ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 583-584
ตอนที่ 583 จี จี...
คำพูดนี้เดิมทีฟังดูแล้วเจ็บช้ำ แต่ว่ายามที่ออกมาจากปากของตู๋กูซิงหลัน กลับฟังดูแง่งอนเหมือนกับว่าเป็นเรื่องตลก
แม้ว่าจะดื่มไปถึงครึ่งไหแล้ว แต่ว่าท่านเจ้าสำนักก็ยังคงนั่งหลังตั้งตรงได้อยู่
“หากเจ้าคิดว่าอาจารย์คือจีเฉวียน ก็ถือว่าใช่ก็แล้วกัน”
แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่มั่นใจ บางทีเขาอาจจะเป็นคนผู้นั้นจริงๆก็เป็นได้?
แต่ไหนแต่ไร กับคำถามที่ว่า ‘ตนเองคือใครกันแน่’ท่านเจ้าสำนักก็ยังไม่เคยมีความคิดเฉพาะเจาะจงลงไปสักที
ในเมื่อสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะแย่งชิงหรือวอนขอมาได้ เช่นนั้นก็ตามน้ำไปก็แล้วกัน
“อย่างมาก อาจารย์ก็เปลี่ยนแซ่ เรียกว่า จีต้าฉุยก็แล้วกัน”
จี! ต้า! ฉุย! (อกใหญ่ ฆ้อนยักษ์)
ไม่ใช่ว่าตู๋กูซิงหลันขี้ขลาดตาขาว แต่ว่าหลายตัวอักษรนี้หากเอามาพูดทีละคำ ฟังดูแล้วน่าอายขนาดไหนรู้หรือไม่?
หากว่าอยู่ในโลกยุคปัจจุบัน เกิดวันไหนไม่ทันระวัง ถูกคนเรียกไปท้าดวลกันขึ้นมา
เจ้าก็ไปประกาศต่อหน้าเขาโต้งๆว่า เจ้าคือ จีต้าฉุย อย่างงี้นะหรือ?
น่าอายโคตร!
ตู๋กูซิงหลันพิจารณาตนเองอยู่ในใจเงียบๆ นางช่างเป็นมารร้ายจริงๆ เรื่องเช่นนี้ ก็ยังคิดออกมาได้หรือ?
ในขณะที่ใบหน้าของนางใกล้จะเป็นตะคริวไปแล้ว ท่านเจ้าสำนักก็เอ่ยออกมาอย่างปลอบโยนคำหนึ่งว่า “ชื่อเสียงเรียงนามก็แค่คำเรียกขาน ฟังฟังไปก็คุ้นกันไปเอง”
“จีจีฉุย ต้าฉุยจี จีฉุยฉุย ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ขอเพียงแค่เจ้าชอบ จะเรียกอย่างไรก็ย่อมได้”
ตู๋กูซิงหลันอยากจะขอร้องให้เขาหุบปากเถอะ!
รู้แล้วว่าจีจี (อก)ของเจ้ามันต้า (ใหญ่) พอใจแล้วไหม?
“อ๋อ เจ้าจะเรียกข้าว่าอาจารย์จีจีต้าก็ได้นะ”
ตู๋กูซิงหลันแทบจะกระโดดออกมาแล้ว นางยื่นมือไปปิดปากของเขาเอาไว้ ปิดจนแน่นสนิท
นางยังเหลือบมองออกไปรอบด้าน จนแน่ใจว่าไม่มีใครแอบฟัง ถึงได้ถอนหายใจออกมา
มือที่ปิดปากของเขาเอาไว้ ถึงได้คลายออก
นางชักจะสงสัยแล้วว่า เจ้าตัวร้ายผู้นี้มีวิชาอ่านใจผู้คนใช่หรือไม่ โดยเฉพาะสามารถอ่านใจของนางได้
“อาจารย์มีพรสวรรค์สามารถอ่านใจของผู้อื่นได้อยู่แล้ว”
เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยใช้กับนางมาก่อนเท่านั้นเอง แต่ว่าคืนนี้ไม่เหมือนกัน เขาหอบสุราและเนื้อมาเพื่อจะพูดคุยเรื่องในใจกับศิษย์น้อย ย้อมต้องอยากจะรู้ความในใจและความคิดที่แท้จริงของนาง
ตู๋กูซิงหลัน “ ! ! !”
ตอนนี้นางไม่กล้าคิดอะไรเหลวไหลเลอะเทอะอีกแล้ว
เมื่อมีคนที่มีความสามารถเช่นนี้อยู่ด้วย ทำเอาผู้อื่นปวดตับจริงๆ
ที่ผ่านมาในชีวิตของนางก็เคยเจอคนประหลาดที่สามารถอ่านใจของผู้อื่นได้อยู่เหมือนกัน คนผู้นั้นก็คืออาจารย์ของนางซื่อมั่ว
ตอนเป็นเด็ก ความในใจของนางมักจะถูกอาจารย์แอบฟังอยู่เสมอ และเพราะว่านางมักจะแอบกลั่นแกล้งอาจารย์อยู่บ่อยๆ จึงไม่แคล้วถูกอาจารย์ ‘ซ้อมมือ’ อยู่เสมอ
ดังนั้นพอพูดถึงเรื่องการอ่านใจขึ้นมา นางก็ลนลานไปหมดแล้ว
“ที่แท้อาจารย์เก่าของเจ้าก็รู้จักการอ่านใจผู้คนด้วยหรือ….”ท่านเจ้าสำนักแอบอ่านใจของนางต่อไป
ประกายในดวงตาของเขาหลุบลงไปเล็กน้อย
ดูท่าอาจารย์คนเก่าของนางคงจะแข็งแกร่งหน้าดู….หากว่าวันหนึ่งพวกเขาบังเอิญได้พบกัน ก็ไม่รู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ?
“พี่ชาย พวกเรามาพูดจากันดีๆไม่ได้หรือ? หากจะคุยก็คุยกัน ช่วยปิดความสามารถเหนือมนุษย์ของเจ้าทิ้งไปก่อนได้ไหม?”
ตอนนี้ข้าเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว คนเหมือนถูกจับตามองดูอยู่ตลอดเวลา ความรู้สึกเช่นนี้ มันไม่ดีเอาเสียเลยจริงๆ
“ในเมื่อศิษย์น้อยไม่ชอบ เช่นนั้นก็ไม่ใช้แล้วกัน” ท่านเจ้าสำนักทำตัวพูดง่าย กับศิษย์น้อยแล้ว จะขออะไรก็ได้ทั้งนั้น
พอเขาพูดจบ ตู๋กูซิงหลันก็แอบด่าบรรพชนทั้งสิบแปดรุ่นของเขาอยู่นใจ
พอเห็นว่าสีหน้าของท่านเจ้าสำนักไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นางถึงได้รู้สึกวางใจ
จากนั้นนางก็เริ่มด่าทอเขาอยู่ในใจอีกชุดใหญ่ คำพูดในใจพวยพุ่งออกมาอย่างพรั่งพรู
ที่จริงท่านเจ้าสำนักยังไม่ทันจะได้ปิดการรับรู้ใดเลยทั้งสิ้น อยู่ๆก็ต้องถูกศิษย์น้อยด่าอยู่ในใจชุดใหญ่ แต่ว่าเขาก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อไป
ถูกศิษย์น้อยด่าไปสักหลายประโยค ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร
ขอแค่นางสบายใจก็พอ
ยามปกติศิษย์น้อยจะพูดจาไพเราะอยู่เสมอ คิดไม่ถึงว่าตอนด่าไปถึงบรรพชนจะจัดมาเป็นร้อยคำ ไม่รู้ว่า ‘ผรุสวาจา’ เหล่านี้นางไปเรียนรู้มาจาผู้ใด
เชิงสุราของท่านเจ้าสำนักมิได้สูงส่งสักเท่าใด ดื่มหมดไปไหหนึ่ง ใบหน้าก็แดงก่ำแล้ว ร่างของเขาทาบอยู่บนโต๊ะครึ่งหนึ่ง ในดวงตาหงส์มีประกายทุกข์ใจ
“ศิษย์น้อย หากว่าวันหนึ่งอาจารย์ไม่ใช่คนที่เจ้าตามหา แล้วเจ้าจะยัง…”
พูดยังไม่ทันจบเขาก็หลับไปเสียแล้ว
จอกสุราในมือถูกพลิกคว่ำ จนน้ำสุราหกออกมา ปลายนิ้วเรียวยาวจุ่มลงไปในสุรา เส้นผมยาวสลวยหล่นลงมา แถบผ้าผูกผมสีม่วงบนศีรษะดูโดดเด่นอยู่ใต้แสงเทียน
ตู๋กูซิงหลันลุกขึ้นมา มองดูเขาที่เมามายอยู่บนโต๊ะจนหลับไปแล้ว ดวงตาหงส์ปิดลงไป หางตาคล้ายจะมีหยาดน้ำตาอยู่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤิทธิ์สุรา หรือว่าเหตุผลใดกัน
แต่นางก็ยังคงเดินไปที่ข้างกายเขา ยื่นมือขึ้นมาแกะเสื้อคลุมบนร่างออก คลุมลงไปให้เขา
สายลมยามค่ำ หนาวอย่างยิ่ง
ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง มองดูดอกไห่ถางที่ปลิวอยู่ในอากาศด้วยความใจลอยอยู่บ้าง
ในห้องของนาง บุปผาวิญญาณที่อยู่ตรงหมอนหนุนเริ่มมีความเคลื่อนไหว เปล่งแสงออกมาจางๆ ขณะที่ตู๋กูซิงหลันยังไม่ทันได้สังเกต ศิลาโลหิตในกระถางดอกไม้ที่อยู่ในถุงเฉียนคุนก็มีความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
“น้องเล็ก!” ในตอนนั้นเอง ก็เห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งพุ่งเข้ามา เหาะลงมาที่หน้าต่างของนางอย่างช้าๆ
เป็นหนุ่มน้อยในชุดดำตลอดร่าง บนศีรษะยังมีกลีบดอกไม้อยู่หลายกลีบ
ตู๋กูซิงหลันตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยพลิกตัวข้ามหน้าต่างออกไป
พี่รองกับท่านเจ้าสำนักไม่ค่อยถูกกัน ท่านเจ้าสำนักแม้ว่าเชิงสุราจะไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ว่าอย่างไรก็เป็นผู้แข็งแกร่ง อาจจะตื่นขึ้นมาได้ทุกเมื่อ
ดังนั้นนางสมควรออกไปพูดคุยกับพี่รองที่ด้านนอก
ขณะเดียวกันก็ถือโอกาสปิดหน้าต่างไปเสียด้วยเลย
ตู๋กูเจวี๋ยเองก็เข้าใจดี พอคว้ามือของนางได้ คนก็พุ่งเข้าไปในพุ่มอันหนาทึบของต้นไห่ถาง
ทั้งยังสร้างเขตอาคมขึ้นมาครอบคลุมเอาไว้
“น้องเล็ก วันนี้เจ้าทำให้พี่รองต้องตกใจจนแทบกระโดดแล้ว” ยามกลางวันมีผู้คนมากมาย เขาจึงไม่มีโอกาสได้พูดกับน้องเล็กเลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้จึงอยากจะรู้ความเป็นมาเป็นไปจนทนไม่ไหว
ตู๋กูซิงหลันก็รู้จักนิสัยของเขาดี ว่าจะอย่างไรต้องซักไซร้ให้ถึงที่สุดให้จงได้
จึงได้เป็นฝ่ายเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดออกมารอบหนึ่ง
ทำเอาสีหน้าของตู๋กูเจวี๋ยถึงกับมีแต่ความตกตะลึง “พวกเราเป็นหลานๆของเขาจริงๆ?”
เขาไม่อาจจะยอมรับความจริงข้อนี้ได้จริงๆ เพราะว่าท่านตาเป็นผู้ที่เลี้ยงดูพวกเขามาตั้งแต่เล็กจนโต
ท่านแม่จากไปแต่เนิ่นๆ ท่านพ่อเจ้ามังกรที่ไม่ค่อยจะได้เรื่องผู้นั้นก็หายสาบสูญไป ในใจของตู๋กูเจวี๋ย ท่านตาจึงเป็นบุคคลที่เขาเคารพและรักมากที่สุด
อยู่ๆตอนนี้ก็จะมาบอกว่า ท่านตาที่แท้จริงของพวกเขาเป็นคนอื่นน่ะหรือ?
“สรุปแล้วเรื่องราวก็เป็นเช่นนี้ พี่รอง ข้าอยากเห็นจิตวิญญาณที่แตกร้าวของชือหลีสักหน่อย”
ตู๋กูซิงหลันมิได้บอกความจริงกับเขา เพราะเกรงว่าเขาจะร้อนรนกระวนกระวายจนทำเสียเรื่อง
นางอยากจะพบกับชือหลีมาตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่สบโอกาส
ตู๋กูเจวี๋ยรู้ว่านางหาเรื่องเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เขาก็ไม่ได้เปิดโปงนาง เพียงเอ่ยว่า “มิว่าจะอย่างไร ท่านตาที่บ้านตระกูลตู๋กูก็เป็นญาติสนิทที่สุดของพวกเรา พี่รองหวังว่าน้องเล็กจะไม่ลืมข้อนี้”
ตู๋กูซิงหลันไม่ได้เถียงเขา ท่านตาที่บ้านตระกูลตู๋กู นางยกเอาไว้อยู่ในใจ ให้ทั้งความเคารพและรักใคร่อยู่แล้ว
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น ตู๋กูเจวี๋ยก็นำกระถางติ่งใบหนึ่งออกมา
ในกระถางติ่งมีกลิ่นเลือด ทั้งยังมีอะไรวิบๆวับๆเคลื่อนไหวอยู่
พอตู๋กูซิงหลันกวาดตาลงไป ก็มองเห็นแสงสว่างที่ระยิบระยับอยู่ในกระถางติ่งใบนั้น
ตอนที่ 584 ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้น
ภายใต้ประกายแสงอ่อนจาง เห็นงูเขียวน้อยตัวหนึ่งกำลังหลับใหล ข้างกายงูเขียวน้อยยังมีดาบกระดูกมังกรสีทองเล่มหนึ่ง ดาบเล่มนั้นเคลื่อนไหวอยู่รอบกายของงูน้อยตลอดเวลา แต่กลับไร้หนทางจะผสานเป็นหนึ่งเดียวกับงูน้อย
ดาบเล่มนี้ตู๋กูซิงหลันจำได้ดี มันคือกระดูกมังกรของชือหลีที่เจ้ามังกรตะวันตกลู่กว่างดึงออกมาจากกระดูกหลังของนางเพื่อสร้างเป็นดาบให้กับบุตรสาวของเขาลู่เวย
มันสมควรจะเป็นของชือหลีแต่แรกแล้ว
ตู๋กูซิงหลันมองเพียงแวบเดียวก็ดูออกแล้วว่าปัญหาอยู่ที่ใด เนื่องเพราะชือหลีดวงจิตแตกสลาย ไม่อาจรองรับพลังของกระดูกมังกร ดังนั้นทั้งสองจึงไม่อาจผสานเป็นหนึ่งเดียว
ตู๋กูเจวี๋ยประคองกระถางใบนั้นเอาไว้ด้วยความระมัดระวัง พลางหลุบตาลงมองดูงูน้อยที่นอนหลับสนิท
“เดิมทีแม้แต่ร่างงูน้อยนี้ก็ไม่อาจคงสภาพเอาไว้ได้แล้ว …. หากไม่ได้เข้ามาอยู่ในซิวหลัวเตี้ยน เกรงว่าจิตวิญญาณของนางคงสูญสลายไปตั้งแต่แรกแล้ว”
แม้แต่ร่างงูน้อยร่างนี้ เขาก็ต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อมากมาย
ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้วแน่น นางไม่อยากเห็นพี่รองที่เป็นเช่นนี้เลย ช่างทำให้ผู้คนเจ็บปวดใจ
“คาถาหลอมรวมวิญญาณนั้น คือความลับของซิวหลัวเตี้ยนหรือ?”
“มีแต่ฟ่านอิงผู้เดียวที่รู้วิธีนี้?”
คำถามของตู๋กูซิงหลัน ถึงกับซักเอาตู๋กูเจวี๋ยต้องตอบความจริงออกมาแล้ว
พักใหญ่ ตู๋กูเจวี๋ยถึงได้ส่ายศีรษะเบาๆ “ก่อนที่จะถึงวันนี้ ข้าไม่เคยเจอกับเขามาก่อนเลย”
“ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ในสำนักล้วนมีต้าซือมิ่งเป็นผู้รับผิดชอบ”
ตู๋กูเจวี๋ยเองก็ชอบที่จะพูดออกมาให้ชัดเจน “คาถาหลอมวิญญาณนี้ ก็เป็นต้าซือมิ่งมอบให้มา”
ได้ฟังผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้ตู๋กูซิงหลันออกจะแปลกใจอยู่บ้าง ชือหลีจะอย่างไรก็เป็นถึงเทพธิดาบนพิภพ ส่วนต้าซือมิ่งผู้นั้น ดูอย่างไรก็ยังไม่ถึงขึ้นเป็นเซียนเสียด้วยซ้ำ แล้วทำไมเขาถึงสามารถใช้คาถาหลอมวิญญาณได้กัน?
ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้ตอนที่ได้พบกับเขาที่สำนักหยินหยางเป็นครั้งแรก ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง
ความรู้สึกไม่ชอบมาพากลเช่นนั้น ยังรุนแรงกว่าความรู้สึกที่ออกมาจากร่างของฟ่านอิงเสียอีก
เพียงแต่เพราะได้พบกันช่วงเวลาสั้นๆ จึงบอกไม่ถูกว่าไม่ดีในที่ใด
อีกเรื่องที่ตู๋กูเจวี๋ยยังไม่ได้บอกนางก็คือ พิษนั่นเป็นต้าซือมิ่งปลูกลงไปในร่างของเขา
“พี่รอง ต่อไป ท่านอยู่ให้ห่างๆจากต้าซือมิ่งผู้นั้นหน่อย”
ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยขึ้นมาว่า “เรื่องที่จะช่วยชือหลี นับข้าเข้าไปด้วยอีกคนหนึ่ง ไม่ต้องให้ท่านแบกเอาไว้เพียงผู้เดียว”
นี่มันชัดเจนเลยว่า ต้าซือมิ่งเพียงต้องการให้พี่รองขายชีวิตให้ และบางทีอาจจะไม่ได้คิดจะช่วยเขาฟื้นคืนชีพให้กับชือหลีเลยเสียด้วยซ้ำ
…………..
ในจุดที่ไม่ไกลออกไป เงาร่างๆหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไห่ถาง ดวงตาคู่นั้นคอยจดจ้องมองอยู่ตลอดเวลา
ตลอดร่างของเขามีเขตอาคมชั้นหนึ่งครอบคลุมอยู่ เมื่ออยู่ในเขตอาคม สามารถปิดกลั้นกลิ่นอายทั้งหมดในร่างกายได้ช่วงสั้นๆ ทำให้ผู้อื่นไม่รู้สึกถึงการคงอยู่ของตนเอง
นอกเสียจากว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งระดับเทียมฟ้า มิเช่นนั้นก็ไม่มีทางจะพบเห็นเขาได้อย่างเด็ดขาด
ตอนนี้ เขาจับตาดูคนสองคนนี้มาพักใหญ่แล้ว
แม้ว่าเพราะเขตอาคมของตู๋กูเจวี๋ย จะทำให้ฟังไม่ได้ยินว่าทั้งสองคนกำลังพูดอะไรกัน แต่ว่าเมื่อมองดูท่าทางที่สนิทสนมกันอย่างใกล้ชิดเช่นนั้น ก็รู้แล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
นัยตาของเขาทอประกายวาววาบ
…………..
บนหอชมจันทร์ เพราะการปะทะกันในวันนั้น ตอนนี้จึงมีสภาพที่เละเทะจนดูไม่ได้แล้ว
ฟ่านอิงนั่งอยู่ด้านใน ส่วนต้าซือมิ่งรอรายงานเขาอยู่ที่ด้านนอกตรงประตู
เมื่อได้ยินเสียงอนุญาตจากฟ่านอิงแล้ว เขาจึงได้เดินเข้าไป
พอเห็นหมอกสีดำพวยพุ่งอยู่รอบกายของเขา ต้าซือมิ่งก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงตรงหน้า
“ท่านเจ้าตำหนัก ที่ผู้น้อยมาในคืนนี้ เพราะมีเรื่องคิดรายงาน”
ฟ่านอิงยังคงนั่งเฉยต่อไป ครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยขึ้นมา “พูดมา”
“ฮ่องเต้หญิงน้อยแห่งแผ่นดินโบราณนั่น จิตใจล้ำลึก ไม่อาจเชื่อถือได้” ต้าซือมิ่งเปิดประเด็นในทันที “ขอท่านเจ้าตำหนักอย่าได้ถูกนางล่อลวง”
ฟ่านอิงไม่สนใจเขา แต่ว่าหมอกสีดำรอบกายยิ่งเข้มข้นขึ้นมาอีกหลายส่วน
“ผู้น้อยเห็นมากับตา ว่านางกับทูตลับของซิวหลัวเตี้ยนเรามีการติดต่อกันอย่างใกล้ชิด ไม่รู้ว่ากำลังวางแผนการใดอยู่ สตรีผู้นี้พฤติการไม่ธรรมดา ทั้งอดีตฮ่องเต้แคว้นโจวและฮ่องเต้จีเฉวียนแห่งต้าโจวต่างก็ถูกนางทำร้ายจนตาย ตอนนี้นางคิดจะเข้าใกล้ท่านเจ้าตำหนัก….”
เขาพูดยังไม่ทันจบคำ ก็เห็นว่าหมอกสีดำบนร่างฟ่านอิงพวยพุ่งออกมา ราวกับธารน้ำ รายล้อมเขาเอาไว้ราวกับกำลังจะกลืนกินลงไป
คำพูดที่มาถึงลำคอของต้าซือมิ่ง จึงค้างอยู่เพียงเท่านั้น ไม่ได้เอ่ยออกมาอีก
“ข้าเคยพูดเอาไว้แต่แรกแล้วว่า หลันหลันคือหลานสาวของข้า อย่าได้แตะต้องนาง ต้าซือมิ่งลืมการสั่งสอนเมื่อกลางวันไปแล้วใช่หรือไม่?”
ร่างในหมอกสีดำขยับเข้ามา ราวกับว่าจะทำให้ผู้คนกลายเป็นแท่งน้ำแข็งได้ในชั่วพริบตา
ต้าซือมิ่งได้แต่ปลุกพลังวิญญาณขึ้นมาต้านทานความเย็นยะเยือกที่ถาโถมเข้ามา
เขายืนขึ้น ตัวตั้งตรงดุจพู่กัน ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปที่ฟ่านอิงอย่างเอาจริงเอาจัง
ขณะที่เอ่ยออกไปอย่างไม่เร็วไม่ช้าว่า “ตอนนั้น องค์หญิงเย่วทรงหลงเชื่อผู้อื่นโดยง่าย จึงทำให้แคว้นกู่เย่วถูกต้าโจวทำลาย กลายเป็นความโศกเศร้าชั่วกาลนาน”
“แล้วตอนนี้ ท่านเจ้าตำหนักก็คิดจะเอาอย่างองค์หญิงเย่ว ปล่อยให้ซิวหลัวเตี้ยนถูกทำลายกระนั้นหรือ?”
ต้าซือมิ่งเอ่ยอย่างสะเทือนใจ “วันนี้ต่อให้ท่านเจ้าสำนักจะฆ่าผู้น้อย คำพูดนี้จะอย่างไรข้าก็ต้องพูดออกมา!”
“ฮ่องเต้หญิงน้อยผู้นั้นสนิทสนมใกล้ชิดกับเจ้าสำนักหยินหยาง พวกเขาทำลายวังตันติ่งกงไปแล้ว หัวใจที่ทะเยอทะยานก็ยิ่งแผ่กว้าง ขอเพียงใช้สมองตรองดูสักหน่อยก็จะรู้แล้วว่า เป้าหมายในตอนนี้ของพวกเขา ก็คือทำลายซิวหลัวเตี้ยน ครอบครองดินแดนจิ่วโจว!”
การที่ฟ่านอิงปล่อยให้เขาได้เอ่ยวาจาเหล่านี้ออกมาก็ต้องถือว่าให้ความเมตตามากแล้ว
ทันทีที่ต้าซือมิ่งพูดจบ ใบหน้าที่อัปลักษณ์จนน่าเกลียดน่ากลัวของฟ่านอิงก็ยิ่งบิดเบี้ยวไปกว่าเดิม
เรื่องของแคว้กู่เย่วในตอนนั้น เขายิ่งไม่ต้องการจะย้อนคิดกลับไปแม้แต่น้อย ตอนนี้พอถูกคนกระตุ้นขึ้นมา ก็เหมือนกับว่าฉีกกระชากบาดแผลที่ยังไม่หายดีออกมาอีกครั้ง แล้วโรยเกลือลงไปบนปากแผลที่เลือดไหลนองนั่น
ความเจ็บปวดนั้นเสียดแทงเข้าไปในหัวใจ
จนมือของเขาถึงกับสั่นสะท้าน
“ท่านเจ้า ที่ผ่านมาท่านสุขุม กระทำเรื่องใดล้วนเด็ดขาด แล้ววันนี้จะมายอมตกอยู่ในมือของนางมารน้อยได้อย่างไร?”
“หุบปาก นางไม่ใช่นางมาร นางคือคุณหนูใหญ่ของซิวหลัวเตี้ยนเรา”
ถึงอย่างไรฟ่านอิงก็มิใช่คนที่ถูกยั่วยุได้ง่ายๆ
ดวงตาของเขาปูดโปนไปด้วยเส้นเลือด หากมองทะลุหมอกดำเข้ามาเห็น เป็นต้องขนลุกทั่วทั้งร่าง
“ต้าซือมิ่ง คำพูดเหล่านี้อย่าให้ข้าต้องมาได้ยินอีกเป็นครั้งที่สอง หากยังกล้าก้าวล่วง โทษคือตายสถานเดียว”
ว่าแล้ว ก็เอ่ยออกไปอย่างเด็ดขาดว่า “ไสหัวไป”
หัวคิ้วของต้าซือมิ่งถึงกับขมวดจนกลายเป็นปมแล้ว
สายตาของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชา ขณะที่ฟ่านอิงหันกลับไป ก็ไม่รู้ว่าเขาไปเอาความกล้ามาจากที่ใด อยู่ๆก็หัวเราะออกมา “ท่านเจ้า หรือว่าท่านจะลืมไปแล้ว ว่าตนเอง ‘กลับมาเกิดใหม่’ ได้อย่างไร แล้วทำไมถึงได้กลายเป็นเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยน?”
ฝีเท้าของฟ่านอิงหยุดชะงัก เขาไม่ได้หันกลับมา แต่ว่าในสมองพลันปรากฏเงาร่างของคนผู้หนึ่ง
“ทุกสิ่งที่ท่านมีอยู่ในครอบครองตอนนี้ ล้วนเป็นท่านผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นมอบให้ หากจะพูดให้ดูดี ท่านก็คือเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยน แต่หากพูดให้ไม่น่าฟัง ท่านก็เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดตัวหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งวันนี้ยังกล้าทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา คิดหรือว่าท่านผู้นั้นจะยอมปล่อยท่านไปง่ายๆ?”
เห็นฟ่านอิงหยุดลง ต้าซือมิ่งก็หัวเราะด้วยแววตาเย็นชา
“เป็นเช่นนี้แล้ว ท่านยังคิดจะปกป้องนางมารน้อยนั่นอยู่อีกหรือ?”
ฟ่านอิงเงียบงันไปชั่วขณะหนึ่ง ในที่สุดค่อยเอ่ยปากขึ้นมา ทั้งยังกวาดตาไปทางเขาแวบหนึ่ง “เจ้ากำลังข่มขู่ข้าอยู่หรือ?”
ต้าซือมิ่งรีบยกมือขึ้นมาคำนับเขาครั้งหนึ่ง “ผู้น้อยมิกล้า เพียงแต่ท่านเจ้ามิใช่เจ้านายที่แท้จริงของผู้น้อย ทุกสิ่งที่ผู้น้อยได้ทำลงไป ก็เพื่อให้เป็นไปตามความประสงค์ของท่านผู้นั้นก็เท่านั้นเอง แม้แต่ท่านเจ้าตำหนัก ก็ต้องฟังคำบัญชาของท่านผู้นั้น เช่นกันมิใช่หรือ?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น