หมอดูยอดอัจฉริยะ 584-585
ตอนที่ 584 เสร็จพิธี
โดย
Ink Stone_Fantasy
แน่นอนว่าการมาถึงของซ่งเฮ่าเทียนจะถูกสมาชิกในตระกูลเยี่ยออกอาการเมินเฉยใส่ นอกจากเยี่ยตงผิงแล้ว พี่น้องสามสาวตระกูลเยี่ยไม่มีใครลุกขึ้นต้อนรับเลย
สองตระกูลที่ไม่เคยไปหามาสู่กันตลอดกว่าครึ่งศตรวรรษ แม้ว่าตระกูลซ่งจะลงโฆษณาขอขมาทางหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งในฮ่องกงแล้ว แต่ปมในใจมันไม่อาจคลี่คลายได้ง่ายๆ
“เยี่ยเทียน ฉันขอมอบขอขวัญให้แก ขอให้แกกับชิงหย่ารักกันตลอดไป จนถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร!”
สำหรับปฏิกิริยาของคนตระกูลซ่งที่มีต่อเขานั้น ซ่งเฮ่าเทียนได้เตรียมใจเอาไว้แล้ว บุตรสาวทั้งสองของเขานั่งลงขนาบข้างบิดา เขาหยิบเอากล่องผ้ากำมะหยี่ที่ฝากไว้กับซ่งอิงหลันออกมา
“ขอบพระคุณครับ!”
เยี่ยเทียนยื่นมือออกไปรับไว้อย่างไม่เกรงใจ แต่ในใจลึกๆแอบตำหนิซ่งเฮ่าเทียน ที่ซ่งเฮ่าเทียนเป็นคนมียศมีตำแหน่ง ทำไมให้ของขวัญแค่ภาพวาดชิ้นหนึ่งเท่านั้น
“เยี่ยเทียน ห้ามเสียมารยาทนะ เปิดของขวัญออกดูสิ”
เห็นท่าทางไม่สนใจของบุตรชายแล้ว เยี่ยตงผิงอดเอ็ดเบาๆไม่ได้ แม้ว่าเขาเองจะไม่ค่อยพอใจคนตระกูลซ่ง แต่วันนี้เป็นวันแต่งงานของลูกชาย จะทำให้เสียพิธีไม่ได้
เยี่ยตงผิงมีความสงสัยอยู่ในใจว่า ภาพวาด “นกเป็ดน้ำเคียงคู่ในบึงบัว” ของฉีไป๋สือที่จั่วเจียจวิ้นมอบให้นั้น ไม่ทราบว่าตอนนี้ซ่งเฮ่าเทียนจะมอบภาพวาดอะไรให้อีก
“ครับ ถ้างั้นก็ดูเสียหน่อย”
เยี่ยเทียนฟังคำเตือนของบิดาแล้วก็คว้ากล่องนั้นกลับมาจากมือลูกศิษย์ของเขา ความจริงแล้วเยี่ยเทียนไม่ได้มีความสนใจในภาพวาดโบราณพวกนี้ แต่ถ้าเป็นภาพดันหลังของหนานไหวจิ่นยังพอว่าไปอย่าง
“รักกันตลอดไป อืม ขอบคุณท่านมาก ความหมายดีจริง!”
พอเปิดกล่องออกดู ในนั้นมีม้วนกระดาษอยู่ม้วนหนึ่ง เป็นกระดาษภาพอักษรขนาดกว้างสามสิบเซนติเมตร ยาวประมาณหนึ่งเมตร บนนั้นเขียนว่า “รักกันตลอดไป”
จากการพิจารณาดูด้วยสายตาของเยี่ยเทียน อักษรสี่คำนี้นอกจากผู้เขียนจะมีน้ำหนักมือหนักแน่น ตอนที่ลงพู่กันได้กดฝีแปรงจนหมึกซึมลงในเนื้อกระดาษ จนทุกเส้นเท่ากันหมด อย่างน้อยถ้าเยี่ยเทียนเขียนเอง น้ำหนักมือของเขาน่าจะยังหนักแน่นมากกว่า
ประโยค “รักกันตลอดไป” นี้ ด้านข้างมีตัวอักษรเล็กๆอยู่อีก เยี่ยเทียนคิดว่าเป็นแค่คำอวยพรที่ซ่งเฮ่าเทียนเขียนขึ้นเองกับมือเพื่ออวยพรให้เขากับอวี๋ชิงหย่า
“นี่…นี่ใครเป็นคนเขียน?” เยี่ยเทียนไม่ได้สนใจตัวอักษรตัวเล็กพวกนั้น ในใจยังนึกตำหนิซ่งเฮ่าเทียน แต่ก็ไม่ได้เห็นเป็นเรื่องสำคัญอะไรมาก
ตอนที่เยี่ยเทียนคลี่กระดาษแผ่นนี้ออกนั้น สายตาของจู้เหวยเฟิงมองเห็นบางสิ่งจนตาเบิ่งค้าง สบถลมหายใจออกมาครั้งหนึ่ง
“คนนั้น? ใครเหรอ?”
เยี่ยเทียนได้ยินก็ชะงักไปครู่หนึ่ง คล้ายกับว่าตนเองพลาดอะไรบางอย่างไป? รีบมองดูทางส่วนท้ายของอักษรภาพ แล้วก็เห็นตัวอักษรสามตัวที่ทำให้เขาขมวดคิ้วมองแล้วสะดุ้ง
แม้จะเป็นชื่อสามพยางค์ แต่การที่ชื่อนี้ได้อยู่บนอักษรภาพชิ้นนี้ มีคุณค่ายิ่งกว่าอำนาจบารมีของซ่งเฮ่าเทียนเสียอีก
ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของปี 90 นามนี้เป็นตัวแทนแห่งผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ก้าวไกลที่สุดคนหนึ่งของประเทศจีน อีกทั้งในสองปีถัดมา เขาก็เป็นผู้นำที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติ
แม้แต่เยี่ยเทียนที่มีจิตใจหนักแน่น พอได้เห็นชื่อๆนี้ยังอดหวั่นไหวไม่ได้ ถ้าเทียบกับยุคโบราณ ภาพอักษรนี้เปรียบเสมือนภาพอักษรที่ฮ่องเต้พระราชทาน เปรียบได้กับของอาญาสิทธิ์ที่ละเว้นโทษตายได้
“ท่านผู้เฒ่า ท่านมีน้ำใจมากจริง” เยี่ยเทียนค่อยๆม้วนเก็บภาพขึ้นแล้วพยักหน้าขอบคุณซ่งเฮ่าเทียนอย่างหนักแน่น
แม้เขาจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับเจตนาในการมองภาพอักษรนี้ให้เยี่ยเทียน แต่ซ่งเฮ่าเทียนสามารถขอให้คนผู้นั้นเขียนอักษรภาพนี้ให้ตนเพื่อเป็นของขวัญวันแต่งงานแล้ว เขาก็รู้สึกสำนึกบุญคุณคนผู้นั้นมาก
“แกนิสัยซุกซน ทั้งยังมีวิชาอาคมแปลกประหลาดออีก ต่อไปวันหน้าอาจจะได้ใช้” ซ่งเฮ่าเทียนเห็นท่าทางเยี่ยเทียนที่เข้าใจความหมายของตนแล้ว ก็ยิ้มอย่างอุ่นใจ
ถ้าหลายปีมานี้ไม่ได้ซ่งเฮ่าเทียนคอยช่วยเหลือสนับสนุนคนๆนั้น หรือแม้แต่นายทหารในกองทัพเขาคนหนึ่ง ที่พอเกษียณปลดประจำการออกมาแล้วตอนนี้ ยังไม่อาจทำให้ท่านผู้นั้นเขียนภาพอักษรมอบเป็นของขวัญได้
ซ่งเฮ่าเทียนรู้ดีว่าเยี่ยเทียนเป็นคนใจกล้าไม่กลัวฟ้าดิน ไม่แน่ว่าอาจจะมีวันหนึ่งที่กระทำล่วงเกินไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเข้า จึงออกหน้าขอให้ท่านผู้นั้นเขียนภาพอักษรให้ เพื่อถือเป็นยันต์คุ้มภัยให้เยี่ยเทียน
“เด็กน้อย เป็นลายมือของท่านXXX”
“ของขวัญชิ้นนี้ล้ำค่าเกินไป ล้ำค่ามากจริงๆ!”
เหล่าหวา ของขวัญของพวกเรามันดูด้อยค่าไปหน่อยหรือเปล่า?”
ชื่อของบุคคลสำคัญบนอักษรภาพแพร่สะพัดไปทั้งเรือนสี่ประสาน ตอนแรกบรรยากาศในงานยังคงคึกคักกลับเงียบสงบลงฉับพลัน คนอื่นๆต่างซุบซิบวิจารณ์กันไปต่างๆนานา
แขกที่มาร่วมงานนั้นถึงจะเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา แต่ก็มีฐานะเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีกันเสียมาก นามของท่านผู้มีอำนาจท่านนี้ทำให้พวกเขาต่างต้องหยุดชะงัก
แม้แต่สามสาวตระกูลเยี่ย พอเห็นภาพอักษรนี้แล้วความรู้สึกที่มีต่อซ่งเฮ่าเทียนได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราะว่าการให้ของขวัญแบบนี้ แม้แต่คนในตระกูลซ่งเองยังไม่เคยมีใครได้รับ
“เยี่ยเทียน คุณตาให้เกียรตินายมากเลย” อวี๋ชิงหย่ามองดูเยี่ยเทียนม้วนเก็บภาพวาดขึ้น ก็อดกระซิบบอกที่หูของสามีไม่ได้
“อะไรกัน นี่ยังเขียนสวยสู้ฉันไม่ได้เลย”
เยี่ยเทียนเบ้ปาก เก็บเอาภาพอักษรลงกล่องแล้วส่งให้โจวเซี่ยวเทียน ว่ากันตามจริงแล้ว อำนาจอิทธิพลสำหรับเยี่ยเทียนแล้วเปรียบเหมือนเมฆหมอกที่ลอยผ่านตาไปเท่านั้น
“เด็กบ้านี่ พูดไม่เข้าหูเอาเสียเลย”
ซ่งเฮ่าเทียนอุตส่าห์ไปขอร้องท่านผู้นั้นให้เขียนภาพอักษรนี้ให้ คาดไม่ถึงว่าจะถูกเยี่ยเทียนวิจารณ์ขนาดนี้ ซ่งเฮ่าเทียนถึงกับเส้นเลือดเขียวปูดขึ้นที่ขมับด้วยความขุ่นเคือง ยังดีที่เยี่ยเทียนพูดเสียงเบาๆ ไม่อย่างนั้นถ้าได้ยินไปถึงหูท่านผู้นั้นแล้วไม่รู้ว่าท่านจะมองว่าอย่างไร
“น้องเหวินซวนเยี่ยเทียนนิสัยเหมือนฉัน สิ่งของในโลกนั้นเป็นของนอกกาย อย่าไปถือสาเขาเลย”
โก่วซินเจียเห็นสีหน้าซ่งเฮ่าเทียนแล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้ เขาเองพอใจกับการแสดงออกของเยี่ยเทียน ถ้าหากไม่สามารถมองข้ามสิ่งของมีค่า อำนาจเงินทองไปได้ ชีวิตนี้เยี่ยเทียนจะไม่มีทางบรรลุธรรมขั้นสูงสุด
“ครับ พี่หยวนหยาง เป็นผมที่ไม่ดีเอง”
ซ่งเฮ่าเทียนได้ฟังคำของโก่วซินเจียแล้วอดกลั้นไว้ในใจ เขาเพิ่งนึกได้ถึงสถานะอีกอย่างของเยี่ยเทียนคือ เป็นคนในสำนักวิชาที่ไม่ค่อยเชื่อฟังคำสั่งสอนธรรมดาทั่วไป แล้วจะเห็นพวกเขาอยู่ในสายตาที่ไหน?
“ได้ฤกษ์แล้ว เชิญเจ้าบ่าวเจ้าสาวก้าวออกมา….”
ถึงเวลาตามฤกษ์แล้ว พิธีกรของงานในวันนี้อย่างเว่ยหงจวินก็ตะโกนออกมา เพียงแต่การมาถึงของซ่งเฮ่าเทียนก็ทำให้เขารู้สึกประหม่า เสียงจึงฟังดูแปร่งหูไปเล็กน้อย
“วันนี้เป็นพิธีมงคลสมรสของคุณเยี่ยเทียนและคุณอวี๋ชิงหย่า พวกเรามาร่วมกันอวยพรให้พวกเขา รักกันมั่นคง ตราบชั่วฟ้าดินสลาย เจ้าบ่าวเจ้าสาวไหว้ฟ้าดิน!”
เว่ยหงจวินเพื่องานในวันนี้ เขาท่องบทพูดอยู่หลายวัน จึงกล่าวออกมาได้คล่องแคล่วไม่ติดขัด
“คำนับฟ้าดินสิ่งศักดิ์สิทธิ์สลักชื่อคู่รักไว้บนศิลาสามภพ คำนับหนึ่ง!
คำนับสุริยันจันทราผู้หล่อเลี้ยงสรรพชีวิตบนโลก คำนับสอง!
คำนับฤดูทั้งสี่ผู้มอบลมฝนและอาหารอันอุดม คำนับสาม!”
เยี่ยเทียนและอวี๋ชิงหย่าไหว้ฟ้าดินเสร็จ เว่ยหงจวินประกาศต่อว่า “โบราณกล่าวไว้สายธารต้องมีต้นน้ำ ต้นไม้ต้องมีรากใหญ่ การสมรสจะลืมบุญคุณของบิดามารดาไม่ได้ ต่อไปคำนับบุพการี!
คำนับบิดามารดาที่ผู้ให้กำเนิด คำนับหนึ่ง!
คำนับพ่อแม่ที่อบรมสั่งสอน คำนับสอง!
บ่าวสาวคารวะน้ำชา คำนับสาม!”
พิธีคารวะบุพการีจบลงแล้ว โจวเซี่ยวเทียนถือเอาถาดน้ำชาเข้ามา ในถาดมีถ้วยชาสี่ใบ คือให้เยี่ยเทียนและอวี๋ชิงหย่ายกน้ำชาให้พ่อแม่ของทั้งสอง
“พ่อ เชิญดื่มชา!”
เยี่ยเทียนสองมือประคองถ้วยชาส่งให้ผู้เป็นบิดา พ่อลูกคู่นี้พึ่งพาอาศัยกันมาตลอดยี่สิบกว่าปี ตอนนี้เห็นบิดาเริ่มมีผมขาวที่จอนทั้งสองข้าง เยี่ยเทียนรู้สึกเหมือนมีก้อนจุกขึ้นมาในลำคอ
“ลูกรัก ลูกเป็นลูกที่พ่อภูมิใจ!”
เยี่ยตงผิงที่ปกติชอบทำท่าข่มขู่ใช้อำนาจกับเยี่ยเทียน ตอนนี้เห็นบุตรชายเติบใหญ่เป็นฝังเป็นฝาแล้ว คิดว่าหลายปีที่ทนลำบากมานี้ไม่เสียเปล่าเลย เยี่ยตงผิงพยักหน้ารับถ้วยน้ำชา หยาดน้ำตาที่กลั้นไม่อยู่กลิ้งไหลลงไปผสมอยู่กับน้ำชาในถ้วย
“คุณ…คุณ….”
ตอนที่เยี่ยเทียนยกน้ำชาให้มารดานั้น คำพูดติดอยู่ที่ปากไม่กล้าพูดออกไป มองดูแววตาของมารดาแล้ว เยี่ยเทียนสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเปล่งเสียงออกมาเต็มปากเต็มคำว่า “แม่ เชิญดื่มชา!”
“จ้ะ แม่….แม่ดื่ม!”
ความรู้สึกของผู้หญิงนั้นไม่อาจปิดบังได้ ซ่งเวยหลันรอคอยคำนี้มาตลอดยี่สิบกว่าปี ได้ยินบุตรชายเรียกแม่ออกมาได้ น้ำตาไหลเป็นสายไม่ขาด ตื้นตันใจจนร้องไห้ออกมา
ณ ตอนนี้ ซ่งเวยหลันไม่ใช่นักธุรกิจหญิงแกร่งอีกต่อไป เธอเป็นเพียงแม่คนหนึ่งที่สมหวังดั่งใจเมื่อได้รู้ว่าบุตรชายยอมรับเธอเป็นแม่แล้ว
“แม่ เชิญดื่มชาค่ะ!”
อวี๋ชิงหย่ายกถ้วยน้ำชาให้ซ่งเวยหลันเช่นเดียวกัน ทำให้ความตื่นตันใจของซ่งเวยหลันสงบลงเล็กน้อย เธอรีบรับคำแล้วหยิบเอากล่องเครื่องประดับบนโต๊ะขึ้นมา พูดว่า “ชิงหย่า นี่เป็นของขวัญจากพ่อกับแม่”
ในกล่องเครื่องประดับนั้นเป็นชุดสร้อยเพชรชุดหนึ่งที่ซ่งเวยหลันไปจ้างให้ช่างเจียระไนเพชรฝีมือระดับโลกเป็นผู้รังสรรค์ผลงานให้
เพชรแต่ละเม็ดบนเครื่องประดับชุดนี้ถูกเจียระไนกว่าร้อยเหลี่ยมอย่างประณีต แสงที่สะท้อนจากน้ำเพชรทั้งเจิดจรัสวับแวม แม้แต่ต่างหูเพชรที่ดูเล็กที่สุดนั้นก็เช่นเดียวกัน
เพื่อเครื่องประดับชุดนี้แล้ว ซ่งเวยหลันจ่ายเงินไปทั้งหมดสามร้อยกว่าล้านดอลล่าร์ ที่ได้ราคาเพชรเท่านั้น ยังไม่รวมค่าจ้างช่างเจียระไน ซึ่งถ้ารวมแล้วราคาสูงเกินสามร้อยห้าสิบล้านดอลล่าร์
“ขอบคุณค่ะแม่” อวี๋ชิงหย่ารับกล่องเครื่องประดับไปอย่างว่าง่าย จากนั้นเยี่ยเทียนกับเธอก็หันไปคารวะพ่อแม่ของเธอเอง
เยี่ยเทียนเริ่มมีประสบการณ์การเรียกแม่แล้ว ครั้งต่อมาจึงไม่เคอะเขิน ทำเอาแม่ยายยิ้มไม่หุบ อวี๋เฮ่าหรานเองก็พึงพอใจในตัวลูกเขยคนนี้มาก แอบดีใจที่ไม่ได้ขัดขวางความรักของสองคนนี้ในตอนแรก
กราบไหว้บุพการีเรียบร้อยแล้ว เยี่ยเทียนได้อัญเชิญภาพของอาจารย์หลี่ซั่นหยวนออกมาด้วย เขากับอวี๋ชิงหย่าก้มลงกราบรูปของอาจารย์สามครั้ง
สำหรับเยี่ยเทียนแล้ว ผู้ให้กำเนิดคือบิดามารดา แต่ผู้ที่สั่งสอนสรรพสิทธิ์วิทยาคืออาจารย์คนนี้
การกระทำของเยี่ยเทียนเทียนทำให้ทั้งโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นน้ำตาคลอ ทำให้ทั้งสองคิดถึงเรื่องราวในอดีตของตนกับอาจารย์
กราบไหว้อาจารย์แล้ว ถือเป็นอันเสร็จพิธี เยี่ยเทียนนำกำไลสองวงสวมเข้าที่ข้อมือของอวี๋ชิงหย่า
กำไลวงหนึ่งเป็นหยกมรกตจักรพรรดิ อีกวงเป็นหยกสีแดงเลือดมังกรเนื้อดี กำไลคู่นี้พออยู่บนข้อมือขาวนวลของอวี๋ชิงหย่าแล้ว ยิ่งดูโดดเด่นสวยงามดึงดูดสายตา
ตอนที่ 585 ส่งตัวเข้าเรือนหอ
โดย
Ink Stone_Fantasy
มีซ่งเฮ่าเทียนอยู่ บรรยากาศในงานดูกดดันเล็กน้อย แขกที่มาร่วมงานแต่ละคนระวังตัวไม่ให้ชายชราผู้มีอำนาจเกิดความตะขิดตะขวงใจ
ดีที่หลังจากเยี่ยเทียนดื่มคารวะจบแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนก็เดินทางกลับ เพียงครู่เดียวทุกคนก็คึกคักขึ้น บรรยากาศกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง จนถึงบ่ายสี่โมงเย็นแขกก็ค่อยๆทยอยกลับกัน
เยี่ยเทียนกับอวี๋ชิงหย่ายืนส่งแขกอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ แต่วันนี้ผู้ที่มางานมีแต่มิตรสหายที่สนิทคุ้นเคยซึ่งส่วนใหญ่จะพักที่บ้านทั้งสองหลังของเยี่ยเทียน จึงมีแต่พวกชิวเหวินตงเท่านั้นที่กลับไป
“นี่ ประธานจู้ คุณกลับดีๆนะครับ ผมให้เซี่ยวเทียนไปส่งดีไหม?”
เมื่อครู่เพิ่งส่งเหวินหลวนสงกับหวาเซิ่งออกไป เยี่ยเทียนหันกลับมาเห็นจู้เหวยเฟิงที่ดื่มหนักจนหน้าแดงก่ำ
ไม่รู้ว่าวันนี้จู้เหวยเฟิงคิดอย่างไร บังคับให้เยี่ยเทียนดื่มกับเขาติดต่อกันสามแก้ว สุราครึ่งค่อนกิโลกรัมเต็มๆ แต่เขาคอไม่แข็งเท่าเยี่ยเทียน ตอนนี้เดินโซซัดโซเซแล้ว
“ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นไร น้องเยี่ย ข้างนอกมีคนมารับฉันอยู่!”
จู้เหวยเฟิงพูดอ้อแอ้เสียงดัง “น้องเยี่ย รถคันนั้นมีป้ายทะเบียนเรียบร้อยแล้ว เลขทะเบียนสามตัวหลังเป็นแปด ฉันให้คนเอามาจอดไว้ที่หน้าบ้านใหม่ของนายแล้วนะ เดี๋ยวนายขับกลับไปได้เลย”
“ครับ ถ้างั้นขอบคุณประธานจู้มาก”
เยี่ยเทียนหันกลับไปดูทีหนึ่ง ตอนแรกจะให้โจวเซี่ยวเทียนพาจู้เหวยเฟิงออกไปรอที่ตรอก แต่ไม่รู้ตอนนี้โจวเซี่ยวเทียนไปดูแลใครที่ไหนแล้ว ได้แต่มองดูคุณชายจู้เดินเซไปเซมาจากไป แล้วตัวเองก็เดินกลับเข้าบ้าน
จู้เหวยเฟิงถูกลมหนาวพัดกระทบใบหน้า ก็สูดปากด้วยความหนาว หดคอกลับเข้าไปในเสื้อ ทำให้สร่างเมาไปได้บ้าง
จู้เหวยเฟิงหันหน้ากลับมามองดูเยี่ยเทียนอีกครั้ง เอ่ยด้วยความกังขาว่า “น้อง…น้องเยี่ย มีเรื่องหนึ่งไม่รู้ว่านายสนใจไหม?”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ตอบว่า “ประธานจู้ ถ้าเป็นเรื่องค่ายมวยใต้ดินนั่น ไม่ต้องพูดหรอก ผมไม่ค่อยสนใจธุรกิจพวกนี้เท่าไหร่”
“ไม่ใช่เรื่องนั้น…” จู้เหวยเฟิงใช้ความพยายามในการส่ายศีรษะเพื่อดึงสติกลับคืนมา
“เรื่องเป็นอย่างนี้ น้องเยี่ย ประมาณเดือนมีนาคมถึงเมษายน ที่อเมริการมีการจัดงานมวยใต้ดินระดับโลก
ถึงตอนนั้นจะมีการเชิญนักมวยใต้ดินจากนานาประเทศเข้าร่วม ยังมีการแข่งขันชิงแชมป์ ฉัน….ฉันอยากจะถามนายว่าพอจะมีเวลาว่างไหม สนใจจะไปเที่ยวอเมริกากับฉันไหม?”
จู้เหวยเฟิงเกรงว่าเยี่ยเทียนจะเข้าใจผิด พอพูดจบก็รีบอธิบายต่อ “น้องเยี่ย ฉันไม่ได้จะให้นายไปเข้าร่วมการแข่งขันนะ นายถือว่าไปเที่ยวก็แล้วกัน เรื่องระหว่างการเดินทางฉันจัดการให้เอง จะพาน้องสะใภ้ไปด้วยก็ยังได้”
ตอนแรกที่ได้รับเชิญไปร่วมงานแข่งมวยใต้ดินที่อเมริกานั้น จู้เหวยเฟิงเคยคิดจะให้เยี่ยเทียนไปลงแข่ง แต่วันนี้เห็นท่าทีของชายชราประมุขแห่งตระกูลซ่งแล้ว เขารีบดับความคิดนั้นไปแทบไม่ทัน
การให้ของขวัญเป็นอักษรภาพของซ่งเฮ่าเทียนนั้น เป็นการส่งสัญญาณถึงผู้มีอิทธิพลในประเทศว่าถ้าใครกล้ามายุ่งกับเยี่ยเทียน ต้องคิดดูดีๆว่าตนสามารถรับมือกับไฟแห่งโทสะของซ่งเฮ่าเทียนและผู้มีอำนาจท่านนั้นได้หรือไม่
หรือจะกล่าวได้อีกอย่างว่า ตอนนี้เยี่ยเทียนนั้นสูงส่งมาก เกรงว่าถ้าเขาได้ไปเยือนพื้นที่ระดับมณฑลอื่น ยังจะต้องมีคนแอบจับตามอง ถ้าเยี่ยเทียนเกิดเรื่องในพื้นที่เหล่านั้น พวกเขาต้องหนีไม่พ้นเรื่องเดือดร้อนแน่
ดังนั้นความคิดของจู้เหวยเฟิงไม่มีทางได้นำเสนอออกมา อย่าว่าแต่เขาเลย ถึงเป็นผู้ใหญ่ในครอบครัวก็คงไม่มีใครกล้าเชิญเยี่ยเทียนไปต่อยมวยใต้ดิน
“งานประชุมมวยใต้ดินระดับโลก?”
ได้ยินคำชวนของจู้เหวยเฟิงแล้ว เยี่ยเทียนยังไม่ได้ปฏิเสธในทันที หยุดคิดทบทวนครู่หนึ่งแล้วถามต่อว่า “คนที่ฝีมืออย่างอันเดรวิช อยู่ในวงการมวยใต้ดินระดับโลกนี่ เป็นอันดับที่เท่าไหร่?”
วิชามวยจีนแม้จะยอดเยี่ยมเหนือชั้น แต่ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างค่อยเป็นค่อยไป ถ้าอยากจะฝึกกังฟูให้ดี เวลาแค่แปดปีสิบปีนั้นยังไม่พอจะไปต่อกรกับใครได้
แต่ถ้ารอจนฝึกสำเร็จนั้นคงต้องรอถึงอายุเท่าโก่วซินเจียแล้ว ดังนั้น ตามความเป็นจริง วิชายุทธที่สืบทอดกันมานั้นยังสู้เทคนิคการต่อสู้ของต่างชาติไม่ได้
นี่ยังเป็นวิชาการต่อสู้ของจีนที่ผ่านการกำจัดจุดด้อยและเลือกแต่จุดเด่นมาแล้ว จากนั้นนำไปผสมผสานกับเทคนิคการต่อสู้ของต่างชาติแล้ว ออกแบบเป็นเทคนิคการต่อสู้แบบประชิดตัว อย่างเช่นพวกทหารยศพันโทที่คุ้มกันซ่งเฮ่าเทียบกลุ่มนั้น ก็เป็นยอดฝีมือด้านนี้เช่นกัน
ด้วยฝีมือของอันเดรวิชที่เป็นผู้แตกฉานด้านมวยใต้ดินนั้นเทียบเท่าหรืออาจจะดีกว่าผู้เยี่ยมยุทธในประเทศจีนเสียอีก
แม้ว่ามันจะเป็นการใช้พลังงานชีวิตเข้าแลก แต่การบีบคั้นพลังมหาศาลออกมาเพียงในช่วงเวลาสั้นๆนั้นทำให้เยี่ยเทียนประหลาดใจ เยี่ยเทียนรู้ดีว่าในสนามมวยใต้ดินนานาชาตินั้นอาจจะปรากฎยอดฝีมือที่เทียบเท่าผู้ฝึกวิชาจนบรรลุขั้นสูงสุดก็เป็นได้
“อันเดรวิชติดอันดับนักมวยใต้ดินระดับโลกเมื่อปีที่แล้ว อยู่อันดับที่สิบสอง แต่เขาได้พ่ายแพ้ครั้งหนึ่งในประเทศจีนแล้วก็ตกอันดับไปอยู่ที่ยี่สิบกว่า”
ในวงการมวยใต้ดินนานาชาติทุกปีจะใช้ระบบคำนวณคะแนนตามความสามารถในการต่อสู้ของนักมวยแต่ละคนเทียบกับคู่ต่อสู้เพื่อจัดอันดับยอดฝีมือออกมา ซึ่งเป็นวิธีการที่ได้รับการยอมรับกันในวงการ
แต่บนโลกมีตั้งสองร้อยกว่าประเทศ ค่ายมวยใต้ดินมีนับไม่ถ้วน หากอยากจะเข้าติดอันดับใดอันดับหนึ่งในนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ยกตัวอย่างที่ประเทศจีน แม้ว่าในยุคแห่งการใช้อาวุธนั้นเป็นประเทศที่มีการใช้อาวุธและการต่อสู้ที่รุ่งเรืองที่สุด แต่ตอนนี้นักมวยในค่ายมวยใต้ดินของจู้เหวยเฟิง กลับไม่มีสักคนที่ติดอันดับหนึ่งในร้อย
เป็นเพราะมวยใต้ดินไม่ได้รุ่งเรืองในประเทศจีน แต่ถ้ามองอีกแง่มุมหนึ่ง มวยจีนดั้งเดิมก็ไม่ได้อยู่ในมวยใต้ดินนานาชาติเช่นกัน
“อันเดรวิชอยู่อันดับที่สิบสองเองหรือ?”
พอฟังจู้เหวยเฟิงจบ เยี่ยเทียนกระดกลิ้น ถามต่อว่า “คุณเคยบอกว่าอันเดรวิชเคยได้แชมป์ที่อเมริกาติดต่อกันสิบสองสมัยไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงอยู่อันดับล่างขนาดนี้?”
เยี่ยเทียนไม่ค่อยจะเชื่อคำพูดของจู้เหวยเฟิงนัก
ตอนนั้นหากเยี่ยเทียนไม่ได้ใช้พลังเชิญดวงจิตเพื่อส่งพลังให้หูหงเต๋อยืนหยัดสู้ต่อ หูหงเต๋ออาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอันเดรวิชก็เป็นได้
อยู่อันดับที่สิบสองฝีมือยังร้ายกาจขนาดนี้ แล้วยอดฝีมืออีกสิบคนที่อันดับสูงขึ้นไป ตนกับศิษย์พี่ทั้งสองจะต้านทานไหวหรือ คิดถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนส่ายหัว
“ไม่ใช่อย่างนั้น มวยใต้ดินของต่างประเทศไม่เหมือนของที่นี่”
จู้เหวยเฟิงเห็นว่าเยี่ยเทียนไม่เข้าใจกฎของมวยใต้ดินนัก จึงอธิบายต่อว่า “น้องเยี่ย ทั้งอเมริกามีค่ายมวยใต้ดินตั้งร้อยกว่าแห่ง อันเดรวิชเป็นเพียงแชมป์ของเมืองๆหนึ่งเท่านั้น ยังมีบางคนที่เป็นแชมป์ของเมืองตัวเองและเมืองอื่นใกล้เคียงด้วย!”
“นั่นทำให้ผมอยากจะรอดูต่อไป…..”
ผู้ที่ฝึกวิชาการต่อสู้นั้นมักมีความต้องการจะประลองฝีมือกับคนอื่นอยู่ในสายเลือด ตั้งแต่เยี่ยเทียนออกจากลัทธิเต๋าตอนอายุสิบกว่าขวบ นอกจากตอนที่พ่ายแพ้ให้กับอาจารย์ของเฝิงเหิงหยู่เพียงครั้งเดียว เขาก็ไม่เคยพ่ายแพ้ให้ใครอีกเลยจนโตป่านนี้
ดังนั้นเมื่อได้ฟังที่จู้เหวยเฟิงเล่าแล้ว เขาเกิดความคิดอยู่ในใจ ถึงแม้ไม่ได้ลงสนามแข่งจริง แต่ถ้าได้ไปดูการแข่งขันสักครั้งหาประสบการณ์ก็ดีเหมือนกัน
“เยี่ยเทียน นายทำอะไรอยู่น่ะ? แม่เรียกนายแหนะ!”
ระหว่างที่ใช้ความคิดมีเสียงชิงหย่าลอยมาจากในบ้าน หันกลับไปเห็นภรรยายืนอยู่หน้าประตูบ้านกวักมือเรียกเขา รีบตอบจู้เหวยเฟิงว่า “ประธานจู้ เรื่องนี้ขอผมคิดดูก่อน ถ้าอยากจะไปจริงๆ ผมค่อยโทรศัพท์ติดต่อคุณ”
จู้เหวยเฟิงหัวเราะเสียงดัง “ได้สิ น้องเยี่ย ฉันแค่เอ่ยปากชวนไปเรื่อย นายจะไปหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับนาย ความสุขในชีวิตมันสั้นนะ นายต้องรีบเข้าหน่อย!”
“นายนี่ ทุกคนกำลังรอนายอยู่นะ มายืนคุยอยู่ตรงนี้เสียนานเชียว” อวี๋ชิงหย่ามองดูเยี่ยเทียนเดินกลับเข้ามาก็อดบ่นไม่ได้
“อิอิ เมื่อกี้ฉันได้ยินมีคนเรียกแม่ได้คุ้นปากกว่าที่ฉันเรียกเสียอีก?” เยี่ยเทียนยิ้มขบขันเอ่ยต่อว่า “เพราะของขวัญที่แม่ให้มันแพงมากใช่ไหมเลยซื้อเธอไปได้แล้ว?”
เครื่องประดับชุดที่ซ่งเวยหลันมอบให้นั้น ในพิธีไม่เหมาะจะเปิดออกดู อวี๋ชิงหย่าจึงค่อยนำออกมาใส่ในภายหลัง แสงเพชรส่องประกายล้อแสงวิบวับ ดูงดงามที่สุด
“นายนี่ พูดอะไรก็ไม่รู้ ไม่คุยด้วยแล้ว” อวี๋ชิงหย่าถูกเยี่ยเทียนแหย่จนโมโหเดินกระทืบเท้ากลับเข้าบ้านไป
แขกกลับกันไปเกือบหมดแล้ว ตอนนี้เหลือแต่คนในบ้าน งานเลี้ยงสุรามื้อค่ำยิ่งครึกครื้นกว่าตอนเที่ยงเสียอีก เยี่ยเทียนถูกพวกลูกพี่ลูกน้องรั้งไว้มอมเหล้า
เห็นคนหนุ่มสาวสนุกสนานกัน คนสูงวัยอย่างพวกโก่วซินเจียจึงรื่นเริงตามไปด้วย ดื่มสุรากันอย่างเมามัน จนเวลาล่วงไปเกือบเที่ยงคืนที่พระจันทร์ลอยสูงสุดฟ้า เสียงครึกครื้นในบ้านจึงค่อยๆสงบลง
ตามประเพณีแล้วห้องหอของเยี่ยเทียนกับอวี๋ชิงหย่าต้องอยู่บ้านเก่าร้อยปีตระกูลเยี่ย หลังจากส่งพวกศิษย์พี่ที่เมาแอ๋กลับไปพักผ่อนกันแล้ว เยี่ยเทียนกับอวี๋ชิงหย่าก็เข้าห้องหอ
“ดูนายสิ กลิ่นเหล้าหึ่งไปทั้งตัวเลย เหม็นจะตาย!”
อวี๋ชิงหย่าประคองเยี่ยเทียนที่เมามายโซเซเข้าห้องไป อดไม่ได้ใช้มือโบกไล่กลิ่นเหล้าใกล้จมูก เธอไม่ชอบกลิ่นสุราคละคลุ้งเช่นนี้
หลังจากดื่มเหล้ามื้อค่ำไป เยี่ยเทียนไม่ได้เดินลมปราณขับฤทธิ์สุรา หัวสมองมึนงง จ้องดูอวี๋ชิงหย่าที่สวมชุดแต่งงานสีแดง ดูอ้อนแอ้นสวยงามด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ก็แค่กลิ่นเหล้าเอง? เธอรอฉันเดี๋ยวหนึ่ง!”
เยี่ยเทียนยังพอมีสติอยู่บ้าง ได้ยินคำติเตียนของชิงหย่าแล้วรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไป ไม่ถึงห้านาทีฤทธิ์เหล้าก็ถูกขับออกจากร่างกายจนหมด แล้วอาบน้ำร้อนตาม
“เมียจ๋า วันนี้เธอยอมให้ฉันแล้วใช่ไหมจ้ะ?”
มองดูชิงหย่าที่นั่งอยู่ บนโต๊ะด้านข้างมีเทียนคู่สีแดงอันใหญ่ แสงเทียนช่วยขับส่องให้ดวงหน้าเจ้าสาวหวานละมุน เยี่ยเทียนทนไม่ไหวแล้ว พุ่งตัวเข้าไปกอดอวี๋ชิงหย่าเอาไว้ สะบัดมือเบาๆเพียงครั้งเดียวทั้งห้องมืดลงทันใด
“อยู่ตรงไหน? ทำไมใส่ไม่เข้าล่ะ?”
“เบาๆ หน่อยสิ….”
“ข้างล่าง ลงไปอีกหน่อย”
“โอ๊ย เจ็บ!”
เสียงเสื้อผ้าสวบสาบในความมืด บทสนทนาของคู่สามีภรรยาที่เข้าหอคืนแรก หลังจากนั้นเจ็ดแปดนาที เสียงครางด้วยความเจ็บปวดจากลำคอ ถูกเปลี่ยนเป็นเสียงลมหายใจหนักๆที่สอดประสานกัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น