ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 585-613

 ตอนที่ 585 ลองใจ


เมื่อบรรยากาศเริ่มตึงเครียด เหมยเหมยมองพวกเขาทั้งสองอย่างตื่นตระหนก หนึ่งคนคือพ่อของเธอ อีกคนคือพี่หมิงซุ่น เธอหวังว่าพวกเขาจะอยู่ร่วมกันได้เป็นอย่างดีนะ!


เมื่อกี้ยังคุยกันอยู่ดิบดีไม่ใช่หรือ?


ทำไมจู่ๆ ถึงเปลี่ยนสีหน้าล่ะ?


“ไม่เป็นไร พ่อของลูกล้อเล่นเฉยๆ”


เหยียนซินหย่าลูบหลังลูกสาวเบาๆ พลางปลอบเธอเสียงแผ่ว น่าสงสารจริงๆ ดูสิว่าตกใจขนาดไหน


ความจริงจ้าวอิวหัวไม่ได้ล้อเล่นทั้งหมด คำพูดของเขาจริงครึ่งไม่จริงครึ่งและแฝงด้วยความต้องการที่จะลองใจเหยียนหมิงซุ่น จุดเดียวของเด็กนี่ที่น่ารำคาญนอกจากตามตื๊อลูกสาวเขาแล้วคืออย่างอื่นไม่มีที่ติจริงๆ แต่เขาต้องลองอีกหลายๆ รอบ


ทองแท้ไม่กลัวไฟลน เป็นแค่เศษเหล็กหรือโลหะก็ต้องลองหลายๆ ครั้งถึงจะรู้ธาตุแท้ เขาต้องช่วยจับตาดูแทนลูกสาวอย่างเข้มงวด ไล่พวกเศษเดนทั้งหมดไว้ข้างนอกประตู!


ต่อให้เหยียนหมิงซุ่นรู้ว่าการที่ตนทำเช่นนี้อาจทำให้จ้าวอิงหัวโกรธแต่เขาก็ต้องพูด เขารู้ว่าสถานะของตัวเองในตอนนี้อยู่ห่างจากเหมยเหมยไกลลิบลับ ไม่ได้อยู่ในแวดวงเดียวกัน และเพราะเหตุนี้เขาถึงยิ่งต้องแยกให้ชัดเจน


ถือว่าทำเพื่อศักดิ์ศรีอันน้อยนิดที่น่าสงสารของเขาเถอะ!


เขาไม่อยากให้คนอื่นหลงคิดว่าเขาหวังตำแหน่งและสมบัติของตระกูลจ้าวถึงเป็นเพื่อนกับเหมยเหมย!


“ลุงจ้าว ผมรู้ว่าตัวเองยังไม่มีสิทธิ์พอและขอบคุณที่ลุงจ้าวให้โสมกับผม ผมยิ่งรู้ดีว่าตัวเองพูดแบบนี้ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง แต่ผมก็อยากพูด โสมคือโสม เหมยเหมยคือเหมยเหมย เป็นคนละเรื่องกัน ถ้าลุงจ้าวต้องบอกว่าเป็นเรื่องเดียวกันให้ได้ อย่างนั้นผมยอมไม่เอาโสมดีกว่า”


เหยียนหมิงซุ่นทำหน้ารู้สึกผิดแต่ถ้อยคำที่กล่าวออกมานั้นเด็ดขาดไม่เว้นช่วงให้ปฏิเสธ เขาวางโสมไว้บนโต๊ะแล้วเลื่อนไปทางจ้าวอิงหัว กลับตัดสินใจไม่เอาโสมนี้จริงๆ เสียอย่างนั้น


จ้าวอิงหัวเลิกคิ้ว เริ่มชื่นชมเหยียนหมิงซุ่นเล็กน้อย ชายหนุ่มอายุน้อยแต่กลับโอหังนัก ท่าทางคล้ายๆ เขาในอดีตอยู่บางส่วน!


“เธอคืนโสมให้ฉันแล้วอาการป่วยของคุณยายเธอล่ะจะทำยังไง? เธอไม่คิดว่าเธอวู่วามเกินไปหรือที่ทำแบบนี้?” จ้าวอิงหัวถาม


เหยียนหมิงซุ่นตอบสีหน้าจริงจัง “ไม่ครับ ผมคิดว่าผมหาโสมร้อยปีได้ แค่จะเร็วหรือช้าเท่านั้น”


เหยียนซินหย่ารีบลุกขึ้นหน้ายิ้มๆ เธอเลื่อนโสมมาทางเหยียนหมิงซุ่นแล้วมองค้อนจ้าวอิงหัว โตเป็นผู้ใหญ่แล้วยังทะเลาะกับเด็ก ไม่ทำตัวให้สมกับเป็นผู้อาวุโสเลย!


“หมิงซุ่นรีบเก็บโสมเร็ว ลุงจ้าวเขาล้อเล่นกับเธอเท่านั้นแหละ ในเมื่อโสมนี้ให้เธอไปแล้วก็เป็นของเธอ ไม่มีเหตุผลอะไรต้องเอาคืนมาอีก ส่วนโสมกับเหมยเหมยต้องไม่ใช่เรื่องเดียวกันอยู่แล้ว เหมยเหมยของเราเป็นสมบัติล้ำค่า อย่าว่าแต่โสมร้อยปีเลย ต่อให้เป็นโสมพันปีหมื่นปีก็ไม่มีสิทธิ์มาเทียบกับลูกสาวน้า”


คำพูดของเหยียนซินหย่าช่วยทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง จ้าวอิงหัวลูบจมูกยิ้มเล็กๆ “นั่นน่ะสิ ลูกสาวของฉัน ต่อให้ใช้ทองเท่าไหร่ก็แลกไม่ได้ เหมยเหมยมาทานเนื้อซี่โครงนี่สิ ลูกต้องทานเนื้อเยอะๆ นะ ดูสิแขนก็เล็กขาก็เล็ก ผอมขนาดนี้รีบทานเยอะๆ เลย!”


จ้าวอิงหัวคีบกับข้าวให้เหมยเหมยอย่างขยันขันแข็งไม่ปริปากเอ่ยถึงเรื่องเมื่อครู่อีก ราวกับใบหน้าเรียบตึงเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตาของทุกคนเท่านั้น!


เหยียนหมิงซุ่นเองก็รู้ขอบเขต เก็บโสมก่อนจะกล่าวขอบคุณอีกหน


เหมยเหมยก้มหน้าหยิกเอวหนาของตัวเองแล้วมองเนื้อที่กองเป็นภูเขาในถ้วยอย่างปวดใจ หากทานแบบนี้ต่อไปเธอต้องกลายเป็นยายหมูอ้วนแน่ๆ


“พ่อคะ หลังจากนี้หนูจะทานเนื้อน้อยๆ ทานผักเยอะๆ เนื้อในถ้วยนี้พ่อทานเองเถอะ!”


เนื้อในถ้วยเหมยเหมยถูกคีบมาไว้ในถ้วยของจ้าวอิงหัวทั้งหมด บอกว่าไม่ทานก็คือไม่ทาน เธอไม่อยากกลายเป็นยายหมูอ้วน!


จ้าวอิงหัวเกลี้ยกล่อมหลายรอบเหมยเหมยก็ไม่ยอมทานอย่างแน่วแน่จนผิดปกติ เหยียนหมิงซุ่นเห็นแล้วรู้สึกขบขันพลางคีบเนื้อวัวผัดซอสชิ้นหนึ่งให้เหมยเหมย กล่าว “เหมยเหมยทานเนื้อวัวสิ เนื้อวัวไม่มีไขมัน เป็นเนื้อล้วนๆ ไม่มีไขมัน ทานแล้วไม่อ้วนแล้วมีสารอาหารด้วย!”


เหมยเหมยตาเป็นประกาย เนื้อวัวไม่อ้วนหรือ?


อย่างนั้นเธอจะต้องทาน!


…………………


ตอนที่ 586 ห้องไม่เลว


เหมยเหมยเริ่มทานเนื้อวัวอย่างดีอกดีใจจนทานไปหลายชิ้นในทีเดียว เหยียนหมิงซุ่นคีบกุ้งตัวใหญ่มาไว้ในถ้วยเหมยเหมยอีก “เนื้อกุ้งกับเนื้อปลามีสารอาหารที่มีประโยชน์ ทานแล้วไม่อ้วนเหมือนกัน”


อันนี้เหมยเหมยรู้ดีเพราะเนื้อปลาและเนื้อกุ้งคอเรสเตอรอลต่ำ เวลาลดความอ้วนสามารถทานได้ในปริมาณพอเหมาะ เหยียนหมิงซุ่นเห็นเธอรีบทานเกินไปจนไม่มีเวลาแกะกุ้งเลยแกะกุ้งอย่างรวดเร็วและสะอาดให้เหลือเพียงหางกุ้ง เธอเพียงจิ้มซอสก็ทานได้ทันที


“ขอบคุณค่ะพี่หมิงซุ่น ฉันแกะเองได้”


เหมยเหมยค่อนข้างลำบากใจ ใช่ว่าเธอจะเป็นเด็กน้อยจริงๆ ที่ไม่แม้แต่จะแกะกุ้งเป็น


จ้าวเสวียหลินรีบแกะกุ้งตามอย่างไว แต่หน้าตาเมื่อเทียบกับของเหยียนหมิงซุ่นนั้นห่างชั้นกันมาก ใส่ถ้วยเหมยเหมยอย่างกระตือรือร้น ไม่ทำหน้าดีๆ ใส่เหยียนหมิงซุ่นพลางพูดแค่นเสียง “ฉันแกะให้เหมยเหมยได้ ฉันเป็นพี่ชายของเธอ”


หมายความว่าคนนอกอย่างนายอยู่เฉยๆ!


เหมยเหมยเหลือบมองกุ้งฝีมือการแกะของพี่ชายตนอย่างรังเกียจ ดูสิไม่เป็นชิ้นเป็นอันเลย แค่เห็นก็ไม่อยากทาน แต่เธอก็ซาบซึ้งใจ คีบเนื้อชิ้นโตใส่ในถ้วยจ้าวเสวียหลิน


“ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องแกะให้หนูหรอก หนูแกะทานเองอร่อยกว่า!”


เหมยเหมยพูดจริงจังเป็นการปฏิเสธจ้าวเสวียหลินที่กำลังจะลงมือแกะกุ้งตัวต่อไป เธอทานเนื้อวัวไปเดี๋ยวตามด้วยกุ้งกับปลา ทานอย่างเอร็ดอร่อยแถมยังอ้อนจ้าวอิงหัว


“พ่อคะ หลังจากนี้หนูทานแค่เนื้อวัว ปลาแล้วก็กุ้ง เนื้ออย่างอื่นหนูไม่ทานแล้วนะคะ”


จ้าวอิงหัวไม่มีความคิดเห็นใดๆ ขอแค่ลูกสาวยอมทานเนื้อไม่ว่าเนื้ออะไรก็ได้ เขาชำเลืองมองเหยียนหมิงซุ่นแอบพึมพำว่าลูกชายพูดไว้ไม่มีผิด เจ้าหมอนี่อ้าปากก็พูดแต่เรื่องเหลวไหล ทำไมเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าทานเนื้อวัวแต่ไม่อ้วน?


เขาไม่ได้หลอกง่ายเหมือนลูกสาวหรอกนะ ดูชาวตะวันตกพวกนั้นสิชอบทานเนื้อวัวแล้วดูหุ่นพวกเขา ที่แข็งแกร่งบึกบึนกันขนาดนี้ก็เพราะทานเนื้อวัวไม่ใช่หรือไง!


แน่นอนว่าเขาไม่มีทางเปิดโปงความจริงนี้ของเหยียนหมิงซุ่นเด็ดขาด!


ขอแค่ลูกสาวยอมทานเนื้อก็พอ คุณประโยชน์ของเนื้อวัวดีกว่าเนื้อหมูเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เจ้าหมอนี่นอกเสียจากพูดเหลวไหลว่าไม่อ้วน แต่อย่างอื่นก็ไม่ได้พูดผิดอะไร!


ระหว่างมื้ออาหารนอกจากสายตาพิฆาตที่จ้าวเสวียหลินส่งมาเป็นระยะๆ แต่สถานการณ์โดยรวมก็ยังราบรื่นดี หลังมื้ออาหารจ้าวอิงหัวคุยกับเหยียนหมิงซุ่นอีกไม่กี่ประโยค เขาถามอย่างตรงไปตรงมา “ฉันได้ยินเหมยเหมยบอกว่าความฝันของเธอคือเป็นทหารหรือ?”


เหยียนหมิงซุ่นมองไปทางเหมยเหมยอย่างตะลึง เขาจำได้ว่าตัวเขาไม่เคยบอกยายหนูนี่นา เหมยเหมยรู้ได้อย่างไร?


เหมยเหมยใจหล่นวูบเช่นกัน รู้ว่าถูกจับได้เสียแล้วเลยรีบยิ้มเอาใจเหยียนหมิงซุ่น คิดว่าเดี๋ยวเหยียนหมิงซุ่นถามเข้าเธอก็อ้างว่าเดาเอาเอง


“ครับ ผมกะว่าหลังจบมัธยมปลายก็จะไปเกณฑ์ทหาร” เหยียนหมิงซุ่นไม่ได้ปิดบัง ต่อหน้าคนตระกูลจ้าวไม่มีอะไรต้องปิดบังอยู่แล้ว


จ้าวอิงหัวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ไม่เลว ลูกผู้ชายที่ดีก็ต้องไปเป็นทหาร พ่อแม่เธอสนับสนุนเธอมั้ย?”


เหยียนหมิงซุ่นมุ่นคิ้วส่ายศีรษะกล่าว “ครอบครัวผมไม่รู้เรื่องนี้ พวกเขาหวังให้ผมเรียนมหาวิทยาลัยแล้วหางานที่มั่นคงทำ แต่ผมไม่อยาก ฉะนั้นเรื่องนี้อยากขอให้ลุงจ้าวกับน้าเหยียนช่วยเก็บเป็นความลับให้ผมด้วย”


จ้าวอิงหัวทำหน้าตกใจ เด็กนี่มีความคิดที่อาจหาญมาก เรื่องใหญ่ขนาดนี้แต่กลับตัดสินใจเอาเอง เขาเลยถามอีก “เธอไม่คิดจะปรึกษาคนที่บ้านจริงๆ เหรอ?”


“ไม่ต้องหรอกครับ ชีวิตของผม ผมต้องตัดสินใจเอง”


เหยียนหมิงซุ่นทำหน้าแน่วแน่ไร้ความลังเลใดๆ


เหมยเหมยส่งเหยียนหมิงซุ่นออกไป จ้าวอิงหัวคุยกับเหยียนซินหย่าว่า “เด็กนี่วันหน้าต้องประสบความสำเร็จแน่ๆ แข็งแกร่งกว่าตอนผมเป็นวัยรุ่นอีก!”


หน้าประตูใหญ่เหมยเหมยชี้ไปที่ห้องตัวเองตรงชั้นสองแล้วบอก “พี่หมิงซุ่น นั่นห้องของฉันนะ!”


เหยียนหมิงซุ่นเงยหน้ามองไป แวบแรกก็เห็นท่อน้ำแสนมหัศจรรย์นั่น กะพริบตาปริบพยักหน้ากล่าว “ตำแหน่งห้องไม่เลว”


ไม่เลวจริงๆ ท่อน้ำนี่มีตะปุ่มตะป่ำไม่น้อย ช่วยให้ปีนได้ง่ายขึ้นมาก!


…………………


ตอนที่ 600 กิจการรุ่งเรือง เงินทองไหลมาเทมา


เหยียนหมิงซุ่นล้วงกระดาษปึกหนาออกมาจากกระเป๋าเสื้อของตัวเองแล้วยัดใส่มือเหมยเหมย “นี่เป็นเงินหนึ่งพันหยวนที่ฉันยืมเธอมาคราวก่อน เธอเก็บให้ดีล่ะ”


หลายวันก่อนเขาขายของเก่าบางส่วนให้ลุงหมิงเลยได้เงินมาส่วนหนึ่ง พอนึกขึ้นได้แล้วก็อยากรีบคืนเงินยายหนูเสียที!


“พี่หมิงซุ่นมีเงินติดตัวพอมั้ย? ไม่ต้องรีบคืนเงินฉันก็ได้นะ ฉันไม่มีที่ให้ใช้เงิน หรือว่าไม่อย่างนั้นพี่เก็บเอาไว้ก่อนเถอะ” เหมยเหมยไม่ได้รับเงินไว้แต่กลับยัดเงินใส่มือคืนกลับไป


เหยียนหมิงซุ่นเห็นสายตาจริงใจของเหมยเหมยก็หวั่นใจและถามกลับ “เหมยเหมยอยากหาเงินก้อนใหญ่มั้ย?”


“อยากอยู่แล้ว แต่จะไปหาที่ไหนล่ะ?”


เหมยเหมยทำหน้ามุ่ย เธออยากหาเงินมากยิ่งกว่าใคร มีเงินถึงจะซื้อบ้านได้ อนาคตเธอจะคอยเก็บค่าเช่า ช่างเป็นชีวิตที่สบายเหลือเกิน!


อีกอย่างยุคแปดศูนย์เป็นยุคทองของการหาเงิน ขอแค่ไม่ใช่คนโง่หรืองี่เง่าถึงขั้นฉุดไม่อยู่ ต่อให้วางแผงขายของสักอย่างก็หาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ


มีประโยคหนึ่งที่มีคนพูดไว้อย่างดีว่า คนคิดค้นขีปนาวุธยังไม่สู้คุณป้าขายไข่ต้มใบชา แม้ฟังดูเกินจริงแต่ก็สะท้อนความจริงของสังคมในยุคสมัยนี้ได้ดี


เงินเดือนประจำตำแหน่งหนึ่งเดือนได้แค่กี่สิบหยวน หนึ่งร้อยกว่าหยวนถือว่าสูงมากแล้ว ขณะที่คุณป้าขายไข่ต้มใบชาหนึ่งเดือนได้กำไรสักหนึ่งหรือสองร้อยหยวนกลับไม่ใช่เรื่องยาก จากสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ผู้เชี่ยวชาญที่ขายขีปนาวุธอย่างไรก็สู้คุณป้าขายไข่ต้มใบชาไม่ได้จริงๆ


แต่ปัญหาคือตอนนี้เธออยู่ในร่างเล็กร่างนี้ ต่อให้อยากไปเปิดแผงขายของ พ่อแม่เธอจะยอมหรือ?


เหยียนหมิงซุ่นคันไม้คันมืออีกแล้ว มองออกไปทางประตูเล็กน้อยเห็นว่าจ้าวเสวียหลินที่น่ารำคาญคนนั้นไม่อยู่ แทบไม่ต้องคิดอะไรนาน เขาก็ยื่นมือตัวเองไปจับจมูกนิ่มของเหมยเหมยอย่างพึงพอใจ


ในที่สุดก็ได้หยิกสักที ติดอยู่ในหัวมาหลายวันแล้วเชียว!


“อย่าหยิก มันคัน!”


เหมยเหมยปัดมือใครบางคนทิ้งอย่างไม่พอใจพร้อมส่งเสียงท้วงในลำคอ ไม่ชอบให้ใครมาจับจมูกเธอที่สุดเลยเพราะทำให้เธออยากจามทุกทีไป เหยียนหมิงซุ่นหยิกอีกหลายทีก่อนจะถอนมือกลับมาหลังได้รับสายตาไม่พอใจจากเหมยเหมย


“ฉันเตรียมเปิดโรงงานผลิตเสื้อให้น้าชายเล็กของฉัน ถ้าเหมยเหมยยอมเชื่อใจฉัน เงินหนึ่งพันหยวนนี้ลงทุนกับโรงงานนี้ได้ อนาคตได้กำไรก็จะแบ่งสัดส่วนให้เธอ แต่ถ้าขาดทุน เงินหนึ่งพันหยวนนี้ก็เท่ากับสูญเปล่า เหมยเหมยจะยังเชื่อฉันมั้ย?”


เหยียนหมิงซุ่นตั้งใจหยั่งเชิง ความจริงเขามีความมั่นใจว่าต้องได้กำไรเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ปีก่อนเขาไปศึกษาตลาดเสื้อผ้าที่ทางใต้มาก่อน ทางใต้มียี่ห้อเสื้อผ้าทันสมัยมากมายที่ล้วนถูกส่งมาจากทางฮ่องกง ส่วนความทันสมัยของฮ่องกงนั้นก็ติดอยู่อันดับต้นๆ ของโลก


ดังนั้นขอแค่เขาผลิตเสื้อผ้าทันสมัยของทางใต้ที่นี่ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะขายไม่ออก ตอนนี้ในมือประชาชนมีเงินแต่กลับเครียดที่ไม่มีที่ให้ใช้เงิน โดยเฉพาะหญิงสาววัยรุ่น ขอแค่มีเสื้อผ้าสวยๆ ขาย ต้องไม่คิดเสียดายเงินแน่ๆ


เหมยเหมยตาวาว ทำโรงงานเสื้อผ้าก็ดีสิ ลงทุนไม่เยอะแต่ได้กำไรสูง เธอพยักหน้าโดยไม่ต้องคิด “ดีสิ พี่หมิงซุ่นเอาเงินไปใช้เถอะ หนึ่งพันพอมั้ย? ที่ฉันยังมีอีกห้าร้อยหยวนนะ”


เหยียนหมิงซุ่นยิ้มมุมปาก ใจที่กังวลเมื่อครู่คลายความกังวลลง ยายหนูยังคงเชื่อเขาเหมือนเฉกเช่นที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เขารู้สึกดีใจอย่างมาก


“เหมยเหมยไม่กลัวฉันขาดทุนเหรอ?” เหยียนหมิงซุ่นถามยิ้มๆ


“ถุยๆๆ พูดอะไรอย่างนั้น เราต้องบอกว่ากิจการของเราจะรุ่งเรืองร่ำรวยโชคดีมีชัยสิ พี่นี่พูดไม่เก่งเลยจริงๆ!” เหมยเหมยถลึงตาใส่เขาที


ทำธุรกิจก็ต้องขอความโชคดีไม่ใช่หรือ ยังไม่ทันตั้งโรงงานก็บอกว่าตัวเองจะขาดทุน เป็นลางไม่ดีเลย!


เหยียนหมิงซุ่นชะงักไปอีกทีอดหัวเราะไม่ได้ ยื่นมือตัวเองออกไปหยิกแก้มอูมของเหมยเหมยอีกหลายที ก่อนหดมือกลับอย่างเป็นธรรมชาติพร้อมได้รับการกลอกตาใส่อีกหลายที


“ฉันพูดผิดเอง กิจการของเราต้องเจริญรุ่งเรือง เงินทองไหลมาเทมา!”


…………………..


ตอนที่ 601 คุณพ่อพี่หมิงซุ่นไม่ใช่คนดี


เงินหนึ่งพันหยวนตกอยู่ในอ้อมแขนเหยียนหมิงซุ่นอีกครั้ง เงินห้าร้อยหยวนเขาไม่ได้รับไว้ ความจริงเงินลงทุนเขากับน้าชายเล็กมีเพียงพอแล้ว โรงงานเสื้อผ้าไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมาย แต่มีเงินหนึ่งพันหยวนนี้เขาสามารถขยายโรงงานได้ใหญ่ขึ้นอีกนิด


“พี่หมิงซุ่น ฉันควรบอกพ่อแม่ฉันเรื่องบ้านที่ซื้อตรงถนนฮวายไห่ดีมั้ย?” เหมยเหมยคิดหนัก


จ้าวอิงหัวกับเหยียนซินหย่าดีกับเธอขนาดนี้ แต่เธอกลับปิดบังพวกเขาเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็รู้สึกไม่สบายใจ เหยียนหมิงซุ่นคิดๆ แล้วจึงบอกว่า “งั้นก็บอกไปเถอะ แต่อย่าพูดทั้งหมด เธอบอกแค่ว่าฉันพาเธอเก็บของเก่าไปขายได้ บ้านฉันก็เป็นคนช่วยซื้อให้เธอ เรื่องอื่นไม่ต้องพูด”


ขณะที่เขาพูดเช่นนี้ตาก็มองไปที่คุณฉิวที่กำลังแทะไพน์นัทในอ้อมแขนเหมยเหมย ตอนนี้สถานะของเจ้าหมอนี่ที่บ้านเป็นรองเพียงเหมยเหมยเท่านั้น ยิ่งอยู่ยิ่งเหมือนคุณชายเข้าไปกันใหญ่ กินไม่หยุดตั้งแต่เช้ายันค่ำ


เหมยเหมยมองมาที่ฉิวฉิวตามสายตาเขาแล้วใจหล่นตุบ หรือว่าเหยียนหมิงซุ่นรู้อะไรเข้าแล้ว?


ไม่ต้องรอเหยียนหมิงซุ่นตักเตือนเธอก็ไม่มีทางบอกความลับของฉิวฉิวออกมา หากให้คนอื่นรู้ถึงความสามารถของฉิวฉิวแล้ว ไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะนำพาไปเจอคนเลวร้ายอะไรอีกก็ไม่รู้!


“ฉันไม่พูดหรอก ฉันจะบอกแค่ว่าพี่หมิงซุ่นพาฉันไปหาเงินได้ อย่างอื่นจะไม่พูดอะไรอีกเลย”


“เด็กดี!”


เหยียนหมิงซุ่นอดหยิกแก้มใครบางคนอีกทีไม่ได้ ทั้งนุ่มทั้งลื่นให้สัมผัสชั้นยอด ต้องกลมกลึงถึงจะดีอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด!


“เหมยเหมย ทำไมยังไม่กลับมาอีก?” เสียงตะโกนของจ้าวเสวียหลินดังแว่วมา


หากไม่ใช่เพราะยังต้องรักษามารยาทไว้เขาคงพุ่งออกไปกระชากน้องสาวตัวเองกลับมาแล้ว แค่ไปยืนส่งคนที่หน้าประตูก็ต้องใช้เวลาตั้งหลายนาที ยืนส่งถึงสิบแปดลี้เลยหรืออย่างไร!


มีอะไรให้ต้องพูดมากมายขนาดนั้น!


“เหมยเหมยรีบกลับบ้านเถอะ ฉันไปนะ!”


เหยียนหมิงซุ่นขมวดคิ้ว เขาไม่ชอบจ้าวเสวียหลินอย่างแท้จริง น่ารำคาญเหมือนแมลงวันเลย เขาหันหลังหมายจะกลับแต่พาลนึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่งเลยหันกลับมาบอก “เหมยเหมยช่วยเตือนลุงจ้าวทีว่าพ่อของฉันอยากไต่เต้า เขาอาจแวะไปหาลุงจ้าวได้ เธอบอกให้ลุงจ้าวอย่าไปสนใจเขานะ”


เหมยเหมยพยักหน้าอย่างแรง “อืม พ่อของพี่ไม่ใช่คนดี”


เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะ หยิกแก้มอีกทีถึงปั่นจักรยานกลับไปอย่างอาลัยอาวรณ์


เหมยเหมยยืนส่งจนไม่เห็นเงาเหยียนหมิงซุ่นแล้วถึงกลับเข้าบ้าน จ้าวเสวียหลินนั่งอยู่บนโซฟาพูดขึ้นด้วยเสียงกระแนะกระแหน “ยอมกลับมาแล้วหรือไง? ทำไมไม่ไปส่งที่ประตูใหญ่เลยล่ะ?”


“ยุ่งน่า!”


เหมยเหมยทำหน้ายียวนใส่อีกคน น่ารำคาญจริงๆ เธอคุยกับพี่หมิงซุ่นไม่กี่ประโยคก็ต้องสนใจด้วยหรือ ขนาดพ่อกับแม่ยังไม่พูดอะไรด้วยซ้ำ!


จ้าวเสวียหลินแค่นเสียงที ยายบ้านี่โดนเหยียนหมิงซุ่นหลอกจนหัวปักหัวปำแล้ว น่าโมโหชะมัด!


เหยียนซินหย่ายื่นถุงร้อนให้เหมยเหมยพลางหยิกแก้มเธอพูดหยอกเย้า “ดูปากโค้งเชียว พี่ของลูกก็เป็นห่วงลูก  เขากลัวลูกจะเป็นหวัดนะ!”


“ค่ะ หนูรู้”


เธอยิ้มอย่างเอาใจจ้าวเสวียหลินที่ยังโมโหอยู่ เมื่อกี้เธอเป็นฝ่ายผิดเอง จ้าวเสวียหลินดีกับเธอมากพอแล้วเธอไม่ควรประชดเขา


เหมยเหมยปอกลูกไพน์นัทก่อนส่งถึงปากจ้าวเสวียหลินหลายเม็ด ตามองเขาละห้อย จ้าวเสวียหลินจะโกรธน้องสาวตัวเองได้อย่างไรไหว แค่ทนได้ไม่ถึงนาทีก็เปลี่ยนสีหน้าจากถมึงทึงเป็นร่าเริงทันที แถมตัวเองเป็นฝ่ายหลุดหัวเราะก่อนด้วย


“พ่อคะ พี่หมิงซุ่นบอกว่าพ่อของเขาไม่ใช่คนดี บอกว่าพ่อไม่ต้องไปสนใจพ่อของเขาค่ะ”


เหมยเหมยยกฉิวฉิวซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเหยียนซินหย่ามากอด แล้วทานลูกไพน์นัทกับฉิวฉิว พูดอย่างไม่ใส่ใจเหมือนไม่มีอะไรแต่กลับทำเอาสองสามีภรรยาจ้าวอิงหัวชะงักค้าง


เจ้าเด็กเหยียนหมิงซุ่นดูรู้มารยาทดีนี่นา ทำไมถึงได้บอกว่าพ่อตัวเองไม่ใช่คนดีล่ะ!


……………………


*หมายเหตุ : เนื่องจากตัวเลขบทของต้นฉบับภาษาจีนระบุไว้เป็นตอนที่ 600 ซึ่งเป็นเลขบทที่ข้ามจากเลขบทก่อนหน้านี้ (ตอนที่ 586) อย่างไรก็ตามเนื้อหาทั้งสองตอนยังมีความต่อเนื่องกัน และเพื่อมิให้สับสนกับการลงผลงานต่อไป ทางเราจึงขอใช้เลขบทนิยายตามต้นฉบับภาษาจีน คือเริ่มตอนที่ 600 เป็นต้นไปนะคะ ขอบคุณค่ะ


ตอนที่ 602 หนูหาเงินได้เยอะเลย


เหมยเหมยรู้อยู่แล้วว่าพ่อกับแม่ของเธอต้องสงสัย เลยเล่าเรื่องราวแสนน้ำเน่าของตระกูลเหยียนให้ฟังอย่างละเอียด จ้าวอิงหัวกับเหยียนซินหย่าฟังแล้วอดเห็นใจไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าเหยียนหมิงซุ่น เด็กคนนี้จะมีชีวิตที่ยากลำบากขนาดนี้


“โชคดีที่หมิงซุ่นยังมีคุณปู่คุณย่าคอยดูแล ไม่อย่างนั้นจะยิ่งลำบากกว่านี้”


เหยียนซินหย่าถอนหายใจที ทั้งรู้สึกรักปนสงสารเหยียนหมิงซุ่น ขณะเดียวกันก็ยิ่งรักลูกสาวมากขึ้นไปอีก


ที่เด็กสองคนนี้สนิทสนมกันขนาดนี้ เหตุผลส่วนมากคงเพราะพวกเขามีเรื่องราวชีวิตที่คล้ายคลึงกันสินะ?


ล้วนเป็นลูกที่พ่อไม่สนใจแม่ไม่รัก คอยประคับประคองให้กำลังใจกันและกันในยามลำบาก เลยทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขายิ่งล้ำค่ามากกว่าเดิม!


เหมยเหมยพูดอย่างภูมิใจ “พี่หมิงซุ่นเก่งมากเลยนะ ชีวิตเขาเลยไม่ลำบากสักนิด”


ว่าแล้วเธอก็คลานไปอยู่ระหว่างจ้าวอิงหัวกับเหยียนซินหย่าด้วยท่าทางลึกลับ กระซิบข้างหูพวกเขา “หนูบอกพ่อกับแม่นะว่าพี่หมิงซุ่นช่วยหนูหาเงินได้เยอะมากเลย!”


สองสามีภรรยาจ้าวอิงหัวมองลูกรักตัวน้อยที่แทรกตัวอยู่ระหว่างพวกเขาด้วยรอยยิ้ม เหมยเหมยในเวลานี้ไม่มีความอึดอัดเหมือนตอนเพิ่งกลับมาอยู่ด้วยกัน ออดอ้อนต่อหน้าพวกเขาอย่างเป็นธรรมชาติซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกปลื้มใจอย่างมาก


แต่ที่ลูกสาวบอกว่าหาเงินได้เยอะมากมันหมายความว่าอย่างไร?


เพียงแต่จ้าวอิงหัวไม่ได้เก็บมาคิดมาก สำหรับเด็กน้อยสิบหยวนก็คือเงินจำนวนมากแล้ว!


เพียงแต่…


คำพูดต่อมาของลูกสาวทำเอาพวกเขาเกือบตกโซฟา เหมยเหมยพูดอย่างได้ใจ “หนูหาเงินได้เยอะมากแล้วไม่มีที่ให้ใช้ พี่หมิงซุ่นเลยช่วยหนูซื้อบ้านหลังหนึ่งอยู่แถบถนนฮวายไห่ อยู่ไม่ไกลจากบ้านของคุณตาเท่าไหร่ หนูจะไปเอาโฉนดบ้านมาให้พ่อแม่ดูนะ”


เธอวิ่งแจ้นขึ้นไปห้องชั้นบนก่อนให้ฉิวฉิวคายโฉนดบ้านออกมาแล้ววิ่งลงมาอย่างดีใจ ยื่นโฉนดบ้านให้จ้าวอิงหัวอย่างมีความสุข


จ้าวอิงหัวเปิดโฉนดบ้านดูพบว่าเจ้าของบ้านคืออู่เจียว สถานที่อยู่ถนนฮวายไห่ไม่ผิดจริงๆ อีกทั้งเป็นบ้านเดี่ยวสไตล์ยุโรป พื้นที่บ้านไม่น้อยแหนะ!


“เหมยเหมย อู่เจียวคนนี้คือใครเหรอ?” เหยียนซินหย่าถามอย่างสงสัย


“ชื่อสมมติของหนูเองค่ะ หนูอายุน้อยไม่ใช่เหรอ ถ้าใช้ชื่อจริงอู่เจิ้งซือกับเหอปี้อวิ๋นต้องรู้ พี่หมิงซุ่นเลยช่วยทำทะเบียนบ้านมาให้หนูเล่มหนึ่ง บอกว่ารอหนูบรรลุนิติภาวะค่อยเปลี่ยนชื่อเจ้าของบ้าน”


เหมยเหมยพูดเป็นตุเป็นตะ โดยเฉพาะยามเห็นสีหน้าที่อ้าปากค้างของพ่อแม่และพี่ชายแท้ๆ ของตัวเองยิ่งทำให้เธอได้ใจมากกว่าเดิม เชิดปลายคางกลมกลึงสูง ท่าทางเย่อหยิ่งนั่นทำเอาคนมองอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปหยิกสักหน่อย


จ้าวอิงหัวได้สติกลับมาก่อน เขากลืนน้ำลายอึกหนึ่งแล้วถาม “ลูกรัก บ้านหลังนี้ลูกใช้เงินไปเท่าไหร่?”


“หนึ่งพันแปดร้อย พี่หมิงซุ่นช่วยต่อราคาให้หนูด้วย บ้านหลังนั้นดีมากเลย ข้างในมีเฟอร์นิเจอร์ครบ ถ้ามีเวลาว่างหนูจะพาพ่อกับแม่ไปดูนะ!” เหมยเหมยพูดอย่างได้ใจ


จ้าวอิงหัวกลืนน้ำลายอีกหน หน็อยแน่ หนึ่งพันแปดร้อย?


เขาทำงานมาตั้งหลายปีสมุดบัญชีที่บ้านยังมีเงินไม่ถึงหนึ่งพันแปดร้อยเลย!


ลูกสาวของเขาสามารถล้วงเงินหนึ่งพันแปดร้อยเพื่อซื้อบ้านทีเดียวขณะอายุยังน้อยได้แล้วหรือ?


แถมยังปิดบังทุกคนได้มิดชิด ผ่านไปตั้งหลายวันถึงยอมบอก ลูกสาวของเขาไม่ธรรมดาเลย!


แล้วเจ้าเหยียนหมิงซุ่นนั่นก็ยิ่งไม่ธรรมดา เรื่องปลอมทะเบียนบ้านไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่มีความสามารถก็คงทำยาก เจ้าเด็กนี่อายุไม่มากแต่กลับเก่งกาจไม่น้อย!


“เหมยเหมย ลูกกับหมิงซุ่นทำงานหาเงินยังไงเหรอ?” เหยียนซินหย่าถามด้วยสงสัย เห็นลูกสาวเธอกับเหยียนหมิงซุ่นหาเงินได้ง่ายยิ่งกว่าดื่มน้ำ หรือว่ามีทองหล่นจากฟ้ากัน?


“ขายของเก่าค่ะ ซื้อมาในราคาถูกแต่ขายในราคาแพง หนูจะเอาของรักของหวงของหนูให้พ่อแม่ดูนะ!”


เหมยเหมยวิ่งขึ้นไปชั้นบนอย่างร่าเริงอีกที เกิดเสียงดังอึกทึกช่วงหนึ่งคล้ายเป็นเสียงกลับตู้ ซึ่งความจริงกลับเป็นเสียงที่ให้ฉิวฉิวสำรอกของออกมา เธอหยิบภาพวาดของปาต้าซานเหริน กล่องเก็บเครื่องแป้ง รวมถึงเหรียญกษาปณ์ที่ทำจากทองแดงลงมา


…………………….


ตอนที่ 603 ได้ใจถึงขีดสุด


เหมยเหมยจงใจเลือกภาพวาดของปาต้าซานเหริน เพราะเมื่อสักครู่เหยียนหมิงซุ่นบอกเธอว่าครั้นเมื่อคุณตาของเธอยังมีชีวิตอยู่นั้น ท่านรักปาต้าซานเหรินมากที่สุด เหยียนซินหย่าผู้ได้รับอิทธิพลจากคุณพ่ออย่างมากเลยรักปาต้าซานเหรินเพียงหนึ่งเดียวเสมอมา


แต่ภาพวาดนี้ไม่มีประโยชน์สำหรับเธอ สู้เอาให้เหยียนซินหย่าดีกว่า เธอจะได้ดีใจมากๆ!


เหยียนซินหย่าที่คอยมองภาพวาดในมือก็ทำหน้าเหลือเชื่อ ปกติภาพวาดของปาต้าซานเหรินหายากมาก วันนี้กลับตาลปัตรได้มาถึงสองรูปในคราเดียว อีกทั้งยังเป็นลายเส้นเจ้าตัวจริงๆ ด้วย!


รู้สึกเหมือนฝัน!


“แม่คะ รูปนี้หนูให้แม่นะ พี่หมิงซุ่นบอกว่าแม่ชอบภาพวาดของปาต้าซานเหริน รูปนี้แม่เก็บไว้ก่อน วันหลังหนูค่อยหามาให้แม่อีก!” เหมยเหมยพูดรับปากและเอามือตบอก ขอแค่มีฉิวฉิวอยู่การตามหาสมบัติก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป


เหยียนซินหย่ามองลูกสาวด้วยความรู้สึกตื้นตันปนขบขัน อย่างไรก็ดีลูกสาวยังอายุน้อยไม่เข้าใจดีว่าภาพวาดของปาต้าซานเหรินหาเจอแค่รูปเดียวก็โชคดีนักหนาแล้ว มีสองรูปยิ่งเป็นเพราะพระเจ้าลำเอียง คล้ายคุณพ่อของเธอ เที่ยวตามหาไปทั่วสารทิศก็ได้มาแค่ทั้งหมดสองรูปกับตัวอักษรสองประโยค แค่นี้เขาก็พึงพอใจมากแล้ว


แต่ตอนนี้ในมือเธอมีภาพวาดของจริงถึงสองรูป นับดูแล้วบ้านเธอก็มีภาพวาดลายเส้นแท้ของปาต้าซานเหรินถึงหกรูป มีมากยิ่งกว่าพิพิธภัณฑ์เสียอีก!


“ลูกรัก ลูกช่างเป็นลูกรักของแม่จริงๆ แม่รักลูกมากเลย!”


แม้เหยียนซินหย่ารู้ว่าภาพวาดลายเส้นแท้ของปาต้าซานเหรินหายาก แต่เธอไม่ได้พูดบั่นทอนเหมยเหมย กลับกอดเหมยเหมยแล้วตระโบมจูบ ไม่ว่าจูบอย่างไรก็ไม่พอสักที!


เหมยเหมยเช็ดน้ำลายบนหน้าอย่างระอา น่าขนลุกชะมัดยาด ไม่ว่าคุณย่าหรือคุณแม่ชอบกอดชอบจุ๊บเธอ แล้วก็คุณอาจ้าวอิงหนาน ทำไมถึงเป็นเหมือนกันหมด!


“แล้วก็กล่องเก็บเครื่องแป้งอันนี้ให้แม่เหมือนกัน พี่หมิงซุ่นบอกว่ามันทำจากพะยูงหอม มีคนให้ราคาห้าร้อยแต่หนูทำใจขายไม่ได้ เลยเก็บไว้ให้แม่ใช้ดีกว่า” เหมยเหมยยิ้มหวาน


กล่องเก็บเครื่องแป้งขนาดเล็กงานประณีต มีทั้งหมดสามชั้นซึ่งเก็บของได้ไม่น้อย อีกทั้งข้างกล่องยังประดับด้วยเพชรพลอยหลายเม็ด แค่ดูก็รู้แล้วว่าเคยเป็นของใช้เก่าของคุณหนูตระกูลมหาเศรษฐีมาก่อน โดยเฉพาะวัสดุที่มาจากไม้พะยูงหอมยิ่งเป็นที่หายาก


“ทำไมเหมยเหมยไม่ขายล่ะ? ตั้งห้าร้อยแหนะ!” จ้าวเสวียหลินถาม


เหมยเหมยยักไหล่ “ก็ไม่อยากขาย หนูไม่ได้จะเอาเงินห้าร้อยนี้สักหน่อย กล่องเก็บเครื่องแป้งอันนี้สวยดี หนูเลยอยากเก็บไว้ ตอนนี้ก็ยกให้คุณแม่ใช้ดีกว่า”


จ้าวเสวียหลินกลืนน้ำลาย พระเจ้า! กล่องเล็กผุพังแค่นี้ตั้งห้าร้อยกว่าหยวน น้องสาวเขากลับไม่ให้ความสำคัญ!


โอ้โห! จู่ๆ เขาก็เพิ่งค้นพบว่าน้องสาวตนมีเงินจริงๆ นะเนี่ย!


เหยียนตานชิงตอนมีชีวิตอยู่ก็ชอบเก็บของเก่า เหยียนซินหย่าจึงศึกษาเรื่องนี้โดยเฉพาะ เปิดกล่องเก็บเครื่องแป้งมาประเมินดูก็รู้ทันทีว่าลูกสาวไม่ได้พูดผิด ทำจากไม้พะยูงหอมจริงๆ อีกทั้งอาจเป็นไปได้ว่าเป็นสมบัติจากวัง ราคาไม่ใช่แค่ห้าร้อย


เพียงเพชรพลอยข้างกล่องหลายเม็ดนี่ก็ราคาไม่น้อยแล้ว!


เหยียนซินหย่าทั้งอึ้งทั้งดีใจ พลางถาม “เหมยเหมย กล่องนี้ลูกซื้อมาเท่าไหร่?”


เหมยเหมยชูสองนิ้วขาวขึ้นมาอย่างได้ใจ “ยี่สิบหยวน ตอนหนูเพิ่งซื้อมาใหม่ๆ มันไม่ได้สวยแบบนี้นะคะ มันดำปี๋สกปรก หนูขัดล้างมันมาถึงได้กลับไปมีสภาพอย่างเดิมได้”


ความจริงเป็นเพราะฉิวฉิวทั้งสิ้น ไม่ว่าจะของผุพังขนาดไหนขอแค่เป็นของเก่าแท้ๆ ผ่านกระเป๋าฉิวฉิวทีรอสำรอกออกมาอีกทีก็จะเปลี่ยนเป็นสภาพใหม่ไฉไลทันควัน


สองพ่อลูกจ้าวอิงหัวกางนิ้วนับเลขแอบตกใจ ซื้อมายี่สิบหยวนแต่ขายไปห้าร้อยหยวน มิน่าเหมยเหมยถึงบอกว่าซื้อมาในราคาต่ำแต่ขายในราคาสูง!


กำไรที่ได้สูงกว่าดอกเบี้ยเงินกู้เสียอีก!


ไม่ธรรมดาเลย!


เหมยเหมยยื่นกล่องดินสอกลัวซอนเนอันหนึ่งให้จ้าวอิงหัว เหรียญกษาปณ์ทองแดงจากยุคจิ๋นซีฮ่องเต้ให้จ้าวเสวียหลิน แน่นอนว่าราคาย่อมสู้ของเหยียนซินหย่าไม่ได้ เธอจึงค่อนข้างรู้สึกผิดเล็กน้อย


“พ่อคะ พี่คะ พ่อกับพี่ก็เอาอันนี้ไปก่อนนะคะ รอมีเวลาว่างหนูค่อยไปหาของดีกว่านี้ที่ถนนหนานสุ่ยให้พ่อกับพี่นะ!”


………………….


ตอนที่  604 คนโง่ก็มีวาสนาของคนโง่


เหมยเหมยที่มีสีหน้ามั่นอกมั่นใจทำเอาพวกจ้าวอิงหัวหัวเราะร่วน จ้าวเสวียหลินแสร้งพูดหยอกเย้าว่า “เหมยเหมย เธอหาดาบวิเศษให้พี่สักเล่มได้มั้ย? เอาแบบดาบในตำนานกั้นเจี้ยงกับโม่เซี๋ยเลยนะ!”


เหยียนซินหย่าดุลูกชายขำๆ ไปที ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ คิดว่าของโบราณอย่างนั้นมันวางขายกันตามห้างสรรพสินค้าหรืออย่างไร คิดอยากได้ก็ได้น่ะ!


ตอนมีชีวิตอยู่คุณพ่อเคยบอกว่า  การตามหาขุมทรัพย์ไม่ได้อาศัยเพียงโชคเท่านั้น แต่ยังต้องมีบุญวาสนาด้วย ความหมายที่ว่าก็คือหากมีวาสนาต่อกันถึงจะมีโอกาสพบเจอ หากไร้ซึ่งวาสนาก็คงคลาดแคล้วต่อกัน


เหมยเหมยคิดๆ แล้วก็ตอบกลับว่า “หาอย่างกั้นเจี้ยงโม่เซี๋ยไม่ได้หรอก แต่ดาบวิเศษแบบอื่นๆ หนูพอช่วยพี่หาได้ หนูเคยช่วยพี่หมิงซุ่นหาเจอเล่มหนึ่ง ตัดท่อนไม้ได้เหมือนหั่นเต้าหู้เลย คมมาก!”


เดิมทีจ้าวเสวียหลินแค่พูดเล่น เขาดีใจมากอยู่แล้วถ้าน้องสาวจะให้ของขวัญเขาได้ ไม่ว่าจะของอะไรก็ตาม แต่ตอนนี้ได้ยินว่าเหมยเหมยเคยให้ดาบวิเศษกับเหยียนหมิงซุ่น จ้าวเสวียหลินเริ่มรู้สึกน้อยใจขึ้นมาตงิดๆ


“เหมยเหมยดีกับเหยียนหมิงซุ่นมากกว่าดีกับพี่เสียอีก ให้ดาบวิเศษเขาแต่พี่ให้แค่เหรียญกษาปณ์” จ้าวเสวียหลินทำหน้าโศกเศร้าเสียใจ


“ตอนนั้นหนูยังไม่รู้จักพี่นี่นา ต่อให้หนูอยากให้พี่ พี่จะเอามันได้เหรอ?” เหมยเหมยกรอกตามองบ่นส่งไปให้ เรื่องแค่นี้ก็ต้องมาหึงหวง ช่างเป็นเด็กน้อยเสียจริง


จ้าวอิงหัวกลับรู้สึกแปลกใจว่าทำไมลูกสาวถึงตามหาขุมทรัพย์ได้ง่ายยิ่งกว่าซื้อผักตามตลาด?


แม้เขาไม่รู้เรื่องพวกนี้แต่ก็รู้ว่าการตามหาของเก่าแก่โบราณสักชิ้นไม่ง่ายขนาดนั้น ต้องใช้แววตาที่เฉียบคม บางคนที่ทำงานสายนี้มาหลายสิบปียังมีจังหวะที่มองพลาดได้เลย !


เหมยเหมยเป็นแค่เด็กสาววัยสิบสามปีเท่านั้น ต่อให้เริ่มเรียนรู้ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่แต่ก็ไม่รับประกันว่าตัวเองจะไม่พลาดนี่นา!


“เหมยเหมย เรื่องพวกนี้ใครเป็นสอนลูกเหรอ?” เหยียนซินหย่าเองก็สงสัยเช่นกัน


“เอ่อ…พี่หมิงซุ่นสอนหนูมาบ้าง แล้วพี่หมิงซุ่นยังบอกว่าหนูเป็นคนโชคดี ปกติเห็นอะไรถูกตาต้องใจก็เป็นของดีทั้งนั้น”


เหมยเหมยพูดเข้าข้างตัวเองอย่างใจฝ่อ เธอเพิ่งคิดได้เมื่อสักครู่  การหาของโบราณยังต้องทำต่อในอนาคตอีกแน่นอน ย่อมไม่มีทางปิดบังพวกจ้าวอิงหัวได้รอด ถ้าอย่างนั้นเธอต้องหาข้ออ้างให้ตัวเองสักหน่อยจะดีกว่า!


เธอเห็นท่าทีชะงักงันของพวกจ้าวอิงหัว ยังคิดอยู่ว่าพวกเขาคงไม่เชื่อเลยพูดย้ำไปอีกว่า “หนูไม่ได้โกหกนะคะ หนูไปเดินหาของเก่าที่ถนนหนานสุ่ยหลายครั้งล้วนเป็นของแท้ทั้งนั้น พี่หมิงซุ่นบอกว่าหนูเป็นคนโง่ที่มีวาสนาของคนโง่ ฮิฮิ!”


เหยียนซินหย่าแอบตกใจหน่อยๆ เธอไม่ได้นึกสงสัยในคำพูดของลูกสาวเพราะอดีตคุณพ่อเธอเคยพูดไว้ว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่มีพรสวรรค์ ขึ้นอยู่กับว่าบางคนมีมากมีน้อยต่างกันไป ท่านอยู่ในประเภทที่มีมากถึงได้ประสบความสำเร็จในแวดวงนี้พอสมควร


คุณพ่อยังเคยพูดไว้ว่ายังมีคนอีกประเภทที่อยู่ในกลุ่มคนที่มีพรสวรรค์สูง เด็กพวกนี้เป็นลูกรักของเบื้องบน ทำอะไรก็ไม่เสียแรงเปล่า ปีนป่ายสู่จุดสูงสุดของชีวิตได้สบายๆ มันช่างน่าอิจฉาเหลือเกิน!


เหมยเหมยมีพรสวรรค์ด้านการเต้นรำ เช่นเดียวกับการวาดรูป ตอนนี้การหาของล้ำค่าเองก็เช่นกัน…


หรือว่าลูกสาวเธอเป็นคนประเภทสุดท้ายที่คุณพ่อเธอเคยบอกไว้?


เหยียนซินหย่าโอบกอดลูกสาวที่โห่ร้องดีใจอย่างลืมตัว กำชับด้วยเสียงเบาว่า “เหมยเหมยทีหลังอย่าไปบอกใครเรื่องนี้นะ แค่ให้พ่อแม่กับพี่รู้ก็พอ ได้มั้ย?”


“หนูรู้ค่ะ หนูไม่เคยบอกคนอื่น คนพวกนั้นขี้อิจฉา พี่หมิงซุ่นบอกว่าต้องถ่อมตัวถึงจะรวย!”


“ถูกต้อง ถ่อมตัวถึงจะรวย เหมยเหมยพูดถูก!” จ้าวอิงหัวชมไม่หยุดปาก ลูกสาวรู้ความแล้วจริงๆ


เพียงแต่–


“พี่หมิงซุ่นเป็นคนพูดไม่ใช่หนู” เหมยเหมยแก้


จ้าวอิงหัวจุกอก ลูกสาวพูดถึงแต่พี่หมิงซุ่นไม่หยุดปาก  ทำไมฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจนักนะ!


………………………..


ตอนที่  605 สิ่งกังวลใจของเหยียนซินหย่า


สองสามีภรรยาจ้าวอิงหัวยังคงไม่วางใจ กำชับเธอว่าอย่าไปบอกใครพร่ำเพรื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมยเหมยฟังจนเบื่อหน่ายแสร้งทำเป็นหาวขอตัวกลับไปนอนที่ห้อง อ้างว่ายังมีเรียนในวันพรุ่งนี้!


ส่วนโฉนดบ้านถูกเหยียนซินหย่าริบไปเสียแล้วหาว่าเด็กเล็กเก็บจะหายง่าย ให้เธอเก็บไว้เผื่ออนาคตเหมยเหมยแต่งงานออกไปแล้วเอาไว้เป็นสมบัติของเธอ


เหมยเหมยคิดในใจว่าโชคดีที่เธอไม่ได้เอาเงินห้าร้อยหยวนออกมาอวด ไม่อย่างนั้นเหยียนซินหย่าจะต้องริบเงินเธอไปโดยหาว่าเธอเป็นเด็กน้อยจะทำเงินตกหายง่ายอีกแน่ๆ แม้เธอเชื่อว่าเหยียนซินหย่าไม่ใช่อย่างเหอปี้อวิ๋น ต้องช่วยเธอเก็บออมเงินแน่ๆ แต่เงินต้องเก็บอยู่กับตัวเองถึงจะสบายใจนี่นา!


เธอนั้นนอนหลับสบายกรนดังคร่อกฟี้อยู่ในห้อง แต่จ้าวอิงหัวกับเหยียนซินหย่ากลับนอนพลิกตัวไปมาไม่หยุดเพราะความเป็นห่วงลูกสาว


“อิงหัว คุณว่าเหมยเหมยของเรามีพรสวรรค์เกินไป เลยทำให้ชะตากรรมชีวิตถึงได้มีอุปสรรคมากมายหรือเปล่า?” เหยียนซินหย่ากล่าวขึ้นพลางถอนหายใจออกมา


ความจริงจ้าวอิงหัวเองก็คิดเหมือนกัน ว่ากันว่าคนหน้าตาดีมักชีวิตสั้น ลูกสาวของเธองดงามขนาดนี้แถมยังเฉลียวฉลาด เขาเป็นห่วงจริงๆ นะ แต่เขาจะแสดงออกมาต่อหน้าภรรยาไม่ได้


“คุณน่ะชอบคิดมาก ลูกของเราพรสวรรค์ก็ดีสิ หรือว่าคุณหวังอยากให้เหมยเหมยโง่เหมือนหมูหรือไง? ตอนนี้เหมยเหมยกลับบ้านแล้ว มีผมคอยปกป้องอยู่ ใครจะกล้ารังแกลูกสาวผมอีก?”


จ้าวอิงหัวแสดงท่าทีน่าเกรงขามออกมาเช่นนั้น ทำให้เหยียนซินหย่าสบายใจชั่วขณะ พลันรู้สึกว่าคิดมากไปเองอย่างที่ว่าจริงๆ!


“นั่นสิ ฉันได้ยินมู่มู่บอกว่าเหมยเหมยไม่เก่งเรื่องเรียนเท่าไหร่ เมื่อก่อนสอบได้คะแนนหลักเดียวตลอด เหมยเหมยน่าจะมีพรสวรรค์ด้านศิลปะ ส่วนเรื่องวิชาการคงไม่เท่าไหร่”


เหยียนซินหย่าถอนหายใจดังเฮือกออกมา หนังสือยังเรียนเก่งเลย จะมีพรสวรรค์ได้อย่างไรเล่า!


จ้าวอิงหัวพูดกลั้วหัวเราะขึ้นว่า “เหมยเหมยเหมือนคุณไง เมื่อก่อนคุณยังเคยสอบได้ศูนย์คะแนนเลย!”


เหยียนซินหย่าสบถออกมาว่า  “คราวหลังถ้าคุณพูดเรื่องนี้ต่อหน้าลูก คุณโดนแน่!”


……


เช้าวันรุ่งขึ้นเหมยเหมยทานอาหารเช้าฝีมือเหยียนซินหย่าที่เต็มไปด้วยความรัก  จากนั้นไปโรงเรียนพร้อมกับจ้าวเสวียหลิน จ้าวเสวียหลินย้ายมาเรียนระดับมัยธมต้นปีที่สามของโรงเรียนสาธิตแห่งหนึ่ง เทอมหน้าสามารถเข้าเรียนระดับชั้นมัธยมปลายได้แล้ว


จ้าวเสวียหลินปั่นจักรยานโดยมีเธอซ้อนอยู่ข้างหลัง ชุมชนเขตเทศบาลอยู่ห่างจากโรงเรียนสาธิตหากเดินทางโดยรถใช้เวลาราวสิบถึงสิบห้านาที จ้าวเสวียหลินปั่นจักรยานเร็ว  ตอนมาถึงโรงเรียนคนยังมาน้อยอยู่ จ้าวเสวียหลินส่งน้องสาวเข้าห้องเรียนเสร็จถึงกลับไปที่ห้องเรียนของเขา


อู่เชามาถึงโรงเรียนแต่เช้า เขาเห็นเหมยเหมยก็เบ้ปากไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี!


ช่วงนี้ที่บ้านเกิดเรื่องขึ้นมากมาย วันตรุษจีนถือว่าฉลองไม่ค่อยรื่นรมย์เท่าไรนัก บ้านเขานับว่ายังพอสงบสุขบ้างนอกเสียจากคุณพ่อที่วันๆ เอาแต่ถอนหายใจอยู่บ้าน อาศัยน้ำเมาแก้เครียด เรื่องอื่นไม่มีปัญหาอะไรมาก


สิ่งที่ทำให้เขาไม่มีความสุขมากที่สุดคือคุณปู่คุณย่า พวกท่านอายุมากขนาดนั้นแล้วยังต้องมาเดือดร้อนด้วย ต้องย้ายออกจากบ้านที่อาศัยมาหลายสิบปี ถูกผู้คนชี้นิ้วตำหนิ อู่เชาเองก็สงสารพวกท่านเหลือเกิน


แต่เขารู้ว่าตระกูลจ้าวถือว่าประนีประนอมบ้างแล้ว คุณแม่เป็นคนบอกเอง แถมยังบอกอีกว่าให้เขาเป็นเพื่อนกับเหมยเหมยต่อไป เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้แม่กำชับเขาก็ต้องเป็นเพื่อนกับเหมยเหมยอยู่แล้ว


แต่เขารู้สึกแย่จริงๆ บทบาทที่ถูกพลิกเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันทำให้เขาไม่รู้จะทำตัวอย่างไรกับเหมยเหมยขึ้นมาเสียดื้อๆ!


…………………….


ตอนที่  606 หูของอู่เยวี่ย


“ฉันเรียกนายทำไมไม่ตอบ? อ่ะนี่ ฉันให้ นี่เป็นขนมฝูหลิงของขึ้นชื่อเมืองหลวง ไม่มีถั่วลิสง”


เหมยเหมยเดินเข้าไปหา เธอยังนั่งโต๊ะชิดติดกับอู่เชาเหมือนเดิม เธอหยิบกล่องขนมฝูหลิงจากกระเป๋ากล่องหนึ่งยื่นให้เจ้าอ้วน


สิ่งที่ตระกูลอู่ประสบในช่วงตรุษจีนเธอรับรู้นานแล้ว ความจริงเธอเองก็รู้สึกไม่ดีเท่าไรนัก  ในเมื่ออดีตเคยใช้ชีวิตร่วมกันมาก่อน แต่เธอกลับไม่เห็นใจคนพวกนี้เท่าใดนัก


เพราะความเย็นชาของพวกเขาในชาติที่แล้ว  ถึงทำร้ายให้เธออ่อนแอและรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจไร้ประโยชน์ อู่เยวี่ยก็ยิ่งเหิมเกริมได้ใจ พูดได้เลยว่าพวกเขาเป็นฆาตกรทางอ้อม


อีกทั้งเธอยั้งให้จ้าวอิงหัวปราณีแล้ว ไม่ได้สั่งไล่พวกเขาออกจากตำแหน่งงานเพียงแค่ย้ายงานไปในที่สภาพแวดล้อมย่ำแย่กว่าเดิมเล็กน้อยเท่านั้นเอง เงินเดือนไม่ได้น้อยลง ไม่ส่งผลใดต่อการใช้ชีวิต พวกคุณปู่อู่เองก็แค่ย้ายบ้าน เทียบกับความเฉยชาที่พวกเขามีต่อตนในอดีต การลงโทษจากคุณพ่อเธอนับได้ว่าเบาแล้ว


ส่วนครอบครัวอู่เจิ้งซือ เธอไม่มีวันปราณีเด็ดขาด พวกเขาเป็นฆาตกรที่ปลิดชีพเธอเมื่อชาติที่แล้ว ชาตินี้เธอไม่มีวันให้อภัยพวกเขา!


อู่เชาเห็นเหมยเหมยที่ยังคงมีท่าทีเช่นเดิม  จู่ ๆ  พลันอารมณ์ดีขึ้นมาในพริบตา แอบหัวเราะในใจที่ตนเองหาเรื่องหงุดหงิดเอง  บุญคุณความแค้นของพวกผู้ใหญ่เกี่ยวอะไรกับเขา?


เขาแค่เล่นกับเหมยเหมยให้สนุกสนานก็พอนี่นา!


“ถือว่าเธอยังมีน้ำใจ ดีเลยฉันไม่ได้กินข้าวเช้ามา”


อู่เชาเปิดกล่องขนมฝูหลิงแล้วเริ่มลงมือเขมือบเข้าท้องอย่างมูมมามเหมือนไม่ได้ทานข้าวมาหลายมื้อ ดูน่าสงสารแปลกๆ เมื่อก่อนหากเขาไม่ซื้ออาหารเช้ามาทานก็ต้องทานมาจากบ้านคุณปู่อู่ อย่างไรเสียบ้านเขาอยู่ในเขตมหาวิทยาลัยจิน ไปทานข้าวเช้าเดินแค่ไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว


แต่ตอนนี้เขาย้ายบ้านไปนอกเขตซึ่งอยู่ห่างจากบ้านคุณปู่อู่พอสมควร กลายเป็นว่าตอนนี้ไม่ทันทานข้าวเช้า ช่วงนี้เขาถึงต้องซื้อข้าวเช้ามารองท้องทุกวัน แต่เช้าวันนี้แม่ของเขาดันทะเลาะกับพ่อ เขาฟังแล้วนึกรำคาญเลยตัดใจไม่หยิบเงินค่าอาหารแล้วมาโรงเรียนเสียก่อน


เหมยเหมยเห็นความตึงเครียดจากสีหน้าของอู่เชาก็แอบวิตกกังวลหน่อยๆ ตระกูลอู่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อู่เชาต้องได้รับผลกระทบอยู่แล้ว ความจริงเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ที่สุด


“หลังจากนี้ไปข้าวเช้าฉันจะเอามาให้นายเอง แม่ของฉันทำข้าวเช้าอร่อยมากนะ” เหมยเหมยพูดขึ้น


อู่เชารู้สึกเกรงใจหน่อยๆ ต่อให้เขาจะหวั่นไหวขนาดไหน  เหมยเหมยก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว “ตกลงตามนี้แล้วกัน แค่ข้าวเช้าเอง บ้านฉันมีพอที่จะให้นายกินอยู่น่า”


“งั้นฉันก็ไม่ปฏิเสธแล้วกัน”


อู่เชาเองก็ไม่เกรงใจเธออีกต่อไป เห็นเหนียงใต้คางเธอจึงอดถามไม่ได้ “พ่อแม่ของเธอตอนนี้ดีกับเธอมั้ย?”


“ดีสิ นายดูเนื้อบนตัวฉันสิ มาจากการกินล้วนๆ ไม่ได้การแล้ว เดี๋ยวมื้อเที่ยงฉันจะเอาเนื้อของฉันให้นายกิน ฉันจะไม่อ้วนเหมือนนายเด็ดขาด”


อู่เชาเบ้ปากแต่ก็นึกดีใจ ช่วงนี้ที่บ้านเขาลดปริมาณอาหารลงฮวบจนเขาต้องทานผักมาหลายวันติดแล้ว เนื่องจากแม่ของเขาตัดสินใจจะเก็บเงินซื้อบ้านเพราะไม่อยากเช่าบ้านคนอื่นอยู่อีกต่อไป ดังนั้นคนทั้งบ้านต้องรัดเข็มขัดแน่นใช้ชีวิตอย่างประหยัด พ่อแม่ของเขาถึงได้ทะเลาะกันหลายครั้งเพียงเพราะเรื่องนี้


“เหมยเหมย เธอรู้เรื่องหูของอู่เยวี่ยมั้ย?”


ตอนเที่ยงเหมยเหมย อู่เชา  สยงมู่มู่และจ้าวเสวียหลินพวกเขาไปทานมื้อเที่ยงที่สวนดอกไม้ อู่เชาทานเนื้อของอู่เหมยไปหลายชิ้นจนอิ่มหนำสำราญไปโดยปริยาย แถมยังเริ่มพูดถึงเรื่องอู่เยวี่ยด้วยท่าทางลึกลับ


“หูของเธอทำไม?” เหมยเหมยเริ่มมีท่าทีสนอกสนใจ


“เยื่อแก้วหูฝั่งขวาฉีกเลยต้องผ่าตัดรักษา แต่ต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย แถมความเป็นไปได้ที่จะผ่าตัดสำเร็จไม่ค่อยมากเท่าใด ตอนนี้หูฝั่งขวาของอู่เยวี่ยเลยไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย”


อู่เชาถอนหายใจดังเฮือก แม้อู่เยวี่ยจะกรรมตามสนองแต่สิ่งที่เธอต้องเผชิญในขณะนี้มันน่าเห็นใจจริงๆ อย่างไรเสียก็เป็นลูกพี่ลูกน้องแท้ๆ ของเขา!


…………………


ตอนที่  607 ตีหูพังไปข้างหนึ่ง


เหมยเหมยรู้สึกแปลกใจ ทำไมอยู่ดีๆ เยื่อแก้วหูถึงฉีกขาดได้ล่ะ?


อู่เชาเล่าต่อว่า “ได้ยินว่าอู่เยวี่ยโดนคุณปู่ตีจนเยื่อแก้วหูขาด เธอบอกว่าวันที่เธอถูกไล่ออกไป คุณปู่ตบหน้าเธอแรงๆ ทีหนึ่ง หูดังอื้ออึงไปตลอดทั้งคืน ต่อมาตากอากาศเย็นอยู่ด้านนอกอีกหนึ่งคืน หลังจากนั้นหูก็ไม่ได้ยินอะไรอีก”


เหมยเหมยไม่นึกเห็นใจแม้แต่น้อย เธอรู้สึกสะใจมากกว่า ทำไมถึงหูตึงไปแค่ข้างเดียว ต้องตึงทั้งสองข้างสิถึงจะดี!


“คุณปู่ของนายลงไม้ลงมือโหดเหมือนกันนี่!” เหมยเหมยยิ้มหรี่ตาลงพลางพูดออกมา


ตระกูลอู่แต่ละคนล้วนเป็นพวกใช้วิธีสกปรกเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียง ปากพร่ำบอกแต่จะกำราบผู้คนด้วยคุณธรรม ต้องใช้เหตุผลกับเด็กเล็ก เมื่อก่อนตอนที่เธอถูกเหอปี้อวิ๋นทารุณ  แต่ละคนเหมือนเป็นใบ้หูตึง พอตอนนี้ที่บ้านเกิดเรื่องขึ้น  คุณปู่อู่ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวก็ต้องออกโรงด้วยตนเอง  ใช้ฝ่ามือตบฟาดหูจนดับไปหนึ่งข้าง!


หึ นี่ใช่ศาตราจารย์อาวุโสที่น่าเคารพนับถือที่ไหนกันล่ะ!


ปีศาจแก่ๆ ที่มีจิตใจโหดร้ายอำมหิตเกินคนต่างหาก!


แต่คนที่ถูกตบคืออู่เยวี่ย เธอจึงทำเพียงปรบมือให้เท่านั้น ให้พวกเขากัดกันเองดีแล้ว เธอจะคอยดูเรื่องสนุกอยู่ข้างๆ ก็พอ!


สยงมู่มู่แค่นเสียงหัวเราะ พูดอย่างไม่แยแส “นั่นหมายความว่าคุณปู่ของเธอเป็นพวกหัวรุนแรง เมื่อก่อนต้องเสแสร้งเป็นคนเงียบขรึมสุภาพถึงได้แขวนคำว่าคุณธรรมศีลธรรมไว้ติดปาก ตอนนี้เสแสร้งต่อไปไม่ไหวก็เผยธาตุแท้ออกมาเลย”


อู่เชาชักสีหน้าพูดอย่างไม่พอใจว่า  “นั่นคุณปู่ฉัน สยงมู่มู่ ทำไมนายต้องว่าแบบนี้ด้วย?”


สยงมู่มู่แค่นหัวเราะอีกที “ถ้าไม่เห็นแก่หน้านาย ฉันคงไม่พูดอ้อมค้อมขนาดนี้หรอก นายรู้มั้ยว่าปกติฉันเรียกคนประเภทคุณปู่นายว่ายังไง?”


“เรียกว่าอะไร?”


ทั้งที่เจ้าอ้วนรู้ว่าหมอนี่ไม่มีวันพูดจาดีๆ ออกมาหรอก แต่เขาก็อดถามไม่ได้ ช่วยไม่ได้นี่นา ความอยากรู้มีมากกว่า


สยงมู่มู่เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาและตอบอย่างจริงจัง “หมาป่าที่หุ้มหนังคนไง!”


“พรวด”


จ้าวเสวียหลินพ่นข้าวออกมาทั้งคำ  หันไปชูนิ้วโป้งให้สยงมู่มู่ สยงมู่มู่ยืดอกเหมือนไก่ตัวผู้ที่แสนภาคภูมิใจ เป็นครั้งแรกเชียวที่ลูกพี่ลูกน้องคนนี้พูดชมเขา!


ความจริงเหมยเหมยก็อยากหัวเราะ แต่เธอรู้ว่าอู่เชาต้องรู้สึกแย่  ไม่ว่าคุณปู่อู่จะไม่ดีกับเธออย่างไร แต่กลับเป็นคุณปู่ที่แสนใจดีสำหรับเจ้าอ้วนคนนี้


“ให้นายกินเนื้อ นายอย่าร้องไห้นะ!”


เหมยเหมยคีบเนื้อในถ้วยให้เจ้าอ้วนน้อยอีกหลายชิ้นแต่กลับเห็นเขาน้ำตาคลอเบ้า ถลึงตาใส่สยงมู่มู่และจ้าวเสวียหลินอย่างไม่พอใจ อย่าให้ต้องพูดเลยว่าเจ็บปวดขนาดไหน


หลังจากได้ยินคำของเหมยเหมย  ความเศร้าโศกที่สั่งสมมาตลอดหลายวันของเจ้าอ้วนก็พลั่งพรูออกมา น้ำตาทะลักไหลพรากอย่างห้ามไม่อยู่


“ไม่กิน กินเนื้อของเธอแล้วเธอก็จะว่าคุณปู่ของฉันอีก ฉันรู้ว่าท่านไม่ดีกับเธอ แต่ท่านเป็นคุณปู่แท้ ๆ ของฉัน พวกเธอว่าท่านแบบนี้ฉันได้ยินแล้วรู้สึกแย่ ฉันไม่กินเนื้อของเธอแล้ว”


เจ้าอ้วนตัวน้อยร้องไห้ฮือฮือ ยกแขนขึ้นมาปาดน้ำตาอย่างเจ็บปวดใจ


สยงมู่มู่รู้ตัวว่าตนเองพูดแรงเกินไปเลยรีบกล่าวขอโทษ เจ้าอ้วนน้อยไม่สนใจเขาเอาแต่ร้องไห้ท่าเดียว ระหว่างร้องไห้ก็พูดฟ้องอีกเรื่อง เพียงแต่เบี่ยงประเด็นพูดไปอีกเรื่อง


“ตอนนี้พ่อดื่มเหล้าทุกวัน แม่ว่ายังไงก็ไร้ประโยชน์ พวกเขาทะเลาะกันทุกวันจนฉันไม่อยากกลับบ้านอยู่แล้ว แม่ยังบอกว่าต้องรัดเข็มขัดเก็บเงินซื้อบ้าน ฮือ ฉันไม่ได้กินเนื้อมาอาทิตย์หนึ่งแล้ว กับข้าวที่แม่ฉันทำไม่อร่อย พอไม่มีเนื้อก็ยิ่งไม่อร่อยเข้าไปกันใหญ่ ฮือ!”


มาถึงตรงนี้อู่เชาร้องไห้คร่ำครวญเสียใจอย่างฉุดไม่อยู่ เหมยเหมยเพียงรู้สึกว่าเขาเสียใจที่ไม่ได้ทานของอร่อยๆ มากกว่า ในเมื่อฝีมือทำกับข้าวของเว่ยชิวเยวี่ยออกจะแย่ไปสักหน่อยจริงๆ!


“ดูท่าทางของนายเข้าสิ ก็แค่กินเนื้อไม่ใช่หรือไง มา เนื้อของพี่ให้นายกินทั้งหมดเลย!”


สยงมู่มู่แบ่งกระดูกหมูในถ้วยตัวเองให้เจ้าอ้วนน้อยทั้งหมด กลับเห็นว่าในถ้วยเขามีแต่ผักและเต้าหู้เหมือนอาหารหมู  มุมปากกระตุกมองอู่เชาอย่างนึกเห็นใจ


มิน่าถึงร้องไห้ขนาดนี้ นี่มันไม่ใช่อาหารสำหรับคนเลยนี่นา!


………………….


ตอนที่  608 ผลกรรมที่สมควรได้รับ


เดิมทีเจ้าอ้วนน้อยไม่ใช่คนขี้แยอะไรอยู่แล้ว เมื่อครู่เพราะซาบซึ้งที่ได้กินเนื้อบ้างเท่านั้นเอง ภายใต้เสียงปลอบโยนของเหล่าเพื่อนๆ และเนื้อชิ้นโต ไม่นานเขาก็เช็ดน้ำตาให้แห้งและก้มหน้าทานเนื้อต่อไป


“คราวหลังถ้าพวกเธอจะพูดอย่าพูดต่อหน้าฉันแล้วกัน ฉันจะถือว่าไม่ได้ยินไปแล้วกัน”


เจ้าอ้วนน้อยแทะกระดูกอย่างขะมักเขม้น แต่ทั่วทั้งใบหน้าและดวงตากลับแดงก่ำไม่หาย


สยงมู่มู่มองเขาอย่างนึกรังเกียจ “กินเนื้อของนายต่อไปเถอะ ดูท่าทางของนายสิ!”


เจ้าอ้วนน้อยสูดจมูกพลางแทะกระดูกต่อไป ฝีมือทำอาหารของคุณพ่อสยงมู่มู่รสชาติดีจริงๆ กระดูกนี่อร่อยชะมัด!


เหมยเหมยทานได้ไม่กี่คำก็อิ่มเสียแล้ว เธอยกกับข้าวที่เหลือให้จ้าวเสวียหลิน จ้าวเสวียหลินก็ไม่รังเกียจและทานต่ออย่างเอร็ดอร่อย


“เงินค่าผ่าตัดของอู่เยวี่ยใครเป็นออกให้?” เหมยเหมยถาม


“อู่เยวี่ยกับอาสะใภ้สอง ไม่สิ กับแม่ของเขาเคยมาขอคุณปู่หลายครั้งแต่คุณปู่ก็ปฏิเสธไป บอกว่าให้อู่เยวี่ยกับแม่ของเธอคิดวิธีหาเงินเอาเอง”


อู่เชาถอนหายใจออกมา เหอปี้อวิ๋นในตอนนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนราวฟ้ากับเหว เสื้อผ้าเก่ามอซอ ผมเผ้ายุ่งเหยิง สภาพน่าอนาถใจ แน่นอนว่าอาสองของเขาในตอนนี้ก็ไม่ดีไปกว่ากันเท่าไร


เหมยเหมยรู้สถานการณ์ของเหอปี้อวิ๋นในตอนนี้ดี เสียงานที่เป็นครูบาอาจารย์ไป หลายวันก่อนสิ่งแรกที่อู่เจิ้งซือกลับออกมาจากห้องคุมขังก็คือหย่ากับเหอปี้อวิ๋น เขาไม่ขอเลี้ยงดูอู่เยวี่ยจึงเธอให้ติดตามเหอปี้อวิ๋นไป


น้องชายเหอปี้อวิ๋นอย่างเหอปี้สือกับน้องสะใภ้เองก็เสียงานกันทั้งคู่ เพราะคุณปู่เหอเกษียณไปแล้วจ้าวอิงหัวเลยปล่อยเขาไป ตอนแรกงานของคนทั้งครอบครัวล้วนเป็นพ่อตาหาให้ ตอนนี้ถึงเวลายึดกลับคืนมาแล้ว


ทั้งครอบครัวเหลือเพียงคุณปู่เหอที่มีเงินเดือน ยังมีหลายปากหลายท้องที่ต้องกินต้องใช้ ต่อให้คุณย่าเหอใช้เงินประหยัดแค่ไหนก็ไม่พ้นชีวิตที่ข้าวสารหมดหม้อ คุณย่าเหอเกลียดสองแม่ลูกเหอปี้อวิ๋นเข้าไส้ คิดว่าตัวกาลกิณีสองชีวิตนี้นำพาความซวยมาให้ทั้งครอบครัว วันๆ ไม่ด่าก็ลงไม้ลงมือ เหมือนชีวิตที่ผ่านมาของเหมยเหมย


ตระกูลเหอตอนนี้กินข้าวไม่อิ่มท้องด้วยซ้ำ จะเอาเงินที่ไหนให้อู่เยวี่ยรักษาหู มิน่าเหอปี้อวิ๋นถึงเร่กลับไปขอร้องอ้อนวอนคุณปู่อู่!


“อาสองของนายล่ะ? เขาว่ายังไง?” สยงมู่มู่ถามด้วยความสงสัย


อู่เชาถอนหายใจยาว “ตั้งแต่อาสองของฉันออกมาจากห้องคุมขังก็หมกตัวอยู่แต่บ้านทั้งวัน ไม่ออกไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว ดื่มเหล้าทุกวัน เมาแล้วก็นอน หนวดยาวเฟิ้มเหมือนคนป่า”


อาสองในอดีตดูดีมีราศีขนาดนั้น ตอนนี้กลับเหมือนคนขอทานเสียอย่างนั้น เฮ้อ!


“นั่นเป็นผลกรรมที่เขาควรได้รับ ถ้าเมื่อก่อนอาสองของนายดีกับน้องสาวฉันสักหน่อย พ่อของฉันคงจะปรานีอยู่บ้าง แต่เขาทำอะไรไปบ้าง?” จ้าวเสวียหลินพูดอย่างแค้นใจ


เท่าที่เขาดู จ้าวอิงหัวยังคงปราณีอู่เจิ้งซือมากเกินไป ควรให้คนสารเลวนั่นนอนในคุกไปชั่วชีวิต ถึงจะสาสมกับความแค้นนี้!


ความทุกข์ที่น้องสาวพบเจอ ความทุกข์ที่แม่ของเขาพบเจอ รวมถึงความหวาดกลัวปนกังวลที่เขาและพ่อต้องเจอมาตลอดหลายปี อู่เจิ้งซือโดนแค่นี้เทียบได้ที่ไหนกัน!


อู่เชาถอนหายใจดังเฮือก ไม่พูดอะไรต่อ อาสองของเขาทำตัวเองจริงๆ นั่นแหละ!


เขาไม่มีคำพูดใดที่จะเอื้อนเอ่ยอีกแล้ว!


วันเรียนหนึ่งวันผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว เหมยเหมยเดินไปหน้าประตูโรงเรียนพร้อมอู่เชา จ้าวเสวียหลินรอเธอที่หน้าประตูโรงเรียน เพียงแต่จ้าวเสวียหลินกลับเจออู่เยวี่ยแทนเธอ


ข้างๆ เธอคือเหยียนหมิงต๋าที่เดินขนาบกันมา เหยียนหมิงต๋าหันไปพยุงอู่เยวี่ยเป็นพักๆ


อู่เยวี่ยเองก็เห็นเหมยเหมยเช่นกัน รอยยิ้มบนใบหน้าหายวับไปในพริบตา เดิมทีอารมณ์ที่ยังดีพลันชั่วครู่ก็หล่นตกเหววูบ ความเกลียดชังผุดขึ้นมากลางใจ


เธอเกลียดจริงๆ!


เพราะนางแพศยาคนนี้ทำให้เธอต้องใช้ชีวิตเหมือนหนูตามท้องถนน สภาพครึ่งคนครึ่งผี แถมยังเสียหูไปอีกหนึ่งข้าง!


…………………..


ตอนที่  609 อู่เยวี่ยที่พลาดตกอยู่ในโคลนตม


เหมยเหมยยืนอยู่ห่างจากอู่เยวี่ยราวสามสิบเมตรได้ แม้ไม่ใกล้มากแต่สายตาเธอดีจึงเห็นอู่เยวี่ยชัดเต็มสองตา แม้แต่รอยแผลแตกบนมือบวมแดงของเธอคู่นั้นยังไม่หลุดรอดผ่านสายตาไป


ดูเหมือนช่วงนี้อู่เยวี่ยจะได้ทำงานบ้านไม่น้อย มือคู่นั้นเละกว่าเมื่อก่อนเท่าตัว!


แล้วเสื้อกันหนาวบนตัวเธอยังคงเป็นตัวเดิมของปีที่แล้วที่ไม่ได้ดูทุกข์ยากลำเค็ญนัก เมื่อก่อนเหอปี้อวิ๋นตัดเย็บเสื้อผ้าไว้ให้เธอมากมาย ต่อให้ไม่ซื้อเสื้อผ้าสักปีสองปีคงไม่เป็นไร เพียงแต่สำหรับอู่เยวี่ยที่ต้องซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ทุกวันเทศกาลแล้วการใส่เสื้อผ้าตัวเก่าไปเรียน เธอต้องอารมณ์เสียมากแน่ๆ!


อู่เยวี่ยในขณะนี้ไม่มีกะจิตกะใจจะมาสนใจเรื่องเสื้อผ้าตัวเก่าตัวใหม่แล้ว เธอแค่อยากรักษาหูให้หาย หูข้างขวาที่สูญเสียการได้ยินนอกจากจะส่งผลต่อทักษะการฟังแล้ว ยังทำให้เธอเดินเซทรงตัวได้ไม่มั่นคง บ่อยครั้งที่เดินอยู่ๆ ก็ล้มพับลงไป เป็นเหตุให้บนตัวมีแผลประดับเพิ่มขึ้นหลายที่


เธอเคยให้เหยียนหมิงต๋าถามคุณย่าหยาง คุณย่าหยางบอกว่าเธอที่สูญเสียการได้ยินเพราะอุบัติเหตุนั้นรักษาได้ โรงพยาบาลในเมืองจินสามารถทำการผ่าตัดนี้ได้แต่ค่าใช้จ่ายไม่น้อย แต่ยิ่งไปผ่าตัดเร็วเท่าไหร่โอกาสที่จะหายก็สูงมากเท่านั้น


ฉะนั้นเธอต้องรีบหาทางเก็บเงิน เธอไม่อยากเป็นคนพิการ!


เธอเป็นอู่เยวี่ยที่สมบูรณ์แบบ จะมีหูข้างเดียวที่ได้ยินเสียงได้อย่างไร?


อู่เยวี่ยมองเหมยเหมยด้วยสีหน้าราบเรียบ สองมือกำหมัดแน่นจนแผลบนมือปริให้เลือดไหลซึมออกมา แต่เธอกลับไร้ความรู้สึก ได้แต่กัดริมฝีปากแน่นอยู่อย่างนั้น


อู่เหมยนางแพศยา ไม่สิ ตอนนี้ต้องเรียกจ้าวเหมยแล้ว!


โชคหล่นทับหัวถึงมีพ่อเป็นรองนายกเทศมนตรี ดูท่าทางกำเริบเสิบสานของคนชั่วช้าที่ได้ใจนั่นสิ ต้องกำลังเห็นเธอเป็นตัวตลกอยู่สินะ!


แก้แค้นสิบปีก็ไม่สาย บัญชีแค้นนี้เธอจำไว้แล้ว วันหน้าเธอจะเอาคืนร้อยเท่า!


เธอจะต้องทำลายนางแพศยาคนนี้ให้พังพินาศ!


“พี่หมิงต๋า เราไปกันเถอะ ฉันต้องกลับไปทำงานบ้านอยู่นะ!” อู่เยวี่ยไม่มองเหมยเหมยอีก หันหลังเดินไปทางประตูโรงเรียนอย่างเรียบนิ่ง


เหยียนหมิงต๋ารีบวิ่งตามไป ตอนนี้เยวี่ยเยวี่ยเดินทรงตัวไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่ เขาต้องตามประกบให้ดี


เหมยเหมยแค่นเสียงเบา ยอมอู่เยวี่ยง่ายไปแล้ว ตอนนี้ไม่อยู่ด้วยกันเลยไม่สามารถราดน้ำหอมบนหัวอู่เยวี่ย หรือทำให้เธอท้องเสียได้อีกต่อไป นานวันเข้าอู่เยวี่ยจะต้องฟื้นฟูสภาพจิตใจได้เป็นปกติแน่ๆ


เฮ้อ ในเมื่อเลือกได้เพียงอย่างเดียว งั้นวันหน้าคงต้องคิดหาวิธีอื่นทำลายอู่เยวี่ย จะให้นางแพศยาคนนี้ผงาดขึ้นอีกไม่ได้!


วันไหนคงต้องหาโอกาสบอกพี่หมิงซุ่นว่าเหยียนหมิงต๋าเดินด้วยกันกับอู่เยวี่ยอีกแล้ว  ให้พี่หมิงซุ่นสั่งสอนเจ้าหมูนี่เสียให้เข็ด!


เหยียนหมิงต๋าส่งอู่เยวี่ยไปยังหน้าปากซอยทางเข้าบ้านที่เธอพักอาศัยอยู่ ใช่ว่าจะไม่อยากส่งถึงประตูหน้าบ้านแต่อู่เยวี่ยไม่ให้เขาเข้าไป บอกว่าไม่อยากให้เขาเห็นสภาพน่าอนาถของตัวเอง


ได้ยินหญิงสาวผู้เป็นที่รักพูดแบบนี้เหยียนหมิงต๋าปวดใจดั่งถูกมีดปักอก เขาได้แต่นึกโกรธตัวเองที่ไร้ประโยชน์เกินไป ไม่สามารถช่วยให้อู่เยวี่ยหลุดพ้นจากความยากลำบากนี้ได้!


“ขอบคุณค่ะพี่หมิงต๋า พี่รีบกลับบ้านเถอะ ฉันเองก็จะกลับแล้ว”


อู่เยวี่ยโบกมือให้เขาก่อนเดินเข้าไปในซอยชุมชน เหยียนหมิงต๋าล้วงเงินห้าหยวนและยาทาแผลจากกระเป๋ายัดใส่มืออู่เยวี่ยแล้วรีบหันหลังวิ่งจากไป


อู่เยวี่ยเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรี ถ้าเขาวิ่งช้ากว่านี้สักนิด เยวี่ยเยวี่ยจะต้องคืนเงินและยากลับคืนมาให้เขาแน่ ถ้าเขาวิ่งเร็วกว่านี้หน่อยเยวี่ยเยวี่ยก็คืนไม่ทันแล้ว


อู่เยวี่ยมองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่จากไปอย่างรีบเร่ง  เงินธนบัตรห้าหยวนยับยู่ยี่ใบหนึ่งและยาทาแผลอีกครึ่งหลอดที่อยู่ในมือ มุมปากเหยียดยิ้มอย่างชอบใจ


ต่อให้เธอสิ้นสภาพมาอยู่ในโคลนตมก็ยังคงมีคนถวายใจให้เธอ เพราะเธอเป็นอู่เยวี่ยผู้สมบูรณ์แบบ เสน่ห์ของเธอนั้นล้นเหลือ!


……………..


ตอนที่  610 เรียนหนังสืออะไรอีก


อู่เยวี่ยเก็บเงินและหลอดยาไว้อย่างดี จะให้คุณย่าเหอเห็นเข้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นต้องถูกยายแก่ริบไปแน่ๆ


ห้องที่ตระกูลเหอเช่าอยู่ชั้นสอง แต่ห้องครัวกลับอยู่ชั้นหนึ่ง จะซักผ้าทำกับข้าวอาบน้ำต้องไปที่ชั้นหนึ่งซึ่งเป็นแบบนี้กันทุกชั้น รุ่งเช้าและหัวค่ำของแต่ละวัน ลานกลางแจ้งบริเวณชั้นหนึ่งจะแน่นแออัดราวกับตลาดสดที่ทั้งสกปรก เสียงดังและวุ่นวาย


ต่อให้อาศัยอยู่ที่นี่มาเกือบครบเดือน  แต่อู่เยวี่ยก็ยังไม่ชินกับชีวิตที่นี่ เธอรู้สึกว่าตัวเธอไม่คู่ควรกับสภาพแวดล้อมและรูปแบบการใช้ชีวิตที่นี่ เธอไม่ควรมาอยู่ในที่ที่ทรุดโทรมแบบนี้


เหอปี้อวิ๋นกำลังทะเลาะกับคุณป้ารูปร่างอ้วนท้วมคนหนึ่งเพราะปัญหาเรื่องตักน้ำ ทั้งคู่ไม่มีใครยอมใคร ทะเลาะกันอย่างไม่มีท่าทีว่าจะสิ้นสุด เหอปี้อวิ๋นสองมือเท้าสะเอวด่ากราดเหมือนหญิงวัยทองไร้การศึกษา แถมยังถึงขั้นลงไม้ลงมือ


คุณย่าเหอเองก็ปรี่เข้าไปช่วย สองแม่ลูกร่วมมือกันย่อมไม่มีใครสู้ไหว คุณป้าอวบอ้วนจำต้องยอมให้เหอปี้อวิ๋นเติมน้ำก่อนและคิดบัญชีไว้ในใจ กะไว้หาโอกาสเอาคืนครอบครัวนี้ให้ได้ถึงจะสาแก่ใจ


“คุณยาย คุณแม่คะ หนูกลับมาแล้ว!”


อู่เยวี่ยอยากทำเป็นไม่เห็นอะไรแล้วย่องกลับห้องเหลือเกินแต่เธอทำแบบนี้ไม่ได้ เธอยังพึ่งคุณย่าเหอในการใช้ชีวิต เธอต้องทน ต้องทน!


คุณย่าเหอที่กำลังล้างผักเอามือที่เปียกชุ่มเช็ดบนผ้ากันเปื้อนแล้วพูดเสียงเรียบว่า “ล้างผักแล้วยกมา ฉันจะไปทำกับข้าว”


เหอปี้อวิ๋นรีบพูดขึ้น “แม่คะ หนูล้างผักเอง เยวี่ยเยวี่ยยังต้องทำการบ้าน !”


“ซักผ้าของแกไป ฉันให้แกอ้าปากพูดหรือไง? ทำการบ้านอะไรกัน กินข้าวจะไม่อิ่มท้องอยู่แล้วยังจะเอาเงินที่ไหนไปเรียนอีก หมดเทอมนี้ก็ไม่ต้องเรียนแล้ว ประกอบกล่องกระดาษขายยังพอหาเงินประทังชีวิตได้”


คุณย่าเหอหรี่ตามองแล้วหมุนตัวเดินไปที่ครัวขณะที่ปากยังด่าไม่หยุด หลานชายใกล้กลับบ้านแล้ว เธอจะต้องรีบทำกับข้าวให้เสร็จโดยเร็ว จะปล่อยให้หลานชายทนหิวไม่ได้


อู่เยวี่ยเกลียดคุณย่าเหอเข้าไส้ เมื่อก่อนได้ของดีจากบ้านเธอไปตั้งมาก ตอนนี้เพิ่งมาอาศัยอยู่บ้านตระกูลเหอไม่ถึงเดือนก็เริ่มจำบุญคุณกันไม่ได้เสียแล้ว


พวกคนใจดำอำมหิต!


แม่ของจ้าวเหมยด่าไว้ไม่มีผิด ญาติพวกนี้ของแม่เธอล้วนเป็นพวกไม่สำนึกบุญคุณ เกาะดูดเลือดกินเนื้อคนอื่นแล้วยังไม่สำนึก!


เธอจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว ต้องหาทางย้ายออกไป!


เพียงแต่นึกโกรธที่แม่ของเธอโง่เขลาดั่งหมูตัวหนึ่ง เพิ่งกลับมาก็เอาเงินออมทั้งหมดให้คุณย่าเหออย่างซื่อสัตย์ กลายเป็นว่าตอนนี้ไม่เหลือสักแดงเดียวติดตัว ไม่มีเงินพอจะเช่าห้องราคาที่ถูกที่สุดด้วยซ้ำ


อู่เยวี่ยกำเงินห้าหยวนในมือแน่น  เกิดนึกอะไรบางอย่างในใจขึ้นได้  คราวก่อนเหยียนหมิงต๋าให้เงินเธอสิบหยวนรวมถึงเงินที่คุณย่าที่แอบให้เธอมา ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวเธอมีอยู่ยี่สิบกว่าหยวน ค่าเช่าห้องไม่ใช่ปัญหาแต่สำคัญที่สุดคือค่าอยู่ค่ากิน ต้องคิดหาทางหาเงินมาประทังชีวิต ไม่อย่างนั้นต่อให้ย้ายออกไปก็ต้องหิวตาย


น้ำเย็นเจี๊ยบวาบไปถึงกระดูกทำเอาอู่เยวี่ยตัวสั่นสะท้าน แผลอักเสบบนมือสัมผัสโดนความเย็นปวดแทงทิ่มเข้ามา  อู่เยวี่ยกัดฟันทนเจ็บรีบล้างผักกาดขาวหัวโตนั่นให้เสร็จ  อย่างไรเสียผักสดพวกนี้เธอกับคุณแม่ก็ไม่ได้ทาน มีแต่คนตระกูลเหอที่ได้ทาน จะล้างสะอาดไปทำไมกัน!


“เยวี่ยเยวี่ย แม่ล้างผักเอง ลูกไปพักเถอะ!”


เหอปี้อวิ๋นสงสารลูกสาวจับใจ ปาดเช็ดมือที่มีแผลฟกช้ำเช่นเดียวกันพลางช่วยอู่เยวี่ยล้างผัก อนาคตเยวี่ยเยวี่ยของเธอต้องเป็นเจ้าคนนายคน จะเอามือมาทำงานบ้านไม่ได้นะ!


ช่างเป็นคนที่น่าแค้นใจและน่าสงสาร กระทั่งตอนนี้ยังฝันกลางวันไม่หาย หวังแต่ว่าอู่เยวี่ยจะกลายเป็นหงส์งดงามที่ลอยเหนือฟ้าต่างพาให้ผู้คนอิจฉากัน


อู่เยวี่ยมองเหอปี้อวิ๋นที่แก่ลงไปมากเงียบๆ ด้วยใจที่นิ่งสงบ


ที่กลายมาเป็นเฉกเช่นทุกวันนี้เป็นเพราะแม่ผู้แสนโง่เขลาของเธอคนนี้เป็นคนก่อ หากไม่ใช่เพราะศาลตัดสิน เธอคงไม่ยอมมาทนใช้ชีวิตลำบากกับเหอปี้อวิ๋นหรอก!


เธอยังต้องหาทางกลับบ้านตระกูลอู่ให้ได้ จะอยู่บ้านตระกูลเหอไม่ได้อีกแล้ว!


ไม่ว่าจะด้วยวิธีอะไร ขอแค่ได้กลับไปก็พอ!


…………………


ตอนที่  611 ต้องมีคนคอยซ้ำเติมอยู่แล้ว


เหมยเหมยไม่ได้เสียเวลาไปสนใจสภาพปัจจุบันของอู่เยวี่ยมากเท่าไรนัก ชีวิตของเธอไม่ได้มีแค่อู่เยวี่ย เธอยังมีเพื่อนใหม่ เป้าหมายใหม่ ยุ่งจนหัวหมุนเชียว!


เพียงแต่ว่ามักมีคนเสนอตัวอย่างกระตือรือร้น ยินยอมเป็นเพื่อนที่ ‘สละตัวเองอย่างไม่กลัวตาย’ ต่อให้คนอื่นไม่ต้องการและมองข้ามไปก็ตาม


สถานะของเหมยเหมยในตอนนี้ไม่ค่อยมีคนในโรงเรียนรู้มากเท่าไร เพียงแต่หลายคนสงสัยว่าทำไมเธอถึงเปลี่ยนสกุลเป็นจ้าว มีคนมาถามสาเหตุแต่เหมยเหมยตอบกลับแค่ว่าตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงเจอแล้ว  และหลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงตำแหน่งงานของจ้าวอิงหัว


เพื่อนคนอื่นเลยไม่ได้ถามไปมากกว่านี้ในเมื่อเป็นเรื่องภายในครอบครัวของเขา ถ้าซักไช้ต่อไปคงไม่มีมารยาทเท่าไร


แต่ก็มีคนที่ให้ความสนใจมากกว่าใครๆ อย่างเช่นเจินหวานหว่าน


เด็กสาวผู้นี้ให้ความสนใจกับเรื่องภายในครอบครัวของสองพี่น้องตระกูลอู่มาโดยตลอด เรื่องของครอบครัวตระกูลอู่เองก็ไม่ใช่ความลับในโรงเรียนอีจง เด็กๆ รู้เรื่องสุนัขจิ้งจอกลักตัวรัชทายาทไปกันทุกคน นอกจากนี้เธอยังได้ยินอะไรมากกว่านั้น


อย่างเช่นพ่อแม่แท้ๆ ของจ้าวเหมยเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม ถึงขั้นอาศัยอยู่ในชุมชนเขตเทศบาล


ชุมชนเขตเทศบาลเชียวนะ เจินหวานหว่านอิจฉาจนแทบบ้า!


แม้แต่อดีตที่เหมยเหมยมีคุณพ่อเป็นคุณครูที่โรงเรียนอีจงเธอยังเคยอิจฉาแทบคลั่ง ตอนนี้กลับดีกว่าเดิม ชั่วพริบตาจากคุณครูโรงเรียนอีจงกลับกลายเป็นพนักงานราชการ เจินหวานหว่านกัดฟันอย่างนึกเกลียดจนฟันแทบหัก


แต่ที่เธอยังรู้สึกดีใจอยู่บ้างคืออู่เยวี่ยหนึ่งในคู่กรณีที่เธอเคยอิจฉาริษยา   ตอนนี้กลับมีชีวิตที่สู้เธอไม่ได้ด้วยซ้ำ


อย่างน้อยบ้านของเธอก็เป็นห้องเดี่ยวขนาดสิบห้าตารางเมตร และแผงลอยของคุณแม่ในตอนนี้ขายดิบขายดี พี่ชายก็ได้งาน ชีวิตมีแต่จะดีขึ้นเรื่อยๆ


ส่วนอู่เยวี่ยนั้นต้องอาศัยคนอื่น ทุกวันต้องทำงานไม่มีวันจบวันสิ้น  แถมยังถูกตบตีดุด่าปล่อยให้หิวโซ ทุกครั้งที่เห็นอู่เยวี่ยโดนคุณย่าของเธอสาดทอคำด่าใส่  เจินหวานหว่านสะใจยิ่งกว่าใคร แต่เธอยังรู้สึกว่าไม่สาแก่ใจมากพอ


เธอจะต้องเหยียบซ้ำเติมอีกทีถึงจะพอใจ!


เมื่อก่อนตอนที่ให้เงินเธอ ใครใช้ให้อู่เยวี่ยชอบทำท่าทางผยองอยู่เหนือกว่าคนอื่นกันล่ะ!


ตอนนี้ถึงคราเธอเจินหวานหว่านเหยียบย่ำนางแพศยาคนนี้แล้ว!


ไม่แน่จ้าวเหมยอาจรู้สึกว่าเธอทำดี  และยอมกลับมาเป็นเพื่อนกับเธออีกครั้ง!


ช่วงนี้สภาพการเรียนของอู่เยวี่ยดีไม่หยอก เพราะกลิ่นเหม็นบนตัวและอาการท้องร่วงของเธอไม่เกิดขึ้นอีกเลยตลอดช่วงปิดเทอมฤดูหนาว ซึ่งจุดนี้ทำให้อู่เยวี่ยดีใจไม่น้อย


เพราะแค่นี้ก็พิสูจน์แล้วว่าเธอไม่ได้มีอาการทางจิต ก่อนหน้านี้เป็นเพราะอุบัติเหตุแน่นอน ตอนนี้เธอกลับมาปกติแล้ว!


อีกทั้งเธอต้องตั้งใจเรียนเพื่อแย่งชิงเกียรติยศที่เคยเป็นของเธอกลับคืนมา ขอแค่เธอสอบได้ที่หนึ่งอีก คุณปู่ต้องยอมให้เธอกลับไปแน่ๆ เธอไม่ต้องกังวลว่าคุณยายจะไม่ให้เธอเรียนหนังสืออีกแล้ว


ถึงเวลามื้อเที่ยงอีกครั้ง เพื่อนๆ ต่างจับกลุ่มหอมล้อมนั่งทานมื้อเที่ยงที่พกมาด้วยกัน อู่เยวี่ยหยิบปิ่นโตไปนั่งอยู่ตรงมุมลับตาในสวนดอกไม้เงียบ ๆ เพียงลำพัง


เพราะมื้อเที่ยงของเธอน่าเวทนาเกินไป  มีเพียงข้าวและผักกาดดองเค็มไม่มีแม้แต่ไข่สักฟอง นี่เป็นสิ่งที่เหอปี้อวิ๋นพยายามเรียกร้องให้เธอ หนำซ้ำอู่เยวี่ยไม่รู้เลยสักนิดว่าความจริงแล้วนี่เป็นมื้อเที่ยงของเหอปี้อวิ๋นต่างหาก


เหอปี้อวิ๋นยืนยันต่อหน้าคุณย่าเหอว่าหลังจากนี้เธอจะไม่ทานมื้อเที่ยงอีก คุณย่าเหอถึงได้ยอมให้อู่เยวี่ยพกมื้อเที่ยงมาด้วย


สำหรับอู่เยวี่ย เหอปี้อวิ๋นถือว่าได้ทำหน้าที่คุณแม่ใจดีคนหนึ่งเป็นอย่างดีแล้ว!


อู่เยวี่ยทานมื้อเที่ยงอย่างกล่ำกลืนฝืนทน เธอทานช้ามากเพราะผักกาดดองเค็มนี้รสชาติห่วยแตก เธอต้องรอเหยียนหมิงต๋ามา เหยียนหมิงต๋าจะเอาของอร่อยๆ มาให้เธอ


แต่ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นเหยียนหมิงต๋าถึงไม่มาสักที กลับมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญไม่กี่คนมาแทน


“นี่อู่เยวี่ยไม่ใช่เหรอ? ทำไมมาแอบกินข้าวที่นี่คนเดียวล่ะ? คงไม่ใช่เพราะกินของดีๆ เกินไปจนกลัวทำร้ายจิตใจของพวกเราหรอกนะ?”


คำพูดเสียดสีของหญิงสาวดังขึ้น ซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนหญิงที่เคยทะเลาะกับอู่เยวี่ยในห้องน้ำคนนั้น เธอพาเพื่อนนักเรียนหญิงราวสี่ห้าคนมาด้วยกัน มองอู่เยวี่ยด้วยสีหน้ายียวน


……………….


ตอนที่  612 ข้าวสวยกับผักกาดดองเค็ม


อู่เยวี่ยชักสังหรณ์ใจ เพื่อนนักเรียนหญิงคนนี้ชื่อสวี่ซาซาซึ่งไม่ได้เรียนห้องเดียวกับเธอ แต่เคยอยู่ห้องเดียวกันเมื่อชั้นประถม ไม่ลงรอยกับอู่เยวี่ยมาตั้งแต่สมัยประถม หลังจากขึ้นชั้นมัธยมต้นก็ยังพุ่งเป้ามาที่อู่เยวี่ยเป็นประจำ


เพียงแต่เมื่อก่อนอู่เยวี่ยเป็นนักเรียนดีเด่น  ซึ่งเป็นศิษย์สุดรักสุดหวงในใจของเหล่าคุณครู สวี่ซาซาเป็นนักเรียนเกเร ทุกครั้งที่เกิดเหตุทะเลาะวิวาทคุณครูต่างก็มาตำหนิสวี่ซาซาร่ำไป เรื่องนี้ยิ่งทำให้สวี่ซาซาแค้นใจอู่เยวี่ยมากกว่าเดิม


สวี่ซาซารูปร่างสูงโปร่งอวบอิ่ม หน้าตาสวยงามมีเสน่ห์ ความจริงถือเป็นเด็กสาวที่หน้าตาสวยงามคนหนึ่งทีเดียว อีกทั้งพ่อแม่ของเธอล้วนประกอบกิจการธุรกิจส่วนตัว ฐานะที่บ้านจึงดีไม่น้อย เพียงแต่สถานะทางสังคมไม่สูงมากนัก


แม้ธุรกิจส่วนตัวจะทำเงินได้มากแต่กลับไม่มีใครให้ค่า อู่เยวี่ยเลยหัวเราะเยาะสวี่ซาซาบ่อยครั้งว่าพ่อแม่เป็นพ่อค้าแม่ค้าแผงลอยที่หน้าไม่อาย เนื่องจากพ่อแม่สวี่ซาซาเปิดร้านขายชุดชั้นในและเพราะการแฉของอู่เยวี่ย ทำให้สวี่ซาซาถูกตั้งฉายาแสนน่าอายจากเพื่อนๆ ว่ายายชุดชั้นในสวี่


แน่นอนว่าต้องเรียกกันลับหลังอยู่แล้ว  แต่สวี่ซาซาจะไม่รู้ได้อย่างไรกันล่ะ ?


เธอถูกฉายาที่น่าอับอายหยามศักดิ์ศรี ความแค้นระหว่างสวี่ซาซากับอู่เยวี่ยจึงเริ่มต้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และจะไม่มีวันจบสิ้นตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่!


สวี่ซาซายกสองมือขึ้นกอดอก ก้มมองอู่เยวี่ยที่นั่งบนเก้าอี้หินอ่อน อู่เยวี่ยเอามือป้องปิดปิ่นโตตามสัญชาตญาณ แต่สวี่ซาซาตาดีและเห็นทุกอย่างชัดเจนนานแล้ว


“โอ้โห อู่เยวี่ย นี่เธอกำลังรำลึกถึงชีวิตที่แสนยากลำบากอยู่เหรอ? ทำไมมีแต่ข้าวสวยกับผักกาดดองเค็มล่ะ? แถมยังเป็นผักกาดดองเค็มที่ไร้น้ำมันด้วย จุจุจุ ยังไงก็ต้องใส่เนื้อสักหน่อยสิ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ผัดใส่ไข่สักฟองก็ได้นี่นา!”


สวี่ซาซาว่าด้วยท่าทางเกินจริงจนเพื่อนนักเรียนหญิงด้านหลังหัวเราะร่วน ทำหน้าดูถูกดูแคลน


ต่อให้เป็นช่วงที่ลำบากที่สุด  บ้านของพวกเธอยังไม่เคยต้องทานแค่ผักกาดดองเค็มที่ไร้น้ำมันแบบนี้เลย!


“มิน่าอู่เยวี่ยถึงต้องหลบมากินข้าวที่นี่ เพราะกลัวเราเห็นข้าวที่น่าเวทนาของเธอสินะ?” เพื่อนนักเรียนหญิงคนหนึ่งพูดจาแดกดัน


เพื่อนนักเรียนหญิงอีกคนแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “เอ น่าแปลกนะ พ่อของอู่เยวี่ยเป็นคุณครูโรงเรียนอีจงไม่ใช่เหรอ? คุณแม่ก็เป็นคุณครูนี่นา ทำไมไม่มีเงินซื้อเนื้อเชียวเหรอ?”


สวี่ซาซาพูดแค่นเสียงเบาออกมาว่า “นั่นมันกลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว เจินหวานหว่าน เธอมาพูดสิ พ่อแม่ของอู่เยวี่ยทำเรื่องต่ำทรามอะไรลงไปบ้าง!”


เจินหวานหว่านที่คอยหลบซ่อนอยู่ด้านหลังก้าวออกมาข้างหน้า มองอู่เยวี่ยที่กำลังกัดฟันกรอดอย่างสะใจ เหอะ อู่เยวี่ย เธอก็มีวันนี้เหมือนกันสินะ!


เจินหวานหว่านที่กำลังอยู่ในสภาวะตื่นเต้นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวตระกูลอู่ตลอดช่วงปิดเทอมฤดูหนาวอย่างละเอียดไม่มีขาดตกบกพร่อง แถมยังเติมสีใส่ไข่เข้าไปจนเกินความเป็นจริงไปมาก


อย่างเช่นอู่เจิ้งซือยังอยู่ในคุกจนตอนนี้ หรืออย่างเช่นเหอปี้อวิ๋นสติไม่ดีไปแล้ว…


“โอ้พระเจ้า พ่อแม่ของอู่เยวี่ยน่ากลัวจริงๆ เลยนะ คนหนึ่งก็โรคจิตที่ขโมยลูกคนอื่น อีกคนก็ผู้ป่วยทางจิตที่จะฆ่าคน น่ากลัวจริงๆ!” มีคนร้องอุทานตกใจกลัวขึ้นมาด้วยท่าทางที่เกินจริง


“ถึงได้ว่าไง มังกรก็มีลูกเป็นมังกร หงส็มีลูกเป็นหงส์ ลูกของหนูก็ขุดรูเป็น พ่อแม่เป็นแบบนี้อู่เยวี่ยจะเป็นลูกไม้หล่นไกลต้นได้อย่างไรกันเชียว? เธอต้องเป็นผู้ป่วยทางจิตอีกคนแน่ๆ!”


สวี่ซาซาพูดอย่างอาฆาตพยาบาท มองอู่เยวี่ยที่โกรธปนอายอย่างเย้ยหยัน


อู่เยวี่ยตะคอกใส่ด้วยความโกรธว่า  “ฉันไม่ได้ป่วยทางจิต พวกเธอพูดเหลวไหล พวกเธอต่างหากที่ป่วยทางจิต!”


เจินหวานหว่านหัวเราะเยือกเย็นออกมา  “ถ้าเธอไม่ได้ป่วยทางจิตทำไมคนตระกูลอู่ถึงทอดทิ้งเธอล่ะ? ให้เธอไปนอนอัดกับคุณยายของเธอในห้องเช่าขนาดไม่ถึงสิบตารางเมตร ไหนจะต้องซักผ้าทำงานบ้านทุกวัน จุจุ อย่างกับคนรับใช้ที่คอยรับใช้นายท่าน พวกเธอดูมือของอู่เยวี่ยสิ มันยังใช่มือของคนอยู่อีกเหรอ? เทียบขาหมูไม่ได้เสียด้วยซ้ำ!”


……………………….


ตอนที่  613 แฮมเนื้อ


ทุกคนต่างกวาดตามองไปอย่างพร้อมเพรียง อู่เยวี่ยเผลอเอามือซ่อนไว้ด้านหลังโดยไม่รู้ตัว สวี่ซาซาเป็นพุ่งตัวเข้าไปคว้ามือของเธอแล้วพูดด้วยความรังเกียจว่า “อี๊ เจินหวานหว่านเธออย่าหยามเกียรติขาหมูเชียว มือของเธอดูดีกว่าขาหมูเหรอ? เอาไปทำตุ๋นน้ำแดงฉันยังขยะแขยงเลย!”


อู่เยวี่ยอยากกระชากมือกลับแต่ถูกสวี่ซาซาจับไว้แน่น เธอใช้แรงทั้งหมดก็กระชากกลับมาไม่สำเร็จ


“สวี่ซาซาเธอปล่อยฉันนะ เธอเป็นบ้าอะไร ฉันไม่เคยมีความแค้นอะไรกับเธอสักหน่อย!” อู่เยวี่ยตะโกนเสียงดังหวังว่าจะมีคนที่เดินผ่านเข้ามาช่วยเธอ แต่เธอหาที่ลับตาคนมากเกินไป ไม่เห็นแม้แต่เงาของผีด้วยซ้ำ


สวี่ซาซามองอู่เยวี่ยในสภาพน่าอนาถอย่างเยาะเย้ย “อู่เยวี่ยเธอก็มีวันนี้เหมือนกันสินะ!เมื่อก่อนเธอคิดว่าอยู่เหนือกว่าทุกคนไม่ใช่หรือไง? วันๆ ก็ได้แต่เสแสร้งทำตัวเหมือนเธอสูงส่งที่สุดเลิศเลอที่สุด  แล้วทำไมตอนนี้ไม่เสแสร้งต่อไปล่ะ?”


“ก็ต้องให้เธอเสแสร้งไว้นี่นา พี่ซาซาพี่ไม่รู้ว่าบ้านที่เธอเช่าอยู่น่ะ โอ้โห คอกหมูยังจะสะอาดกว่า กินข้าวเข้าห้องน้ำที่เดียวกัน พอถึงฤดูร้อนในห้องก็มีแต่กลิ่นเหม็นคลุ้ง!”


เจินหวานหว่านพูดเกินจริง  เพื่อเหยียดหยามอู่เยวี่ยให้มากที่สุด ภายในใจก็ยิ่งสะใจมากกว่าเดิม!


คนอื่นระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างพร้อมเพรียง  ทำหน้าดูถูกเหยียดหยามกันถ้วนหน้า


อู่เยวี่ยตวาดกลับด้วยความโกรธปนอับอาย “เจินหวานหว่าน เธอมีสิทธิ์อะไรมาว่าฉัน? เธอคิดว่าที่ที่เธออยู่มันดีนักเหรอ? พ่อของเธอคืออันธพาลขี้เหล้าบ้าพนัน คนทั้งบ้านก็อยู่อย่างแออัดในห้องเดียวกันไม่ใช่เหรอ? บ้านของเธอจะที่กินข้าวหรือเข้าห้องน้ำก็ที่เดียวกันไม่ใช่เหรอ?”


เจินหวานหว่านหน้าถอดสีทันที นึกเสียใจที่เคยเล่าสถานการณ์ที่บ้านเธอให้อู่เยวี่ยฟังครั้งที่ต้องการความเห็นใจจากอู่เยวี่ย กลับทำให้นางแพศยานี่เอาคืนได้หนึ่งดอก !


“อย่างน้อยบ้านฉันก็เป็นห้องขนาดสิบห้าตารางเมตร แล้วยังเป็นบ้านของฉันเอง ส่วนเธออาศัยคนอื่นอยู่ไม่มีแม้แต่บ้านตัวเอง เธอมันน่าภูมิใจกว่าตรงไหน ? ”


เจินหวานหว่านพุ่งตัวเข้าไปตรงหน้าอู่เยวี่ยแล้วตวัดฝ่ามือตบลงไปหนึ่งฉาด  อู่เยวี่ยสูญเสียการได้ยินทำให้ปฏิกิริยาตอบโต้ไม่ดีเท่าเมื่อก่อน แค่เอาหน้าหลบทันแต่ปิ่นโตในมือกลับหลบไม่พ้นถูกปัดจนตกพื้นกระจัดกระจาย


“ดูท่าทางยาจกน่าเวทนาอย่างเธอสิ ปีใหม่แล้วยังไม่มีเสื้อตัวใหม่ใส่ แม่ของเธอตกงานไปแล้ว ฉันว่าอนาคตเธออาจไม่มีปัญญาแม้แต่จะกินผักกาดดองเค็มล่ะมั้ง!”


เจินหวานหว่านจงใจเหยียบกับข้าวจนเละ แถมยังเตะปิ่นโตออกไปไกล ทำแบบนี้สาแก่ใจเธอจริง ๆ ถือว่าได้ระบายความอัดอั้นในใจสักที !


“เจินหวานหว่านเธอมันก็แค่คนถ่อยที่ชอบประจบสอพลอ เมื่อก่อนตอนเธอขอเงินฉัน อยู่ต่อหน้าฉันยอมก้มหัวให้ฉันเหมือนหมาตัวหนึ่ง ตอนนี้เธอทำมาเป็นวางมาด สวี่ซาซา คนเจ้าเล่ห์ร้ายกาจแบบนี้เธอกล้าคบเป็นเพื่อนด้วยเหรอ เธอไม่กลัววันหลังจะโดนแทงข้างหลังหรือไง?”


อู่เยวี่ยพยายามสะกดให้ตัวเองใจเย็นลง ตอนนี้เธออยู่ตัวคนเดียวเลยมีกำลังจำกัด สู้คนพวกนี้ไม่ไหว หากใช้ไม้แข็งมีแต่จะเสียเปรียบ เธอต้องถ่วงเวลารอให้เหยียนหมิงต๋ามา


เจินหวานหว่านใจหล่นวูบ ที่เธอยอมคบค้าสมาคมกับสวี่ซาซาเพราะเห็นแก่ความใจป้ำของสวี่ซาซาที่มีมากกว่าอู่เยวี่ยมากโขทีเดียว!


“พี่ซาซา พี่อย่าไปฟังคำปลุกปั้นยุแยงนะ ฉันกับพี่สนิทกันขนาดนี้ จะทำร้ายพี่ได้ยังไงกันล่ะ!”


สวี่ซาซาโบกมือปัดอย่างไม่ใส่ใจ เธอไม่ได้โง่ จะไม่รู้ว่าเจินหวานหว่านเป็นคนพวกเห็นแก่เงินได้อย่างไรกันเล่า !


แต่พ่อแม่ของเธอเคยบอกว่า เรื่องหรือคนที่ใช้เงินแก้ปัญหาได้ล้วนโอเคหมดแหละ ก็แค่เรื่องเล็กน้อย!


“อู่เยวี่ย เธอไม่ได้กินเนื้อมานานแล้วใช่มั้ย? เรียกพี่ซาซาสักคำสิ ฉันจะให้แฮมเนื้อเป็นมื้อเที่ยงของเธอเชียวนะ!”


สวี่ซาซาล้วงกล่องข้าวออกมาจากอ้อมอก  พลางโบกไปมาล่อหน้าล่อตาอู่เยวี่ยเหมือนกำลังเล่นสนุกกับสุนัขหรือแมวตัวน้อย เหยียบย่ำศักดิ์ศรีอีกฝ่าย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)