ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 585-589
ตอนที่ 585 เป็นแค่หุ่นเชิดเท่านั้น
ท่านผู้นั้น……
ดวงตาทั้งคู่ของฟ่านอิงหรี่ลง ในสมองปรากฏเงาร่างที่ชัดเจนของคนผู้หนึ่งขึ้นมา
“คิดๆดูแล้ว ท่านผู้นั้นจะต้องไม่ยินดีที่จะเห็นท่านสนิทสนมใกล้ชิดกับนางมารผู้นั้นเป็นแน่ ต่อให้นางเป็นหลานสาวแท้ๆของท่าน ก็ต้องสั่งให้สังหารทิ้ง”
พอไม่มีหมอกสีดำของฟ่านอิงรายล้อมเอาไว้ น้ำเสียงของต้าซือมิ่งก็ยิ่งมั่นอกมั่นใจขึ้นมา
เขาจับจ้องไปที่ฟ่านอิง ราวกับว่าสามารถมองทะลุผ่านหมอกดำเหล่านั้นเข้าไปจนเห็นใบหน้าอัปลักษณ์ที่อยู่ภายใน
ก็แค่คนตายที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น……แค่หุ่นเชิดตัวหนึ่งเท่านั้นเอง…..
ที่ให้เขามีชีวิตอยู่มาจนถึงป่านนี้ ก็ต้องถือว่าเป็นความเมตตาของท่านผู้นั้นแล้ว ยังจะมาคิดว่าตนเองเป็นเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนตัวจริงอีกหรือ?
เขายิ่งยิ้มอย่างเย็นชามากกว่าเดิม
ขณะที่รอยยิ้มที่มุมปากยิ่งเพิ่มขึ้น หัวใจของเขาก็พลันเย็นวาบขึ้นมา
ต้าซือมิ่งถลึงตาโต ก้มลงมองดูทรวงอกของตนเองแวบหนึ่ง อย่างไม่อยากจะเชื่อ
ตอนนี้ ทรวงอกของเขาถูกเหล็กแหลมสีดำชิ้นหนึ่งแทงทะลุหัวใจกลายเป็นโพรงขนาดใหญ่
ขณะที่ถูกแทงจนทะลุเข้าไปนั้น เลือดในกายทั้งหมดก็เปลี่ยนเป็นเย็นในชั่วแวบเดียว จากนั้นเลือดทั้งหมดก็ไหลออกมาจากหัวใจ ทลายลงมาราวกับน้ำหลากจากภูเขา
และในเลือดที่ทะลักออกมายังมีเศษชิ้นเนื้อภายในร่างกายอีกด้วย
หัวใจทั้งดวงถูกทะลวงจนแหลกเละ เสื้อผ้าของเขาก็ถูกย้อมเป็นสีแดงเลือด
ฟ่านอิงยืนห่างไปไม่ไกล มองดูเขาอย่างเย็นชา
“ท่าน….” ต้าซือมิ่งเงยหน้าขึ้นมา ชี้นิ้วออกไปทางเขา
“ข้าบอกเอาไว้แล้ว หากกล้าก้าวล่วง ก็ต้องตาย”
น้ำเสียงของเขาเย็นเฉียบและหยาบกระด้าง เพราะเกิดจากความทุกข์และความทรมานที่สะสมตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฟังแล้วเหมือนถูกถูลงไปบนกระดาษทราย
“ฆ่าข้าแล้ว …. ท่านผู้นั้นจะต้องไม่ยอมปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน….” ต้าซือมิ่งประคองหน้าอกเอาไว้ เขารีบล้วงเอายาในอกเสื้อออกมาสองเม็ดแล้วกลืนลงไป ระงับเลือดเอาไว้ก่อน
ผู้ที่ฝึกตน ต่อให้ร่างกายถูกแผดเผาไปแล้ว ก็ยังไม่ตายโดยง่าย
“ท่านผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้น…..สามารถให้ทุกอย่างกับเจ้า…..ก็สามารถเอาทั้งหมดกลับคืนไปได้เช่นกัน….”
ต้าซือมิ่งดวงตาแดงก่ำไปด้วยเลือด และเพราะเสียเลือดจำนวนมาก ร่างกายของเขาจึงเย็นลงจนสั่นสะท้าน
ต่อให้ฝันเขาก็คิดไม่ถึงว่า ฟ่านอิงจะฆ่าเขาจริงๆ
เขามันก็แค่ภูติผีที่เกิดจากมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่งเท่านั้น…..
ได้แต่วนเวียนอย่างไม่เป็นไม่ตายอยู่ในดินแดนจิ่วโจว กลับยังกล้าลงมือกับตนที่เป็นถึงตัวแทนส่งสารของท่านผู้นั้น
เสียงที่เขาพูดออกมาในตอนนี้มีแต่เสียงตะกุกตะกัก อย่างพยายามจะรักษาชีวิตเอาไว้
ตอนก่อนหน้านี้ เขาเตรียมคำพูดมาเต็มท้อง แต่ยังไม่ทันได้พูดออกมา รอบกายก็ถูกหมอกสีดำรายล้อมเอาไว้เสียก่อน
ภายในวงล้อมหมอกสีดำถอยห่างออกไป สิ่งที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขาก็คือใบหน้าที่ถูกแผดเผา ดวงหน้านั้นถูกไฟเผาผลาญ อัปลักษณ์เสียจนน่าเกลียดน่ากลัวอย่างที่สุด
แม้กระทั่งต้าซือมิ่งก็ยังต้องสะดุ้งโหยง
ตลอดหลายปีที่อยู่ในตำหนักซิวหลัวเตี้ยน เขายังไม่เคยเห็นโฉมหน้าของฟ่านอิงมาก่อนเลย
นี่มัน แตกต่างกับสิ่งที่เขาเคยคิดเอาไว้ราวฟ้ากับเหว
โดยเฉพาะรอยแผลตรงลำคอที่ถูกด้ายเย็บเอาไว้ ทำให้คนต้องขนลุกทั่วร่าง
ฟ่านอิงมองไปที่เขา ราวกับว่ามองดูคนที่ตายไปแล้ว
“เจ้าจงดูให้ชัดเจน ข้าคือคนที่ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ยังต้องเกรงกลัวจะตายเป็นครั้งที่สองอีกหรือ?”
พอเขาเอ่ยขึ้นมาด้วยใบหน้าที่จ้องมองมาเช่นนั้น แม้แต่ต้าซือมิ่งก็ยังรู้สึกว่าหวาดกลัวจนกระดูดหด
ทรวงอกของเขากลวงเป็นรูขนาดใหญ่ สร้างความเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกาย
“ศีรษะนี้ ถูกท่านผู้ยิ่งใหญ่ที่เจ้าเรียกขานอยู่กับปากเย็บกลับมาด้วยมือ ทีละเข็มๆลงบนร่าง ต่อให้อยากกระชากทิ้งก็ยังทำไม่ได้”
ตลอดหลายปีมานี้ สำหรับฟ่านอิงแล้ว นอกจากความต้องการแก้แค้น เขายังอยากที่จะตายมากกว่า
แต่มิว่าจะทำอย่างไรเขาก็ไม่ตายไปได้ นับตั้งแต่ที่หัวใจของเขามีแต่ความขุ่นแค้นมากล้นจนระเบิดขึ้นฟ้า ชีวิตของเขาก็ไม่อยู่ในการควบคุมของตนเองอีกต่อไปแล้ว
อะไรคืออยู่มิสู้ตาย สิ่งนั้นก็คือเขานั่นเอง
ทุกวันเมื่อยามจื่อ (เที่ยงคืน) มาเยือน เขาเป็นต้องได้รับความเจ็บปวดเช่นเดียวกับยามก่อนตายนั้นอีกครั้ง วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ทั้งหมดที่ได้รับมานี้ ต่อให้เป็นภูติผีก็ต้องถูกทรมานจนกลายร่างแล้ว
นี่คือค่าตอบแทนของการได้ ‘กลับมาเกิดใหม่’ ที่เขาต้องจ่ายออกไป
พอผ่านไปหลายสิบปีเข้า….ความเคียดแค้นของเขามิได้จางลง แต่ว่าความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่ได้รับกลับทำให้เขาอยากตายๆไปเสีย
ต้าซือมิ่งลืมตาโต ฟังคำพูดของเขา
มือข้างหนึ่งก็กดทรวงอกเอาไว้ ฝีเท้าก้าวถอยหลังออกไปอยู่ตลอดเวลา คนผู้นี้กลายเป็นคนบ้าไปแล้ว……
ทั้งที่เขามีความแค้นอยู่กับตัว แต่กลับคิดแต่จะอยากตายกระนั้นหรือ?
มีคำโบราณอยู่ว่าอยู่อย่างหมาก็ยังดีกว่าตายไปแล้ว ในโลกนี้ มีใครบ้างที่จะไม่กลัวตาย?
เขาไม่เชื่อหรอก
ยิ่งไปกว่านั้น ก่อน ‘ตาย’ เขาต้องทนทรมานจนน่าอนาถ หากเปลี่ยนเป็นตนเอง ย่อมต้องเคียดแค้นชิงชังจนทำลายแม้แต่ลูกหลานของคู่แค้นให้หมดสิ้น
“ท่านเจ้าตำหนัก ท่านไม่อาจฆ่าข้า” ต้าซือมิ่งจะอย่างไรก็คิดจะรักษาชีวิตเอาไว้ก่อน ตอนนี้คนตรงหน้ากลายเป็นผีบ้าไปแล้ว กระทำเรื่องใดตามแต่ใจโดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ทั้งสิ้น
เขาทำให้ฟ่านอิงโกรธขึ้นมาแล้วจริงๆ เกรงว่าไม่ว่าเรื่องใด คนบ้าผู้นี้ก็กระทำได้ทั้งสิ้น
เขาไม่ควรจะผลีผลามเช่นนี้เลย
“หากว่าข้าตายไป ท่านผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นจะต้องทราบในทันที ถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่ท่าน แม้แต่ฮ่องเต้หญิงที่เป็นหลานสาวของเจ้า ก็ต้องตายไร้ที่กลบฝังไปด้วย”
“ท่านก็รู้ว่า ท่านผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นแข็งแกร่งเพียงใด”
เขายังคิดจะพูดต่อ แต่ว่าฝ่ามือของฟ่านอิงก็ตะครุบลงมาบนลำคอของเขาแล้ว
มือใหญ่ข้างนั้นกำลำคอของเขาแน่นขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นพอออกแรงเพิ่มขึ้นอีกนิด ก็ได้ยินเสียงหักดังกร๊อบออกมา ศีรษะของต้าซือมิ่งถึงกับถูกเขาหักทิ้งไป
หลังจากนั้นพอดึงอีกครั้ง ศีรษะทั้งหัวก็ถูกกระชากลงมาทั้งเนื้อและหนัง
เลือดสดๆของต้าซือมิ่งละเลงอยู่บนมือของเขา
เลือดที่ยังสดใหม่ อุ่นร้อนอยู่ในมือ
ศีรษะมนุษย์ศีรษะนั้นถูกเขาโยนทิ้งลงไปบนพื้น กลิ้งหลุนๆออกจากหอชมจันทร์ลงไปใต้ต้นไห่ถาง จากนั้นก็ตกลงไปในรูโบ๋ที่อยู่ตรงกลางเกาะลอยฟ้า หล่นลงไปยังพื้นล่าง
ด้วยระยะห่างที่สูงลิบลิ่ว พอตกลงมากระแทกเข้ากับพื้นหินบนพื้นล่าง ศีรษะของต้าซือมิ่งก็แหลกเหลว
เละเทะราวกับซากโคลน
เบื้องหน้าของฟ่านอิงเหลือเพียงศพที่ไร้ศีรษะของต้าซือมิ่ง ศพนั้นค่อยๆล้มลงตรงหน้าเขาอย่างช้าๆ
เขาเพียงเหลือบตามองดูแวบหนึ่งเท่านั้น
เมื่อฆ่าต้าซือมิ่งไปแล้ว ก็เท่ากับว่าเขาหาเรื่องวุ่นวายใส่ตัว
แต่แล้วจะอย่างไร
หากว่าอาเย่วยังมีชีวิตอยู่ นางจะต้องยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อปกป้องลูกหลานของนางอย่างแน่นอน
…………..
ในหมู่ต้นไห่ถาง ตู๋กูซิงหลันรู้สึกตัวขึ้นมาก่อนว่ามีบางสิ่งบางอย่างตกลงไปจากเกาะลอยฟ้า
เพียงแต่ว่าฟ้ามืดมากแล้ว แสงสว่างมีเพียงน้อยนิด นางจึงมองเห็นไม่ชัดเจน
“พี่รอง ท่านเห็นหรือไม่ว่าอะไรตกลงไป?”
ตู๋กูเจวี๋ย “เหมือนจะเป็นอะไรกลมๆ”
ตู๋กูซิงหลัน “….” ดูคล้ายลูกบอลกลมๆอยู่เหมือนกัน
มันมาจากทางหอชมจันทร์
ฟ่านอิงชอบเล่นลูกบอลหรือ? นางอดที่จะส่ายศีรษะไม่ได้ ดูจากท่าทางของเขาแล้ว ไม่น่าจะเป็นไปได้
อย่าพึ่งสนใจลูกบอลนั่นแล้วกัน สายตาของนางมองไปที่กระถางติ่งใบน้อยอีกครั้ง
ตู๋กูซิงหลันลองคิดดูแล้ว ก็หยิบกริชเล่มหนึ่งออกมา กรีดลงไปบนฝ่ามือครั้งหนึ่ง ปล่อยให้เลือดของตนเองหยดลงไป
ฝีมือของนางรวดเร็ว จนตู๋กูเจวี๋ยไม่อาจยับยั้งได้ทัน
พอเลือดของนางหยดลงไปในกระถางติ่ง ก็กลายเป็นหมอกเลือดกลุ่มหนึ่ง ย้อมกระถางติ่งทั่วทั้งใบจนกลายเป็นสีแดง
ดาบกระดูกมังกรสีทองเล่มนั้นก็ซับเลือดเข้าไป จนกลายเป็นสีแดงเปล่งปลั่งขึ้นมา
มันหมุนวนอยู่รอบงูน้อยอย่างรวดเร็ว จากนั้นครู่หนึ่งก็มีเสียงดังสวบขึ้นมาเบาๆ มันแทงเข้าไปที่ด้านหลังของงูน้อย
ดวงตาของตู๋กูซิงหลันเปล่งประกายขึ้นมา “ดูท่า พอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง”
ทันทีที่พูดจบ ก็เห็นว่าพี่รองที่ยืนอยู่ข้างๆ อยู่ๆก็กระอักเลือดคำโตออกมา
ตอนที่ 586 ไอ้เลวนั่นมันชั่วจริงๆ
เลือดนั้นกระอักออกมาอย่างน่าตกใจ สาดลงไปบนกระถางติ่ง ทั้งยังเปรอะเปื้อนลงไปที่ร่างของตู๋กูซิงหลัน
เสื้อผ้าที่เดิมทีก็เป็นสีแดงอยู่แล้ว ตอนนี้ถูกเลือดสดๆของเขาย้อมจนแดงฉานกว่าเดิม
เลือดที่ร้อนจนระอุเหล่านั้นซึมผ่านเสื้อผ้าเข้าสู่หัวใจของตู๋กูซิงหลัน ร้อนลวกจนปวดใจ
ยามนี้ ตู๋กูเจวี๋ยเหมือนสูญสิ้นเรี่ยวแรงทั่วทั้งร่าง ร่างกายของเขาโคลงเคลง ฝีเท้าอ่อนแรง คล้ายจะล้มลงได้ทุกเมื่อ
แต่ถึงกระนั้นมือก็ยังคงประคองกระถางติ่งของชือหลีเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
ยังดีที่ตู๋กูซิงหลันยื่นมือออกไปอย่างว่องไว คว้าตัวเขาเอาไว้ได้ทัน
“พี่รอง!” ดวงตาของนางเบิกกว้าง มือก็คว้าข้อมือของเขาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ว่านางจะไม่ใช่ผู้ปรุงโอสถหรือผู้ฝึกวิชาหลอมยาตันทั้งหลาย แต่ว่าเรื่องเกี่ยวกับยาทั่วๆไปนับว่ายังพอมีความรู้อยู่บ้าง
ทันทีที่สัมผัสข้อมือ ก็รู้ได้เลยว่าเส้นชีพจรของเขากำลังสับสนอย่างรุนแรง ทั้งยังปราศจากเรี่ยวแรงอย่างสิ้นเชิง
สายตาของตู๋กูซิงหลันถึงกับหมองคล้ำลงไป
“ท่านถูกพิษ”
นางเอ่ยอย่างมั่นใจ
คนที่เมื่อครู่ยังดีๆอยู่แท้ๆ ตอนนี้อยู่ๆก็กระอักเลือดออกมา
ตู๋กูเจวี๋ยไม่มีโอกาศจะตอบคำถามนาง เขาได้แต่กระอักเลือดออกมาเรื่อยๆ คราวนี้ ใบหน้าถึงกับซีดขาวจนปราศจากสีเลือด
ผ่านไปพักใหญ่เขาค่อยสามารถผ่อนลมหายใจได้ ยื่นมือมาปาดเช็ดเลือดที่มุมปาก กระทั่งดวงตาก็มีแต่เส้นเลือดขึ้นเต็มไปหมด
“ไม่เป็นไร แค่กระอักเลือดเฉยๆ”
ที่จริงตอนนี้เขาเจ็บปวดจนเหมือนมีพันดาบแทงหัวใจแล้ว แต่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าน้องเล็กที่เป็นเหมือนสมบัติล้ำค่าบนฝ่ามือ จึงได้แต่อดกลั้นเอาไว้ ไม่อยากให้นางต้องมาลำบากไปด้วย
“เวลาเช่นนี้แล้ว ท่านยังจะมาโกหกข้าอีก พี่รอง ท่านดูถูกข้า หรือว่ายกย่องตนเองว่าสูงส่งกว่ากันแน่?”
หากมิใช่เป็นเพราะว่าเห็นเขากระอักเลือดอย่างรุนแรง ตู๋กูซิงหลันยังคิดจะซ้อมเขาสักรอบหนึ่ง
นางกุมมือของตู๋กูเจวี๋ยเอาไว้แน่นอย่างไม่ยอมคลาย “บอกความจริงกับข้ามา ท่านไม่มีเวลาจะสิ้นเปลืองอีกแล้ว”
อย่างน้อยๆก็ต้องให้นางได้รู้ต้นสายปลายเหตุ ว่าเขาได้รับพิษอะไร จะได้หาทางช่วยเขาสลายพิษได้ถูก
ยามนี้ผิวกายทั่วร่างของตู๋กูเจวี๋ยเหมือนถูกเข็มมากมายทิ่มแทง
อวัยวะภายในทั้งหมดเหมือนถูกคนใช้มีดเฉือนออกมาเป็นชิ้นๆ ทั้งยังบดขยี้จนคล้ายจะเป็นเนื้อสับ
เขาเงยหน้าขึ้นมา มองดูแววตาที่ห่วงใยอย่างสุดซึ้งของน้องเล็ก ในที่สุดค่อยยอมประนีประนอม
“ต้า…ซือมิ่ง….”
หัวคิ้วของตู๋กูซิงหลันขมวดมุ่น “เขาเอายาพิษให้ท่าน?”
นางคาดเดาถูกแล้วจริงๆ ในนิยายก็ชอบมีเรื่องโหดเ**้ยมแบบนี้ พี่รองเข้าร่วมกับตำหนักซิวหลัวเตี้ยน อย่างแรกเลยก็ต้องรับบทถูกพิษควบคุมเอาไว้สินะ?
ตู๋กูเจวี๋ยพยักหน้า ตอนนี้เขาไม่เหลือแม้แต่เรี่ยวแรงจะพูดจาอีกแล้ว
“ไอ้ชาติสุนัข หน้าตาอัปลักษณ์แล้วจิตใจยังชั่วร้ายอีก!” ตู๋กูซิงหลันโมโหขึ้นมาในทันที ก่อนหน้านี้ที่นางเคยถูกต้าซือมิ่งก่อกวนอยู่หลายครั้งหลายหนก็ยังไม่ทำให้นางโมโหเท่านี้
ตอนนี้พอรู้ว่าคนที่วางยาพิษพี่รองก็คือต้าซือมิ่ง นางก็ถึงกับอยากจะสะบั้นหัวคนขึ้นมา
นางไม่ได้พกดาบยักษ์ของพี่ใหญ่มาด้วย หากว่าเอามา ตอนนี้ต้าซือมิ่งผู้นั้นต้องเละเป็นเนื้อบดแน่
“อย่าได้วู่วาม….” ตู๋กูเจวี๋ยรู้ดีว่า เดี๋ยวนี้น้องเล็กของตนอารมณ์ร้ายเพียงใด พอเขาสารภาพออกไปเช่นนี้ นางจะต้องไปหาเรื่องต้าซือมิ่งอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นไม่แน่ว่าแม้แต่ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็อย่าได้หวังจะสงบสุขอีกเลย
ความเมตตาที่ท่านเจ้าตำหนักมีต่อนางจะจริงหรือเท็จเพียงใดก็ยังไม่รู้แน่ ตอนนี้หากนางอาละวาดขึ้นมา ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดผลลัพธ์เช่นใดบ้าง ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าบอกเรื่องที่ถูกพิษกับนางมาโดยตลอด
เดิมทีทุกๆเดือนพอได้รับยาบรรเทาพิษก็จะไม่เป็นอะไร ตามเหตุผลแล้วก็ยังไม่ถึงช่วงเวลาที่พิษจะออกฤทธิ์ อยู่ดีๆทำไมถึงกำเริบขึ้นมาได้ ทั้งยังกำเริบอย่างรุนแรงถึงเพียงนี้?
ตู๋กูเจวี๋ยคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจข้อนี้จริงๆ
“พี่รอง ในเมื่อไอ้เลวนั่นกล้าแตะต้องท่าน มันก็อย่าได้หวังว่าจะอยู่สุขสบายได้อีกเลย” แววตาของตู๋กูซิงหลันมีแต่ประกายเย็นยะเยือก
ทั่วทั้งร่างของนางมีแต่ไอสังหารท่วมท้น
นางไม่คิดจะพูดกับตู๋กูเจวี๋ยอีก ใช้มือข้างหนึ่งสกัดการไหลเวียนของเลือดในร่างกายเขาเอาไว้ มืออีกข้างหนึ่งก็หยิบยันต์สีเหลืองออกมา โบกเพียงพริบตาก็เขวี้ยงออกไป ยันต์แผ่นนั้นก็กลายร่างเป็นนกกระเรียนกระดาษ ขยับปีกบินออกไปในทันที
ยันต์ติดตาม เป็นยันต์ที่ใช้เสาะหาคน ตู๋กูซิงหลันระวังตัวอยู่แต่แรกแล้ว จึงได้แอบเอาเส้นผมบนร่างของต้าซือมิ่งมาเก็บเอาไว้สองเส้น
ในเมื่อมีเส้นผมของเขา พอผนึกลงไปบนยันต์ก็สามารถติดตามเสาะหาตัวคนได้อย่างรวดเร็ว
ทันทีที่ ยันต์ติดตามบินออกไป ตู๋กูซิงหลันก็แบกตู๋กูเจวี๋ยเอาไว้บนบ่า สะกิดปลายเท้าเพียงนิดเดียวก็เหาะตามนกกระเรียนกระดาษขึ้นไป
เดิมทีพละกำลังของนางก็มากอยู่แล้ว ตอนที่ได้เป็นไทเฮาน้อยใหม่ๆ แล้วลงไปในสุสานของเย่วฮูหยิน นางยังเคยแบกจีเฉวียนเอาไว้และอุ้มจีเย่ไปด้วย
พี่รองนับว่าตัวเบากว่าสองคนนั้นมากนัก แบกเอาไว้ก็ไม่รู้สึกกินแรงเลยสักนิดเดียว
ชุดของนางเป็นสีแดงราวเปลวเพลิง คนเหาะเหินอยู่ในอากาศดั่งผีเสื้อใต้แสงจันทร์ เจิดจ้างดงาม
เพียงครู่เดียว นกกระเรียนกระดาษก็บินมาจนถึงหอชมจันทรา
ตู๋กูซิงหลันชะงักไปเล็กน้อย ในใจคิดไปว่าดึกมากแล้วไอ้คนเลวนั่นยังมาหาฟ่านอิงอีกหรือ?
ดูท่าคงจะไม่มีเรื่องดีเสียแล้ว
ในใจของนางยังคงมีข้อกังวล แต่พอพี่รองที่อยู่บนหลังกระอักเลือดออกมาไม่มีหยุด ตู๋กูซิงหลันก็ไม่สนใจให้มากความอีกต่อไป นางแบกพี่รองบุกเข้าไปภายใน
พึ่งเข้าไปได้ครึ่งก้าว เบื้องหน้าก็มีแต่หมอกสีดำ หอชมจันทราเยือกเย็นอย่างที่สุด แค่ก้าวเข้าไปเพียงก้าวเดียว ก็เหมือนกับเข้าไปอยู่ในสุสานที่ลึกลับและมืดมิดแห่งหนึ่ง
“หลันหลัน”
นางพึ่งจะเข้าไป ก็ถูกฟ่านอิงเรียกเอาไว้ บนร่างของนางมีแต่กลิ่นคาวเลือด จนทำให้เขาแปลกใจ
“ท่านตา!” ตู๋กูซิงหลันเห็นเขา ก็รีบเรียกออกมาในทันที “ช่วยด้วยเจ้าค่ะ”
พี่รอง “…..” ไม่นะ น้องเล็ก คนผู้นี้ไม่ใช่ท่านตาแท้ๆของพวกเรา จะมาเรียกอย่างสนิทสนมกว่าท่านตาแท้ๆได้อย่างไร?
ตู๋กูซิงหลันไหนเลยจะสนใจให้มากความ นางแบกเขาเดินดุ่มๆเข้าไปจนถึงเบื้องหน้าฟ่านอิง จากนั้นค่อยอุ้มเขาลงมาจากบนบ่าด้วยความระมัดระวัง อุ้มเอาไว้ในท่าอุ้มเจ้าหญิง นางกวาดตามองดูในห้องหนึ่งรอบ ค่อยวางตู๋กูเจวี๋ยลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ฟ่านอิงเอาแต่ยืนดูอยู่ที่ด้านข้าง สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ตู๋กูเจวี๋ย อย่างเน้นหนักขึ้นมา
วันนี้เมื่อตอนกลางวัน เขาก็ได้เห็นหนุ่มน้อยผู้นี้อยู่เหมือนกัน
ตอนที่เห็นก็รู้สึกเพียงว่าหัวคิ้วหางตาดูคุ้นเคย แต่ไม่ได้มองดูให้ละเอียด เพียงแค่ไม่นาน กลายเป็นเลือดโชกไปทั้งร่างเสียแล้ว?
“ท่านตา เขาโดนพิษของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน อยู่ๆพิษก็กำเริบขึ้นมาอย่างรุนแรง ขอท่านตาโปรดช่วยชีวิตด้วยเจ้าค่ะ!” วิธีอ้อนวอนผู้คนของตู๋กูซิงหลัน ไม่เคยผิดพลาดมาก่อน
ว่าตามจริงแล้ว ตอนนี้นางคิดถึงเลือดจากก้น….ของวิญญาณทมิฬเอามากๆเลย
อย่างน้อยๆเลือดนั่นก็สามารถสลายร้อยพิษได้
“พิษของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน” ฟ่านอิงหรี่ดวงตาลง เดินไปข้างหน้าอีกสองก้าว เขายืนตัวตรงดุจพู่กัน ดวงตาที่อยู่หลังม่านหมอกคู่นั้นจดจ้องไปที่ตู๋กูเจวี๋ย
“ต้าซือมิ่งเอาให้เขากิน ท่านตาเป็นเจ้าตำหนัก จะต้องมีวิธีสลายพิษใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
ในตอนแรกของตู๋กูซิงหลันคิดจะหาตัวต้าซือมิ่ง บีบให้เขาเอายาถอนพิษออกมา จากนั้นก็ค่อยสับคนให้กลายเป็นเนื้อบด แต่ใครจะไปรู้ว่าพอไล่ตามนกกระเรียนกระดาษมาเรื่อยๆ มันจะพานางมาถึงหอชมจันทรา
แล้วต้าซือมิ่งละ….ตู๋กูซิงหลันอดไม่ได้ที่จะมองออกไปรอบๆตรงอื่นบ้าง
นางถึงได้เห็นว่าที่ด้านหลังของฟ่านอิง มีศพของบุรุษที่ไร้ศีรษะอยู่ศพหนึ่ง
ตอนที่ 587 ฆ่าล้างสังหาร
ตู๋กูซิงหลัน “…….”
เพื่อให้นางได้เห็นอย่างละเอียด ฟ่านอิงจึงเห็นแก่หน้าของนาง ยอมขยับไปด้านข้างอีกก้าวหนึ่ง
อาศัยแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาจากด้านนอก ตู๋กูซิงหลันจึงมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เสื้อผ้าเหล่านั้นแม้ว่าจะถูกเลือดย้อมจนกลายเป็นสีแดงไปแล้ว แต่อาศัยรูปแบบและรูปร่างก็ยังมองออกมาว่าคือ ต้าซือมิ่ง มิใช่หรือ?
ตู๋กูซิงหลัน “! ! !”
ไม่นะ นางนึกว่าเขามาหาฟ่านอิงเพราะอยากจะปรึกษาความลับอันยิ่งใหญ่อะไรสักเรื่อง สุดท้ายกลายเป็นว่าเขารีบร้อนมาหาความตาย?
ขอโทษที ทำเช่นนี้นางออกจะไม่ค่อยเข้าใจอยู่บ้าง
“ไอ้คน…ตายไปแล้ว?” นางได้แต่กลืนคำนั้นกลับลงไป
ฟ่านอิงเหลือบดูศพที่ด้านหลังแวบหนึ่ง เอ่ยออกมาอย่างเย็นชาสองสามคำ “ตายสนิทแล้ว”
ตู๋กูซิงหลันเงียบงันไปครู่หนึ่ง ตู๋กูเจวี๋ยเองก็เงียบไปด้วยเช่นกัน
ตอนนี้การรับรู้ของเขามืดมัวไปหมดแล้ว พิษกำเริบเจ็บปวดจนเข้าสู่หัวใจ ทรมานจนเขาไม่อยากจะมีชีวิตอยู่
ดวงตาคู่นั้นแดงก่ำขึ้นมา ทั่วร่างเจ็บปวดแสบปวดร้อนไปหมด ราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะตื่นขึ้นมา
เขาได้แต่เค้นเรี่ยวแรงสะกดสิ่งนั้นเอาไว้
ความรู้สึกเช่นนี้เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน ตอนที่ชือหลีถูกเยี่ยอิงตัดมือและเท้า เขาได้รับความสะเทือนใจอย่างรุนแรง …..ในร่างเหมือนมีตัวประหลาดตื่นขึ้นมา เข่นฆ่าล้างสังหาร
หลังจากนั้น ทุกครั้งที่เขาฆ่าคน ก็จะรู้สึกได้ถึงมันขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่เพียงไม่นานก็จางหายไปโดยไม่เหลือร่องลอย
ตอนนี้….ทั่วร่างเหมือนจะถูกแผดเผาจนไม่เหลือ เขาใกล้จะควบคุมความรู้สึกนั้นเอาไว้ไม่อยู่แล้ว
“ท่านตา ยาถอนพิษนั่นเป็นของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ขอท่านโปรดมอบยาถอนพิษให้ด้วย” ตู๋กูซิงหลันร้อนรนอยู่ในใจ แต่ภายนอกยังทำเป็นสงบนิ่งเอาไว้ ต่อให้นางรู้สึกลนลาน ก็ไม่อาจให้พี่รองดูออก
ฟ่านอิงมองดูนาง แล้วก็มองดูตู๋กูเจวี๋ย
ครู่หนึ่งค่อยเอ่ยขึ้นมาว่า “เขาเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า ?”
คำถามนี้ ทำเอาตู๋กูซิงหลันตอบยากแล้ว
นางหรี่ตาลง สุดท้ายยังคงยอมรับออกมาอย่างซื่อๆ “นี่คือพี่รอง แท้ๆของข้า”
จากนั้นก็เสริมอีกประโยคหนึ่งว่า “และก็เป็นหลานชายแท้ๆของท่านด้วย”
ฟ่านอิงไม่เอ่ยอะไร ตระกูลตู๋กูมีลูกหลานอยู่เท่าไหร่ เขาย่อมรู้ดี
เขาเพียงแต่จ้องดูตู๋กูเจวี๋ยอย่างนิ่งๆ เห็นดวงตาทั้งสองของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดอย่างน่ากลัว แม้แต่ผิวหนังก็สั่นสะท้านราวกับมีบางสิ่งเคลื่อนไหว
ตู๋กูเจวี๋ยถูกเขามองดูยิ่งรู้สึกย่ำแย่ เขาได้แต่ครวญคราง และกระอักเลือดออกมาอีกหลายคำ
หากมิใช่เพราะว่าตู๋กูซิงหลันสะกัดจุดทั้งหมดบนร่างของเขาเอาไว้ก่อน เกรงว่าตอนนี้เขาคงกระอักเลือดจนตายไปแล้ว
คราวนี้ ฟ่านอิงค่อยเดินไปที่เบื้องหน้าเขา เรียกคำหนึ่ง “เจ้าหลานชาย”
ตู๋กูเจวี๋ย “….” เจ้าน่ะสิหลานชาย ทั้งบ้านเจ้าล้วนเป็นหลายชาย
เขาไม่แม้แต่จะยกศีรษะขึ้นมา
ฟ่านอิง “เรียนท่านตาสิ”
ตู๋กูเจวี๋ย “….” ท่านตากับพ่องน่ะสิ!
หากมิใช่ว่าตอนนี้เขากำลังพิษกำเริบ จะต้องถ่มน้ำลายใส่จนให้ตายไปแน่!
ฟ่านอิง “อารมณ์ร้ายเช่นนี้ ก็นับว่าเหมือนกับข้าตอนหนุ่มๆอยู่บ้าง”
เขามองดูหนุ่มน้อยตรงหน้า ในแววตามีเพิ่มความอ่อนโยนขึ้นมา
ตอนที่เขายังหนุ่ม เขาก็องอาจหล่อเหลาเช่นเดียวกับเจ้าหนุ่มน้อยผู้นี้
ตู๋กูเจวี๋ยคร้านจะด่าเขาในใจอีกต่อไป หากจะว่าเหมือนกัน ก็ต้องไปเหมือนท่านตาของเขาสิรู้ไหม?
ตู๋กูซิงหลันแทบอยากจะเค้นคอพี่รองให้เรียกท่านตาแล้ว ความเป็นความตายอยู่ตรงหน้า ยังจะมาทิฐิทำไม!
ไม่รอให้นางลงมือ ก็เห็นฟ่านอิงส่ายศีรษะไปมา “น่าเสียดาย ที่ข้าก็ไม่มียาถอน”
ตู๋กูซิงหลันตกตะลึงไป “แต่ว่าท่านตาเป็นเจ้าตำหนักมิใช่หรือเจ้าคะ?”
หากว่ากันตามเหตุผลแล้ว ยาถอนพิษนี้ควรจะอยู่ในมือของเจ้าตำหนักจึงจะถูก ต้าซือมิ่งก็เพียงแค่รับหน้าที่วางยาพิษแทนเท่านั้น
แล้วทำไมที่เขา ถึงไม่มียาถอนพิษกัน?
คำถามนี้ ฟ่านอิงยากจะอธิบายกับนาง
“ข้าไม่มีทางโกหกเจ้า” ฟ่านอิงตอบ จากนั้นก็ขยับเข้าไปใกล้ตู๋กูเจวี๋ยอีกนิด พลางยื่นมือที่แวดล้อมไปด้วยหมอกสีดำออกมา วางลงบนบ่าของเขา
หมอกสีดำไหลวนจากฝ่ามือของเขาเข้าสู่ร่างกายของตู๋กูเจวี๋ย ทำให้สิ่งที่คลุ้มคลั่งอยู่ภายในร่างของเขาสงบลง
เนื่องเพราะว่ามีหมอกสีดำกางกั้นอยู่ ตู๋กูซิงหลันจึงไม่ได้เห็นว่าสีหน้าของฟ่านอิงในยามนี้บิดเบี้ยวถึงเพียงไหน
ตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่กล้ารบกวน นางยืนอยู่ข้างๆ ก็คิดจะเสาะหาดวงวิญญาณของต้าซือมิ่งมาทุบตีให้หนักๆสักรอบหนึ่ง
ฟ่านอิงเองก็ไม่ยอมบอกว่า ระหว่างทั้งสองมีข้อแลกเปลี่ยนอะไรที่ไม่กล้าบอกใครให้รู้
เช่นนี้นางจะถามฟ่านอิงต่อไปก็ไม่เกิดประโยชน์อยู่ดี
ดังนั้นนางจึงแอบดึงเอายันต์สีเหลืองออกมาแผ่นหนึ่งอย่างเงียบๆ คิดจะเรียกดวงวิญญาณของต้าซือมิ่งกลับมา
ในตอนนั้นเอง ที่ตู๋กูซิงหลันกระตุ้นพลังของหยกสรรพชีวิตออกมา
ด้วยพลังของหยกสรรพชีวิต ขอเพียงวิญญาณยังไม่แตกสลาย หรือลงไปอยู่ในนรก ย่อมสามารถเรียกกลับมาได้ทั้งนั้น
แต่ว่าพอนางเขวี้ยงยันต์ออกไป รออยู่พักใหญ่ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
หากว่านางมองดูไม่ผิดล่ะก็ ศพของต้าซือมิ่งยังคงอุ่นๆอยู่เลยนี่ ดูๆแล้วก็ไม่เหมือนว่าวิญญาณจะถูกเผาทำลาย คนแม้จะตายไปแล้ว แต่ว่าวิญญาณก็ไม่ได้รีบลงนรกขนาดนั้นนี่นา
ยันต์เรียกวิญญาณของนางไม่มีทางผิดพลาดได้อย่างเด็ดขาด เช่นนั้นแล้วปัญหาอยู่ที่ใดกันแน่?
“เขาเป็นชาวสวรรค์ ยันต์เรียกวิญญาณของเจ้าย่อมใช้การไม่ได้”ฟ่านอิงดึงมือกลับมาจากบนร่างตู๋กูเจวี๋ย ขณะเอ่ยคำที่ทำเอาตู๋กูซิงหลันถึงกับนิ่งอึ้งไป
ชาวสวรรค์…..
มิว่าในดินแดนโบราณหรือว่าในดินแดนจิ่วโจว นางก็ไม่เคยได้ยินใครเอ่ยถึงสองคำนี้มาก่อนเลย
จึงคิดไม่ถึงว่าจะมาได้ยินจากฟ่านอิง
ไอ้คนชั่วต้าซือมิ่งผู้นั้น….มาจากแดนสวรรค์งั้นรึ
มิน่าเล่า….ตั้งแต่ที่นางได้เห็นเขาเป็นครั้งแรก ก็รู้สึกอึดอัดไม่สบายตัวขึ้นมา ใช่แล้ว ถึงว่ารู้สึกเหมือนมีอะไรแปลกๆบางอย่าง
“ยาพิษนั่นนำมาจากแดนสวรรค์ มีแต่ใช้กับบุคคลที่เขาให้ความสำคัญเท่านั้น”
ฟ่านอิงเอ่ยต่อไป น้ำเสียงของเขาอ่อนล้าลงไปบ้าง แต่เป็นเพราะเสียงแหบจนยากจะฟังอยู่แล้ว จึงทำให้สังเกตได้ยาก
สิ่งนั้น….มีพลังรุนแรงมาก เป็นเหมือนกับสัตว์อสูรที่ไม่ยอมเชื่อฟังใดๆทั้งสิ้น หากว่าเกิดระเบิดออกมา ผลลัพธ์คงไม่อาจคาดเดา
สามารถถูกต้าซือมิ่งเห็นความสำคัญจนถึงขั้นที่ต้องใช้พิษของแดนสวรรค์ควบคุมเอาไว้ ….ก็แสดงว่าหนุ่มน้อยผู้นี้ถูกต้าซือมิ่งหมายตา เตรียมจะใช้เป็นตัวเลือกในฐานะเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนคนต่อไป
ก็ใช่อยู่ เพราะคนอย่างเขาที่ไม่ยอมถูกคนผู้นั้นควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ สำหรับคนผู้นั้นแล้วก็คือผู้ที่วางใจไม่ได้
เขาย่อมจะต้องวางแผนป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาอีกแน่ ดังนั้นเขาจึงได้เสาะหาหุ่นเชิดตัวต่อไปเอาไว้แต่แรก
ตู๋กูซิงหลันได้ยินชื่อชาวสวรรค์สองคำก็แทบจะระเบิดอารมณ์ออกมาแล้ว อย่าว่าแต่ได้ยินว่านี่เป็นพิษของแดนสวรรค์เลย
ไอ้คนชั่วบนสวรรค์!
นางกำหมัดจนแนบแน่น แม้แต่เล็กก็ยังจิกลงไปในเนื้อ
พอสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของนาง ฟ่านอิงก็ถามออกมาด้วยความสงสัยว่า “หลันหลัน เจ้ากับชาวสวรรค์มีข้อขัดแย้งกันหรือ?”
ทรวงอกของตู๋กูซิงหลันกระเพื่อมขึ้นลง นางพยายามข่มอารมณ์ที่จะระเบิดออกมาของตนเองเอาไว้ กัดฟันเอ่ยปากว่า “พวกมันวางยาพิษทำร้ายพี่รองของข้า ย่อมต้องมีข้อขัดแย้งอยู่แล้ว”
นางเองก็มิได้ไว้วางใจอีกฝ่ายทั้งหมด ความขัดแย้งที่มีกับชาวสวรรค์แน่นอนว่าไม่อาจพูดออกไป
ตอนที่ 588 จิ้งจอก
ฟ่านอิงหันไปมองดูนางแวบหนึ่ง แววตาที่อยู่หลังหมอกสีดำมีแต่แสงของความสับสน
“ชาวสวรรค์นั้นอันตรายมาก เจ้าสมควรอยู่ให้ห่างเข้าไว้” เนิ่นนาน เขาถึงได้เอ่ยเตือนออกมาประโยคหนึ่ง
“ท่านตารู้จักชาวสวรรค์หรือเจ้าคะ?”
ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ข้างกายตู๋กูเจวี๋ย นางสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆหลายต่อหลายครั้ง จึงค่อยสงบลงได้
คำถามของนาง ได้รับแต่เพียงความเงียบงันจากฟ่านอิงเป็นคำตอบ เขากำลังกังวล กำลังชั่งน้ำหนัก
………
บนเกาะลอยฟ้า ก่อนที่ตู๋กูซิงหลันจะกลับไปที่ห้องของตนเอง
สายลมพัดเข้ามาทางหน้าต่าง กลิ่นหอมของสุรากุ้ยฮวาภายในห้องจึงอ่อนจางลงไปบางส่วน
ท่านเจ้าสำนักซบอยู่บนโต๊ะ ขนตาของเขาทั้งงอนยาวและหนาเป็นแพ แต่ละเส้นล้วนชัดเจน แสงจันทร์จากนอกหน้าต่างทอทาบลงมาบนใบหน้าของเขา ทิ้งเงาสีดำเข้มเอาไว้ใต้แพขนตา
ยามนี้เหล้าในจอกก็ยังคงหยดติ๋งๆออกมา เหล้าหยดเปื้อนติดปลายนิ้วของเขา
บนเกาะลอยฟ้า มีแต่กลิ่นหอมของดอกไม้ แต่ว่าในตอนนี้ ท่ามกลางกลิ่นดอกไม้เหล่านั้น กลับมีกลิ่นของบางสิ่งบางอย่างปะปนอยู่ด้วย
“ไม่ต้องเสแสร้งแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าตื่นอยู่”
ที่นอกหน้าต่าง มีเงาร่างในชุดสีแดงร่างหนึ่ง แขนเสื้อของเขาโบกสะบัดอยู่ท่ามกลางสายลมแรง เป่าจนแม้กระทั่งเส้นผมก็ยังเริงระบำขึ้นมา
น้ำเสียงของเขาคล้ายจะเกียจคร้านและเย้ายวน
รูปโฉมของเขาก็หมดจดงดงามราวกับว่าปั้นขึ้นมาจากน้ำอย่างไรอย่างนั้น
หากว่าท่านเจ้าสำนักรูปโฉมหล่อเหลางดงามดุจภูติผี คุณชายในชุดสีแดงผู้นี้ก็ดูบริสุทธิ์งดงาม เย้ายวนราวกับเป็นปีศาจ
รอบกายของเขามีหมอกสีแดงบางๆรายล้อม หมอกสีแดงนี้คล้ายจะมาจากด้านหลังที่มีปลายหางสีแดงทั้งเก้าหางของเขา
เส้นผมของราวสะอาดราวหิมะ ส่องประกายงดงามอยู่ใต้แสงจันทร์
เส้นผมเช่นนี้ ทั้งเล็กบางและนุ่มนวลดุจเส้นไหม ยามสะท้อนแสงจันทร์จึงยิ่งงดงามจนลืมหายใจ
แพขนตาของท่านเจ้าสำนักขยับเบาๆ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยลืมขึ้นมาเป็นเส้นบางๆ แสงจันทร์ที่ส่องลงมาเข้าสู่นัยตาของเขากลายเป็นแสงสะท้อนเย็นเฉียบราวจันทรากลางฤดูหนาว
ดวงหน้าที่งดงามของเขาแดงระเรื่อเพราะพิษเหล้า ริมฝีปากก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ แม้แต่น้ำเสียงก็แฝงความเมามายอยู่หลายส่วน “จิ้งจอก….พวกขี้อ่อย”
อ่อยที่ท่านเจ้าสำนักหมายถึง มาจากกลิ่นในร่างกายของเขา ที่จริงกลิ่นนั้นอ่อนจางมาก หากเป็นคนทั่วไปได้กลิ่นก็จะรู้สึกว่าเป็นกลิ่นหอมชนิดหนึ่ง ราวกับมีกลิ่นกุหลาบปนอยู่จางๆ
แต่เพราะจมูกของท่านเจ้าสำนักว่องไวจนเกินไป จึงได้รู้สึกว่ากลิ่นพิเศษนี้เป็นกลิ่นของพวกจิ้งจอก
คุณชายในชุดแดงผู้นั้นพลิ้วมาในสายลม ในมือยังประคองบุปผาวิญญาณจิ่วโจวสีแดงอมทองดอกใหญ่ดอกหนึ่งมาด้วย ดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นเหลือบมองดูเขาเล็กน้อย
“เจ้าจำข้าไม่ได้แล้วจริงๆหรือ?”
ว่าแล้วเขาก็เอ่ยอีกสองคำ “ซื่อมั่ว”
ท่านเจ้าสำนักลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ ดวงตาที่ตอนแรกเปิดเพียงครึ่งเดียว ยามนี้ค่อยลืมตาอย่างเต็มที่ พลางหันไปมองดูคุณชายชุดแดงที่อยู่นอกหน้าต่างอย่างเต็มตา
กลีบดอกไห่ถางที่หล่นลงมาเกาอยู่บนเส้นผมและบ่าของเขา
หากมองเพียงรูปลักษณ์ภายนอก คุณชายชุดแดงผู้นี้จัดว่าอยู่ในประเภทเดียวกับศิษย์น้อย เป็นพวกหน้าตาดีที่มองดูแล้วสบายตา
แต่ว่าเขาไม่ชอบกลิ่นบนร่างของจิ้งจอกผู้นี้ และยิ่งไม่ชอบที่คนผู้นี้สวมใส่ชุดสีแดงเพลิงตลอดร่าง ราวกับว่าต้องการจะมาจับคู่กับศิษย์น้อยของเขา
เขาไม่ได้รีบร้อนปฏิเสธ เพียงทอดสายตามองไปยังร่างของคุณชายชุดสีแดงชนิดหัวจรดเท้ารอบหนึ่ง จากนั้นค่อยๆหันคืนมาช้าๆ
เขาแน่ใจว่าตนเองไม่เคยเห็น และไม่รู้จักคนผู้นี้มาก่อน
ครู่หนึ่ง คุณชายชุดแดงผู้นั้นถึงได้เอ่ยปากออกมาว่า “ดูท่า จะจำไม่ได้แล้วจริงๆ….”
เขาขยับร่างไปด้านหน้าอีกนิด คนลอยอยู่เหนือหน้าต่างด้านนอก สองมือกอดอกเอาไว้ ในอ้อมแขนกอดบุปผาวิญญาณดอกใหญ่เอาไว้ โน้มเข้ามาหาหน้าต่างอย่างช้าๆ
ดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นยังมองลึกเข้าไป “ใบหน้านี้ของเจ้า ลอกเลียนมาจากข้าหรือ?”
ท่านเจ้าตำหนัก “……”
“ตัวเจ้าแต่ก่อนนี้ หน้าตาโบราณคร่ำครึกว่าตอนนี้มากนัก” เขาขำออกมาคำหนึ่ง แววตาที่เหลือบมองมายังคงหยิ่งผยองไม่คลาย
“เพราะรู้แล้วว่าอาหลันน่ะชอบข้า เจ้าก็เลยพยายามจะเลียนแบบข้าใช่ไหมเล่า?”
ท่านเจ้าสำนักมองดูเขาอย่างละเอียดลออคราหนึ่ง นอกจากริมฝีปากของทั้งคู่ที่เป็นสีแดงเหมือนกันแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่เหมือนกันทั้งสิ้น
“จะโทษเจ้าก็คงจะไม่ได้ เพราะคนที่นางชอบมากที่สุดก็คือข้า นี่เป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว ที่เจ้าอิจฉาข้าก็ใช่ว่าเป็นเรื่องแค่วันสองวันเสียเมื่อไหร่”
จิ้งจอกที่เย้ายวนแย้มยิ้มดุจดอกไม้ พลิ้วร่างอย่างผ่อนคลาย บุปผาวิญญาณในมือก็พลอยโยกคลอนไปมา จนกลีบดอกแต่ละชั้นพลิ้วไปมา
“จิ้งจอกขี้อ่อย พูดมากน่ารำคาญ”
ท่านเจ้าสำนักเพียงนั่งคุกเข่าอยู่ข้างโต๊ะเตี้ย โดยมิได้ลุกขึ้นมา
ก่อนหน้านี้เป็นเพราะคิดถึงเรี่องภาพที่ขุ่นมัว ศีรษะจึงปวดร้าวจนระบมไปหมด ทั้งยังดื่มสุรากุ้ยฮวาของจุ้ยเซียนจูไปหนึ่งไหเต็มๆ
เหล้านั่นคนธรรมดาดื่มไปหยดเดียวก็ต้องเมาคว่ำแล้ว เหล้าไหหนึ่งเพียงพอจะทำให้ผู้คนเมามายกันทั้งเมือง
ส่วนเขาดื่มไปเพียงคนเดียวทั้งไหถึงได้เมา
พอถูกสายลมพัดเพียงครั้ง ก็ถูกกลิ่นจิ้งจอกนั่นรมใส่ จนตื่นขึ้นมาแล้วมิใช่หรือ?
เจ้าจิ้งจอกตัวนั้นโกรธขึ้นมาแล้ว ขนฟูๆบนหูของมันตั้งชี้ขึ้นมาเกรียวทีเดียว ที่ข้างหูยังมีขนริมหูยาวๆอีกด้วย
เขายิงฟันออกมา เผยให้เห็นเขี้ยวจิ้งจอกที่ขาวสะอาด
“ไอ้แก่ที่ไม่รู้จักตาย เจ้ายังน่ารังเกียจยิ่งกว่า”
เขาแทบอยากจะโผเข้าไปตะปบคนผู้นั้นให้ตายคาที่
ดวงตาจิ้งจอกมองเข้าไปที่ด้านใน
ภายในห้องนอกจากท่านเจ้าสำนักแล้ว ก็มีแต่ความว่างเปล่า
อาหลันไม่อยู่ เรื่องนี้เขารู้แต่แรกแล้ว ถึงแม้ว่าจะคิดถึงนางมาก แต่ว่าที่มาในคืนนี้ไม่ใช่เพื่อจะมาเจอนาง
ช่วงเวลาที่อาหลันหายตัวไป ตัวเขาเองก็เกิดเรื่องขึ้นมากมาย ทั้งไม่อาจเล่าในรายละเอียด
บุปผาวิญญาณนี้ ก็เป็นสิ่งที่เขามอบให้กับนาง
ท่านเจ้าสำนักเองก็สังเกตเห็นดอกไม้ในอ้อมแขนของเขาแล้ว
ว่ากันตามธรรมดาแล้ว ดอกไม้ที่ล้ำค่ามากเช่นนี้ สมควรปลูกอยู่ในกระถางด้วยความระมัดระวัง แต่บุปผาวิญญาณที่เขานำมานั้นถูกตัดแล้ว ต้องใช้พลังวิญญาณหล่อเลี้ยง
“เจ้าก็คือเจ้าของสวนดอกไม้ผู้นั้น จิ้งจอกของเผ่าปีศาจ”
ท่านเจ้าสำนักนั่งอย่าผ่าเผย “เข้ามาพูดคุยกับข้าดีๆ”
เจ้าจิ้งจอกถึงกับหัวเราะออกมา “ข้ากับไอ้แก่ไม่ยอมตายอย่างเจ้ามีอะไรต้องพูดกัน? ตายหรือก็ตายไปแล้วยังจะลุกขึ้นมาได้อีก ทำไมไม่ตายๆให้จบๆไป ช่างน่ารำคาญ”
ท่านเจ้าสำนักฟังทุกคำพูดของเขาทุกถ้อยคำ
เขายกไหสุราบนโต๊ะขึ้นมา เขย่าเบาๆในมือ ไหสุราใบนั้นก็มีสุราเพิ่มขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
“ข้ามีเรื่องที่คิดอยากจะถามเจ้า กลัวขึ้นมาแล้วรึ ถึงได้ไม่กล้าเข้ามา?”
เจ้าจิ้งจอกหรี่ดวงตาลง แม้แต่นัยตาก็หดตัว กลายเป็นเส้นแนวตั้งขึ้นมา
ครู่หนึ่ง เขาก็ใช้มือข้างหนึ่งถือบุปผาวิญญาณเอาไว้ สะกิดปลายเท้าพลิกตัวข้ามหน้าต่างเข้ามา
ร่างในชุดสีแดงเพลิง ร่อนลงตรงหน้าท่านเจ้าสำนักอย่างช้าๆ
“นั่งสิ”
ท่านเจ้าสำนักชี้ไปทางเบาะอ่อนที่วางอยู่บนพื้น
ไม่ต้องให้เขาบอก เจ้าจิ้งจอกก็นั่งลงเอง
เขาไม่สนใจท่าเจ้าสำนักที่วางท่าสง่าผ่าเผย นั่งหลังตรงดุจนักรบ ตนเองกลับเลือกนั่งไขว้ขาอย่างสบายสบาย ตามอำเภอใจ
หมอกสีแดงที่กำจายออกมาจากหางทั้งเก้าด้านหลังก็มิได้จางหายไป ยังคงกำจายออกมาทั้งซ้ายและขวา
สายลมยามค่ำพัดโชยเข้ามา เป่าจนเส้นผมของท่านเจ้าสำนักพลิ้วขึ้นไป
ดวงหน้าที่หล่อเหลาและหมดจดงดงามเปิดเผยอยู่ตรงหน้าอย่างไร้สิ่งใดปิดบัง แม้แต่เจ้าจิ้งจอกยังอดไม่ได้ที่จะมองดูอยู่หลายครั้ง
เขาคงต้องยอมรับ ว่านี่เป็นใบหน้าที่งดงามมากจริงๆ
อืม จะว่าไปแล้ว ไอ้แก่ที่ไม่ยอมตายผู้นี้นับว่ายังพอใช้ได้อยู่บ้าง อย่างน้อยๆก็รู้จักยอมรับว่าเขาหน้าตาดี จากที่แต่ก่อนเอาแต่ว่างท่าทำตัวว่าเป็นผู้สูงศักดิ์ ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นมีเสน่ห์เย้ายวนขึ้นมาแล้ว
ตอนที่ 589 ศิษย์น้อยชมชอบผู้ใด?
ถ้าเป็นเรื่องของรูปลักษณ์ ท่านเจ้าสำนักดูเหมือนจะยอมรับเจ้าจิ้งจอกอยู่ในที
เขาคอยหรี่ตามองดูอีกฝ่ายอยู่เสมอ
“ดื่มสิ” ท่านเจ้าสำนักเทสุราลงมาจอกหนึ่ง ปัดเบาๆจอกสุรานั้นก็ไปหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าจิ้งจอก
“ตระกูลซูของข้า ไม่ดื่มสุรา” เจ้าจิ้งจอกไม่แม้แต่จะมองดู ตั้งแต่ต้นจนจบเอาแต่จ้องมาที่เขา “เจ้าไม่จำเป็นจะต้องมอมเหล้าข้า อยากรู้อะไร ข้าจะบอกเจ้าเอง”
เปิดอกคุยกันตรงๆ จึงจะเป็นรูปแบบของเขา
เขาไม่ชอบการพูดจาอ้อมค้อมวกวนไปมา
ท่านเจ้าสำนักไม่เปลี่ยนสีหน้า ข้างแก้มยังคงมีสีแดงระเรื่อ
“มีตระกูลซูด้วย….” เขาทบทวนแซ่นี้เบาๆ “ข้าเคยได้ยินว่าพวกจิ้งจอกล้วนมาจากชิงชิว[1]และถูซาน[2]เป็นหลัก ไม่เคยได้ยินแซ่ซูมาก่อน”
อยู่ในดินแดนจิ่วโจวมานานถึงครึ่งปีแล้ว กับเรื่องของเผ่ามารและปีศาจต่างๆจะมากจะน้อยเขาก็พอจะรู้มาอยู่บ้าง
เพียงแต่ยามปกติมิได้ใส่ใจเท่าไร
เจ้าจิ้งจอกถึงกับกรอกตามองบน เอ่ยเสียงเย็นว่า “สายตระกูลลึกลับที่มีอยู่มาแต่โบราณ ซุกงำประกายอยู่เสมอ ลูกหลานสายตระกูลซูมีแต่คนงาม พี่สาวของข้าคือพระสนมต๋าจี่ รู้จักหรือไม่?”
“ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย” ท่านเจ้าสำนักแกว่งจอกสุราเบาๆ น้ำสุราในจอกกระทบแสงจันทร์เป็นประกยระยิบระยับ
เจ้าจิ้งจอก “……” ถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่งดงามเย้ายวนไปแล้ว แต่ยามที่พูดคุย คนผู้นี้ก็ยังสามารถยั่วโทสะผู้อื่นได้อยู่ดี
“สรุปว่า ตระกูลซูของข้านอกจากจะเป็นสายตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าปีศาจแล้ว ยังเป็นเผ่าปีศาจที่งดงามที่สุดอีกด้วย เจ้ารู้แค่นี้ก็พอแล้ว” ปลายนิ้วของท่านเจ้าสำนักกระตุกน้อยๆ เขายักคิ้วขึ้นมา ในดวงตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยประกายจากแสงจันทร์ “งดงามเหมือนศิษย์น้อยหรือ?”
เจ้าจิ้งจอกชะงักไปเล็กน้อย ในอ้อมแขนของเขายังคงตระกองกอดบุปผาวิญญาณเอาไว้ พักใหญ่ค่อยตอบว่า “งดงามคนละแบบกัน”
คนหนึ่งคือผู้ที่งดงามที่สุดในเผ่าปีศาจ อีกคนคือคนที่งดงามที่สุดในใจของเขา นั่นย่อมไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
ยังดีที่ท่านเจ้าสำนักมิได้สนใจในตระกูลซูของเขาเท่าไรนัก ดังนั้นจึงเป็นฝ่ายหันเหหัวข้อสนทนา
“ซื่อมั่ว คืออาจารย์ในอีกดินแดนหนึ่งของศิษย์น้อย”
เขาเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมาสั้นๆด้วยความมั่นใจ และตรงประเด็น
ถึงแม้ว่าชื่อของซื่อมั่วที่เอ่ยออกมาจากปากของศิษย์จะไม่บ่อยครั้งเท่าชื่อของจีเฉวียน
แต่เขาก็เชื่อว่า ซื่อมั่วผู้นี้เป็นคนสำคัญสำหรับศิษย์น้อยอย่างยิ่ง
พอได้ยินเขาเอ่ยขึ้นมา เจ้าจิ้งจอกก็หรี่ตาลงอีกครั้ง พลางหัวเราะออกมาอย่างเ**้ยมเกรียมอยู่บ้าง
“ใช่แล้ว เขายังเป็น….”
พอพูดถึงตรงนี้ เจ้าจิ้งจอกก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ในแววตาปรากฏแสงเย็นยะเยือกที่เข้มข้นขึ้นมา ร่างท่อนบนของเขาโน้มเขาไป ดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นจ้องเขม็งไปที่ท่านเจ้าสำนัก
หางจิ้งจอกสีแดงทั้งเก้าเส้นเคลื่อนไหวอย่างคึกคักและรวดเร็ว
“เป็นคู่แค้นที่สังหารข้าอีกด้วย….”
พลังที่พวยพุ่งออกมาจากร่างกำจายออกมาจนเป่าเสื้อผ้าและเส้นผมของท่านเจ้าสำนักพลิ้วออกไปด้านหลัง
แต่ว่าตัวเขาก็ยังคงนั่งนิ่งอย่างผ่าเผย แม้แต่ขนตาก็ไม่กระพริบ
เพียงเอ่ยอย่างเอาเหตุเอาผลว่า “เจ้าเป็นบุรุษที่เหมือนกับสตรี นิสัยก็ออดอ้อนออเซาะ ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าขัดนัยตา”
เจ้าจิ้งจอกเงียบไปครู่หนึ่ง “ข้ารู้สึกว่าเจ้ากำลังด่าข้า”
ท่านเจ้าสำนัก “จิ้งจอกขี้อ่อย อย่าได้คิดว่าเป็นความรู้สึก มันใช่อยู่แล้ว”
เจ้าจิ้งจอกที่งดงามและเย้ายวนถึงกับพูดไม่ออก หมัดของเขาส่งเสียงดังกรอบแกรบออกมา
แทบจะอยากยกหมัดชกใส่คนผู้นี้สักครั้งในทันที ต่อยมันให้ตายไปเลย!
แต่พอคิดถึงคนผู้นั้น ก็ได้แต่สะกดอารมณ์ ลงไปก่อน
“เห็นแก่อาหลัน ข้าจะไม่ถือสาเอาความกับเจ้า แต่ว่าเรื่องที่ตอนนั้นเจ้าทำให้ข้าต้องพบความทุกข์จากการตาย วันนี้เจ้าจะต้องได้รับผลตอนแทนนับสิบเท่า!”
เจ้าจิ้งจอกพูดแล้วก็มองดูเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง “ยังมี ข้าเรียกว่า ซูเยา”
เขาไม่ชอบให้มาเรียกว่าจิ้งจอกขี้อ่อยอะไรนั่น เพราะว่าเขาไม่ได้อ่อยใครสักหน่อย หากว่าเขาอ่อยได้สำเร็จ ไหนเลยอาหลันจะยังมีบุรุษอื่นในหัวใจได้อีก?
“ซูเยา….” ท่านเจ้าสำนักทวนชื่อของเขาช้าๆ พลางส่ายศีรษะ “ชื่อของเจ้านี้ ยังไม่น่าฟังเท่ากับ จีต้าฉุยของข้า”
ซูเยา “….”
ไม่ถูกแล้ว เมื่อครู่ตอนที่ปีศาจน้อยมารายงานเขา ยังบอกว่าเมื่อกลางวันนี้เจ้านี้ประกาศออกมาว่าตนเองมีนามว่า ตู๋กูต้าฉุย ทำไมถึงได้เปลี่ยนเป็นจีต้าฉุยเสียแล้วละ?
แล้วชื่อนี้พอได้ยินแล้ว ทำไมมันถึงได้รู้สึกแปลกอย่างไรก็ไม่รู้
ว่าแล้ว ท่านเจ้าสำนักก็ใคร่ครวญอย่างจริงจังครู่หนึ่ง “ที่จริงแล้ว ศิษย์ของข้ามีพรสวรรค์ในการตั้งชื่อระดับปรมาจารย์ เอาไว้วันไหนให้นางตั้งชื่อให้กับเจ้าใหม่ ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นบุรุษที่ดูเหมือนสตรี แต่ก็ยังนับว่าเข้าตาอยู่บ้าง ชื่อนี้ไม่เหมาะกับเจ้าเท่าไหร่”
ซูเยาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าวิธีการเลือกประเด็นหลักของเขาจะแปลกประหลาดเช่นนี้
ไม่เพียงไม่ได้ถามเรื่องของซื่อมั่ว หรือว่าเรื่องของตนให้มากๆ กลับเอาแต่สนใจเรื่องชื่อ มีอะไรสนุกนักหรือ?
“อ้อจริงสิ ดังนั้นเจ้าจึงคิดว่าข้าก็คือซื่อมั่ว?” วิชาอ่านใจของท่านเจ้าสำนักย่อมไร้เทียมทานอยู่แล้ว
สายตาของซูเยาเข้มข้นขึ้นมา ขณะที่กำลังจะพูดออกไป ก็ได้ยินท่านเจ้าสำนักเอ่ยอีกว่า “ศิษย์น้อยกับเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนต่างก็คิดว่าข้าคือจีเฉวียน เช่นนั้นเจ้าลองบอกมาซิ ว่าข้าคือผู้ใดกันแน่?”
เขาคือใครกันแน่ คำถามนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดถึงมันมาก่อน
แต่เพราะว่าในสมองตอนนี้อยู่ก็เกิดมีภาพความทรงจำที่พร่ามัว ทำให้เขาเกือบจะเชื่อว่าตนเองคือจีเฉวียนไปแล้ว
แต่พออยู่ๆเจ้าจิ้งจอกเก้าหางตัวนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นมา และบอกว่าเขาคือซื่อมัว
เขารู้จักวิชาอ่านใจ ทั้งยังรู้ว่าเจ้าจิ้งจอกนี่พูดแต่ความจริง
“ตอนนั้นเจ้าเหวี่ยงข้าลงไปในวงล้อวัฏสงสาร ทำให้ข้าต้องสูญเสียความทรงจำ และร่างที่แท้จริง ต้องเป็นชายแต่งหญิงอยู่ในต้าโจวหลายต่อหลายปี รับความทุกข์ยากมากมาย ต่อให้เจ้ากลายเป็นขี้เถ้า ข้าก็ยังจดจำเจ้าได้”
ซูเยาเอ่ยอย่างมั่นใจ ตอนที่เกิดระเบิดครั้งใหญ่ที่ก้นทะเลนั้น ความทรงจำทั้งหมดของเขาก็ฟื้นคืนมา พร้อมกับความความจำเรื่องชาติที่แล้วด้วย
หลังจากนั้น ก็มีคนในตระกูลซูมาตามหาเขา พาเขากลับไปยังสถานที่ที่ควรจะอยู่
แต่ตลอดระยะเวลาครึ่งปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยหยุดตามหาอาหลันเลย
และในที่สุด ก็ตามหานางจนเจอแล้ว
แต่ว่าเขาก็ไม่กล้าไปเจอกับนางโดยง่าย ….ตัวเขาในตอนนี้ กลายเป็นปีศาจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไปแล้ว
และนางก็คือยอดปรามาจารย์คุณไสยที่ปราบปรามเหล่าภูติผีปีศาจ เขาและนางยืนอยู่กันคนละขั้วแต่แรกแล้ว
สิ่งที่เขาสามารถทำได้เพื่อนาง ก็คือนำผู้คนที่นางให้ความสำคัญกลับคืนสู่ข้างกายของนาง
ถึงแม้ว่า เขาจะเกลียดเจ้าคนผู้นี้อย่างที่สุด
แต่ว่าของเพียงเป็นสิ่งที่อาหลันชอบ สำหรับเขาแล้ว ก็มีแต่จะสนับสนุนเท่านั้น
พี่สาวเคยหัวเราะเยาะเขา ว่าเขามันชอบเป็นตัวสำรอง
แต่ว่าตัวสำรองก็มีข้อดีของตัวสำรองมิใช่หรือ?
การรักชอบคนผู้หนึ่ง ก็คือการมีนางอยู่ในหัวใจ เมื่อได้เห็นนางมีความสุข ตนเองก็พลอยมีความสุขไปด้วย
เขาไม่เคยคิดจะบีบบังคับแย่งชิงมาก่อนเลย
พอท่านเจ้าสำนักได้ยินคำพูดของเขา สมองก็ครุ่นคิดทบทวนดูอยู่ครู่หนึ่ง แต่ว่าก็ไม่มีภาพใดที่เกี่ยวข้องกัน
พอศิษย์น้อยไม่อยู่ข้างกาย สมองของเขาก็เหมือนจะแจ่มใสขึ้นมามาก
ความเจ็บปวดก็เบาลงไปไม่น้อย
เห็นเขาไม่พูดอะไร ซูเยาก็วางบุปผาวิญญาณลงไปบนโต๊ะเตี้ย “ดอกไม้ดอกนี้มอบให้อาหลัน อย่าได้บอกนางว่าข้าหมอบให้”
ท่านเจ้าสำนัก “ตัวสำรองคืออะไร?”
ซูเยา “! ! !”
เขาอยากจะต่อยกับคนผู้นี้จริงๆ
เจ้ามัน…เจ้าแอบอ่านใจของผู้อื่นได้ก็แล้วไปเถอะ แต่ว่าอย่าได้สาดเกลือลงมาในปากแผลของผู้อื่นได้หรือไม่ นี่มันเท่ากับการเหยียบย่ำจิตใจของผู้อื่นชัดๆ
ตัวสำรองก็คือ คนที่ข้ารัก นางไม่ได้รักข้า แต่ข้าก็ยังยินดีจะเฝ้ารอเฝ้าปกป้องทนุถนอม เป็นสุนัขต่ำต้อยที่เชื่อฟัง พอใจแล้วหรือไม่?
พอได้รับคำตอบจากความในใจของเขา ท่านเจ้าสำนักก็ถามกลับไปอีกว่า “แล้วศิษย์น้อยชมชอบผู้ใดกัน? ซื่อมั่ว จีเฉวียน หรือว่าตัวข้า?”
…………………
[1] 青丘 ชิงชิว :ชื่อดินแดนในแผนที่ของเผ่นดินจีนยุคโบราณ ปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตซานตงของจีน ได้ชื่อว่ามีอากาศอบอุ่นตลอดทั้งปี (มีแต่ฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง)
[2] 涂山หุบเขาถูซาน:หุบเขาโบราณที่ถูกอ้างอิงอยู่ในแผ่นที่โบราณของจีน มีข้อมูลหลายสาย เช่น ตั้งอยู่ในอันหุยเป็นที่อยู่ของชนกลุ่มน้อยเผ่าจิง ซึ่งเป็นชมกลุ่มน้อยที่อพยพมาจากตอนบนของเวียดนามอีกที หรือหุบเขาในเจียงหนาน, เจ๋อเจียงและฉงชิ่ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น