ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 580-582

 ตอนที่ 580 ได้กลิ่นของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์

 

แค่นางเอ่ยออกมาประโยคเดียว เหล่าบุรุษต้องเงียบกริบเหล่าสตรีพากันน้ำตาไหลพราก


 


 


ทุกคนต่างจดจ้องไปที่นาง ราวกับว่าได้เห็นตัวประหลาด


 


 


รอบกายนางแวดล้อมไปด้วยประกายแสงจากสายรุ้ง ผิวพรรณกระจ่างใสราวเนื้อหยก แสงจากสายรุ้งดูเรียบลื่นละมุนละไม


 


 


ท่ามกลางแสงสว่างทอทาบเช่นนี้ นางจึงดูเหมือนเทพธิดาที่เดินลงมาจากหมู่เมฆ


 


 


ขอเพียงนางไม่เอ่ยปากพูด ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ ต่อให้ไม่มีแสงจากสายรุ้งทั้งเจ็ดสี นางก็ดูเหมือนเทพธิดาอยู่แล้ว


 


 


แต่พอเอ่ยปากอย่างอวดโอ้เช่นนี้ ย่อมเป็นการร้องรำจนเกินงาม


 


 


แต่ว่านางกลับเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งสิ้น ริมฝีปากมีรอยยิ้มอยู่มิได้ขาด รอยยิ้มนั้นเดิมทีก็งดงามจนล่มบ้านล่มเมืองอยู่แล้ว แต่เป็นการโอ้อวดที่มากเกินไป ถึงจะดูอย่างไรก็ไม่สบอารมณ์อยู่ดี


 


 


“เอ๋ เป็นเพราะว่าข้าไม่งดงามน่าดูหรอกหรือ? ทำไมถึงไม่มีใครพูดอะไรเลย?”


 


 


นางยังทำท่าน้อยใจขึ้นมา


 


 


ก็ในสถานการณ์เช่นนี้ ทุกคนควรจะพูดอะไรดีเล่า?


 


 


หรือจะให้คุกเข่าลงไปเชลียร์พื้น?


 


 


ท่านเทพธิดาผู้สูงส่งท่านงดงามจนฟ้าจะถล่มลงมาอยู่แล้ว สวยจนคนเขาแสบตาไปหมด งดงามเสียจนพวกเราเกือบจะเป็นเหมือนอดีตฮ่องเต้ต้าโจว ตายขึ้นสวรรค์ไปเลยดีไหม?


 


 


“เป็นเพราะศิษย์น้อยงดงามเกินไปแล้ว พวกเขาจึงตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก”


 


 


คิดไม่ถึงเลยว่า ท่านเจ้าสำนักจะเชลียร์ได้เป็นที่หนึ่งเช่นนี้!


 


 


ทุกคนต่างก็เหมือนจะขาดอากาศหายใจขึ้นมา ว่าตามจริงนะ ทำถึงขนาดนี้ต้องเรียกว่าหลงหนักแล้ว


 


 


จากนั้นฟ่านอิงเองก็พยักหน้าตามมา ราวกับจะบอกว่าหลานสาวของข้านั้นงดงามที่สุด หลานสาวของข้าพูดอะไรก็ล้วนเป็นไปตามนั้น


 


 


ต้าซือมิ่งอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก


 


 


เดิมทีวันนี้เขาคิดเอาไว้ว่าจะได้เห็นงิ้วเด็ดๆจากสำนักหยินหยาง ใครจะไปรู้ว่า คนที่ต้องเสียหน้าที่สุดกลับเป็นตัวเขาเอง


 


 


เขาหลุบตาลง ในแววตามีแประกายแสงเย็นวาบ ท่านเจ้าตำหนักคงจะลืมไปแล้วสินะว่า…..เขาขึ้นมาถึงตำแหน่งนี้ได้อย่างไร?


 


 


ประกายแสงในแววตานั้นถูกเขาเก็บซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด ไม่ให้ผู้ใดได้เห็นแม้แต่น้อย


 


 


มีแต่ฟ่านอิงที่เหลือบตามาทางเขาแวบหนึ่ง โดยมิได้ส่งเสียงอะไร


 


 


สายตาของเขามักถูกตู๋กูซิงหลันดึงดูดไปอยู่ตลอดเวลา ราวกับสมัยก่อนที่มักถูกอาเย่วดึงดูดเอาไว้


 


 


เพียงแต่บางครั้งก็จะมองไปทางเจ้าสำนักอย่างตั้งใจหรือไม่ตั้งใจอยู่บ้าง


 


 


ในใจของเขาทบทวนชื่อหนึ่งอยู่ตลอด


 


 


ตู๋กูต้าฉุย


 


 


คนผู้นี่มีชื่ออยู่ ทั้งยังใช้แซ่ตู๋กู….แต่ว่าเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับราชวงศ์จีจริงๆน่ะหรือ?


 


 


เป็นไปไม่ได้ …..เหล็กแหลมพิสูจน์เลือดไม่มีทางโกหก ตามเหตุผลแล้วเขาสมควรจะเป็นจีเฉวียนจึงจะถูก


 


 


พอมองเห็นเขามีท่าทีทำตัวสนิทสนมกับตู๋กูซิงหลัน ใบหน้าที่น่าหวาดกลัวหลังม่านหมอกสีดำของฟ่านอิงก็ต้องบิดเบี้ยวไปอีกหลายส่วน


 


 


ท่านเจ้าสำนักเองก็สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกเช่นนั้นอยู่เหมือนกัน แต่เขากลับเลือกที่จะขยับเข้าไปใกล้ตู๋กูซิงหลันอย่างไม่ใส่ใจ ไม่เหลือบแลฟ่านอิงแม้แต่แวบเดียว


 


 


ครู่ต่อมา ฟ่านอิงถึงได้ออกคำสั่งให้ผู้คนที่อยู่ในสถานที่นี้ทั้งหมดแยกย้ายกันไป


 


 


ส่วนตัวเขาก็พาตู๋กูซิงหลันเดิมชมสวนดอกไม้รอบหนึ่ง


 


 


ตู๋กูซิงหลันเดินอยู่ตรงกลาง ท่านเจ้าสำนักและฟ่านอิงขนาบอยู่ทางซ้ายและขวาข้างกายนาง


 


 


นี่เท่ากับเป็นการประกาศต่อทั้งดินแดนจิ่วโจวอย่างจงใจว่าสาวน้อยผู้นี้มีสองบุรุษที่แข็งแกร่งคอยปกป้องอยู่


 


 


นับจากวันนี้ไปเมื่อได้พบเจอ หากไม่คุกเข่าลงกราบกรานก็จนเดิมอ้อมหลบไป


 


 


ตู๋กูซิงหลันชมสวนดอกไม้อย่างพึงพอใจ


 


 


ในสวมดอกไม้มีบุปผานานาพันธุ์ผลิบาน ทุกดอกล้วนงดงามอย่างที่สุด ในบรรดาดอกไม้เหล่านี้ยังมีอยู่หลายชนิดที่นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน


 


 


“ดอกไม้ในเทศกาลหมื่นบุปผชาติ ไม่เพียงงดงามน่าชม ยังมีประโยชน์ทางยา ที่ขาดไม่ได้ก็คือปลูกวิญญาณ”


 


 


ฟ่านอิงไม่เพียงแต่สามารถแสดงบทบาทท่านตาได้เป็นอย่างดี ทั้งยังมีแก่ใจแนะนำในรายละเอียด “ใต้เกาะลอยฟ้าแห่งนี้ สวนดอกไม้ที่อยู่ในใจกลางที่สุด ก็คือดอกไม้ที่ล้ำค่าที่สุดในดินแดนจิ่วโจว บุปผาวิญญาณ….หากนำไปทำยาเพียงแค่ดอกเดียวก็สามารถชำระไขกระดูกได้”


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่ได้คุ้นเคยกับเรื่องการหลอมยาตันเท่าไรนัก


 


 


ดังนั้นกับเรื่องบุปผาวิญญาณ นางจึงไม่ได้สนใจสักเท่าไร


 


 


ยามที่ฟ่านอิงพานางเดินผ่านไป ตู๋กูซิงหลันก็เพียงแต่เหลือบมองแวบหนึ่งอย่างเฉยชาเท่านั้น


 


 


ดอกไม้ที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ ในหนึ่งก้านมีดอกเล็กห้าดอก ในดอกเล็กๆแต่ละดอกประกอบด้วยห้ากลีบ สีแดงอมทอง เกสรดอกเป็นเส้นยาว


 


 


ดูไปแล้วก็คล้ายกับดอกพลับพลึงแดง เพียงแต่ว่าเป็นคนละสีกัน


 


 


ยามที่พวกเขาไปถึง รอบส่วนดอกไม้แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยผู้คน ผู้คนทั้งหลายต่างกำลังทอดถอนหายใจ บุปผาวิญญาณของดินแดนจิ่วโจว ไม่เพียงแต่สามารถชำระล้างไขกระดูก ตลอดทั้งต้นของมันคือขุมทรัพย์อันล้ำค่า มีประโยชน์มากมายมหาศาล


 


 


แม้แต่ทองคำพันตำลึงยังไม่อาจแลกได้


 


 


แต่ว่าขณะที่ตู๋กูซิงหลันกำลังเดินผ่าน ผู้ดูแลสวนดอกไม้แห่งนี้ ก็เป็นฝ่ายเสนอตัวส่งให้นางกระถางหนึ่ง


 


 


ผู้ดูแล เป็นเพียง…..สุนัขปีศาจตนหนึ่ง


 


 


บนศีรษะของมันมีหูสุนัขอยู่สองคู่ ด้านหลังมีหางสีเทาๆ ขณะที่ส่งกระถางบุปผาวิญญาณให้กับนางนั้น หางของมันก็กระดิกอยู่ตลอดเวลา


 


 


“ฮ่องเต้หญิงน้อยที่เคารพ นี่เป็นสิ่งที่เจ้านายของพวกเรามอบให้กับท่าน ขอท่านโปรดรับเอาไว้”


 


 


ในสมองของตู๋กูซิงหลันมีแต่ความงุนงง เห็นเจ้าสุนัขปีศาจตัวนั้นส่งกระถางใส่อ้อมอกของนางอย่างรีบร้อน


 


 


จากนั้นเจ้าสุนัขปีศาจตัวนั้นก็เอาแต่เขินอาย วิ่งหนีแวบหายไปจนไกล พอไปแอบอยู่หลังต้นไม้ต้นใหญ่ในสวนต้นหนึ่ง ก็โผล่ศีรษะออกมาเพียงครึ่งเดียว แอบมองดูนางอย่างระมัดระวัง


 


 


ตู๋กูซิงหลันโอบอุ้มกระถางบุปผาวิญญาณเอาไว้ พลางเงยหน้าขึ้นมองไปทางสุนัขปีศาจน้อย “นั่นเอ่อ นายของเจ้า…คือใครกันหรือ?”


 


 


นางพึ่งจะเอ่ยปากก็เห็นดวงหน้าของปีศาจสุนัขน้อยนั่นเป็นสีแดง ใต้เท้าของมันราวกับมีไฟสุมอยู่ ขยับเพียงสองทีก็วิ่งหนีไปจนไกลแล้ว


 


 


มันวิ่งไปที่ต้นไม้อีกต้นหนึ่ง ปลายหางที่สั่นไปมาโผล่ออกมาจากหลังต้นไม้


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “? ? ?”


 


 


ดูอย่างไรก็เหมือนกับว่านางโปรยเสน่ห์ใส่หนุ่มน้อยโดยไม่ทันระวังเข้าเสียแล้วปีศาจต่างๆในดินแดนจิ่วโจว ต่างก็ขี้อายเช่นนี้นะหรือ?


 


 


พอพูดถึงปีศาจขึ้นมา นางก็อดไม่ได้ที่จะคิดไปถึงเจ้าจิ้งจอกน้อย


 


 


ช่วงเวลาที่เขาหายตัวไป ยังก่อนอาจารย์และจีเฉวียนตั้งนานเสียอีก ผ่านมากว่าครึ่งปีก็ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ เขาไม่เคยกลับมาหานางแม้แต่ครั้งเดียว และก็ไม่เคยมีแม้แต่ข่าวคราว


 


 


นางก้มศีรษะลงมองดูบุปผาวิญญาณในกระถางแวบหนึ่ง ในใจก็คิดไปว่า บางทีปีศาจพวกนี้อาจจะรู้ข่าวของเจ้าจิ้งจอกน้อยก็เป็นได้


 


 


นางจะต้องเสาะหาโอกาส เสาะหาปีศาจน้อยมาสักหลายๆตัว มาช่วยนางเสาะหาเจ้าจิ้งจอกน้อย


 


 


ฟ่านอิงเห็นนางเอาแต่จ้องมองดูบุปผาวิญญาณ ก็เอ่ยว่า “เจ้าของบุปผาวิญญาณแห่งจิ่วโจว คือเผ่าปีศาจ บุปผาวิญญาณนี้ไม่อาจได้มาโดยง่าย เพียงให้กับผู้มีวาสนา”


 


 


“หลันหลันมีวาสนากับเผ่าปีศาจ พวกเขาจึงได้มอบให้กับเจ้า เจ้าก็รับเอาไว้เถอะ ไม่มีอันตรายหรอก”


 


 


น้ำเสียงของฟ่านอิงแม้จะไม่น่าฟัง แต่ว่ายามที่พูดกับตู๋กูซิงหลันกลับอ่อนโยนขึ้นมาก


 


 


รูปลักษณ์ของเขาในตอนนี้ก็น่าเกลียดน่ากลัวอยู่แล้ว หากว่าน้ำเสียงยังคงเย็นชาอีกล่ะก็ คงจะทำให้นางต้องตกใจมากแล้ว


 


 


ท่านเจ้าสำนักยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง เขามองดูบุปผาวิญญาณของจิ่วโจว ขณะเดียวกันก็เหลือบตาไปมองดูเจ้าปีศาจสุนัขตัวน้อยที่วิ่งไปแอบหลังต้นไม้ใหญ่เสียไกล จมูกของเขาถึงกับขยับฟุดฟิด


 


 


ในอากาศมีกลิ่นของบางสิ่งที่เขาไม่ชอบ กลิ่นสุนัขจิ้งจอก


 


 


จมูกของเขาว่องไวกว่าผู้อื่นมาก แม้แต่ตู๋กูซิงหลันและฟ่านอิงต่างก็ยังไม่ได้กลิ่นนั้น


 


 


ท่านเจ้าสำนักขยับฝ่ามืออย่างไร้สุ้มเสียง ถ่ายทอดพลังออกไปโดยมิให้ผู้อื่นรู้สึกตัว


 


 


ตู๋กูซิงหลันรู้สึกแต่เพียงว่ามีสายลมหนาวหอบหนึ่งพัดผ่านด้านหลังไป พอนางหันไปดูก็เห็นด้วยตาหงส์ที่เย็นชาคู่นั้น


 


 


“มีอะไรหรือ?” นางถามออกไป


 


 


กริยายามสาวน้อยในชุดสีแดงตลอดร่างผู้หนึ่งประคองกระถางดอกไม้เอาไว้พลางหันมาหาเขานั้น ดวงตาดอกท้อมีแต่ความกระจ่างใสที่อธิบายไม่ถูก


 


 


“แค่ยุง ข้าเลยตบมันไปครั้งหนึ่ง”

 

 

 


ตอนที่ 581 เรียกร้องความสนใจจากนาง

 

ตู๋กูซิงหลัน “ ? ? ?” 


 


 


มียุง? 


 


 


ในเมืองว่านฮวาเฉิงถึงจะอบอุ่นอยู่ตลอดเวลาทั้งสี่ฤดู แต่ว่านับตั้งแต่ที่นางเข้ามาในเมืองจนถึงตอนนี้ แม้แต่ขายุงก็ยังไม่เคยเห็น แล้วจะมียุงมาจากที่ไหนได้กัน? 


 


 


เพราะเกรงว่านางจะไม่เชื่อ ท่านเจ้าสำนักถึงขนาดตบหน้าตัวเองอย่างเอาจริงไปฉาดหนึ่ง 


 


 


“เพียะ…” เสียงตบดังสดใส 


 


 


ฝ่ามือนั้นกำลังไม่เบา พอตบลงมา ใบหน้าของเขาถึงกับเป็นรอยห้านิ้ว 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “….” นางผิดไปแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่ควรไปคิดไปว่าเขาเป็นบุปผาสูงส่งที่เย็นชา ที่จริงแล้วเขาเป็นผีน้อยมากกว่า 


 


 


ไม่รู้ว่าเมื่อครู่แอบทำอะไรลับหลังนาง แถมยังเอาวิธีเด็กน้อยเช่นนี้มากลบเกลื่อนอีก 


 


 


ฟ่านอิงเหลือบตามองมาแวบหนึ่ง คนในราชวงศ์จีแต่ละคนเขาทำการสืบมาอย่างละเอียดชัดเจน จีเฉวียนเป็นคนเช่นไรเขาเองก็เข้าใจดี 


 


 


แน่นอนว่าไม่มีท่างทำนิสัยเด็กน้อยเช่นนี้ขึ้นมาเด็ดขาด 


 


 


เขาหัวเราะเสียงเย็นชาออกมาครั้งหนึ่ง 


 


 


บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองมักอึมครึมจนผู้คนต้องหวาดผวาอยู่เสมอ 


 


 


พี่รองเองก็แอบตามมาอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล จิตใจของเขาไม่อาจจะสงบลงได้เลย เขารู้สึกสังหรณ์ใจ เหมือนกับว่ากำลังจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา 


 


 


เพราะปฏิบัติการยอมรับฟ่านอิงเป็นท่านตาของน้องเล็ก มันช่างอันตรายเกินไปแล้ว 


 


 


ก่อนหน้าเขายังไม่เคยรู้จักชื่อแซ่ของเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนมาก่อน ตอนนี้เมื่อได้รู้แล้ว เขาไหนเลยจะไม่รู้ว่าที่จริงแล้วฟ่านอิงคือผู้ใด 


 


 


อดีตโหราจารย์ของแคว้นกู่เย่ว คู่หมั้นของเจ้าหญิงเจียงเย่ว นักรบและบุรุษที่หล่อเหล่าที่สุดในแคว้นกู่เย่ว เขามีชื่อเสียงและเกียรติภูมิมากมาย แต่สุดท้ายกลับตายอนาถกว่าใครทั้งสิ้น 


 


 


คนที่ตายอย่างอนาถเช่นนั้น จะมาเชื่อใจน้องเล็กง่ายๆได้อย่างไร 


 


 


มิใช่ว่าตู๋กูเจวี๋ยไม่เชื่อในฝีมือการแสดงของน้องเล็ก แต่ว่าคนที่ผ่านประสบการณ์เช่นนั้นมาก่อน เกรงว่าคงจะไม่มีทางเชื่อใจผู้อื่นได้ง่ายๆอีกแล้ว 


 


 


เขาเกรงแต่ว่าฟ่านอิงจะมีแผนการอื่น 


 


 


เพราะว่า…..ในตำหนักซิวหลัวเตี้ยนมีแต่เรื่องที่น่าหวาดกลังทั้งสิ้น 


 


 


…………… 


 


 


 


 


 


ในเมืองว่านฮวาเฉิง ยามกลางวันและกลางคืนนั้นเสมอกัน 


 


 


ทันทีที่พระอาทิตย์ตก ฟ้าก็มืดลงอย่างรวดเร็ว 


 


 


พอฟ้ามืด ทุกคนต่างก็พากันตื่นเต้นขึ้นมา 


 


 


เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อยามกลางวันแม้ว่าจะสร้างความประหลาดใจให้มากเพียงไร แต่ก็ไม่อาจยับยั้งความน่าตื่นเต้นดีใจของทุกคนในตอนนี้ไปได้ 


 


 


พอฟ้ามืดลงแล้ว ในเมืองว่านฮวาเฉิงจะมีการปล่อยโคมลอยขึ้นฟ้า นั่นเป็นภาพที่งดงามตรึงตาตรึงใจผู้คน 


 


 


อีกทั้งเป็นโอกาสให้พวกหนุ่มสาวได้สารภาพความในใจต่อกัน 


 


 


ฟ่านอิงเตรียมการเอาไว้อย่างเรียบร้อย ในเมื่อผู้อื่นมีโคมมาลอย หลานสาวของตนเองก็ต้องได้ลอยโคมด้วยเช่นกัน 


 


 


จะปล่อยโคมก็ปล่อยเถอะ แต่กลับลงทุนสร้างโคมจากทองคำแท้ขึ้นมา 


 


 


เมื่อคืนนี้เขามิได้พักผ่อน แต่ว่าไปกำชับกำชาเหล่าลูกน้องให้สร้างโคมลอยดวงนี้ขึ้นมา 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองดูโคมลอยที่วิจิตรงดงามตรงหน้า ในสมองก็พลันเกิดคำถามขึ้นมา 


 


 


ซาบซึ้งใจหรือไม่นั่นก็เรื่องหนึ่ง ที่สำคัญคือ ….. ของเล่นชิ้นนี้มันจะสามารถลอยขึ้นไปได้จริงๆน่ะหรือ? 


 


 


ต่อให้ลอยขึ้นไปได้ สุดท้ายแล้วก็ต้องตกลงมา 


 


 


ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าใครที่ไหนจะเป็นเจ้าโง่ผู้โชคดี เก็บโคมลอยทองคำดวงนี้ไปได้กัน? 


 


 


อยู่ๆตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา 


 


 


ท่านเจ้าสำนักยืนมองอยู่ข้างๆ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกขึ้นมาว่าตนเองคิดจะไรตื้นเขินจนเกินไป สู้คนแก่คนเฒ่าที่รู้จักเอาอกเอาใจสาวน้อยไม่ได้ 


 


 


ของเช่นนี้ดูโบราณเกินไป ศิษย์น้อยจะต้องไม่ชมชอบอย่างแน่นอน 


 


 


ฟ่านอิง “หลันหลันชอบหรือไม่?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “หากว่ามัน….ไม่ลอยขึ้นฟ้าไป ข้าคงจะชอบมากกว่า” 


 


 


ฟ่านอิง “ทองคำของซิวหลัวเตี้ยนมีอยู่มากมาย หากยังไม่พอ ตีเอาแคว้นทองคำมาเสียก็ได้” 


 


 


เจ้าแคว้นทองกำลังปล่อยโคมอยู้ใกล้ๆพอดี พอได้ยินคำพูดเช่นนั้น ถึงกับต้องอ้าปากค้าง 


 


 


หา? 


 


 


ช่วยไว้หน้ากันบ้างจะได้หรือไม่ เขาที่เป็นเจ้าของแคว้นทองคำยังยืนอยู่ข้างๆ พวกท่านก็ปรึกษากันอย่างเปิดเผยว่าจะตีแคว้นทองอย่างไรตรงนี้เลย? 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “ท่านตา ข้าว่าความคิดนี้ดีไม่เลวเลยเจ้าค่ะ” 


 


 


ในเมื่อเจ้าแคว้นทองผู้นั้นเบื่อหน่ายที่ตนเองมีทองคำมากจนเกินไป แค่โบกมือเบาๆก็ส่งมอบทองคำให้ซ่งชิงอีไปเป็นตัวแทนเขา หากนางไปตีชิงเอามาก็คงจะไม่ถือว่าเกินไป 


 


 


เจ้าแคว้นทอง ! 


 


 


เขารีบยื่นหน้าเข้าไปประจบประแจง “นั่นเอ่อ หากฮ่องเต้หญิงน้อยทรงโปรดละก็ พรุ่งนี้ข้าผู้เป็นอ๋องข้าจะให้คนนำกุญแจของเหมืองทองทางใต้มาทูลถวาย ….. พวกเราชาวแคว้นทองคำเคารพฮ่องเต้หญิงน้อยและซิวหลัวเตี้ยนอย่างที่สุด 


 


 


ว่าแล้ว เขาก็พลันเกิดความรู้สึกหนาวยะเยือกเข้าไปถึงข้างในกระดูก 


 


 


พอหันไปมองดูก็เห็นว่าเจ้าสำนักหยินหยางกำลังมองมาที่เขาอยู่ 


 


 


แค่นั้นเจ้าแคว้นทองก็รู้สึกขึ้นมาว่าพื้นใต้ฝ่าเท้าหนาวยะเยือกขึ้นมาแล้ว 


 


 


จึงได้รีบเสริมขึ้นมาอีกประโยคหนึ่งว่า “แน่นอน พวกเราเองก็เคารพสำนักหยินหยางอย่างที่สุดด้วยเช่นกัน” 


 


 


ถึงแม้ว่าในใจของเขาอยากจะขยับเข้าไปใกล้ๆกับตู๋กูซิงหลัน แต่ว่าสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดเตือนให้เขารีบถอยห่างจากสนามรบแห่งนี้ 


 


 


ท่านเจ้าสำนัก “ศิษย์น้อยชมชอบทองคำ ในเมื่อเจ้าให้ความเคารพอย่างหนักแน่น ก็เพิ่มมาอีกห้าเหมืองก็แล้วกัน” 


 


 


เจ้าแคว้นทองคำ “…..” 


 


 


แคว้นทองคำของพวกเขานั้นร่ำรวยก็จริง แต่สิงโตที่อ้าปากทีก็กลืนลงไปคำโตเช่นนี้เกินไปหน่อยแล้วมั้ง! 


 


 


ก่อนหน้านี้เขาเพียงแต่ล่วงเกินนางไปแค่เล็กน้อยเท่านั้นมิใช่หรือ จำเป็นต้องเอาคืนถึงเพียงนี้? 


 


 


แม้ว่าในใจของเขาจะก่นด่าบรรพชนของอีกฝ่ายไม่มีหยุด แต่ว่าต่อหน้าก็ยังไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาสักคำ 


 


 


บนใบหน้าของเขามีแต่เหงื่อเม็ดโตๆ แต่เมื่ออยู่ภายใต้สายตาดุจคมดาบของท่านเจ้าสำนัก เขาก็ได้แต่พยักหน้าติดๆกัน “สมควรๆ ส่งไปๆ” 


 


 


นี่มันสมควรแล้วที่ตรงไหนกัน! 


 


 


เจ้าแคว้นทองได้แต่ร่ำไห้อย่างไร้น้ำตา คิดๆดูแล้วต่อไปคงต้องออกมาเคลื่อนไหวให้น้อยกว่านี้เสียแล้ว หากออกจากบ้านแต่ละครั้งต้องถูกขูดรีดเช่นนี้ จะทนทานต่อไปได้อย่างไร 


 


 


………….. 


 


 


โคมลอยพลิ้วขึ้นไปทั่วทั้งท้องฟ้า กลีบดอกไม้สีแดงก็ร่วงลงมาไม่ขาดสาย กลายเป็นบรรยากาศยามค่ำคืนที่งดงามราวกับภาพฝัน 


 


 


ยามนี้ นับว่าเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขและงดงามที่สุดนับตั้งแต่ที่ตู๋กูซิงหลันมาถึงดินแดนจิ่วโจว 


 


 


ในมือของนางยังคงอุ้มกระถางบุปผาวิญญาณของจิ่วโจวเอาไว้ ในขณะที่นางไม่ทันได้สังเกต บุปผาวิญญาณก็ผลิบานออกมา 


 


 


บนกลีบดอกไม้ มีแสงเรืองรองนุ่มนวล ส่องประกายพลางไหลเข้าไปในถุงเฉียนคุณที่ห้อยบนปลายนิ้วของนางอย่างเงียบๆ 


 


 


ภายในถุงเฉียนคุณ กระถางดอกไม้ที่มีศิลาโลหิตฝังอยู่ เดิมทีที่เงียบสงบมาโดยตลอดพลันเกิดความเคลื่อนไหวขึ้นมา 


 


 


ที่ข้างกายของตู๋กูซิงหลัน ท่านเจ้าตำหนักที่ยืนมองอยู่อย่างเงียบๆมาโดยตลอดพลันเจ็บหัวใจขึ้นมาอย่างกระทันหัน 


 


 


ชั่วพริบตานั้น ในสมองของเขาเกิดภาพต่างๆขึ้นมามากมาย 


 


 


ราวกับว่ามีเข็มนับพันนับหมื่นมาระดมแทงเข้าไปในหัวของเขา 


 


 


เพียงแค่พริบตาเดียว สีหน้าของเขาก็พลันซีดขาว ภายใต้แสงไฟจากโคมลอยทั่วท้องฟ้า เขาดูอ่อนแออย่างยิ่ง 


 


 


ทั่วทั้งร่างเหมือนเป็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่พร้อมจะสูญสลายไปได้ทุกเมื่อ 


 


 


………… 


 


 


หลังความสนุกคึกครื้น เมื่อสายลมพัดพาอากาศที่สะอาดบริสุทธิ์ลอยมา ฟ่านอิงก็นำพวกเขากลับไปยังเกาะลอยฟ้าของซิวหลัวเตี้ยน 


 


 


ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะเคลิ้มหลับไป ประตูห้องก็ถูกเปิดขึ้นมา 


 


 


ใบหน้าของเจ้าตำหนักซีดขาว เข้ามายืนจ้องมองดูนางอยู่ตรงข้างหัวเตียง 


 


 


ที่ข้างหัวเตียงของตู๋กูซิงหลันยังวางกระถางบุปผาวิญญาณดอกนั้นเอาไว้ ดอกไม้มิได้ดูสดชื่นเหมือนเมื่อตอนกลางวัน หากแต่เ**่ยวเฉาราวกับถูกสูบพลังวิญญาณออกไปอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่เคยหลับลึกมาก่อน พอถูกเขาบุกเข้ามาอย่างกระทันหันเช่นนี้ ก็สะดุ้งขึ้นจากเตียงในทันที 


 


 


พอสบตาเข้ากับดวงตาหงส์คู่นนั้น แม้ว่าอยู่ใต้แสงเทียน แต่ก็ยังเห็นว่าดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดง 


 


 


“ศิษย์เอ๋ย” 


 


 


เขายืนตัวตรงดุจพู่กัน สายตาจับจ้องไปที่นาง 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “หือ? มีอะไรหรือ?” 


 


 


ทำไมสีหน้าของเขาดูผิดปกติเช่นนั้น…. 


 


 


“อาจารย์กลับมาแล้ว” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “เจ้าก็อยู่ที่นี่อยู่ตลอดไม่ใช่หรือ?” 


 


 


ทันใดนั้น นางก็นึกอะไรขึ้นมาได้ แผ่นหลังตั้งตรงขึ้นมาเช่นกัน 

 

 

 


ตอนที่ 582 แต่สิ่งที่เจ้าจดจำได้ก็ไม่...

 

‘อาจารย์กลับมาแล้ว’ คำพูดนั้นเหมือนเสียงปีศาจที่ดังสะท้อนอยู่ในสมองของนางกลับไปกลับมา 


 


 


ตู๋กูซิงหลันจ้องไปที่เขา พอเห็นดวงหน้าที่ซีดขาว ด้วยตาก็อดไม่ได้ที่จะโตขึ้นไปอีก 


 


 


ในตอนนั้น นางรู้สึกว่าได้ยินเสียงหัวใจของตนเองเต้นถี่ขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทียิ่งรวดเร็วๆ ราวกับว่าจะกระดอนออกมาจากในอกอยู่แล้ว 


 


 


ในที่สุดนางก็ลุกขึ้นมานั่งดีๆบนเตียง ริมฝีปากสีแดงขยับ เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเทาว่า “อาจารย์….” 


 


 


ในที่สุด…..ท่านก็กลับมาแล้ว 


 


 


ที่แท้แล้วก็เป็นท่านอาจารย์จริงๆใช่ไหม? 


 


 


ก่อนหน้านี้นางรู้สึกไปเองว่าเขาคล้ายจะค่อนไปทางจีเฉวียนมากกว่าหน่อย 


 


 


หัวใจของนางมีแต่ความสับสนวุ่นวายไปหมดแล้ว ทั้งตื่นเต้นยินดี แต่ก็รู้สึกว่าว่างเปล่าอย่างแปลกๆเช่นกัน 


 


 


อาจารย์กลับมาแล้ว เช่นนั้นเมื่อไหร่จีเฉวียนถึงจะกลับมา? 


 


 


พอได้ยินนางเรียกอาจารย์คำหนึ่ง ท่านเจ้าสำนักก็ชะงักค้างไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินนางเรียกเขาเป็นอาจารย์อย่างจริงจังเช่นนี้ 


 


 


ดวงตาทั้งคู่ของเขาสั่นไหว ยืนนิ่งอยู่ที่ข้างเตียงอยู่พักใหญ่ สายลมจากนอกหน้าต่างพัดเข้ามา เป่าเส้นผมของเขาจนปลิวกระจาย เส้นผมพลิ้วผ่านริมฝีปากสีแดงดุจกลีบบัวนั้นไป ดูเย้ายวนน่าหลงใหลอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


พักใหญ่ ท่านเจ้าสำนักค่อยขยับตัวขึ้นมา 


 


 


เขาหยิบเอาสุราหมักดอกกุ้ยออกมาไหหนึ่ง ทั้งยังมีขาหมูชิ้นใหญ่ 


 


 


“อาจารย์ไปซื้อเหล้าและเนื้อกลับมาแล้ว” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “? ? ?” 


 


 


ตกลงแล้วเขาคือตู๋กูต้าฉุยหรือว่าท่านอาจารย์ซือมั่วกันแน่? 


 


 


“นอนไม่หลับ เจ้าลุกขึ้นมาคุยเป็นเพื่อนอาจารย์เถอะ” 


 


 


ว่าแล้ว เขาก็เดินไปที่โต๊ะเตี้ย จัดแจงไหสุราดอกกุ้ยและขาหมูด้วยตนเอง แล้วก็นั่งลงที่ข้างโต๊ะ หยิบมีดสั้นที่ติดตัวเอาไว้อยู่เสมอออกมา เริ่มแล่เนื้อออกมาเป็นแผ่นๆให้กับตู๋กูซิงหลัน 


 


 


ถึงแม้ว่าจะเป็นขาหมู แต่ว่าท่านเจ้าสำนักก็ยังสามารถแล่ออกมาได้บางดุจกระดาษ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันพิงร่างกับเตียง ผ่านไปพักใหญ่ก็ยังไม่อาจเรียกสติกลับมา 


 


 


กระทั่งได้เห็นท่านเจ้าสำนักแล่เนื้อออกมาให้นางจานใหญ่ นางจึงค่อยลุกขึ้นจากเตียง เดินลงมาถึงข้างกายของเขาโดยไม่ได้สวมรองเท้า  


 


 


พื้นในเกาะลอยฟ้าของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนปูด้วยไม้ จึงไม่ค่อยเย็นเท่าไร 


 


 


ท่านเจ้าสำนักเหลือบตามองดูอยู่สองแวบ 


 


 


เท้าของศิษย์น้อยไม่เล็ก รูปร่างของนางค่อนข้างสูง เท้าจึงใหญ่กว่าสตรีทั่วไปอยู่เล็กน้อย  


 


 


แต่ว่าเท้าทั้งสองข้างเรียบลื่นเรียวยาวดุจชิ้นหยก ขาวสะอาดราวหิมะ ยามเดินก็เป็นเส้นสายที่ดูงดงามอ่อนช้อย ทำให้คนอดที่จะคิดเอามากุมเอาไว้ในมือไม่ได้…. 


 


 


กว่าที่เขาจะดึงสายตากลับไป ตู๋กูซิงหลันก็นั่งลงตรงหน้าเขาแล้ว ดวงตาดอกท้อคู่นั้นจับจ้องไปที่เขา 


 


 


พอมองดูขาหมูที่วางอยู่จนล้นจาน ในใจก็ปลงได้ คนที่อยู่ตรงหน้า ยังคงเป็นท่านเจ้าสำนัก ไม่ใช่อาจารย์ซื่อมั่วของนาง 


 


 


ท่านเจ้าสำนักขยับจานเนื้อมาวางตรงหน้าของนาง ทั้งยังเทสุราออกมาสองถ้วย 


 


 


กลิ่นหอมสมกับที่เป็นสุราดอกกุ้ย 


 


 


อยู่ๆ ตู๋กูซิงหลันก็พลันคิดไปถึงต้นดอกกุ้ยที่อยู่ในวังแคว้นต้าโจวขึ้นมา 


 


 


ดอกกุ้ย เป็นดอกไม้ที่พระมารดาของจีเฉวียน ฉางวุนฮองเฮาโปรดปรานที่สุด 


 


 


“เมื่อหัวค่ำตอนที่ปล่อยโคมลอย ในสมองของอาจารย์อยู่ๆก็มีภาพปรากฏขึ้นมา” 


 


 


ท่านเจ้าสำนักประคองจอกสุราเอาไว้ในมือ ดื่มเองก่อนอึกหนึ่ง 


 


 


ภาพที่อยู่ๆก็ปรากฏขึ้นมา ทำให้หัวใจของเขาหวั่นไหว อีกทั้งยังรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่าง สมองเหมือนกับจะระเบิด 


 


 


“เห็นอะไรหรือ?” ตู๋กูซิงหลันสวมใส่แค่เพียงชุดนอน บนร่างมีผ้าคลุมชิ้นหนึ่งทับอยู่ เส้นผมเคลียไปตามเนื้อผ้า ไล้อยู่บนร่างตามธรรมชาติ 


 


 


เส้นผมยาวสลวบสีเงินอมดำขดเป็นวง ทอประกายสว่างจางๆล้อมกรอบใบหน้าของสาวน้อย เพิ่มพูนความนุ่มนวลปนเกียจคร้าน 


 


 


“เห็นตัวเจ้า” ท่านเจ้าสำนักยังคงนั่งคุกเขานิ่งๆ แผ่นหลังตั้งตรงเช่นเดิม ด้วยท่าทางเคร่งครึมจริงจังอยู่เสมอ 


 


 


นั่งนิ่งอย่างมั่นคง ไม่มีวอกแวก 


 


 


“ข้าหรือ?” ตู๋กูซิงหลันชี้มาที่ตนเอง ดึกดื่นค่อนคืนแล้วแล้วพอได้เห็นขาหมู ก็ชักจะหิวขึ้นมาแล้ว 


 


 


“อืม?” ท่านเจ้าสำนักพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็จิมสุราลงไปอีกอึกหนึ่ง ปลายนิ้วของเขาเคาะลงไปบนโต๊ะเบาๆ ทบทวนภาพที่ได้เห็นในสมองอีกครั้งหนึ่ง 


 


 


“สิ่งอื่นๆข้ามองเห็นไม่ชัดเจนสักเท่าไหร่ มีแต่เจ้าผู้เดียวที่เห็นได้อย่างชัดเจน” 


 


 


ว่าแล้ว เขาก็เสริมขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง “ศิษย์เอ๋ย อาจารย์รู้จักเจ้ามาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วสินะ” 


 


 


น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่ง ถึงแม้ว่าเขาอาจจะไม่เคยเชื่อถือคำพูดของผู้อื่น แต่ว่าภาพที่ปรากฏขึ้นมาในสมองของตนเองนั้น เขาเชื่อ 


 


 


คนที่แข็งแกร่งเช่นเขา ในใต้หล้านี้ไม่มีใครที่สามารถจะมาเล่นตุกติกกับสมองและการรับรู้ของเขาได้อยู่แล้ว 


 


 


ดังนั้นทุกสิ่งที่เขาได้เห็นในสมอง ย่อมเป็นเรื่องจริง 


 


 


“อย่างอื่นล่ะ ไม่เห็นอะไรอีกแล้วหรือ?” หัวใจของตู๋กูซิงหลันเหมือนถูกแมวข่วน นางกำลังอยากรู้อยากเห็นอย่างยิ่งว่าท่านเจ้าสำนักไปเห็นภาพอะไรมา 


 


 


ภาพที่ปรากฏขึ้นในสมองของเขา ก็สมควรจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขาที่เขาเคยเห็นมาก่อน 


 


 


นอกจากจะเป็นอาจารย์และจีเฉวียน….จะมีใครได้อีก 


 


 


ในเมื่อศิษย์น้อยพูดเช่นนี้ ท่านเจ้าสำนักย่อมต้องให้หน้า ย้อนคิดกลับไปอีกครั้ง 


 


 


“ตัวข้าที่เจ้าเห็นในสมอง คือข้าที่เป็นเช่นไร?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเปลี่ยนวิธีถาม 


 


 


“ดอกไม้ บนร่างของเจ้ามีดอกไม้มากมาย” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “หือ?” 


 


 


ถึงแม้ว่านางจะชอบดอกไม้ แต่ก็ไม่มีทางเอามากองอยู่บนตัว 


 


 


“ดอกฮว๋ายฮวา” 


 


 


พอเหล้าลงท้องไปหลายถ้วย ใบหน้าของท่านเจ้าสำนักก็จับสีเลือดขึ้นมา 


 


 


ในสมองของเขา ด้านหลังของนางคือต้นหว๋ายต้นใหญ่ บนต้นมีดอกฮว๋ายผลิบานอยู่มากมาย กลีบดอกพลิ้วลงมาอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังหมุนวนอยู่รอบกายนาง 


 


 


อีกทั้งยังมีภูติผีดวงวิญญาณ….จำนวนมากมายนับไม่ถ้วนอยู่รอบตัวนางอีกด้วย…. 


 


 


เรื่องที่ในร่างของศิษย์น้อยมีหยกสรรพชีวิตอยู่นั้นเขารู้ดี 


 


 


เรื่องที่นางสามารถใช้ยันต์ได้เขาก็รู้ 


 


 


แต่ว่าในสมองของเขา เหล่าภูติผีวิญญาณแค้นที่รายล้อมนางอยู่นั้น…..คล้ายจะรวมตัวกันจนกลายเป็นเขตอาคมวิญญาณที่สมบูรณ์แบบชั้นหนึ่ง 


 


 


ส่วนนางก็อยู่ในใจกลางที่น่าขนลุกนั่น 


 


 


ศิษย์น้อยที่เป็นเช่นนั้น เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย 


 


 


ท่านเจ้าสำนักเล่าภาพที่ได้เห็นมาทั้งหมดให้นางฟัง ตู๋กูซิงหลันก็ฟังด้วยความตื่นตะลึง 


 


 


นี่อยู่ๆก็มีผีต้นฮว๋ายออกมาหรือยังไง? 


 


 


พอเอ่ยถึงต้นฮว๋าย สิ่งแรกที่นางนึกถึงก็คือไม้คฑาของนาง 


 


 


ไม้คฑาสุดโกงนั่น นำออกมาจากต้นฮว๋ายที่ปลูกอยู่ในธารน้ำพุเหลือง 


 


 


ต้นไม้ต้นนั้น แค่ดูก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ธรรมดา 


 


 


เห็นได้ชัดว่า นางที่ปรากฏขึ้นในสมองของท่านเจ้าสำนัก ก็คือนาง แต่ก็ไม่ใช่นาง… 


 


 


คนที่พบเจอภูติผีอยู่เสมอเช่นนาง ยังวิ่งหนีได้เร็วกว่ากระต่ายเสียอีก มีหรือจะไปยืนอยู่ตรงนั้นเฉยๆ 


 


 


ท่านเจ้าสำนักเองก็มิได้สนใจว่านางจะเชื่อถือหรือไม่ พอดื่มเหล้าไปติดๆกันถึงครึ่งไห ใบหน้าที่ขาวประดุจหยก ก็เปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อขึ้นมา 


 


 


อยู่ๆเขาก็วางจอกสุราในมือลง ดวงตาหงส์ทอประกายเจิดจ้า หันมาจับจ้องนาง “ศิษย์น้อย เจ้าเชื่อเรื่องชาตินี้และชาติก่อนหรือไม่?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “ทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกฝนบำเพ็ญเพียร แน่นอนว่าต้องเชื่ออยู่แล้ว” 


 


 


คนพอตายแล้ว วิญญาณก็จะไปที่ธารน้ำพุเหลือง….หลังผ่านความยากลำบากและทุกข์ทรมานช่วงหนึ่ง ค่อยถูกส่งไปยังนรกหรือไม่ก็เกิดใหม่ในครรภ์ 


 


 


พอได้รับคำตอบเช่นนี้จากนาง ท่านเจ้าสำนักก็คลี่ยิ้มออกมาจางๆ บนร่างของเขามีกลิ่นสุรา น้ำเสียงก็เมามายอยู่หลายส่วน “บางที อาจารย์อาจเคยได้เจอกับเจ้ามาตั้งแต่ชาติก่อนแล้วกระมั้ง” 


 


 


“คนที่แข็งแกร่งเช่นอาจารย์ ต่อให้ดื่มน้ำแกงของยายเมิ่งลงไป พอนานวันเข้าก็อาจจะเสื่อมฤทธิ์เข้าก็เป็นได้” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันขมวดหัวคิ้ว สวรรค์ ในฐานะที่เคยข้ามผ่านประสบการณ์จากโลกอื่นมาก่อน เขายังจะเอ่ยคำว่า ‘เสื่อมฤทธิ์’ สองคำนี้ออกมาอีกหรือ? 


 


 


ใครจะเชื่อ? 


 


 


“แต่ว่าเจ้าก็ยังคงจดจำเรื่องราวระหว่างพวกเราไม่ได้อยู่ดี” 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)