ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 578-579
ตอนที่ 578 ท่านตา...................?
นั่น……ท่านเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนยังมีชีวิตอยู่?
ก่อนหน้านี้ พวกเขาทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปที่ท่านเจ้าสำนักและตู๋กูซิงหลัน ประกอบกับหมอกสีดำข้างหลังคนทั้งสองเองก็ไม่มีความเคลื่อนไหว ไม่มีแม้แต่เสียงอะไรทั้งนั้น พวกเขาจึงเข้าใจกันไปเองว่า หมอกสีดำนั้นเป็นของเจ้าสำนักหยินหยางนั่นเอง
เพราะว่าทั้งท่านเจ้าสำนักหยินหยางและเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ต่างก็มีไอหยินเข้มข้น หมอกสีดำของทั้งสองมิได้แตกต่างกันมากนัก ยากที่จะแยกแยะ
ตอนนี้พอฟ่านอิงเอ่ยออกมา ผู้คนทั้งหลายจึงพากันตกตะลึงไป
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?
เจ้าสำนักจับตัวเจ้าตำหนักเอาไว้ คิดจะทำอะไรขึ้นมาอีก?
ไม่แปลกเลยที่ในใจของผู้คนต่างก็พากันคาดเดาไปต่างๆนานาเพราะทั้งท่านเจ้าสำนักและฮ่องเต้หญิงน้อยที่เป็นศิษย์ของเขา ดูไปแล้วไม่เพียงแต่มิได้เดือดร้อน ท่าทางก็ดูสุขสบายดีไม่น้อย
แต่พอท่านเจ้าตำหนักเอ่ยปาก น้ำเสียงที่ผ่านหมอกสีดำออกมากลับดูอ่อนล้า คล้ายผ่านการต่อสู้มาระยะหนึ่ง
ต้าซือมิ่งเองก็ตกตะลึงไปแล้ว พอนึกขึ้นได้คนค่อยได้สติขึ้นมา เขาก้าวออกไปก้าวหนึ่ง “ท่านเจ้า….”
“ตัวมารร้ายสำนักหยินหยางผู้นั้นทำอะไรกับท่านหรือ?”
เขาสอบถามออกไปอย่างรีบร้อน
เพราะบุรุษที่สามารถกำจัดวังตันติ่งกงได้ด้วยเพียงฝ่ามือเดียงผู้นี้ ย่อมเป็นผู้แข็งแกร่ง
“ไม่มีอะไร” ฟ่านอิงซ่อนตัวอยู่ในหมอกสีดำ ยืนอยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน
สาวน้อยรูปร่างสะโอดสะองค์ผอมบาง คล้ายคลึงกับเย่วอิงเมื่อก่อน
ใต้แสงอาทิตย์เช่นนี้ นางงดงามจนบาดตา
แสงอาทิตย์…..เขาจำไม่ได้ว่า ตนเองไม่ได้เห็นมันมานานเท่าไหร่แล้ว
คล้ายกับว่านับตั้งแต่ที่แคว้นกู่เย่วล่มสลาย คนทั่วทั้งแคว้นถูกสังหาร อาเย่วถูกแย่งชิงไปแต่งงานกับผู้อื่น เขาก็ไม่เคยได้เห็นแสงอาทิตย์อีกเลย
เขาเงยหน้าขึ้นมามองดูดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า ความอบอุ่นนี้เดิมสามารถเผาผู้คนได้เลย
“ท่านเจ้ามิได้เป็นอะไรเช่นนั้นก็ดีแล้ว” ต้าซือมิ่งหรี่ดวงตาลง ในแววตาของเขาทอประกายออกมา จับจ้องไปที่ตู๋กูซิงหลันแวบหนึ่ง
จากนั้นก็ได้ยินเขาเอ่ยว่า “ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะนังมารน้อยฮ่องเต้หญิงผู้นั้นล่อลวงเจ้าสำนักหยินหยาง สตรีผู้นี้ไม่อาจไว้ใจได้ ขอท่านเจ้าตำหนักโปรดลงอาญา”
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกเหมือนอยู่ๆก็ถูกเข็มตำขึ้นมา นางเองก็อดไม่ได้ที่จะมองดูต้าซือมิ่งอีกหลายแวบ
มันออกจะเป็นอริกันจนเกินไปแล้ว ระหว่างนางกับเขาเคยมีความแค้นที่ลึกล้ำใดหรือ พอคิดดูให้ละเอียด ก็ยังไม่เคยถึงขั้นเป็นปรปักษ์กันมาก่อนเลยนี่?
พอมีต้าซือมิ่งนำขบวน เหล่าคนที่เป็นอริกับเจ้าสำนักหยินหยางอย่างชัดเจนต่างก็พากันออกเสียงตาม
นางมารน้อยผู้นี้ร้ายกาจอย่างยิ่ง หากไม่รีบกำจัด เกรงว่าอาจก่อให้เกิดเภทภัยในภายหลัง
ดูฝีมือในการล่อลวงผู้คนของนางสิ นี่มันเป็นสิ่งที่คนธรรมดาคิดไม่ถึงเลยเสียด้วยซ้ำ
เจ้าสำนักหยินหยางดูๆแล้วยังพอจะชักชวนให้กลับใจได้อยู่ ….. ของเพียงสตรีผู้นี้ตายไป เขาก็คงไม่หลุดกรอบถึงเพียงนี้
ครั้งนี้เจ้าแคว้นทองคำไม่ได้รีบร้อนพุ่งเข้าไปก่อเรื่องแล้ว เพราะว่า….เขากำลังตกตะลึงกับความงดงามของตู๋กูซิงหลัน
ก่อนหน้านี้ตอนที่เคยได้ยินมาว่าฮ่องเต้หญิงแห่งดินแดนโบราณงดงามจนถึงขั้นทำให้อดีตฮ่องเต้แคว้นต้าโจวสิ้นไป ก็ยังรู้สึกว่าข่าวลือเกินจริงไปอยู่บ้าง
แต่ว่าตอนนี้พอได้เห็น ถึงได้เข้าใจว่าข่าวลือนั่นสมควรเป็นเรื่องจริงอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
สตรีที่งดงามถึงเพียงนี้ หากว่าตายไป ย่อมน่าเสียดายถึงเพียงไหน ต้าซือมิ่งผู้นั้นช่างไม่รู้จักรักบุปผาถนอมหยกเอาเสียเลย โฉมงามเช่นนี้ยังจะลงมือได้ลงคออีกหรือ?
แต่ก็มีบางคนให้กลุ่มถึงกับถูกล้างสมองไปแล้วเช่นกัน พวกเขารู้สึกว่านางมารร้ายที่งดงามจนเกินไปเช่นนี้สมควรกำจัดเสีย เพราะว่าเมื่อพวกเขาเห็นแล้ว ต่างก็ไม่อาจควบคุมจังหวะหัวใจของตนเองเอาไว้ได้…..ความรู้สึกเช่นนี้ช่างน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว
ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดกันอยู่เล็กน้อย ต่างก็ร้องตะโกนขึ้นมาพร้อมๆกัน
“ขอท่านเจ้าตำหนักกำจัดนางมาร”
ตู๋กูซิงหลัน “…..” นางมารกับผีน่ะสิ!
ที่นางมายืนอยู่ตรงนี้ก็เพื่อจะยอมให้พวกมันมาเรียกว่าเป็นนางมารนะหรือ?
สีหน้าของท่านเจ้าสำนักเองก็ไม่พอใจมากแล้ว ตู๋กูซิงหลันรู้สึกได้ถึงไอสังหารที่กำจายออกมาจากร่างของเขา
หากไอสังหารนี้เกิดควบคุมไม่อยู่ขึ้นมา เกรงว่าคงต้องมีระเบิด
ไม่ใช่ว่านางพูดโอ้อวด แต่พอถึงตอนนั้นผู้คนที่อยู่ในที่นี้ทั้งหมดอย่าได้คิดว่าจะวิ่งหนีพ้น
ดังนั้นนางจึงได้ขยับเท้าก้าวเล็กๆ เขยิบเข้าไปใกล้ท่านเจ้าสำนักอีกนิด
เอ่ยเพียงเบาๆว่า “พี่ชาย พวกเราเย็นลงหน่อย….การฆ่าคนจะอย่างไรมิใช่เรื่องที่ดี”
ท่านเจ้าสำนัก “พวกเขาด่าเจ้า ข้าไม่พอใจ มันย่อมสมควรตาย”
ทั้งๆที่เขาเป็นคนลงมือ ไยคนเหล่านี้จะต้องผลักไสความผิดไปที่ศิษย์น้อย หรือเพราะศิษย์น้อยจำต้องมีชะตากรรมเช่นนี้ ดึงดูดเคราะห์ร้าย?
ว่าแล้ว เขาก็ทำท่าจริงจังขึ้นมา “ข้าเป็นอาจารย์ ไม่ใช่พี่ชาย เจ้าและข้าไม่ใช่พี่น้อง จงเรียกว่าอาจารย์”
ตู๋กูซิงหลัน “…..”
ระหว่างพวกเขาสองคนพูดอะไรกัน คนอื่นๆล้วนไม่ได้ยิน แต่พอเห็นท่าทางที่กระซิบกระซาบเช่นนั้นก็ยิ่งเข้าใจไปว่านางมารน้อยผู้นี้กำลังยุยงท่านเจ้าสำนักอีกแล้วใช่หรือไม่?
ดูเอาสิ พวกเขาจ้องตาโตกันอยู่ตรงนี้ นางก็ยังกล้าทำเช่นนั้น หากปล่อยให้อยู่ในที่รโหฐานก็ไม่รู้ว่าจะยั่วยุท่านเจ้าสำนักถึงเพียงไหน
ต้าซือมิ่งกำลังจะสบช่องพูดออกไป
แต่ว่าท่านเจ้าตำหนักที่เงียบงันไปครู่หนึ่งพลันเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง
“หลานสาวของข้า กลายเป็นนางมารให้พวกเจ้าเรียกขานกันได้อย่างไร?”
ต้าซือมิ่ง “? ? ?”
ผู้คนทั้งหลาย “! ! !”
นี่มันเรื่องใหญ่แล้ว!
หลานสาว หลานแท้ๆหรือว่ารับเป็นหลานกัน?
มิใช่ว่าพวกเขาไม่รู้จักนางเสียหน่อย ทุกคนต่างก็รู้ว่าฮ่องเต้หญิงน้อยใช้แซ่ตู๋กู มีนามว่าซิงหลัน เป็นหลานสาวของแม่ทัพคุณูประการแคว้นต้าโจว ตู๋กูถิง แล้วอยู่ดีๆก็จะมากลายเป็นหลานสาวของท่านเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนได้อย่างไร?
พริบตานั้น ในใจของพวกเขาพลันเกิดความเป็นคิดที่เป็นไปได้ขึ้นมาข้อหนึ่ง
หรือว่าเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยน……. จะเป็นตู๋กูถิง?
เป็นไปไม่ได้มั้ง…..แม่ทัพที่เป็นเพียงคนธรรมดาผู้หนึ่ง จะมาเป็นเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้น การส่งข่าวในดินแดนจิ่วโจวนับว่ารวดเร็วอย่างยิ่ง ตู๋กูถิงผู้นั้น ตอนนี้ก็ยังอยู่ในดินแดนโบราณอยู่เลย
ฟ่านอิงที่มิสนใจในความตกตะลึงของผู้คน เสริมขึ้นมาอีกคำหนึ่ง “หลานแท้ๆ”
ถุย! แท้กับผีน่ะสิ!
ถึงอย่างไรผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนี้ต่างก็ไม่มีใครยอมเชื่อ
พวกเขาต่างก็คิดไปว่า นางมารผู้นี้จะต้องใช้ฝีมือที่ไม่อาจบ่งบอกผู้คน ทำให้แม้แต่เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็ยังถูกล่อลวงจนหลงใหล
หากไม่เชื่อเจ้าก็คอยดูสิ นางสามารถล่อลวงได้แม้กระทั่งเจ้าสำนักหยินหยางเลยเห็นหรือไม่?
ดังนั้นหากว่าจะล่อลวงเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ความเป็นไปได้ก็มีอยู่มาก
กลับเป็นพี่รองที่นิ่งเงียบไป ตอนนี้ดวงตาของเขาถึงกับเต็มไปด้วยความพิศวง
ท่านตา….ถูกสวมเขา?
เขามีความทรงจำเกี่ยวกับท่านยายไม่มากนัก จำได้แต่ว่าท่านยายเป็นสตรีที่งดงามเพียบพร้อมและนุ่มนวลนางหนึ่ง แต่ว่าอุปนิสัยเย็นชา
แม้แต่กับท่านตา ยามปกติก็ยังไม่ค่อยตอบคำ
ที่เขาจดจำได้แม่นยำที่สุดก็คือ มีอยู่ปีหนึ่ง ท่านยายป่วยเป็นหวัด เนิ่นนานก็ไม่ยอมหาย
ท่านตาของเขาไปในถ้ำหินภูเขาไฟด้วยตนเอง เพื่อตามหาวิหคเพลิงมาขจัดความเหน็บหนาวให้กับนาง
แต่ว่าวิหคเพลิงที่ตามหามาอย่างยากลำบากเหล่านั้น ท่านยายกลับไม่ได้เหลือบแลแม้แต่ครั้งเดียว ปล่อยพวกมันไปทั้งหมด เหลือแต่เพียงไข่เอาไว้ใบหนึ่ง
ท่านยายที่มีนิสัยเย็นชาเช่นนั้น มีหรือจะไปมีความสัมพันธ์กับบุรุษอื่นได้?
น้องเล็กคิดทำอะไรที่ผู้อื่นนึกไม่ถึงอีกหรือไม่?
………………
ตู๋กูซิงหลันคิดไม่ถึงว่า ฟ่านอิงจะประกาศออกไปต่อหน้าผู้คนว่านางก็คือหลานสาวแท้ๆของเขา
ในใจของนางตอนนี้พลันเกิดความละอายขึ้นมา
แต่ว่าบนใบหน้ากลับยังคงเรียบนิ่ง พอฟ่านอิงเอ่ยออกไปเช่นนั้น นางก็เรียกเขาด้วยน้ำเสียงที่ใกล้ชิดและคุ้นเคยคำหนึ่ง “ท่านตา!”
น้ำเสียงหวานใสปานน้ำผึ้ง ซาบซึ้งไปถึงหัวใจ
แต่ว่านางกลับไม่ยอมจบเพียงเท่านั้น หากแต่ขยับเข้าไปใกล้ฟ่านอิงอีกนิด พลางร้องว่า “ท่านตา พวกเขาคิดจะลงไม้ลงมือถึงขั้นฆ่าฟัน ข้ากลัวจังเลยเจ้าค่ะ”
ตอนที่ 579 ตู๋กูฉุยอะไรนะ?
คราวนี้กระทั่งคนที่เดิมทีไม่คิดจะทำร้ายนาง ตอนนี้ก็ชักจะกระเ**้ยนกระหือรือที่จะฆ่านางขึ้นมาแล้ว
ดูเอาเถอะ ความสามารถในการปลุกปั่นจิตใจผู้คนเช่นนี้ ช่างไร้ยางอายเสียจริงๆ!
มันจะมากเกินไปแล้ว!
พวกเขาอยากจะรู้จริงๆว่า ตกลงแล้วนางใช้วิธีการใดกันแน่ จึงได้สามารถล่อลวงบุรุษที่สุดแสนจะเก่งกาจทั้งสองเอาไว้ได้
หรือจะอาศัยเพียงใบหน้าที่งดงามนั่นเท่านั้นจริงๆ?
สีหน้าของต้าซือมิ่งเหมือนดั่งคนที่กลืนแมลงวันลงไป เขาถึงกลับสะอิดสะเอียนอย่างแรงแล้ว
ในตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ไม่เคยมีใครที่กล้าออดอ้อนท่านเจ้าตำหนักเช่นนี้มาก่อนเลย ไยนางจึงกล้ามีความคิดที่อาจเอื้อมเช่นนี้!
“ท่านเจ้าตำหนัก ท่านจะมีหลานสาวได้อย่างไร….โดยเฉพาะอย่างนางมารนี่….”
ต้าซือมิ่งไม่มีทางเชื่อ เขายังไม่ทันพูดจบ ทันใดนั้นก็พบว่าทั่วร่างมีไอหยินโอบล้อมเข้ามา
ท่านเจ้าตำหนักขยับมาตรงหน้าเขาในชั่วพริบตา หมอกสีดำบนร่างกลายเป็นอสรพิษสีดำขดล้อมรอบตัวเขาเอาไว้
“แล้วไยข้าจึงไม่อาจมีหลานสาวได้กัน?”
“นางชื่อหลันหลัน ไม่ใช่นางมาร จดจำไว้ให้ดี!”
อสรพิษจากหมอกสีดำตัวหนาเท่าแขนเด็กทารกขดอยู่บนรอบลำคอของเขาอย่างแน่นหนา จนยกร่างของเขาลอยขึ้นจากพื้น
ดวงหน้านั้นกลายเป็นสีแดงเข้มเห็นเส้นเลือดบนลำคอของเขาปูดโปน หายใจไม่ออก
คนผู้นั้นคือ……ต้าซือมิ่งของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเชียวนะ!
ทั้งที่คุณสมบัติของเขาอยู่ใต้คนเพียงคนเดียว และอยู่เหนือกว่าผู้คนอีกนับหมื่น แต่ว่าเพื่อนางมารน้อยผู้นั้น เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนกลับไม่ไว้หน้าของเขาเลยสักนิด!
นี่จึงทำให้ผู้คนทั้งหมดตกตะลึงอย่างแท้จริง
พวกเขาแทบไม่อาจเชื่อในสิ่งที่ได้เห็นตรงหน้า …..ว่าตามจริงแล้ว ความสามารถของเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนอยู่ในระดับใด ทุกคนต่างก็ทราบกันดีอยู่แล้ว คนอย่างเขาย่อมไม่มีทางถูกล่อลวงได้โดยง่าย
ที่เขาขุ่นเคืองขึ้นมาจนถึงขั้นนี้ก็แสดงว่า บางที….นางมารน้อยนั่นอาจจะเป็นหลานสาวของเขาจริงๆ?
เรื่องประหลาดใดๆในโลกนี้ล้วนมีอยู่เต็มไปหมด บ้านใดบ้างที่ไม่เคยมีเรื่องชู้สาว?
ต่างก็เห็นอยู่กับตาว่าใบหน้าของต้าซือมิ่งในตอนนี้แดงก่ำ ดวงตาถลนออกมา นัยตามีเลือดออก คล้ายจะตายได้ทุกเมื่อ
ฟ่านอิงถึงได้ปลดปล่อยเขา
ต้าซือมิ่งร่วงลงไปบนพื้นอย่างแรง เขากำลำคอของตนเองเอาไว้ รอยช้ำดำบนนั้นเด่นชัดอยู่บนผิวหนัง
หากว่าเมื่อครู่ท่านเจ้าตำหนักเพิ่มแรงขึ้นมาอีกส่วนหนึ่ง ศีรษะของเขาก็คงจะหล่นลงไปบนพื้นแล้ว
ตลอดหลายปีมานี้ เขาติดตามอยู่ข้างกายท่านเจ้าตำหนัก ได้รับความเคารพจากผู้คนในตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ท่านเจ้าตำหนักก็ให้ความเกรงใจกับเขาอยู่เสมอ จึงไม่เคยได้รับความอับอายดั่งเช่นในวันนี้มาก่อนเลย
แต่ว่าเพื่อตู๋กูซิงหลัน……
นางมารน้อยผู้นั้น…..เป็นหลานสาวของเจ้าตำหนักจริงๆ?
ถึงตอนนี้ เขาก็ไม่กล้าที่จะไม่เชื่ออีกต่อไปแล้ว
ได้แต่ใช้ดวงตาที่มีแต่เส้นเลือดทั้งคู่จดจ้องไปที่ตู๋กูซิงหลันเขม็ง ราวกับว่าจะมองนางให้ทะลุ
ตู๋กูซิงหลันยักไหล่อย่างไม่สนใจไยดี ท่าทีเช่นนั้นยังยิ่งกว่าการซ้ำเติม
ท่านเจ้าสำนักคอยจับจาดูอยู่ตลอดเวลา เขาก็รู้สึกแค่ว่าศิษย์ของตนช่างน่ารักอย่างยิ่ง
ก่อนหน้านี้ยิ่งดูยิ่งสบายตา ยามนี้ยิ่งมองดูก็ยิ่งรู้สึกว่าน่ารักขึ้นเรื่อยๆ
ความรู้สึกบางอย่างอัดแน่นอยู่ในทรวงอกจนแทบจะทะลักออกมา เป็นความรู้สึกที่ทั้งแปลกประหลาดและคุ้นเคย
ราวกับว่าแต่ก่อนก็เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แต่เขาก็คิดไม่ออกว่ามีมาได้อย่างไร
…………….
ถึงตอนนี้ ฟ่านอิง ก็ไม่คิดจะสนใจเหลือบตามองดูต้าซือมิ่งแม้แต่แวบเดียวอีกต่อไป เขาหันไปทางฝูงชน เอ่ยอย่างหนักแน่นอีกประโยคว่า “หลันหลันพึ่งจะมาถึงจิ่วโจว หากว่ามีที่ล่วงเกินทุกท่านในที่ใด….พวกเจ้าต้องทนไป ต่อไปในภายหน้าหากมีที่ล่วงเกินอีก….”
“พวกเจ้าก็ได้แต่ทนรับไว้เท่านั้น”
ผู้คนทั้งหลาย “…..” พวกเขาสามารถปฏิเสธได้หรือไม่?
แต่ก็ชัดเจนเลยว่าฟ่านอิงไม่คิดจะเปิดโอกาสนั้นให้พวกเขาอย่างแน่นอน
เพราะน้ำเสียงที่แหบสากของเขากล่าวต่อไปว่า
“เบื้องหลังของนาง คือตำหนักซิวหลัวเตี้ยนของข้า คือตัวข้า….ฟ่านอิง”
ฟ่านอิง…..นี่เป็นครั้งแรกที่เขาประกาศนามของเขาออกมาในดินแดนจิ่วโจว
เพราะแม้แต่ต้าซือมิ่งก็ยังไม่รู้จักนามของเขา แต่ว่าตอนนี้ เพื่อตู๋กูซิงหลัน เขากลับบอกออกมา
หากไม่ได้สนใจมองดูโฉมหน้า ฟ่านอิงก็เหมือนกับท่านอ๋องผู้อหังการที่ก้าวออกมาจากในหนังสือนิยาย
แม้แต่ตู๋กูซิงหลันยังเกือบจะหลงใหลเข้าแล้ว
เขาถึงกับเชื่อใจนางอย่างไม่มีความหวาดระแวง ให้การสนับสนุนปกป้องคุ้มครองถึงเพียงนี้?
ท่านเจ้าสำนักเองก็ไม่ยอมน้อยหน้า
เขายืนอยู่ข้างกายศิษย์น้อย “เบื้องหลังของนาง ก็คือข้า…..ตู๋กูต้าฉุย”
ผู้คนทั้งหลาย “? ? ?”
เล่นอะไรกันอยู่? ตู๋กูฉุยเฉยอะไรกัน? ต้าฉุยอะไรที่ไหน?
พูดใหม่อีกครั้งซิ
ท่านเจ้าสำนักเองก็เสมือนจะมีพลังอ่านใจผู้คน ให้ความร่วมมือถึงขนาดเอ่ยซ้ำอีกครั้ง “จงจดจำชื่อนี้เอาไว้ให้ดี ….ข้าคือตู๋กูต้าฉุย คือผู้ที่พวกเจ้าไม่อาจหาเรื่องได้”
“ศิษย์ของข้า คือผู้ที่พวกเจ้าไม่อาจล่วงเกินได้”
ใช่แล้ว ประเด็นหลักคือหนุนหลังศิษย์น้อย
ศิษย์น้อยที่น่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ หากไม่กางม่านเหนือท้องฟ้าเอาไว้ หากอยู่ในจิ่วโจวแล้วนางถูกฝนพรำหรือฟ้าผ่าขึ้นมา จะได้อย่างไร?
ฝูงชนต่างก็อยากร่ำไห้ขึ้นมาแล้ว…..
พ่อคุณเอ๋ยหน้าตาหรือก็ออกจะดีเสียขนาดนี้ ไม่มีชื่อเรียกหาที่ดีกว่านี้หน่อยหรือ?
ต้าฉุย? ต้าฉุย เสี่ยวฉุย ที่หมูบ้านหวังข้างๆมีอยู่มากมายจนสามารถตั้งกลุ่มเตะลูกบอลได้แล้ว ขอบคุณนะ
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองถูกสายฟ้าสองสายห้อมล้อมปกป้องเอาไว้
นางไม่อาจบรรยายความรู้สึกในตอนนี้ออกมาได้ มันทั้งซับซ้อนและอันตราย
เดิมทีที่คิดเอาไว้นั้น งานหมื่นบุปผชาติในวันนี้น่าจะต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น….จนกลายเป็นสนามรบขนาดใหญ่ เลือดไหลเป็นท้องธารอะไรทำนองนั้น
แต่แล้วกลับเป็นสายฟ้าสองสายผู้เป็นเจ้าสำนักและเจ้าตำหนักร่วมกันคุ้มครอง….
จะอย่างไรย่อมรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆอยู่
เมื่อเรื่องราวกลายเป็นเช่นนี้ ผู้อื่นยังจะพูดอะไรได้อีก?
ดูสิ แม้แต่ต้าซือมิ่งของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนยังต้องหุบปาก แม้ว่าในใจของเขาจะไม่ยินยอม ก็ยังได้แต่ยืนอยู่ข้างๆ ชนิดที่ลมก็ยังไม่กล้าผายเสียด้วยซ้ำ
เจ้าแคว้นทองเองก็มีสีหน้าตื่นตะลึง ตัวเขานั้น เดิมทีแอบคิดเอาไว้ว่า หากนางถูกบีบคั้นอยู่ท่ามกลางสงคราม เขาก็จะหาวิธีการพาตัวนางออกมา จากนั้นก็นำตัวกลับไปเป็นสนมก็คงจะดีไม่น้อย……
แต่แล้วใครจะไปคิดกันว่าเรื่องราวกลับกลายเป็นเช่นนี้ไป นางถึงกับเป็นหลานสาวแท้ๆของเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนจริงๆ?
เรื่องราวช่างซับซ้อนสับสนจนน่าปวดหัวไปหมดแล้ว
มีอยู่เพียงเรื่องเดียวที่เป็นสิ่งที่แน่นอน นั่นก็คือ….นางมารน้อยผู้นี้มิใช่ผู้ที่จะสามารถคิดอาจเอื้อมเอาได้
เกรงว่าแผนการของเขายังไม่ทันได้เริ่มขึ้น มือก็คงจะถูกเจ้าสำนักหยินหยางและเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนสับจนไม่เหลือเป็นชิ้นแล้ว
แม้แต่ศีรษะของตนเอง จะยังมีสองมือประคองเอาไว้ ก็ยังรู้สึกว่าไม่มั่นคงเท่าไหร่เลย
โดยเฉพาะในใจยามนี้รู้สึกหวาดหวั่นจนสั่นสะท้านไปหมดแล้ว
ช่างเถอะ ยามนี้มาคิดๆดูแล้ว ….การจะลงมือคงจะทำไม่ได้แล้ว เอาไว้สวรรค์ประทานโอกาศให้เมื่อไหร่ เขาค่อยหาทางฉกฉวย
เจ้าว่า….ฮ่องเต้หญิงน้อยผู้นี้จะชื่นชอบภูเขาเงินภูเขาทองหรือไม่?
เผื่ออย่างไร พรุ่งนี้ส่งทองไปให้นางสักภูเขา นางงดงามถึงเพียงนี้ หากได้พูดคุยกันสักหลายๆประโยค เช่นนั้นก็คงจะดีแน่แท้
สาวงามยามพูดจา น้ำเสียงช่างน่าฟังและหอมหวนจนผู้คนเมามาย
…………..
พอถึงยามเที่ยง ดอกไม้ต่างๆในสวนทั้งหมดก็พากันผลิบานอย่างพร้อมเพรียง
บนกลีบดอกไม้ยังมีหยาดน้ำค้างเกาะพราว พอกลีบดอกไม้ผลิบานออกมา ถูกแสงอาทิตย์ส่อง ก็ทอประกายระยิบระยับ จากนั้นจึงระเหยเป็นหมอกน้ำค้างอยู่ในอากาศ
หมอกน้ำค้างต้องแสงอาทิตย์สาดส่อง ถักทอกลายเป็นสายรุ้งเจ็ดสี ทั้งแสงเหล่านั้นยังเหมือนจะผ่านการปรึกษากันมาเป็นอย่างดี จึงส่องลงมาบนร่างของตู๋กูซิงหลันอย่างพร้อมเพรียง
ชั่วขณะนั้นตู๋กูซิงหลันเองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน หากจะหาถ้อยคำใดมาบรรยายละก็ นางรู้สึกว่าตอนนี้ตนเองกลายเป็น แมรี่ซู ปิงซิน และเมิ่งเสีย ไปแล้ว
ทั่วร่างมีรัศมีส่องสว่างรายล้อมราวกับ แมรี่ซู โอ้ว้าว! สวรรค์โปรด! ดูสิสายรุ้งที่งดงามเหล่านี้ พากันรายล้อมอยู่รอบกายนาง
ราวกับว่านางคือผู้ที่สวรรค์กำหนดเอาไว้
คราวนี้นางถึงกับทนไม่ไหวอีกต่อไป ขยับริมฝีปากหัวเราะออกมาเบาๆว่า “อ้ายย่าห์ นี่ข้ากลายเป็นเทพธิดาไปแล้วจริงๆสินะ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น