หมอดูยอดอัจฉริยะ 578-583

 ตอนที่ 578 ภาพดันหลัง

โดย

Ink Stone_Fantasy

เถาซานอี้จากไปไม่นาน จั่วเจียจวิ้นก็กลับเข้ามายังคฤหาสน์ เมื่อเทียบกับสีหน้าห่อเหี่ยวของเยี่ยเทียนแล้ว “ปรมาจารย์จั่ว” มีความสุขเหลือล้น เปล่งประกายอย่างที่สุด


หลังจากเยี่ยเทียนประลองได้ชัยชนะแล้วค่อย ๆ ถอนตัวออกมา จั่วเจียจวิ้นก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยมหาเศรษฐีพวกนั้นทันที


 บ้างก็เชื้อเชิญให้ทำนายฮวงจุ้ยภูมิลักษณ์ บ้างก็ขอให้เขาทำนายชื่อ โดยรวมจั่วเจียจวิ้นก็คือตัวเอกงานเลี้ยงในวันนี้  กลบรัศมีเศรษฐีหมื่นล้านพวกนั้นจนหมด


อีกทั้งเพื่อนร่วมวงการฮวงจุ้ยในฮ่องกง หลังจากที่ได้ยินไช่หยางชิวบอกว่าพวกเขาจะดำเนินตามแนวทางของจั่วเจียจวิ้น ก็ยิ่งถือเป็นเรื่องเชิดหน้าชูตาอย่างที่สุด ราวกับยกย่องให้จั่วเจียจวิ้นเป็นปรมาจารย์ฮวงจุ้ยอันดับหนึ่งในยุคปัจจุบัน


ดีที่สมองจั่วเจียจวิ้นยังไม่ไข้ขึ้น รู้ว่าในสำนักยังมีพี่น้องที่เหนือกว่าเขาอีกสองคน แต่ก็ถูกผู้คนมอมเหล้าไปไม่น้อย ขนาดอยู่แต่ไกลยังได้กลิ่นเหล้าโชย


“ศิษย์น้องรอง วันนี้ดื่มไปไม่น้อยสินะ?”


เห็นจั่วเจียจวิ้นมีท่าทางมึนเมามากมายอย่างนั้น โก่วซินเจียก็ส่ายหน้ากล่าวว่า “มาพบกับ ไหวจิ่นสิ แต่ว่าเธอต้องนับเขาเป็นรุ่นพี่ล่ะ!”


พอได้ยินคำพูดของโก่วซินเจียแล้ว จั่วเจียจวิ้นก็สร่างเมาขึ้นมาในทันที หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก กลิ่นเหล้าที่ฟุ้งลอยในอากาศรอบตัวเขา ก็ถูกเขาขับฤทธิ์สุราภายในตัวกำจัดออกมาจนหมดสิ้น


พอบังคับฤทธิ์สุราออกแล้ว จั่วเจียจวิ้นก็เดินไปยังข้างหน้าหนานไหวจิ่น  ประสานมือโค้งตัวคำนับ เอ่ยปากว่า “ศิษย์พี่หนาน พี่กับผมรู้จักกันมายี่สิบกว่าปี แต่กลับไม่รู้ว่าระหว่างเราสองมีต้นกำเนิดเช่นนี้  ยินดีต้อนรับสู่ฮ่องกงครับ!”


ครั้งนั้นที่จั่วเจียจวิ้นคำนับหลี่ซั่นหยวนเป็นอาจารย์ เป็นช่วงเวลาที่มีเหตุการณ์หลากหลายเกิดขึ้นบ่อยครั้งในประเทศ


 ความสัมพันธ์ต่อดินแดนนอกน่านน้ำจึงเป็นข้อห้ามอย่างมาก ดังนั้นนอกจากลูกศิษย์คนแรกแล้ว หลี่ซั่นหยวนก็ไม่ได้เอ่ยถึงหนานไหวจิ่น


แน่นอนว่า  พอถึงยุคสมัยชีวิตของเยี่ยเทียน กลับตรงกันข้ามกับเมื่อในอดีต หากสำนักไหนมีความสัมพันธ์กับต่างชาติ เป็นต้องป่าวประกาศถึงสิบลี้แปดหมู่บ้าน จึงเป็นสาเหตุที่เยี่ยเทียนรู้จักหนานไหวจิ่น


หนานไหวจิ่นยกมือขวาผอมแห้งขึ้น ประคองมือจั่วเจียจวิ้นขึ้นเล็กน้อย ยิ้มกล่าวว่า “ศิษย์น้องจั่ว ทีแรกฉันถามเธอว่าอาจารย์มาจากสำนักพยากรณ์เสื้อป่านหรือไม่ น้องปิดบังเสียแนบเนียน!”


หนานไหวจิ่นรู้เรื่องสำนักพยากรณ์เสื้อป่านอย่างลึกซึ้ง ในอดีตเห็นวิธีการทำนายดวงชะตาของจั่วเจียจวิ้น ก็สงสัยว่าต้นกำเนิดของเขาเกี่ยวข้องกับสำนักพยากรณ์เสื้อป่าน จึงเคยลองถามหยั่งเชิง


เพียงแต่ว่าตอนนั้นจั่วเจียจวิ้นเพิ่งมาถึงฮ่องกงไม่นาน ระแวดระวังผู้คนอย่างมาก จึงหาข้ออ้างปกปิดเรื่องในอดีตไป ในยุทธภพการถามเรื่องสืบทอดวิชาเป็นข้อห้าม ด้วยเหตุนั้นหนานไหวจิ่นจึงไม่ซักถามต่อ


ถูกมือขวาของหนานไหวจิ่นยันเอาไว้จึงไม่อาจคำนับลงไป จั่วเจียจวิ้นแค่นหัวเราะออกมา กล่าวว่า “ศิษย์พี่หนาน พี่ก็รู้ว่าอาจารย์ไม่ชอบเป็นที่รู้จัก หากไม่ได้รับอนุญาตจากอาจารย์ ผมเลยไหนจะกล้าลืมตัวแพร่งพรายเรื่องสืบทอดวิชา”


จั่วเจียจวิ้นมายังฮ่องกง ก็เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ภายในเหล่านั้น เขาถูกข่มขู่จากในแผ่นดินใหญ่จนหวาดวิตก ช่วงแรกที่มาถึงฮ่องกงจึงต้องทำตัวหลบหลีกปิดบังตัว ในอดีตนับว่าถ่อมตนอย่างมาก


“เอ๋? ศิษย์น้องจั่ว เธอเองก็เข้าถึงปรมัตถ์แล้วหรือ?”


หลังจากปล่อยมือจั่วเจียจวิ้นแล้ว หนานไหวจิ่นพบว่า จั่วเจียจวิ้นที่สิบปีก่อนยังไม่เข้าสู่พลังลมปราณแฝง ปัจจุบันราวกับมีพลังถึงขั้นปรมัตถ์ จึงอดสะดุ้งในใจไม่ได้


อันที่จริงจากพลังภายนอกเข้าสู่พลังลมปราณแฝงมีอุปสรรค  ถ้าหากอายุห้าสิบยังไม่อาจผ่านไป ตามหลักก็ไม่มีหวังแล้ว ชั่วชีวิตคงต้องจอดอยู่ที่ตรงนั้น


อีกทั้งจากพลังลมปราณแฝงเข้าสู่ขั้นปรมัตถ์ มีกำแพงกั้นโดยธรรมชาติ ในหมู่คนฝึกวิชาวิทยายุทธร้อยคน สักหนึ่งคนที่จะเข้าถึงขั้นปรมัตถ์นั้นยาก


จากยุคโบราณจวบจนปัจจุบันยอดฝีมือในตำนานเหล่านั้น เฉกเช่น คงคงเอ๋อร์ในราชวงศ์ถัง จางซันเฟิงในราชวงศ์ หมิง บุคคลผู้เป็นเทพเซียนบนโลกนี้ ความจริงแล้วก็มีวิชาถึงขั้นปรมัตถ์ แสดงให้เห็นความยากลำบากในการก้าวข้ามอุปสรรคได้อย่างชัดเจน


หนานไหวจิ่นศึกษาบันทึกโบราณของศาสนาพุทธ ลัทธิเต๋าและหรูสามสำนัก ดูเหมือนว่านอกจากบุคคลในตำนานเหล่านั้น ก็ไม่เคยได้ยินสำนักไหนปรากฏยอดฝีมือสามปรมัตถ์ในหนึ่งสำนักอีก


จั่วเจียจวิ้นส่งสายตาซาบซึ้งใจไปทางเยี่ยเทียน  กล่าวว่า “ทั้งหมดนี้อาศัยศิษย์น้องเล็ก ผมจึงสามารถเข้าถึงระดับปรมัตถ์ได้!”


จั่วเจียจวิ้นรู้ดีว่าหากไม่มีเยี่ยเทียนมอบทักษะวิชา หากไม่มีพลังลมปราณที่เรือนสี่ประสานในเมืองหลวงหลังนั้น ความต้องการบรรลุเข้าขั้นปรมัตถ์ของตนเอง ก็เป็นดังคนโง่พูดจาเพ้อเจ้อ ที่เขายกคุณงามความดีให้กับเยี่ยเทียน ไม่ได้เอ่ยยกยอเกินเลยแม้เพียงคำเดียว


หนานไหวจิ่นสามารถฟังออกถึงความจริงใจในน้ำเสียงของจั่วเจียจวิ้น ได้ยินแล้วอดพิจารณาเยี่ยเทียนใหม่ไม่ได้  เดิมทีเขาก็มองเยี่ยเทียนสูงส่งไม่น้อย แต่คาดไม่ถึงว่าตนเองจะยังดูแคลนเด็กหนุ่มคนนี้


” ศิษย์พี่หนาน พี่มองผมอย่างนี้ ผมออกจะละอายใจ”


ทั้งคู่ต่างเป็นยอดฝีมือระดับปรมัตถ์ แรงกดดันบางเบาจากบนตัวหนานไหวจิ่น จึงไม่เป็นผลดีต่อเยี่ยเทียนแม้แต่น้อย  พอเห็นสายตาของหนานไหวจิ่นแล้ว เยี่ยเทียนจึงอดพูดจาหยอกล้อไม่ได้


“ไม่ต้องกระดากใจ ขอยืมสถานที่นี้ของเธอ ฟูมฟักลูกศิษย์มีวิชาระดับปรมัตถ์ออกมาหนึ่งคนให้ฉันก็พอแล้ว”


หนานไหวจิ่นได้ยินเข้าก็หัวเราะออกมา ตัวเขาเป็นคนมีนิสัยเปิดเผย คิดอะไรก็พูด ไม่ทำตัวเป็นคนนอกแม้แต่นิดเดียว


“เถาซานอี้ไม่ไหวหรอกครับ”


เยี่ยเทียนส่ายหน้ากล่าว “ศิษย์พี่เองก็คงเคยสังเกตวิชาของเขาหรือตรวจโครงสร้าง ลูกศิษย์ใหญ่คนนี้ของพี่พื้นฐานมีขีดจำกัด เกรงว่าตลอดชีวิตนี้คงอยู่ที่ขั้นพลังลมปราณแฝง”


ผู้อ่านมากมายคงล้วนเคยเห็นในนิยายกำลังภายใน คนที่ฝึกวิทยายุทธ มักพูดถึง “โครงสร้างกระดูก”


ในนิยายพวกนี้ ผู้มีโครงสร้างกระดูกดีเลิศ  จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆได้อย่างรวดเร็ว ในทางกลับกันเห็นได้ชัดว่ามีคนโง่อยู่บ้าง หรือแม้กระทั่งมีเหตุการณ์ที่อาจารย์ต่อสู้อย่างดุเดือดเพื่อลูกศิษย์


คำกล่าวของนักเขียนนิยาย ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลไปซะทั้งหมด เพราะเมื่อสำนักพยากรณ์รับลูกศิษย์ โครงสร้างกระดูกถือเป็นขั้นแรก โครงสร้างกระดูกของคนคนหนึ่งเป็นอย่างไร มักตัดสินได้ว่าชีวิตนี้เขาสามารถไปถึงระดับไหน


เยี่ยเทียนพบหลี่ซั่นหยวนครั้งแรกตอนอายุห้าขวบ ก็ถูกนักพรตเฒ่าจับเปลือยกายล่อนจ้อน สำรวจโครงร่างตั้งแต่หัวจรดเท้า เสร็จแล้วก็ตะโกนสรรเสริญขึ้นมาสามคำ จากนั้นถึงจับตัวเยี่ยเทียนไปเป็นศิษย์


หากว่าเยี่ยเทียนเป็นคนประเภทโครงสร้างกระดูกอ่อนด้อย นักพรตเฒ่าไหนเลยจะลงทุนลงแรงเก็บสมุนไพรเพื่อเขา เกรงว่าต่อให้เยี่ยเทียนคุกเข่าถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนนักพรตเฒ่าก็คงไม่ยอมรับเข้าสำนัก


แต่ว่าโครงสร้างกระดูกของเถาซานอี้ มีคุณสมบัติอยู่ที่ขั้นกลาง ยากที่จะฝึกฝนถึงขั้นสำเร็จยิ่งใหญ่ ด้วยเหตุนั้นเยี่ยเทียนจึงพูดออกมาเช่นนี้


“เฮ้อ พี่ต้มสมุนไพรให้เขากินมาตั้งแต่เด็ก หวังอยากพัฒนาพื้นฐานของเขา นึกไม่ถึงว่าจนสุดท้ายก็ยังไม่สำเร็จ “


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน หนานไหวจิ่นก็ถอนหายใจออกมา เขาหรือจะดูโครงสร้างกระดูกของลูกศิษย์ตัวเองไม่ออก เพียงนึกวาดฝันในใจเล็กน้อย แต่กลับถูกเยี่ยเทียนปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย


“ศิษย์พี่หนาน จากวรยุทธ์ของพี่ อย่างน้อยยังมีอายุขัยอีกสิบกว่าปี ช่วงเวลานี้เพียงพอให้พี่หาลูกศิษย์เพิ่มก่อนปิดสำนัก”


 ในหมู่สำนักพยากรณ์ เกิดแก่เจ็บตายไม่ใช่เรื่องต้องห้าม เยี่ยเทียนพูดตรง ๆ ว่า “วันหลังขอเพียงศิษย์พี่หนานส่งคนมา ก็สามารถฝึกวิชาภายในค่ายกลรวมลมปราณนี้ได้อย่างเต็มที่ พี่ว่าดีไหม?”


“ได้ งั้นตกลงตามนั้น!” หนานไหวจิ่นก็เป็นคนถือได้และปล่อยวางเป็น หัวเราะขึ้นเสียงดัง “เป็นศิษย์น้องเยี่ยที่มองทะลุปรุโปร่ง ฉันออกจะยึดติดไปหน่อย”


“จริงสิ ศิษย์พี่หนาน ผมมีเรื่องหนึ่งอยากถาม ไม่ทราบว่าพี่รู้หรือไม่?”


สำหรับสำนักพยากรณ์ การสืบทอดนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญ เยี่ยเทียนไม่อยากเป็นเหตุให้หนานไหวจิ่นขุ่นเคืองใจ จึงเปลี่ยนประเด็นทันที


“ศิษย์น้องเยี่ย พี่ไม่ถึงกับคิดไม่ตกขนาดนั้น”


หนานไหวจิ่นมองออกถึงความคิดของเยี่ยเทียน จึงส่ายหน้ายิ้มตอบ “พูดมาเถอะ เรื่องอะไร ขอเพียงเป็นเรื่องที่ฉันรู้ ย่อมตอบแน่นอน!”


“ศิษย์พี่หนานครับ ผมอยากรู้ว่า ในพิพิทธภัณฑ์กู้กงที่ไต้หวัน มีของชิ้นหนึ่งไหม?” พูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเยี่ยเทียนก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันที


ได้ยินเยี่ยเทียนถามถึงเรื่องนี้ หนานไหวจิ่นก็เลิกคิ้วพูดว่า “ของอะไร? ฉันคุ้นเคยกับพิพิธภัณฑ์กู้กงนั้นอย่างมาก ของภายในแปดถึงเก้าในสิบส่วนฉันล้วนเคยสัมผัสมาหมด”


หนานไหวจิ่นไม่ได้เป็นเพียงปรมาจารย์ศาสตร์ประจำชาติ เชี่ยวชาญหลากทฤษฎีหลายสำนัก ขณะเดียวกันก็เป็นปรมาจารย์ด้านสุนทรีย์ ค้นคว้าวิจัยวัตถุโบราณหลักหลายชนิดอย่างลึกซึ้ง


หลายต่อหลายครั้งเวลาปรับปรุงพิพิธภัฑ์กู้กงที่ไต้หวัน หนานไหวจิ่นล้วนเคยเข้าร่วมด้วย จึงไม่ถือเป็นการอวดอ้างต่อเยี่ยเทียน


“ศิษย์พี่หนาน ที่นั่นมีภาพดันหลังไหมครับ?”


เยี่ยเทียนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องเสียดายอย่างหนึ่งของท่านอาจารย์ คือตลอดทั้งชีวิตก็ยังไม่เคยเสาะหาจนได้เห็นภาพดันหลัง ในฐานะลูกศิษย์จึงอยากทำความปรารถนานี้ของท่านอาจารย์ให้สำเร็จ!”


นับตั้งแต่วัยกลางคน หลี่ซั่นหยวนก็ท่องเที่ยวไปรับหน้าที่สอนในโรงเรียนชื่อดังหลายแห่งในแผ่นดินใหญ่ แต่ใช้เวลาสิบกว่าปีก็ยังไม่เคยได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับภาพดันหลังแม้แต่น้อย


 ก่อนใกล้กลายร่างเป็นเทพเซียน หลี่ซั่นหยวนเคยพูดเรื่องนี้กับเยี่ยเทียน เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องเดียวที่ค้างคาใจไม่หายของเขาก่อนจากไป


หลี่ซั่นหยวนเคยสงสัยว่า ภาพดันหลังนั้นบางทีอาจจะถูกแอบซ่อนอยู่ภายในตำราโบราณจำนวนมหาศาลที่กู้กง แล้วถูกย้ายไปไต้หวัน ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงถามขึ้นอย่างนี้


“ภาพดันหลังหรือ?”


ได้ยินคำถามของเยี่ยเทียนคือเรื่องนี้ สีหน้าของหนานไหวจิ่นก็ออกจะประหลาดใจเล็กน้อย ภาพดันหลังเป็นตำราพิสดารในหมู่สำนักพยากรณ์ตลอดมา คนที่ตามหามันเกรงว่าคงจะเป็นความปรารถนาของทุกคนในสำนักพยากรณ์หรือเปล่า?


“ในพิพิธภัณฑ์กู้กงที่ไต้หวันไม่มีตำราเล่มนี้หรอก!”


หนานไหวจิ่นส่ายหน้า หลังจากครุ่นคิดอยู่สักครู่ก็พูดว่า “แต่ฉันเคยได้ยินข่าวคราวของตำราดันหลังอยู่บ้าง แค่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือลวง”


“เอ๋? ไหวจิ่น เล่าให้ฟังหน่อยสิ” บทสนทนาของทั้งสองทางดึงดูดความสนใจของโก่วซินเจียเช่นกัน ภาพดันหลังก็มีแรงดึงดูดต่อเขาอย่างใหญ่หลวง


หนานไหวจิ่นกล่าวว่า “ตอนอยู่ที่อังกฤษผมเคยรู้จักศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการซ่อมแซมของโบราณอยู่ท่านหนึ่ง ตัวเขาเองก็ชื่นชอบสมบัติทางวัฒนธรรมตะวันออกเช่นกัน ผมจึงพอได้ยินเรื่องเกี่ยวกับภาพดันหลังจากปากเขามาบ้าง…”


ที่แท้เมื่อแปดปีก่อนตอนหนานไหวจิ่นศึกษาค้นคว้าอยู่ที่ยุโรป ได้ทำความรู้จักชาวอังกฤษคนหนึ่ง ทั้งสองต่างมีความสนอกสนใจในวัฒนธรรมตะวันออก คุยไปคุยมาก็เข้าเรื่องผลงานศิลปะของชาติจีน


ชาวอังกฤษคนนั้นเคยรับหน้าที่ซ่อมแซมบูรณะคัมภีร์โบราณหลากชนิดในพิพิทธภัณฑ์ใหญ่ของอังกฤษ ขณะที่คุยกับหนานไหวจิ่นก็เผลอพูดถึงขึ้นมา ว่าเขาเคยเห็นคัมภีร์โบราณอันแปลกประหลาดอยู่ชิ้นหนึ่ง


ภาษาที่ใช้ในคัมภีร์โบราณชิ้นนั้นคลุมเครืออย่างมาก อีกทั้งยังมีภาพประกอบเข้ากันบางส่วน


ตอนนั้นชาวอังกฤษเคยวาดภาพเหล่านั้นโดยอิงจากความทรงจำ ในสายตาของหนานไหวจิ่นก็ลงความเห็นว่ามันคงจะเป็นภาพดันหลังม้วนหนึ่ง


ตอนที่ 579 กลับเมืองหลวง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ภาพดันหลัง” คือหนึ่งในตำราพิสดารอันเลื่องชื่อของตำราพยากรณ์จีน


ตามตำนานกล่าวว่าในราชวงศ์ถังรัชสมัยเจินกวน หลี่ฉุนเฟิงและหยวนเทียนกังปรมาจารย์การทำนายสองท่านได้ทำนายเหตุการณ์ในราชวงศ์ถังและยุคสมัยหลังจากนั้น ทั้งเล่มมีภาพสัญลักษณ์ทั้งหมดหกสิบรูป แบ่งตามชื่อของสัญลักษณ์กว้าและแผนภูมิสวรรค์ทั้งหกสิบตำแหน่ง


ที่หนังสือมีชื่อว่า “ภาพดันหลัง” นั้นมาจากชื่อของบทสรรเสริญภายในภาพสัญลักษณ์ลำดับที่หกสิบว่า “กล่าวเป็นหมื่นพันไม่สิ้น มิสู้ดันหลังไปพักกาย”


ด้วยความแม่นยำของคำทำนาย “ภาพดันหลัง” ทำให้ผู้ปกครองในแต่ละยุคสมัยล้วนหวาดหวั่น จัดให้เป็นตำราต้องห้ามมาตลอด จวบจนปัจจุบันก็ยังไม่สามารถหลีกพ้นจากบัญชีดำหนังสือต้องห้าม


ตำนานกล่าวว่าหลังจากถังไท่จงฮ่องเต้พลิกดู “ภาพดันหลัง” ก็ปีติยินดีอย่างมาก ตบรางวัลให้กับโหรหลวงหลี่ฉุนเฟิง ทว่าหยวนเทียนกังริษยาที่หลี่ฉุนเฟิงช่วงชิงผลประโยชน์ เขาจึงเก็บความแค้นเอาไว้ในใจ


หลังจากถังไท่จงสวรรคต ทั้งสองก็แยก “ภาพดันหลัง” ออกเป็นสองตำราสำนัก จากนั้นหลี่และหยวนก็กลายเป็นศัตรูกัน


แต่ข่าวลือในหมู่สำนักพยากรณ์กล่าวว่า หลี่และหยวนทั้งสองกลัวว่าลูกหลานจะได้รับแรงพิโรธจากสวรรค์ จึงจงใจแยก “ภาพดันหลัง” ออกจากกัน นับแต่นั้นมาจึงไม่มีใครสามารถไขความหมายภาพหรือคำทำนาย ทำให้ลูกหลานของพวกเขาสามารถรอดพ้นจากหายนะ


ดังนั้นพอได้ยินคำพูดของหนานไหวจิ่นแล้ว เยี่ยเทียนจึงถามต่อว่า “ศิษย์พี่หนาน ภาพที่พี่เห็นเป็นภาพสัญลักษณ์อะไรครับ? อธิบายให้ฟังคร่าว ๆ ได้ไหม?”


“ภาพสัญลักษณ์เป็นภูติผีตนหนึ่งอยู่ในน้ำ หิ้วศรีษะมนุษย์ ทำนายว่า: แม่น้ำฮั่นกว้างขวาง ไม่เป็นหนึ่งสานเป็นหนึ่ง ใต้เหนือไม่แยก กลมกลืนร่วมกัน…”


หนานไหวจิ่นยิ้มพลางมองเยี่ยเทียน ถามคำถามแฝงนัยทดสอบ “ศิษย์น้องเยี่ย เธอคงจะรู้สินะว่าเป็นภาพไหน?”


ถึงแม้ภาพดันหลังที่หลี่ฉุนเฟิงกับหยวนเทียนกังทำขึ้นจะไม่สามารถตรวจสอบได้นานแล้ว แต่ฉบับที่ถูกส่งต่อกันมาหลายต่อหลายรุ่นนั้นมีมากมาย ในฐานะตำราพิสดารอันดับหนึ่งของสำนักพยากรณ์ เยี่ยเทียนควรจะเคยเห็นบ้าง


“แม่น้ำฮั่นกว้างขวาง ไม่เป็นหนึ่งสานเป็นหนึ่งหรือครับ?”


เยี่ยเทียนพึมพำอยู่ชั่วขณะ กล่าวว่า “น่าจะเป็นภาพที่สามสิบเจ็ดในเล่มภาพดันหลังหรือเปล่า? ทำนายถึงยุคสาธารณรัฐประชาชนจีน…


แม่น้ำฮั่นกว้างขวาง หมายถึงอู่ชางก่อการกำเริบยิงปืนปฏิวัตินัดแรก ไม่เป็นหนึ่งสานเป็นหนึ่ง ก็คือแม้ปฏิวัติสำเร็จแต่ประเทศชาติกลับไม่รวมเป็นหนึ่ง แล้วยังต้องมีปฏิวัติครั้งที่สอง ระลอกแล้วระลอกเล่า


ส่วนใต้เหนือไม่แยก พูดถึงช่วงแรกของการปฏิวัติ ประเทศชาติแบ่งเป็นเหนือใต้สองค่ายทัพ ด้านเหนือคือหยวนซื่อข่าย ด้านล่างคือซุนจงซาน แต่สุดท้ายเมื่อผ่านการเจรจาก็รวมเป็นหนึ่ง ท้ายสุดกลมกลืนร่วมกัน ก่อเกิดระบบชาติสาธารณรัฐ”


พอบรรยายคำทำนายภาพที่สามสิบเจ็ดแล้ว เยี่ยเทียนก็มองไปยังหนานไหวจิ่น ถามว่า “ศิษย์พี่หนาน ผมพูดถูกไหม?”


หนานไหวจิ่นพยักหน้ากล่าวว่า “ถูกต้อง ที่เธอพูดถึงก็คือ “ภาพดันหลัง” ที่อาจารย์จินเซิ่งทั่นกล่าวถึง และแพร่หลายที่สุดในปัจจุบัน”


“ศิษย์พี่หนาน ต้นฉบับคำอธิบาย “ภาพดันหลัง” ของอาจารย์จินเซิ่งทั่น น่าจะอยู่ภายในพิพิธภัณฑ์กู้กงที่ไต้หวันหรือเปล่าครับ?”


เยี่ยเทียนถามขึ้นด้วยความสงสัย “หรือว่าภาพสัญลักษณ์ที่ชาวอังกฤษคนนี้วาดขึ้น แตกต่างจากในพิพิธภัณฑ์กู้กง?”


หนานไหวจิ่นส่ายหน้ากล่าวว่า “ภาพสัญลักษณ์ต่างกันไม่มาก แต่ยุคสมัยนั้นคุ้มค่าพอที่จะตรวจสอบ…”


ชาวอังกฤษคนนั้นแม้จะเชี่ยวชาญวัฒนธรรมฮั่น แต่สำหรับตำราพยากรณ์พิสดารอันดับหนึ่งของจีน ยังมะงุมมะงาหราไม่รู้ความหมายของมัน ราวกับอ่านตำราสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น


แต่ว่าฝรั่งทำงาน มักตรงไปตรงมาอย่างมาก เพื่อให้คัดแยกได้สะดวก ศาสตราจารย์ชาวอังกฤษจึงทำการทดสอบค่าคาร์บอนสิบสี่เพื่อหายุคสมัย


ผลการทดสอบยืนยันว่า ยุคสมัยของตำราโบราณม้วนนั้นคือช่วงคริสต์ศักราชที่หกร้อยกว่า เวลานั้นเป็นช่วงต้นราชวงศ์ถังพอดี ดังนั้นศาสตราจารย์ชาวอังกฤษจึงจำแนกไปอยู่ยุคราชวงศ์ถัง


“ถึงกับเป็นตำราโบราณราชวงศ์ถังอีก?” เยี่ยเทียนได้ยินเข้าก็ตื่นเต้นขึ้นมา จดจ้องหนานไหวจิ่น ระล่ำระลักว่า “ศิษย์พี่หนาน พี่ได้เห็นต้นฉบับมันไหมครับ?”


 ยุคสมัยที่ “ภาพดันหลัง” แพร่หลายไปทั่วคือราชวงศ์ซ่ง ฉบับปลอมแปลงมากมายก็ปรากฎขึ้นในยุคนั้นเช่นกัน หากจะพูดอีกอย่างก็คือ ยุคราชวงศ์ถังยังไม่มีฉบับพิมพ์เถื่อนนั่นเอง


หนานไหวจิ่นได้ยินก็แค่นยิ้มออกมา กล่าวว่า “ฉันก็อยากเห็น แต่ว่าทางนั้นปฏิเสธเสียงแข็งว่าพวกเขาต้องการเก็บรักษาตำราฉบับนี้ไว้ ฉันติดต่อพวกเขาไปหลายต่อหลายครั้ง ก็ยังไม่ได้ผล”


ด้วยเหตุนั้นหนานไหวจิ่นจึงสงสัยว่า “ภาพดันหลัง” ม้วนนั้นจะเป็นต้นฉบับ เนื่องจากยุคสมัยของมัน แต่ว่าตอนที่เขาไปยังพิพิธภัณฑ์ใหญ่ในอังกฤษเพื่อขอตรวจสอบตำราฉบับนี้ กลับถูกอีกฝ่ายแจ้งว่าในห้องเก็บของของพวกเขาไม่มีตำราโบราณฉบับนี้


หนานไหวจิ่นยังคงไม่ยอมแพ้ เขาติดต่อคนรู้จักมากมาย อยากโน้มน้าวให้ทางประเทศอังกฤษยอมให้เขาได้เห็นตำราโบราณฉบับนี้ แต่ล้วนถูกปฏิเสธ แม้หลายปีที่ผ่านมาเขาจะพยายามมาตลอด แต่ความหวังกลับเลือนรางลงทุกที


“บางทีของชิ้นนั้นอาจจะเป็น “ภาพดันหลัง” จริง ๆ สินะครับ?”


เยี่ยเทียนได้ยินแล้วนิ่งเงียบไปสักครู่ “ภาพดันหลัง” เป็นของต้องห้ามที่สุดสำหรับฮ่องเต้ในบุคโบราณ หากว่ากันโดยทั่วไปจะต้องถูกเก็บรักษาไว้ในมือฮ่องเต้ อีกทั้งในอดีตอังกฤษปล้นสมบัติทางวัฒนธรรมจากจีนไปเป็นจำนวนมหาศาล บางทีอาจหลุดรอดไปในครั้งนั้น


เห็นเยี่ยเทียนนิ่งเงียบไม่ส่งเสียง หนานไหวจิ่นก็ถามขึ้นทันที “จริงสิ ศิษย์น้องเยี่ย ฉันได้ยินมาว่าคุณหยิงซ่งเวยหลันเป็นแม่ของเธอ ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า?”


ระหว่างทางที่เถาซานอี้รับอาจารย์มา ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในงานชุมนุมให้ฟังคร่าว ๆ และเพราะเหตุนั้น หนานไหวจิ่นจึงรู้ว่าซ่งเวยหลันผู้ทรงอิทธิพลในอเมริกาและยุโรป มีความสัมพันธ์กับเยี่ยเทียนถึงขั้นนี้


“เป็นความจริงครับ ทำไมหรือ?” เยี่ยเทียนมองหนานไหวจิ่นอย่างสงสัย


หนานไหวจิ่นยิ้มตอบ “คุณหญิงซ่งเวยหลันมีอิทธิพลมากในอเมริกาและยุโรป ทั้งยังมีความสัมพันธ์อันดีกับราชวงศ์อังกฤษ ฉันคิดว่าเธออาจให้คุณหญิงซ่งช่วยเหลือ ดูว่าจะสามารถเข้าไปสังเกตภายในห้องเก็บของพิพิธภัณฑ์ใหญ่ของอังกฤษได้ไหม?”


ถึงแม้ปัจจุบันราชวงศ์อังกฤษจะคงอยู่ในฐานะสัญลักษณ์เท่านั้น แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธว่า ราชวงศ์ยังคงมีอิทธิพลใหญ่หลวงต่อประเทศอังกฤษ ที่หนานไหวจิ่นว่ามาจึงนับเป็นวิธีที่น่าเลือกใช้


“เหรอครับ? งั้นปีหน้าผมจะลองไปถามดู”


เยี่ยเทียนพยักหน้า ในเมื่อรู้ตำแหน่งสิ่งของ ภายหน้าย่อมมีโอกาส เยี่ยเทียนสูดลมหายใจลึก ให้สติอารมณ์สงบลง


สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงบนร่างกายเยี่ยเทียนได้ หนานไหวจิ่นก็เอ่ยชื่นชมเสียงดัง “ดี เดิมทีนึกว่าศิษย์น้องเยี่ยมีวิชาสูงส่ง จิตใจคงไม่เทียบเท่า แต่กลับกลายเป็นฉันที่มองพลาดไป”


เยี่ยเทียนยิ้มแย้ม ลุกขึ้นยืนตอบว่า “ศิษย์พี่หนานชมเกินไปแล้ว วันนี้ผมหุนหันใช้พลังลมปราณชีวิตแท้มากไปหน่อย ขอไปจัดการสักครู่ พี่กับศิษย์พี่ใหญ่คุยกันให้สนุกเถอะครับ”


ถึงแม้ตัวอยู่ภายในคฤหาสน์หลังนี้แล้ว จะสามารถดูดซับพลังลมปราณเหล่านั้นเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ก็ไม่ได้ผลดีเท่าออกกำลังเพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ เยี่ยเทียนทำหน้าที่เจ้าบ้านเสร็จแล้วก็เอ่ยปากขอตัว


……


หลายวันต่อมา เยี่ยเทียนเก็บตัวรักษาอาการบาดเจ็บมาตลอด กระทั่งไช่หยางชิวเลี้ยงสุราเพื่อขอขมา ยังให้จั่วเจียจวิ้นไปออกงานแทน


ทีแรกไช่หยางชิวออกจะรู้สึกตะขิดตะขวง แต่เมื่อได้ยินข้อความ “ไม่ถือโทษอดีต” สี่คำของเยี่ยเทียนที่ฝากมา ไช่หยางชิวก็สบายใจได้ในที่สุด


ราวกับดูออกถึงเจตนาว่าเยี่ยเทียนไม่อยากออกสู่สายตาประชาชน ไช่หยางชิวจึงไม่ถือสถานะอาวุโสของตนเช่นกัน ชื่นชมจั่วเจียจวิ้นต่อหน้าคนในวงการมากมาย และประกาศขึ้นอีกครั้งว่าในอนาคตสำนักเจ็ดดาวจะดำเนินตามแนวทางสำนักพยากรณ์เสื้อป่าน


นับจากนี้สำนักพยากรณ์เสื้อป่านนับว่าตั้งรากฐานอยู่ในฮ่องกงแล้ว พวกที่ได้ชื่อว่าพยากรณ์เสื้อป่านเหล่านั้นต่างเปลี่ยนป้ายกันไปตาม ๆ กัน ด้วยเกิดความกลัวจะฝ่าฝืนข้อห้ามของ “ปรมาจารย์จั่ว” ทำเอาจั่วเจียจวิ้นกลืนไม่เข้าคายไม่ออก


หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน อาการบาดเจ็บของเยี่ยเทียนก็หายสนิท เมื่อผ่านเหตุการณ์ฝืนธรรมชาติครั้งนี้ วรยุทธของเขาก็บางเบาและบริสุทธิ์ขึ้นขั้นหนึ่ง หลังจากพลังลมปราณชีวิตแท้ลดลง ยังทำให้เวลาที่โก่วซินเจียและหนานไหวจิ่นมองไปที่เยี่ยเทียนก็เกิดความรู้สึกลึกล้ำไร้ก้นบึ้ง


อีกทั้งเยี่ยเทียนยังสัมผัสได้ว่า ตนเองเข้าใจในกฎแห่งธรรมชาติล้ำลึกยิ่งขึ้น ขอบเขตแห่งการฝึกจิตกลับสู่ความว่างเปล่า ราวกับได้เปิดประตูบานใหญ่ให้แก่เขา บางทีการตื่นรู้หนึ่งครั้ง อาจทำให้ตัวเขาเข้าไปสู่ฟ้าดินแห่งใหม่


แต่ว่าเรื่องแบบนี้พบเจอได้ด้วยดวงชะตา หลังจากอาการบาดเจ็บหายดีแล้ว เยี่ยเทียนก็แกะสลักจี้ห้อยคอหยกติดค่ายกลเจ็ดแปดชิ้น แบ่งให้ทางพ่อกับแม่ แล้วให้พวกเขาย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์


จี้หยกเหล่านั้นถึงแม้จะสามารถป้องกันพลังลมปราณซึมซาบเข้าสู่ร่างกายได้ แต่เวลาทั่วไปกลับสูดพลังลมปราณที่ซึมซับได้ไม่จำกัด  ในร่างกายของคนทั่วไปได้รับพลังลมปราณหล่อเลี้ยงอยู่เสมอ จึงมีคุณประโยชน์ยิ่งใหญ่ต่อร่างกายของเยี่ยตงผิงและภรรยา


ช่วงเวลานี้เยี่ยเทียนเองก็ถามแม่ว่าสามารถเข้าไปยังห้องเก็บของในพิพิธภัณฑ์ใหญ่ของอังกฤษได้หรือไม่ หลังจากซ่งเวยหลันติดต่อไปทางอังกฤษแล้ว กลับได้รู้ว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องปรึกษาทางรัฐบาลอังกฤษก่อน อีกอย่างภายในพิพิธภัณฑ์มีสิ่งของมากมายที่ไม่สามารถเปิดเผยต่อสายตาสาธารณชนได้


เมื่อรู้ว่าเรื่องนี้พอมีหวัง เยี่ยเทียนก็ไม่กังวลอีก เขาออกจากเมืองหลวงมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว ค่อนข้างคิดถึงอวี๋ชิงหย่าและเรือนสี่ประสานหลังนั้นเช่นกัน คฤหาสน์หลังนี้แม้หรูหรา แต่กลับขาดแคลนกลิ่นอายของผู้คนหนาแน่นอย่างในเมืองหลวง


ในเดือนกรกฎาคมอันร้อนที่สุดของเมืองหลวง ครอบครัวของเยี่ยเทียนจึงนั่งเครื่องบินส่วนตัวของซ่งเวยหลันกลับสู่ปักกิ่ง


ส่วนคฤหาสน์ที่ฮ่องกง ก็ทิ้งไว้ให้ศิษย์พี่ทั้งสองและหนานไหวจิ่นกับลูกศิษย์อยู่อาศัย เยี่ยเทียนมีความรู้สึกว่า ครั้งหน้าเมื่อเขามีความจำเป็นต้องกลับคฤหาสน์ที่ฮ่องกง อาจเป็นโอกาสที่วรยุทธ์ข้ามไปสู่อีกขั้น


นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวภายในเรือนสี่ประสาน ฟังเสียงนกและแมลงบนต้นไม้ เยี่ยเทียนหรี่ตาลงอย่างพึงพอใจ เจ้าขนฟูนอนอย่างเกียจคร้านในอ้อมอกของเยี่ยเทียน แน่นอนว่าเป็นเพราะเยี่ยเทียนป้อนด้วยรากโสมร้อยปีถึงสามารถกลับกลายนิ่งสงบลง


สิ่งเดียวที่ยังไม่พอก็คือ พลังลมปราณในเรือนสี่ประสานหลังนี้เบาบางลงมากแล้ว คุณป้าและคุณอาสองสามคนของเยี่ยเทียนล้วนย้ายเข้ามาอยู่กันหมดแล้ว พลังลมปราณระดับนี้จึงมีคุณประโยชน์ต่อพวกเธออย่างมาก


“เยี่ยเทียน เธอดูสิว่าฉันใส่ชุดนี้แล้วสวยไหม?” อวี๋ชิงหย่าเปลี่ยนเป็นชุดเดรสสีขาวทั้งตัว เดินออกมาจากห้อง เห็นเยี่ยเทียนเบิ่งตาโต


อวี๋ชิงหย่าหน้าตาสดใสบริสุทธิ์ ผิวขาวราวหิมะเข้ากับชุดกระโปรงสีขาวเป็นอย่างดี ท่อนขาเรียวยาววับแวมภายใต้กระโปรง ช่างกระตุ้นไอร้อนภายในโพรงจมูก


“สวย สวยดี…”


เยี่ยเทียนพยักหน้าอย่างดาราไต้หวันจูเกอ อดพูดความในใจออกมาไม่ได้ “ถ้าไม่ใส่อะไรเลย คงจะยิ่งสวย!”


“นายอยากตายหรือไง!”


อวี๋ชิงหย่าเดินมาข้างตัวเยี่ยเทียนด้วยความโมโห หยิกเอวเขาอย่างแรงทีหนึ่ง กล่าวว่า “เธอคิดว่าของขวัญเล็กน้อยชิ้นนี้ก็จะเอาใจฉันได้แล้วเหรอ? คราวหน้าจะหายตัวไปอีกกี่เดือนล่ะ?”


เยี่ยเทียนยิ้มตอบพลางแลบลิ้น “จะไปไหนได้? นับจากวันนี้จนถึงวันแต่งงาน เอาเชือกล่ามคอฉันไว้ ไปห้องน้ำก็ให้ฉันตามไปด้วยเลยดีไหม?”


“ตาบ้านี่!” อวี๋ชิงหย่าถูกเยี่ยเทียนหยอกล้อจนยิ้มออกมา


ตอนที่ 580 กุญแจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ช่วงเวลาที่ผ่านมาขอโทษนะ …”


มือขวาของเยี่ยเทียนโอบเอวของอวี๋ชิงหย่าอย่างแผ่วเบา ดึงตัวเธอเข้ามาในอ้อมอกของตน มือซ้ายจับขนบนหัวเหมาโถวโยนข้ามหลังไป


“จี ๆ!”


 เหมาโถวที่เดิมทีกำลังสัมผัสพลังลมปราณชีวิตแท้ในตัวเยี่ยเทียนอย่างเป็นสุข กระโจนขึ้นมาจากพื้นอย่างโมโห พอปรี่มาถึงหัวเยี่ยเทียน ก็ตะกุยผมเขาจนยุ่งเหยิง อวี๋ชิงหย่าเห็นเข้าก็หัวเราะออกมา


“อย่ายุ่งน่า โสมครึ่งต้น!” ดึงเหมาโถวลงมาจากหัวไหล่แล้ว เยี่ยเทียนก็ยื่นข้อเสนอ


“จี…จี ๆ!” ดวงตาราวกับอัญมณีของเหมาโถวหมุนวนรอบหนึ่งแล้ว ส่ายหน้าอย่างไม่พอใจ ยื่นกรงเล็บเล็กข้างหนึ่งกวาดไปมาไม่หยุด


“เจ้าหนูแกมันเจ้าเล่ห์เหลือเกิน ต้นนึงก็ต้นนึง ไปเล่นตัวเดียวก่อนไป!”


 หลังจากรอให้เหมาโถวตื่นเต้นดีใจจากไป เยี่ยเทียนกระซิบบอกว่า “เดี๋ยวจะเอาโสมกองนั้นให้แกกินจนพอใจเลย”


 ถึงอย่างไรตนเองก็อนุญาตเพียงโสมต้นหนึ่งเท่านั้น ภายในโกดังยังมีโสมแดงที่ปลูกเองอีกไม่น้อย เยี่ยเทียนทำอย่างนี้แค่เพื่อแกล้งเหมาโถว


“เธอนี่ ชอบหาเรื่องกับสัตว์ ห้ามแกล้งเหมาโถวนะ” อวี๋ชิงหย่าเจอเยี่ยเทียนหยอกล้อจนหัวเราะออกมา ไม่เคยเห็นผู้ชายที่ไหนอันธพาลอย่างนี้


“งั้นฉันแกล้งเธอแทนเอาไหม?”


เยี่ยเทียนยิ้มร้ายกาจพลางสอดมือเข้าไปภายในชุดกระโปรง ยังไม่ทันรอให้อวี๋ชิงหย่าร้องออกมาอย่างตกใจ ก็ใช้ริมฝีปากประกบปิดจากด้านหน้า


หลังผ่านไปสักพักหนึ่ง เสียงหอบหายใจดังขึ้นจากคนทั้งสอง ใบหน้าขาวใสของอวี๋ชองหย่านั้นแดงซ่าน ดูท่าเยี่ยเทียนแทบจะสงบใจไม่อยู่แล้ว


“ดีที่ลัทธิเต๋าไม่ห้ามแต่งภรรยา ไม่อย่างนั้นฉันคงต้องสึกแน่!” เยี่ยเทียนมีบัตรประจำตัวนักพรตเต๋าอย่างเป็นทางการ ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ เขาก็อดดีใจไม่ได้


“มา เมื่อกี้ยังชิมไม่ได้รสชาติ เราจูบกันอีกครั้งเถอะ!” เยี่ยเทียนดึงตัวอวี๋ชิงหย่าเข้ามากอด ขณะที่กำลังจะลองลิ้มรสอีกครั้ง ในหูก็ได้ยินเสียงคน จึงปล่อยอวี๋ชิงหย่าที่กำลังสะบัดตัวดิ้นหลุดไป


“เยี่ยเทียน ขืนเธอยังทำตัวแย่อีก ฉัน…ฉันจะ…”


ตอนที่อวี๋ชิงหย่ากำลังจะก้าวขาถอย เงยหน้าขึ้นเห็นซ่งเวยหลันเดินมาหาจากเรือนกลาง สีหน้าจึงยิ่งแดงก่ำ “คุณน้า มาได้อย่างไรคะ?”


“เยี่ยเทียน ลูกแกล้งอวี๋ชิงหย่าอีกแล้วหรือ?”


ซ่งเวยหลันคือคนที่เข้ามาเห็นสีหน้าของอวี๋ชิงหย่า ไหนเลยจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น? จึงก้าวไปข้างหน้าฉุดมืออวี๋ชิงหย่า กล่าวว่า “ชิงหย่า ถ้าเขาแกล้งหนูอีก บอกน้าได้เลยนะ น้าจะสั่งสอนเขาเอง!”


“เฮ้อ คุณพ่อที่น่าสงสาร!”


ได้ยินคำพูดของแม่แล้ว เยี่ยเทียนก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ขืนอวี๋ชิงหย่าถูกแม่สั่งสอนให้กลายเป็นอย่างเธอล่ะก็ อนาคตของตัวเองคงไม่มีทางรอด


“พูดอะไรน่ะ เจ้าตัวร้าย?”


ซ่งเวยหลันถูกลูกชายแซวจนหน้าแดง เธอรู้ว่าความดุดันของเธอตอนอยู่กับสามีล้วนถูกลูกชายสังเกตเห็น แต่ว่าคนนอกหรือจะเคยสัมผัสและล่วงรู้ว่านั่นคือความสุขระหว่างสามีภรรยาอย่างพวกเขา


“เอาเถอะ คุณนั่งสิ…”


เยี่ยเทียนลุกขึ้นย้ายเก้าอี้ตัวหนึ่ง กล่าวว่า “คุณคงไม่ได้มาเพื่อชี้แนวทางลูกสะใภ้ปกครองสามีใช่ไหม? มีเรื่องอะไรพูดมาเลย”


“เยี่ยเทียน ห้ามก้าวร้าวนะ” คราวนี้อวี๋ชิงหย่าไม่อาจมองข้ามได้ จึงหยิกเอวเยี่ยเทียนอย่างแรงหนึ่งที


ซ่งเวยหลันกล่าวว่า “แม่จะออกไปข้างนอกสักหน่อย สักประมาณสามสี่เดือนถึงจะกลับ”


“หือ? ออกไปตอนนี้ แล้วพ่อไปหรือเปล่า?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วชะงักไปชั่วครู่ สายตาพิจารณาใบหน้าของแม่


“พ่อของลูกไม่ได้ไป เขาจะเตรียมงานแต่งให้ลูก แล้วแม่จะกลับมาก่อนงานแต่งงานแน่นอน”


งานแต่งงานของเยี่ยเทียนกำหนดวันที่หนึ่งเดือนมกราคมปี คศ.2000 ซึ่งเป็นวันแรกของการเปลี่ยนศักราช วันนี้เยี่ยเทียนเลือกด้วยตัวเอง คนอื่นต่างก็รู้ถึงความสามารถของเขา จึงตัดสินให้เป็นวันนี้เช่นกัน


ก่อนจะถึงวันนั้นยังมีเวลาเหลืออีกห้าเดือนกว่า หากพูดถึงเบื้องหลังครอบครัวของอวี๋ชิงหย่ากับเยี่ยเทียนทั้งสองคน ก็จำเป็นต้องเริ่มเตรียมการเสียตั้งแต่ตอนนี้ เนื่องจากการเลือกภาพถ่ายงานแต่งอีกทั้งเครื่องประดับหลากหลายชนิด ล้วนจำเป็นต้องใช้เวลาทั้งสิ้น


เดิมทีหน้าที่เตรียมการเครื่องประดับเหล่านี้ ล้วนควรเป็นหน้าที่ของซ่งเวยหลันผู้เป็นแม่กระทำ เพียงแต่ทางยุโรปเกิดเหตุไม่คาดฝันบางอย่าง เธอจำเป็นต้องกลับไปจึงจะสะสางได้ เรื่องนี้ทำให้ซ่งเวยหลันรู้สึกผิดต่อลูกชายมากนัก


“คุณรอสักครู่นะ!”


เยี่ยเทียนหลับตา ทำนายการเดินทางไปยุโรปครั้งนี้ของแม่อยู่ในใจ หลังจากเขาบาดเจ็บคราวนี้ ทักษะการทำนายก็พัฒนายิ่งขึ้นเช่นกัน จนสามารถอนุมานดวงชะตาดีร้ายบางส่วนของคนใกล้ตัวได้อย่างคร่าว ๆ


ผ่านไปครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนก็ลืมตาขึ้น กล่าวว่า “พาแอนนากลับไปด้วยเถอะครับ แต่ว่าการเดินทางในอนาคตสองสามปีของคุณไม่ดีนัก วันปกติออกไปไหนต้องระวังให้มาก แล้วก็ ต้องกลับมาให้ได้ภายในครึ่งปีล่ะ!”


เยี่ยเทียนพบว่า การเดินทางทำธุรกิจของแม่ดีมาก แต่การเดินทางในเรื่องอื่นค่อนไปทางแย่เล็กน้อย อีกทั้งหลังจากนี้หนึ่งปี ดูเหมือนจะมีภัยใหญ่หนึ่งครั้ง แต่ว่าเวลานั้นซ่งเวยหลันควรจะกลับมาแล้ว เยี่ยเทียนจึงพอมีวิธีคลี่คลายด้วยตัวเอง


“ไม่ต้องถึงครึ่งปีหรอก แม่จะต้องกลับมาภายในสามสี่เดือนแน่”


ซ่งเวยหลันพยักหน้า มองไปทางอวี๋ชิงหย่าอย่างละอายใจ กล่าวว่า “ชิงหย่า น้าจะต้องจัดเตรียมของขวัญที่ดีที่สุดให้กับหนูอย่างแน่นอน”


“คุณไม่ต้องกังวลไปหรอก ผมเตรียมเอาไว้นานแล้ว อีกอย่างงานแต่งงานของเราจัดง่าย ๆ เท่านั้น ไม่ต้องสิ้นเปลืองขนาดนั้นหรอกครับ!”


เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็ยิ้มออกมา กำไลหยกจักรพรรดิ์เขียวกับหยกแดงชั้นเลิศของเขานั้น เวลานี้ถูกเก็บอยู่ภายในตู้เซฟด้านหลังตู้หนังสือเรือนด้านข้างแล้ว


อีกทั้งเยี่ยเทียนปรึกษากับอวี๋ชิงหย่าเรียบร้อยแล้ว ว่างานแต่งของพวกเขาจัดภายในเรือนสี่ประสานเพียงไม่กี่โต๊ะ เชิญครอบครัวพ่อตาอวี๋เฮ่าหรานจากเซี่ยงไฮ้มาร่วมงานก็เพียงพอ


และนี่ก็เป็นเหตุให้เยี่ยเทียนใช้คาถาปกปิดดวงชะตาของอวี๋ชิงหย่าเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่กล้าจัดงานแต่งครั้งนี้เช่นกัน ห้าขาดตกสามบกพร่องที่ปรมาจารย์ฮวงจุ้ยนับแต่โบราณเคยว่าไว้นั้นมีอยู่แท้จริง


“ของลูกก็คือของลูก ที่แม่เตรียมให้เป็นเจตนาของแม่ อย่าพูดจาเหลวไหล”


ซ่งเวยหลันจ้องลูกชายของตนเองอย่างโกรธ ๆ กล่าวว่า “แค่งานแต่งงานของลูกนั่นก็ผิดต่ออวี๋ชิงหย่าแล้ว แม่จะเตรียมของขวัญให้เขาบ้างไม่ได้หรือไง?”


“ก็ได้ครับ ผมไม่ยุ่งล่ะ คุณเตรียมเถอะ จริงสิ ของชิ้นนี้คุณเก็บเอาไว้ เดี๋ยวค่อยหาเชือกสีแดงแขวนไว้ที่คอ ห้ามถอดออกเป็นอันขาดนะครับ!”


เยี่ยเทียนคิดอยู่สักครู่ แล้วหยิบของสองชิ้นออกมาจากกระเป๋าเสื้อ นำเหรียญทองแดงโบราณในนั้นมอบให้กับแม่ กล่าวว่า “นี่เป็นของที่อาจารย์ผมมอบให้ แม่ห้ามทำหายเป็นอันขาดล่ะ!”


เพราะเป็นซ่งเวยหลัน  หากว่าเป็นคนอื่น เยี่ยเทียนคงนึกเสียดายไม่หยิบเหรียญทองแดงโบราณออกมา


ของชิ้นนี้เป็นหนึ่งในเครื่องรางสองชิ้นที่หลี่ซั่นหยวนมอบให้แก่เขา แต่ไม่ได้บอกคุณสมบัตินำโชคเลี่ยงภัยของมัน เพียงแค่ความหายากของตัวเหรียญทองแดงโบราณนี้ เปรียบเป็นมูลค่ามหาศาลก็ยังไม่พอ


แต่ซ่งเวยหลันกลับไม่รู้คุณค่าของเหรียญทองแดงนี้ สายตาจดจ้องไปยังอีกชิ้นที่อยู่บนฝ่ามือของเยี่ยเทียน เอ่ยปากว่า “ลูกแม่ นั่นมันของอะไรน่ะ ขอแม่ดูสักหน่อยได้ไหม?”


“นี่เหรอครับ? แหะ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร ได้รับมาจากคนอื่นอีกที!”


เยี่ยเทียนมองมือพลันยิ้มขึ้นมา ที่ซ่งเวยหลันพูดถึงที่จริงแล้วก็คือของที่เขาชิงมาจากคนญี่ปุ่นที่พม่าคราวก่อนนั่นเอง


โลหะชิ้นนี้ไม่ใช่ทองแดงไม่ใช่เหล็กไม่ใช่ทองคำและไม่ใช่เงิน เยี่ยเทียนเองก็ไม่รู้ว่าใช้วัตถุดิบอะไรสร้างขึ้น แต่มีความแข็งแกร่งอย่างมาก กระทั่งเยี่ยเทียนใช้วิชากดผิวด้านบนให้เป็นรอยยังทำไม่ได้


แต่ว่าของชิ้นนี้สร้างขึ้นอย่างละเอียดประณีต ฟันเฟืองแต่ละแถวภายในงดงามอย่างเหลือเชื่อ เยี่ยเทียนจึงเก็บติดตัวไว้ เวลาว่างก็หยิบมันออกมาเล่น


ถึงแม้เยี่ยเทียนจะไม่รู้ว่าของชิ้นนี้ซุกซ่อนความลับอะไรเอาไว้ แต่ว่าเขาเคยถามผู้คนมากมาย กระทั่งศิษย์พี่ใหญ่และหนานไหวจิ่นก็ยังไม่รู้จัก ดังนั้นจึงกลายเป็นเพียงของเล่นอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง


“เยี่ยเทียน ลูก…ลูกเอาของชิ้นนี้มาจากไหน?”


ซ่งเวยหลันหยิบของโลหะขนาดประมาณนิ้วมือขึ้นมา พิจารณาเล็กน้อย ใบหน้าก็มีอาการตกตะลึง


“ทำไมหรือครับ? ของชิ้นนี้มีอะไรแปลกหรือ?”


เยี่ยเทียนสะดุ้งในใจ เขารู้ว่าชีวิตแม่ของเขาผ่านคลื่นลมพบเห็นมาหลายสิ่ง สิ่งที่ทำให้เธอมีสีหน้าตกใจ จึงไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน


“นี่…ที่มันกุญแจตู้นิรภัยระดับSSSของธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์นี่นา!”


ซ่งเวยหลันมองลูกชายอย่างไม่เชื่อสายตา “ลูกไปเอาของชิ้นนี้มาจากไหน? นี่เป็นของที่ทำขึ้นอย่างประณีตรุ่นแรก ทั้งโลกนี้ผลิตออกมาเพียงสิบชิ้นเท่านั้น แล้วลูกมีได้อย่างไร?”


ไม่แปลกที่ซ่งเวยหลันจะตกใจ นั่นเป็นเพราะกุญแจชนิดนี้เป็นกุญแจพิเศษที่ใช้วิทยาการสมัยปัจจุบันประยุกต์สร้างขึ้นเป็นชุดแรกของธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ ทั้งหมดมีเพียงสิบชิ้น ทุกชิ้นล้วนใช้กับตู้นิรภัยขนาดใหญ่กว้างถึงสิบตารางเมตร


หลังจากกุญแจสร้างเสร็จสิ้น แบบแปลนของกุญแจก็ถูกทำลายในทันที นั่นจึงหมายความว่า กุญแจสิบชิ้นนี้ล้วนมีเพียงหนึ่งเดียว ต่อให้เป็นตัวธนาคารเอง ก็ไม่สามารถเปิดตู้นิรภัยสิบใบนั้นได้


อีกทั้งช่วงเวลาเก็บรักษาของตู้นิรภัยเหล่านี้ไม่มีกำหนด ต่อให้ธนาคารถูกล้มละลายขายเปลี่ยนมือ ตู้นิรภัยก็จะได้รับที่จัดเก็บอันเหมาะสม ขอเพียงคุณมีกุญแจดอกนี้ ก็จะสามารถเปิดตู้นิรภัยได้อย่างสะดวกสบาย


ด้วยชื่อเสียงระดับโลกด้านความน่าเชื่อถือของธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ โดยทั่วไปแล้วนักการเมืองและมหาเศรษฐีของแต่ละประเทศล้วนนำเงินสดหรือของสำคัญของพวกเขาเก็บรักษาไว้ภายใน แต่ตู้นิรภัยระดับระดับSSS กลับมีเพียงคนพิเศษที่ครอบครองได้


ภายในกุญแจนี้ใส่โลหะอันหาได้ยากชนิดหนึ่ง เนื่องจากขาดแคลนวัตถุดิบ ภายหลังจึงไม่มีการสร้างกุญแจตู้นิรภัยชนิดนี้อีก


กุญแจตู้นิรภัยรุ่นแรกสิบชิ้นที่ถูกผลิตออกมานั้น ต่างไม่มีใครรู้ว่าไปตกอยู่ที่ไหน หรืออยู่ในมือใคร


ทางธนาคารเองก็เก็บข้อมูลของผู้ถือไว้เป็นความลับเช่นกัน ดังนั้นจึงมีมหาเศรษฐีระดับโลกมากมาย ถึงขั้นไม่รู้ว่าธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์เคยสร้างตู้นิรภัยมาตรฐานระดับนี้


ซ่งเวยหลันเองก็ไม่เคยเห็นกุญแจชนิดนี้ แต่ตอนที่เธอจัดการธุรกิจกับตู้นิรภัยที่ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ครั้งหนึ่ง ได้เห็นรูปภาพของกุญแจชนิดนี้จากมือของพนักงานรักษาความปลอดภัยผู้มีผมสีดอกเลาทั้งหัวหนึ่งครั้ง


พลิกพิจารณาดูอยู่ในมือรอบหนึ่ง ซ่งเวยหลันก็พูดว่า “ไม่ผิดแน่ ลูกดูสิตรงนี้มีอักษรเลขหกภาษาอังกฤษ แสดงว่านี่คือกุญแจลำดับที่หก ลูกแม่ ลูกได้รับของชิ้นนี้มาจากไหนกันแน่?”


ยิ่งรู้จักเยี่ยเทียนนานเข้า ซ่งเวยหลันก็ยิ่งคาดเดาลูกชายไม่ออกขึ้นทุกที


ที่สำคัญ กระทั่งสถานะตระกูลของเธอไปจัดการเรื่องตู้นิรภัยธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ อย่างมากที่สุดก็เอามาได้เพียงตู้นิรภัยระดับ2Sเท่านั้น


ตอนที่ 581 แต่งงาน (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ทำธุรกิจกับธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ ยังแบ่งเป็นหลายระดับขั้น บางธุรกิจคุณไม่เพียงแค่ต้องมีเงินทุน แต่ยังต้องมีสิ่งอื่นด้วย เช่นยศและตำแหน่ง


ก็เหมือนกับรถยนต์รุ่นที่ผลิตจำนวนจำกัดของรถชื่อดังระดับนานาชาติบางแบรนด์ ใช่ว่ามีเงินแล้วคุณจะสามารถซื้อได้ หากไม่มีสถานะทางสังคมที่เหมาะสม ให้มีเงินมากสักเท่าไหร่ก็ไม่สามารถสั่งจองสินค้าหรูหราเพื่อแย่งชิงฐานะกัน


ดังนั้นซ่งเวยหลันเห็นกุญแจดอกนี้แล้วจึงตกอกตกใจ เพราะด้วยสถานะมหาเศรษฐีอย่างเธอ ยังไม่อาจครอบครองกุญแจระดับนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลูกชายที่เคยไปไกลสุดแค่พม่าเลย


“ถือกุญแจดอกนี้ แล้วจะสามารถเปิดตู้นิรภัยได้เหรอครับ? หึ…ขนาดธนาคารนี่อยู่ไหนผมยังไม่รู้เลย?”


ในที่สุดก็เข้าใจเสียทีว่าสิ่งนี้คืออะไร แต่เยี่ยเทียนก็ยังงุนงงสับสน จากประสบการณ์ของเขา ไปถอนเงินจากธนาคารดูเหมือนจะต้องใช้สมุดบัญชีอะไรประเภทนั้น แต่ว่าเขาไม่มีอะไรเลย นอกจากกุญแจดอกนี้


“กุญแจนี่ถูกผลิตขึ้นโดยธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ ตู้นิรภัยเองก็อยู่ภายในใจกลางธนาคาร”


ซ่งเวยหลันมองลูกชายอย่างจะหัวเราะหรือร้องไห้ก็ไม่ออก ในมือถือของล้ำค่าขนาดนี้ แต่กลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย


เห็นลูกชายมีทีท่ามึนงงอย่างนั้น ซ่งเวยหลันก็อธิบายต่อ “ลูกนำกุญแจดอกนี้ไปธนาคาร จะได้รับการต้อนรับเป็นพิเศษ ไม่จำเป็นต้องยื่นเอกสารอะไรทั้งนั้น กุญแจดอกนี้เป็นหลักฐานยืนยันที่ดีที่สุดแล้ว”


 เพื่อเป็นการรักษาความลับขั้นสูงสุด ทันทีที่ตู้นิรภัยและกุญแจนี้ถูกผลิตออกมา เอกสารทุกอย่างจึงถูกทำลายจนหมด รูปใบนั้นที่ซ่งเวยหลันเห็น ก็เป็นรูปที่พนักงานรักษาความปลอดภัยผู้ชราเก็บไว้กับตัวเอง


นอกจากข้อมูลของกุญแจแล้ว ธนาคารเกรงว่าข้อมูลของลูกค้าจะถูกคนนำไปเผยแพร่ หลังจากทำการติดต่อกับลูกค้า ข้อมูลของลูกค้าระดับ3Sปึกแรก จึงไม่เก็บต้นขั้วเอาไว้ทั้งหมด


หากพูดอีกอย่างก็คือ ธนาคารจดจำเพียงกุญแจแต่ไม่จำผู้ถือ ไม่ว่าจะเป็นใครถือกุญแจเข้าไปภายในธนาคาร ล้วนสามารถเปิดตู้นิรภัยได้อย่างง่ายดาย


ส่วนผู้ครอบครองกุญแจจะสามารถเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีหรือไม่ นั่นไม่ใช่เรื่องที่ธนาคารเก็บมาใส่ใจ หากของล้ำค่าอย่างนี้ยังสามารถทำหาย ก็นับว่าสมควรแล้ว


“เยี่ยเทียน ลูกยังไม่ได้บอกแม่เลย ว่าของชิ้นนี้มาจากไหนกันแน่”


เรื่องบนโลกที่สามารถทำให้ซ่งเวยหลันสงสัยมีไม่มาก และกุญแจดอกนี้ก็สามารถกระตุ้นความสงสัยในใจเธอขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด


“ถ้าผมบอกว่าชิงมาจากมือคนอื่น คุณจะเชื่อไหมล่ะครับ?”


เยี่ยเทียนแค่นหัวเราะ  กล่าวว่า “รอแต่งงานกับอวี๋ชิงหย่าแล้ว พวกเราไปสวิตเซอร์แลนด์กัน ถึงเวลานั้นเห็นของภายในตู้นิรภัยนั่น คุณก็รู้เองแหละว่ากุญแจดอกนี้ได้มาจากไหน”


นึกถึงเอกสารและกล่องนิรภัยภายในรถหุ้มเกราะที่ถูกคิตะมิยะ ฮิเดโอะทำลายแล้ว เยี่ยเทียนก็อดเจ็บปวดขึ้นมาไม่ได้ หากกุญแจดอกนี้ยังมีที่มาอันยิ่งใหญ่ขนาดนี้ กล่องนิรภัยและเอกสารนั่นคงจะยิ่งมีมูลค่ามากกว่าเสียอีก


เพียงแต่เอกสารกลายเป็นเถ้าถ่านไปนานแล้ว กล่องนิรภัยถึงแม้ไม่บุบเสียหาย แต่ก็ถูกหลอมละลายไปพร้อมกับรถหุ้มเกราะซึ่งกลายเป็นโลหะเหลว สิ่งที่เป็นตัวแทนความมั่งคั่งเบื้องหลังสิ่งของเหล่านั้น จะไม่มีวันปรากฏสู่โลกใบนี้อีกตลอดกาล


“ลูกคนนี้ คราวหลังอย่าได้ทำเรื่องอันตรายแบบนี้อีกเชียว”


แม้ว่าซ่งเวยหลันจะรู้ว่าเยี่ยเทียนได้ทรัพย์สินทองคำมาจำนวนหนึ่งจากพม่า แต่ก็ไม่รู้รายละเอียด พอเจอกุญแจดอกนี้เธอพลันนึกถึงอันตรายภายในนั้นได้ในทันที จึงอดตักเตือนลูกไม่ได้


“ผมรู้แล้วล่ะครับ คุณวางใจเถอะ ออกเดินทางครั้งนี้ต้องรีบกลับมาให้เร็วที่สุดนะ!”


เยี่ยเทียนพยักหน้า อยู่กับแม่มาครึ่งปีกว่า เขาเป็นสุขกับชีวิตอันเปี่ยมความรักจากแม่อย่างนี้มากขึ้นทุกวัน แม้จะถูกแม่หยิกหูดุว่า แต่รสชาติแบบนั้นก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งไม่ใช่หรือ?


สองวันให้หลัง ซ่งเวยหลันจึงพาแอนนาออกจากเมืองหลวงไปยังสหรัฐอเมริกา แล้วเยี่ยเทียนก็เริ่มงานยุ่งขึ้นมา


ก่อนอื่นให้อวี๋ชิงหย่าลาหยุด ทั้งสองคนบินไปยังชายทะเลมัลดีฟ ถ่ายรูปพรีเวดดิ้งหนึ่งชุด จากนั้นไปจดทะเบียนสมรส กันตามกฎหมาย ทั้งสองคนก็นับว่าเป็นสามีภรรยาอย่างเป็นทางการแล้ว


หลังจากเสร็จสิ้นเรื่องพวกนี้ ก็ไม่ใช่ธุระของเยี่ยเทียนกับอวี๋ชิงหย่าอีก ที่เหลือล้วนเป็นหน้าที่ของเยี่ยตงผิงกับอาสาวอีกสองสามคนจัดการ เยี่ยเทียนเพียงต้องพาอวี๋ชิงหย่าไปยังเหมาซานเพื่อกราบไหว้อาจารย์


อวี๋ชิงหย่าลาหยุดยาวถึงครึ่งปี แล้วเยี่ยเทียนก็จะอยู่กับเธอภายในอารามเต๋า ไปอยู่ครั้งนี้กินเวลาสองเดือนกว่า ถ้าหากเยี่ยตงผิงไม่คอยโทรศัพท์ตามอยู่ตลอด เยี่ยเทียนก็หวังจะอยู่เป็นเพื่อนท่านอาจารย์ให้นานกว่านี้


กว่าทั้งสองคนจะกลับมายังเมืองหลวงอีกครั้ง ก็เป็นช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนแล้ว แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนว้าวุ่นใจเล็กน้อยคือ แม่ยังไม่กลับมาจากอเมริกา


หากไม่ใช่เพราะยังสามารถคุยโทรศัพท์ติดต่อซ่งเวยหลันได้ เยี่ยเทียนก็มีความคิดกระทั่งจะบินไปยังอเมริกา หนึ่งเพราะกังวลเรื่องภัยร้ายของแม่ สองเพราะไม่อยากต้องมาเสียใจภายหลังกับงานแต่งงานของตน


ยังดีที่พอถึงกลางเดือนธันวาคม ซ่งเวยหลันก็กระหืดกระหอบกลับมายังบ้านที่เมืองหลวงได้ในที่สุด จึงทำให้เยี่ยเทียนคลายใจลงได้


เยี่ยเทียนพาโจวเซี่ยวเทียนขับรถสองคัน ถึงจะขนสัมภาระของซ่งเวยหลันกลับมายังบ้านหมด หลังจากจัดวางของเรียบร้อยแล้ว เยี่ยเทียนก็อดบ่นไม่ได้ “ถ้าคุณยังไม่กลับมา ผมจะไปตามคุณที่อเมริกาแล้วนะ!”


“แม่สั่งตัดชุดสูทกับชุดแต่งงานตัวนี้ให้ลูกกับอวี๋ชิงหย่าไงล่ะ ช้าไปไม่กี่วันเอง ทำไมต้องถึงขนาดนั้น?”


รู้สึกถึงความเป็นห่วงจากใจลูก ความรู้สึกอบอุ่นผุดขึ้นมาในใจของซ่งเวยหลัน เธอถอดเหรียญทองแดงโบราณชิ้นนั้นที่คอออกมา กล่าวว่า “ของชิ้นนี้แม่คืนให้ แม่พกติดตัวไว้ตลอดเวลาเลย”


“ไว้ผมจะหาของดีให้คุณอีก”


เหรียญทองแดงชิ้นนี้หลี่ซั่นหยวนมอบให้ เป็นเครื่องรางภายในสำนัก เยี่ยเทียนจึงไม่อาจมอบให้กับแม่ได้ ยื่นมือไปรับกลับมา


“ธุระที่แม่ไปอเมริกาคราวนี้จัดการเรียบร้อยดีไหมครับ?”


เห็นสีหน้าอ่อนเพลียของแม่ เยี่ยเทียนก็ปวดใจเล็กน้อย ผู้หญิงเพียงคนเดียวสามารถก่อสร้างธุรกิจใหญ่ขนาดนี้ พอจะจินตนาการออกเลยว่าเธอต้องทุ่มเทกำลังใจกายมากน้อยเท่าไหร่


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเสร็จงานแต่งงานลูก แม่ยังต้องกลับไปอีกรอบ”


ซ่งเวยหลันส่ายหน้า ไม่อยากพูดถึงเรื่องธุรกิจ ผลักเยี่ยเทียนออกไปข้างนอก กล่าวว่า “ ลูกกับอวี๋ชิงหย่าไปเปลี่ยนชุดสูทกับชุดแต่งงานให้แม่ดูหน่อย!”


……………………


แล้ววันเวลาก็ผ่านไป หลังจากผู้คนเฉลิมฉลองค่ำคืนอันรื่นเริงแห่งสหัสวรรษ วันปีใหม่ของปีคริสต์ศักราช 2000 ก็มาถึงตามกำหนด


เดิมทีงานเลี้ยงแต่งงานจะถูกจัดขึ้นที่โรงแรมห้าดาวตามความตั้งใจซ่งเวยหลัน


แต่ว่าเยี่ยเทียนไม่อยากจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ อีกทั้งเขายังคิดถึงความครื้นเครงของงานมงคลที่จัดในบ้านตามชนบท ภายใต้การยืนกรานของเขา สุดท้ายจึงตัดสินใจจัดเลี้ยงโต๊ะจีนหกตัวภายในเรือนสี่ประสาน เรียกโชคลาภให้ราบรื่นในทุกสิ่ง


จากข้อเสนอนี้ของเยี่ยเทียน อวี๋เฮ่าหรานเองก็พยักหน้าเห็นด้วย แม้การแต่งเจ้าสาวเข้าบ้านครั้งนี้จะไม่ได้บรรยากาศนัก แต่เมื่อเยี่ยเทียนตกลงไปจัดงานเลี้ยงที่เซี่ยงไฮ้อีกครั้งหลังงานแต่งงานจบลง ฝ่ายพ่อตาจึงไม่มีอะไรจะพูดอีก


เช้าตรู่วันหนึ่ง เรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนก็อุดมไปด้วยบรรยากาศรื่นเริง ประตูทางเข้าเรือนสี่ประสานเต็มไปด้วยอักษรมงคล กระทั่งกำแพงโดยรอบก็ถูกซ่อมแซมใหม่ แขวนด้วยโคมไฟสีแดงทุก ๆ สองสามเมตร


เยี่ยเทียนพาลูกศิษย์ขับรถไปยังเขตบ้านเดี่ยวชานเมืองหลวงแต่เช้า ที่นี่เป็นที่อยู่ของอวี๋เฮ่าหรานในเมืองหลวง แต่เวลานี้ใช้เป็นบ้านเจ้าสาว


ตอนรับเจ้าสาวก็ได้รับความลำบากจากเว่ยหรงหรงและหูเสี่ยวเซียนที่เร่งรีบมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่น้อย ต้องใส่อั่งเปาไปถึง 5888 หยวน จึงจะรับตัวอวี๋ชิงหย่ามาได้


พอขับรถมาถึงถนนทางเข้าเรือนสี่ประสาน เสียงประทัดก็ดังสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นในทันที เยี่ยเทียนในชุดสูทอันองอาจกับอวี๋ชิงหย่าลงมาจากรถ เป็นผลให้หนุ่ม ๆ โห่ร้องกันเสียงดัง


ถูกฝูงชนล้อมรอบเข้าไปยังเรือนสี่ประสาน เรือนกลางเรือนสี่ประสานซึ่งทำความสะอาดตกแต่งใหม่ แขวนไว้ด้วยผ้าม่านแพรไหมสีแดงที่ด้านหน้าปักลายคู่นกเป็ดน้ำ ด้านหน้ายังมีโต๊ะวางเต็มไปด้วยของหวาน สองฝั่งข้างโต๊ะวางเก้าอี้แปดเซียนเอาไว้


งานแต่งงานของเยี่ยเทียนครั้งนี้ ไม่ได้ป่าวประกาศออกไป


ที่สามารถยืนอยู่ภายในเรือนสี่ประสาน นอกจากศิษย์พี่ของเขาทั้งสองและหนานไหวจิ่นกับลูกศิษย์แล้ว ก็มีเพียงสหายเก่าอย่างเว่ยหงจวินเท่านั้น กระทั่งถังเหวินหย่วนเยี่ยเทียนยังไม่เชิญมาร่วมงาน


ส่วนทางด้านเครือญาติ มีเพียงอาสาวของเยี่ยเทียนสามคน และทางซ่งเวยหลันก็มีเพียงซ่งอิงหลันน้าเล็กของเยี่ยเทียนมาร่วมงาน


ความจริงเดิมทีซ่งจือเจี้ยนอยากมาร่วมงานแต่งงานนี้ แต่ถูกซ่งเวยหลันปฏิเสธไป ในอดีตเขาเคยคัดค้านการแต่งงานของตนกับเยี่ยตงผิงอย่างรุนแรง ซ่งเวยหลันจึงไม่อยากให้พี่ชายคนโตของตนมารบกวนงานแต่งงานของลูกชาย


อีกอย่างแขกภายในงานยังมีหูหงเต๋อที่เร่งรีบมาจากตะวันออกเฉียงเหนือ มีสมาชิกครอบครัวเฟิงค่วงสามคน ล้วนเป็นคนใกล้ชิดสนิทสนมของเยี่ยเทียน จึงเลี่ยงการต้อนรับแขกหน้าประตูงานแต่งงานอันวุ่นวายไปได้


เวลามงคลโก่วซินเจียเป็นคนเลือก คือเวลาสิบเอ็ดนาฬิกาสามสิบนาที ตอนนี้ยังมีเวลาอีกชั่วโมงกว่า จึงทำพิธีอย่างไม่รีบร้อน สมาชิกในครอบครัวต่างนั่งคุยกันในลานบ้าน


เยี่ยเทียนเป็นคนในสำนักพยากรณ์ ไม่เคร่งครัดทำพิธีอย่างประณีตเต็มรูปแบบ ไม่ทำอะไรอย่างการคลุมศรีษะด้วยผ้าแดง อวี๋ชิงหย่าจึงนั่งอยู่ข้างกายเขาอย่างเปิดเผย


“เยี่ยเทียน ฉันขุดรากราชาโสมนั่นออกมาแล้ว ใช้เป็นของขวัญแต่งงานให้เธอก็แล้วกัน!” หูหงเต๋อเดินมาข้างกายเยี่ยเทียน ยื่นกล่องผ้าไหมสีแดงส่งให้


“เหล่าหู ขอบคุณครับ นี่นับว่าเป็นของดีทีเดียว!”


เยี่ยเทียนเปิดกล่องผ้าไหม ทันใดนั้นกลิ่นสมุนไพรเข้มข้นก็โชยออกมา โสมรากหนึ่งพันยุ่งเหยิงอยู่ภายในกล่อง เป็นโสมคนซึ่งมีรากยาวถึงสามสิบเซนติเมตร ดูอายุขัยของมันแล้วคงถึงห้าร้อยปีขึ้นไป


นึกถึงมังกรดำที่ซ่อนตัวอยู่บนเขาฉางป๋าน เยี่ยเทียนพูดขึ้นมาด้วยความคิดถึง “เหล่าหู ไว้รอมีวันหยุด ผมกับคุณไปเที่ยวเขาฉางไป๋ซานกันอีกนะครับ ที่นั่นมีของดีไม่น้อยเลย”


“พอเถอะ เธอไปทีก็เหมือนผีเข้าหมู่บ้าน ของดีอะไรไม่เหลือไว้สักอย่าง” หูหงเต๋อเบะปาก ไม่ไว้หน้าเยี่ยเทียนแม้แต่น้อย ทำเอาทุกคนหัวเราะเฮฮากันขึ้นมา


พอเสียงหัวเราะผ่านไป โก่วซินเจียก็เดินมาข้างตัวเยี่ยเทียน หยิบของม้วนหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ ส่งให้เยี่ยเทียนแล้วกล่าวว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ศิษย์พี่ใหญ่อย่างพี่เป็นผู้สมถะ อักษรม้วนนี้ถือเป็นของที่พี่และน้องไหวจิ่นให้เธอก็แล้วกัน”


“เอ๋ มันคืออะไรครับ?”


เยี่ยเทียนรับม้วนกระดาษนั่นมา มองดูการใส่กรอบกลับไม่ใช่ของโบราณ พอใช้มือคลี่ออก ก็ร้องขึ้นอย่างตกอกตกใจ “ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่หนาน ของ…ของชิ้นนี้มีมูลค่าเหลือเกินครับ!”


ตอนที่ 582 แต่งงาน (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

แม้จะคลายม้วนออกเพียงมุมเดียว แต่เมื่อเห็นภาพด้านบนกับตัวอักษร เพียงแวบเดียวเยี่ยเทียนก็จดจำได้ นี่คือ “ภาพดันหลัง” ฉบับคำอธิบายประกอบของจินเซิ่งท่าน


หลี่ซั่นหยวนเคยเก็บรักษา “ภาพดันหลัง” ฉบับคัดลอกของจินเซิ่งทั่นซึ่งชำรุดแล้วหนึ่งชิ้น ทว่ายุคสมัยผ่านไปยาวนาน ตอนเยี่ยเทียนอายุประมาณสิบขวบก็ทรุดโทรมผุพังไปแล้ว หลี่ซั่นหยวนยังเจ็บปวดใจเป็นเวลานาน


เห็นเยี่ยเทียนไม่ยอมปล่อยมืออย่างนั้น โก่วซินเจียก็ยิ้มออกมา กล่าวว่า “น้องหนานไหวจิ่นรู้ว่าเธอชื่นชอบ “ภาพดันหลัง” หลายวันก่อนจึงตั้งใจกลับไปยังพิพิธภัณฑ์กู้กงที่ไทเป ทำฉบับคัดลอกนี้มาให้เธอ ศิษย์พี่อย่างฉันจึงได้อานิสงส์ตามไปด้วย”


“ขอบคุณครับศิษย์พี่หนาน ผมชอบของขวัญชิ้นนี้มาก”


เยี่ยเทียนพยักหน้าซ้ำ ๆ เก็บม้วนกระดาษนั่นอย่างระมัดระวัง ของชิ้นนี้ไม่ใช่ว่ามีเงินก็ซื้อได้ อย่าคิดว่าเป็นฉบับคัดลอกแล้วจะไม่มีมูลค่า ความจริงแล้วภาพพิมพ์อักษรแกะสลักอันล้ำค่าของแพทย์ฉบับคัดลอก ล้วนมีมูลค่าเท่าทองคำพันชั่ง


 เช่นเดียวกันกับ “หลานถิงซวี่” ของหวังอี้จือ ที่ต้นฉบับสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอยนานแล้ว แต่ฉบับคัดลอกซึ่งคนรุ่นหลังทำขึ้นล้วนถูกเก็บรักษาไว้อย่างของมีค่าสำคัญ ล้วนเป็นสมบัติอันประเมินค่ามิได้


อีกทั้งฉบับคัดลอก “ภาพดันหลัง” ของจินเซิ่งทั่นไม่เคยถูกเปิดเผยมาตลอด คนทั่วไปถึงแม้ไปพิพิธภัณฑ์กู้กงที่ไทเปยังไม่แน่ว่าจะสามารถเห็นได้ ดังนั้นฉบับคัดลอกนี้ในมือของเยี่ยเทียน จึงนับว่าเป็นน้ำใจอันยิ่งใหญ่แล้ว


“เซี่ยวเทียน เก็บไว้ให้ดีล่ะ!” หลังจากขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่และหนานไหวจิ่น เยี่ยเทียนก็ยื่นฉบับคัดลอกนี้ให้แก่โจวเซี่ยวเทียน


“ศิษย์น้องเล็ก พวกศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้ให้ศิษย์พี่มีส่วนร่วม จึงต้องให้ของขวัญด้วยตัวเอง”


รอศิษย์พี่ใหญ่ให้ของขวัญเสร็จแล้ว จั่วเจียจวิ้นก็หยิบกล่องผ้าไหมทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าบนโต๊ะข้างตัวขึ้นมา กล่าวว่า “นี่คืออักษรภาพที่พี่เก็บรักษาไว้มาหลายปี มอบให้เธอเป็นของขวัญแล้วกัน!”


“ศิษย์พี่รอง ให้ทั้งทีขี้เหนียวไม่ได้นะ”


เยี่ยเทียนได้ยินเข้าก็หัวเราะออกมา ยื่นมือรับกล่องผ้าไหมมาเปิด หยิบม้วนกระดาษกว้างประมาณเจ็ดสิบ เซนติเมตรออกมา กล่าวว่า “ชิงหย่า มาสิ มาช่วยกันเปิด!”


ยุคสมัยของภาพนี้ไม่ยาวนานนัก น่าจะเข้ากรอบเสร็จเมื่อสามถึงห้าปีก่อน บนภาพมีดอกบัวและนกเป็ดน้ำเป็นแก่นสำคัญ บุปผาแดงและใบไม้จุดสีดำ


กลุ่มดอกไม้สีแดงฉูดฉาด ใบบัวสีดำที่กำลังเปลี่ยนรูปและนกเป็ดน้ำเคียงคู่กลางวารีเข้ากันเหมาะเจาะ โครงสร้างทั้งรูปมีความสมมาตร เส้นพู่กันเรียบง่ายเป็นอิสระมั่นอกมั่นใจ ทำให้ทั้งภาพเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา


“ผลงานของผู้เฒ่าไป๋สือหรือครับ?”


เห็นตัวอักษรมู่จวีซื่อที่ฝั่งซ้าย ตราประทับของไป๋สือเวิงและคำนิยมของฉีหวงแล้ว เยี่ยตงผิงที่ยืนอยู่ด้านข้างลูกชายก็เปล่งเสียงออกมาจากปากอย่างตกตะลึง


หลายปีที่ผ่านมาตลาดภาพจิตรกรรมภายในประเทศเฟื่องฟูอย่างไม่หยุดยั้ง ภาพเขียนโบราณอันวิจิตรบรรจงจึงราคาพุ่งสูงเสียดฟ้าอยู่เสมอ ราคาอักษรภาพภายในประเทศสูงสุดนั้นเป็นของศิลปินอย่างฉีไป๋สือกับจางต้าเชียน


เยี่ยตงผิงเป็นคนรู้จักสินค้า เขาจึงรู้ว่าภาพ “นกเป็ดน้ำกับดอกบัว” ชิ้นนี้ คือผลงานชิ้นยิ่งใหญ่ที่ฉีไป๋สือสร้างขึ้นหลังยุค “เกษียณเปลี่ยนแนวทาง”


สีดอกแดงใบดำของมัน ใช้เทคนิคบรรจงวาดอย่างอิสระ แสดงออกอย่างดุดันในความหมดจด แฝงความฮึกเหิมในความเรียบง่าย เข้าถึงความสามัญทว่าซับซ้อนในศิลปะชั้นสูง มูลค่าของมันอย่างน้อยต้องสิบล้านขึ้นไป


“ไม่ผิดแน่ นี่คือผลงานในวัยปั้นปลายของผู้เฒ่าไป๋สือ”


จั่วเจียจวิ้นยิ้มแล้วยิ้มอีก กล่าวว่า “ภาพนกเป็ดน้ำกับดอกบัว” ชิ้นนี้ แสดงถึงบรรยากาศเวลานี้ได้อย่างชัดเจน ศิษย์พี่รองขออวยพรให้พวกเธอสองสามีภรรยาครองคู่กันจนแก่เฒ่า!”


“ขอบคุณครับศิษย์พี่รอง ทำให้พี่ต้องเสียทรัพย์ซะแล้ว”


เยี่ยเทียนเองก็รู้ว่าภาพใบนี้มีมูลค่าไม่น้อย หลังจากขอบคุณจั่วเจียจวิ้นแล้ว เขาก็ม้วนรูปภาพ เก็บกลับลงภายในกล่องผ้าไหม


” เสี่ยวเทียน มาหาพี่นี่… “


เพิ่งจะอยู่เป็นเพื่อนคุยศิษย์พี่ทั้งหลายได้ไม่กี่ประโยค เยี่ยเทียนก็ได้ยินเสียงคนเรียกเขา  เมื่อหันไปมองกลับเป็นพี่หวังอิ๋ง


เยี่ยเทียนรีบเอ่ยปากขออภัยต่อศิษย์พี่ หลังจากให้พ่อคุยเป็นเพื่อนศิษย์พี่แล้ว  ก็เดินไปทางหวังอิ๋ง โดยคว้าของหวานกำหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะไปด้วย


“หยาหยา เรียกอาสิจ๊ะ!”


หวังอิ๋งและลูกสาวของเฟิงค่วง อายุสี่ขวบกว่าแล้ว หน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาเซรามิก ปากเล็กกระจุ๋มกระจิ๋ม เข้ามาในเรือนแล้วถูกคุณปู่คุณย่าคุณอาคุณน้าเรียกหาไม่หยุด เป็นที่รักของทุกคนมาตลอด


“สวัสดีค่ะคุณอาเยี่ยเทียน คุณอาเยี่ยเทียน ขนมนั่นให้หนูหรือคะ?”


เด็กน้อยมองขนมหวานในมือเยี่ยเทียน พูดด้วยสีหน้าลำบากใจ “แต่ว่ากระเป๋าเสื้อของหยาหยาไม่ว่างเลย คุณอาเยี่ยเทียนช่วยเก็บไว้ให้หยาหยาก่อนได้ไหมคะ?”


“ได้สิ อาจะเก็บไว้ให้หนู…”


น้ำเสียงไร้เดียงสาของหยาหยาเรียกเสียงหัวเราะภายในงาน เยี่ยเทียนเอาขนมใส่ไว้ในถุง ส่งให้เด็กน้อย กล่าวว่า “หยาหยาถือเอาไว้ในมือ อยากกินเมื่อไหร่ก็หยิบจากข้างในออกมานะ”


“เสี่ยวเทียน อย่าให้ท้ายเด็กสิ เดี๋ยวก็กินจนฟันผุ”


หวังอิ๋งยิ้มพลางดึงตัวเยี่ยเทียน ชี้ไปยังกล่องที่ปลายเท้า กล่าวว่า “ข้างในนี้คือเสื้อผ้าตัวเล็ก ๆ และงานปักที่พี่อิ๋งอิ๋งของเธอทำเองกับมือ แล้วยังมีหมวกหัวเสือ พวกเธอจะได้มีลูกกันไว ๆ ไง”


ด้วยความสัมพันธ์ของหวังอิ่งกับเฟิงค่วงและครอบครัว ไม่เหมาะสมจะให้เป็นเงินทอง เยี่ยเทียนเองก็ไม่อาจรับไว้ ดังนั้นหวังอิ่งจึงเริ่มลงมือเตรียมของขวัญให้กับเยี่ยเทียนตั้งแต่ครึ่งปีก่อนแล้ว


“ขอบคุณครับพี่!”


เยี่ยเทียนคุกเข่าลงหยิบกล่องใบนั้นขึ้นมาเปิด เห็นเสื้อผ้าตัวเล็ก ๆ อยู่ด้านในหนึ่งชิ้นกับรองเท้าน้อยและหมวก ดวงตาของเยี่ยเทียนก็ไม่อาจกลั้นน้ำตารื้น อดก้มหน้าปาดออกจากหางตาไม่ได้


ตั้งแต่เด็กเยี่ยเทียนไม่มีแม่อยู่ข้างกาย ตอนไปชนบทเพิ่งจะอายุได้สิบขวบ เวลานั้นเยี่ยตงผิงงานยุ่งเหลือเกิน เยี่ยเทียนจึงไปกินอยู่ที่บ้านหวังอิ๋งแทบจะทุกวัน เสื้อผ้าขาดยังเป็นหวังอิ๋งช่วยซ่อมแซมให้เขา


 เวลานั้นธุรกิจของเฟิงค่วงเพิ่งจะเริ่มไต่เต้า  รายได้ของหวังอิ่งก็ไม่สูงมากนัก แต่มักพยายามหาวิธีให้เยี่ยเทียนได้กินเนื้อเสมอ ราวกับว่าเยี่ยเทียนเป็นน้องชายแท้ ๆ คนหนึ่ง


 ตลอดเวลาแปดปีเต็ม  ในส่วนลึกของหัวใจเยี่ยเทียน พี่หวังอิ๋งคนนี้ไม่แตกต่างอะไรกับแม่แท้ ๆ เพราะอย่างนั้นในทุกปีไม่ว่าเยี่ยเทียนจะงานยุ่งแค่ไหน จะต้องกลับไปยังหมู่บ้านน้อยแห่งนั้นที่เจียงหนาน เพื่อเยี่ยมเยียนครอบครัวของเฟิงค่วง


” น้องเยี่ย น้องเองก็แต่งงานแล้ว ภายหลังห้ามทำตัวซุกซนอีกล่ะ!”


 มองดูเยี่ยเทียนผู้สง่างามหล่อเหลาเบื้องหน้า  สายตาของหวังอิ๋งคล้ายปรากฎเงาร่างของเด็กชายอายุสิบขวบสวมใส่หมวกหัวเสือคนนั้น พลันเกิดสะเทือนใจขึ้นมา  อดเช็ดน้ำตาออกไม่ได้


เยี่ยเทียนจับบ่าหวังอิ๋ง ยิ้มกล่าวว่า ” พี่ งานแต่งงานของน้องชายเป็นเรื่องน่ายินดี มาเมืองหลวงคราวนี้ ต้องอยู่ฉลองตรุษจีนแล้วค่อยกลับนะ ผมอยากทำของบางอย่างให้หยาหยานำกลับไปด้วย”


“เจ้าเด็กบ้า ไม่ได้ให้ของขวัญพี่มากี่ปีแล้ว?”


หวังอิ๋งรู้ว่าวันมงคลยิ่งใหญ่ไม่ควรโศกเศร้า จึงเช็ดน้ำตาออก จ้องมองเยี่ยเทียนอย่างไม่สบอารมณ์


” แฮะ ๆ ไว้จะมอบของดีให้พี่นะ”


เยี่ยเทียนหัวเราะแหะๆออกมา เหลือบสายตามองเห็นเว่ยหงจวินโบกมือมาทางเขา ก็รีบหันไปบอกอวี๋ชิงหย่า “ชิงหย่า เธอคุยเป็นเพื่อนพี่สาวทีนะ ฉันจะไปทักทายแขกต่อ”


มาถึงข้างหน้าเว่ยหงจวิน เยี่ยเทียน ก็ส่งบุหรี่มวนหนึ่งให้ “ลุงเว่ย  วันนี้ลำบากลุงเสียแล้ว  ไว้เดี๋ยวรอว่างแล้วผมจะต้องดื่มคำนับลุงสักหลายจอกแน่นอน!”


การจัดงานพิธีแต่งงานวันนี้ รวมไปถึงเชิญพ่อครัวจากโรงแรมล้วนเป็นฝีมือของเว่ยหงจวินทั้งหมด เนื่องจากอาหารบางอย่างต้องตระเตรียมตั้งแต่เนิ่น ๆ ดังนั้นเขาจึงงานยุ่งมาตลอดตั้งแต่กลางดึกเมื่อคืน จวบจนตอนนี้ยังไม่ได้นอนเลยสักชั่วโมง


” พูดถึงเรื่องพวกนี้ทำไม เธอมายังปักกิ่งก็รู้จักลุงเว่ยก่อนไม่ใช่หรือ?”


เว่ยหงจวิน โบกไม้โบกมืออย่างไม่พอใจ กล่าวว่า ” อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย เยี่ยเทียน ข้างนอกมีแขกมากลุ่มหนึ่ง  เธอดูสิว่า… จะให้เข้าหรือไม่ให้เข้ามาดี?”


จากความตั้งใจของเยี่ยเทียน วันนี้ภายในบ้านจัดเลี้ยงโต๊ะจีนทั้งหมดหกโต๊ะ คนที่มาล้วนเป็นเพื่อนสนิทของเยี่ยเทียนและเหล่าญาติ


แต่ว่าเว่ยหงจวินที่เมื่อครู่ตระเตรียมงานเลี้ยงอยู่ด้านนอกพบว่า มีคนจำนวนหนึ่งมาถึงหน้าประตูบ้านแล้ว แต่ว่าคนเหล่านั้นกลับไม่กล้าเข้ามา ดังนั้นเว่ยหงจวินจึงเข้ามาบอกเยี่ยเทียน


“ใครกันเหรอครับ? ไปเถอะ ออกไปดูกัน” เยี่ยเทียนได้ยินเข้าก็ชะงักไปชั่วขณะ งานแต่งงานของตัวเองแทบไม่ได้เชิญคนนอกเลย


 “เป็นชิวเหวินตงน่ะ ยังมีคนที่ติดตามเขาอีกสองสามคน แต่ว่าลุงไม่รู้จัก…” เว่ยหงจวินตามหลังเยี่ยเทียนเดินออกไปยังนอกบ้าน


น้อยคนที่ทำการค้าในเมืองหลวงจะไม่รู้จักชิวเหวินตง ช่วงเวลาที่ผ่านมาเว่ยหงจวินทำธุรกิจได้ราบรื่นไม่มีติดขัด ก็เพราะได้ชิวเหวินตงช่วยเหลือ ดังนั้นพอปิดประตูให้อีกฝ่ายอยู่ด้านนอก ในใจเว่ยหงจวินจึงรู้สึกกระอักกระอ่วน


“เหล่าชิวเหรอครับ? เฮ้ เขามาทำอะไรน่ะ?”


เยี่ยเทียนแค่นยิ้มส่ายหน้า ตัวเองลืมเจ้าถิ่นคนนี้ไปได้อย่างไรกัน? ในอาณาเขตเมืองปักกิ่ง เกรงว่าเรื่องที่ปิดบังจากหูตาของเขามีไม่มากนัก


เยี่ยเทียนคิดอยู่สักครู่ ก็หยุดฝีเท้าถามขึ้น “ลุงเว่ย เพิ่มโต๊ะเรือนหน้านี่อีกสองสามโต๊ะได้ไหมครับ?”


บ้านเก่าหลังนี้ของตระกูลเยี่ยแบ่งเป็นเรือนหน้าเรือนกลางเรือนหลังสามเรือน ในสมัยราชวงศ์ชิงนั้นเป็นจวนของท่านอ๋องผู้หนึ่ง กระทั่งพื้นที่ยังครอบคลุมกว้างกว่าเรือนสี่ประสานหลังใหม่ของเขาเสียอีก อัดโต๊ะเพิ่มไม่กี่โต๊ะย่อมไม่เป็นปัญหาแน่นอน เพียงแต่เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าเตรียมอาหารสุราพอหรือไม่


“ได้สิ วันนี้ลุงเตรียมวัตถุดิบเป็นจำนวนสองเท่า เพิ่มอีกหกโต๊ะก็ไม่มีปัญหา”


เว่ยหงจวินพยักหน้า ยกโทรศัพท์ขึ้นกล่าวว่า “ลุงจะให้พวกเขาตระเตรียมเดี๋ยวนี้ ไม่ให้ชักช้าเสียการแน่นอน”


คนแก่คนเฒ่าล้วนรู้กัน ว่าสมัยอดีตในชุมชนมีคนเหล่านี้อยู่ ซึ่งคอยซื้อข้าวของให้คนจัดเลี้ยงที่บ้านโดยเฉพาะ พอเว่ยหงจวินโทรไปหา ทางนั้นก็มีคนจัดการให้


“เหล่าชิว คุณรู้เรื่องนี้จากไหนหรือครับ?”


เว่ยหงจวินคุยโทรศัพท์อยู่ด้านหลัง เยี่ยเทียนก็ออกไปต้อนรับนอกเรือน พอเห็นพวกคนที่อยู่ข้างตัวชิวเหวินตงแล้ว ก็อดตกตะลึงไม่ได้


“เหิงหวี่ นายมาจากชางโจวตั้งแต่เมื่อไหร่? ประธานจู้ก็มาด้วยหรือครับ? ต้องขออภัยจริง ๆ ไปเถอะ เชิญด้านในครับ!”


คนที่มานอกจากชิวเหวินตงแล้ว ยังมีเฝิงเหิงหยู่จากชางโจว ส่วนอีกคนก็คือจู้เหวยเฟิงเถ้าแก่เบื้องหลังธุรกิจมวยใต้ดินคนนั้น


เฝิงเหิงหยู่ส่ายหน้ากล่าวว่า “ศิษย์อาเยี่ย ได้ยินข่าวว่าวันนี้อาแต่งงาน หลานจึงมาพบเพื่อมอบของขวัญ พวกเราไม่เข้าไปหรอกครับ”


“ใช่แล้ว น้องเยี่ย วันนี้งานยุ่ง พวกเราไม่ขอรบกวนดีกว่า”


ตงเหวินชิวหยิบอั่งเปาสองซองยัดใส่มือเยี่ยเทียน เขาไม่ได้รับการเชื้อเชิญจากเยี่ยเทียนแต่ยังมา เดิมทีก็ออกจะตะขิดตะขวงใจอยู่


ตอนที่ 583 แต่งงาน (3)

โดย

Ink Stone_Fantasy

เป็นอย่างที่เยี่ยเทียนคิดไว้ไม่มีผิด ในเมืองหลวงแห่งนี้จะมีเรื่องอะไรปิดบังชิวเหวินตงได้นั้นไม่ง่ายเลย อีกอย่างเขาเองก็คอยจับตาดูเยี่ยเทียนอยู่ตลอด


พอทราบข่าวการแต่งงานของเยี่ยเทียนแล้ว ชิวเหวินตงรู้สึกหงุดหงิดมากเพราะเขาไม่ได้รับการเชิญ ถึงจะอยากไปร่วมงาน กลับกลัวว่าเยี่ยเทียนจะไม่ยินดี


พอดีกับที่เฝิงเหิงหยู่มาถึงปักกิ่งเมื่อวาน ชิวเหวินตงจึงบอกเขาถึงเรื่องนี้ เฝิงเหิงหยู่กับเยี่ยเทียนเคยมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอยู่พอจะอลุ้มอล่วยให้บ้าง จึงพาชิวเหวินตงมาร่วมงานด้วย


ส่วนจู้เหวยเฟิงเขามีลู่ทางของตัวเอง เยี่ยเทียนอยู่ในเมืองหลวงก็ไม่ได้ทำตัวกร่าง แต่ด้วยฐานะของหลานชายของซ่งเฮ่าเทียนจึงเป็นที่จับตามองของคนทั่วไป


แต่สถานภาพของจู้เหวยเฟิงกับชิวเหวินตงนั้นไม่เหมือนกัน พวกเขามาถึงหน้างานแล้ว ถ้ายังเข้าไปในงานไม่ได้อีก คงจะขายหน้าน่าดู


ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าชิวเหวินตงเอ่ยลาแล้ว จู้เหวยเฟิงขมวดคิ้วเข้าเล็กน้อย


“เหล่าชิว ผู้ที่มาเป็นแขก รีบเข้ามานั่งข้างในก่อน…”


เยี่ยเทียนสังเกตเห็นสีหน้าของจู้เหวยเฟิงแล้วเข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่จนอดยิ้มไม่ได้ “วันนี้เป็นวันมงคลของผม เดี๋ยวผมต้องขอคารวะทุกท่านคนละจอก ประธานจู้ ยินดีที่มานะครับ!”


“น้องเยี่ยเทียนเกรงใจไปแล้ว ฉันมารบกวนขอดื่มเหล้ามงคลสักจอก”


จู้เหวยเฟิงถูกเยี่ยเทียนเยินยอจนตัวลอย หยิบเอากุญแจรถออกมาจากกระเป๋าเสื้อยื่นให้เยี่ยเทียนพูดว่า “รถคันที่ฉันสั่งจองจากอังกฤษตอนปี 98 เพิ่งจะส่งมาถึงไม่นานนี้เอง พอดีตรงกับวันมงคลของน้องเยี่ยเทียน เลยขอมอบให้เป็นของขวัญ”


เยี่ยเทียนเคยช่วยเขาหลายเรื่องในสนามมวยใต้ดิน จู้เหวยเฟิงอยากเป็นฝ่ายตอบแทนบ้างแต่ไม่มีโอกาสเสียที ตอนนี้ในงานแต่งของเยี่ยเทียน เลยมอบของขวัญให้ชิ้นใหญ่


อย่าได้มองว่าจู้เหวยเฟิงอธิบายถึงตัวรถแค่คร่าวๆ รถคันนี้มีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา เป็นรถรุ่นใหม่ล่าสุดของโรสลอยด์ที่ผลิตในปี 1998 สีแองเจลซิลเวอร์ ที่เป็นรุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น ในประเทศจีนมีรถแบบนี้เพียงคันเดียวเท่านั้น


“ครับ ในเมื่อประธานจู้มีน้ำใจ ผมก็จะรับไว้ครับ”


เห็นจู้เหวยเฟิงยื่นกุญแจมาให้ เยี่ยเทียนยั้งคิดสักครู่แล้วรับมา ด้วยฐานะทางบ้านของเขา ไม่ได้อยากรับของมีค่าแลกกับน้ำใจคนหรอก อีกหน่อยคงจะต้องหาของขวัญที่มีค่าเท่าเทียมกันส่งคืนให้


“เยี่ยเทียน จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว อีกไม่ถึงห้านาที พวกโต๊ะเก้าอี้ ชาม ตะเกียบพวกนั้นก็จะส่งมาถึง!”


เยี่ยเทียนอยู่หน้างานคอยต้อนรับแขก ด้านหลังงานมีเว่ยหงจวินที่เพิ่งวางสายโทรศัพท์ก็รีบวิ่งมา เดือนมกราคมอากาศยังหนาวอยู่ แต่เพราะความรีบร้อนทำให้เว่ยหงจวินมีเม็ดเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก


“น้องเว่ย ดูนายยุ่งวุ่นวายดีจริง ไม่รีบบอกฉันเสียแต่เนิ่นๆ ฉันจะได้มาช่วยจัดงานให้?”


เห็นความสนิทสนมของเว่ยหงจวินกับเยี่ยเทียนแล้ว ชิวเหวินตงยังอดอิจฉาไม่ได้ ถ้าเขากับเยี่ยเทียนสนิทกันได้แบบนี้ เขาคงสามารถเดินวางก้ามใหญ่โตในเขตถิ่นผู้ดีเก่าได้แล้ว


“พี่ชิว พี่มาช้านะ เร็ว เชิญทุกท่านเข้าไปด้านในเถอะ!”


เรื่องคราวก่อนที่ถูกทำร้าย เว่ยหงจวินได้รับน้ำใจความช่วยเหลือจากชิวเหวินตง จึงรีบเชื้อเชิญที่ผู้ที่ยืนอยู่หน้างานเคลื่อนตัวเข้าไปด้านใน แม้ว่าลานด้านหน้าบานจะยังไม่มีโต๊ะเก้าอี้มาจัดวาง แต่โถงเรือนกลางกลับจัดแจงคนสามถึงห้าคนได้ไม่มีปัญหา


“ลุงเว่ย พวกคุณเข้าไปก่อนเถอะ นั่น…มีคนมาอีกแล้ว”


เยี่ยเทียนที่ตอนแรกกำลังจะเดินเข้าในไปบ้านพร้อมกับคนทั้งกลุ่ม แต่พอเดินไปถึงหน้าประตู ก็เห็นว่ามีกลุ่มคนเดินเข้ามาในตรอกอีกห้าหกคน ได้แต่ยิ้มแหยแล้วชะงักฝีเท้าลง


“อ๋อ? ท่านผู้เฒ่าถังนั่นเอง?” จู้เหวยเฟิงได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้วหยุดฝีเท้าลงทันที มองออกไปด้านนอก สีหน้าดูแปลกใจ


คนที่เดินมาด้วยคนอื่นจู้เหวยเฟิงต่างรู้จักทั้งหมด นอกจากถังเหวินหย่วนแห่งเกาะฮ่องกงแล้ว ยังมีเจ้าของตลาดหุ้นที่โหดเหี้ยมไร้ความปราณี เหวินหลวนสง แล้วก็เถ้าแก่หวาเซิ่งผู้โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงฮ่องกงมาหลายปีและกำลังโด่งดังถึงที่สุด


แตกต่างจากช่วงเวลาปกติที่บุคคลเหล่านี้จะถูกห้อมล้อมดูแลอย่างดี ตอนนี้นอกจากถังเหวินหย่วนผู้ซึ่งมีหลานสาวเดินประคองเข้ามาแล้ว ทั้งเหวินหลวนสงและหวาเซิ่งต่างเข้ามาในงานเพียงลำพัง


“ผมว่านะเหล่าถัง อากาศหนาวขนาดนี้ผมตั้งใจจะไม่เชิญคุณด้วย คุณจะเดินทางมาให้ลำบากทำไม?”


เยี่ยเทียนเดินเข้าไปประคองถังเหวินหย่วนไว้ เอ่ยต่อว่า “เสวี่ยเสวี่ย คุณปู่ของเธออายุมากขนาดนี้แล้ว ทำไมไม่ห้ามปรามไว้หน่อย?”


“พี่เยี่ยเทียน พี่…พี่แต่งงานยังไม่เชิญเสวี่ยเสวี่ยเลย เสวี่ยเสวี่ยอยากเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้พี่ชิงหย่า”


ด้วยความน้อยอกน้อยใจเป็นทุนเดิม พอถูกเยี่ยเทียนตำหนิเข้าอีก ถังเสวี่ยเสวี่ยเริ่มมีน้ำตาคลอเบ้า เบะปากทำท่าจะปล่อยโฮออกมา


“อย่าร้อง อย่าร้องเลยนะ พี่ชิงหย่าของเธออยู่ข้างในน่ะ อยากเป็นเพื่อนเจ้าสาวก็รีบเข้าไปเถอะ!”


เยี่ยเทียนถูกถังเสวี่ยเสวี่ยเบะปากจะร้องไห้ใส่ ความโกรธหายไปฉับพลัน ยิ้มแหยแล้วหันไปหาหวาเซิ่งกับเหวินหลวนสงว่า “ทั้งสองท่าน อุตส่าห์มาด้วยตัวเองเลยหรือ?”


พูดตามตรงว่าเยี่ยเทียนตอนที่อยู่ฮ่องกงนั้นมีเพียงความสัมพันธ์กับถังเหวินหย่วนคนเดียวที่ค่อนข้างใกล้ชิด แม้เคยช่วยเหลือเหวินหลวนสงเอาไว้ แต่ในใจกลับไม่ได้นับถือเขาเป็นสหาย จึงไม่คิดว่าทั้งสองจะเดินทางมาจากฮ่องกงเพื่องานแต่งของตัวเอง


“คุณเยี่ย ครั้งก่อนเพราะว่าได้คำแนะนำจากคุณ ยังไม่มีโอกาสขอบคุณเลย ของขวัญเล็กน้อยได้โปรดรับเอาไว้ด้วย!”


ในมือเหวินหลวนสงถือกล่องของขวัญยื่นให้เยี่ยเทียน ความจริงแล้วช่วงนี้เขามาประเทศจีนเพื่อดูงานโครงการหนึ่ง และพักอยู่ในปักกิ่งมาตลอด ไม่ถึงขนาดว่าบินตรงมาจากฮ่องกงเสียทีเดียว


แต่ของขวัญที่มอบให้เยี่ยเทียนนั้นเป็นสร้อยคอเพชร ที่เพิ่งส่งตรงมาจากฮ่องกงมาถึงเมื่อวานนี้เอง สร้อยเพชรชิ้นนี้ได้จากงานประมูลที่ยุโรป ราคาตอนนี้สูงถึงเจ็ดล้านปอนด์ ถ้าคิดเป็นเงินหยวนจีนก็ราวร้อยล้านกว่าหยวน


“ประธานเยี่ย เมื่อก่อนที่ฮ่องกงได้เคยล่วงเกินคุณไว้หลายอย่าง ผมมาครั้งนี้เพื่อขอโทษ ของขวัญเล็กน้อยนี้ เพื่อแสดงน้ำใจ!”


โครงการในประเทศจีนครั้งนี้เหวินหลวนสงได้ร่วมมือกับหวาเซิ่งทำการบุกเบิกขึ้นมา เหตุผลของเขาก็ดูเข้าท่าดี ครั้งก่อนที่ลูกน้องผู้กำกับของหวาเซิ่งหาเรื่องเยี่ยเทียนจนเกิดเรื่องใหญ่โต ตอนนี้อ้างถึงว่าอยากจะแสดงการขอโทษ ทำเอาเยี่ยเทียนพูดอะไรไม่ออก


“ทั้งสองท่านเกรงใจไปแล้ว เหล่าถัง คุณไปนั่งที่เรือนกลางเถอะ ทั้งสองท่านคงต้องรบกวนให้นั่งที่เรือนหน้าได้ไหม?”


ดูจากแขกที่มาร่วมงานแต่ละคน เยี่ยเทียนเป็นคนใหญ่คนโตเหลือเกิน ถ้ารู้ว่าเป็นอย่างนี้ เขาน่าจะไปจัดงานในโรงแรมใหญ่เสียดีกว่า อย่างน้อยจะได้ไม่มีปัญหาเช่นพวกโต๊ะเก้าอี้ที่ยังส่งมาไม่ถึง


“เยี่ยเทียน เอาตามที่เธอจัดไว้แล้วกัน!” ถังเหวินหย่วนใช้ไม้เท้าค้ำนั่งยองลงไปกับพื้น พูดต่อว่า “ตาแก่อย่างฉันอีกหน่อยคงไม่ค่อยมีโอกาสได้ดื่มเหล้ามงคลแล้ว”


เยี่ยเทียนเป็นใคร? ได้ยินคำบอกลากลายๆจากถังเหวินหย่วนแล้วเยี่ยเทียนก็หงุดหงิด “เอาเถอะ อย่าเอาแต่พูดแล้วกัน เรื่องนั้นของคุณน่ะ ผมยังจำได้ขึ้นใจ”


“งั้นก็ดี งั้นก็ดี!” ถังเหวินหย่วนแก่ปูนนี้แล้ว ไม่คอยมียางอายสักเท่าไหร่ เดินหัวเราะเข้าประตูไป


“ท่านผู้เฒ่าถัง คุณหวา คุณเหวิน พวกคุณก็มาด้วยหรือนี่?” จนถึงตอนนี้จู้เหวยเฟิงที่ยืนอยู่หลังเยี่ยเทียนถึงได้มีโอกาสเอ่ยปากพูดแทรกขึ้นมา


“เอ๋? คุณคือ….” ถังเหวินหย่วนหยุดเดิน มองจู้เหวยเฟิงด้วยความสงสัย เขาอายุปูนนี้แล้ว แต่ความจำยังดีอยู่


“ท่านผู้เฒ่าถัง เขาคือเสี่ยวจู้ แห่งบ้านตระกูลจู้นั่นไง!” เหวินหลวนสงที่ยืนอยู่ด้านหลังถังเหวินหย่วนแอบกระซิบเบาๆ


“อ๋อ เธอนั่นเอง ดี ดี พวกเธอคนหนุ่มคนสาวควรจะไปมาหาสู่กันบ่อยๆ”


ถังเหวินหย่วนทำท่าผงกหัว ยิ้มให้จู้เหวยเฟิง แล้วเดินเข้าไปในบ้านตามเยี่ยเทียน แต่เยี่ยเทียนแอบได้ยินตาแก่บ่นพึมพำว่าบ้านตระกูลจู้ไหนไม่รู้จัก?


ถังเหวินหย่วนเคยมาพักที่เรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนเป็นเวลาไม่น้อย จึงคุ้นเคยกับสมาชิกครอบครัวเป็นอย่างดี ชายชรารู้จักคนกว้างขวาง เมื่อเข้าไปถึงตัวบ้านก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากทุกคน


“เอ๋? มีคนมาอีกแล้ว?”


เยี่ยเทียนที่ขอตัวออกมาเตรียมจะไปหารือต่อกับศิษย์พี่ทั้งสอง จู่ๆก็ขมวดคิ้วแน่น ขณะเดียวกันโก่วซินเจียและหนานไหวจิ่นสบกันครู่หนึ่ง แล้วต่างมองไปที่เรือนด้านหน้า


“คนๆนั้นมาแล้ว…”


เยี่ยเทียนหัวเราะหึหึ หน้าบ้านเขามีพลังจิตสังหารที่ดึงดูดความสนใจของพวกเขา แน่นอนว่าต้องมาจากบรรดาการ์ดคุ้มกันของซ่งเฮ่าเทียน เยี่ยเทียนรีบเดินเข้าไปข้างๆแม่ของเขาแล้วกระซิบที่ข้างหู


“คุณพ่อบอกว่าจะไม่มาไม่ใช่เหรอ?” ซ่งเวยหลันยังตกตะลึง แต่ก็ลุกขึ้นยืน ดึงแขนสามีและน้องสาวออกไปนอกเรือน


“คุณพ่อ มาได้ยังไงคะ?”


เพิ่งเดินพ้นประตูออกมา ซ่งเวยหลันเห็นบิดาถือไม่เท้ายืนอยู่ตรงนั้น แหงนหน้ามองตัวอักษร “บ้านเยี่ย” หน้าประตูใหญ่เรือนสี่ประสาน


ด้านหลังซ่งเฮ่าเทียนยังมีเด็กชายอายุห้าหกขวบยืนอยู่ด้วย หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู พอเห็นซ่งเวยหลันกับน้องสาวเด็กน้อยก็รีบวิ่งเข้าหา “อาหญิง คุณปู่บอกว่าจะพาผมมาดื่มเหล้ามงคล”


“เป่าเอ๋อ มา มาหาอาทางนี้”


เด็กคนนี้เป็นหลานของซ่งจือเจี้ยน ซ่งเฮ่าเทียนได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ก็สั่งให้คนไปรับตัวเด็กคนนี้มาพักอาศัยอยู่กับชายชรามาเกินครึ่งปีแล้ว


“ตอนนั้นพ่อทำผิดกับแกแล้วก็ตงผิง ทำให้พวกแกต้องแยกจากกันถึงยี่สิบกว่าปี….”


ซ่งเฮ่าเทียนมองดูตระกูลเยี่ยที่มีความแค้นไม่จบสิ้นกับตระกูลซ่ง ในใจรู้สึกถึงความเสียใจ “เยี่ยเทียนเป็นหลานของฉัน ฉันเป็นคุณตาทำไมจะมาไม่ได้?”


“คุณมาผมก็ยินดี แต่คนที่มากับคุณด้วยเข้าได้ถึงที่เรือนหน้าเท่านั้น จะเข้าไปถึงเรือนกลางไม่ได้!” เยี่ยเทียนเดินออกมาถึงหน้าประตู พอจะเดาได้ถึงความคิดความตั้งใจของซ่งเฮ่าเทียน


ซ่งเฮ่าเทียนมาร่วมงานแต่งงานของตน ถือเป็นการชดเชยให้กับทั้งพ่อและแม่ ขณะเดียวกันก็แสดงถึงการปกป้องตนด้วย


ขณะที่ซ่งเฮ่าเทียนยืนอยู่ตรงหน้าประตูบ้านนั้น เกรงว่าผู้มีอิทธิพลในปักกิ่งต่างได้รู้ข่าวกันหมดแล้ว ถ้าหากวันหนึ่งมีใครอยากจะลงมือกับเยี่ยเทียน คงต้องคิดให้ดีว่าจะต่อกรกับอำนาจของซ่งเฮ่าเทียนอย่างไร


แต่เมื่อซ่งเฮ่าเทียนเดินเข้าไปที่เรือนกลางทำให้เกิดปฏิกิริยาที่คาดไม่ถึงคือ โก่วซินเจียเห็นเพื่อนเก่าเข้าก็รีบเชื้อเชิญให้ซ่งเฮ่าเทียนไปนั่งที่โต๊ะเดียวกัน


ส่วนคนอื่นอย่างหวาเซิ่งกับเหวินหลวนสงต่างตกอกตกใจกันใหญ่


แม้พอทราบความสัมพันธ์ของเยี่ยเทียนกับซ่งเฮ่าเทียนมาก่อนแต่ก็คิดไม่ถึงว่า ชายราผู้มีอำนาจล้นฟ้าคนนี้จะเดินทางมาด้วยตัวเอง เยี่ยเทียนเป็นหลานชายแท้ๆของท่าน ตามหลักแล้วซ่งเฮ่าเทียนก็ควรจะมาปรากฎตัวที่นี่


ส่วนชิวเหวินตงไม่ต้องพูดถึง ยิ่งตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว ตลอดชีวิตของเขาการได้มีโอกาสร่วมงานเลี้ยงกับผู้นำประเทศก็ถือว่าคุ้มค่ามากแล้ว


………………………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)