ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 573-575

 ตอนที่ 573 ศิษย์น้อย......ยังน่าชิมกว...

 

ตอนนี้ ตู๋กูซิงหลันอยากจะช่วยชดใช้ให้แทนจีเฉวียนแล้ว 


 


 


ดังนั้นความอบอุ่นจากใจกลางฝ่ามือของนางจึงถ่ายทอดผ่านถุงมือผ้าเข้าสู่หัวใจของเขา คราวนี้ น้ำเสียงของเขายิ่งอ่อนลงกว่าเดิมมาก 


 


 


“หลันหลัน” 


 


 


แค่คำว่าหลันหลัน ก็ทำเอาตู๋กูซิงหลันเกือบจะน้ำตาไหลออกมาแล้ว 


 


 


จะเล่นฉากนี้ มันไม่ง่ายเลยจริงๆ 


 


 


“เจ้าค่ะ” นางพยักหน้าอย่างแข็งขัน 


 


 


“อาเย่วนาง…. เคยมีความสุขอย่างแท้จริงบ้างหรือไม่?” เขาไม่อยากปล่อยมือจากมือที่จับไว้นี้เลย 


 


 


เมื่อได้เห็นหญิงสาวเยาว์วัยที่มีชีวิตชีวาราวตุ๊กตาน้อย ก็ทำให้ยิ่งคิดถึงอาเย่วขึ้นมา 


 


 


ดอกไห่ถางปลิวขึ้นมาทั่วท้องฟ้า เป็นภาพที่นางชมชอบมากที่สุด 


 


 


กระทั่งเมื่อนางจากโลกนี้ไป เขาก็ยังไม่กล้าไปดูนางแม้แต่แวบเดียว 


 


 


ด้วยสารรูปของเขาที่เป็นเช่นนี้ ต่อให้นางได้เห็นก็คงจะจดจำไม่ได้แล้ว 


 


 


หากเห็น…..ก็คงจะมีแต่ความหวาดกลัว กลายเป็นฝันร้ายไปทุกคืนกระมั้ง 


 


 


เขาไม่มีความกล้าหาญจะไปพบหน้านางเป็นครั้งสุดท้าย แม้แต่ข่าวคราวของนางก็ยังไม่ค่อยกล้าจะรับฟัง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันผงกศีรษะ “ตอนนั้นข้ายังเด็กมาก ไม่ค่อยรู้เรื่อง จำได้แต่ว่าท่านยายมักจะทอดถอนหายใจกับต้นไห่ถางในสวนอยู่เสมอ” 


 


 


คำพูดนี้ย่อมดูสมจริงมากกว่าบอกว่า ‘มีความสุข หรือไม่มีความสุข’ มากมายนัก 


 


 


ฟ่านอิงเองก็มิได้พูดอะไรมากอีก 


 


 


ส่วนกลางของเกาะแตกเป็นรูกว้าง ทั้งยังมีก้อนหินหล่นลงไปด้านล่างอยู่ตลอดเวลา 


 


 


ผลจากการปะทะกันของทั้งสองฝ่ายเมื่อครู่ เกาะทั้งเกาะจึงเกือบจะพังทลายลงไปแล้ว 


 


 


แต่ว่าท่ามกลางการต่อสู้นี้ ฟ่านอิงกลับได้รับ ‘หลานสาว’ มาอย่างบังเอิญ 


 


 


ตอนนี้ ในใจของเขามีแต่ความสับสนวุ่นวายใจ 


 


 


ขณะเดียวกันเขาก็กวาดตาไปมองดูเจ้าสำนักผู้นั้น ผลพิสูจน์โลหิตย่อมไม่โกหกเขา คนผู้นี้เป็นสายเลือดของราชวงศ์จีจริงๆ 


 


 


แต่ว่าคงจะมีเหตุผลบางประการที่ทำให้ไม่มีความทรงจำเกี่ยวเนื่องกัน 


 


 


ทั้งยังกลายเป็นเจ้าสำนักหยินหยาง แถมยังรับหลานสาวเป็นศิษย์ 


 


 


ฟ่านอิงรู้สึกว่าตนเองสมควรใจเย็นลง ทำความเข้าใจกับประเด็นเหล่านี้ก่อน 


 


 


“นี่ก็เย็นมากแล้ว เจ้าก็ค้างคืนอยู่บนเกาะก่อน ดีหรือไม่?” ฟ่านอิงขอความเห็นจากตู๋กูซิงหลัน 


 


 


“ดีเจ้าค่ะ” ตู๋กูซิงหลันตอบรับอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ามิได้มีความระแวงต่อเขาแม้แต่นิดเดียว 


 


 


ท่านเจ้าสำนักยังคงไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว ถึงอย่างไรไม่ว่าศิษย์น้อยจะอยู่ที่ไหน เขาก็จะอยู่ที่นั่นด้วย 


 


 


เขาสามารถวางปัญหาเรื่องเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเอาไว้ก่อนชั่วคราว 


 


 


หลังรอให้ก้อนหินจากรูใหญ่บนเกาะร่วงลงไปอีกเรื่อยๆจนกลายเป็นหลุมกว้าง เกาะลอยฟ้าแห่งนี้ก็ค่อยๆสงบลงจนมีความเสถียรขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


ฟ่านอิงพานางกลับไปที่บนต้นไห้ถางต้นใหญ่อีกครั้ง 


 


 


หอชมจันทราพังทลายไปแล้ว 


 


 


ได้แต่เข้าพักในเรือนข้างเคียง 


 


 


ที่นั่นไม่ได้เย็นเฉียบเหมือนในหอชมจันทรา ดูเป็นปกติกว่ามาก 


 


 


พอให้ตู๋กูซิงหลันเข้าพัก ก็มีกระเรียนเซียนอีกหลายตัวบินลงมา แปลงกายเป็นสาวน้อยหลายคน คอยปรนิบัตินาง 


 


 


ท่านเจ้าสำนักถูกละเลยอย่างไม่สนใจใยดี 


 


 


แต่เขาก็ไม่ยอมห่างจากศิษย์น้อยเกินสามก้าว 


 


 


เดิมทีฟ่านอิงคิดจะสนทนากับนางให้มากกว่านี้ แต่ว่าข้างกายนางมีเจ้าสำนักนั่นอยู่ตลอดเวลา เขาจึงได้แต่ยอมปล่อยความตั้งใจนี้เอาไว้ก่อน 


 


 


เพียงเอ่ยกับนางว่า “พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันงานเทศกาลหมื่นบุปผชาติแล้ว ในเมื่องว่านฮวาเฉิงย่อมครึกครื้นและสวยงามอย่างยิ่ง หลันหลันพักผ่อนแต่เนิ่นๆ พรุ่งนี้ค่อยสนุกให้เต็มที่” 


 


 


“ได้เลยเจ้าค่ะ” 


 


 


กว่าที่ความวุ่นวายทั้งหมดจะสงบลงได้ ที่จริงก็เกือบจะครึ่งคืนไปแล้ว 


 


 


แสงไฟในห้องดับลงไปหมดแล้ว มีแต่แสงจันทร์สว่างอยู่จางๆ 


 


 


ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง 


 


 


แม้ว่าจะไม่ได้จุดเทียนขึ้นมา ก็สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆภายในห้องได้อย่างชัดเจน 


 


 


แน่นอนว่า….รอยแผลบนใบหน้าของท่านเจ้าสำนัก ก็ชัดเจนอย่างยิ่ง 


 


 


บาดแผลเส้นบางๆ ราวกับรอยมีดกรีดผ่านงานศิลปะที่ล้ำค่า ทำให้คนต้องปวดใจ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเป็นฝ่ายขยับเข้าไปใกล้ จดจ้องใบหน้าของเขาอยู่ครึ่งค่อนวัน จากนั้นไม่พูดไม่จาก็ผลักคนลงไปบนฟูก 


 


 


ท่านเจ้าสำนักแผ่นหลังเหยียดตรงราวกับพู่กัน 


 


 


“จะทำอะไร?” ชายหญิงไม่อาจแตะต้อง แค่อยู่ร่วมกันในห้องหับก็ถือว่ามากเกินไปแล้ว หากยังผลักไสกันไปมาอยู่อย่างนี้ยิ่งไม่ควร 


 


 


ตู๋กูซิงหลันคิดจะล้วงเอายาในถุงเฉียนคุนออกมา พอได้ยินเขาถามออกมาทั้งยังเห็นเขาทำสีหน้าราวกับเผชิญศัตรูก็ต้องขำออกมา 


 


 


นางนั่งลงบนฟูกอ่อน สองมือกดลงไประหว่างข้างใบหูของเขา ร่างกายครึ่งบนคร่อมอยู่เหนือร่างของเขา 


 


 


ระยะห่างระหว่างอกของทั้งสอง มีเพียงแค่หนึ่งฝ่ามือเท่านั้น 


 


 


เส้นผมของนางไล้ผ่านใบหน้าของเขา 


 


 


ลมหายใจของนางเป่าลงไปเบาๆอย่างไม่มีอะไรขวางกั้น นำกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกฮว๋ายฮวาที่เขาชอบมากที่สุดมาด้วย 


 


 


ในตอนนั้นท่านเจ้าสำนักพลันรู้สึกว่าหัวใจของตนเองเต้นเร็วจนถี่ยิบขึ้นมา 


 


 


เสียงดังตึกตักๆ….. 


 


 


ยิ่งนางเข้ามาใกล้ หัวใจของเขาก็ยิ่งเต้นเร็ว จนแทบจะกระเด็นขึ้นมาจากลำคอ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเองก็ร้ายกาจอย่างยิ่ง ดวงตาของนางมีประกายหยดน้ำฉ่ำชื้น ดูไปคล้ายไร้เดียงสา และไม่ตั้งใจ 


 


 


นางก้มตัวลงมา จนจมูกใกล้จะจรดกับเขาอยู่แล้ว 


 


 


ท่วงท่าเช่นนี้นับว่าคลุมเครือจนหมิ่นเหม่อย่างยิ่ง 


 


 


แต่แล้วนางกลับถอนหายใจออกมาด้วยท่าทางเกียจคร้านเย้ายวน “ชายหญิงอยู่กันเพียงลำพังในห้องกลางดึก เจ้าก็หน้าตาดีเช่นนี้” 


 


 


“เจ้าว่า…. ข้าสมควรจะทำเช่นไรดี?” 


 


 


ลมหายใจของนางเป่าเบาๆลงบนใบหน้าของเขา คันนิดๆ แม้แต่รอยแผลบนใบหน้าของเขาก็เหมือนจะคันขึ้นมา 


 


 


ท่านเจ้าสำนักรู้สึกเหมือนมีประกายไฟดวงเล็กๆจุดขึ้นในหัวใจ ลำคอของเขาแห้งผาด แต่ใบหน้ารีบคืนสู่ความเย็นชาที่เขาคุ้นชิน 


 


 


เขาเบนสายตาออกไป ไม่ยอมมองดูนาง น้ำเสียงก็สะท้านน้อยๆ “ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้า มีศิษย์ที่ไหนคิดล่วงเกินอาจารย์กัน อย่าได้ซุกซนวุ่นวาย” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “…..” ใครคิดจะล่อล่วงเจ้ากัน? 


 


 


หากนางปรารถนาจะได้ตัวบุรุษสักคน ไหนเลยจะล่อล่วงไม่ได้? 


 


 


ก็แค่ชมเขาไปสองคำ ก็ทำเอาเขาได้ใจถึงเพียงนี้? 


 


 


“ฉุยซือ…..เจ้ามิใช่ว่ารักษาความบริสุทธิ์ ถือศีลงดเว้นเข้มงวด ทั้งสูงส่งและเย็นชาหรอกหรือ มาบอกให้ข้าอย่าได้ซุกซน แล้วทำไมไม่ผลักข้าออกไป?” 


 


 


“ทำไม ปฏิเสธแต่กลับเชิญชวน?” 


 


 


ดูสิเขากลับเชื่องเชื่อถึงขนาดนี้ ทั้งๆที่เป็นบุรุษแข็งแกร่ง แต่กลับใจอ่อนยอมถูกนางกดขี่โดยไม่ตอบโต้ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันคิดอยู่ว่า สมควรจะจัดยาแรงให้เขาสั่งหน่อยดีหรือไม่ เผื่อเขาจะได้ความทรงจำคืนมา 


 


 


นางสงสัยจริงๆ เกิดอะไรขึ้นกับตัวของเขากันแน่ 


 


 


พอถูกนางกระตุ้นเตือนเช่นนี้ สองข้างแก้มของท่านเจ้าสำนักก็ต้องแดงระเรื่อขึ้นมา 


 


 


 


 


 


แม้แต่ตัวเขาเองก็พลอยตกตะลึงไปด้วย จริงด้วย…เขาไม่ได้ผลักไสนางออกไป…. 


 


 


ไม่เพียงไม่ผลักไสนาง ในใจยังมีความคาดหวังเล็กๆ นี่เขากำลังคาดหวังสิ่งใดกัน? 


 


 


คนที่เป็นอาจารย์ คิดคาดหวังให้ศิษย์น้อยทำอะไรกับเขา? 


 


 


ภายใต้แสงจันทร์สาดส่อง สองข้างแก้มที่แดงระเรื่อนั้นช่างน่าดูอย่างยิ่ง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันคิดมาตลอดว่าเขาเป็นเทพตัวร้ายที่ไม่กินไม่ดื่มไม่เสพ แต่ว่าตอนนี้ดูแล้ว กลับใสซื่ออย่างยิ่ง 


 


 


ริมฝีปากสีแดงของนางฉ่ำชื่น ราวกับผลเชอร์รี่ที่สดฉ่ำ 


 


 


เมื่อท่านเจ้าสำนักมองดู ในใจก็เกิดความรู้สึกอยากชิมรสดูสักคำขึ้นมาอย่างเงียบๆ 


 


 


ศิษย์น้อย….ยังน่าชิมกว่าผลเชอร์รี่อีกใช่หรือไม่? 


 


 


พอในใจเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมา ก็เห็นศิษย์น้อยขยับตัวลุกขึ้น ใบหน้างดงามเปลี่ยนเป็นเอาจริงเอาจัง 


 


 


นางหยิบขวดใบเล็กออกมา ทายาลงไปบนใบหน้าของเขา 

 

 

 


ตอนที่ 574 จะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องมีเรื...

 

ท่านเจ้าสำนัก “…….” 


 


 


ความเงียบงันครอบคลุมไปในอากาศ ช่างน่าอับอาย 


 


 


ศิษย์น้อยเป็นตัวร้าย เมื่อครู่นี้นางยังยั่วยวนเขาอยู่เลย นาทีถัดมากลับเปลี่ยนทีท่าเป็นทายาให้เขาอย่างเอาจริงเอาจัง 


 


 


ศิษย์เช่นนี้ ขาดการทุบตีจริงๆ 


 


 


สมควรจับมาตีสักรอบ! 


 


 


ตู๋กูซิงหลันกลับไม่สนใจว่าเขาจะคิดเห็นอย่างไร ปลายนิ้วของนางป้ายเนื้อยาสีขาวออกมา ทาลงบางๆบนบาดแผลของเขา 


 


 


ปากแผลนี้ดูเล็กบางมาก แต่ว่ากลับลึก ดูท่าจะไม่มีพิษ 


 


 


ในคิดอยู่ในใจว่า หากใบหน้าที่น่าดูเช่นนี้มีรอยแผลเป็น นั่นจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเพียงไร 


 


 


นางทายาให้อย่างเบามือ ปลายนิ้วไล้กลับไปกลับมาบนปากแผลเพียงเบาๆ 


 


 


ปลายนิ้วของสาวน้อย นุ่มนวลอย่างยิ่ง 


 


 


สะเก็ดไฟที่พึ่งจะถูกสะกิดขึ้นมาในใจของท่านเจ้าสำนักเมื่อครู่ อยู่ๆก็ถูกจุดขึ้นมาอีก 


 


 


ริมฝีปากที่แดงราวเปลวไฟของเขา ชักจะแห้งผาดขึ้นมาแล้ว 


 


 


เขาได้แต่ขบเม้มริมฝีปาก ทรวงอกก็กระเพื่อมไม่มีหยุด สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ คิดจะกดความรู้สึกแปลกประหลาดเหล่านั้นลงไป 


 


 


ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า ท่านเจ้าสำนักมีพรสวรรค์ในการปกปิดความรู้สึก เก็บซ่อนการแสดงออกภายนอกได้ดีเช่นเดียวกับซื่อมั่ว 


 


 


เพราะแม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันก็ยังไม่อาจสังเกตออก 


 


 


พอปลายนิ้วของลูกศิษย์น้อยลูบไล้อยู่ไปมา เพลิงที่เก็บกดเอาไว้ในใจก็กักขังไม่อยู่อีกต่อไป 


 


 


ยังดีที่ท่านเจ้าสำนักฉลาดพอที่จะหาเรื่องเปลี่ยนหัวข้อสนทนา 


 


 


“เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยน เป็นท่านตาของเจ้าจริงๆ?” 


 


 


ตอนนี้เหล่ากระเรียนเซียนต่างก็ถอยออกไปหมด รอบข้างไม่มีผู้คนแม้แต่คนเดียว ต่อให้พูดความจริงออกมาก็ไม่มีใครได้ยินแล้ว 


 


 


มือของตู๋กูซิงหลันหยุดชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ทายาให้เขาต่อไป 


 


 


ที่นอกหน้าต่าง บนเรือนยอดของต้นไห่ถางที่ใหญ่ที่สุด มีเงาสีดำร่างหนึ่งนั่งอยู่ 


 


 


บนหลังคาห้องที่ตู๋กูซิงหลันพักอยู่ มีแสงสะท้อนจากแผ่นกระเบื้อง 


 


 


จากมุมที่เขานั่งอยู่ เมื่ออาศัยแสงสว่างที่สะท้อนจากกระเบื้องแผ่นนั้น ก็ทำให้สามารถมองเห็นสภาพภายในห้องได้พอดี 


 


 


กับเจ้าสำนักหยินหยาง หลานสาวตัวน้อยออกจะไม่ระวังป้องกัน…..มากเกินไปหน่อยแล้ว 


 


 


ด้วยการฝึกฝนของเขา ถึงแม้จะอยู่ห่างกันไกลถึงเพียงนี้ แต่ก็ยังสามารถได้ยินคนทั้งสองพูดคุยกันได้อยู่ 


 


 


พอเจ้าสำนักหยินหยางถามคำถามนั้นออกมา ฟ่านอิงก็พลอยตื่นเต้นเอาจริงเอาจังขึ้นมา 


 


 


สายลมโชยเบาๆ จนสามารถได้ยินเสียงกลีบดอกไม้ร่วง 


 


 


ผ่านไปอีกพักใหญ่ถึงค่อยได้ยินเสียงสาวน้อยเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


“แน่นอนว่าต้องใช่อยู่แล้ว คนที่ท่านย่ารักอย่างลึกล้ำ จะไม่ใช่ท่านตาของข้าได้อย่างไร?” 


 


 


น้ำเสียงของนางแสนจะอบอุ่น อบอุ่นเข้าไปถึงในใจผู้คน 


 


 


ในตอนนั้นเอง ฟ่านอิงก็รู้สึกว่าหัวใจกระตุก 


 


 


นางจะใช่หลานสาวของตนจริงๆหรือไม่ หากว่าเขาต้องการจะรู้ ก็พอจะมีวิธีพิสูจน์ได้อยู่ แต่ไม่รู้ว่าทำไม ในตอนนี้ เขากลับไม่ต้องการจะพิสูจน์อีกแล้ว 


 


 


คำพูดของสาวน้อยจะเป็นจริงหรือเป็นเท็จ ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป 


 


 


เขา ‘มีชีวิต’ อยู่มานานถึงเพียงนี้ ได้พบได้เห็นเล่ห์เหลี่ยมของผู้คนมามากมาย ไอสังหารและกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นที่มี ไหนเลยจะถูกคำพูดเพียงไม่กี่คำของสาวน้อยผู้นั้นล่อลวงเอาได้? 


 


 


เขามีหรือจะเชื่อว่า สาวน้อยผู้นั้นปราศจากจุดประสงค์ใดๆ? 


 


 


แต่เพราะว่า…..นางคือหลานสาวแท้ๆของอาเย่วต่างหาก 


 


 


นี่คือเรื่องจริงแท้แน่นอน ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ 


 


 


เดิมทีเขาคิดว่าตนเองจะต้องเคียดแค้นอาเย่วอย่างยิ่ง แต่ว่าพอถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่า แม้แต่กับเด็กรุ่นหลังที่เป็นหลานสาวของนาง เขาก็ยังไม่คิดจะลงมือ 


 


 


ลูกหลานของนาง……ก็เหมือนเป็นลูกหลานของตนเอง 


 


 


……………. 


 


 


 


 


 


ภายในห้อง ตู๋กูซิงหลันทอดถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ใต้หล้านี้มีเรื่องให้เสียดายอยู่มากมาย ท่านยายถูกบีบคั้นมาชั่วชีวิต หากนางได้รู้ว่าท่านตายังคงมีชีวิตอยู่ล่ะก็ แม้จะอยู่ในปรโลกก็คงปลื้มใจ….” 


 


 


ประโยคนี้นางกล่าวจากใจจริง ทั้งฟ่านอิงและแคว้นกู่เย่วล้วนเป็นปมทุกข์ในใจของท่านยาย 


 


 


ดังนั้นนางอายุยังไม่ทันถึงห้าสิบปี ก็จากไปเสียแล้ว 


 


 


หากว่าเป็นไปได้ ตู๋กูซิงหลันย่อมยินดีจะรักและเคารพฟ่านอิงเหมือนดั่งตนเองเป็นหลานสาวแท้ๆ 


 


 


ถึงแม้ว่านางจะมีจุดประสงค์เล็กๆของตนเองอยู่บ้าง แต่ว่าจุดประสงค์นั้นก็มิได้เป็นอันตรายใดๆต่อฟ่านอิง 


 


 


ท่านเจ้าสำนักได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็ถอนใจออกมา หัวคิ้วขมวดขึ้นน้อยๆ 


 


 


“ศิษย์เอ๋ย อาจารย์จะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องมีเรื่องเสียดายในชีวิต” 


 


 


เขาพูดพลาง ก็ยื่นมือออกมานวดหัวคิ้วของนางเบาๆ “อาจารย์ไม่ชอบเห็นเจ้าทำหน้านิ่วคิ้วขมวด อาจารย์อยากเห็นเจ้าหัวเราะ” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “หัวเราะกับค้อนน่ะสิ” 


 


 


เวลาแบบนี้ใครยังจะยิ้มออกได้กัน? 


 


 


“อาจารย์ทำผิดอะไร เจ้าถึงได้หัวเราะอาจารย์?” ท่านเจ้าสำนักทำสีหน้าไม่เข้าใจ ทั้งยังครุ่นคิดอย่างละเอียด ราวกับว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดต่อศิษย์น้อยจริงๆ 


 


 


หรือจะเป็นเพราะเมื่อครู่ไม่ได้ปล่อยให้นางกลั่นแกล้งถึงที่สุดนะหรือ? 


 


 


เอาเถอะ….. หากว่านางชมชอบกลั่นแกล้งเขาเช่นนั้นจริงๆ เขาก็จะฝืนยอมรับเอาไว้ก็ได้ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน หนอย ตู๋กูต้าฉุย นี่เขาช่างรู้จักยัดเยียดตนเองเข้ามาจริงๆ 


 


 


ค้อน (ฉุยจือ) ก็คือตัวเขามิใช่หรือ? 


 


 


ความโศกเศร้าในหัวใจที่ไม่อาจบ่งบอกออกมาได้เมื่อครู่ ตอนนี้พอถูกท่านอาจารย์ต้าฉุยเย้าแหย่เข้าก็ผ่อนคลายลง 


 


 


ถึงแม้ว่า…..ท่านอาจารย์ต้าฉุยจะน่าเบื่อหน่ายและทำตัวเอาจริงเอาจังอยู่เสมอ แต่เวลาที่โง่งมทำตัวไร้เดียงสาขึ้นมาก็น่ารักอยู่ไม่น้อย 


 


 


……………. 


 


 


ใต้เกาะลอยฟ้า หลังจากที่รอคอยจนพระอาทิตย์ใกล้จะขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ก็ยังไม่เห็นว่าบนเกาะจะมีผลลัพธ์ใดๆออกมา 


 


 


“หรือว่าพยัคฆ์สองตัวต่อสู้กัน ก็เลยต่างจบสิ้นกันไปแล้ว?” 


 


 


“ถูกลมปีศาจนี่พัดโกรกมาทั้งคืน ข้าใกล้จะแข็งตายอยู่แล้วนะ” 


 


 


“ไม่มีใครสามารถขึ้นไปดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้เลยหรือ?” 


 


 


“เจ้าเก่งเจ้าก็ขึ้นไปสิ นั่นเป็นเกาะลอยฟ้าของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน เจ้าคิดว่าเป็นร้านน้ำชา นึกจะไปก็ไปได้หรือ?” 


 


 


…………………. 


 


 


 


 


 


เจ้าแคว้นทองได้ยินผู้คนบ่นพึมพำ ในใจก็รู้สึกว้าวุ่นขึ้นมา 


 


 


ไม่สิ…..ไยเหตุการณ์จึงไม่ได้ดำเนินไปตามที่เขาคาดการณ์เอาไว้? 


 


 


ตัวมารร้ายอย่างเจ้าสำนักหยินหยางผู้นั้น ประมือกับเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยน สมควรบาดเจ็บหนักทั้งสองฝ่าย หรืออย่างน้อย ก็ต้องมีคนหนึ่งลงมาจากบนเกาะลอยฟ้าสิ? 


 


 


ทำไมถึงได้ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆตลอดทั้งคืน? 


 


 


กลับเป็นพวกเขาที่เฝ้ายามอยู่ตลอดทั้งคืน จนจิตใจอ่อนล้าไปหมดแล้ว 


 


 


ในที่สุด ตอนที่ท้องฟ้าเบิกออกยามรุ่งอรุณ กระเรียนเซียนบนเกาะลอยฟ้าค่อยส่งเสียงร้องขึ้นมา 


 


 


“นั่นๆๆๆ ดูเหมือนจะมีความเคลื่อนไหวแล้วมิใช่หรือ!” 


 


 


ผู้คนต่างก็เกิดความตื่นตัวขึ้นมา ครุ่นคิดไปว่าจะได้ทราบข่าวคราวอะไรจากกระเรียนเซียน 


 


 


เห็นกระเรียนเซียนกางปีกถลาบินมาในอากาศ จากนั้นก็แปลงกายเป็นหนุ่มน้อยในชุดขาวอันงดงาม 


 


 


“วันนี้คือวันงานเทศกาลหมื่นบุปผาชาติ พวกท่านมารอคอยอยู่ที่ใต้เกาะของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเพราะเหตุใด?” 


 


 


ผู้คนทั้งหลาย “……” พวกเราเฝ้าอยู่นี่กันมาทั้งคืนแล้ว ตอนนี้เจ้าค่อยมาถามว่ามาทำอะไรน่ะหรือ? 


 


 


ยังคงเป็นเจ้าแคว้นทองที่ออกตัวกล่าวแทนผู้อื่น “เมื่อวานพวกเราเห็นเจ้าสำนักหยินหยางมารร้ายผู้นั้น นำมารน้อยศิษย์ของเขาขึ้นไปบนเกาะ พวกเราต่างก็เป็นห่วงความปลอดภัยของท่านเจ้าตำหนัก ดังนั้นจึงรอคอยอยู่ที่นี่ หากท่านเจ้าตำหนักมีบัญชาใดลงมา พวกเราจะได้ช่วยเหลือได้ทันท่วงที” 


 


 


“ใช่แล้วๆ” 


 


 


คนอื่นๆต่างก็ร้องสนับสนุน 


 


 


สีหน้าของกระเรียนหนุ่มยังคงมิได้เปลี่ยนแปลง 


 


 


“ท่านเจ้าตำหนักไม่มีอันตราย ขอให้ทุกท่านแยกย้ายกันได้แล้ว เชิญร่วมงานหมื่นบุปผชาติตามสบาย ไม่จำเป็นต้องมาเฝ้ารอใต้เกาะของพวกเราแล้ว” 


 


 


ว่าแล้วก็ได้ยินเขากล่าวเสริมขึ้นมาอีกว่า 


 


 


“ยามอู่ (ยามเที่ยง) วันนี้ ท่านเจ้าตำหนักจะมาร่วมชื่นชมบรรยากาศของงานหมื่นบุปผชาติกับทุกท่านด้วยตนเอง” 


 


 


พอเอ่ยประโยคนี้ออกมา ทุกคนต่างก็มีคำตอบในใจแล้ว 


 


 


เช่นนี้ก็หมายความว่า มารใหญ่มารน้อยของสำนักหยินหยาง ต่างตายจนกระดูกเย็นไปแล้วกระมั้ง? 


 


 


ช่างเหนือความคาดหมาย เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียว ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่า ตอนแข่งขันสุดยอดการประลอง เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเพียงแต่แบ่งภาคร่างออกมารับศึก วันนี้ได้เห็นเช่นนี้ ดูท่าจะเป็นจริงแล้ว 

 

 

 


ตอนที่ 575 ชมหมื่นบุปผชาติ

 

ยามนี้ในใจของทุกคนต่างเกิดความยำเกรงตำหนักซิวหลัวเตี้ยนขึ้นมามากกว่าเดิม 


 


 


เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนสามารถมาร่วมงานหมื่นบุปผชาติในยามเที่ยง อย่างน้อยๆก็แสดงให้เห็นว่าเขามิได้รับบาดเจ็บหนัก 


 


 


ส่วนเจ้ามารร้ายนั้นคงจะถูกสังหารจนกระดูดป่นไปแล้ว นี่เป็นการบอกพวกเขาเป็นนัยว่าเจ้าสำนักหยินหยางที่ร้ายกาจผู้นั้นพ่ายแพ้ไปแล้ว 


 


 


นับจากวันนี้ไป ตำแหน่งประมุขผู้ยิ่งใหญ่ของดินแดนจิ่วโจวก็คือตำหนักซิวหลัวเตี้ยนที่แม้แต่ฟ้าก็ไม่อาจโยกคลอนนั่นเอง 


 


 


จากนี้ไป เมื่อพวกเขาพบเจอกับคนของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ย่อมต้องให้ความเคารพนอบน้อมมากกว่าเดิม 


 


 


ฝูงชนต่างก็คลายความกังวลใจไปตามๆกัน จึงพากันแสดงความเคารพต่อกระเรียนเซียนออกมา 


 


 


“นี่ย่อมแน่นอน ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว ท่านเจ้าตำหนักไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เช่นนั้นพวกเราจะไปคอยรอรับท่านเจ้าตำหนักมาร่วมงานหมื่นบุปผชาติ” 


 


 


ว่าแล้ว เจ้าแคว้นทองก็ปลีกตัวออกไปเป็นคนแรก พอเขาจากไปคนอื่นๆก็พากันทยอยตามออกไป 


 


 


ในเมื่อเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนสังหารเจ้าสำนักหยินหยางไปแล้วย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ถือเป็นการประหยัดเรี่ยวแรงของพวกเขาไป 


 


 


ดูเอาเถอะว่าเจ้ามารร้ายเจ้าสำนักหยินหยางผู้นั้น ฮึกเหิมลำพองถึงเพียงไหน 


 


 


ก่อนหน้านี้ยังให้สัญญาอย่างแข็งขันกับศิษย์ของเขา ว่าจะเป็นศัตรูกับดินแดนจิ่วโจวทั้งหมด 


 


 


คำพูดนั้นย่อมพูดได้อย่างน่าฟัง แต่ว่าคงต้องดูตนเองมีความสามารถหรือไม่ก่อนละมั้ง? 


 


 


พอเขาเอาชนะในสุดยอดการประคองได้ ก็คิดว่าตนเองเก่งกาจจนไร้ผู้ต่อต้าน คิดว่าในดินแดนจิ่วโจวไม่มีใครสามารถจะจัดการเขาได้อีกแล้วหรือ? 


 


 


เห็นไหม ตอนนี้โดนตบหน้าเข้าแล้วล่ะสิ? 


 


 


คงจะถูกตำหนักซิวหลัวเตี้ยนสำเร็จโทษไปเรียบร้อยแล้ว! 


 


 


นี่มันไม่ใช่แค่ตบหน้า แต่ว่าต้องชดใช้ชีวิตไปเลยเป็นไงล่ะ! 


 


 


ผู้คนต่างก็รู้สึกสะใจขึ้นมา ต่างก็พากันแยกย้ายไปส่งข่าว 


 


 


ท้องฟ้าของเมืองว่านฮวาเฉิงคล้ายจะเป็นสีฟ้าเข้มอยู่เสมอ วันนี้สีฟ้ายิ่งเข้มกว่าเดิม แม้แต่ก้อนเมฆก็ขาวกระจ่างเป็นพิเศษ 


 


 


กลิ่นหอมสดชื่นของมวลดอกไม้ในอากาศยิ่งเข้มข้น 


 


 


สถานที่จัดงานหมื่นบุปผาอยู่ใต้เกาะลอยฟ้าที่เป็นจุดศูนย์กลางของเมืองว่านฮวาเฉิง เกาะลอยฟ้าแห่งนั้นแม้จะไม่ใหญ่โตเทียบเท่าเกาะลอยฟ้าของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน แต่ไอทิพย์บนเกาะก็เข้มข้น เพียงแค่ไอทิพย์จากด้านบนที่เคลื่อนลงมา ก็ระยิบระยับวาววับจนสามารถมองเห็นได้แม้ตาเปล่า 


 


 


ใต้แสงที่สาดส่องลงมาราวม่านแสง คือสวนดอกไม้ที่กว้างใหญ่ราวสิบสนามฟุตบอล 


 


 


ดอกไม้ในสวนที่ปลูกเอาไว้ในยามนี้มีสารพัดสี ดอกไม้บางดอกยังไม่ทันได้ผลิบาน ดอกตูมล้วนตั้งช่อรออยู่แล้ว 


 


 


ท่ามกลางสวนดอกไม้ เต็มไปด้วยร้านรวงเล็กๆมากมาย 


 


 


บ้างก็ขายยาสมุนไพร บ้างขายหินวิญญาณ บ้างก็ขายอาวุธวิญญาณ และมีขายแม้กระทั่งสัตว์อสูรวิญญาณด้วย 


 


 


ในงานเทศกาลหมื่นบุปผชาติ เป็นงานเทศกาลที่สนุกคึกครื้นที่สุดในดินแดนจิ่วโจว 


 


 


พอถึงยามเย็นก็จะมีการแสดงฝนบุปผาใต้แสงจันทร์ ในเวลานั้น ดวงจันทร์จะทอแสงเข้มข้น โคมลอยนับพันนับหมื่นใบจะขึ้นสู่ท้องฟ้าในเวลาเดียวกัน ยามที่โคมลอยทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า กลีบดอกไม้จำนวนมากจะปลิวลงมาจากท้องฟ้าไม่มีหยุด ไม่ต้องบอกเลยว่าบรรยากาศจะงดงามน่าชมเป็นพิเศษขนาดไหน 


 


 


ทุกครั้งที่มีการจัดงานหมื่นบุปผชาติ เมืองว่านฮวาเฉิงก็จะกลายเป็นศูนย์รวมของผู้คนหลากหลายแบบ 


 


 


เรียกว่ามีผู้คนมากจากทั่วสารทิศจนเต็มถนนไปหมด 


 


 


ยังไม่ทันจะถึงยามเที่ยง แต่ว่าเจ้าแคว้นของห้าแคว้นใหญ่ต่างก็ทยอยกันมาจนครบแล้ว 


 


 


กลางสวนดอกไม้ มีกระโจมพิเศษที่ติดสัญลักษณ์ของทองคำ ไม้ น้ำ ไฟและดิน ตกแต่งอย่างแตกต่างกันไป ทั้งหมดนี้เป็นกระโจมของเจ้าแคว้นทั้งห้า 


 


 


ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนนั้นเป็นกระโจมหลังใหญ่สีดำสนิท ด้านนอกปักธงเอาไว้เสาหนึ่ง บนธงมีอักษร ‘ซิวหลัว’ สองตัวเขียนเอาไว้ 


 


 


เพียงแค่ได้เห็นอักษรสองตัวนี้ ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้แม้แต่ครึ่งก้าวแล้ว 


 


 


ดูแล้วก็ราวกับว่าจะเป็นเรื่องจงใจ กระโจมของสำนักหยินหยางอยู่ที่ด้านข้างของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนนี้เอง 


 


 


เป็นกระโจมสีขาวสลับดำ ขนาดมิได้ใหญ่โตเท่ากับตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ที่ด้านหน้ามีศิษย์ในสำนักที่สีหน้าไม่สู้ดีหลายคนคอยเฝ้าอยู่ที่ปากประตูกระโจม 


 


 


ข่าวที่เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนล้มเจ้าสำนักหยินหยางลงได้นั้น…..พวกเขาต่างก็ได้รับแล้ว 


 


 


ถึงแม้ว่าท่านเจ้าสำนักคนใหม่จะเย่อหยิ่งเย็นชา ผลักไสผู้คนออกไปจนไกลโพ้นนับพันลี้ แต่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เขาก็ยังเป็นเจ้าสำนักของพวกเขา 


 


 


แต่กลับมาตายอย่างไม่มีผู้ใดรู้ไม่มีใครเห็นภายใต้น้ำมือของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเสียแล้ว…. 


 


 


จะมากจะน้อยก็ทำให้ผู้คนไม่อาจกล้ำกลืนโทสะลงไปอยู่บ้าง 


 


 


มีแต่ผีเท่านั้นที่รู้ว่า เมื่ออยู่ในเมืองว่านฮวาเฉิง ถึงตอนนี้พวกเขาถูกมองด้วยสายตาเยาะเย้ยไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว 


 


 


แต่ว่าพวกเขาก็ไม่กล้าไปหาเรื่องกับตำหนักซิวหลัวเตี้ยน เพราะนั่นยิ่งมิใช่เท่ากับหาเรื่องตายเร็วหรอกหรือ? 


 


 


พวกเขาก็ยังไม่ได้อยากทิ้งชีวิตจนถึงขั้นนั้นเสียหน่อย 


 


 


แต่ว่าดูเอาเถอะ คนพวกนั้นแต่ละคนต่างก็มาคอยเฝ้ามองอยู่รอบๆตำหนักซิวหลัวเตี้ยน แต่ละคนอยากจะประจบประแจงจนแทบจะเอาหน้าร้อนๆของตนเองไปประกบก้นเย็นๆของผู้อื่นแล้ว 


 


 


มีความสามารถก็เข้าไปข้างในสิ จะมาทำเป็นชะเง้อดูอยู่ด้านนอกทำไม 


 


 


ในกระโจมของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน พี่รองที่หน้าเขียวคล้ำยืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง 


 


 


เมื่อคืนก่อนเพราะได้รับบาดเจ็บ พิษจึงกำเริบ เขาถึงกับสลบไปสองวันเต็มๆ 


 


 


พอตื่นขึ้นมาพอได้ทราบว่าเจ้าสำนักหยินหยางกับลูกศิษย์ของเขาตายไปแล้ว 


 


 


พี่รองก็แทบจะกระอักเลือดในอกออกมา 


 


 


พิษที่พึ่งจะควบคุมเอาไว้ได้ แทบจะกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


“ใต้เท้าอั้นซื่อ (สายลับ) สีหน้าของท่านมิสู้ดีเลยนะ…..ยามเที่ยงท่านเจ้าตำหนักจะเดินทางมาด้วยตนเอง หากว่าได้เห็นท่านที่เป็นเช่นนี้ ท่านเจ้าตำหนักคงจะไม่พอใจเป็นแน่” 


 


 


สาวใช้ที่อยู่ข้างกายถือโอกาสในยามนี้เตือนเสียงเบา 


 


 


นับตั้งแต่ที่ตู๋กูเจวี๋ยเข้าสู่ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็ยังไม่เคยได้พบหน้าท่านเจ้าตำหนัก เขาอยู่ภายใต้การบัญชาของต้าซือมิ่ง หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายทั้งหมดล้วนเป็นต้าซือมิ่งส่งมอบให้กับเขา แม้แต่ก่อนหน้านี้ที่ให้เป็นคนส่งสารเชื้อเชิญไป ก็เป็นต้าซือมิ่งมอบให้ 


 


 


วันนี้ จะเป็นครั้งแรกที่เขาจะได้พบหน้าท่านเจ้าตำหนัก 


 


 


แต่ว่าในตอนนี้ เขากลับไม่มีอารมณ์จะมารอพบเจ้าตำหนักเลยสักนิด ในใจของเขาห่วงแต่น้องเล็กของตนเอง 


 


 


น้องเล็กเก่งกาจถึงเพียงนั้น ไม่มีทางจะตายอย่างง่ายๆไปอย่างแน่นอน 


 


 


สาวใช้เห็นเขาไม่สนใจนาง ก็ไม่พูดอะไรอีก 


 


 


สถานที่อย่างตำหนักซิวหลัวเตี้ยน กินคนโดยไม่ถ่มกระดูก หากมิใช่เพราะเห็นว่าเขาหน้าตาดี นางคงไม่คิดจะเอ่ยเตือนแม้แต่คำเดียว 


 


 


ผลลัพธ์กลับเป็นว่าผู้อื่นก็มิได้รับน้ำใจเลยสักนิด 


 


 


…………………. 


 


 


พอใกล้ยามเที่ยง ดอกไม้ที่ตอนแรกยังตูมอยู่ก็พากันคลี่กลีบแล้ว ทั้งยังบานสะพรั่งอย่างงดงามพร้อมกัน 


 


 


สายตาของผู้คนต่างก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปทางกระโจมของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน 


 


 


ต่างก็รอคอยการมาเยือนของเจ้าตำหนัก 


 


 


อย่างน้อยๆเขาก็เป็นผู้ที่กำจัดจอมมารตัวร้ายนั่นทิ้งไป นับได้ว่าเป็นวีรบุรุษคนหนึ่งกระมั้ง? 


 


 


ตอนนี้เมื่อสิ้นเจ้าสำนักหยินหยางไปแล้ว พวกเขาสมควรจะประจบประแจงเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนให้ดีจึงจะถูก 


 


 


ต่อให้ประจบไม่สำเร็จ ก็ยกเอาไว้ให้เหมือนเป็นบรรพชนของตนเอง วันเวลาในภายภาคหน้าเมื่ออยู่ในจิ่วโจวจะได้สงบสุขได้บ้าง 


 


 


ตั้งแต่ยามเช้ามา สีหน้าของเจ้าแคว้นทองคำก็ยิ้มแย้มราวกับดอกเก็กฮวยอยู่แล้ว 


 


 


ที่จริงพอคิดๆดูแล้ว ตอนนั้นเขากับต้าซือมิ่งของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ต่างก็ถูกเหยียดหยาม ขับไล่ออกมาจากสำนักหยินหยางพร้อมๆกัน จะมากจะน้อยย่อมเกิดน้ำใจต่อกันขึ้นมาอยู่บ้าง ตอนนี้เขาก็เพียงแต่เป็นหอสูงใกล้น้ำ ได้รับแสงจันทร์ก่อนเท่านั้นเองมิใช่หรือ? 


 


 


ในบรรดาห้าแคว้นใหญ่ เขาย่อมร่ำรวยที่สุด ดังนั้นเขาย่อมสามารถสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับตำหนักซิวหลัวเตี้ยนได้ดีที่สุดอยู่แล้ว 


 


 


พอเจ้าสำนักหยินหยางตายไป ก้อนหินที่กดอยู่บนหัวใจของเขาก็นับว่าวางลงได้แล้ว ดังนั้นเขาย่อมดีใจกว่าผู้ใด 


 


 


ดังนั้นจึงมิวายคอยพูดจาอวดโอ้ใส่เจ้าแคว้นคนอื่นๆอยู่ตลอดเวลา 


 


 


พอถึงยามเที่ยง ก็เห็นมีหมอกสีดำกลุ่มหนึ่งเหาะมาจากทิศที่ตั้งของเหล่าจุ้ยเซียนจู 


 


 


เพียงแต่ว่าครั้งนี้หมอกสีดำนั่นใหญ่โตกว่าเดิมมากแล้ว 


 


 


ผู้คนทั้งหลายต่างก็คุ้นเคยกับบรรยากาศราวกับปีศาจที่ออกมาจากหุบเขาสีดำนั้นแล้ว จึงมิได้มีความหวาดกลัวไปกว่าเมื่อก่อน 


 


 


แต่ละคนต่างก็พากันแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า 


 


 


เพียงครู่เดียว หมอกสีดำขนาดใหญ่กลุ่มนั้นก็เหาะลงมาบนที่ว่างระหว่างข้างกระโจมของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน 


 


 


หมอกสีดำยังไม่ทันจางหาย หัวใจของผู้คนต่างก็พองฟูขึ้นมาแล้ว 


 


 


คนผู้นี้….คือผู้ที่สามารถกำราบเจ้ามารร้ายเจ้าสำนักหยินหยางลงไปได้ ดินแดนจิ่วโจวไม่อาจขาดผู้นำ สมควรแล้วที่พวกเขาจะก้มลงคำนับกราบไหว้! 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)