หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 580-585
บทที่ 580 ผอมลง!
แม้จะผ่านไปครบชั่วสิบลมหายใจ กำปั้นบนฟ้าก็ยังมีพลังกล้าแกร่งดั่งทัณฑ์สวรรค์แฝงอยู่ ผืนดินสั่นไหวปรากฏรอยร้าว ภูผารอบๆ สั่นคลอน ผู้ชมรอบๆ รีบหนีไปด้วยความตื่นตกใจ เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าที่จับตาดูต่างเป็นกังวลใจหนัก
แต่พวกเขาก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ศึกระหว่างหวังเป่าเล่อและตู้กูหลินได้มาถึงจุดที่เหนือกว่าขั้นกำเนิดแก่นใน เทียบเคียงได้กับขั้นจุติวิญญาณหากไม่นับเคล็ดวิชาที่ใช้
“แพ้แล้วหรือ…” ทุกคนที่จับตาดูการต่อสู้อยู่ตะลึงงันไป หวังเป่าเล่อนอนมองกำปั้นยักษ์ร่วงลงมาจากฟากฟ้าอยู่ท่ามกลางกองหิน เขาผุดยิ้มขมขื่นขึ้น แต่ในตายังแฝงไปด้วยจิตวิญญาณนักสู้!
ยังเหลืออีกอย่างที่ข้ายังไม่ได้ใช้! หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว แม่นางน้อยยังไม่ได้ปริปากพูดอะไรตลอดการต่อสู้ แต่เขาก็รู้ว่านางไม่ได้หลับ แต่กำลังเฝ้าดูศึกครั้งนี้อยู่!
ไพ่ตายที่เหลืออยู่ไม่ใช่แม่นางน้อย แต่เป็นฝักกระบี่ที่อยู่ภายใน!
ฝักกระบี่เป็นสมบัติเวทชิ้นแรกที่หวังเป่าเล่อหลอมขึ้น แม่นางน้อยบอกว่ามันเป็นสมบัติเวทภายในกายที่สามารถจัดการได้ทุกสิ่ง จากการหล่อเลี้ยงมาตลอด นอกจากจะใช้ปล่อยยุงแล้วก็ดูจะไม่ได้มีประโยชน์อื่นอีก
หวังเป่าเล่อไม่เคยคิดจะใช้สมบัติชิ้นนี้มาก่อน แต่ตอนนี้…เสียงเย็นเยียบได้สว่างวาบขึ้นในตาของเขา ทันใดที่หมัดสี่อสูรพุ่งเข้ามาใกล้ ดอกบัวสีเขียวในกายหวังเป่าเล่อก็สั่นไหวรุนแรง พยายามฟื้นฟูร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บหนัก แม้พลังกดดันของตู้กูหลินจะส่งผลให้การฟื้นฟูเป็นไปได้ช้าและไม่สมบูรณ์ แต่ก็เพียงพอให้ชายหนุ่มสามสารถปลดปล่อยการโจมตีที่ไม่เคยใช้มาก่อนได้!
ทันใดนั้น จิตวิญญาณนักสู้ก็ลุกโชติช่วงขึ้นในดวงใจ เขาร้องตะโกน หน้าผากผุดเส้นเลือดปูดโปนขณะกระแทกมือซ้ายลงกับเศษหินส่งตัวเองลอยขึ้นไปกลางอากาศ ชายหนุ่มไม่คิดหนี แต่พุ่งทะยานไปประจันหน้ากับหมัดสี่อสูร!
ภาพเบื้องหน้าทำให้บรรดาผู้ชมตื่นตะลึง พวกเขามองดูหวังเป่าเล่อพุ่งไปหาหมัดสี่อสูรซึ่งๆ หน้า!
ขณะที่ทุกคนจับจ้องไปทางหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมองหมัดสี่อสูรที่ห่างออกไปไม่ถึงสามสิบเมตร ก่อนจะเอื้อมมือขึ้นมาจับตรงหน้าอก!
ทันใดนั้น หน้าอกของเขาก็ส่องแสงสว่างจ้า ก่อนจะเผยให้เห็นปลายฝักกระบี่ หวังเป่าเล่อกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดขณะดึงเอาฝักกระบี่ออกมาจากร่าง!
ฝักกระบี่ดูเก่าแก่ มีลักษณะไม่เหมือนของในอารยธรรมนี้ ทันใดที่ฝักกระบี่โผล่พ้นร่าง ฟากฟ้าก็เปลี่ยนสี ลมพัดกระหน่ำพัดเมฆหมอกปั่นป่วน ผืนดินสนามทดสอบสั่นไหว วัตถุชิ้นนี้เป็นเพียงสมบัติเวทระดับหก ไม่ใช่อาวุธเวท แต่กลับสร้างผลกระทบกับทั้งกระบี่สำริดเขียวโบราณเมื่อปรากฏ พลังมหาศาลพวยพุ่งออกมาจากฝักกระบี่ของหวังเป่าเล่อ แผ่กระจายไปทั่วสนามทดสอบ!
ชายหนุ่มรู้สึกว่ามีคมกระบี่ที่มองไม่เห็นในฝักกระบี่ แม้จะอยากดึงออกมา แต่ก็ดูเหมือนจะขาดอะไรไป!
ขาดไปเพียงแค่นิดเดียว!
หวังเป่าเล่อไม่มีเวลามัวมานึกเสียใจและครุ่นคิดอะไรมาก เขาเลิกล้มความคิดที่จะดึงกระบี่ออกจากฝัก แต่ใช้ฝักกระบี่ต่างกระบี่ ฟาดฟันใส่หมัดสี่อสูรที่พุ่งตรงมา!
ทันใดนั้น ทุกสิ่งก็ดับแสงไปหมด ตอนแรกยังมีแสงส่องประกายบนฟากฟ้ายามราตรี แต่ตอนนี้แสงสว่าทั้งหมดดับหายไป ราวกับว่าการฟาดกระบี่ลงจะเป็นการดูดแสงทั้งหมด บนท้องฟ้าเหลือเพียงฝักกระบี่ที่ฟาดปะทะกับหมัดสี่อสูร!
เสียงระเบิดราวกับโลกาได้เปล่งเสียงคำรามด้วยความโกรธดังก้องไปทั่วสนามรบพร้อมกับคลื่นพลังรุนแรงที่แผ่วงกว้างไปทั่วทุกทิศ หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม กระอักเลือดสดออกจากปาก ร่างของเขาร่วงลงพื้นจากแรงกดดันของหมัดสี่อสูร แต่มือยังจับฝักกระบี่เอาไว้แน่น พยายามต้านทานแรงปะทะสุดกำลัง!
หมัดสี่อสูรอันทรงพลังไม่ได้ถูกทะลายทิ้งจากฝักกระบี่ที่ฟาดฟันมา แต่ก็พลันสั่นไหวอย่างรุนแรงเมื่อไม่สามารถล้มหวังเป่าเล่อลงได้!
ฝักกระบี่ได้ต้านพลังหมัดไว้!
เหมือนว่าฝักกระบี่ได้เพิ่มพูนพลังให้หวังเป่าเล่อทำให้ชายหนุ่มสามารถต้านทานพลังหมัดสี่อสูรเอาไว้ได้ มองจากไกลๆ จะเห็นเป็นภาพอันน่าพรั่นพรึง กำปั้นยักษ์ห่างจากพื้นเพียงแค่เพียงนิดเดียว ใต้กำปั้นยักษ์เป็นหวังเป่าเล่อที่ถือฝักกระบี่ต้านกำปั้นไม่ให้พุ่งเข้าใส่ตนเอง!
ชายหนุ่มเป็นดั่งหินแข็งที่เข้าขัดวงล้อแห่งโชคชะตาไม่ให้หมุนทำลายทุกสิ่ง!
หวังเป่าเล่อได้ใช้พลังถึงขีดจำกัด แขนข้างที่ถือฝักกระบี่ไว้สั่นระริก ดอกบัวสีเขียวในการสั่นไหว พลังกายขนาดมากกว่าครั้งไหนๆ พวยพุ่งออกมาฟื้นฟูร่างกายหวังเป่าเล่อไม่หยุด หากหยุดเมื่อใด ร่างกายจะถูกบดขยี้ จึงไม่มีทางใดนอกจากต้านทานต่อไป
ทนได้ไม่นาน ร่างกายก็ไม่สามารถรับได้ไหว ผิวหนังและกระดูกเริ่มปริแตก พลังจากกำปั้นทำให้หวังเป่าเล่อไม่สามารถหายใจได้ ร่างกายที่ฉีกขาดถูกซ่อมแซมไม่หยุดหย่อน แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะทนต่อไปได้นาน
แก่นในแห่งอัสนีเริ่มปริแตก แก่นในแห่งความมืดก็เช่นกัน หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป แก่นในทั้งสองจะถูกทำลาย พลังปราณจะหายวับไปหมด ขั้นกำเนิดแก่นในจะพังลง!
สติสัมปชัญญะเริ่มเลือนราง ชายหนุ่มได้ยินเสียงดังแว่วขึ้น มีทั้งเสียงที่คุ้นเคยและเสียงที่ไม่เคยได้ยิน แต่ทุกเสียงต่างกรีดร้องบอกให้เขายอมแพ้ไป!
ข้าจะยอมแพ้ได้อย่างไร เต๋าของข้าห้ามไม่ให้ยอมแพ้ ความทะเยอทะยานของข้าห้ามไม่ให้ยอมแพ้…หวังเป่าเล่อผู้นี้ไม่มีวันยอมแพ้! ขณะที่หวังเป่าเล่อกรีดร้องอยู่ในใจ รอยร้าวบนแก่นในแห่งความมืดและแก่นในสายฟ้าก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้น ร่างของเขากำลังจะพังลง ดอกบัวสีเขียวไม่สามารถช่วยซ่อมแซมร่างกายได้ทัน
ขณะที่ร่างกายกำลังจะทลายลง จิตวิญญาณของชายหนุ่มก็ลุกโชติช่วงส่งให้ตนก้าวข้ามขีดจำกัด เกิดเสียงดังสนั่น เมล็ดดูดกลืนในกายพลันตื่นขึ้น!
ท่ามกลางสถานการณ์เสี่ยงตายเช่นนี้ มันไม่ได้ดูดกลืนพลังจากภายนอก แต่กลืนกินเอาดอกบัวสีเขียว รวมถึงแก่นในแห่งความมืดและแก่นในแห่งอัสนีเข้าไป ทุกสิ่งไม่ได้หายไปไหน หากแต่ผสานรวมกันกับเมล็ดดูดกลืนเป็นครั้งที่สอง!
ครั้งแรกที่เกิดขึ้นนั้นเป็นตอนที่ดอกบัวสีเขียวฝังลงตรงเมล็ดดูดกลืนเป็นครั้งแรก หลังจากกลืนกินทุกสิ่งเข้าไป ก็เหมือนจะยังไม่เพียงพอ เมล็ดดูดกลืนจึงเริ่มดูดกลืนร่างกายของหวังเป่าเล่อ ร่างกลมอ้วนของเขาผอมลงอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตา ภาพหวังเป่าเล่อเบื้องหน้าทุกคนก็…
ไม่ได้มีรูปร่างอ้วนกลมอีกต่อไป แต่เป็นร่างผอมเพรียว ชายหนุ่มผอมสูง คิ้วเป็นทรงสวย ดวงตาแหลมคม โครงหน้าได้รูปและชุดคลุมหลวมโพรกทำให้เขาดูหล่อเหลายิ่งนัก อาจเป็นเพราะแตกต่างจากภาพที่เคยเห็นก่อนหน้ามาก ทุกคนจึงตื่นตะลึงกับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ หวังเป่าเล่อในตอนนี้เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อันล้นเหลือ!
แม้แต่จั่วอี้ฟานที่ถือว่าเป็นคนรูปงามในสหพันธรัฐยังไม่สามารถทัดเทียมความหล่อของเขาได้เพราะยังขาดบางสิ่งที่หวังเป่าเล่อมี นั่นก็คือความกล้าหาญ ทัศนคติอันดีงาม และพลังที่สามารถทำลายได้ทุกสิ่ง!
ทุกสิ่งประกอบกันทำให้หวังเป่าเล่อดูหล่อเหลา แต่ก็แฝงไปด้วยกลิ่นไอแห่งความชั่วร้าย ชายหนุ่มทรงเสน่ห์เสียจนหลี่อี้ที่จับตาอยู่ด้านนอกต้องเบิกตากว้าง
ทันใดนั้น เมล็ดดูดกลืนก็เริ่มกระบวนการตีกลับ เริ่มปล่อยพลังเข้าหล่อเลี้ยงร่างกาย!
พลังปราณของหวังเป่าเล่อปะทุขึ้น พลังกายพวยพุ่งขึ้นจากร่างที่อ่อนแรงก่อนหน้า ก่อนจะบรรลุจากขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลางไปขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลายในชั่วพริบตา!
ยังไม่จบแต่เพียงเท่านั้น หลังจากบรรลุสู่ขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลาย เมล็ดดูดกลืนก็ยังคงส่งพลังไปหล่อเลี้ยงไม่หยุด พลังปราณในกายเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย เพียงครู่เดียว ระดับการฝึกตนของเขาก็พุ่งไปช่วงปลายสุดของชั้นปลาย ห่างจากชั้นสมบูรณ์แค่เพียงนิดเดียว!
ภาพเบื้องหน้าทำให้ตู้กูหลินรวมถึงผู้ชมทั้งในและนอกสนามรบตื่นตะลึงไป!
“บรรลุขั้นการฝึกตนระหว่างการต่อสู้!”
ขณะที่ผู้คนกำลังส่งเสียงฮือฮาด้วยความตกใจ พลังปราณของหวังเป่าเล่อก็พวยพุ่งออกมา อาการบาดเจ็บได้รับการฟื้นฟูในทันใด ชายหนุ่มได้พลังที่เสียไปกลับคืน อีกทั้งยังทวีคูณสูงขึ้นกว่าก่อน คลื่นพลังน่าพรั่นพรึงแผ่พุ่งออกมาจากร่าง ทรงพลังเสียจนสามารถทำลายสรวงสวรรค์ลงได้ มือเลิกสั่นไหว จับกระบี่ได้มั่นคงมากขึ้น ขณะที่ตู้กูหลินมองมาอย่างไม่เชื่อสายตา หวังเป่าเล่อก็เงยหน้าขึ้นมองผ่านกำปั้นสี่อสูรไปสบตากับตู้กูหลินที่อยู่ภายใน!
“ข้าไม่มีวันยอมแพ้!” หวังเป่าเล่อเอ่ยขึ้น ดวงตาเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณนักสู้!
บทที่ 651 เจ้าเยี่ยเหมิงผู้น่าสะพรึงกลัว!
สายฟ้าเปล่งประกายอยู่ในแววตาของหวังเป่าเล่อขณะที่เขาพุ่งตัวออกไปหากองเสื้อผ้าเก่าขาดเปื้อนโลหิต ชายหนุ่มเรียกหุ่นเชิดออกมารอบกายและออกคำสั่งให้พวกมันค้นในบริเวณนั้นให้ทั่ว
ขณะที่หวังเป่าเล่อค้นหาไปทั่วบริเวณอย่างบ้าคลั่ง เจ้าเยี่ยเหมิงก็อยู่ในหุบเขาที่ห่างจากเขาไปประมาณห้าสิบกิโลเมตร นางเพิ่งจะกระอักเอาโลหิตออกมากองใหญ่ ใบหน้าของนางซีดเซียว ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง มือทั้งคู่กำเข็มทิศเอาไว้อย่างแน่นหนา
เข็มทิศนั้นส่องแสงสว่างจ้าที่ประกอบตัวกันเป็นเกราะป้องกันที่ล้อมรอบกายนางเอาไว้ แสงนั้นอ่อนแรงลงทุกที ดูราวกับว่าเกราะนั้นจะอยู่ได้อีกเพียงไม่นาน
เปลวไฟสีฟ้าลุกไหม้อยู่ด้านนอกเกราะป้องกันนั้น ขังเจ้าเยี่ยเหมิงเอาไว้ด้านใน ใบหน้าจำนวนมหาศาลผุดออกมาจากในเปลวไฟนั้น ก่อนจะพุ่งเข้าชนเกราะกำบังอย่างต่อเนื่องพลางส่งเสียงร้องโหยหวนไปที่นาง
เกราะป้องกันนั้นกันพวกมันเอาไว้ได้ในตอนนี้ แต่ว่าแสงของมันก็จางลงทุกทีๆ อุณหภูมิภายนอกพุ่งสูงขึ้นขณะที่เปลวไฟสีฟ้ายังคงลุกไหม้อย่างต่อเนื่อง ผู้อาวุโสคนหนึ่งยืนอยู่กลางเปลวเพลิง เขาสวมใส่เสื้อคลุมของสำนักวังเต๋าไพศาลและเป็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณจากฝ่ายของเมี่ยเลี่ยจื่อ นัยน์ตาของเขาส่องประกายกล้าขณะที่จับจ้องไปยังเจ้าเยี่ยเหมิงผู้ซึ่งติดอยู่ภายในเกราะกำบังนั้น ก่อนที่จะหัวเราะด้วยเสียงแหบพร่า
“ไม่เลวเลย ที่ยังเก็บซ่อนวิธีเอาตัวรอดมาไว้จนป่านนี้” ผู้อาวุโสหัวเราะ เขาไม่ได้ดูกลัดกลุ้มกับเกราะกำบังแม้แต่น้อย ดวงตาของเขาทั้งคู่จับจ้องไปที่เจ้าเยี่ยเหมิงอย่างพินิจพิเคราะห์และหิวโหย
“แม่นางน้อย ข้ามองเห็นความสามารถของเจ้าตั้งแต่การทดสอบแย่งชิงใบต้นไฮยาซิน เจ้าไม่ได้ใช่สิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติธรรมดาๆ ทวารทั้งเจ็ดของเจ้าเปิดออกหมดแล้ว ไม่เลวเลยทีเดียว เจ้าจะเป็นวัตถุชั้นเลิศในการหลอมโอสถโพรงวิญญาณ ช่างหายากเสียจริง!” ผู้อาวุโสฉีกยิ้ม ความหิวกระหายใจแววตาทวีคูณขึ้น ก่อนจะยกมือทั้งสองประสานกันเป็นผนึกฝ่ามือจำนวนมาก ส่งผลให้เปลวไฟสีฟ้ายิ่งเผาไหม้อย่างรุนแรงยิ่งขึ้น เปลวไฟโลมเลียเกราะป้องกันที่มีเจ้าเยี่ยเหมิงอยู่ด้านใน ผู้อาวุโสโจมตีต่อเนื่องโดยการลอยตัวไปรอบๆ เจ้าเยี่ยเหมิงก่อนจะทุบผนึกฝ่ามือลงกับแผ่นดิน
อักขระเวทโบราณจำนวนมหาศาลปรากฎออกมาล้อมรอบหญิงสาวเอาไว้ และเปลวไฟก็พุ่งสูงตามไปด้วย เจ้าเยี่ยเหมิงตัวสั่นและกระอักเอาโลหิตออกมาอีกเต็มปาก แขนทั้งสองข้างของนางสั่นเทาจนกระทั่งเข็มทิศแทบจะหลุดมือ
นางไม่ได้พยายามเช็ดโลหิตออกจากริมฝีปาก กลับกัน เจ้าเยี่ยเหมิงเงยหน้าขึ้นจ้องเยือกเย็นไปทางผู้อาวุโสที่กำลังยิ้มเผล่ แววตาของเขาดูน่าสะพรึงกลัวขึ้นเรื่อยๆ ชายชราติดตามนางมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว เจ้าเยี่ยเหมิงมองไม่เห็นใครตั้งแต่นางฟื้นคืนสติมา นางเดินทางอย่างระมัดระวังโดยไม่ได้พบเจอกับอันตรายมากมาย กระทั่งมาพบกับผู้อาวุโสคนนี้
ศัตรูของนางมีเป้าหมายชัดเจน ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ตำแหน่งที่อยู่ของนางมาโดยตลอด ก่อนจะเข้าปรากฎตัวและจู่โจมนางทันที หากไม่ใช่เพราะได้วัตถุเวทล้ำค่าที่ได้รับมอบมาจากบิดาที่ช่วยปัดป้องการโจมตีของเขาออกไป เจ้าเยี่ยเหมิงก็คงจะตายไปแล้ว
แต่ทว่าถึงแม้จะมีวัตถุเวทดังกล่าวในครอบครอง ตอนนี้นางก็ติดกับ เจ้าเยี่ยเหมิงรู้ดีว่าผู้อาวุโสจะไม่สังหารนางทันที เพราะเขาต้องการใช้นางเป็นวัตถุดิบในการหลอมโอสถโพรงวิญญาณ!
เจ้าเยี่ยเหมิงกัดริมฝีปาก นางไม่โกรธและก็ไม่ได้จะพูดอะไรกับคู่ต่อสู้ พลังปราณของนางหมุนวนอยู่ภายในกาย และแม้ว่ากำลังจะหมดแรง แต่นางก็ไม่ได้หยุดปล่อยพลังงานเข้าไปในเข็มทิศ เข็มทิศนั้นเป็นอาวุธเวทระดับแปดที่นางพกติดตัวมาด้วยจากสหพันธรัฐ อาวุธเวทนี้ควรจะช่วยรักษาชีวิตนาง เจ้าเยี่ยเหมิงได้สร้างผนึกขึ้นมาอันหนึ่งหลังจากได้รับวิชาวงแหวนปราณเอื้อชางโบราณมาและสลักผนึกนั้นเอาไว้บนเข็มทิศนี้ ซึ่งช่วยเพิ่มพลังให้มันอีกต่อหนึ่ง
เข็มทิศตอนนี้กำลังทำงานอย่างเต็มที่ ร่วมกับพลังของจี้ที่ห้ออยู่บนคอนาง เจ้าเยี่ยเหมิงจึงสามารถต้านทานการโจมตีจากผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณได้ แต่ทว่า นางรู้ดีว่าพลังของจี้นั้นกำลังลดถอยลงไป เมื่อใดก็ตามที่มันหมดไป นางก็คงไม่อาจจะป้องกันต่อไปได้ด้วยวงแหวนปราณเพียงอย่างเดียว
เจ้าเยี่ยเหมิงทำทุกทางเพื่อจะส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ตลอดเวลาสามวัน นางทิ้งร่องรอยโลหิตของตนและกองเสื้อผ้าขณะที่หลบหนี เพื่อเป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือ แต่กระนั้น นางก็ไม่ได้พบกับใครเลยในโลกนี้ กำลังใจของหญิงสาวกำลังเสื่อมถอย ไม่ว่านางจะมีความอดทนสักเพียงใดก็ตาม
อย่างไรก็ตาม เจ้าเยี่ยเหมิงก็ยังไม่หมดหวัง!
นางไม่ใช่คนอ่อนแอ นางมีความทะเยอทะยาน มีความฝัน และความเชื่อเป็นของตนเอง ภายใต้ใบ้หน้าที่สงบนิ่งเรียบเฉยมีเปลวไฟร้อนแรง ที่อาจจะแผดเผาทั้งผู้อื่นและตัวนางเอง!
เจ้าเยี่ยเหมิงรู้ดีว่า ณ จุดนี้คงไม่มีใครมาช่วยนางได้ ความมุ่งมั่นฉาบเคลือบอยู่ในแววตาเมื่อนางพยายามส่งสัญญาณให้ผู้อาวุโสมองเห็นนางใช้ผนึกฝ่ามือ เข็มทิศของนาง ที่น่าจะทนได้อีกสักหน่อย จู่ๆ ก็สั่นไหวอย่างรุนแรงและเกิดระเบิดขึ้น!
แรงระเบิดจากอาวุธเวทระดับแปดไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เจ้าเยี่ยเหมิงได้สลักผนึกแห่งวงแหวนปราณโบราณเอื้อชางลงไปบนเข็มทิศนั้น ทำให้แรงระเบิดยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก เสียงกัมปนาทดังสนั่นปะทุขึ้น ก่อนจะก่อตัวเป็นลมหมุนที่พวยพุ่งออกไปทั่วทุกสารทิศ
เปลวไฟสีน้ำเงินหดตัวลงและสั่นไหวจนเกือบจะดับสลาย มวลหมู่ภูเขาส่งเสียงร่ำร้องและหดตัวถอย การโจมตีนั้นคงจะฝากรอยแผลไว้ให้กับผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณได้เลยหากใช้ได้ตอนไม่ทันตั้งตัว แต่แววตามุ่งมั่นจนน่ากลัวในตาของเจ้าเยี่ยเหมิงแสดงให้เห็นชัดเจนเกินไป คู่ต่อสู้สัมผัสได้ถึงการโจมตีของนาง และมีเพียงเสียงหัวเราะเยาะที่ดังสะท้อนมาในอากาศ ขณะที่ตัวผู้อาวุโสถอยหนีและหลบแรงกระแทกจากการระเบิดที่กระจายออกไปพร้อมลมพายุ ชายชรายกมือขวาขึ้นคว้าอากาศ เปลวไฟสีฟ้าที่ดูจะอ่อนแรงลงไปเมื่อครู่นี้ปะทุขึ้นมาอีกครั้งอย่างรุนแรง ก่อนจะแปรสภาพเป็นหัตถ์ลุกไหม้ขนาดยักษ์ที่เอื้อมคว้าออกไปทางเจ้าเยี่ยเหมิง!
เจ้าเยี่ยเหมิงมีท่าทีสงบแม้ว่าความพยายามของจะล้มเหลวและทำให้ตอนนี้นางตกที่นั่งลำบากยิ่งกว่าเดิม แต่ทว่า นัยน์ตาของนางก็มีประกายแห่งความตื่นตระหนกและสิ้นหวังฉายอยู่ขณะที่นางถอยหนีและปล่อยพลังปราณออกมาจนถึงขีดสุด หญิงสาวไม่อาจจะหลบหนีการจับกุมได้ด้วยพลังปราณของนางที่อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในและอาการบาดเจ็บในขณะนี้ หัตถ์ขนาดยักษ์จับตัวเจ้าเยี่ยเหมิงได้แทบจะในทันที และดึงตัวนางไปอยู่ตรงหน้าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทันที
“แม่สาวน้อย แผนการของเจ้ายังอ่อนหัดนัก…” ผู้อาวุโสฉีกยิ้ม แล้วจู่ๆ ก็ยกมือขวาขึ้นอย่างปุบปับ ก่อนจะคว้าเอาจี้ห้อยคอของเจ้าเยี่ยเหมิงก่อนจะขว้างออกไปไกล จี้หอยคอระเบิดออก ส่งคลื่นกระแทกอันรุนแรงยิ่งกว่าการระเบิดของเข็มทิศออกไปทั่วทุกทิศทาง ใบหน้าของเจ้าเยี่ยเหมิงซีดขาวลงถนัดตา
“การระเบิดครั้งก่อนหน้าก็เพื่อจะหลอกให้ข้าตายใจ โดนหวังว่าการระเบิดครั้งที่สองจะได้ผล แม่นางเอ๋ย เจ้านี่ช่าง…” เจ้าเยี่ยเหมิงขัดจังหวะผู้อาวุโส โดยการซัดเข็มเหาะเหินออกมาจากปากด้วยสีหน้าเรียบเฉย!
“แผนหลอกเด็ก!” ผู้อาวุโสคำรามออกมาพร้อมส่งสายตาจงเกลียดจงชัง ก่อนจะยกมือซ้ายขึ้นจับเข็มที่พุ่งตรงไปยังหน้าผากของเขาเอาไว้ได้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนสีไปทันทีที่สัมผัสโดนเข็ม มันสลายกลายเป็นฝุ่นสีเทาที่ล่องลอยพุ่งไปยังดวงตาทั้งสอง
ผู้อาวุโสหลับตาลงตามสัญชาตญาณ ใบหน้าของเจ้าเยี่ยเหมิงยังคงซีดเผือด แต่ความตื่นตระหนกและสิ้นหวังในแววตาบัดนี้มลายหายไปสิ้น ถูกแทนที่ด้วยความดุร้าย หญิงสาวยกมือขวาขึ้น จรดปลายนิ้วชี้เข้ากับนิ้วหัวแม่มือก่อนจะกดลงอย่างแรง!
มีวัตถุเล็กๆ ฝังตัวอยู่ตรงปลายนิ้วหัวแม่มือของเจ้าเยี่ยเหมิง ดูเหมือนว่ามันจะถูกปลุกขึ้นด้วยการกดอย่างแรงนั้น ลำแสงแรงกล้าสองสายปรากฏขึ้นมาจากปลายนิ้วนั้น อันหนึ่งเป็นสีแดง อีกอันเป็นสีขาว!
แสงสีขาวห้อมล้อมกายเจ้าเยี่ยเหมิงเอาไว้ก่อนจะกลายเป็นเกราะลูกโป่งอากาศ ขณะที่แสงสีแดงนั้นพุ่งตรงเข้าหาผู้อาวุโสขั้นจุติวญญาณทันที หากจ้องมองให้ลึกเข้าไปยังแสงสีแดงแล้ว ก็อาจจะเห็นผลึกขนาดจิ๋วที่ถูกบีบอัดมานับครั้งได้ถ้วน!
คลื่นพลังงานอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมาจากผลึกเล็กจิ๋วนั้น ก่อนที่มันจะพุ่งชนผู้อาวุโสก่อนที่เขาจะตั้งรับได้ทัน เกิดเป็นการระเบิดดังสนั่น!
มีเกราะกำบังปรากฏขึ้นในวินาทีเดียวกัน เกราะนั้นดูเหมือนว่าจะสามารถจับปราณวิญญาณได้ และทำหน้าที่ปิดผนึกพลังปราณของเป้าหมาย แรงสะท้อนกลับอย่างรุนแรงจากปราณวิญญาณนั้นก่อตัวเป็นหลุมดำขนาดเท่ากำปั้นที่มีแรงดูดอันทรงพลัง ราวกับว่าสามารถจะฉีกทึ้งทำลายทุกสรรพสิ่ง!
สิ่งนี้ก็คือ…การผสานรวมระหว่างวิทยาการที่ก้าวหน้าที่สุดของสหพันธรัฐเข้ากับพลังวิญญาณ…หรือระเบิดต้านทานวิญญาณนั่นเอง!
ผู้อาวุโสส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดท่ามกลางแรงระเบิดอันน่าสะพรึงกลัว กายเนื้อของเขาสลายเป็นเศษเนื้อขณะที่ปลิวกระดอนถอยหลังไป เจ้าเยี่ยเหมิงเอง แม้ว่าจะเจ็บหนัก แต่ก็ถอยหลังกลับมาภายใต้เกราะกำบังจากแสงสีขาวได้สำเร็จ แต่กระนั้น เกราะกำบังก็ยังไม่อาจคุ้มครองนางได้เต็มที่ หญิงสาวกระอักเอาโลหิตออกมากองใหญ่ ขณะนี้ร่างกายของนางอ่อนล้าถึงขีดสุด แต่ประกายแสงในแววตานั้นไม่ได้จางหายไป ในแววตาของเจ้าเยี่ยเหมิงนั้นไม่แสดงอาการอ่อนแอหรือสิ้นหวังออกมาแม้แต่นิดเดียว
ไม่ใช่ความอ่อนด้อยประสบการณ์แต่อย่างใดที่นำพาให้เจ้าเยี่ยเหมิงแสดงความอาฆาตมาดร้ายหรือความตื่นกลัวออกมาทางแววตา การระเบิดเข็มทิศและจี้ห้อยคอก็เพื่อเป็นนกต่อ นางต้องการจะให้อีกฝ่ายมั่นใจในความสำเร็จ มากพอที่จะไม่ทันระวังตัว เพื่อที่นางจะได้ใช้การโจมตีที่รุนแรงที่สุดได้อย่างเต็มที่!
เจ้าเยี่ยเหมิงรู้ดีว่ามีโอกาสเพียงครังเดียวเท่านั้น นางจึงได้วางแผนนี้มาอย่างรัดกุมถึงขีดสุด!
บทที่ 581 ชักกระบี่ออกมา!
หวังเป่าเล่อผู้ที่อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นนขั้นกลางขณะนี้เป็นผู้ที่สามารถจะบังคับให้ตู้กูหลินใช้ผนึกขั้นแรกและยังรับมือได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ แต่ทว่า ชายหนุ่มก็ยังไม่อาจจะบีบให้ตู้กูหลินปลดปล่อยผนึกขั้นที่สองได้
ถึงกระนั้น มาบัดนี้ ทุกอย่างก็แปรเปลี่ยนไปแล้ว เมื่อเมล็ดดูดกลืนได้กลืนกินและปล่อนเอาพลังออกมา หวังเป่าเล่อก็บรรลุขั้นไปสู่ขั้นกำเนิดแก่นในขั้นปลาย อีกเพียงก้าวเดียงก็จะเข้าสู่ขั้นกำเนิดแก่นในขั้นสูงสุด!
การบรรลุขั้นเช่นนี้ส่งผลอย่างมากต่อระดับกำลังกายอีกด้วย ขณะนี้หวังเป่าเล่อไม่เพียงแต่หายจากอาการบาดเจ็บเป็นปลิดทิ้งเท่านั้น แต่ยังปล่อยคลื่นกระแทกจากพลังปราณในร่างออกไปทั่วทุกสารทิศอีกด้วย
แก่นในอัสนีและแก่นในแห่งความมืดไม่อยู่ในกายเขาอีกต่อไป เพราะตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง รวมไปถึงดอกบัวสีเขียวเอง ก็เข้าไปอยู่ภายในเมล็ดดูดกลืน หวังเป่าเล่อยังรู้สึกถึงการมีอยู่ของแก่นในทั้งสองและสัมผัสได้ว่าพวกมันกำลังผ่านกระบวนการแปรสภาพซึ่งแม้แต่ตัวชายหนุ่มเองก็ไม่อาจจะอธิบายได้ เขารู้เพียงว่าการแปรสภาพนี้จะไม่ทำให้เขาเสียเปรียบเป็นเด็ดขาด!
กลับกัน ชายหนุ่มกลับจะได้พลังมหาศาลมาเมื่อการแปรสภาพนั้นเสร็จสมบูรณ์!
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่หวังเป่าเล่อจะต้องใส่ใจในขณะนี้ ขณะที่เขาเงยหน้าขึ้น มีแววตากระหายการต่อสู้ฉาบเคลือบอยู่ในดวงตา และร่างอวตารอัสนีก็ปรากฏขึ้นมาอีกครา ไหลเลื่อนซ้อนทับอยู่บนร่างของเขาและส่งเสริมให้พลังการต่อสู้ของชายหนุ่มนั้นเพิ่มพูนยิ่งขึ้นไปอีก!
ต่อจากนั้น เกราะจักรพรรดิลักอัคคีที่ตู้กูหลินถล่มไปเมื่อครู่ก็กลับมาในชั่วพริบตา จุดตันเถียนสีโลหิตก็ปรากฏขึ้น แพร่กระจายไปทั่วและขยายให้แสงรัศมีจากกายของหวังเป่าเล่อรุนแรงขึ้นถึงสามเท่า!
ความมุ่งมั่นของเขาหลอมรวมเข้ากับพลังปราณ ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นอีกเท่าทวีคูณ!
การเพิ่มพลังทั้งหมดนั้น ก่อให้เกิดรัศมีอันรุนแรงราวกับจะทำลายสรวงสวรรค์และพื้นพิภพขึ้น พลังงานอันรุนแรงนั้นเข้าไปรวมตัวกันในกำปั้นขวาของหวังเป่าเล่อ ก่อนจะพุ่งเข้าปะทะกับกำปั้นสี่อสูรของตู้กูหลินทันที!
“สลายไปเสีย!”
แผ่นดินสนั่นผืนฟ้าสะเทือน สายลมหมุนวน แรงสั่นสะเทือนสะท้อนกระจายไปทั่วบริเวณ ท่ามกลางความตื่นตะลึงของผู้ฝึกตนที่รายล้อมอยู่และที่อยู่ด้านนอก กำปั้นสี่อสูรที่ดูเหมือนจะไร้เทียมทานนั้นเริ่มแหลกสลาย ส่วนแรกที่ถูกทำลายก็คืออสูรทั้งสี่ที่อยู่ภายใน วานรยักษ์ วิหคเพลิง มังกรทั้งเก้า และปลานกคุนเผิงส่งเสียงคำรามอย่างน่าเวทนา พวกมันไม่อาจจะต้านทานแรงกระแทกจากสายลมที่รุนแรงได้อีกต่อจนถูกฉีกเป็นชิ้นๆ เมื่อนั้นเอง ตู้กูหลินหน้าซีดเผือดลงด้วยความตื่นตกใจ ก่อนจะถลาล่าถอยขยะที่กระอักเอาโลหิตออกมาจากปาก
ชายหนุ่มทั้งตกตะลึงทั้งคับแค้นใจ แต่ความรู้สึกเหล่านี้กลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอ่อนแอแต่อย่างใด กลับทำให้ความต้องการต่อสู้ลุกโชน แม้ว่าตู้กูหลินปลดปล่อยผนึกขั้นสองได้ไม่นานนัก มิเช่นนั้นเขาอาจจะบาดเจ็บหนัก แต่ขณะนี้ ชายหนุ่มก็เลือกที่จะยอมเจ็บ!
“ผนึกขั้นที่สองจะถูกเปิดขึ้นเป็นเวลาสิบลมหายใจ!”
ขณะที่ตู้กูหลินใช้ผนึกมือและพึมพำอยู่นั่นเอง รัศมีจากกายเขาก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง เกิดเป็นพายุหมุนขนาดมหึหาที่ชายหนุ่มควบคุมได้อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกันก่อนหน้า พายุนั้นปลดปล่อยพลังอันรุนแรงทันทีที่ปรากฏขึ้นมาจากกายของตู้กูหลิน มีประกายเยือกเย็นสะท้อนอยู่ในดวงตา ก่อนที่เขาจะหันขวับมาอย่างรวดเร็วก่อนพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อทันที!
รัศมีอันรุนแรงราวกับจะบดบังท้องฟ้าทะลักออกมาอีกระลอก ทำให้ท้องฟ้าหมุนวนจนดูคล้ายกับลมหมุนขนาดมโหฬารที่มีตู้กูหลินที่กำลังพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อด้วยความเร็วสูงอยู่ตรงกลาง!
เมื่อเห็นว่าตู้กูหลินโจมตีอีกครั้ง ผู้ชมภายนอกสนามทดสอบต่างพากันจ้องมองนิ่งด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง หวังเป่าเล่อยังคงสงบนิ่งอยู่เช่นเคย ชายหนุ่มจ้องมองไปยังตู้กูหลินที่กำลังพุ่งเข้ามา ก่อนจะพึมพำออกมากับตนเอง
“ข้าอยากจะรู้จริงว่า ข้าจะสามารถชักเอา…กระบี่ที่ข้าสัมผัสได้อยู่ในฝักกระบี่ตอนนี้ออกมาได้หรือไม่!” หวังเป่าเล่อยิ้มและชูฝักกระบี่ในมือซ้ายขึ้นโดนไม่มองตู้กูหลินที่กำลังพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว หลังจากที่สูดลมหายใจเข้าลึก เขาก็หลับตาลงก่อนจะวางมือขวาบนฝักกระบี่ แม้จะดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะวางมือลงบนอากาศธาตุ แต่หากว่ามีกระบี่วางอยู่ตรงนั้นจริง บริเวณที่มือขวาของหวังเป่าเล่อวางอยู่ก็คือด้ามกระบี่นั่นเอง!
วินาทีที่หวังเป่าเล่อวางมือลงไปนั้น ทุกๆ สิ่งรอบกายเขาราวกับจะมลายหายไปจนสิ้น ไม่ว่าจะเป็นตู้กูหลิน สนามทดสอบ ไม่มีสำนักวังเต๋าไพศาล ไม่มีกระทั่งดอกบัวเขียว มีเพียงกระบี่ล่องหนที่ชายหนุ่มสัมผัสได้ลางๆ จากในฝักกระบี่เท่านั้น!
กระบี่เอย จงตื่นขึ้น! ในมโนทัศน์ของหวังเป่าเล่อผู้หลับตาอยู่นั้นมีกระบี่เล่มหนึ่งปรากฏขึ้น ชายหนุ่มจิตนาการว่าตนเองชักมันออกมา ความคิดเหล่านั้นประกอบรวมกับเป็นสัมผัสในมือขวา ก่อนที่เขาจะหมุนและดึงมือออกมา บัดนั้นเองก็มีความเปลี่ยนแปลงขึ้น!
สนามทดสอบสั่นสะเทือน กระทั่งสำนักวังเต๋าไพศาลเบื้องนอกก็ยังสั่นอย่างรุนแรง เมี่ยเลี่ยจื่อ เฟิ่งชิวหรัน และศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันผุดลุกขึ้นยืนทันทีด้วยความตกตะลึง เพราะบัดนี้ กระทั่งกระบี่สำริดเขียวโบราณก็ยังสั่นไปด้วยแม้จะเพียงเล็กน้อย!
ราวกับมีแรงที่มองไม่เห็นกำลังดึงเอาตัวกระบี่สำริดเขียวโบราณออกจากดวงอาทิตย์ก็ไม่ปาน!
น่าเสียดายที่แรงนั้นไม่มีพลังมากพอที่จะดึงเอากระบี่ออกมาได้ ทำได้เพียงขยับมันเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถึงแม้ว่าหวังเป่าเล่อจะยังไม่อาจดึงกระบี่ล่องหนในฝักออกมาได้ กายเขาก็ยังอยู่ในท่าเดิมแถมยังทำให้ฝักกระบี่สั่นไหวอย่างแรง ก่อนจะปลดปล่อยเอาพลังที่แข็งแกร่งออกมา!
พลังนั้นไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาหรือสัมผัสได้ แต่ทันทีที่ปรากฏออกมา มันก็ก่อตัวเป็นเจตนารมย์แห่งกระบี่อันยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทุกคนตื่นตะลึง เจตนารมย์แห่งกระบี่นั้นพุ่งตรงเข้าใส่ตู้กูหลินทันที!
แม้ว่าผนึกขั้นที่สองจะถูกปลดปล่อยออกมาแล้วและตู้กูหลินจะทรงพลังเพียงใดในตอนนี้ ตัวเขาก็ยังสั่นสะท้านอย่างเกินควบคุม ความรู้สึกเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกมานานไหลบ่าท่วมจิตใจ ท่ามกลางความตื่นตะลึง ตู้กูหลินรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าหากมุ่งหน้าต่อไป เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน!
ด้วยความรักตัวกลัวตาย ตู้กูหลินจึงเลือกที่จะถอย แต่ก็สายเกินไป เมื่อหวังเป่าเล่อลืมตาขึ้นมา ก็มีประกายของกระบี่ปรากฏอยู่ในแววตา!
ประกายของกระบี่ล่องหนนั้นเบี่ยงทิศไปหาตู้กูหลินอย่างดุร้ายเหลือประมาณ ตู้กูหลินจำต้องปลดปล่อยผนึกระดับที่สามอย่างขมขื่นใจ เขาตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้นว่าจะไม่ใช่ผนึกนี้โดยเด็ดขาด!
เมื่อผนึกนั้นถูกปลดออก ผมของตู้กูหลินก็งอกยาว ประกายสีทองในดวงตาเขาถูกแทนที่ด้วยประการสีดำสนิท ราวกับว่าชายหนุ่มได้แปรสภาพกลายเป็นหลุมดำที่ปลดปล่อยรัศมีอันน่าสะพรึงกลัวออกมา เขาใช้ผนึกมือและรวบรวมสมาธิไปที่การหยุดประกายกระบี่ที่พุ่งเข้ามาใส่!
ภาพของอสูรเทพปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขา ก่อนจะส่งเสียงคำรามกึกก้องและพุ่งเข้าใส่ประกายกระบี่อย่างไม่กลัวเกรง!
ตู้กูหลินปลดผนึกขั้นที่หนึ่งแบบไม่หนักใจนัก แต่สำหรับผนึกขั้นที่สอง ชายหนุ่มปลดปล่อยได้เพียงสิบลมหายใจเท่านั้น หากนานกว่านั้น อาจจะเกิดผลร้ายใหญ่หลวงรุนแรงกับกายของเขาได้ แต่ทว่า ผนึกระดับที่สามนั้น…จะปลดปล่อยได้ก็ต่อเมื่อเคล็ดวิชาการฝึกปราณของเขาถูกผลักดันจนถึงขีดสุดเท่านั้น เพราะมีความเสี่ยงที่จะทำลายเอาพลังงานที่เขาสั่งสมมา จนอาจจะทำให้เขาไม่อาจฝึกปราณต่อไปได้ ตู้กูหลินทำได้เพียงบรรลุขั้นไปก่อนเมื่อถือสันโดษอยู่เท่านั้น!
ชายหนุ่มไม่อยากจะเปิดผนึกระดับที่สามออกเลยในตอนแรก เป้าหมายของเขาคือการก้าวข้ามระดับจุติวิญญาณเข้าสู่ขั้นเชื่อมวิญญาณ แต่ทว่า ขณะนี้เมื่อความเป็นความตายเท่ากัน ตู้กูหลินจึงต้องยอมปลดผนึกขั้นที่สามออกด้วยความขมขื่นใจ!
แต่แม้ว่าผนึกขั้นที่สามจะถูกปลดออกมาแล้ว ตู้กูหลินก็ทำได้เพียงดิ้นรนชีวิตรอดจากประกายกระบี่เท่านั้น!
ประกายกระบี่พุ่งเข้าประชิดตัวตู้กูหลินอย่างฉับพลัน ก่อนจะทำลายภาพมายาของอสูรเทพราวกับสายลมฤดูใบไม้ร่วงที่พัดพาเอาใบไม้แห้งกรอบให้หลุดร่วงปลิดปลิวจากต้น แล้วปะทะเข้ากับกายของตู้กูหลินอย่างรุนแรง ชายหนุ่มกระอักโลหิตออกมากองใหญ่ ก่อนจะซวนเซและล้มหงายหลังไป ก่อนจะกลับไปยังผนึกขั้นที่สอง ประกายสีดำในดวงตากลับไปเป็นสีทอง ยังไม่จบเพียงเท่านั้น เขากระอักเอาโลหิตออกมาอีกครั้งก่อนที่ผนึกระดับสองสูญสลายไป ดวงตาของเขากลายเป็นสีทองเจือจาง!
ผนึกขั้นที่หนึ่งก็สลายไปเช่นกัน รัศมีจากกายตู้กูหลินแผ่วจางไป ก่อนที่กายเนื้อของชายหนุ่มจะหล่นลงไปกระแทกกับยอดเขาโลหิต สัญลักษณ์ของตัวเขาเอง จนมันพังทลายลงไป ตู้กูหลินกระอักเอาโลหิตออกมาเป็นครั้งสุดท้าย ขณะนี้อยู่ในสภาวะปางตาย เมื่อนั้นเองประกายกระบี่จึงได้อันตรธานหายไป!
ความเงียบปกคลุมทั่วบริเวณทั้งในและนอกสนามทดสอบ ทุกคนยืนนิ่งอึ้งปากอ้าค้าง หวังเป่าเล่อถอนหายใจเบาๆ อยู่ในอก ในที่สุดแล้วเขาก็ยังชักกระบี่ออกมาไม่ได้ นอกจากตัวเขาเองแล้วไม่มีใครรู้ว่าประกายกระบี่เมื่อครู่นั้นเป็นผลผลิตครั้งแรกของฝักกระบี่ที่สั่งสมมาเนิ่นนาน!
หากชายหนุ่มต้องการจะใช้มันอีกครั้ง เขาคงต้องให้เวลามันอีกสักพักใหญ่
เมื่อทอดถอนใจเสร็จ หวังเป่าเล่อก็เชิดหน้าขึ้นแล้วก้าวออกไปปรากฏตัวอยู่ข้างกายตู้กูหลินที่นอนแผ่หราอยู่บนพื้น พลางก้มหน้ามองอีกฝ่ายอย่างเงียบงัน
ตู้กูหลินหัวเราะออกมาอย่างระทมใจพลางยกมือขวาขึ้นมาอย่างยากเย็น ก่อนจะคว้าไปทางกุญแจและหินภูเขาที่อยู่ห่างออกไป กุญแจของเขาบินไปเข้ามือหวังเป่าเล่อทันที
“เจ้าชนะแล้ว!”
บทที่ 582 ผู้อยู่บนจุดสูงสุด!
หลังจากที่คว้าเอากุญแจมา หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำ เขากลับยืนนิ่งอยู่บนก้อนหินข้างๆ กายตู้กูหลินก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มีคลื่นสะท้านเป็นระลอกออกไปทั่วทุกสารทิศ ทำให้แผนที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนเริ่มพร่าเลือน ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์คล้าย ๆ กันนี้ขึ้น ครั้งก่อนหน้านี้เกิดขึ้นราวสิบสองชั่วโมงก่อนหน้านี้ เป็นสัญญาณ…ว่าการเคลื่อนย้ายครั้งต่อไปกำลังจะมา
“จบกันเท่านี้ละนะ” หวังเป่าเล่อเอ่ยออกมาแผ่วเบาขณะที่ละสายตาจากท้องฟ้าสีดำก่อนจะก้มศีรษะลงมองตู้กูหลินอย่างใจเย็น หวังเป่าเล่อโคลงศีรษะขณะที่จ้องมองคู่ปรับของเขา ผู้ซึ่งยังคงมีเลือดไหลออกมาเป็นทางและพยายามจะลุกขึ้นยืนอย่างลำบากลำบน ชายหนุ่มโคลงศีรษะอีกครั้ง คราวนี้เขาตัดสินใจจากประสบการณ์ในชีวิต ไม่ใช่ตามคำสอนของอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูง หวังเป่าเล่อยื่นมือออกไปให้ตู้กูหลิน
ตู้กูหลินผู้ซึ่งไร้กำลังและพยายามดิ้นรนจะลุกขึ้นอยู่นั่นตกใจขึ้นมาชั่วขณะเมื่อมองเห็นมือของหวังเป่าเล่อที่ยื่นมา เขาเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะหัวเราะออกมาได้ และคว้าเอามือขวาของหวังเป่าเล่อไว้ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เช็ดโลหิตจากมุมปากด้วยซ้ำ แม้ว่าร่างกายจะยังสั่นเทาแต่เมื่อหวังเป่าเล่ออกแรงดึง ตู้กูหลินก็ลุกขึ้นมานั่งได้
แรงดึงนั้นดูเหมือนจะสะเทือนไปถึงอาการบาดเจ็บของตู้กูหลินทำให้เขาถึงกับห่อปาก ก่อนจะจ้องมองไปทางหวังเป่าเล่อพร้อมกับหอบหายใจ พลางจ้องมองด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์และเลื่อมใส
“ในสหพันธรัฐ ยังมีใครแข็งแกร่งเช่นเจ้าอีกหรือไม่” ดู้กูหลินอดใจถามไม่ได้
“ถ้าเป็นเรื่องรูปร่างหน้าตา หากว่าข้า หวังเป่าเล่อผู้นี้บอกว่าเป็นอันดับสอง ก็คงไม่มีใครกล้าพูดได้ว่าเป็นอันดับหนึ่ง! แต่ถ้าหากในด้านการต่อสู้แล้ว ยังมีผู้ที่แข็งแกร่งกว่าข้าอยู่อีกมากมายนัก” หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นก่อนจะพูดเนิบๆ หากว่าเป็นใครอื่นที่พูดแบบนั้นก็คงต้องรู้สึกอับอายเป็นอันมาก แต่ทว่า เพราะหวังเป่าเล่อสะกดจิตตนเองมานับครั้งไม่ถ้วน ชายหนุ่มจึงเชื่ออย่างสนิทใจในคำพูดเยินยอรูปลักษณ์ของตนเองเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนนี้ เขาน้ำหนักลดลงไปมากโข!
ตู้กูหลินไม่เคยพูดคุยกับหวังเป่าเล่อมาก่อน เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาถึงกับงุนงง ทันใดนั้นเอง เสียงกัมปนาทดังสนั่นขึ้นก่อนที่สนามทดสอบจะสั่นไหว พลังการเคลื่อนย้ายรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนยังคงตกตะลึงไม่หายจากผลการต่อสู้ที่เพิ่งจบลงไปนั้นเมื่อการเคลื่อนย้ายเริ่มขึ้น!
การเคลื่อนย้ายนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองในสนามทดสอบ ทุกๆ คนที่ไม่ได้ถือกุญแจอยู่จะต้องหลุดออกไป และในขณะนี้ มีเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่มีกุญแจอยู่กับตัว
เมื่อเห็นการเคลื่อนย้ายที่กำลังเริ่มขึ้นและสัมผัสได้ถึงพลังการเคลื่อนย้ายที่ดูดดึงกายเขาออกมาจากสนามทดสอบไป ตู้กูหลินก็สูดลมหายใจ สายตางุนงงของเขาจ้องมองหวังเป่าเล่อผู้ผ่ายผอมอย่างชื่นชม ก่อนจะผงกศีรษะเบาๆ ไปให้
“ความหมายของความงามในสหพันธรัฐของเจ้า อา…ข้าเข้าใจแล้ว จริงๆ เราควรจะเกลียดชังกันมากมายแท้ๆ” ตู้กูหลินพูดเบาๆ ก่อนจะโคลงศีรษะอยู่ไปมา เขาไม่ใช่คนที่จะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ แม้ว่าชายหนุ่มอาจจะต้องสูญเสียครั้งใหญ่จากการต่อสู้ครั้งนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็แก้ไขไม่ได้ ไม่นานนัก จิตวิญญาณการต่อสู้ก็ลุกโชนอยู่ในสายตาเขาอีกครา ตู้กูหลินจ้องมองหวังเป่าเล่อก่อนจะพูดว่า
“หวังเป่าเล่อ การต่อสู้ครั้งนี้ช่างยอดเยี่ยม ข้าจะกลับไปถือสันโดษอีกครั้ง เจ้าเองก็จงฝึกให้หนัก เพราะว่าเมื่อข้าออกมาจากถือสันโดษเมื่อใด ข้าจะท้าเจ้าสู้อีกครั้งหนึ่ง!” เมื่อพูดจบ นัยน์ตาเขาก็มีประกายร้อนแรงสะท้อนอยู่ กายของตู้กูหลินเริ่มพร่าเลือนเมื่อพลังการเคลื่อนย้ายสูบพาเอาสรรพสิ่งไป แต่จิตวิญญาณการต่อสู้ที่เผาไหม้ในกายนั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่แม้กระทั่งพลังเคลื่อนย้ายก็ไม่อาจลบล้างได้
“ข้าจะเฝ้าคอยการต่อสู้ของเราครั้งต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ!” หวังเป่าเล่อตอบกลับอย่างผ่อนคลาย ตู้กูหลินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาก่อนที่ร่างกายของเขาจะสลายหายไปจนหมด ในขณะเดียวกัน ผู้ชมรอบข้างก็จางไปด้วย แต่ก่อนที่พวกเขาจะหายไปนั้น ต่างก็พากันประกบมือคำนับหวังเป่าเล่ออย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ดวงตาของพวกเขาทุกคนมีประกายแห่งความตื่นเต้นและชื่นชม เพราะพวกเขาเข้าใจอย่างลึกซึ่งว่า ต่อแต่นี้จะไม่มีใครกล้าดูหมิ่นนาม ‘หวังเป่าเล่อ’ อีกเป็นอันขาด แม้ว่าจะมีผู้ที่อยากจะแข็งข้ออยู่ไม่น้อย แต่อย่างน้อยๆ พวกเขาก็จะต้องมีปฏิกริยานบนอบต่อชายหนุ่ม แม้จะไม่เต็มใจก็ตาม เพราะอย่างไรเสีย กฎเพียงข้อเดียวของสำนักวังเต๋าไพศาลก็คือ ผู้แข็งแกร่งย่อมอยู่รอด!
ผู้คนพากันทยอยหายไปเรื่อยๆ ทั้งกงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงก็ด้วย พวกเขาหายไปพร้อมกับความสุขสมและตื่นเต้นในแววตา กระทั่งหวังเป่าเล่อยืนตระหง่านอยู่แต่ผู้เดียวบทสนามทดสอบ!
เหลือไว้แต่เพียงความว่างเปล่าระหว่างสวรรค์และพื้นพสุธาในสนามทดสอบนั้น ความเงียบสงบทำให้จิตใจของหวังเป่าเล่อสงบลงไปด้วย ชายหนุ่มเงยศีรษะขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืน พลางนึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่เข้ามาที่นี่ ประกายประหลาดฉาบเคลือบอยู่ในดวงตา ก่อนที่เขาจะนึกถามขึ้นมาในใจว่า
“แม่นางน้อย เป็นไปได้ไหมว่า เมื่อข้าแข็งแกร่งกว่านี้ ฝักกระบี่ในกายข้าจะสามารถเก็บเอากระบี่สำริดเขียวโบราณเอาไว้ได้ทั้งเล่ม”
แม่นางน้อยผู้ซึ่งไม่ได้พูดจากับเขาตั้งแต่ชายหนุ่มเข้ามาในสนามทดสอบแห่งนี้ก็เงียบอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ ในใจของหวังเป่าเล่อว่า
“ได้แน่นอน!”
หวังเป่าเล่อยิ้ม ชายหนุ่มก้าวออกไปข้างหน้าอย่างไม่รีรอ เพราะเขาเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ในสนามทดสอบ ทำให้วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายไม่สลายตัวไปเหมือนเช่นวันก่อน มันกลับเปิดคอยให้หวังเป่าเล่อก้าวเข้าไป
ขณะที่เขาก้าวเท้าออกไปนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกราวกับว่าได้ก้าวข้ามอากาศบางเบาระหว่างขุนเขา ร่างกายของชายหนุ่มพร่าเลือน เริ่มจากขา ไล่ขึ้นมาถึงแขน ก่อนที่ตัวเขาทั้งหมดจะหายวับไป ในที่สุด การทดสอบที่ทั้งสำนักวังเต๋าไพศาลจับตามองก็มาถึงจุดสิ้นสุด!
หวังเป่าเล่อมองเห็นทุกอย่างพร่าเลือน เมื่อการเคลื่อนย้ายสิ้นสุดลง และทุกสิ่งตรงหน้ากลับมาชัดเจนอีกครา ชายหนุ่มก็เห็นท้องฟ้าอันเป็นเอกลักษณ์ของวังเต๋าไพศาลตรงหน้าอีกครั้ง ทะเลเพลิงอยู่ห่างออกไปสุดสายตา โถงใหญ่ที่ยอดของภูเขา และสายตาทุกคู่ที่จับจ้องมาที่ตัวเขาที่ยืนอยู่บนจัตุรัสสาธารณะนั้น!
ในสายตาเหล่านั้นมีโจวซู่เต๋า ตู้กูหลิน และคนอื่นๆ ที่เขาเอาชนะมาได้ เช่นเดียวกับเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋า และพันธุ์กล้าของสหพันธรัฐคนอื่นๆ แต่ทว่า ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะรู้จักพวกเขาหรือไม่ ในวินาทีนั้น ทุกสายตาต่างก็จับจ้องมาที่เขาเป็นตาเดียว เช่นเดียวกับบรรดาผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทุกคน รวมไปถึงเมี่ยเลี่ยจื่อและพวก
ความเงียบงันปกคลุมจัตุรัสสาธารณะอยู่ครู่ใหญ่
แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะเป็นคนของสหพันธรัฐ ชายหนุ่มเองก็ได้แสดงพลังการยุทธที่ทำเอาศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลต้องตื่นตะลึง แม้ว่าพวกเขาส่วนมากจะเป็นศิษย์ระดับหัวกะทิก็ตาม แต่ทว่า มีบางคนที่รู้สึกอิจฉาหวังเป่าเล่ออยู่ไม่น้อยโดยที่ไม่แสดงออกมา แต่อย่างไรเสีย ขณะนี้ หวังเป่าเล่อก็ต่างไปจากเมื่อก่อนลิบลับ!
การจะเรียกเขาว่าผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด หลังจากที่กำราบโจวชู่เต๋าและตู้กูหลินก็ไม่ใช่เรื่องเกินเลยแม้แต่น้อย!
กระทั่งเหล่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณต่างก็พากันจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาลึกล้ำยากจะคาดเดา แน่นอนว่า คลื่นพลังที่แผ่ออกมาระหว่างการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อกับตู้กูหลินนั้นก้าวผ่านระดับกำเนิดแก่นในไปแล้ว นับว่ารุนแรงเพียงพอจะอยู่ในขั้นจุติวิญญาณเลยก็ว่าได้!
พวกเขาย่อมต้องเคารพพลังระดับนั้นอย่างแน่นอน กระทั่งเมี่ยเลี่ยจื่อ ผู้ซึ่งดูขังขังเป็นพิเศษ ก็ยังมีแววตาชื่นชมเมื่อมองจ้องมายังหวังเป่าเล่อ แต่ทว่า ชายชราก็อดเสียดายไม่ได้ที่คนที่เก่งกาจเช่นนี้ไม่ได้อยู่ในสายของเขา
ส่วนศิษย์สำนักเต๋าโยวหรันนั้นหลับตาพริ้มพร้อมกับมีรอยยิ้มบางๆ พาดผ่านใบหน้า ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่ในใจ
ท่ามกลางความเงียบสงัดนั้น หวังเป่าเล่อค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าลึกอย่างช้าๆ ก่อนจะยกมือคารวะพร้อมโค้งคำนับต่ำไปยังเฟิ่งชิวหรันและคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่สูงขึ้นไป
การทำความเคารพของหวังเป่าเล่อทำเอาเฟิ่งชิวหรันเอ่อท้นไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอันหลากหลายประดังประเด นางผุดลุกขึ้นยืนทันที เมี่ยเลี่ยจื่อทอดถอนใจก่อนจะยืนขึ้นตาม โยวหรันยืนตามขึ้นเช่นกัน เมื่อทั้งสามลุกขึ้นยืน บรรดาผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนอื่นๆ ก็ยืนบ้าง พร้อมๆ กับบรรดาศิษย์ที่รายล้อมอยู่โดยรอบ!
“ลั่นระฆังได้!” เฟิ่งชิวรันพูดโดยไม่รอเมี่ยเลี่ยจื่อ หากสถานการณ์ไม่ได้เป็นเช่นนี้ เมี่ยเลี่ยจื่อคงจะรู้สึกขุ่นเคืองใจเป็นแน่ แต่ทว่า ขณะนี้นั้น เขาเงียบเฉยอยู่ เป็นเชิงว่าไม่ได้ติดใจอะไร
“ขอแสดงความยินดีกับศิษย์ของข้า หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งได้อันดับหนึ่งในการทดสอบแย่งชิงใบต้นไฮยาซิน เจ้าจะได้รับใบต้นไฮยาซินสามใบและสามารถจะนำไปแจกจ่ายได้ตามใจปรารถนา!” เฟิ่งชิวหรันยิ้มอย่างอบอุ่นขณะที่เสียงระฆังดังก้องกังวาลไปทั่ววังเต๋าไพศาล
เสียงระฆังกังวาลสะท้อนก้องได้ยินชัดเจนทั่วกัน หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งขณะนี้ตกเป็นเป้าความสนใจของมวลชน หัวใจสั่นสะเทือนเพราะเสียงนั้น ชายหนุ่มก้มลงมองเจ้าเยี่ยเหมิงและพรรคพวกก่อนจะส่งยิ้มให้ ก่อนที่ยกมือคารวะเฟิ่งชิวหรันและคนอื่นๆ อีกครั้ง
“คณะผู้อาวุโสเมตตาข้ายิ่งแล้ว!”
เมื่อสิ้นเสียงหวังเป่าเล่อพูด เสียงอื้ออึงดังสนั่นก็ดังขึ้นจากบรรดาพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐ เสียงสนับสนุนนั้นดังก้องไปไกล ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลเองก็เริ่มออกเสียงเช่นกัน พวกเขาต่างก็แสดงอารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป บางคนก็หันกลับมาพูดคุยกับพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐอย่างออกรส ท่ามกลางความวุ่นวายกลางจัตุรัสสาธารณะนั้น เซี่ยไห่หยาง ผู้ซึ่งแฝงตัวอยู่ในฝูงชน ก็เริ่มเก็บดอกผลของการเสี่ยงโชคที่เขาหว่านเอาไว้ด้วยความรื่นรมย์ใจ
จู่ๆ ก็มีเสียงพูดถึงชามทั้งสามใบที่เซี่ยไห่หยางดึงออกมาเมื่อไม่กี่วันก่อน เซี่ยไห่หยางระเบิดเสียงหัวเราะออกมาก่อนพลิกชามแรกขึ้นมา ภายในมีแผ่นหยกอยู่ที่มีคำว่า ‘หวังเป่าเล่อ’ เขียนอยู่!
จากนั้น เมื่อพลิกชามที่สองและสามขึ้นมา เฉกเช่นเดียวกัน ชื่อ ‘หวังเป่าเล่อ’ เขียนอยู่ในชามทั้งสองเช่นกัน!
บทที่ 583 ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน!
ระหว่างที่เซี่ยไห่หยางกำลังลิงโลดใจ และระหว่างที่ฝูงชนที่จับตาดูอยู่ถึงกับทึ่งในความสามารถของเขา เสียงระฆังก็ยังคงดังกังวาน และเมื่อเฟิ่งชิวหรันประกาศผลสรุป การทดสอบก็จบลงอย่างเป็นทางการ
ลำดับต่อไปก็จะเป็นการเดินทางไปสู่ตำหนักวังบูชา แต่ทว่า ตำแหน่งที่ตั้งของตำหนักวังบูชานั้นอยู่ลึกเข้าไปในตัวกระบี่ที่ห่างไกลจากตำแหน่งปัจจุบันของพวกเขาอย่างยิ่ง แม้จะมีวงแหวนปราณในสำนักวังเต๋าไพศาลที่สามารถจะเคลื่อนย้ายพวกเขาไปที่นั่นได้ในชั่วพริบตา แต่ก็ยังต้องอาศัยการเตรียมการก่อนจะเปิดใช้ พวกเขายังคงต้องรอไปอีกระยะกว่าที่วงแหวนปราณจะพร้อมใช้การ
แต่ถึงกระนั้น หวังเป่าเล่อ ผู้ที่บัดนี้ถือครองใบไฮยาซินสามใบ ก็มีสถานะใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมในสำนักวังเต๋าไพศาลหลังจบการทดสอบ!
แต่ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ไม่ได้อ้อยอิ่งอยู่บนเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลนานนัก หลังจากที่เฟิ่งชิวหรันประกาศผลการทดสอบ เขาก็จากมาทันที การทดสอบนั้นอันตรายร้ายแรงแม้กับหวังเป่าเล่อก็ตาม หากเขาไม่สามารถที่จะปลดปล่อยพลังออกมาได้ในวินาทีสุดท้าย ก็คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชนะตู้กูหลินมาได้
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อหวังเป่าเล่อเพิ่งจะบรรลุขั้นการฝึกปราณ เขาจึงยังต้องทำให้ปราณคงที่เสียก่อน เฟิ่งชิวหรันเข้าใจข้อนั้นเป็นอย่างดี จึงปล่อยให้ชายหนุ่มจากไป นางยังมอบโอสถที่จะช่วยเขาควบคุมพลังปราณมาให้อีกขวดหนึ่งอีกด้วย
โอสถเหล่านั้นราคาแพงระยับแถมยังใช้ได้ทั้งกับเพื่อฝึกปราณและรักษาการอาการบาดเจ็บ หวังเป่าเล่อกล่าวขอบคุณก่อนจะจากมาพร้อมจั่วอี้ฟาน เจ้าเยี่ยเหมิง และกงเต๋า บรรดาพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐอีกหลายคนเดิมตามพวกเขามาติดๆ
หลังจากที่ทักทายผู้คนหน้าประตูวังเต๋าไพศาลเรียบร้อย หวังเป่าเล่อหันหลังก่อนจะก้าวขึ้นไปบนอากาศ และเดินทางออกจากเกาะหลักของวังเต๋าไพศาลมุ่งหน้าไปยังเกาเพลิงเขียว พันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐทุกคนมาส่งเขาด้วย
เจ้าเยี่ยเหมิงและคนอื่นๆ ต่างก็แยกย้ายกันกลับถ้ำที่พักของตนเองหลังจากที่หวังเป่าเล่อไป แม้จะจากกันมาแล้ว การทดสอบก็ยังคงเป็นที่พูดถึงกันในหมู่ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลไปอีกพักใหญ่
หวังเป่าเล่อไม่สนใจเรื่องเหล่านั้นอีกต่อไป ขณะนี้ ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าเต็มที่เพื่อกลับไปยังเกาะเพลิงเขียว ก่อนจะเข้าไปยังถ้ำที่พักและมุ่งหน้าไปถือสันโดษทันที เขานั่งขัดสมาธิทำสมาธิเพื่อฝึกปราณและตรวจสอบเมล็ดดูดกลืนในกายไปพร้อมๆ กัน
ดอกบัวเขียวหายไปแล้ว แก่นในอัสนีและแก่นในแห่งความมืดก็ด้วย…หวังเป่าเล่อเริ่มรู้สึกยุ่งยากใจเมื่อนึกไปถึงการแปรสภาพของเมล็ดดูดกลืนครั้งล่าสุด ในช่วงสุดท้ายของการทดสอบ แม้ชายหนุ่มจะสัมผัสได้ว่าการแปรสภาพนั้นเป็นผลดีกับตัวเขาเอง แต่ก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้เมื่อมาคิดใคร่ครวญดูดีๆ หลังจากนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง หวังเป่าเล่อจึงตัดสินใจใช้จิตสัมผัสวิญญาณเพื่อตรวจดูให้แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเมล็ดดูดกลืนกันแน่
เมื่อสัมผัสวิญญาณของเขาเข้าไปถึงด้านในของเมล็ดดูดกลืน ชายหนุ่มก็มองเห็นความมืดดำอันเวิ้งว้างอยู่ตรงหน้า มันทั้งเงียบงันทั้งกว้างใหญ่ เขาไม่รู้เลยว่ามันกว้างไกลเพียงไหน มีเพียงดอกบัวเขียวหนึ่งเดียวที่สั่นระรัวอยู่ในความมืดดำสนิท…
เมื่อมองไปยังดอกบัวเขียว ที่มีทั้งแก่นในอัสนีและแก่นในแห่งความมืดวางอยู่ด้านบน หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ทว่า เขาก็ยังไม่รู้ว่าจะพาพวกมันออกไปได้อย่างไร ชายหนุ่มสัมผัสได้อยู่ลางๆ ว่าทั้งสามได้หลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับเมล็ดดูดกลืนไปแล้ว ราวกับว่าทุกอย่างได้กลายสภาพมารวมกันจนเป็นหนึ่ง
หวังเป่าเล่อไม่อาจจะเข้าใจอะไรได้เลยแม้จะครุ่นคิดอย่างหนักแล้วก็ตาม ชายหนุ่มจึงยอมแพ้ในที่สุดก่อนจะดึงเอาจิตสัมผัสวิญญาณกลับมา เขาใช้ผนึกมือเรียกร่างอวตารอัสนีออก หลังจากที่เพ่งมองมันอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงนึกได้ว่ามีบางสิ่งผิดแผกไปจากที่เคย
การแปรสภาพนั้นเปลี่ยนแปลง…พลังการดูดกลืนของมัน!
พลังนั้นปรากฏขึ้นพร้อมๆ กับที่ร่างอวตารถูกปล่อยออกมา ขณะนี้ ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อสามารถดูดกลืนปราณวิญญาณเพื่อนำมาฝึกปราณได้
หัวใจของชายหนุ่มเต้นระรัว นัยน์ตาของเขาเบิกโพลงขณะที่จ้องมอง หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ก็มีแสงประหลาดสะท้อนในตาชายหนุ่ม ขณะที่เขายกมือขวาขึ้นชี้ ทันใดนั้นเอง กระบี่เหาะเหินก็ปรากฏขึ้นมาจากในกำไลคลังเก็บ ก่อนจะพุ่งตรงไปยังร่างอวตารอัสนีของเขาเอง กระบี่นั้นไม่ได้พุ่งทะลุร่างอวตาร แต่กลับบาดไปถากๆ แล้วฝากรอยแผลไว้ให้แทน
รอยแผลนั้นหายไปเองในชั่วพริบตา ทำเอาหวังเป่าเล่อหยุดนิ่งครุ่นคิด นัยน์ตาของเขาลุกโชน
พลังในการฝึกปราณนี้เกี่ยวข้องกับเมล็ดดูดกลืนแน่นอน ในขณะเดียวกัน การที่ร่างอวตารของข้าทั้งแข็งแกร่งและมีพลังการฟื้นฟูที่สุดยอดเช่นนี้หมายความว่า…มันจะต้องเกี่ยวข้องกับดอกบัวเขียวอย่างแน่นอน! หวังเป่าเล่อหัวใจเต้นแรงขึ้นอีก ชายหนุ่มตั้งสมมติฐานว่าร่างอวตารนั้นได้รับพลังส่วนหนึ่งไปจากแก่นในแห่งความมืด แต่ไม่มีวิญญาณที่หวังเป่าเล่อจะนำมาใช้ทดสอบสมมติฐานนี้ได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ค่อนข้างมั่นใจทีเดียว
น่าสนใจนี่…ถ้าเป็นเช่นนี้ พลังการยุทธของร่างอวตารอัสนีของข้าจะต้องแข็งแกร่งไร้เทียมทานเป็นแน่…หวังเป่าเล่อจมอยู่ในความคิด จากนั้นจึงปล่อยพลังกายพร้อมๆ กันกับพลังของเปลวไฟสีดำ ชายหนุ่มคิดขึ้นได้ว่าต่อให้เมล็ดดูดกลืนนั้นจะกลืนกินทุกสิ่งเข้าไป ก็ยังไม่มีผลกระทบในแง่ลบกับตัวเขาแม้แต่น้อย กลับกัน ตัวเขากลับพัฒนาขึ้นไปอีก เมื่อคิดได้เช่นนั้นชายหนุ่มจึงวางใจและปล่อยวางเรื่องนี้ไปในที่สุด เขากลับหยิบเอาแผ่นหยกเคล็ดลับการฝึกปราณออกมาอ่านเรื่องกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงขั้นที่สาม
กระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงขั้นแรกทำให้หวังเป่าเล่อมีพลังสายฟ้าแทรกอยู่ในทุกๆ กระบวนท่าของเขา และยังมีผลกับพลังกายของชายหนุ่มอีกด้วย ขั้นที่สองทำให้สร้างร่างอวตารที่ช่วยเหลือเขาได้เป็นอย่างมาก แต่ทว่า ขั้นที่เขาอยากจะไปถึงที่สุดก็คือขั้นที่สามนี้!
เมื่อไปถึงขั้นที่สามของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงได้ หวังเป่าเล่อจะสามารถสลับตำแหน่งของอวตารอัสนีได้อย่างฉับพลัน แม้จะไม่ถึงขนาดไร้ที่ติ แต่ก็ใกล้เคียง ทำให้ชายหนุ่มสามารถจะใช้ทักษะการต่อสู้ได้ตามใจมากขึ้น และช่วยให้คาดเดารูปแบบการต่อสู้ของเขาได้ยาก ในแง่หนึ่ง อาจจะพูดได้ว่ามันจะช่วยพัฒนาให้สมรรถภาพทางการยุทธของเขาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากทีเดียว
ยกตัวอย่างเช่น ในการต่อสู้ระหว่างตัวเขากับตู้กูหลิน หากอวตารอัสนีของชายหนุ่มสามารถที่จะสลับตำแหน่งกับร่างต้นได้ ความยืดหยุ่นนั้นจะทำให้เขาสามารถโต้ตอบกับตู้กูหลินได้โดยยังไม่ต้องบรรลุขั้นแม้อีกฝ่ายจะใช้ผนึกขั้นที่สองก็ตาม
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เปลวไฟโชติช่วงก็ลุกไหม้อยู่ในใจของหวังเป่าเล่อ เขาพร้อมที่จะค้นคว้ากระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงขั้นที่สามและพยายามฝึกให้สำเร็จ แต่ทว่า ยิ่งกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงขั้นสูงขึ้นเท่าใด การฝึกก็ยิ่งท้าทายขึ้นมากเท่ากัน เป็นการยากอย่างยิ่งที่จะฝึกให้สำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้รีบร้อน เขาค่อยๆ ฝึกปราณไปอย่างช้าๆ ไปพร้อมๆ กับการพยายามทำให้ปราณขั้นใหม่ของเขาคงที่ไปในการถือสันโดษนั้น
ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มก็ไม่ได้ลืมวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิลักอัคคี หวังเป่าเล่อจัดเวลาทุกๆ วันเพื่อฝึกขั้นที่สองของวิชาสืบทอดนี้ ขั้นที่สองของเกราะจักรพรรดิลักอัคคี เกราะที่ออกจะแปรสภาพเป็นเกราะจักรพรรดิกระดูกที่ดูเหมือนกับโครงกระดูกมนุษย์
เมื่อฝึกฝนสำเร็จแล้ว พลังของมันก็จะแข็งแกร่งขึ้นมากมาย แต่ทว่า เฉกเช่นเดียวกับขั้นที่สามของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลง ความคืบหน้าในการฝึกนั้นค่อนข้างช้า สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว วิชาหลังฝึกยากกว่าวิชาแรกเสียอีก
นอกเหนือไปจากความชาญฉลาดและความเข้าใจแล้ว ชายหนุ่มยังต้องการทรัพยากรปริมาณมาก แม้ว่าเฟิ่งชิวหรันจะเพิ่งให้ขวดโอสถราคาแพงมา ก็ยังไม่พอ
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อจึงตั้งเป้าหมายว่าจะไปตำหนักวังบูชาก่อน ชายหนุ่มคิดว่าเขาไม่ได้ต้องเร่งรีบเพื่อจะกลับมา หลังจากไปสลักนามที่วังเต๋าแล้ว ก็จะอ้อยยิ่งอยู่ที่ตัวกระบี่สักหน่อยเพื่อหาเงิน
ยิ่งสถานะของข้าสูงขึ้นเท่าใด ข้าก็เข้าไปในสถานที่ได้หลากหลายขึ้นเท่านั้น แถมยังสามารถละเลยกฎเกณฑ์ได้มากขึ้นอีกด้วย…เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมา ชายหนุ่มเริ่มสังเกตฝักกระบี่ภายในกายไปพร้อมๆ กัน
ขณะนี้นั้นเขาเชื่อเรื่องที่แม่นางน้อยเคยพูดไว้เกี่ยวกับพลังของฝักกระบี่แล้ว แต่ทว่าหากเขาจะต้องชักกระบี่ออกมาอีกครั้งก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายอีกแล้ว คงจะทำได้อีกครั้งหลังจากพักไปอีกสักพักใหญ่
แต่ทว่า พลังอันยิ่งใหญ่ของกระบี่นั้น ไหนจะความสำคัญของอาวุธเวทระดับเจ็ดในกาย ทำให้หวังเป่าเล่อยิ่งมุ่งมั่นที่จะหลอมมันให้เป็นอาวุธเวทระดับเจ็ดให้ได้โดยเร็วที่สุด
ข้าจะต้องเดินทางเข้าไปในตัวกระบี่! หวังเป่าเล่อมีสายตามุ่งมั่น แต่ชายหนุ่มก็รู้ดีว่าเขาจะรีบร้อนไม่ได้ เพราะฉะนั้น หลังจากที่ถือสันโดษอยู่ครึ่งเดือนและใช้โอสถจนหมด เขาจึงตัดสินใจเดินทางเข้าไปยังวังเต๋าไพศาลเพื่อใช้แต้มการรบซื้อโอสถอื่นๆ ที่ช่วยในการฝึกปราณเพิ่ม
ก่อนจะจากไป หวังเป่าเล่อหยิบเอากระจกในกำไลคลังเก็บออกมาส่องดูใบหน้าที่ได้รูปและไม่คุ้นตา ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอ่อนไหวขึ้นมา
“จู่ๆ ข้าก็หล่อขึ้นมามากเสียจนหลงตัวเองเสียแล้ว…” เขากระซิบ ก่อนจะยกมือขึ้นตบพุงอย่างเคยชิน แต่ทว่ากลับไม่พบพุงแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อก้มหน้าลงมองและเพิ่งรู้สึกตัวว่าท้องเล็กลงอย่างมาก
“หวังเป่าเล่อเอ๋ย ทั้งๆ ที่เจ้าก็หล่อเสียจนไม่ต้องทำอะไรแล้ว แต่เจ้าก็ยังคงเลือกเลิกจะสั่งสมเพิ่มพูนความสามารถและทำงานหนักไม่หยุดหย่อน!” หวังเป่าเล่อคุยโม้ ก่อนจะทอดถอนใจหนึ่งครั้ง ก่อนจะตั้งท่าแล้วถ่ายรูปตัวเองไว้หนึ่งรูป ก่อนจะส่งเข้าไปยังกลุ่มพูดคุยหลักของพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐในพื้นที่ ก่อนจะจากเกาะเพลิงเขียวมาด้วยใจรื่นเริง
เมื่อก้าวเข้ามาในวังเต๋าไพศาลในคราวนี้ หวังเป่าเล่อได้รับการปฏิบัติไม่เหมือนก่อน ผู้คนมองเห็นเขาทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้นบนเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาล และเข้ามาประชิดตัวทันทีเพื่อทักทาย
พวกเขาไม่เพียงแต่ทักทายเท่านั้น แต่ยังเดินตามเขาไปทั่ว ผู้ฝึกตนทุกคนที่มองเห็นเขาเป็นเช่นนี้กันไปหมด ความชื่นชมและเคารพที่พวกเขามีต่อหวังเป่าเล่อทำเอาชายหนุ่มประหม่า ราวกับว่าเขาได้กลับไปเยือนสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งกระนั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชายหนุ่มไปถึงบริเวณแผ่นหินรับภารกิจที่คลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกตนจำนวนมาก เกิดความโกลาหลขึ้นทันทีที่เขาปรากฏตัว บรรดาผู้ฝึกตนพากันทักทายและพากันหลบทางให้หวังเป่าเล่อเดิน ราวกับเขาเป็นศิษย์เอกคนหนึ่งกระนั้น
ปรากฏการณ์นี้ถูกใจหวังเป่าเล่อเป็นอย่างยิ่งและเขายิ่งภาคภูมิใจขึ้นไปอีกเมื่อระหว่างทางมีศิษย์สาวสวยของสำนักวังเต๋าไพศาลหลายคนที่มองเห็นเขาแล้วก็ส่งสายตายั่วยวนมาให้ มอบความรู้สึกอิ่มเอมใจยิ่งให้กับชายหนุ่ม
ข้าสงสัยนักว่าผู้ฝึกตนสตรีบนกระบี่สำริดเขียวโบราณนี้จะมีเรือนร่างเหมือนกันกับสตรีบนสหพันธรัฐหรือไม่…หวังเป่าเล่อกะพริบตาทีหนึ่งก่อนจะเริ่มครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง
บทที่ 584 มีใครบางคนจากสหพันธรัฐมาถึง!
ขณะที่ขบคิดปัญหาอยู่อย่างเครียดเครียด หวังเป่าเล่อก็แลกแต้มการรบของเขากับโอสถจำนวนมาก ชายหนุ่มยังคงไม่ได้คำตอบเกี่ยวกับปัญหาก่อนหน้าเมื่อเขาเตรียมตัวจะเดินทางกลับ
เพราะฉะนั้น หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าด้วยความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ที่เขามีต่อการกระชับสัมพันธไมตรีระหว่างสำนักวังเต๋าไพศาลกับสหพันธรัฐ เขาจะยอมสละตนเอง
อย่างไรเสียข้าก็เป็นถึงผู้นำแห่งสหพันธรัฐในอนาคต หากข้าไม่เสียสละ แล้วใครเล่าจะทำ หวังเป่าเล่อทอดถอนใจยาวก่อนจะส่งที่อยู่ของเขาให้กับผู้ฝึกตนสตรีแก้มแดงหลายนางที่เข้ามาปรึกษาเขาเรื่องปัญหาที่พวกนางประสบในการฝึกปราณ…
“ปัญหาเรื่องการบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในขั้นเป็นเรื่องลึกซึ้งและซับซ้อนยิ่งนัก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พวกเจ้ามาหาข้าที่เกาะเพลิงเขียวคืนนี้ เดี๋ยวข้าจะช่วยบอกเคล็ดลับให้” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอก่อนจะพูดอย่างขึงขังก่อนที่จะเดินทางออกจากเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาล ระหว่างทาง ชายหนุ่มก็รู้สึกเต็มตื้นไปด้วยความรู้สึกเพราะการที่ผู้คนปฏิบัติกับเขาไม่เหมือนเคย เขาเห็นกระทั่งบรรดาพันธุ์กล้าของสหพันธรัฐที่พูดคุยกับผู้ฝึกตนของสำนักวังเต๋าไพศาลอย่างรื่นเริง
ในช่วงเวลานี้ หวังเป่าเล่อยังได้อ่านการข้อความโต้ตอบระหว่างพันธุ์กล้าด้วยกันในกลุ่มพูดคุยรวมประจำพื้นที่และได้รู้ว่าหลังจากผลการทดสอบออกมา ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลส่วนหนึ่งก็เริ่มมีท่าที่เปลี่ยนแปลงไปกับผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐ พวกเขาถึงกับเริ่มเข้ามาพูดคุยทำความรู้จักและทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสำนักวังเต๋าไพศาลและสหพันธรัฐเริ่มแน่นแฟ้นขึ้น
ไม่เพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่มองเห็นข้อนี้ เฟิ่งชิวหรันเอง ผู้ซึ่งเฝ้าดูอยู่ตลอด ก็มองเห็นเช่นกัน หลังจากที่ได้เห็นผลการทดสอบด้วยตานางเอง นางก็มีกำลังใจขึ้นมาก ในเวลาเดียวกัน นางก็เริ่มจะพูดเรื่องการมาถึงของพันธุ์กล้ารุ่นที่สองกับเมี่ยเลี่ยจื่อ ผู้ซึ่งก่อนหน้านี้นั้นก็คัดค้านหัวชนฝามาโดยตลอด
แต่ครั้งนี้ ชายชรากลับนิ่งเฉย เพราะข้อตกลงที่มีมาก่อนหน้า ประกอบกับผลงานของหวังเป่าเล่อ ทำให้เขาไม่อาจจะพูดอะไรได้ ทำได้เพียงยอมตกลง
อาจจะกล่าวได้ว่านี่เป็นชัยชนะครั้งแรกของเฟิ่งชิวหรันในช่วงหลายปีหลัง นางทำได้โดยไม่ต้องสูญเสียอะไรแต่อย่างใด แม้กระทั่งศิษย์ที่อยู่ใต้การดูแลของนาง ผู้ที่ไม่ได้ชื่นชมสหพันธรัฐมาก่อนหน้านี้ ก็ยังมีท่าทีเปลี่ยนไป ในบรรดาศิษย์เหล่านั้นมีลู่หยุนและสวีหมิงรวมอยู่ด้วย ในฐานะศิษย์เอก ความตื่นตะลึงที่พวกเขาได้ประสบมาระหว่างการทดสอบนั้นมากมายนัก แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ประมือกับหวังเป่าเล่อโดยตรงก็ตาม
เช่นนั้นเอง พวกเขาก็เคารพหวังเป่าเล่อเพิ่มขึ้นมากมาย และเพราะเหตุนี้ ผู้ฝึกตนภายใต้การนำของเฟิ่งชิวหรันจำนวนมากที่เคยไม่ชอบสหพันธรัฐมาก่อนก็เริ่มมีท่าทีเปลี่ยนแปลงไป
อาจจะกล่าวได้ว่าสถานะที่เปลี่ยนแปลงไปของหวังเป่าเล่อนั้นให้ประโยชน์กับเฟิ่งชิวหรันมากมายนัก ทำให้อำนาจของนางในสำนักวังเต๋าไพศาลนั้นกลับคืนมาเป็นที่หนึ่งอีกครั้ง เพราะฉะนั้น ครึ่งเดือนถัดมา การเคลื่อนย้ายพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐรุ่นที่สองมายังสำนักวังเต๋าไพศาลจึงเสร็จสมบูรณ์!
เรื่องนี้สำคัญอย่างยิ่งสำหรับสหพันธรัฐเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาได้ทำการคัดเลือกพันธุ์กล้าที่จะมาเอาไว้แล้ว ขาดแต่เพียงการตอบกลับจากสำนักวังเต๋าไพศาลก่อนหน้านี้ สหพันธรัฐเข้าใจไปเองว่าเกิดปัญหาขึ้นบางประการและได้เตรียมการรับมือเอาไว้แล้ว มาบัดนี้ เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดี สหพันธรัฐก็โล่งใจไปได้
เพราะอย่างไรเสีย สหพันธรัฐก็ไม่ต้องการจะก่อสงครามหากไม่จำเป็นจริงๆ
เพราะเหตุนี้ด้วยเช่นที่ทำให้ผู้ที่ได้รับเลือกให้อยู่ในพันธุ์กล้ารุ่นที่สองนั้นถูกสลับสับเปลี่ยนหลังจากที่ต้วนมู่ฉี หลี่ซิงเหวิน และผู้บริหารระดับสูงของสหพันธรัฐให้พูดคุยกันเรียบร้อย ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอีกเป้าหมายหนึ่ง เพราะพวกเขาไม่ต้องการเพียงแค่สนับสนุนเฟิ่งชิวหรันอีกต่อไป
หลังจากวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายได้ถูกเตรียมการเรียบร้อยอยู่ไม่กี่วัน หวังเป่าเล่อก็จบการถือสันโดษก่อนจะเดินทางไปสำนักวังเต๋าไพศาลตามประกาศของสำนักว่าพันธุ์กล้ารุ่นที่สองกำลังจะมาถึง
พันธุ์กล้ารุ่นหนึ่งทุกคนก็มารวมตัวกันตรงหน้าวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายของสำนักวังเต๋าไพศาล พวกเขายืนเคียงข้างหวังเป่าเล่อ ราวกับว่าชายหนุ่มเป็นผู้นำ ศิษย์จากสำนักวังเต๋าไพศาลจำนวนไม่น้อยก็มาร่วมยืนรอด้วย หลังจากเฟิ่งชิวหรัน เมี่ยเลี่ยจื่อ และโยวหรันมาถึงได้ไม่นาน วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก็เริ่มทำงานอย่างช้าๆ
เสียงกัมปนาทดังกึกก้อง วงแหวนปราณภายนอกกระบี่สำริดเขียวโบราณบนดาวพุธก็ถูกเปิดขึ้นพร้อมกับ เงาร่างพร่าเลือนหลายร่างปรากฏขึ้นภายในวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายของสำนักวังเต๋าไพศาล!
คลื่นพลังงานสะท้อนสะเทือนไปไกล สายลมปั่นป่วนหมุนวนรุนแรง พัดพาเอาเส้นผมและเสื้อผ้าของทุกคนให้สะบัดอย่างแรง ในวินาทีเดียวกันนั้นเอง เงาร่างจากภายในวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อทำตาหยี เมื่อร่างแรกที่เขาเห็นเป็นผู้ฝึกตนวัยกบางคนที่ยืนนำหน้าบรรดาพันธุ์กล้ารุ่นที่สองแห่งสหพันธรัฐ!
คนผู้นั้นอายุราวสี่สิบปี มีหน้าตาหล่อเหลาคน แม้จะดูมีริ้วรอยบ้าง และมีบารมีเหมือนคนที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่งแผ่ออกมาจากกาย ช่างดูน่าเกรงขาม และแม้ว่าจะอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในขั้นสูงสุดเท่านั้น แต่กลับทำให้รู้สึกว่าชายคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง!
เขาคนนั้นก็คือ…สวีหยุนคุน ประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพผู้ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตเพราะไปก่อนความวุ่นวายเอาไว้บนดาวอังคาร! ความล้มเหลวในการคว้าโอกาส บวกกับโทษทัณฑ์ที่ได้รับ ทำเอาประมุขสำนักผู้ยังหนุ่มอยู่เมื่อคราวนั้นมาตอนนี้ดูท่าทางละม้ายคล้ายชายในวัยกลางคน แม้ว่าภาพลักษณ์ภายนอกจะไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักก็ตามที
ชายผู้นี้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิจากสหพันธรัฐในยุคก่อน เป็นผู้ที่ความอาวุโสนั้นยิ่งใหญ่กว่าต้วนมู่ฉี ไปอยู่ในระดับเดียวกับหลี่ซิงเหวินและหัวหน้าเสนาบดี เขาเองยังเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ฝึกตนคนแรกที่มาถึงกระบี่สำริดเขียวโบราณพร้อมๆ กันกับหลี่ซิงเหวินเมื่อหลายปีก่อน ทันทีที่เขาปรากฏตัว หวังเป่าเล่อก็ตกตะลึง กระทั่งผู้ตนขั้นจุติวิญญาณหลายคนจากสำนักวังเต๋าไพศาลก็แปลกใจไปตามๆ กัน
มีเพียงเฟิ่งชิวหรันที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ดูเหมือนว่านางรู้อยู่แล้วว่าสวีหยุนคุนจะมาที่นี่ ในเวลาเดียวกัน เมื่อร่างในวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อก็มองเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยจำนวนมาก จั่วอี้เซียนและจินตั้วหมิงเป็นหนึ่งในนั้น!
นอกเหนือจากนั้น หวังเป่าเล่อยังมองเห็นว่าในบรรดาผู้คนที่เหลือทั้งหมด มีคนแปลกหน้ามากกว่าคนที่เขารู้จัก กว่าครึ่งของพันธุ์กล้ารุ่นใหม่จากสหพันธรัฐเป็นคนที่ชายหนุ่มไม่คุ้นเคย แต่ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่คนกลุ่มนี้มีเหมือนกัน นั่นก็คือ…พวกเขาส่วนมากมีหน้าตางดงาม เรียกได้ว่าจนน่าตื่นตะลึงก็ว่าได้!
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงคิด ในเวลาเดียวกัน เมื่อจินตั้วหมิงทรงตัวได้อีกครั้งภายในวงแหวนปราณ เขาก็กวาดสายตาลงมาราวกับกำลังมองหาใครสักคน ชายหนุ่มมองผ่านหวังเป่าเล่อไปและมองหาต่อไป สายตาที่ยังชั่งใจของจินตั้วหมิงจับจ้องมาที่หวังเป่าเล่ออีกครั้ง หลังจากที่เพ่งมองอยู่เป็นนาน จินตั้วหมิงก็ถึงกับตาเบิกโพลงปากอ้าค้างด้วยความตื่นตะลึง
จั่วอี้เซียนเองก็จำหวังเป่าเล่อไม่ได้เช่นกัน แต่ทว่าเขามองเห็นจั่วอี้ฟาน ก่อนจะมีรอยยิ้มเยาะปรากฏขึ้นบนใบหน้าพร้อมสีหน้าเย็นชา
หวังเป่าเล่อไม่ใส่ใจความตื่นตะลึงที่จินตั้วหมิงแสดงออกมาบนใบหน้าเมื่อได้เห็นบุรุษที่หล่อที่สุดในจักรวาล ชายหนุ่มกระแอมกระไอก่อนจะเชิดคางขึ้นอย่างหยิ่งยโส แต่ทว่าชายหนุ่มก็ยังคงครุ่นคิดเกี่ยวกับความตั้งใจของสหพันธรัฐอยู่นั่นเอง การปรากฏตัวของประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพทำให้หวังเป่าเล่อสงสัยว่าสหพันธรัฐต้องส่งจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่มาดูท่าทีอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
“ข้าจำได้ว่าเขาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต…” หวังเป่าเล่อพึมพำแล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา ชายหนุ่มคิดว่าไม่ว่าประมุขสำนักสวีจะออกมาได้เพราะทำดีหรือเพราะวิธีการอื่นใด เขาก็ยังเป็นบุคคลสุดอันตรายที่กลเม็ดเด็ดพรายเตรียมพร้อมอยู่ตลอด การมาถึงของเขาอาจจะเป็นผลดีทางการฑูตระหว่างสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลในตอนนี้
เจ้าจิ้งจอกเฒ่าถูกตัดสินคดีไปนับไม่ถ้วนในสหพันธรัฐ และคงจะต้องเอาตัวรอดอยู่ที่นี่ได้ดีกว่าข้าเป็นแน่ ขณะที่หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่นั่นเอง การเคลื่อนย้ายก็เสร็จสมบูรณ์ ประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพเดินหน้ามาก่อนใครเพื่อน พร้อมด้วยสีหน้าจริงใจและรอยยิ้มอบอุ่น เขาเข้าทักทานเฟิ่งชิวหรันและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ด้วยสองมือยกประสาน
“ข้าไม่ได้พบท่านผู้อาวุโสเฟิ่งก็หลายปี ท่านยังคงดูเยาว์วัยอยู่เช่นเคย กลับกัน ข้าเสียอีกที่ชราลงไปมาก…” ประมุขสำนักสวีกล่าวอย่างตื้นตัน ก่อนจะหันไปทักทายเมี่ยเลี่ยจื่อและโยวหรันอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะดูเคารพนบนอบ แต่เขาก็ไม่ได้ก้มศีรษะให้ใคร ยิ่งไปกว่านั้น เพราะว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้คนกลุ่มแรกที่ขึ้นมาที่กระบี่สำริดเขียวโบราณในครั้งนั้น ยังไม่ใช่ประมุขสำนักแห่งสหพันธรัฐอีกสิ่งอื่นใด ทำให้กระทั่งเมี่ยเลี่ยจื่อและโยวหรันยิ้มตอบเขา ก่อนจะเริ่มพูดคุยกันอย่างเป็นมิตร
หลังจากที่พบปะพูดคุยกันเรียบร้อย พันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐรุ่นที่สองก็ได้รับเกาะของตนเองเช่นเดียวกับที่รุ่นแรกเคยได้ แต่ทว่า บัดนี้ เฟิ่งชิวหรันมีอำนาจตัดสินใจ และเลือกที่จะให้พันธุ์กล้ารุ่นที่สองจำนวนมากนั้นอยู่ร่วมกันกับรุ่นแรก
เช่นนี้ก็เพื่อให้พวกเขาคุ้นเคยกันให้เร็วและเพิ่มความเร็วในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน ในเวลาเดียวกัน ก็ยังเป็นการเพิ่มพลังทางการเมืองที่สหพันธรัฐมีในสำนักวังเต๋าไพศาลอีกด้วย สวีหยุนคุนถูกทิ้งไว้เบื้องหลังบนเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลเพราะสถานะของเขาทำให้เขาได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่าคนอื่นๆ แม้จะไม่เทียบเท่าหวังเป่าเล่อ แต่ก็ใกล้เคียง
ยิ่งไปกว่านั้น คำขอของประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพให้มีพันธุ์กล้าจากสหพันธรัฐจำนวนหนึ่งที่อยู่กับเขาบนเกาะหลักยังได้รับความยินยอมจากเฟิ่งชิวหรันอีกด้วย ขณะที่พันธุ์กล้ารุ่นแรกพาเพื่อนรุ่นใหม่ที่ยังปรับตัวไม่ทันเดินทางจากไปอย่างตื่นเต้น จินตั้วหมิงก็ก้าวเดินออกไปทางหวังเป่าเล่อ ด้วยสีหน้าไม่เชื่อสายตาตนเองและกำลังจะเอ่ยปากพูดกับอีกฝ่าย แต่สวีหยุนคุนจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพก้าวเข้ามาขวางก่อนจะพูดกับจินตั้วหมิงอย่างเนิบๆ
“จินตั้วหมิง เจ้าค่อยมาทักทายเจ้าเมืองหวังคราวหน้าก็แล้วกัน ข้าคงต้องขอคุยธุระกับเจ้าเมืองหวังสักหน่อยก่อน”
จินตั้วหมิงกะพริบตาทีหนึ่งก่อนจะพยักหน้าเข้าใจและเดินจากไป ก่อนจะจากไป เขาหันกลับมาส่งสายตาให้หวังเป่าเล่อครั้งหนึ่งด้วย จากที่หวังเป่าเล่อรู้จักจินตั้วหมิงมา ความหมายของสายตานั้นกำลังบอกเขาว่าเพื่อนเก่าคนนี้เป็นคนที่เขาเชื่อใจได้เช่นเคย
เมื่อจินตั้วหมิงจากไป หวังเป่าเล่อก็ทอดสายตาไปมองสวีหยุนคุนอย่างขี้เกียจ
“ประมุขสำนักสวีมีอะไรอยากจะพูดกับข้างั้นหรือ” หวังเป่าเล่อพูดนิ่งๆ
สวีหยุนคุนจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้ายากจะบรรยาย เขาไม่อาจจะหักห้ามตนเองให้นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์บนดวงจันทร์ได้ ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้เป็นคนที่ทำลายโอกาสที่ของเขาที่จะได้ครอบครองทุกอย่างไปเมื่อครั้งนั้น!
บทที่ 585 สายลมสลายความแค้นเคืองในอดีต
แต่ทว่า หลังจากที่ไม่ได้พบกันมาหลายปี ดูเหมือนว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นหลายประการ เมื่อพวกเขาพบหน้ากันในครั้งนี้ แรงกดดันของหวังเป่าเล่อทำเอาสวีหยุนคุนผู้ที่อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในขั้นสูงสุดถึงกับตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้วนมู่ฉีบอกกับเขาว่าเขาจะถูกปล่อยตัวและเอาข้อมูลที่เฟิ่งชิวหรันส่งมาบอกเรื่องการทดสอบมาให้ดู เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นทำให้สวีหยุนคุนต้องยอมรับว่าหัวกะทิแห่งสหพันธรัฐยุคใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว
เพราะเช่นนั้น สวีหยุนคุนจึงสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะยิ้มให้หวังเป่าเล่อ
“เจ้าเมืองหวัง ข้าขอคุยกับท่านในถ้ำที่พักจะได้หรือไม่”
“หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงและเริ่มวิเคราะห์ประมุขสำนักสวี สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนผุดขึ้นมาในใจ เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นครั้งที่ชายหนุ่มเข้าใกล้ความตายยิ่งกว่าครั้งไหนๆ การขุดเอารากฐานวิญญาณของเขาออกไปและการเอาตัวรอดจากความยากลำบากอันใหญ่หลวงเป็นชนวนเหตุให้ชายหนุ่มก่อการสังหารหมู่บนดวงจันทร์ในครั้งนั้น
ความทรงจำไหลบ่าเข้าท่วมจิตใจ ขณะที่หวังเป่าเล่อคิดว่า ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ที่ตอนนั้นดูเหมือนเทพที่แข็งแกร่งไร้ก้นบึ้ง มาบัดนี้กลับกลายเป็นคนที่เขาจะเอาชนะได้ง่ายๆ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เกราะจักรพรรดิด้วยซ้ำทำเอาชายหนุ่มแอบหัวเราะอยู่ในใจ หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งมีสถานะสูงส่งในสหพันธรัฐและเข้าใจอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูงเป็นอย่างดี จะไม่ยอมแสดงท่าทีหยิ่งยโสออกมาโดยง่าย แม้จะไม่พอใจประมุขสำนักสวีเพียงใด ชายหนุ่มก็ยิ้มและพยักหน้าอยู่ดี
ทั้งคู่กระโดดล่องลอยไปในอากาศออกจากเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลมา พวกเขาเงียบงันขณะที่เดินทางและไม่ได้มุ่งหน้าไปที่เกาะเพลิงเขียวแต่อย่างใด แต่กลับมาลงบนเกาะโดษเดี่ยวรกร้างเกาะหนึ่ง ทันใดนั้นเอง ประกายแห่งความชื่นชมก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของสวีหยุนคุน เมื่อเขาเห็นว่าหวังเป่าเล่อระแวดระวังกับการจัดการทุกสิ่งเพียงใด เห็นได้ชัดว่าหวังเป่าเล่อกังวลว่าจะมีกลไลใดซ่อนเร้นอยู่บนเกาะของเขาที่จะทำให้มีคนแอบฟังการสนทนาได้ เพราะเหตุนั้นชายหนุ่มจึงพาเขามายังสถานที่รกร้านห่างผู้คน
เมื่อลงแตะพื้น สวีหยุนคุนก็ใช้ผนึกมือและชี้ไปที่สิ่งรอบข้าง ในเวลาเดียวกัน เขาก็ถึงเอาเข็มทิศออกมาจากกำไลคลังเก็บและวางลงไปใต้เท้า เข็มทิศนั้นส่องแสงสว่างไสวก่อนจะกลายมาเป็นเกราะกำบังล้อมรอบทั้งคู่เอาไว้ หวังเป่าเล่อใช้ผนึกมือเช่นกัน ก่อนจะดึงเอาวัตถุเวทออกมาหลายชิ้น
จนกระทั่งเมื่อทั้งคู่ได้วางกลไกที่จะป้องกันคนมาแอบฟังเสร็จเรียบร้อยนั่นเองเมื่อสวีหยุนคุนสูดลมหายใจเข้าลึก
“เท่านี้ก็น่าจะพอแล้วละ เข็มทิศนี้สหพันธรัญหลอมขึ้นมาอย่างลับๆ หากว่ากันตามข้อมูล เราจะสามารถหลบจากผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณได้ราวห้านาที!”
หวังเป่าเล่อพยักหน้าก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่มุมหนึ่ง จ้องมองสวีหยุนคุนเหมือนจะเฝ้ารอให้อีกฝ่ายเริ่มพูด
“เจ้าเมืองหวัง เหตุการณ์ในครั้งก่อนนี้…ผู้อาวุโสที่โจมตีท่านยังคงถูกจองจำอยู่บนดาวศุกร์และข้าเองก็ได้รับโทษแล้ว ได้โปรดอย่าถือโทษโกรธพวกเราเลย ครั้งนี้ ข้าได้มาที่นี่เพราะว่าข้าทำความดีและข้าก็ไม่ได้มีอำนาจจะสั่งให้ท่านทำสิ่งใด กลับกัน ข้าเองยังอาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากท่านในหลายๆ โอกาส” เมื่อสวีหยุนคุนพูดจบ เขาก็โค้งคำนับหวังเป่าเล่อต่ำ
เขารู้ทุกอย่างดีว่าขณะนี้ในสำนักวังเต๋าไพศาล หวังเป่าเล่อเป็นผู้นำของฝ่ายการเมืองฝั่งสหพันธรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการทดสอบ ทำให้สถานะของชายหนุ่มนั้นยิ่งใหญ่กว่าใครจากสหพันธรัฐที่อยู่ที่นี่
สวีหยุนคุนกลัวว่าการมาถึงของเขาจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด เพราะฉะนั้น จึงต้องคุยเรื่องนี้ก่อนเป็นเรื่องแรก
“ข้ามีหน้าที่สองอย่างที่ต้องทำที่นี่ อย่างแรกคือต้องสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายขนาดเล็กขึ้นมาหนึ่งอันอย่างลับๆ เพราะว่าเราต้องกระทำการโดยไม่ประมาท หากมีวันใดที่พวกเราต้องหนี จะได้แน่ใจว่ามีทางออกให้สำหรับทุกคน!”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น หวังเป่าเล่อก็สบายใจขึ้นและพยักเพยิดตาม
“ข้าช่วยท่านแน่ในเรื่องนี้ แต่ทว่าท่านต้องทำงานอย่างระวังและคอยจับตาดูศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเอาไว้ให้ดี!” หวังเป่าเล่อคิดก่อนจะพูดออกมาอย่างเนิบๆ
“ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันงั้นหรือ” ประกายอันหนึ่งสะท้อนอยู่ในตาสวีหยุนคุน
“แม้ข้าจะไม่มีหลักฐาน แต่ข้ารู้สึกได้ว่าชายผู้นี้นั้นอันตรายกว่าเมี่ยเลี่ยจื่อมากนัก” หวังเป่าเล่อพูดเสียงต่ำ
สวีหยุนคุนจมดิ่งลงไปในความคิด หากใครคนอื่นพูดเช่นนี้ เขาก็คงจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เพราะว่าหวังเป่าเล่อเป็นผู้พูด เขาจึงคิดเป็นจริงเป็นจังอย่างยิ่ง เมื่อปล่อยวางเรื่องนี้ลงได้ สวีหยุนคุนและหวังเป่าเล่อจึงเริ่มพูดคุยกันเรื่องที่ลึกซึ้งขึ้นอีก
พวกเขาพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับบรรดาพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐในทั้งปีที่ผ่านมา สวีหยุนคุนต้องการจะเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดเพื่อจะได้ทำภารกิจที่สองให้ลุล่วง
เมื่อได้ยินเรื่องความตายที่ได้เกิดขึ้น ความยากลำบากที่บรรดาพันธุ์กล้าต้องเผชิญ เช่นเดียวกับความนุ่มนิ่มของเฟิ่งชิวหรัน สวีหยุนคุนก็หยุดนิดหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างขมขื่นก่อนจะจ้องมองไปยังหวังเป่าเล่อ
“เจ้าเมืองหวัง มีเรื่องบางอย่างที่ข้าไม่แน่ใจนักว่าควรจะพูดหรือไม่ แต่ทว่า หากข้าพูดออกไปแล้ว ก็ได้แต่หวังว่าท่านจะไม่เข้าใจข้าผิด”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็จ้องมองสวีหยุนคุนอย่างมุ่งมั่นก่อนจะพยักหน้าและกล่าวว่า
“โปรดพูดออกมาเถิด!”
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก็มีประกายลุ่มลึกสะท้อนผ่านนัยน์ตาของประมุขสำนักสวี เขายิ่งดูเหมือนจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์เข้าไปใหญ่ก่อนจะเริ่มพูดอย่างเนิบๆ
“เจ้าเมืองหวัง ข้ารู้ว่าพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐรุ่นแรกผ่านความยากลำบากและถูกหยามเหยียดในทุกๆ ที่ที่ไป แต่ทว่า ท่านรู้หรือเปล่าว่าพวกท่านสิ่งใดพลาดไป”
“บางที ระดับการฝึกตนของพวกท่านอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่ทว่าเป็นความคิดของพวกท่านต่างหากเล่า!”
“ท่านไม่ได้มีความตั้งใจจะเข้าร่วมกับสำนักวังเต๋าไพศาลตั้งแต่ต้น แม้ว่าจะมีความคิดเช่นนั้นอยู่บ้างแต่ก็เป็นเพียงความคิดอ่อนแอ จิตใต้สำนึกนี้แบ่งแยกพวกท่านออกจากพวกสำนักวังเต๋าไพศาลราวกับเนื้อร้ายบนผิวหนัง แม้ว่าตัวอย่างของข้าอาจจะไม่ดีนัก แต่ความหมายของมันก็ไม่ได้ผิดเสียทีเดียว เนื้อร้ายนั้นสามารถถูกกำจัดโดยสำนักวังเต๋าไพศาลภายในพริบตาและไม่ได้ถือเป็นการสูญเสียแต่อย่างใด!” สวีหยุนคุนทอดถอนใจหลังจากที่พูดบทวิเคราะห์สถานการณ์ตามประสบการณ์ของตน
หวังเป่าเล่อเมื่อได้ยินก็ถึงกับตกตะลึง ก่อนจะหลับตาลงนั่งนิ่งเงียบคิดอยู่นาน ชายหนุ่มคิดว่าสวีหยุนคุนมีเหตุผลมากทีเดียว หวังเป่าเล่อไม่ใช่คนดื้อด้าน และเมื่อเขาลืมตาขึ้น เขาก็ก้มศีรษะคำนับสวีหยุนคุนพร้อมยกมือประสาน
“ประมุขสำนักสวีโปรดชี้แนะข้าน้อยด้วย!”
“เจ้าเมืองหวังกรุณาข้าเกินไป เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้คนที่อยู่ใกล้เกินไปย่อมมองไม่เห็นปัญหาในภาพรวม สิ่งนี้เป็นจริงสำหรับตัวข้าเองเช่นกัน” สวีหยุนคุนยิ้มอย่างถ่อมตนก่อนจะคำนับตอบหวังเป่าเล่อ ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้ทำตนอยู่เหนือกว่าหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย กลับกัน เขากลับทำตัวเป็นผู้น้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าชายหนุ่มเสมอ
“สิ่งนี้คือภารกิจอย่างที่สองที่ข้าต้องทำที่นี่ แผนการสุดยอดที่จะทำให้ทั้งสำนักวังเต๋าไพศาลต้องสั่นคลอน นั่นก็คือ…การเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับสหพันธรัฐอย่างสมบูรณ์ หากสหพันธรัฐสามารถจะควบรวมกับสำนักวังเต๋าไพศาลได้เมื่อใด ก็จะไม่มีทางที่พวกเขาจะคิดกำจัดเราได้อีก ต่อให้พวกเขาพยายาม พวกเขาก็จะต้องได้รับผลกระทบใหญ่หลวงเช่นกัน เพราะฉะนั้น หากพวกเขาไม่ถูกกดดันจนถึงที่สุด ก็จะไม่มีการตัดสินใจอย่างหุนหันแน่นอน!” ขณะที่สวีหยุนคุนพูดไป สายตาเขาก็มีประกายแหลมคม มีรัศมีที่อธิบายไม่ถูกหลั่งไหลออกมาจากกาย
เมื่อหวังเป่าเล่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มก็ปลาบปลื้มในความแยบยลของแผน เขาคิดอยู่เงียบๆ ในใจว่าตาเฒ่าคนนี้ช่างมากประสบการณ์เสียจริง การวิเคราะห์ของเขามีเหตุมีผลไปหมด เป็นความจริงที่ เมื่อหวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ มาถึงสำนักวังเต๋าไพศาลเป็นครั้งแรกนั้น พวกเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะมาเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับสำนักวังเต๋าไพศาลแม้แต่น้อย และเมื่อสำนักปฏิบัติกับพวกเขาเช่นเป็นคนนอก พวกเขาก็มองสำนักวังเต๋าไพศาลว่าเป็นคนอื่นเช่นกัน
“ข้าเห็นภาพอยู่บ้างว่าจะต้องเริ่มทำการเรื่องนี้เช่นใด เมื่อถึงเวลา ข้าจะต้องการความช่วยเหลือของท่าน เจ้าเมืองหวัง” สวีหยุนคุนพูดคุยกับหวังเป่าเล่อต่อไปเพื่อจะเห็นภาพรวมของสถานการณ์ ก่อนจะเอ่ยคำลาพร้อมยกมือคารวะ
ก่อนจะจากกัน สวีหยุนคุนหัวเราะอย่างขมขื่นก่อนจะกล่าวขึ้นว่า
“เจ้าเมืองหวัง ข้าหวังท่านจะปล่อยสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วให้แล้วไปได้…”
“อดีตผ่านไปแล้วราวกับสายลมเชียวละ!” หวังเป่าเล่อจ้องมองสวีหยุนคุนด้วยความเคารพ ชายหนุ่มแน่ใจแล้วว่าหากเทียบกับกับจิ้งจอกเฒ่าแล้ว ตัวเขาเองก็ยังด้อยประสบการณ์นัก มีหลายสิ่งที่เขาสามารถเรียนรู้ได้จากประมุขสำนักสวี
เมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย ชายวัยกลางคนก็จ้องมองหวังเป่าเล่อก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง เขาลาชายหนุ่มอีกครั้งก่อนจะจากไป
เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นสวีหยุนคุนคล้อยหลังไป เขาก็หลับตาลงและคิดอยู่เงียบๆ
เจ้าจิ้งจอกเฒ่าไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป แต่ทว่า ผู้ที่ก่อตั้งสำนักขึ้นมาได้ในเวลานั้นจะต้องไม่ใช่คนเรียบง่ายตรงไปตรงมาแน่นอน…หวังเป่าเล่อไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองใคร แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครอยากจะถือโทษหวังเป่าเล่อเช่นกัน
หวังเป่าเล่อยอมปล่อยให้เหตุการณ์บนดวงจันทร์เป็นอดีตไป เพราะอย่างไรเสียสำนักวังเต๋าไพศาลก็ต้องเป็นฝ่ายหนักใจกับการมาถึงของจิ้งจอกเฒ่าเสียยิ่งกว่า สำหรับศิษย์แห่งสหพันธรัฐคนอื่นๆ ที่อยู่ที่นี่ การที่มีคนอย่างสวีหยุนคุนอยู่ด้วยอาจจะทำให้พวกเขารู้สึกเบาใจลงได้มาก
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็หัวเราะออกมาก่อนจะปลดมาตรการป้องกันทั้งหมดลง ชายหนุ่มพุ่งตัวกลับไปยังเกาะเพลิงเขียว ไม่นานนักหลังจากที่เขามาถึงถ้ำที่พัก จินตั้วหมิง ที่หาที่อยู่เขาเจอได้อย่างน่าทึ่ง ก็โผล่มา
ทันทีที่เขามาถึง จินตั้วหมิงก็ก้าวเข้ามาในถ้ำที่พักของหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าทึ่งและตื่นตะลึง ก่อนจะส่งเสียงร้องอุทานด้วยความตกใจ
“บัดซบ! นี่เจ้าคือหวังเป่าเล่อจริงๆ หรือ เจ้า…เจ้า…ทำไมถึงผ่ายผอมถึงเพียงนี้ ข้ามองหาเจ้าอยู่ตั้งนานก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าใช่เจ้าหรือเปล่า เจ้าทำได้อย่างไรกัน”
หวังเป่าเล่อพึงใจอยู่เงียบๆ เมื่อได้เห็นสีหน้าตื่นตะลึงของอีกฝ่าย แต่ทว่าเขากลับเริ่มดุด่าจินตั้วหมิงเพื่อกลบเกลื่อน
“เจ้าหมิงน้อย เจ้าจะตัดสินผู้อื่นที่รูปลักษณ์ได้อย่างไรกัน เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าจึงปล่อยตัวให้อ้วน ก็เพราะว่าตอนที่ข้ายังเล็ก ข้าเหนื่อยหน่ายกับผู้คนเช่นเจ้าที่เข้ามาจ้องมองใบหน้าอันหล่อเหลาของข้า เพราะฉะนยั้ย ข้าก็เลยกินให้อ้วนขึ้นมา จะได้ใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องถูกรบกวน ช่างน่าเสียดายที่พอข้าบรรลุขั้นการฝึกปราณแล้วก็ได้ใบหน้าอันหล่อเหล่าของข้ากลับคืนมาด้วย เฮ้อ ช่างโชคร้ายอะไรเช่นนี้”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น