรจะป้องกันภัยทางน้ำ จะมีผู้มีบุญให้ความช่วยเหลือ แปรเปลี่ยนภัยอันตรายเป็นความโชคดี?”
ดูกว้าที่ทำนายออกมาแล้ว สีหน้าเคร่งเครียดของเยี่ยเทียนค่อยผ่อนคลายลง ถึงการเดินทางครั้งนี้ของมารดาจะไม่ค่อยราบรื่น แต่ไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต
“ผู้มีบุญเป็นใครกัน?”
เยี่ยเทียนหยิบเหรียญทองแดงขึ้นมาทำนายอีกครั้ง กลับไม่ได้ผลออกมาแต่อย่างใด ทำให้เขากังขาใจยิ่งนัก ตั้งแต่ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากอาจารย์มาจนถึงวันนี้ นอกจากตัวเองแล้ว ไม่มีอะไรที่เขาทำนายไม่ได้
ได้โยนเหรียญทำนายติดต่อกันหลายครั้ง ยังไม่ทราบชื่อของผู้มีบุญคนนั้นเลย แม้แต่ทิศทางที่อยู่ก็ทำนายไม่ออก เยี่ยเทียนมีเหงื่อซึมที่หน้าผาก การทำนายดวงชะตาให้คนใกล้ตัวนั้นสูญเสียพลังมากกว่าการทำนายให้คนอื่น
“เป็นไปได้อย่างไร? แม้แต่ดวงชะตาของศิษย์พี่ใหญ่ เรายังทำนายออกมาได้!”
เก็บเหรียญทองแดงขึ้นแล้วเยี่ยเทียนคิดพิจารณาอยู่นาน หรือเป็นเพราะว่าผู้มีบุญคนนั้นจะทำการป้องกันไม่ให้เยี่ยเทียนทำนายได้ ทำให้เขาตามหาร่องรอยไม่พบ?
“ตัวเอง? บ้าจริง ทำไมเราถึงลืมตัวเองไปได้เล่า?!”
เยี่ยเทียนนึกออกทันใด เขกกะโหลกตัวเองแรงๆเข้าทีหนึ่ง บนโลกนี้คนที่ตนไม่สามารถทำนายดวงชะตาได้ ก็คือตัวเยี่ยเทียนเอง!
“หรือว่าผู้มีบุญนั้นจะหมายถึงเราเอง?” เยี่ยเทียนสงสัย หยิบเอาเหรียญทองแดงขึ้นมาโยนทำนายใหม่
โยนเหรียญครั้งแรกเยี่ยเทียนสีหน้าซีดขาว โยนครั้งที่สองสีหน้าเริ่มแดงคล้ำ โยนครั้งที่สาม พลังในร่างกายเกิดความผันผวน มุมปากมีเลือดไหลออกมา
“ให้ตายสิ ยังไงก็ทำนายให้ตัวเองไม่ได้ โยนเหรียญไปแค่สามครั้ง ยังทำให้บาดเจ็บได้!”
แม้ว่าจะมีอาการพลังลมปราณชีวิตแท้สะท้อนกลับ แต่เยี่ยเทียนก็มีแววดีใจ เพราะการทำนายเมื่อครู่ทำให้ทราบว่าการเดินทางครั้งนี้เขาจะพบกับเรื่องประหลาดใจ แต่ไม่มีอันตราย ซึ่งช่วยยืนยันกับความเชื่อว่าตัวเองคือผู้มีบุญคนนั้น
“เยี่ยเทียน ให้แม่เข้าไปได้ไหม?” ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังจัดการกับอาการบาดเจ็บ เสียงของซ่งเวยหลันดังขึ้นที่หน้าประตูห้อง
“แม่ เข้ามาเถอะครับ!” เยี่ยเทียนรีบดึงกระดาษมาเช็ดเลือดออกจากมุมปาก ถ้าแม่มาเห็นเข้าจะตกอกตกใจเสียเปล่า
“เยี่ยเทียน อย่าโกรธแม่เลยนะลูก…” พอเข้ามาในห้องเห็นสีหน้าบุตรชายไม่ค่อยดีซ่งเวยหลันคิดว่าบุตรชายยังโกรธอยู่
เยี่ยเทียนส่ายหัว “แม่ ผมไม่ได้โกรธ เพียงแต่เรามีเรื่องต้องคุยกัน ช่วงหลายปีนี้ สถานการณ์โลกไม่ค่อยสงบสุข อย่าเดินทางเสียจะดีกว่า อีกอย่าง ทำไมแม่ต้องไปด้วยล่ะครับ โทรศัพท์ไปอย่างเดียวไม่ได้เหรอ?”
ด้วยผลของการทำนาย เยี่ยเทียนไม่ได้กลัวการเดินทางของมารดาเท่าเมื่อครู่แล้ว เพียงแต่อยากถามเหตุผล แม่ของเขาไม่ใช่คนเห็นแก่เงิน ธุรกิจเสียหายบ้างเธอก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่
“กองทุนการเงินที่แม่ดูแลอยู่มีปัญหา การลงทุนครั้งนี้เสียหายเกือบหมื่นล้าน ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในเครือตำหนิกันมามาก แม่ต้องกลับไปสืบให้รู้เรื่อง เพื่อตอบคำถามของพวกเขา”
กลุ่มการเงินที่ซ่งเวยหลันดูแลอยู่นั้น มีมูลค่ามากกว่าแสนล้านดอลล่าร์สหรัฐ แค่หุ้นส่วนของเธอคนเดียวคิดเป็นแค่สามสิบเปอร์เซ็นต์ของผู้ถือหุ้นทั้งหมด
ผู้ถือหุ้นรายอื่นของกลุ่มต่างเป็นผู้นำธุรกิจยักษ์ใหญ่ในสากลทั้งนั้น จะดูถูกกันไม่ได้ ดังนั้นเมื่อการลงทุนเกิดความเสียหาย เธอจึงต้องรับผิดชอบและหาคำตอบมาอธิบายให้คนอื่นรับรู้
อีกทั้งธุรกิจการค้านี้สร้างมาด้วยมือของซ่งเวยหลัน เธอลงทุนลงแรงกับมันมายี่สิบกว่าปี ซ่งเวยหลันไม่อาจทนเห็นตลาดการค้านี้พังครืนลงต่อหน้าต่อตาในชั่วระยะเวลาแค่คืนเดียว
“กองทุนที่ดูแลอยู่มีปัญหา เป็นฝีมือคนทำรึเปล่า?”
แม้เยี่ยเทียนจะไม่เข้าใจธุรกิจ แต่เขารู้จิตใจมนุษย์ดี แม่ของเขาดูแลทรัพย์สินมหาศาล ทำให้หลายๆคนย่อมคิดไม่ซื่ออยากเสี่ยงเพื่อให้ได้มาครอบครอง
ซ่งเวยหลันส่ายหน้า ตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่รู้ชัด เงินทุนนี้มีคุณลุงท่านหนึ่งแนะนำให้กับแม่ เขาปฏิบัติต่อแม่เหมือนเป็นหลานสาวคนหนึ่ง หลายปีมานี้ก็คอยช่วยเหลือดูแล ตอนนั้น…ตอนนั้นแม่เลยไม่ได้คิดมาก”
แม้ปากจะบอกว่าไม่แน่นอน แต่สีหน้าของซ่งเวยหลันบ่งบอกชัดเจนว่าต้องเป็นชายชราผู้นั้นที่เป็นปัญหา ไม่อย่างนั้นแล้วด้วยกฎหมายอันเข้มงวดของต่างประเทศ กองทุนกลุ่มนี้จะเกิดความเสียหายมากมายถึงหลายหมื่นล้านนั้นไม่มีทางเป็นไปได้
“เยี่ยเทียน อย่าว่าแม่เลยนะ รอให้แม่จัดการเรื่องนี้จบแล้ว แม่จะไม่ไปไหนอีกเลย ได้ไหม?”
กว่าจะให้เยี่ยเทียนยอมรับและให้อภัยเธอได้นั้นไม่ง่ายเลย ซ่งเวยหลันไม่อยากให้เพราะเรื่องแบบนี้มาสร้างปัญหาให้เธอกับบุตรชายผิดใจกันอีก
เยี่ยเทียนหยุดคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เอาอย่างนี้ แม่ ช่วงนี้ผมก็ไม่ได้ทำอะไร ไม่งั้น ผมไปเป็นเพื่อนแม่ดีไหม?”
ฟังเยี่ยเทียนพูดจบ ซ่งเวยหลันดีใจมาก แต่แล้วก็ส่ายหน้า “คือ…ลูกกับชิงหย่าเพิ่งแต่งงานกัน แล้วลูกไปกับแม่อย่างนี้จะดีหรือ?”
เยี่ยเทียนยิ้ม “ไม่เป็นไรครับ แม่ไปอย่างมากไม่เกินเดือนสองเดือนหรอก? ชิงหย่าเขาเข้าใจ รอคืนนี้ให้เขาเลิกงานกลับมาก่อน ผมจะคุยกับเขาเอง”
เรื่องบางเรื่องก็ไม่อาจใช้เครื่องรางป้องกันภัยมาทดแทนได้ เมื่อสนามแม่เหล็กด้านตรงข้ามผลักดันกันอย่างรุนแรง ก็ไม่มีเครื่องรางชิ้นไหนช่วยได้
เช่นเดียวกับเครื่องรางที่นำติดตัวเข้าไปในสนามรบ เครื่องรางสามารถป้องกันให้ฟันแทงไม่เข้า แต่ถ้าเกิดมีระเบิดถูกจุดขึ้นข้างตัว ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรนั้นไม่ต้องพูดถึง
เมื่อปีที่มีการต่อต้านสงครามนั้น จำนวนคนในสำนักวิชาที่สละชีพในสนามรบไม่น้อยไปกว่าเหล่าทหารหาญเลย และด้วยเหตุนี้เยี่ยเทียนจึงไม่ได้ให้เพียงแต่เหรียญสัมฤทธิ์ต้าฉีทงเป่ากับมารดาไปเพียงอย่างเดียว
แต่ซ่งเวยหลันยังไม่ค่อยเข้าใจเหตุผล พูดอย่างลังเลว่า “ชิงหย่าเขาจะไม่พอใจเอา?”
“เขากล้าเหรอ?”
เยี่ยเทียนถลึงตา แล้วหัวเราะออกมา “แม่ ไม่เป็นไรหรอก ผมเดินทางไกลบ่อย ชิงหย่าเขาชินแล้วล่ะ”
“งั้นก็เอาเถอะ ลูกห้ามรังแกชิงหย่าล่ะ”
ซ่งเวยหลันพยักหน้า เธอรู้ว่าบุตรชายเป็นคนมีสง่าราศี การมีเขาร่วมเดินทางไปด้วยน่าจะทำให้เรื่องราบรื่นขึ้น
ตอนค่ำอวี๋ชิงหย่ากลับมาถึงบ้าน เยี่ยเทียนบอกกล่าวเรื่องที่จะเดินทางไปต่างประเทศให้ภรรยารับรู้ อวี๋ชิงหย่าถึงจะรู้สึกเสียดาย แต่ก็ตกลง ถ้าไม่ใช่เพราะก่อนงานแต่งเธอลางานไปนาน เธอคงจะไปกับเยี่ยเทียนด้วย
เมื่อตกลงกันได้แล้ว ซ่งเวยหลันก็เริ่มเดินเรื่องเอกสารให้กับเยี่ยเทียน ขณะเดียวกันตัวเองก็ติดต่อเรียกเครื่องบินส่วนตัวจอดอยู่ที่อเมริกาเดินทางมาที่ประเทศจีน
“อืม รู้สึกเหมือนลืมอะไรบางอย่าง?”
ก่อนออกเดินทางหนึ่งวัน เยี่ยเทียนรู้สึกจิตใจกระสับกระส่าย จู่ๆก็นึกถึงเรื่องที่จู้เหวยฟิงเคยบอกกับตนไว้ในวันแต่งงาน
เยี่ยเทียนกำลังจะเดินทางไปอเมริกากับมารดาเพื่อเจรจาธุรกิจ ถ้าเยี่ยเทียนจำไม่ผิด จู้เหวยเฟิงเคยบอกว่างานประชุมมวยใต้ดินระดับโลกนั้นก็จัดขึ้นในอเมริกาเช่นกัน
………………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น